คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 4 : ของเล่นใหม่
เช้าวันต่อมา หลังจากที่ทุกคนพักผ่อนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างก็ทำกิจวัตรประจำวันของทุกๆคน รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับการรวมตัวครั้งใหม่ และไม่นานเมื่อพวกเขามารวมตัวกัน พวกเขาก็ได้เห็นดันเต้ซึ่งกำลังขนอุปกรณ์ชนิดต่างๆออกมากองรวมกันเอาไว้ อุปกรณ์พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นของซึ่งดูล้ำยุคไปมาก ทำเอาทุกคนถึงกับแปลกใจว่าดันเต้เอาของอะไรออกมามากขนาดนั้น
“คุณดันเต้ อรุณสวัสดิ์ คุณเอาอะไรออกมาครับเนี่ย??” นาวินเห็นของพวกนั้นจึงถามไป
“อ้อ มันเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเรื่องพลังของพวกคุณได้ ผมพยายามติดตามพลังของพวกคุณแล้วพัฒนามัน เพื่อใช้ในการลดจุดอ่อนของพวกคุณลง คุณวิน ของคุณเป็นอันนี้!!” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของดันเต้ก็หยิบเอาทั้งเสื้อเกราะ หมวก สนับแขน รวมถึงสนับเท้า เอามาให้กับนาวิน
“คุณมีพลังความเป็นอมตะ แต่ทางด้านกำลังกายของคุณไม่มีเลย ผมเลยประดิษฐ์ของพื้นฐานนี่ให้ ชุดเกราะนี้สามารถกันกระสุนได้แทบจะทุกรูปแบบ สนับแขนสามารถต่อยเหล็กหนาสูงสุด 10 เซนติเมตร มากพอจะต่อยรถถังคันหนึ่งได้สบาย รวมถึงสนับข้อเท้าซึ่งสามารถวิ่งได้เร็วถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมออกแบบให้ถอดออกได้ง่ายด้วย” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของนาวินก็ลองหยิบเอาเสื้อเกราะมาใส่อย่างรวดเร็ว เขาแทบไม่ต้องทำอะไรมาก เสื้อเกราะก็ติดเข้ากับตัวเขาได้ รวมถึงใส่สนับมือและเท้าไปด้วย อากิระลองยิงใส่เกราะของนาวินดู ก็พบว่ากระสุนของเขาแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
“โห ของดีแท้ๆ” นาวินพูดอย่างตื่นเต้น
“แล้วอีกเรื่อง ฉันทำมาให้กับนายด้วย อากิระ” ดันเต้พูดขึ้น
“เฮ้อ คนอย่างผมไม่ต้องใช้เครื่องทุ่นแรงอะไรพรรค์นี้หรอกน่า” อากิระพูดขึ้นพลางกอดอกไป
“อ่า คุณดันเต้ แล้วของพวกฉันหล่ะคะ??” ฮารุถามอย่างสงสัย
“ของเธอเป็นเสื้อเกราะเหมือนกัน แต่จะพิเศษตรงที่มันสามารถทนความร้อนได้สูงถึง 1000 องศา สนับมือของเธอสามารถปล่อยลูกไฟและพกดาบไฟได้ รวมถึงเข็มขัดนี่ด้วย รวมถึงแว่นตานี้ มันจะสามารถบอกค่าอุณหภูมิในร่างกายของเธอ เมื่อมันต่ำเกินกว่าที่ตั้งค่า เสื้อเกราะของเธอจะปล่อยไอร้อนออกมา คล้ายๆกับการอบซาวน่า เพื่อให้อุณหภูมิกลับเข้าที่ แต่ถ้าฉุกเฉินจริงๆ กินยาปรับอรุณหภูมินี่ไปด้วย” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นขวด Canteen ขวดหนึ่งให้ฮารุไป จากนั้นตัวของฮารุก็ลองใส่ชุดเกราะนั้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงหยิบขวด Canteen มาด้วย และเมื่อเธอใส่เสื้อเกราะเสร็จ เธอก็เดินไปยังสนามทดลอง จากนั้นก็ลองยิงไฟออกไปในทันที
“ตู้มๆๆๆๆ!!”
ฮารุยิงลูกไฟออกมาจากสนับมือของเธออย่างรวดเร็ว รวมถึงทดลองพ่นไฟออกจากสนับมือไปด้วย และเมื่อเธอใช้พลังไปมากพอสมควร ร่างกายของฮารุก็เริ่มเย็นลง
“อุณหภูมิร่างกายลดลง 80 เปอร์เซ็นต์ เริ่มกระบวนการปรับอุณหภูมิ!!”
ไม่นานนักชุดเกราะของฮารุก็ค่อยๆปล่อยไอร้อนมายังร่างกายของเธอ ทำให้อุณหภูมิร่างกายของฮารุเริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนไม่นาน ตัวของฮารุเองก็กลับมาเป็นปกติ
“โห เยี่ยมไปเลย ฉันชอบมากเลยเจ้าเครื่องนี้” ฮารุพูดอย่างตื่นเต้น
“ของคุณเวียนจะเป็นอันนี้ครับ รัดเกล้าควบคุมพลังจิต มันจะช่วยให้คุณทราบว่าคุณใช้พลังสมองของคุณไปเท่าไหร่แล้ว และมันยังจะช่วยเตือนคุณไม่ให้ใช้พลังไปมากเกินไป และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มันจะฉีดยาระงับอาการให้กับสมองของคุณ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นมันให้กับเธอ เวียนใส่มันอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ลองใช้พลังจิตของเธอดู เธอปล่อยพลังจิตของเธอใส่เป้าหมายที่เคลื่อนที่ไปมา แต่แถบเตือนการใช้พลังของเธอก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
“ระดับการใช้พลัง 70 เปอร์เซ็นต์ คุณควรจะหยุดใช้พลังก่อน!!”
ในตอนนั้นเวียนก็ยังไม่ฟังอะไรและใช้พลังต่อ จนในตอนนี้แถบพลังขึ้นมาถึง 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว และไม่นาน เครื่องของเวียนก็แจ้งเตือนขึ้น
“การใช้พลัง 90 เปอร์เซ็นต์ เริ่มกระบวนการจ่ายยา!!”
เครื่องรัดเกล้าของเวียนค่อยๆปล่อยยาคลายประสาทให้กับเวียนอย่างรวดเร็ว และเมื่อเวียนได้ยาไปเธอก็ค่อยๆสงบๆลง ในตอนนั้นตัวของนาวินก็ค่อยๆมาประคองเธอไว้ จากนั้นก็ให้เวียนนั่งพักไปก่อน
“คุณต้องเติมตัวยาอยู่สม่ำเสมอนะครับ ตัวยาผมจะบอกให้ว่าหาได้จากไหน ของนายภาภิน ฉันเตรียมที่นั่งนี่ให้กับนาย มันมีระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสัญญาณอื่นๆได้ทั่วโลก ตัวของนายสามารถใช้พลังเจาะเข้าไปในระบบของอินเทอร์เน็ตต่างๆ หมายความตรงๆก็คือ นายสามารถแฮกอุปกรณ์ต่างๆได้ทั่วโลก รวมถึงถ้านายหมดแรง มันจะฉีดยาเข้าไปในสมองของนาย ช่วยให้นายพักผ่อนสบายขึ้น เก้าอี้นี้สามารถใช้พกพาไปที่ไหนก็ได้” ดันเต้พูดดังนั้น ทำเอาภาภินตื่นเต้นมากๆ ตัวของภาภินจึงไปที่เครื่องนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งหาเครือข่ายที่เขาอยากแฮก จากนั้นก็ลองทดสอบมันดู
“โห มันดีมากเลย เมื่อกี้ผมก็เพิ่งแฮกเครือข่าย Anonymous ไป พวกมันหัวปั่นกันเลยตอนนี้!!” ภาภินพูดออกมาอย่างสะใจ
“อืม ถ้านายจะเคลื่อนย้ายมัน ก็สามารถกดปุ่มได้ง่ายๆเลย ต่อไปของโจไซอาห์และอินเนสซ่า เอานี่ไป” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยื่นช็อกโกแลตให้กับทั้งคู่ไปคนละห่อ ทำเอาโจไซอาห์และอินเนสซ่าไป
“ช็อกโกแลตอย่างงั้นเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป
“ใช่ครับ มันเป็นช็อกโกแลตที่กินเข้าไปแล้วจะฟื้นพลังอย่างรวดเร็ว เพราะการกลายร่างของพวกคุณทั้งคู่จะทำให้สูญเสียพลังไปมาก กินเข้าไปคำเดียว พลังของคุณจะกลับมาเป็นปกติ” ดันเต้พูดขึ้น
“อืม แบบนี้คงต้องลองหน่อยหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วิ่งไปที่ลานกว้างแห่งหนึ่งและค่อยๆกลายร่างเป็นพญานาค 5 เศียร และเมื่อทุกคนได้เห็นก็ถึงกับแตกกระเจิงและถอยห่างออกมา และไม่นาน โจไซอาห์ก็แปลงร่างเป็นครุฑไปบ้าง ทั้งคู่เข้าปะทะกันอย่างระวัง ทุกคนรอบข้างก็ยืนมองอยู่ห่างๆด้วยความแปลกใจ และผ่านไปราว 3 นาที ทั้งคู่ก็ค่อยๆเปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งคู่ลองฉีกช็อกโกแลตออกมาแล้วกินมันเข้าไป แต่เพียงกัดเข้าไปคำเดียว ตัวของพวกเขาทั้งคู่ก็ยืนขึ้นได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โห อร่อยด้วยแหะ พลังกลับมาเยอะเลย แบบนี้แปลงร่างอีกรอบก็ได้” โจไซอาห์พูดขึ้น
“นั่นสิ แบบนี้ค่อยโอเคหน่อย” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ผมทำเตรียมเอาไว้ให้พวกคุณหลายแท่งเลย มันมีพลังงานหลายหมื่นแคลอรี่ ส่วนของเธอ ลาลิน เมื่อคืนฉันได้สกัดเอากลิ่นที่เธอสร้างออกมา แล้วเอามาดัดแปลงเป็นระเบิดชนิดต่างๆหน่ะ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เอาระเบิดมากมายมาวางไว้ต่อหน้าลาลิน ลาลินเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบมาดูอย่างตื่นเต้น
“โห ลุงดันเต้ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ??” ลาลินถามไป
“ใช่เลยหล่ะ ตอนนี้ที่ทำได้มีระเบิดควันพิษ ระเบิดยาสลบ ระเบิดแก๊สหลอนประสาท น่าจะช่วยได้ระดับหนึ่งหน่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“หู้ว ถ้าอย่างงั้นหนูก็คงไม่ต้องใช้พลังเองเลยสินะคะ” ลาลินพูดขึ้น
“ส่วนของนาย ลันโทส ฉันมีชุดเกราะนาโนไฟฟ้า มันจะสามารถช่วยให้นายใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งควบคุมการไหลย้อนกลับของพลัง พลังที่ไหลย้อนกลับจะรวมกันที่ถังเก็บพลัง และสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นก็ให้เสื้อเกราะนั้นกับลันโทสไป ลันโทสลองใส่มันอย่างตื่นเต้น
“โห เสื้อเกราะนี้ดีมากเลย แบบนี้ก็ใช้พลังไฟฟ้าได้ไม่จำกัดเลยสิ” ลันโทสพูดขึ้น
“แต่ถึงยังไง ดูแล้วก็ต้องระวังการใช้พลังอยู่ดีหน่ะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“อืม ดูแล้วก็น่าจะช่วยฉันได้อยู่” ลันโทสพูดขึ้นพลางยื่นมือออกมา จากนั้นก็ยิงพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว
“โห ปล่อยพลังออกมาได้ดีมากเลย” ซีโร่พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้วครับ โรล็องต์ ลูโดวิก ของพวกนายทั้งคู่จะเป็นหน้ากากช่วยหายใจแบบพกพา เห็นมันเล็กขนาดนี้ มันสามารถบรรจุออกซิเจนได้ถึง 100 ลิตร และเมื่อนายรู้สึกเหนื่อย มันจะช่วยให้การหายใจดีขึ้น หรือถ้าอยากเพิ่มพลังมากขึ้น ก็กินช็อกโกแลตเพิ่มได้” ดันเต้พูดขึ้น สองแฝดในตอนนั้นก็ลองใส่มันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งไปวิ่งมาบริเวณนั้นอย่างต่อเนื่อง ทำเอาทุกคนถึงกับตาลาย และไม่นานนัก พวกเขาก็มายืนหอบอยู่ต่อหน้าดันเต้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ทำเอาโลร็องต์กับลูโดวิกทั้งคู่ถึงกับชอบใจ
“โห ถ้าเรามีเจ้านี่ เราวิ่งรอบโลกเลยก็ได้นะเนี่ย!!” โลร็องต์พูดขึ้น
“อืม นั่นสิ แต่มันก็ต้องเก็บพลังไว้ อย่าใช้ต่อเนื่องหน่ะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“หน้ากากสองอันนี้มันสามารถเก็บออกซิเจนได้อัตโนมัติ มันกักเก็บอากาศรอบๆและสังเคราะห์ออกมาเป็นอากาศบริสุทธิ์หน่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“โห ลุงนี่ยอดนักประดิษฐ์จริงๆเลยแหะ” โลร็องต์พูดขึ้น
“ใจเย็น ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้” ลูโดวิกพูดขึ้น
“อืม เยี่ยมเลย ส่วนของนายลุ้น มันเป็นสนับมือช่วยเก็บไพ่ของนาย มันจะช่วยให้โอกาสจับไพ่ที่นายต้องการมีมากขึ้น แล้วก็ชุดเกราะแบบที่นาวินใส่ พอได้หรือเปล่าหล่ะ??” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นสนับมือให้กับลุ้นไป
“โห ผมชอบสีของมันแหะ” ลุ้นพูดขึ้น จากนั้นก็ใส่สนับมือนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็ใส่ไพ่ของเขาไป และไม่นาน ไพ่นั้นมันก็สับให้อัตโนมัติด้านใน ทำเอาลุ้นถึงกับแปลกใจ
“โห มันสลับให้เองด้วย ใช้ได้เลย!!” ลุ้นพูดอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้วหล่ะ แล้วอีกอย่าง ผมดัดแปลงปืนของพวกคุณใหม่ ให้มันเป็นปืนซึ่งยิงพลังงานเลเซอร์เป็นหลักหน่ะ มันชาร์จไฟ ชาร์จหนึ่งครั้ง ยิงได้ 1000 นัด” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็แจกปืนให้กับทุกคนอย่างรวดเร็ว ทุกคนรับปืนมาอย่างตื่นเต้น ยกเว้นอากิระที่เฉยๆกับปืนนั้น
“แล้วอัตราการยิงเป็นยังไงบ้างครับ??” นาวินถามไป
“ผมเพิ่มระยะการยิงให้ไกลขึ้น กันน้ำ รวมถึงสามารถเจาะเกราะได้ดีมากขึ้นด้วย” ดันเต้พูดขึ้น
“อืม แล้วของนายลืมหล่ะ ไม่มีเหรอ??” นาวินถามไป
“อ้อ หมอนั่นไม่มีอะไรมาก ฉันให้กล้องซึ่งเวลาที่ถ่ายรูปเขา ความทรงจำทุกอย่างจะอยู่ในรูปของเขาหน่ะ” ดันเต้พูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงกับพยักหน้า และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ภาภินก็ออกจากเครื่องนั้นอย่างรวดเร็วในสภาพที่ดูเหมือนจะง่วงนอน แล้วเขาก็พูดขึ้นมาในทันที
“ทุกคน ผมลองแฮกการสื่อสารของสส.สุรสิงห์ พบว่ามีการติดต่อไปยังผู้พันประกอบ วันนี้พวกมันเข้าประชุมกับพวกที่ตามล่าเรา พบว่ามีการติดต่อไปยังหน่วย UNASO ด้วย และผมยังรู้มาอีกว่า ตอนนี้คุณคริสเตียลลงมาเล่นเกมนี้เองด้วย” ภาภินพูดร่ายยาวออกมา
“ห่ะ นี่คริสเตียลมาเองเลยเหรอ งานนี้กรุงเทพได้แตกเป็นเสี่ยงๆแน่ ไอ้พวกนี้มันทำงานแบบล้างผลาญยกเมืองเลย” อากิระพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น คุณดันเต้ ผมขอยืมใช้โทรศัพท์ต่อนะครับ ผมจะติดต่อกลุ่มใต้ดินกลุ่มอื่น ให้พวกเขาระวังตัวกันมากขึ้น” ลันโทสพูดขึ้น
“ดูเหมือนเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามนี้แล้วหล่ะ” ซีโร่พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ลาลินก็นั่งไถโทรศัพท์ของเธอไปด้วย จากนั้นเธอก็ไปเจอข่าวๆหนึ่ง เลยเอามาให้ทุกคนได้ดูอย่างรวดเร็ว
“พี่ๆคะ มีข่าวมาว่าตอนนี้ตำรวจกำลังระดมจับตัวคนกันไปมากมายเลยค่ะ แถมยังพยายามปิดข่าวกันด้วย” ลาลินพูดขึ้น
“พวกมันคงต้องตามล่าผู้เกิดใหม่แน่ๆ ไม่รู้ว่าจับไปได้กี่คนแล้ว” ฮารุพูดขึ้น
“ไม่แน่นะ พวกที่โดนจับไปอาจไม่ใช่แค่ผู้เกิดใหม่ก็ได้ ใครจะไปรู้” เวียนพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น คงต้องหาข้อมูลของพวกมัน รวมถึงโจมตีตอบโต้พวกมันแล้วหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ฉันว่า ถ้าเราตอบโต้เจ้าหน้าที่ พวกนั้นก็ยิ่งมีข้ออ้างในการเล่นงานเรา ฉันว่าจัดการกับพวก UNASO ก่อนดีกว่า” อินเนสซ่าออกความเห็นไป
“ผมเห็นด้วยนะครับ เราน่าจะเล่นงานพวกนี้เป็นอันดับแรกก่อนดีกว่า” ลุ้นพูดขึ้น
“อืม ตำรวจตามล่าพวกเราด้วยอย่างงั้นเหรอ??” นายลืมพูดออกมา ทำเอาโลร็องต์ตอบไป
“โธ่เอ้ย มันตามล่าเราตั้งนานแล้ว ลืมไม่รู้เวล่ำเวลาจริงๆโว้ย!!” โลร็องต์ตะโกนด่าไป
“เอาน่า อย่าไปถือสาหมอนี่เลย ไม่เป็นไรหรอก” ลูโดวิกพูดปรามไป
“ทุกคน ถ้าถึงขั้นไอ้คริสเตียลลงมาลุยเอง แสดงว่ามันต้องเล่นงานแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแน่ เราคงต้องโจมตีแบบกองโจรกับพวกมัน แต่อย่าให้ประชาชนมาเดือดร้อนไปด้วย ไม่งั้นเราจะแย่กันใหญ่” อากิระพูดขึ้น
“นั่นสิครับ ยังมีข้อมูลอีกว่าพวกมันจะเอากำลังคนมาเต็มอัตราศึกเลย พร้อมกับหุ่นรบที่พวกมันเคยใช้ในเวเนซูเอล่ามาด้วยครับ” ภาภินพูดขึ้น
“อืม อยู่ที่นี่เราปลอดภัย พวกนั้นทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ดันเต้พูดขึ้น
“อืม แล้วไม่มีข้อมูลอะไรที่เป็นข่าวฉาวเกี่ยวกับพวกมันเลยเหรอ??” เวียนถามไป
“องค์กรระดับนี้ ต้องมีหน่วยงานเฉพาะที่คอยปิดข่าวให้แน่นอน แต่ก็คงต้องใช้เวลาหามันซักพักหน่ะ” ฮารุพูดขึ้น
“หรือไม่ก็จับพวกมันมาซักคนแล้วเค้นข้อมูลเอาก็ได้” โจไซอาห์พูดขึ้น
“เฮ้อ พวกนั้นคงรอให้เราโผล่หัวออกมา แล้วค่อยจัดการไปทีเดียวหน่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“หนูว่า เราน่าจะลองติดต่อกับกลุ่มอื่นๆก่อนนะคะ เผื่อว่าพวกเขาจะช่วยเราได้” ลาลินพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องติดต่อกลุ่มฉันจะจัดการเอง” ลันโทสพูดขึ้น
“เห็นทีเราคงต้องมีอาวุธเพิ่มด้วยนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“เรื่องอาวุธคงไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ที่นี่มีเยอะแล้วนี่” นายลืมพูดขึ้นพร้อมกับนั่งกอดเข่าไป
“โห เพิ่งจะพูดอะไรที่มีสาระได้นะพวก” โลร็องต์พูดขึ้น
“เราก็เล่นให้พวกมันอ่อนแรง จนต้องถอยหนีกลับไปเลย” ลูโดวิกพูดขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลุ้นก็หยิบไพ่อะไรบางอย่างออกมาจากสำรับของเขา จากนั้นก็ได้ไพ่ที่เขียนว่า
“HIDE”
“อืม เห็นทีเราคงต้องกบดานไปซักพักแล้วหล่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“เอาเถอะครับ เราจะให้ภาภินหาข้อมูลของพวกมันต่อไป และถ้าหากมันมา เราจะไปยันกับพวกมันไว้ จนกว่าจะได้เรื่องเพิ่มเติม เอาแบบนี้ก็แล้วกัน” นาวินบอกกับทุกคนไป
กลับมายังศูนย์บัญชาการชั่วคราวของหน่วยล่าผู้เกิดใหม่ ในวันนั้นพวกเขาก็ได้รับความคืบหน้าใหม่เกี่ยวกับกลุ่มผู้เกิดใหม่ที่หลบหนี ตัวของฮาเวิร์ดรีบจัดการแจ้งรายละเอียดภารกิจให้ทุกคนได้ฟัง ทุกๆคนในนั้นก็ฟังอย่างตั้งใจ
“เอาหล่ะ จากความคืบหน้าของทางตำรวจไทยเมื่อเช้า พบว่าผู้เกิดใหม่ถูกจับเพิ่ม 500 คน แต่ส่วนใหญ่ที่จับได้มีแต่พวกที่ไม่มีพลังน่ากลัวอะไร ตอนนี้เรากำลังส่งคนไปตามหานายนาวินและคนอื่นๆที่หลบหนีอยู่” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“เราต้องปิดด่านเข้าออกกรุงเทพทุกจุด และพยายามค้นทุกที่ ไม่ว่าจะที่ไหน” จ่าชัยพูดขึ้น
“เราทำกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหล่ะ ไม่ต้องห่วง” เวอร์รีนพูดขึ้น
“สังเกตมาซักพักแล้ว พวกมันส่วนใหญ่หนีไปเพราะมีคนมาช่วยมัน ต้องเป็นคนของด็อกเตอร์ดันเต้แน่ๆ” รูกิพูดขึ้น
“แล้วพอใจมีใครรู้แหล่งกบดานของมันบ้างหล่ะ??” วูฟถามอย่างสงสัย
“เรากำลังทำอยู่ แต่จะจับคนอย่างเขาไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ” ยูริพูดขึ้น
“ตอนนี้คงต้องตามรอยพวกมันไปก่อน จับตาดูพวกมันซักพัก รอให้เรามีกำลังมากๆ ค่อยจับพวกมันก็ได้” กาลีน่าพูดขึ้น
“เอาเถอะ จะเอายังไงก็เอากัน แล้วตอนนี้จะเอายังไงกันต่อหล่ะ ตั้งแต่แพ้พวกมันยังไม่รู้เลยว่าจะทำไงต่อ” รูกี้พูดขึ้น
“ผมว่า รอจนกว่ากำลังเสริมของพวกคุณจะมาดีกว่า” แสงจันทร์พูดไป
“ฉันติดต่อกับคุณคริสเตียลไว้แล้ว เขาจะส่งกองกำลังมาถึงในไม่กี่วัน สบายใจได้ ตอนนี้งานของเราคือต้องหาแหล่งกบดานของด็อกเตอร์ดันเต้ แล้วก็พวกกบฏอีก 4 กลุ่ม ซึ่งได้ยินว่าตอนนี้มันรวมตัวกันเป็นพัน เราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“เอาหล่ะ สี่กลุ่มนั่นแบ่งออกเป็นพวกของนายสุชัย กลุ่มที่สองเป็นพวกของนายเคนจิ กลุ่มที่สามเป็นพวกของวาร์เนสซ่า กลุ่มสุดท้ายเป็นพวกนายเฉิน แล้วก็กลุ่มของดันเต้” เวอร์รีนพูดขึ้น
“เก็บไอ้พวกสี่กลุ่มแรกก่อนก็สิ้นเรื่องนี่หว่า” วูฟพูดขึ้น
“คงจะยากหน่อย แต่ละกลุ่มก็มีกำลังเข้มแข็งทั้งนั้น ไหนจะมีมือกฎหมายคอยช่วยอีก” รูกิพูดขึ้น
“หรือไม่ เราก็ต้องลุยกับพวกมันแบบลับๆ ค่อยๆตัดกำลังของพวกมันไปทีละส่วนสิ” จ่าชัยพูดขึ้น
“ไอเดียดีนี่ ตอนนี้เราคงต้องแยกพวกมันออกจากกัน อย่าให้มันมารวมตัวกันได้” กาลีน่าพูดขึ้น
“ทำให้พวกมันแตกแยกกันเอง ก็ดีนะ แต่เราจะทำยังไงหล่ะ??” แสงจันทร์ถามไป
“ก็วิธีการปล่อยข่าว รวมถึงปั่นหัวพวกมันสิ” ยูริพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นก็งานถนัดฉันเลย เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” รูกี้พูดขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเพื่อพักผ่อน แต่ฮาเวิร์ดยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อดูข้อมูลที่เขาได้มา โดยที่เวอร์รีนเองก็มาคุยกับเขาด้วย
“คุณฮาเวิร์ด ดูเหมือนว่าเราคงต้องใช้ของหนักเล่นกับพวกมันแล้วหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณคริสเตียลมาเมื่อไหร่ พวกมันไม่รอดแน่” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“ตอนนี้เราคงต้องจัดการพวกเกิดใหม่ที่แยกตัวกันก่อน ค่อยๆตัดกำลังพวกมัน ดูแล้วพวกมันคงไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“แล้วเราจะดำเนินการเลยหรือเปล่าคะ??” เวอร์รีนถามไป
“อืม ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงเราก็จัดการมันได้อยู่แล้ว” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“แน่นอนค่ะ แล้วฉันจะฆ่าพวกมันให้เหี้ยน” เวอร์รีนพูดขึ้น
และอีกด้านหนึ่งของหน่วย ในตอนนั้นแสงจันทร์ก็กำลังจะเดินไปพักผ่อน แต่ในตอนนั้น รูกิก็มาขวางหน้าเขาไว้แล้วก็คุยกับเขา
“นี่ นายโร่ว์ ฉันถามหน่อย นายมาเข้าหน่วยนี้ได้ยังไง??”
“มีคนของรัฐบาลให้ข้อเสนอกับผม พวกเขาจะรักษาน้องผมที่เป็นออทิสติกและดูแลแม่ผม แลกกับการที่ผมต้องมาทำงานนี้” แสงจันทร์พูดขึ้น
“อู้ว ลูกกตัญญูนี่ ว่าแต่ นายมีแฟนหรือยังหล่ะ??” รูกิถามไป
“ไม่มีหรอก ตอนนี้ผมยังไม่คิดหรอก” แสงจันทร์พูดขึ้น
“เฮ้อ เดี๋ยววันหนึ่งนายต้องคิดเองแหละ” รูกิตอบไป
“เอาที่สบายใจเลยครับ” แสงจันทร์พูดตัดบท จากนั้นก็เดินจากเธอไปในทันที
ทางด้านของกาลีน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็กำลังจะเดินไปพักผ่อน แต่ในตอนนั้นเอง วูฟก็เดินมาดักหน้าเธอไว้ จากนั้นก็พูดขึ้น
“ว่าไงจ๊ะ จะไปเที่ยวไหนงั้นเหรอ??”
“เรื่องของฉันน่า อย่ามากวนดีกว่า” กาลีน่าพูดขึ้น และในตอนนั้นก็มีเสียงปรบมือดังมาจากบริเวณนั้น ซึ่งนั่นคือเสียงปรบมือของรูกี้นั่นเอง จากนั้นเขาก็พูดขึ้น
“เฮ้อ ไม่เคยเห็นเครื่องบินก็เห่าสิพวก!!” รูกี้พูดอย่างกวนๆ ในตอนนั้นวูฟถึงกับงอกกรงเล็บของเขาออกมา แต่ในตอนนั้น ยูริและจ่าชัยก็เดินมาเจอเข้าก่อน
“ใจเย็น จะมาออกอาวุธอะไรกันตอนนี้??” ยูริถามไป
“นั่นสิ มีเรื่องอะไรก็บอกกันสิ ไม่ใช่มาลงมือเองแบบนี้” จ่าชัยถามเสริม
“บอกไอ้บ้านี่ด้วย อย่ากวนตีนให้มาก!!” วูฟพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่มีอะไรหรอกพวก แค่หมาไม่เคยเห็นเครื่องบินหน่ะ” รูกี้พูดอย่างยิ้มเยาะ ทำเอาวูฟจะจู่โจมรูกี้ แต่จ่าชัยชักปืนลูกโม่เล็งวูฟไว้
“เย็นไว้ นี่กระสุนเงินนะเว้ย คิดว่าฉันไม่รู้จุดอ่อนแกงั้นเหรอ??” จ่าชัยถามไป
“เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งมาตีกันเองตอนนี้เลยน่า!!” ยูริตะโกนปรามไป
“อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันขออยู่คนเดียวซักพักเถอะ!!” กาลีน่าตะโกนออกมาแล้วเดินผ่านทุกคนออกไปในทันที
ณ บ้านร้างหลังหนึ่งในกรุงเทพ ตัวของเบลเดินทางเร่ร่อนมาเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย เพราะในตอนนี้กลุ่มตำรวจกำลังตามล่าผู้เกิดใหม่อย่างแข็งขัน ตัวของเขานั่งอยู่ในบ้านหลังนั้นจากนั้นก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อย ท่ามกลางความเงียบสงบของบรรยากาศรอบข้าง
“เฮ้อ นี่ฉันจะได้อยู่อย่างสงบจริงๆซักวันหรือเปล่าเนี่ย??”
เบลพูดขึ้นพลางคิดเรื่องอดีตของเขาไปเรื่อย ตัวของเขาเดินทางเร่ร่อนเดินทางไปทุกที่เป็นเวลานับพันปี ในตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วันซึ่งอายุขัยของเขากำลังจะหมดลง
“เมื่อไหร่จะถึงวันนั้นกันวะ??”
ตัวของเบลนั่งลงและถอนหายใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็ได้ยินเสียงเออะมาจากด้านนอก ทำเอาตัวของเบลถึงกับชักขวานออกมา จากนั้นก็หลบอยู่หลังกำแพงแถวนั้น
“ระยำเอ้ย จะตามอะไรมาอีกวะ??”
เบลพยายามเดินแนบกำแพงไปเรื่อยๆเพื่อเงี้ยหูฟัง แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงคนพูด
“เฮ้อ ไม่รู้แถวนี้จะมีขยะหรือเปล่านะ??”
“เฮ้อ เกือบไปแล้วกู” เบลพูดขึ้นพลางถอนหายใจยาวๆ จากนั้นตัวของเขาก็เดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมของเขา จากนั้นก็เก็บขวานไว้ที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“รู้เช่นนี้ไม่น่าฆ่าตัวตายเลย”
เบลสบถออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็นอนลงไปบนโซฟาตัวนั้นเพื่อพักผ่อนไป
“บางที คนตายก็อาจจะโชคดีกว่าเราอีกนะเนี่ย”
เช้าวันต่อมา ที่บ้านของแก้ว ในตอนนั้นเธอก็เตรียมรถคันหนึ่งเพื่อออกจากกรุงเทพ และจะเดินทางไปยังเชียงใหม่เพื่อหลบหนีจากการตามล่า หลังจากที่เตรียมสัมภาระเสร็จ รถของเธอก็ขับออกจากบ้านเธออย่างรวดเร็ว แต่เมื่อรถแล่นไปยังไม่ทันจะออกจากกรุงเทพ จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งมาขวางหน้าเธอไว้ จากนั้นก็มีคนพร้อมอาวุธลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว
“คุณแก้ว หมอบครับ!!”
คนขับรถพูดขึ้น และในตอนนั้นพวกมันก็กระหน่ำยิงใส่รถของแก้ว ในระหว่างที่กำลังยิงกัน แก้วอาศัยจังหวะหนีออกจากรถอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย มันหนีไปแล้ว!!”
ชายติดอาวุธสองคนรีบไล่ตามแก้วไปอย่างรวดเร็ว แก้วหนีเข้าไปในซอยแคบซอยหนึ่ง ในขณะที่ชายสองคนก็ตามมาจนถึงที่ทิ้งขยะแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย มันไปไหนแล้ววะ??”
“ไม่รู้ดิ มึงไปดูตรงโน่น!!” ชายคนนั้นตะโกนออกไป และไม่นานนัก มันก็ยังค้นหาตัวแก้วอยู่แถวนั้น แต่ค้นไปค้นมาก็ไม่เจออะไรเลย มันอีกคนหนึ่งก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เห็นเลยหว่ะ ไม่รู้มันไปไหน??”
“เออ ช่างมัน กลับไปก่อน ส่วนบ้านมัน ให้คนไปบุกถล่มเลย!!” ชายอีกคนพูดขึ้น จากนั้นพวกมันทั้งคู่ก็หนีออกจากซอยอย่างรวดเร็ว แก้วที่แอบอยู่แถวถังขยะรีบออกมาจากที่นั่นในทันที
“บ้าเอ้ย จะไปที่ไหนต่อดีวะเนี่ย??” แก้วสบถกับตัวเองไป
ณ สยามพารากอน สถานที่ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาเพื่อจับจ่ายใช้สอยรวมถึงชมความงามของห้าง และที่ด้านหนึ่ง สถานที่ที่ซึ่งเป็นลานสำหรับจัดกิจกรรม ซึ่งมีคนมากมายต่างมารอชมงานอีเว้นท์อย่างตื่นเต้น และไม่นานนัก พิธีกรคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาประกาศอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ไม่รอช้า พบกับไอดอลสาวสุดสวยของเรา พัตติยาครับ!!”
หลังจากที่มีการประกาศ ก็มีเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมงานมากมาย และพัตติยาก็เดินออกมาโชว์ตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือทักทายแฟนคลับทุกคน
“สวัสดีค่ะทุกคน...” ยังไม่ทันที่พัตติยาจะพูดจบ จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็โผล่ออกมากลางวงผู้เข้าชมพร้อมกับชักปืนออกมาจะยิงพัตติยา แต่ในตอนนั้น มีชายคนหนึ่งได้จับแขนเขาไว้
“ปัง!!”
เสียงยิงปืนดังขึ้น ทำเอาคนในงานถึงกับตกใจและแตกกระเจิงกันไป ชายคนนั้นต่อยหน้ามือปืนแล้วรีบไปหาพัตติยาอย่างรวดเร็ว
“รีบหนีเร็วสิ!!”
แต่ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะพูดจบ จู่ๆ ชายอีกประมาณ 5 คนก็ชักปืนกลออกมาแล้วกระหน่ำยิงใส่พัตติยา แต่ชายคนนั้นเอาร่างมาขวางทางเอาไว้
“เป๊งๆๆๆๆ!!”
กระสุนนั้นทำอะไรชายคนนั้นไม่ได้เลย จากนั้นชายคนนั้นก็ชักดาบออกมาแล้วฟันร่างของพวกมันไปทีละคน พวกมันที่เหลือรู้ว่าทำอะไรไม่ได้เลยรีบหนีอย่างรวดเร็ว ตัวของชายคนนั้นรีบพาพัตติยาหนีไปทางอื่น พวกเขาวิ่งหนีกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขามาถึงซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็หยุดวิ่งเพื่อพักหายใจ
“โอ้ย เหนื่อยเกือบตาย ไม่ไหวเลย!!” พัตติยาตะโกนออกมา
“เออ ว่าแต่ทำไมมันถึงจะฆ่าเธอหล่ะ??” ชายคนนั้นถามไป
“หนูจะไปรู้ได้ยังไงหล่ะ แต่ก็ขอบคุณลุงมากนะคะที่ช่วยหนู” พัตติยาพูดขึ้น
“สงสัยมันคงจะตามล่าผู้เกิดใหม่แบบเธอหน่ะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น ทำเอาพัตติยาถึงกับแปลกใจ
“อะไร อย่าบอกนะว่าลุงก็เป็นเหมือนกัน??”
“ก็ใช่ ฉันแค่บังเอิญผ่านมา ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังเริ่มตามล่าผู้เกิดใหม่อย่างพวกเราแล้ว เธอเองก็ต้องระวังตัวไว้ด้วยหล่ะ” ชายคนนั้นบอกกับพัตติยาไป
“แน่นอนค่ะลุง ว่าแต่ลุงเป็นใครกันหล่ะ??” พัตติยาถามไป
“ฉันชื่อเกเบรียล ไปจากที่นี่ซะ แล้วก็เก็บตัวเอาไว้ด้วย” เกเบรียลพูดขึ้น
“อืมๆ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย” พัตติยาพูดขึ้น
“เอาเถอะ ยังไงก็ไปซ่อนตัวไว้ซะ” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินเข้าไปในซอยนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบซ่อนตัวจากตำรวจ ส่วนตัวของพัตติยาก็วาร์ปไปที่ไหนซักแห่งอย่างรวดเร็ว
ณ สถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย หญิงสาวคนหนึ่งในชุดคลุมพร้อมปกปิดหน้าตาของเธอ พร้อมกับเดินออกจากสถานีอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปตามซอยละแวกนั้นเพื่อไปที่ไหนซักแห่ง และเมื่อเธอเดินมาได้ไม่นาน เธอก็มาถึงหน้าตึกแถวแห่งหนึ่ง เธอควักกุญแจออกมา จากนั้นก็ไขกุญแจตึกแถวอย่างรวดเร็ว
“แอ๊ด!!”
เธอเปิดประตูห้องแถว จากนั้นก็ล็อคประตูอย่างรวดเร็ว เธอเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ไปที่สวิทซ์ไฟใหญ่ของตึก จากนั้นก็เปิดไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นาน เธอก็เดินไปที่คอมของเธอซึ่งอยู่ชั้นสอง จากนั้นก็เปิดคอมอย่างรวดเร็ว
“Log In”
“MIKI”
นั่นคือคอมของมิกิ ตัวของมิกิไม่รอช้ารีบเสียบฮาร์ดดิสก์พกพาของเธอเข้ากับคอม จากนั้นก็รีบดูข้อมูลที่เธอรวบรวมมาได้อย่างรวดเร็ว
“สส.สุรสิงห์...”
“ผู้พันประกอบ...”
“UNASO..”
“มึงคิดว่าจะเล่นกับกูได้ง่ายๆเหรอ??” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบจัดการข้อมูลที่เธอได้มาในทันที
“คุณสุรสิงห์ กับไอ้ลูกชายที่น่าสมเพช...”
มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็พิมพ์ข้อมูลอะไรบางอย่างลงบนคอมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะสร้างเฟสบุ๊คปลอมบัญชีหนึ่ง จากนั้นเธอก็ล็อกอินเข้าไป แล้วโพสต์อะไรบางอย่างลงไปในทันที
“จับผู้ร้ายบังหน้า เพื่อกลบเกลื่อนการกำจัดศัตรูทางการเมือง...”
“นายแสน ลูกนักการเมืองดังประวัติโชกโชน….”
“มาดูสิว่าใครจะชนะ” มิกิพูดอย่างยิ้มเยาะ
ณ บ้านพักหลังงามใจกลางเมืองของเสี่ยวหลง ในตอนนี้ตัวของเขากำลังวุ่นอยู่กับเอกสารข้อมูลบนโต๊ะทำงานของเขาในห้อง ซึ่งนั่นคือภาพกล้องวงจรปิดจากทั่วเมือง และไม่นานนัก คนใช้คนหนึ่งก็เดินมาหาเขา แล้วมาพูดอะไรบางอย่างกับเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณหลงคะ คุณอัญชันมาขอพบค่ะ”
“ให้เข้ามาได้เลยครับ” เสี่ยวหลงตอบไป จากนั้นตัวของคนใช้ก็เดินออกไปด้านนอก และไม่นานนัก ตัวของอัญชันก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว โดยที่เสี่ยวหลงก็ทักทายเธอไป
“ขอโทษนะอัญชัน ไม่ได้ออกไปรับเธอเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก นายกำลังทำอะไรอยู่หล่ะ??” อัญชันถามไป
“อ้อ กำลังตามหาตัวอากิระอยู่หน่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“โห นายนี่ไม่ตายไม่เลิกจริงๆ รู้เลยว่านายรัก..” อัญชันพูดยังไม่ทันจบ
“ก็ฉันเป็นห่วงหมอนั่นนี่ ฉันเชื่อว่าหมอนั่นยังไม่ตาย” เสี่ยวหลงพูดอย่างหนักแน่น
“จ้าๆ ฉันเข้าใจ ฉันเองก็อยากทำอะไรให้หมอนั่นกินเหมือนกัน” อัญชันพูดขึ้น
“อืม ว่าแต่ เธอมีอะไรหรือเปล่าอ่ะ??” เสี่ยวหลงถามไป
“เฮ้อ ช่วงนี้มีไอ้พวกบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาป้วนเปี้ยนที่ร้านฉันอยู่บ่อยๆหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“ห่ะ จริงเหรอ ต้องเป็นไอ้พวกนั้นแน่ๆ ฉันจะบอกป๊าให้ส่งคนไปดูร้านให้นะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ไม่รู้สิ ฉันกลัวว่ามันจะทำอะไรรุนแรงหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“ถ้ามันแรงมาเราก็แรงไป ไม่มีทางเลือก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“เออใช่ ว่าแต่ นายเจออากิระบ้างหรือเปล่า??” อัญชันถามไป
“ฉันก็กำลังตามหาอยู่ เบาะแสบอกว่าเจออากิระที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง แต่ครั้งสุดท้ายที่เจอ เหมือนว่าจะเป็นโกดังหน่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น พร้อมกับแนบรูปพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งที่นั่นมีถุงลูกชิ้นปิ้งตกอยู่ด้วย ทำให้เสี่ยวหลงค่อนข้างมั่นใจ
“ยังจำได้เลย ที่กินลูกชิ้นปิ้งด้วยกันหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“นั่นสิ ฉันเห็นรูปนี้ ทำให้มั่นใจว่าเป็นเขา” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“นายไม่ส่งคนไปดูที่นั่นหล่ะ เผื่อจะได้เบาะแส” อัญชันออกความเห็นไป
“ฉันส่งไปแล้วหล่ะ คิดว่าไม่เกินเย็นพวกเขาคงจะส่งข่าวมาให้กับฉัน” เสี่ยวหลงพูดขึ้น จากนั้นอัญชันก็แตะไหล่ของเสี่ยวหลงไปเพื่อเป็นการปลอบใจไป
กลับมายังถ้ำของวิบัติ หลังจากที่ตัวของเขาถูกบุกรุกจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่หมายจะกำจัดเขา ตัวของเขาก็ยังคงติดต่อกับวิญญาณที่เขาส่งไปเป็นสายในกรุงเทพ และในขณะเดียวกันนั้น วิญญาณตัวหนึ่งก็เดินทางมาหาวิบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อมารายงานอะไรบางอย่างกับเขา
“ท่านวิบัติขอรับ!!”
“เออ มีเรื่องอันใดเร่งว่ามา??” วิบัติถามไป
“เพลานี้บรรดาผู้เกิดใหม่ได้รวมตัวกันเป็นกองกำลังเพื่อพร้อมรบกับองค์กรลับแล้วขอรับ”
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนพวกมันคงจะทำสงครามกันแล้วสินะ” วิบัติพูดขึ้น
“แล้วท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไปขอรับ พวกมันคงต้องส่งคนมาที่นี่เป็นแน่??” วิญญาณถามไป
“ข้าว่า ข้าคงต้องติดต่อกับพวกต่อต้านเสียหน่อยแล้วหล่ะ” วิบัติพูดขึ้น
“ท่านจักติดต่อกลุ่มใดขอรับ เพลานี้มีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ รวมถึงพวกของดันเต้ ซึ่งเพลานี้กำลังเตรียมการตอบโต้รัฐบาลอยู่ขอรับ”
“อืม ได้ยินมาว่าลูกชายของไอ้สส.ระยำนั่นโดนยิง นอนอยู่ในโรงหมอนี่เรื่องจริงหรือไม่??” วิบัติถามไป
“ใช่ขอรับ เพลานี้มันกำลังบาดเจ็บขอรับ”
“ดี ข้าจักติดต่อไปหาพวกของดันเต้เสียหน่อย ข้าใคร่อยากรู้ว่าพวกเขาเป็นเยี่ยงไร” วิบัติพูดขึ้น
“แล้วลูกชายไอ้สส.นั่น จักทำเยี่ยงไรขอรับ??”
“ข้าจักส่งนางโหงพรายไปเยี่ยมมันเสียหน่อย ให้มันไม่เป็นอันกินอันนอนเลย” วิบัติพูดขึ้น
“นังโหงพราย นี่ท่านจักใช้นางจริงหรือขอรับ??”
“แน่นอน ข้าจักทำให้ไอ้สส.นั่นได้รู้สำนึกเสีย ว่าแต่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดมันบังอาจมารุกรานกู??” วิบัติถามไป
“เราพยายามตามสืบอยู่ขอรับ แต่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับองค์กรลับขอรับ”
“อ้ายพวกต่างชาติสินะ ข้าจักต้อนรับพวกมันเสียหน่อย” วิบัติพูดพลางยิ้มมุมปากไป
ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านทองหล่อ ร้านราเมงซึ่งตั้งเพื่อรับลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา ในวันนั้นตัวของไคได้เดินเข้าไปในร้าน จากนั้นก็ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น
“ขอโทษนะคะ ขอราเมงพิเศษชามหนึ่งค่ะ!!”
ตัวของพนักงานเสิร์ฟได้จดเมนู จากนั้นก็เอาไปให้พ่อครัว ตัวของไคนั่งอยู่ที่เก้าอี้เหมือนว่าจะรอใครซักคน และในตอนนั้น จู่ๆ รายการข่าวก็ดังขึ้นมาจากทีวีของร้านอย่างรวดเร็ว
“มีข่าวด่วนแจ้งมาค่ะว่าที่สยามพารากอน นางสาวพัตติยา ไอดอลสาวชื่อดังถูกพยายามฆ่า ในขณะที่กำลังออกอีเว้นท์ ในขณะนี้ทางตำรวจได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์แล้ว ในที่เกิดเหตุ มีคนมาช่วยพาตัวของเธอหนีไป..”
ในขณะที่ไคนั่งฟังข่าวอยู่ ราเมงของเธอก็มาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
“ราเมงได้แล้วค่ะ!!”
“ขอบคุณมากค่ะ” ไคพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็นั่งทานราเมงไปพร้อมกับฟังข่าวไปด้วย
“รายงานล่าสุดพบว่ามีชายคนหนึ่งมาช่วยเธอเอาไว้ จากคลิปที่มีประชาชนแถวนั้นแอบถ่ายเอาไว้ พบว่ามีชายคนหนึ่งมาช่วยคุณพัตติยาเอาไว้ เขาถูกกระหน่ำยิงแต่ก็แทบจะไม่เป็นอะไรเลย เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากค่ะ ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังไม่เจอชายปริศนาคนนั้นรวมถึงคุณพัตติยา แต่เราตำรวจกำลังระดมกำลังเพื่อค้นหาต่อไป...”
“คุณเกเบรียล??”
ตัวของไคพูดขึ้น จากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ควักเอาเงิน 300 วางไว้ที่ชามราเมง จากนั้นตัวของไคก็รีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว โดยที่พนักงานเสิร์ฟก็ได้มาเก็บเงินนั้นไป
กลับมายังบ้านพักของอีสครินน่า ในวันนั้นตัวของเธอก็ยังคงนั่งทำอาหารอยู่ด้านในบ้านของเธอ ในวันนี้เธอทอดปลานิลกิน เธอค่อยๆหย่อนปลาลงไปในกระทะที่เต็มไปด้วยน้ำมันร้อน จากนั้นก็ค่อยๆทอดมันอย่างบรรจง แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูอิสก็เดินเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเธอ
“คุณอีสครินน่าครับ วันนี้คุณพัตติยาถูกลอบยิงครับ”
“ห่ะ อะไรนะ โดนยิงงั้นเหรอ??” อีสครินน่าถามและวางตะหลิวไปด้วย
“เธอไม่เป็นอะไรครับ เพราะมีคนมาช่วยเธอไว้ทัน”
“บ้าเอ้ย มันฝีมือใครกันนะ??” อีสครินน่าถามในขณะที่กลับมาถือตะหลิวเพื่อทอดปลาไป
“ตอนนี้เรากำลังตามสืบอยู่ครับ”
“เอาเถอะ ว่าแต่ เรื่องกลุ่มต่อต้านในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง??” อีสครินน่าถามไป
“เท่าที่ได้ความคืบหน้า ตอนนี้มีอยู่ 4 กลุ่มที่กำลังเตรียมตอบโต้รัฐบาลครับ”
“อืม ว่าแต่พอจะมีวี่แววคนที่เราตามหาอยู่หรือเปล่าหล่ะ??” อีสครินน่าถามไป
“ไม่มีวี่แววเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกชั้นต่ำหน่ะครับ”
“แล้วนี่ มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกหรือเปล่า??” อีสครินน่าถามไป
“มีข่าวยืนยันมาว่าพวก UNASO กำลังเดินทางมาที่นี่ และคริสเตียลมาเองเลยครับ”
“ห่ะ จริงเหรอ งานนี้กรุงเทพได้แตกเป็นเสี่ยงๆแน่ๆ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“นั่นสิครับ เพราะถ้าเขามา รับรองว่าเละกันหมดแน่ ดูอย่างที่เวเนซูเอล่าสิครับ” ลูอิสพูดไป
“ถ้าเป็นไปได้ นายรีบไปเตือนกองกำลังกลุ่มต่างๆโดยด่วนเลย ว่าให้พวกเขาระวังตัวให้มาก” อีสครินน่าพูดขึ้น
“รับทราบครับผม”
“แล้วอีกเรื่อง กลับมาอย่าลืมมากินข้าวด้วยหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้นพลางยกเอาปลานิลที่ทอดเสร็จแล้วขึ้นมาจากกระทะ ตัวของลูอิสก้มหัวลงเล็กน้อยจากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ณ เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ตัวของคิฮาระได้เดินตามเซนที่กำลังหลบหนีตำรวจอยู่เพื่อไปหาที่กบดานใหม่ และในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกันอยู่นั้น คิฮาระก็เดินมาคุยกับเซนด้วยเพื่อแก้เบื่อ
“นี่ นายหน่ะ จะไปที่ไหนงั้นเหรอ??” คิฮาระถามไป
“ฉันจะไปกบดานที่คอนโดที่ฉันซื้อไว้หน่ะ” เซนพูดขึ้น
“ว่าแต่ ทำไมตำรวจพวกนั้นต้องตามล่านายด้วยหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ก็ฉันมันมือปืน ตำรวจก็ต้องตามเป็นธรรมดา” เซนพูดขึ้น
“งั้นเหรอ แล้วนายไปฆ่าใครมาหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ก็แค่ลูกนักการเมืองชั่ว ไม่มีอะไรมากหรอก” เซนตอบไป
“อ้อ แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าใครจ้างนายกัน??” คิฮาระถามไป
“เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครบอกเธอหรอกน่า” เซนพูดอย่างเซงๆ
“เอาเถอะ เราสองคนต่างก็หนีตำรวจเหมือนกัน เนอะ” คิฮาระพูดขึ้น
“แล้วเธอไปทำอะไรมา ตำรวจถึงตามตัวเธออย่างงั้น??” เซนถามไป
“ฉันก็ฆ่าคนเหมือนเธอนั่นแหละ แต่ไอ้พวกที่ฉันฆ่ามันเป็นพวกเหลือขอทั้งนั้น” คิฮาระพูดขึ้น
“ไม่ต้องบอกฉันหรอก ฉันพอเข้าใจ” เซนพูดขึ้น จากนั้นเมื่อพวกเขาทั้งคู่เดินมาถึงอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง พวกเขาก็เดินเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เดินไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว
“หวัดดี เอากี่ห้องดี??”
“ห้อง อ่า...” เซนยังไม่ทันพูด คิฮาระก็พูดขึ้นมาก่อน
“ห้องเดียวค่ะ ขอห้องเดียวค่ะ”
“อ้อๆ งั้นเหรอ ก็ดี แล้วอีกเรื่อง ถ้าจะมาโจ๊ะกัน อย่าเสียงดังจนรบกวนห้องข้างๆหล่ะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ผมซื้อห้องเอาไว้ ห้องนี้” เซนพูดขึ้น จากนั้นก็เอานามบัตรวางไว้ เมื่อชายคนนั้นเห็นนามบัตร ก็เอากุญแจห้องให้กับเซนไป จากนั้นเซนก็หยิบมันมาในทันที จากนั้นก็เดินขึ้นลิฟท์ในทันที โดยที่คิฮาระก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเหมือนโรงแรมม่านรูดเลยนะ” คิฮาระพูดขึ้น
“ไม่ต้องคิดอะไรหรอก ฉันไม่ยุ่งกับเธอแน่” เซนพูดแบบเซงๆไป
ณ ห้องพักรักษาตัวของนายแสน ลูกชายสส.สุรสิงห์ ในระหว่างที่ตัวของเขากำลังนอนพักฟื้นอยู่ โดยที่บรรดาเพื่อนๆของเขาคอยเฝ้าไว้ด้วย พยาบาลก็เอาอาหารกลางวันมาให้กับเขาอย่างรวดเร็ว
“อาหารกลางวันมาแล้วค่ะ!!”
พยาบาลคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็วางอาหารไว้ให้กับเขา แต่เมื่อนายแสนมองไปบนจาน ตัวของเขาก็ปัดจานทิ้งลงไปกับพื้น ทำเอาเพื่อนของเขาถึงกับแปลกใจ
“เฮ้ย อะไรของมึงวะไอ้แสน??”
“มีหนอนเต็มจานเลย พวกมึงไม่เห็นเหรอ??” นายแสนตะโกนออกมา บรรดาเพื่อนๆและนางพยาบาลต่างไปดูอาหารในจาน แต่ก็ไม่เห็นหนอนอะไรเลยแม้แต่ตัวเดียว
“หนอนอะไรของมึงวะ กูไม่เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว??” เพื่อนของเขาถามไป และในตอนนั้น ตัวของนายแสนก็รีบเอามือมาป้องกันตัวเองไว้ จากนั้นก็พูดขึ้น
“อย่า อย่าเข้ามา กลัวแล้ว!!”
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรวะ??” เพื่อนของเขาถามไปและพยายามไปดูนายแสน แต่นายแสนก็ยังคงตะโกนโหวกเหวกไปมา
“ออกไป อย่าเข้ามา กลัวแล้ว!!”
“พยาบาลครับ เรียกหมอมาเร็วครับ!!” เพื่อนของนายแสนพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก พยาบาลก็ไปเรียกหมออย่างรวดเร็ว และไม่นาน หมอก็รีบเข้ามาในห้องพักของลูกชายสส. อย่างรวดเร็ว เพื่อนของนายแสนเดินออกมาด้านนอก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โทรไปที่ไหนซักแห่ง
“ฮัลโหลครับ คุณพ่อครับ ลูกคุณตอนนี้เริ่มจะมีอาการหลอนแล้ว ผมว่าเขาน่าจะโดนเล่นงานครับ”
“งั้นเหรอ เอาไว้ฉันจะจัดการเอง พวกแกเฝ้าลูกฉันเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
“รับทราบครับผม” เพื่อนของนายแสนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็วางสายไป
กลับมายังค่ายของดันเต้ ในตอนนี้ก็เป็นช่วงยามเย็นแล้ว พวกเขาคนอื่นๆแยกย้ายกันไปพักผ่อนกันแต่ละจุด นาวินในตอนนั้นที่เพิ่งจะทดสอบชุดเกราะของเขาเรียบร้อยแล้ว ตัวของเขาก็เดินไปเยี่ยมคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว คนแรกที่นาวินไปเยี่ยมคืออากิระ ซึ่งในตอนนั้นตัวของอากิระกำลังซ้อมยิงเป้าอย่างแข็งขัน กระสุนทุกนัดของเขาไม่พลาดเป้าเลย
“ยิงได้ดีนี่ไอ้หนุ่ม!!” นาวินพูดขึ้น
“เรียกฉันไอ้หนุ่มได้ไง หน้านายอ่อนกว่าฉันอีก??” อากิระถามไป
“ก็อย่างที่บอก ฉันมันอยู่มานานแล้ว ฉันรู้ว่านายยังไม่ไว้ใจคนที่นี่ แต่นายก็ต้องปรับตัวหน่อย” นาวินพูดพลางแตะไหล่เขาไป
“เอาเถอะ ถ้านายรู้ว่าฉันผ่านอะไรมาบ้างนายจะไม่พูดแบบนี้เลย” อากิระพูดขึ้นพลางเก็บปืนของเขาไป
“อืม ฉันว่าฉันอาจจะเข้าใจก็ได้ เอาไว้นายพร้อมกว่านี้ก่อนก็แล้วกัน” นาวินพูดขึ้น
“แล้วนายจะเอายังไงต่อหล่ะกับเรื่องนี้??” อากิระถามนาวินไป
“ก็แก้แค้นทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สิ” นาวินตอบกลับไป
“เหมือนกัน เอาเป็นว่าฉันขอทำอะไรของฉันหน่อยก็แล้วกัน” อากิระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ชักปืนออกมาแล้วเล็งยิงเป้าเคลื่อนที่ต่อ
“เอาไว้ถ้าอยากจะพูดก็พูดแล้วกัน” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของนาวินก็เดินไปเยี่ยมคนอื่นต่อ คนต่อไปคือฮารุ ซึ่งดูเหมือนเธอกำลังเพลิดเพลินกับชุดเกราะของเธออย่างมาก
“คุณฮารุ เป็นยังไงบ้างครับ??”
“ชุดเกราะนี้มันดีมากเลย แต่มันก็ต้องชาร์จไฟหน่อยสำหรับการใช้งาน แต่ฉันก็ชอบนะ” ฮารุพูดขึ้นพลางเก็บดาบไฟของเธอไป
“ว่าแต่ คุณเป็นอะไรตายอย่างงั้นเหรอ??” นาวินถามฮารุไป ในตอนนั้นฮารุก็ถึงกับถอนหายใจไปเลย
“เอาเถอะ ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะครับ” นาวินพูดขึ้น
“แบบว่า ครั้งหนึ่งเคยมีโจรมาปล้นบ้านฉัน พ่อแม่ฉันตายหมด ฉันเกิดอารมณ์ชั่ววูบ เลยชักปืนลูกโม่ของฉันออกมาแล้วยิงตัวเอง กะว่าจะให้ตายๆไปซะ แต่สุดท้าย ฉันก็มาอยู่ที่นี่” ฮารุพูดขึ้น
“แล้วไอ้โจรพวกนั้นหล่ะ คุณทำยังไงกับมัน??” นาวินถามไป
“ฉันจัดการพวกมันไปแล้ว สู่สุขคติ” ฮารุตอบกลับไป
“อืม ก็ดีแล้วหล่ะ ถ้าเธอไม่ฆ่าพวกมันสิแปลก” นาวินตอบไป
“นั่นสินะ ส่วนคุณ ฉันว่าคุณคงมีปัญหาเหมือนฉันแน่ๆ” ฮารุพูดขึ้น
“ปัญหาของผมมันมีเยอะหน่ะ เอาเถอะครับ ยังไงก็ตามสบายนะครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินไปหาคนอื่นต่อ ซึ่งคนต่อไปก็คือเวียน ซึ่งในตอนนั้นเวียนก็นั่งพักอยู่แถวนั้น และเมื่อนาวินเข้าไปใกล้ เธอก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อ้าว คุณวิน เป็นยังไงบ้างคะ??”
“อ้อ ผมแค่มาเยี่ยมเฉยๆหน่ะ คุณอยู่ที่นี่สบายดีนะ??” นาวินถามกลับไป
“ค่ะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่เป็นอยู่ ฉันว่าตอนนี้ยังดีกว่าตอนฉันมีชีวิตอยู่ตั้งเยอะเลย” เวียนพูดขึ้น
“ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ??” นาวินถามไป
“คุณรู้หรือเปล่า ความจริงฉันชื่อฮยอน ดูจากภายนอก ใครๆก็มองว่าฉันมีพร้อมทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วพ่อฉันขี้เมา ทำร้ายแม่ฉันจนตาย ฉันวางยาคนในงานจนหมด พอย้ายมาเมืองไทย ก็โดนไอ้บก.บ้าคนนั้นเอาเปรียบอีก ฉันเลยฆ่ามันแล้วเอาสำนักพิมพ์นั่นมา พวกมันทุกคนสมควรตาย” เวียนพูดขึ้น
“ผมเข้าใจ ทุกคนมีเหตุผลส่วนตัวทั้งนั้น” นาวินพูดขึ้น
“แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าฉันไม่เชื่อใจผู้ชายคนไหนเลยในรอบหลายปีมา ยกเว้นคุณ ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกแบบว่าบอกไม่ถูกเลย” เวียนพูดขึ้น
“ถ้างั้นก็ยังไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ เอาไว้คุณพร้อม คุณค่อยบอกผมก็แล้วกัน” นาวินพูดขึ้นจากนั้นก็เดินออกไป เวียนที่เห็นในตอนนั้นก็ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านหลังและแอบยิ้มให้เขา
นาวินเดินไปหาคนอื่นต่อ ซึ่งคนต่อไปก็คือภาภิน ในตอนนั้นตัวของภาภินก็งีบอยู่บนเก้าอี้ของเขา นาวินเดินเข้าไปใกล้ และไม่นาน หมอนั่นก็ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำเอานาวินถึงกับแปลกใจ
“อ้าว พี่วิน ผมหลับไปนานแค่ไหนครับเนี่ย??”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่ ใช้สมองไปเยอะสิท่า” นาวินพูดแซวไป
“ก็นิดหน่อยหน่ะพี่ มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ดี” ภาภินตอบไป
“แล้วไปไงมาไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้หล่ะ??” นาวินถามไป
“เรื่องมันยาวนิดนึงนะพี่ เคยมีครอบครัวหนึ่งมารับไปเลี้ยง จากไอ้พ่อขี้เมานั่นที่พยายามจะฆ่าผม ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ในวันนั้น บ้านผมไฟไหม้ ผมไปช่วยแม่ไว้ไม่ทัน เลยคิดว่าจะเผาตัวเองตายตาม แต่สุดท้ายก็ฟื้นขึ้นมาแบบงงๆ ผมมารู้ว่าสามารถของตัวเองไม่นานหลังจากนั้น” ภาภินพูดขึ้น
“แล้วศพของแม่นายอยู่ที่ไหนหล่ะ??” นาวินถามไป
“อยู่ที่บุรีรัมย์ครับ หลังจบเรื่องนี้ ผมอยากไปเยี่ยมแม่ครับ” ภาภินพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง มันต้องจบแน่ๆ” นาวินพูดขึ้นพลางแตะไหล่ภาภินไป
“ขอบคุณมากนะพี่ที่เป็นห่วงผม”
“ช่างเถอะ นายไปพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า” นาวินบอกเขาไป จากนั้นก็แตะไหล่ของเขาอีกครั้งแล้วเดินไปทางอื่นบ้าง นาวินเดินไปหาคนอื่นๆ แต่ในตอนนั้น ตัวของเขาก็เจอนายลืมกำลังนั่งกอดเข่าอยู่แถวนั้น ตัวของนาวินเลยเดินไปคุยกับเขาในทันที
“นี่ นายลืมใช่หรือเปล่า??”
“เอ๊ะ ผมชื่อนั้นเหรอ แต่ชื่อผมคืออะไรกันนะ??” นายลืมพูดขึ้นพลางทำท่านึกคิดไป
“ฉันขอยืมกล้องนั่นหน่อยสิ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นายลืมคนนั้นก็ยื่นกล้องที่เสียบกับสายกับที่ครอบหัวของเขา จากนั้นก็เล็งกล้องนั้นถ่ายไปยังนายลืมในทันที
“แชะ!!”
นาวินถ่ายรูปเสร็จ จากนั้นไม่นานรูปก็ออกมาจากกล้องอย่างรวดเร็ว นาวินเอารูปนั้นออกมาให้กับนายลืมดู มันเป็นรูปนายลืมซึ่งกำลังใส่ชุดนักเรียนอยู่ นายลืมเห็นดังนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น
“หู้ว ผมเคยเรียนหนังสือด้วยแหะ!!”
“อืม แสดงว่านายน่าจะเรียนเก่งนะเนี่ย” นาวินพูดขึ้น
“ผมก็ว่างั้น ผมชอบเรียนนะ แต่เสียดายที่บ้านดันมามีปัญหา” นายลืมพูดขึ้น
“อืม ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่าขอให้ความจำกลับมาเร็วๆหล่ะ” นาวินพูดขึ้นจากนั้นก็วางกล้องคืนให้กับนายลืม จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณครับพี่!!” นายลืมตะโกนออกมา นาวินเดินไปเยี่ยมคนอื่นต่อ ตัวของนาวินเดินไปหาโจไซอาห์ที่กำลังนั่งพักอยู่ที่ตรงที่นั่งแถวนั้น ตัวของนาวินลองเดินไปคุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณนะครับเรื่องที่เมืองจีนหน่ะครับ” นาวินพูดกับโจไซอาห์
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เรื่องบังเอิญหน่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ว่าแต่ คุณเป็นคนที่ไหน มาเมืองไทยได้ยังไงครับ??” นาวินถามไป
“ผมมาจากรัสเซีย ผมฆ่าพวกโจรชั่วนั่นหลังจากที่พวกมันมาฆ่าครอบครัวผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ตายซะอย่างงั้น ผมมาเมืองไทย เพื่อตามหาใครบางคนหน่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น
“คุณกำลังตามหาใครอยู่ คุณอินเนสซ่าเหรอครับ??” นาวินถามไป
“ผมไม่รู้ ผมเองก็ยังหาคำตอบอยู่” โจไซอาห์ตอบไป
“คุณรู้หรือเปล่า ตามความเชื่อของคนไทย ครุฑกับนาคอยู่ด้วยกันไม่ได้” นาวินพูดขึ้น
“เฮ้อ ผมก็ไม่ได้เชื่ออะไรอยู่แล้ว” โจไซอาห์พูดขึ้น นาวินได้ยินดังนั้นจึงแอบยิ้มไป
“เอาเถอะครับ บางทีผมอาจจะคิดผิดก็ได้ ถ้าอย่างงั้นผมขอตัวนะครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินไปเยี่ยมคนอื่นต่ออย่างรวดเร็ว โดยที่คนต่อไปที่เขาไปหาคือลาลิน เด็กสาวซึ่งกำลังนอนพักอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง ลาลินเห็นนาวินเลยลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว
“อ้าว พี่วินคะ!!”
“อืม ดูท่าเราจะเหนื่อยๆนะวันนี้” นาวินบอกกับลาลินไป
“อ้อ คุณดันเต้สกัดพลังออกฉันออกมาเป็นระเบิดหน่ะ คุณดันเต้เขาเก่งมากเลยนะคะ” ลาลินพูดขึ้น
“นั่นสิ ว่าแต่ เราดูเด็กมาก แล้วเราไปยังไงมายังไงหล่ะ??” นาวินถามไป
“หนูแค่ตายแทนพ่อหน่ะค่ะ แม่เลี้ยงของหนูมันวางยาพิษไว้ในเค้ก มันกะจะฆ่าพ่อหนู แต่หนูก็ไม่ตายอย่างที่คิด ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงคนนั้นจะเป็นยังไงเหมือนกันค่ะ” ลาลินพูดขึ้น
“จะว่าไป เรื่องแม่เลี้ยงพี่ก็มีเหมือนกัน แต่มันซับซ้อนนิดหน่อยหน่ะ” นาวินพูดขึ้น
“ทำไมเหรอคะ แม่เลี้ยงของพี่ทำอะไรพี่เหรอคะ??” ลาลินถามไป
“อย่าให้พูดเลย ทุกวันนี้พี่ยังเจ็บใจไม่หาย” นาวินพูดขึ้นพลางถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรนะคะพี่??”
“พี่ไม่เป็นไรหรอก เราพักผ่อนเถอะนะ” นาวินพูดขึ้นพลางเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ลาลินยังไม่ทันจะถามอะไรไป นาวินเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปพบกับลันโทสและซีโร่ที่กำลังติดต่อกับใครบางคนทางวิทยุสื่อสาร และไม่นานนักเมื่อนาวินมาถึง ลันโทสกับซีโร่ก็หันมาคุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“พวกนายสองคน เป็นยังไงบ้างหล่ะ ทำอะไรกันอยู่??” นาวินถามไป
“อ้อ ตอนนี้ผมติดต่อกับกลุ่มผู้เกิดใหม่คนอื่นๆ เตือนว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนตอนนี้พวกเขาจะเตรียมพร้อมกันแล้วหล่ะ” ลันโทสพูดขึ้น
“ครับ ผมว่าบางทีเราคงต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วยหล่ะ” นาวินพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงครับ พวกเขาพร้อมจะช่วยเราอยู่แล้วครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“ว่าแต่ คุณลันโทสมาจากไหนกันครับ??” นาวินถามไป
“ผมเป็นชาวฮังการี ผมเคยรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนปฏิวัติฮังการีก็ด้วย ผมมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้เกิดใหม่ที่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วก็หมอนี่ ซีโร่ เขาเคยเป็นหุ่นแอนดรอยด์สังหารขององค์กรลับ แต่เขาเกิดมีสำนึกของมนุษย์ขึ้นมา เขาเลยมาเข้าร่วมกับผมหน่ะ” ลันโทสพูดขึ้น
“อืม น่าฉงนดีแท้ โลกนี้มันล้ำหน้าจนผมแทบจะไม่เข้าใจแล้ว” นาวินพูดขึ้น
“ผมเองก็แทบจะไม่เข้าใจเหมือนกันครับในตอนนี้” ลันโทสพูดขึ้น
“ผมช่วยด้วยความเต็มใจหน่ะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“อืม ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้เราคงต้องอยู่เพื่อกันและกัน” นาวินพูดขึ้น
“แน่นอนครับ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบแน่” ลันโทสพูดขึ้น
“ยังไงก็ต้องรอดูต่อไปหน่ะครับ ตามสบายนะครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปในทันที เขาเดินไปหาคนอื่นต่อบ้าง นาวินเดินไปในขณะที่จู่ๆ โลร็องต์ก็เผลอหยุดอยู่ตรงหน้านาวิน ทำเอานาวินถึงกับตกใจ และลูโดวิกก็ตามโลร็องต์มาติดๆ
“โห เกือบชนแล้วมั้ยหล่ะไอ้บ้าเอ้ย??” ลูโดวิกตะโกนเอ็ดโลร็องต์ไป
“อ่า ไม่เป็นไรหรอก ดูเหมือนว่าพวกนายจะชอบของเล่นใหม่นะ” นาวินพูดขึ้น
“ก็นิดหน่อยหน่ะพี่ ต้องขอโทษด้วยนะพี่!!” โลร็องต์พูดขึ้น
“อืม เอาเถอะ ว่าแต่พวกนายสองคนมาจากไหนกันหล่ะ??” นาวินถามไป
“พวกเรามาจากฝรั่งเศส ครอบครัวพวกเราเป็นขุนนางที่โดนพวกอื่นใส่ร้าย สุดท้ายตระกูลของเราก็เหลือแค่เราสองคน พวกเราสองคนเคยเข้าร่วมกับการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วยนะครับ” ลุโดวิกพูดขึ้น
“ใช่แล้ว พวกเราสองคนนี่ตัวเจ็บเลย พวกเราท่องโลกไปทั่ว แต่พวกเราชอบเมืองไทยมากๆเลย” โลร็องต์พูดขึ้น
“อ้อๆ ก็ดีแล้วหล่ะครับ อุปกรณ์ดี แต่ยังไงก็ต้องฝึกฝนไว้นะครับ” นาวินพูดขึ้น
“นั่นสิครับ แต่ชุดของคุณก็เท่มากเลยนะครับเนี่ย” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ใช่เลยพี่ ผมเห็นแล้วยังอยากได้เลย” โลร็องต์พูดเสริม
“อืม ก็ดีแล้วครับ ยังไงก็ตามสบายนะครับ” นาวินบอกทั้งสองคนไป จากนั้นก็เดินไปหาคนอื่นบ้าง ซึ่งในตอนนั้นนาวินก็ไปเห็นลุ้นกำลังนั่งสับไพ่อยู่แถวนั้น ตัวของนาวินเดินไปหานายลุ้นอย่างรวดเร็วเพื่อไปคุยด้วย
“ว่าไง นั่งสับไพ่อยู่เลยเหรอ??”
“ใช่พี่ ให้ผมลองดูไพ่ให้พี่ดีมั้ยพี่??” ลุ้นถามไป จากนั้นตัวของเขาก็ใส่ไพ่เข้าไปในที่เก็บไพ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเขาก้หยิบไพ่ขึ้นมาใบหนึ่ง จากนั้นไพ่ก็ออกมาเป็น
“CONFUSED!!”
“อืม แปลกๆแหะ เหมือนว่าพี่มีเรื่องสับสนในใจ ปกติไพ่นี้ผมใช้มันเพื่อทำให้ศัตรูสับสนจนโจมตีไม่ถูกนะ??” นายลุ้นพูดขึ้น
“เฮ้อ ดูเหมือนว่ามันก็ทำนายถูกนะ ว่าแต่นายชอบมันมาตั้งแต่เด็กๆเลยเหรอ??” นาวินถามไป
“ก็นะ จะเอาอะไรกับลูกเจ้าของบ่อนหล่ะพี่ ตอนตายก็ต้องฆ่าตัวตายเพื่อหนี้หนี แต่สุดท้าย ไม่ตาย ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่หน่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“อืม ความจริงฉันไม่ค่อยชอบการพนันเท่าไหร่ โจรปล้นยังเหลือบ้าน ไฟไหม้ยังเหลือแผ่นดิน แต่การพนันมันกัดกินจนไม่เหลืออะไรเลย” นาวินพูดขึ้น
“ก็จริงนะพี่ มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่หวังรวยจากการพนัน ฮ่าๆๆๆ” นายลุ้นพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ขอบใจมากนะที่ดูดวงให้” นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็แตะไหล่ของนายลุ้นไป จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็เดินออกไป ตัวของนาวินเดินต่อไปเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน เขาก็พบกับอินเนสซ่าที่กำลังนั่งพักอยู่ที่ริมกำแพงแถวนั้น ตัวของนาวินรีบไปคุยกับเธออย่างรวดเร็ว
“คุณอินเนสซ่าครับ”
“อ้าว คุณวิน เป็นยังไงบ้างคะ??” อินเนสซ่าถามไป
“ก็ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แล้วคุณหล่ะครับเป็นยังไงบ้าง??” นาวินถามไป
“ก็นิดหน่อยค่ะ ที่บ้านคงกำลังตามหาฉันกันให้วุ่น” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“อ้าว แล้วคุณมาจากไหนกันหล่ะครับ??” นาวินถามไป
“นายรู้จักตระกูลกาลีน่าหรือเปล่า??” อินเนสซ่าถามไป
“เคยนะครับ มันเป็นตระกูลใหญ่มาก มีอิทธิพลระดับต้นๆเลย” นาวินพูดขึ้น
“คิดดูสิ ขนาดระดับฉันยังไม่รอดเลย แต่เอาเถอะ ฉันไม่กลัวพวกมันหรอก” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“อืม ถ้าคุณไม่กลัวก็ดีแล้วหล่ะครับ” นาวินพูดขึ้น
“ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆนะคะที่ช่วยฉัน” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ครับผม ต้องของคุณคุณดันเต้มากกว่า ผมขอตัวก่อนนะครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เขาเดินไปเจอกับดันเต้ซึ่งกำลังนั่งทดลองอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะของเขา นาวินรีบไปคุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณดันเต้ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพวกเรา” นาวินพูดขึ้น
“ครับผม ผมบินดีอยู่แล้ว” ดันเต้พูดขึ้น
“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงมาช่วยผู้เกิดใหม่อย่างพวกเราหล่ะครับ??” นาวินถามไป
“ผมทำตามเจตนารมณ์ของเพื่อนผม รุ่นน้องผมเขาเป็นคนไทยนะ แต่เราสองคนถูกตามล่าโดยองค์กรลับ ฉันยังจำชื่อของไอ้รูกี้ เล็กจ์ได้เลย เราถูกตามล่าเพียงแค่รู้เรื่องที่เราไม่ควรจะรู้” ดันเต้พูดขึ้น
“ผมเข้าใจ ไอ้หมอนี่ก็เกือบจัดการผมได้ที่เมืองจีนเหมือนกัน” นาวินพูดขึ้น
“นับแต่วันนั้น ผมเลยศึกษาเรื่องของผู้เกิดใหม่บนโลกนี้ ผมเลยรู้พลังของพวกคุณยังไงหล่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“ตอนนี้เราคงต้องกบดานไปก่อน รอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ซีโร่ก็วิ่งมานาวินกับดันเต้อย่างรวดเร็ว แล้วมาคุยอะไรบางอย่างกับเขา
“คุณนาวิน คุณดันเต้ เชิญทางนี้หน่อยครับ ทุกคนกำลังรออยู่ครับ!!”
ณ ห้องพักปริศนาห้องหนึ่ง ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยหอขนมมากมายซึ่งถูกทิ้งระเกะระกะไว้ รวมถึงชายผิวสีในชุดฮู้ดคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นเกมในเครื่อง PS5 อย่างดุเดือด และในขณะเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักเรียนญี่ปุ่นได้เปิดประตูเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว แล้วก็เดินไปหาชายผิวสีคนนั้นที่กำลังยุ่งอยู่กับเกมของเขา
“ที่รักขา ขออนุญาตค่ะ!!”
ชายผิวสีคนนั้นยังคงเล่นต่อ จนกระทั่งเขาเล่นมันจนจบอย่างรวดเร็ว
“VICTORY!!” หญิงสาวคนนั้นปรบมือให้ชายผิวสี ชายผิวสีคนนั้นวางจอยสติ๊กอย่างรวดเร็วและหยิบไอแพดเครื่องหนึ่งมา พิมพ์อะไรบางอย่างแล้วยื่นให้หญิงสาวได้ดูในทันที
“มีอะไรลีน่า??”
“มีคนจากแพนตากอนมาพบคุณค่ะ จะให้ฉันไล่มันกลับไปหรือเปล่าคะ??” ลีน่าถามไป แต่ชายคนนั้นส่ายหน้า และไม่นาน เธอก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และกลับมาพร้อมกับชายในชุดสูทสองคนซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่
“เชิญนั่ง!!” ลีน่าบอกกับสองคนนั้น จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งต่อหน้าชายผิวสีไป ชายผิวสีคนนั้นหยิบไอแพดมาแล้วพิมพ์ต่ออย่างรวดเร็ว
“พี่.. จะดีเหรอพี่??” ชายคนหนึ่งสะกิดถามคนข้างๆเขา จากนั้นชายผิวสีก็เอาข้อความให้ทั้งคู่ดู
“ไม่ต้องมากพิธี มีอะไรก็ว่ามา??”
“ครับ ทางแพนตากอนอยากให้คุณไปเมืองไทยในตอนนี้ เพื่อจัดการเรื่องผู้เกิดใหม่ครับ” ชายคนนั้นที่เป็นรุ่นพี่ตอบไป ชายผิวสีคนนั้นกอดอกไป และทำท่าส่ายหน้าอย่างกวนๆ ชายคนหนึ่งที่เป็นรุ่นน้องก็พูดขึ้น
“เฮ้ย นี่จะมากไปแล้วนะ!!” เขาตะโกนออกมา แต่ลีน่าก็ชักเอามีดคัตเตอร์ออกมาสองเล่มเพื่อจ่อคอของพวกเขาทั้งคู่ไว้ ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะชักปืนออกมา ชายผิวสีรีบพิมพ์ข้อความไปในทันที
“คุณเก็บปืนดีกว่า คุณสู้เธอไม่ได้หรอก”
“พวกแกกล้าเสียมารยาทต่อหน้าที่รักงั้นเหรอ??” ลีน่าตะโกนถามไป แต่ในตอนนั้น
“พอได้แล้วลีน่า!!” เสียงจากชายคนหนึ่งตะโกนออกมา จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องๆหนึ่ง มาหาเธออย่างรวดเร็ว
“อย่ายุ่งกับฉันน่าเดวิด” ลีน่าตะโกนออกไป
“เธอจะกล้าขัดคำสั่งเหรอ ไม่เอาน่า เก็บมีดเถอะ” เดวิดพูดขึ้น จากนั้นลีน่าจึงต้องเก็บมีดของเธออย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ชายผิวสีคนนั้นก็พิมพ์ไอแพดต่ออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้ทุกคนได้ดู
“ไม่ต้องห่วง คู่หูของฉันจะไปทำแทนก่อนเอง”
“อ่า แต่ว่า ถ้าฉันไป ใครจะ…” ยังไม่ทันที่ลีน่าจะพูดจบ ชายผิวสีคนนั้นก็หันมามองเธอต่อ เธอรู้ในทันทีว่ามันหมายความว่าอะไร เธอเลยรับคำแล้วก็นิ่งไป จากนั้นชายคนนั้นก็พิมพ์ต่อ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับพวกคุณ”
====================================================================
ชายปริศนาคนนั้นมีแผนการอะไรในใจกันแน่ และเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย
paypal.me/shinobinon paypal ของข้าพเจ้าเน้อ
ความคิดเห็น