ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Steel Dynasty - จักรวรรดิเหล็กยึดอำนาจ

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 2 : สวัสดี เว่ยตง!!

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 62


    ณ ชนบทแห่งหนึ่งในเขตเหอหนาน ประเทศจีน สภาพท้องนาที่แห้งแล้งและไร้ซึ่งฝนที่หยดลงจากฟ้า ทำให้ทุกอย่างในเขตเหอหนานถึงกับตกอยู่ในขั้นวิกฤต อาหารขาดแคลน ผู้คนอดอยาก แล้วก็เหมือนกับครอบครัวคนอื่นๆ เสี่ยวเย่ที่เพิ่งจะแบกฟืนและหาของป่าเสร็จก็รีบกลับมาที่บ้านในทันที แต่ภาพที่เขาเห็นมันกลับทำให้เขากลับทำให้เขาถึงกับทรุด เพราะพ่อและแม่ของเขาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็เริ่มจะไม่ไหวทุกที เสี่ยวเว่ยรีบไปดูอาการของพวกท่านทั้งคู่ในทันที

    “ท่านพ่อ ท่านแม่ เป็นยังไงบ้าง!!” เสี่ยวเว่ยไม่รอช้ารีบไปต้มน้ำแล้วรินน้ำใส่ถ้วยให้พ่อกับแม่ของเขาดื่มในทันที

    “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดื่มหน่อยนะครับ”

    “เสี่ยวเว่ย ตอนนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง ทำงานอะไรอยู่หล่ะ”

    “ช่วงนี้นาล่ม ทุกอย่างแล้งไปหมด ข้าว่าจะไปหางานทำในเมือง หาเงินมาซื้อยาให้ท่านแม่นะครับ”

    “ไม่ต้องหรอกลูก พ่อรู้ว่าพ่อคงเหลือเวลาอีกไม่นาน แต่เจ้าหน่ะสิ เจ้าจะต้องอยู่ต่อไป ไปเผชิญโลกกว้าง ขืนอยู่แต่ที่นี่ก็อดตายเปล่าๆ” พ่อของเขาพูดขึ้นในขณะที่ไอคอกแค่กไปด้วย

    “ไม่นะท่านพ่อ!! ข้าไม่มีวันทิ้งท่านเด็ดขาด”

    “แต่ถึงยังไง เราก็ต้องทิ้งเจ้าไปอยู่ดีเสี่ยวเว่ย เจ้าต้องเข้มแข็ง แม่เชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ แม่เชื่อในตัวเจ้า เพียงแต่เจ้าต้องเข้มแข็งกว่านี้ แม่จะคอยอวยพรเจ้าเองนะ”

    เสี่ยวเว่ยได้ยินก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ตรงนั้น และไม่กี่อึดใจในตอนนั้น พ่อและแม่ของเขาก็ได้สิ้นใจลงอยู่ข้างๆกัน ทำเอาเสี่ยวเว่ยถึงกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

    “ท่านพ่อ ท่านแม่”

    “อ๊า!!”

    เสี่ยวเว่ยร้องเสียงดัง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงไม้ไผ่ซึ่งมีชายแก่คนหนึ่งนอนอยู่แถวนั้น ในเวลาเช้ามืด ชายแก่คนนั้นตกใจมากจึงตื่นขึ้นมาในทันที

    “อ้าว นี่เจ้าฟื้นแล้วเหรอ” ชายแก่คนนั้นถามเสี่ยวเว่ยไป

    “อ่า ท่านลุง นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”

    “เจ้าลอยมาตามน้ำ ข้าเลยช่วยเจ้าไว้ แล้วเจ้าหล่ะเป็นใครกันหล่ะ”

    “ผมชื่อเสี่ยวเว่ย เป็นทหารหน่ะครับ”

    “ทหารงั้นเหรอ เจ้าเป็นทหารราชสำนักงั้นเหรอ” ชายแก่คนนั้นถามอย่างแปลกใจ

    “ไม่ๆๆ ข้าไม่ใช่ทหารราชสำนัก ข้าเกลียดพวกมันจะตาย”

    “งั้นเหรอ ข้าชื่อหนานจ๋าย ข้าอาศัยอยู่ที่เว่ยตงมานานแล้วหล่ะ” เสี่ยวเว่ยได้ยินคำว่าเว่ยตงจึงตกใจ แล้วถามเขาต่อในทันที

    “เดี๋ยวๆ ท่านลุง เว่ยตงมันแค่นิทาน ลุงเพ้อหรือเปล่าเนี่ย”

    “ไม่หรอก ที่นี่หน่ะเว่ยตง เจ้าคงเป็นคนนอกสินะ”

    เสี่ยวเว่ยได้ยินดังนั้นจึงแปลกใจ เขาคิดมาตลอดว่าเว่ยตงเป็นเพียงตำนานที่พ่อและแม่เขาเล่าให้ฟังเพื่อให้เขาหลับไปเฉยๆ และทันใดนั้นเอง หนานจ๋ายก็ลุกจากเตียงแล้วไปเอาอะไรบางอย่างที่บนโต๊ะ แล้วเอามาให้กับเสี่ยวเว่ยในทันที

    “นี่ใช่ของๆเจ้าหรือเปล่า เอาไปสิ”

    เสี่ยวเว่ยเห็นจึงตกใจ นั่นมันปืนประจำกายและปืนพกของเขา เขารีบหยิบมันมาตรวจสอบในทันทีว่ายังพอใช้การได้หรือเปล่า ปรากฏว่ามันยังใช้การได้ และยังคงเหลือกระสุนอยู่นิดหน่อย ทำเอาเขาโล่งใจมาก

    “นี่ๆ ปืนไฟของเจ้าไม่รู้จะใช้การได้หรือเปล่า โดนน้ำขนาดนั้น ดินปืนเสียหมดสิ”

    “นี่ คุณลุงครับ ปืนรุ่นใหม่ไม่ต้องกลัวน้ำหรอกครับ”

    “เอาเถอะๆ ข้าจะบอกเจ้าว่า วันนี้จะมีการชุมนุมของพวกชาวยุทธ์ เจ้าสนใจจะไปด้วยหรือเปล่า” ลุงหนานจ๋ายถามเสี่ยวเว่ยไป

    “ชุมนุมชาวยุทธ์ นี่สมัยนี่ยังมีจอมยุทธ์อยู่อีกเหรอครับลุง”

    “มีสิ ไหนๆก็ไหนแล้ว เจ้ารีบไปอาบน้ำซะ แล้วใส่ชุดที่ข้าเตรียมไว้ เราจะได้รีบไป”

    เสี่ยวเว่ยได้ยินดังนั้นจึงแปลกใจนิดหน่อย แต่เขาก็ยังประคองสติตัวเองเอาไว้ได้บ้าง เขารีบไปอาบน้ำที่ริมแม่น้ำในทันที สายน้ำที่ค่อนข้างเย็นทำเอาเสี่ยวเว่ยสบายตัวเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเขาก็ขึ้นจากน้ำแล้วใส่ชุดจอมยุทธ์สีขาวนั่นในทันที โดยที่เขาก็เหน็บปืนพกหนึ่งกระบอกที่เข็มขัดของเขา แล้วก็สะพายปืนยาวของเขาไปด้วย

    “นี่พ่อหนุ่ม เจ้าจะเอาปืนไฟนั่นไปด้วยเหรอ”

    “ใช่ครับลุง มีแบบนี้อุ่นใจกว่าหน่ะ” เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น

    “อ่านี่ เจ้าขี่ม้าเป็นหรือเปล่า เอาม้านี่ไปขี่ซะ” ลุงหนานจ๋ายไปพาม้าสองตัวมาให้กับเสี่ยวเว่ย ซึ่งเขาให้เสี่ยวเว่ยขี่ม้าตัวสีดำทะมึง ส่วนลุงหนานจ๋ายจะขี่ม้าสีขาวตัวงาม

    “เอาหล่ะ ตามข้ามา ข้าจะพาไปดูเว่ยตงเอง”

    ลุงหนานจ๋ายขี่ม้านำเสี่ยวเว่ยไปก่อน เสี่ยวเว่ยจึงต้องรีบเร่งม้าของเขาตามลุงหนานจ๋ายไปก่อนที่จะตามเขาไม่ทัน

     

    ณ ลานกว้างจิ่วเทียน ลานแห่งนี้มิได้มีแค่บรรดาพรรณไม้หลายชนิดที่ขึ้นแซมกัน มันยังมีวิหารโบราณ รูปปั้นหินสลักรูปสัตว์เทพในตำนานวางเรียงรายกันดูสวยงาม ซึ่งมันเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาจอมยุทธ์ทั้ง 7 สกุล ซึ่งบรรดาศิษย์แต่ละสำนักต่างมาชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น พวกเขาบางส่วนก็มีการคุยกันระหว่างสำนักไปด้วยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มารวมตัวกัน ก็มีการประกาศรวมตัวหัวหน้าสำนักในแต่ละสำนักทันที

    “บัดนี้ 7 สำนักได้มาชุมนุมกันแล้ว เราขอเชิญผู้นำทั้ง 7 สกุลมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อปรึกษาหารือกันในประจำเดือน”

    เมื่อสิ้นเสียงการประกาศ เหล่าบรรดาผู้นำของตระกูลแต่ละตระกูลพร้อมด้วยเหล่าทายาทก็มาคารวะแก่กันในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ

    “คารวะทุกท่าน ข้าดีใจที่ทุกท่านมา”

    “ท่านเจ๋ออี้ ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”

    “นั่นสิท่านจิงเชียง แล้วก็ท่านซื่อเฉิน ท่านข่งลู่ ท่านหมิงเจ้า ท่านหนีเอี๋ยน ท่านเหลียงซาน อ่ะ ท่านแม่เฒ่าเหออันก็มาด้วย”

    “ท่านเจ๋ออี้ ท่านยังดูสง่าเหมือนเดิมเลยนะ บรรดาลูกๆของเจ้าก็ด้วย” แม่เฒ่าเหออันได้พูดขึ้น

    “ข้าขอไม่พูดพร่ำทำเพลงเลยนะท่านเจ๋ออี้ ข้าอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขตของท่าน” ต้าหมิงเจ้ายิงคำถามใส่จินเจ๋ออี้ในทันที

    “อ่ะ เรามีผู้อพยพมาจากซ่านซีนับพันเข้ามายังเว่ยตงหน่ะ” เมื่อเจ๋ออี้พูดขึ้น พวกเขาถึงกับตกตะลึงแล้วทำอะไรไม่ถูก

    “พวกเขาหนีมาเพราะภัยแล้งหรือเปล่านะ” ข่งลู่เดาอย่างสงสัย

    “ไม่น่าใช่น่า ข้าว่าน่าจะพวกโจรมองโกลที่มันกำลังอาละวาดมากกว่า” หนีเอี๋ยนพูดแย้งไป

    “ไม่ใช่หรอกทุกท่าน พวกเขาอพยพมาจากทางใต้ ข้าสอบถามพวกเขา พวกเขาบอกว่าหนีจากภัยสงครามหน่ะ” จินปิงหลี่พูดขึ้น ทำเอาพวกเขาตกใจขึ้นไปอีก

    “ทหารหลวงชิงก่อสงครามอีกแล้วงั้นเหรอ” ซวงจี่ ภรรยาจิงเชียงถามอย่างแปลกใจ

    “คุณนายเจ้าคะ ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปนานแล้วนะคะ” จิงหวู่พูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่า พวกเขาอาจจะมาทางเราสินะ” จิงเชียงพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น เราคงต้องระดมกำลังปกป้องเว่ยตงสินะ” เหลียงซานพูดขึ้น

    “นี่ท่านพี่ จะทำสงครามมันต้องใช้อะไรเยอะนะคะ” บูเจ้า ภรรยาเหลียงซานพูดขัดไป

    “คนของข้าพร้อมจะรบเสมอ ไม่ต้องห่วงไปหรอก” หมิงเจ้าพูดขึ้น แต่จู่ในขณะเดียวกัน ม้าของผู้เฒ่าหนานจ๋ายที่เพิ่งจะพาเสี่ยวเว่ยมาด้วยก็ขี่เข้ามาในพิธี บรรดาเหล่าจอมยุทธ์ที่ได้เห็นเสี่ยวเว่ยในตอนนั้นก็พากันตกตะลึงว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แต่สิ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกันก็คืออาวุธของเขา ซึ่งไม่ใช่อาวุธที่พวกเขารู้จักเลย ทำเอาพวกเขาถึงกับแปลกใจมาก

    “นั่นลุงหนานจ๋ายมา เปิดทางให้ลุงเข้ามา”

    เหล่าบรรดาจอมยุทธ์ได้ยินดังนั้นจึงหลีกทางให้กับลุงหนานจ๋าย จากนั้นลุงหนานจ๋ายก็ลงจากม้าแล้วไปคารวะบรรดาผู้นำกลุ่มจอมยุทธ์ในทันที

    “คารวะท่านทั้งหลาย”

    “ท่านหนานจ๋าย นี่ท่านพาใครมาด้วยอย่างงั้นเหรอ” เหมยอี๋ ภรรยาซื่อเฉินถามอย่างสงสัย

    “เขาเป็นคนมาจากถิ่นอื่นหน่ะขอรับ แต่กระผมว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ มานี่สิพ่อหนุ่ม”

    เสี่ยวเว่ยลงจากม้าด้วยท่าทางกังๆเกๆไม่มั่นใจซักนิด เขามองซ้ายทีขวาทีในขณะที่เหล่าจอมยุทธ์คนอื่นๆต่างจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา โดยเฉพาะสายตาสองสายตาที่มองขวางเขา นั่นคือสายตาของหวังเหว่ยและซิ่วอิงที่มองเขาอย่างไม่ค่อยชอบใจซักเท่าไหร่ เสี่ยวเว่ยพยายามคารวะเหล่าบรรดาเจ้าสำนักต่างๆในทันที

    “อ่า คือ ข้าชื่อเสี่ยวเว่ย มาจากเหอหนาน กองทัพไคตงฟงครับ”

    “ไคตงฟง เจ้าพูดถึงใครกัน ข้าไม่รู้จักมาก่อนเลย” เหรินเฉิน ภรรยาหมิงเจ้าถามเสี่ยวเว่ยไป

    “เขาเป็นขุนศึกผู้ชั่วร้าย พวกเขาต้องการยึดทุกดินแดนที่พวกเขามาถึง พวกคุณควรเฝ้าระวังภัยเดี๋ยวนี้ พวกเขาอาจจะมาที่นี่ก็ได้” เมื่อเสี่ยวเว่ยพูดจบ ทุกคนต่างก็วิจารณ์กันอื้ออึ้งไปหมด แต่ในตอนนั้นเอง อึ๋งฉงก็ตะโกนขึ้นใส่หน้าเสี่ยวเว่ยในทันที

    “นี่เจ้าเอาอะไรมาพูด ไร้สาระทั้งนั้น ข้าว่าเจ้ามันพวกหลอกลวง เหมือนกับหอกประหลาดๆของเจ้านั่นแหละ”

    “ข้าไม่ได้พูดไร้สาระนะขอรับ นายพลไคตงฟงมีทั้งทหาร อาวุธ พวกเขายึดที่นี่ได้ในไม่กี่อึดใจ แล้วอีกอย่าง นี่ไม่ใช่หอกที่เจ้าว่า มันคืออาวุธของเหล่าทหารที่ท่านนายพลใช้ มันมีประสิทธิภาพมาก” เสี่ยวเว่ยพูดขึ้นพลางชูปืนยาวของเขาให้บรรดาจอมยุทธ์คนอื่นๆได้ดูในทันที

    “ข้าไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อนเลยท่านพี่” จีต้า ภรรยาข่งลู่พูดขึ้น

    “มันคือปืนประจำกายครับ มันมีอานุภาพร้ายแรงมาก ยิงออกมาได้ราวกับสายฟ้าฟาดครับ” เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น ทำเอาบรรดาเหล่าจอมยุทธ์แปลกใจกันใหญ่

    “มันจะซักแค่ไหนกันเชียวห่ะ มันก็เหมือนกับลูกธนูสำนักข่งนั่นแหละน่า มานี่ เจ้าลองยิงใส่ข้า ข้าจะใช้กระบี่ของข้าตัดมันเอง” อึ๋งฉงพูดออกมาโดยมีการเหยียดหยามสกุลข่งด้วย เสี่ยวเว่ยไม่รอช้าใส่กระสุนแล้วขึ้นลำปืนของเขาในทันที แล้วเล็งไปที่ขาของอึ๋งฉง

    “ทำไมเจ้าถึงเล็งไปที่ขาข้า แต่ก็เอาเถอะ ข้าจะตัดมันให้ดู” เมื่ออึ๋งฉงพูดจบ เสี่ยวเว่ยก็เหนี่ยวไกปืนในทันที

    “ปัง”

    เสียงปืนที่ดังออกมาทำเอาจอมยุทธ์บางคนถึงกับต้องปิดหู อึ๋งฉงที่เพิ่งจะใช้กระบี่ปัดลูกปืนในตอนนั้นคิดว่าเขาทำได้แล้ว แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บที่ขาของเขา อึ๋งฉงรีบดูที่ขาของเขา ก็พบว่าเป็นรูกระสุนขนาดใหญ่และเลือดไหลเป็นทาง ทำเอาเขาถึงกับลงไปนอนเจ็บปวดบนพื้น บรรดาศิษย์บางคนก็กลั้นหัวเราะไม่ไหว อิงฮวารีบไปดูอาการของอึ๋งฉงในทันที

    “ท่านพ่อ รีบพาท่านพี่ไปรักษาเถอะ” เจ๋ออี้เห็นดังนั้นจึงให้หมอไปรักษาเขาในทันทีก่อนที่เขาจะเป็นอะไร

    “นี่ เจ้ากล้าทำศิษย์ข้าได้อย่างงั้นเหรอ” ปิงหลี่พูดจากนั้นก็ชักกระบี่ออกมา แต่เสี่ยวเว่ยพูดขึ้นต่อ

    “พวกนายพลไคตงฟงมีอาวุธที่ดีกว่านี้มาก พวกท่านทุกคนรีบเตรียมตัวรับมือเขาเถอะครับ”

    “เฮ้อ ขนาดราชวงศ์ชิงล่มสลาย ภัยร้ายก็ยังไม่จบไม่สิ้น เห็นทีข้าคงตรอมใจแน่ๆ” แม่เฒ่าเหออันพูดขึ้นพลางถอนใจ

    “เอาหล่ะ เจ้าเสี่ยวเว่ย ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า เอาเป็นว่า เราต้องเรียนรู้จากเจ้าอีกมาก หวังเหว่ย ซิ่วอิง เจ้าสองคนคอยดูแลเขาให้ดี ดูว่าเขารู้อะไรบ้าง”

    “แต่ท่านพ่อคะ” ซิ่วอิงพยายามจะคัดค้าน แต่เธอก็รู้ว่าพ่อของเธอเป็นคนเด็ดขาด เธอจึงต้องจำใจรับคำสั่งนั่นไป

     

    จากนั้นไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปหลังจากที่มีการชุมนุมกันเสร็จแล้ว แต่บรรดาทายาทของสกุลอื่นที่คุ้นเคยกัน พวกเขาก็มาคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทันที

    “นี่ เจ้าได้เห็นอาวุธของพ่อหนุ่มนั่นในวันนี้หรือเปล่า” หม่าโหลวฟางถามไป

    “ข้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่ข้าสะใจเจ้าอึ๋งฉงยิ่งนัก เจ้าหนุ่มนั่นน่าเอามันให้ตายเนอะ” ข่งหวังเจ่ยพูดขึ้นพลางหัวเราะ

    “มันคือปืนยาวครับ ผมจะบอกให้ ที่ต่างประเทศมีปืนที่ดีกว่านี้มากๆ ที่เจ้าหนุ่มนั่นใช้ก็แค่Hanyang 88ธรรมดาที่ทหารจีนใช้หน่ะ ส่วนปืนพกของหมอนั่นก็น่าจะเป็นMauserด้วยหล่ะ” หม่าเกอโย่วพูดขึ้น

    “นี่ ตั้งแต่เจ้าไปเรียนที่ต่างชาติมาเนี่ย รู้อะไรเยอะมากเลยนะ” หม่าลี่หยวนพูดเสริม

    “แต่ช่างเรื่องปืนนั่นก่อนเถอะ มาคุยเรื่องไอ้ขุนศึกนั่นก่อนดีกว่า มันจะมาเว่ยตงจริงๆเหรอ” ข่งโฮจินถามไป

    “ถ้าพวกมันมา เราก็เล่นงานพวกมันให้หมด เหมือนกับพวกโจรมองโกลนั่นไง” ต้าเฟิงเทียนพูดขึ้น

    “แต่ท่านพี่ พวกเขาไม่ได้มีแค่ธนูแบบพวกมองโกลนะ” ต้าหลันฮวาพูดแย้งไป

    “นั่นสิ แล้วท่านก็เห็นอาวุธของเขาคนนั้นแล้วนี่” ข่งจินฮัวพูดเสริม

    “ข้าว่าคราวนี้เราอาจจะมีศึกใหญ่ก็ได้ ว่าแต่เจาจวิน เจ้าได้เจอกับฮุยจินหรือยัง” ต้าหงฝูหันไปถามหนีเจาจวิน

    “ตั้งแต่วันนั้นยังไม่เห็นเขามาเลย ข้าอยากเจอท่านพี่เขาเหมือนกัน” หนีเจาจวินพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

    “เออนี่ แล้ววันนี้พี่หลานหยูกับกวนเทียนไม่มางั้นเหรอ” จูซื่อหงถามย่างสงสัย

    “นั่นสิ ความจริงพวกเขาน่าจะมาด้วยนะ” จูจงซานพูดเสริม

    “ข้าว่า พวกเขาคงจะยังไม่มาตอนนี้หรอกนะ” หม่าลี่หยวนพูดขึ้น

    “เฮ้อ ภัยร้ายกำลังคลืบคลานเข้ามาขนาดนี้ พวกเขาหายไปไหนกันนะ” จูฟานจิงพูดขึ้น

    “นี่ พวกเขาอาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้” หม่าเกอโย่วพูดแย้ง

    “นี่ ข้าว่านายเสี่ยวเว่ยนั่นหน่ะ หน้าตาดีมากเลยนะ เจ้าว่ามั้ย” หม่าลี่หยวนพูดขึ้น

    “นี่ๆๆ พอเลย เจ้านี่เห็นหน้าตาดีๆไม่ได้เลยนะ” หม่าโหลวฟางพูดขึ้น

    “ว่าแต่ เราจะต้องกลับไปเตรียมศิษย์สำนักหรือเปล่าเนี่ย” ข่งโฮจินถามไป

    “ข้าจะกลับไปเตรียมตัวศิษย์สำนักเราให้พร้อมสู้ศึกเอง” ข่งหวังเจ่ยพูดขึ้น

    “แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะท่านพี่” ข่งจินฮัวพูดเตือนเขาไป

    “เห็นทีข้าต้องทำอะไรซักอย่างแล้วหล่ะ” ต้าเฟิงเทียนพูดขึ้น

    “นี่ หวังว่าเจ้าคงจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกนะ” ต้าหงฝูพูดเตือนน้องของเขาไป

    “ใจเย็นค่ะท่านพี่ ท่านพี่เฟิงเทียนคงอยากจะช่วยหน่ะ” ต้าหลันฮวาพูดขึ้น

    “ข้าจะตามสืบเรื่องนี้เอง ได้เรื่องยังไงข้าจะมาบอกแล้วกัน” หนีเจาจวินพูดขึ้น

    “เห็นทีเราคงจะมีศึกใหญ่แล้วสินะ” จูจงซานพูดขึ้น

    “นั่นสิ แต่ว่าเราไม่กลัวพวกมันหรอก” จูฟานจิงพูดขึ้น

    “เฮ้อ ขอให้จริงอย่างที่ว่ามาเถอะ” ขูซื่อหงพูดพลางตบหัวน้องทั้งสองคนไป และอีกด้านหนึ่งของลานกว้าว ซึ่งเป็นเชิงผาที่ค่อนข้างสูงชัน หลานหยูในตอนนั้นเองก็มาดูการชุมนุมจอมยุทธ์อย่างลับๆ แต่เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่อยู่ด้านล่าง จู่ๆในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังวรยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังเขา เขาชักดาบออกมาจากนั้นก็พุ่งไปจัดการชายที่อยู่ด้านหลัง แต่เขาใช้โซ่เหล็กปัดดาบของหลานหยู จนหลานหยูต้องเปลี่ยนมาพลังปราณของเขา แต่ก่อนที่หลานหยูจะใช้พลังปราณ ชายคนนั้นก็เปิดเผยตัวเองก่อนว่าเขาเป็นใคร

    “ไม่เจอกันนานเลยนะหลานหยู”

    “ฮุยจิน นั่นเจ้าจริงๆเหรอ ข้าคิดว่าเจ้าตายแล้วซะอีก”

    “เจ้าก็รู้ คนอย่างข้าไม่ตายง่ายๆหรอก ดีนะที่ข้าบอกก่อนไม่งั้นเจ้าอาจใช้ลมปราณใส่ข้า”

    “ว่าแต่ เจ้ามีธุระอะไรที่นี่หล่ะ” หลานหยูถามอย่างสงสัย

    “ก็แค่ได้ยินว่าเกิดเหตุเภทภัยใหม่กับเว่ยตง ก็เลยมาให้เห็นกับตาเฉยๆหน่ะ” แต่ในขณะเดียวกัน ฮุยจินรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครคนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาถึงตัวเขา ฮุยจินจึงชักมีดบินของเขาออกมา จากนั้นก็ปาเข้าไปยังเป้าหมายด้วยความเร็วสูง แต่เป้าหมายที่เขาปามีดใส่ก็ใช้ฝ่ามือดันมีดของเขาจนกระเด็นไปไกล จากนั้นก็ค่อยๆเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่ในทันที

    “กวนเทียน เจ้าตามหาข้าเจอได้ยังไง” หลานหยูถามอย่างสงสัย

    “ข้ารู้ตลอดแหละว่าท่านพี่อยู่ที่ไหน ว่าแต่ นั่นพี่ฮุยจินนี่หน่า พี่กลับมาแล้วเหรอ” กวนเทียนถามอย่างสงสัย

    “ก็ไม่เชิงหรอก เจ้าเก่งขึ้นมากกวนเทียน ถ้างั้นข้าไม่กวนหล่ะ” ฮุยจินพูดจากนั้นก็ใช้วรยุทธ์เท้าลมปราณของเขาเหาะออกไปจากพื้นที่ในทันที

    “กวนเทียน ข้าได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ” หลานหยูถามอย่างสงสัย

    “นั่นคืออาวุธสมัยใหม่ค่ะท่านพี่ มันรุนแรงมาก มันทำเอาอิ๋งฉงบาดเจ็บไปแล้ว”

    “เฮ้อ อิ๋งฉงมันก็แค่ปากดีไปอย่างงั้นหล่ะ แต่งานนี้เราก็ไม่ควรประมาทนะ”

    “ค่ะท่านพี่ ถ้าได้เรื่องอะไรข้าจะมาบอกท่านพี่นะคะ”

    กวนเทียนพูดขึ้นจากนั้นเธอก็ใช้ลมปราณของเธอเหาะออกไปจากพื้นที่ ส่วนหลานหยูในตอนนั้นเองก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยอยู่แถวนั้นซักพัก

     

    กลับมายังค่ายทหารของนายพลไคตงฟง ซึ่งห่างจากเขตเว่ยตงออกไป 30 กิโลเมตร ซึ่งในตอนนั้นเองนายพลไคตงฟงกำลังยิงปืนกลVickersรุ่นใหม่จากอังกฤษใส่เป้าที่เป็นก้อนอิฐอย่างรุนแรง กระสุนปืนได้ฉีกทะลุก้อนอิฐพวกนั้นจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ตัวเขานั้นพอใจกับผลงานของอาวุธปืนพวกนั้นเป็นอย่างมาก เขารีบลุกออกจากปืนกลแล้วไปพบกับชายชาวตะวันตกคนหนึ่งในทันที

    “คุณโจอี้ ปืนที่คุณหามาให้เรานี่เราชอบมากเลยครับ”

    “ท่านนายพล เรายังมีปืนกลMP18ที่เราได้มาจากพวกเยอรมันหลายแสนกระบอกMadsen 20000กระบอกCei-Rigottiอีกนับแสนกระบอกเลย”

    “อืม ทั้งหมดนี่คุณคิดเท่าไหร่หล่ะ” นายพลไคตงฟงถามไป

    “ทั้งหมดนี่เราคิด 5 ล้านดอลล่าห์ครับ” โจอี้ตอบเขาไป จากนั้นนายพลไคตงฟงก็ดีดนิ้วเรียกรถม้าคันหนึ่งมา ซึ่งเมื่อรถม้ามาจอด ทหารก็เปิดผ้าออกมาในทันที ซึ่งด้านในมีสมบัติมากมายทั้งทองคำ เพชร หยก และอีกมากมายที่ทำเอาโจอี้ตาลุกวาวได้ โจอี้รีบวิ่งเข้าไปดูสมบัติพวกนั้นในทันทีอย่างตื่นเต้น

    “เรายังมีอีกมากมาย ขอแค่คุณสั่งมาครับ” นายพลไคตงฟงพูดกับเขาไป

    “ได้เลย คราวหน้าผมจะส่งทั้งปืนใหญ่ รถถังและเครื่องบินมาให้คุณโดยเฉพาะเลย”

    “ขอบคุณมากเลยครับ ทหาร!!ส่งแขกของเราหน่อย”

    นายพลไคตงฟงสั่งทหารให้ไปส่งโจอี้ที่ที่พักรับรองของเขา ส่วนตัวเขาเองก็เรียกทหารคนหนึ่งของเขามาคุยในทันที

    “ท่านครับ เรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

    “ระดมคนของเราให้พร้อม เราจะบุกขึ้นเหนือในทันที ว่าแต่สายข่าวของเราเป็นยังไงบ้าง”

    “ครับ เราส่งกองสอดแนมของเราไปทั่วเขตทางเหนือแล้วครับ แต่ว่าท่านครับ เรื่องพวกโจรมองโกลที่กำลังอาละวาดอยู่จะให้เราจัดการเลยหรือเปล่าครับ”

    “จัดการมันเลย ฆ่าพวกมันให้หมด”

    ทหารคนนั้นรับคำสั่งของเขา จากนั้นก็ไปดำเนินการตามที่นายพลไคตงฟงสั่งเขาไป

    และอีกด้านหนึ่ง ในเต้นท์ของนายน้อยไคจิน ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว เขาเลยต้องเผชิญกับโรคร้ายซึ่งนายพลไคตงฟงต้องคอยดูแลเขาอยู่บ่อยๆ และในระหว่างที่นายน้อยไคจินเพิ่งจะกินยาและกำลังจะเข้านอน จู่ๆเหมยฉีก็เดินดุ่มๆเข้ามาในห้อง จากนั้นก็บอกกับหญิงรับใช้ของนายน้อยไป

    “นี่ เธอออกไปก่อน ฉันจะดูแลคุณหนูไคจินเอง”

    หญิงรับใช้คนนั้นพยักหน้าแล้วค่อยๆเดินออกไป ส่วนตัวเหมยฉีเองก็เดินไปที่เตียงของไคจิน แล้วก็นั่งลงข้างๆเขาไป

    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะพ่อหนุ่ม”

    “น้าเหมยฉี ผมเพิ่งจะกินยาไปเมื่อกี้ แล้วพ่อกับพี่ไปไหนหล่ะครับ”

    “อ้อ นายพลไคอยู่ด้านนอก ส่วนพี่ๆเธอคงไปด้านนอก น้าต้มยานี่มาให้เธอ ดื่มแล้วก็นอนพักเยอะๆนะจ๊ะ”

    ไคจินรีบดื่มยาที่น้าเหมยฉีเอามาให้จนหมด จากนั้นเขาก็ค่อยๆเอนตัวลงนอนลงบนเตียงอันนุ่มนวล

    “ผมง่วงจังเลยน้าเหมยฉี”

    “นอนได้เลยจ้ะ น้าจะดูแลเธอเอง”

    ไคจินค่อยๆหลับตาลงนอนลงบนเตียง ในขณะที่เหมยฉีก็ค่อยๆลูบไล้ลงไปบนตัวของไคจินด้วยความพิศวาส เธอค่อยๆไล่จากบนลงมาด้านล่างๆเรื่อยๆเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของตัวเธอเองจากนั้นเธอก็เม้มปากของเธอไปด้วยราวกับว่าตัวเธอกำลังพิศวาสในตัวของไคจิน

    “จะทำอะไรน้องผมเหรอครับ!!”

    เหมยฉีตกใจเสียงที่ชายคนหนึ่งตะโกนใส่ ซึ่งเสียงนั่นเป็นเสียงของซุยริวลูกชายคนโตของนายพลไคนั่นเอง

    “ซุยริว ฉันแค่มาดูแลน้องเธอหน่ะ”

    “จุ๊ๆๆ คุณไม่พูด ผมก็ไม่พูด” ซุยริวค่อยๆเดินเข้ามาจากนั้นก็ดึงตัวเหมยฉีมาแล้วจูบประกบปากกับเธอไปในทันทีโดยที่เหมยฉีก็จูบตอบเขาไป เนื่องจากว่าทั้งคู่ลอบเป็นชู้กันมาได้อยู่ซักพักหนึ่งแล้ว

    “คุณเหมยฉี น้องผมยังทำอะไรแบบนั้นไม่เป็นหรอกน่า”

    “แหม่ ซุยริว ฉันก็แค่อยากเฉยๆหน่ะ ไม่ดีเหรอที่มีคนให้เสพสังวาสทุกวัน”

    “คุณพูดถูกใจนะ ผมชักหลงเสน่ห์คุณทุกวันหล่ะ”

    “แล้วเธอจะทำยังไงต่อหล่ะ”

    ซุยริวได้ยินดังนั้นจึงจับเหมยฉีลงกับพื้นแล้วพลอดรักกับเธอบนพื้นเต้นท์ของไคจิน และที่ด้านนอกเต้นท์ เจียงเหวินที่กำลังนั่งพักอยู่ในเต้นท์ของเขาแล้วอ่านหนังสือของเขาอยู่ จู่ๆจื่อวี่ก็เดินเข้ามาในห้องของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยๆ ทำเอาเจียงเหวินแปลกใจเล็กน้อย

    “จื่อวี่ เธอมาทำอะไรเนี่ย”

    “แล้วทุกครั้งที่ฉันมา ฉันมาทำอะไรหล่ะเจียงเหวิน” จื่อวี่พูดขึ้น จากนั้นเธอก็ค่อยๆเดินมาทางเขาแล้วถอดเสื้อของเธอเองทีละชิ้น เจียงเหวินทำหน้าเซงแล้วค่อยๆถอดเสื้อของตัวเองทีละชิ้นไปเหมือนกัน จนกระทั่งพวกเขาทั้งคู่ก็นอนด้วยกันบนเตียงนอนของเจียงเหวิน จื่อวี่รักเจียงเหวินมานานแล้วแต่ดูเหมือนว่าเจียงเหวินจะไม่สนใจในตัวเธอเลย ซึ่งก็ใช่ เจียงเหวินเขาชอบผู้ชายนี่หน่า ในตอนนั้นเองเจียงเหวินกำลังจะลุกจากเตียงเพื่อไปดื่มน้ำ แต่จื่อวี่ก็กอดเขาเอาไว้ด้านหลังก่อน

    “เดี๋ยวสิเจียงเหวิน ฉันยังไม่หายคิดถึงเลยนะ”

    “ก็เจอกันทุกวัน จะคิดถึงอะไรนักหนาหล่ะ” เจียงเหวินตอบไปแบบเซงๆ

    “ฉันอยากรู้จังเลยนะ ว่าผู้หญิงคนไหนที่ได้หัวใจนายไปกัน”

    “จื่อวี่ เธอไม่น่ามาเสียเวลากับฉันเลยนะ” เจียงเหวินพูดขึ้นจากนั้นเขาก็ค่อยๆใส่กางเกงไป ส่วนจื่อวี่ก็นอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียงอยู่คนเดียวไป

    และอีกด้านหนึ่ง ในเต้นท์ของฟู่เถา ซึ่งในช่วงนี้ตัวเขายังวุ่นวายอยู่กับการควานหาตัวจอมโจรหน้ากากทองคำที่ตัวเขายังจับตัวไม่ได้ เนื่องจากว่าฟู่เถาได้ส่งคนของเขาไปสอดแนมเมืองชายแดนของเว่ยตงและให้เล่นงานบรรดาจอมยุทธ์ที่พวกเขาเจอ แต่พวกเขาก็ดันเจอกับชายที่ชื่อว่าจอมโจรหน้ากากทองคำเล่นงานคนของเขาซะจนไม่เหลือ ทำเอาฟู่เถาเสียหน้าเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกัน คนของเขาก็มารายงานเบาะแสเกี่ยวกับจอมโจรหน้ากากทองคำกับเขาในทันที

    “ท่านครับ!! มีเบาะแสเกี่ยวกับโจรหน้ากากทองคำครับ”

    “อ่า ว่ายังไงบ้างหล่ะ”

    “มันทิ้งเบาะแสขึ้นไปทางเหนือ ในเขตที่เราเชื่อว่าเป็นเว่ยตงครับ” ลูกน้องของเขาตอบไป

    “ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่า พวกมันก็อยู่ในเขตเว่ยตงสินะ”

    “ถ้าจากหลักฐาน เราคาดว่าใช่ครับ”

    “อืม!!ตอนนี้ต้องรอให้เราเข้าใกล้เขตเว่ยตงไปก่อน แล้วค่อยตามล่ามันอีกที ตอนนี้เราเตรียมตัวให้พร้อมก่อนก็แล้วกัน”

    “ได้ครับผม!!”

     

    กลับมายังเขตปืนใหญ่ของนายพลไคตงฟง ซึ่งห่างจากชายแดนเว่ยตง 10 กิโลเมตร ฮุ่ยชิงที่ตั้งปืนใหญ่ไว้เตรียมพร้อมในการโจมตีดินแดนใหม่ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเขตเว่ยตง ซึ่งในตอนนั้นเองฮุ่ยชิงสั่งให้มีการตั้งปืนใหญ่และขุดสนามเพลาะมากมายเพื่อป้องกันการโดนโจมตีตลบหลัง ในระหว่างที่เธอกำลังมองไปทางเหนือด้วยกล้องส่องทางไกล ทหารคนหนึ่งก็วิ่งมารายงานสถานการณ์กับเธอในทันที

    “ท่านครับ!!เราตั้งปืนใหญ่พร้อมไว้แล้ว รอแค่สัญญาณครับผม”

    “อืม!!รอก่อน ฉันยังหาพิกัดไม่แน่ชัดเลย” ฮุ่ยชิงตอบไป

    “ท่านครับ ท่านเชื่อเรื่องเว่ยตงจริงเหรอครับ” ทหารคนนั้นถามอย่างสงสัย แต่ฮุ่ยชิงตอบไปอย่างใจเย็น

    “ถ้านายถามไคตงฟงแบบนั้น นายโดนยิงเป้าไปแล้ว นายโชคดีที่ถามฉัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจริงหรือเปล่า ถ้ามีจริง เราจะได้อะไรจากการรบครั้งนี้นะ” ฮุ่ยชิงพูดขึ้น แต่จู่ๆในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็เห็นบรรดาเครื่องบินรบของฝ่ายเธอนับร้อยลำค่อยๆบินไปทางเหนืออย่างเร่งรีบ เครื่องบินส่วนใหญ่เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยกลางและเครื่องบินรบขับไล่ชั้นดีที่เพิ่งจะซื้อมา

    “ดูเหมือนว่าตงฟงคงจะอยากรบเต็มแก่แล้วสินะ” ฮุ่ยชิงพูดขึ้นจากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในเต้นท์ของเธอในทันที

     

    ณ เขตแม่น้ำเหลืองทางเหนือ กองเรือตรวจการณ์ของจางจงซางค่อยๆแล่นเข้าใกล้เขตทางเหนือเข้าไปขึ้นทุกทีเพื่อตามล่ากองทัพของนายพลกั๋วที่กำลังหลบหนี โดยที่จางจงซางก็มองไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจหากลุ่มทหารที่เหลือ แต่ในระหว่างที่เขากำลังมองจากบนเรือ

    “ปัง!!”

    เสียงปืนใหญ่ก็ดังมาจากในป่า ลูกปืนเฉียดเรือของเขาไปนิดเดียว ทำเอาจางจงซางถึงต้องก้มหัวหลบในทันที

    “ท่านครับ!!เราเจอปืนใหญ่ 75mmตั้งอยู่ในป่าครับ” ทหารคนหนึ่งรายงานจางจงซางไป

    “เล็งปืนเรายิงถล่มเข้าไป ด่วนเลย”

    ทหารของจางจงซางรีบหันปืนใหญ่เข้าไปในป่า จากนั้นก็ยิงถล่มกลับเข้าไปในทันที เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่า และในขณะเดียวกันนั้นเอง ปืนใหญ่ด้านในป่าก็ยิงมาจากอีกทางหนึ่ง เกือบโดนเข้าที่กราบเรือของจางจงซาง

    “บ้าเอ้ย มีใครเห็นตำแหน่งมันอีกหรือเปล่า”

    จางจงซางพูดขึ้นในขณะที่ตัวเขาและทหารคนอื่นๆก็พยายามมองไป และในตอนนั้นเอง จางจงซางก็มองเห็นปืนใหญ่ของมันอีกตำแหน่งหนึ่งในทันที

    “เจอแล้ว ทางขวา 14 นาฬิกา เห็นแล้วยิงเลย!!”

    ปืนใหญ่ของจางจงซางเล็งไปที่ปืนใหญ่ของข้าศึก จากนั้นก็ยิงถล่มพวกมันจนแหลกเป็นจุล ปืนใหญ่ของพวกมันโดนทำลายจนระเบิดดังลั่นสนั่นป่า

    “เอาหล่ะ ทหารทุกนาย ยิงใส่แนวป่าเลย!!”

    เมื่อสิ้นเสียงของจางจงซาง ทหารทุกนายก็กระหน่ำยิงอาวุธทุกชนิดเข้าไปในแนวป่า กลุ่มทหารของนายพลกั๋วที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยกลับเข้าไป ส่วนนายพลจางจงซางก็ยังคงดูสถานการณ์อยู่ในแม่น้ำเหลืองแห่งนี้ แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ๆก็มีนกพิราบตัวหนึ่งก็บินมาหาทหารคนหนึ่ง ทหารคนนั้นรีบหยิบข้อความที่ติดอยู่กับข้อเท้า แล้วเอารายงานนั้นไปหานายพลจางในทันที

    "ท่านครับ มีข้อความใหม่มาครับ เที่ยผิงบินมาถึงสนามบินชั่วคราวซ่านซีแล้วครับ"

    "อืม เที่ยผิงงั้นเหรอ ส่งข้อความให้เขาไป ให้มาพบฉันในทันที"

    ทหารคนนั้นยกมือวันทยหัตถ์ แล้วก็ไปดำเนินการตามที่นายพลจางบอกในทันที

    และอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำเหลือง เรือเร็วของกองทัพเปย์หยางก็ค่อยๆแล่นไปตามลำน้ำที่จะผ่านไปยังแม่น้ำเหลือง ชิโนบุรอคอยความหวังที่จะได้เจอพ่อขอองเธออีกซักครั้ง เธอนึกไปถึงตอนที่เธอยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนที่เธอยังอยู่กับแม่ของเธอซึ่งเป็นโสเภณี แม่ของเธอเล่าให้ฟังว่าเธอมีความรักกับจางจงซาง แต่นั่นก็เป็นแค่ความรักในช่วงสั้นๆ สุดท้ายเธอก็ต้องแบกชิโนบุตัวน้อยกลับมาญี่ปุ่น เธอไม่กล้าบอกใครว่าท้องกับคนจีนเพราะกลัวเรื่องสภาพสังคมในช่วงนั้น เธอจึงเลี้ยงชิโนบุมาเรื่อยๆจนกระทั่งเธอโตเป็นสาว แม่ของเธอจึงบอกเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อของเธอเพื่อเอากระดูกของแม่ของเธอไปให้กับเขา และชิโนบุต้องการเจอกับพ่อของเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เธอจึงต้องเจอกับเขาให้ได้

    ในระหว่างนั้นเอง ทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาชิโนบุในทันทีเพื่อคุยอะไรบางอย่าง

    “คุณครับ คุณเป็นอะไรกับท่านนายพลงั้นเหรอ”

    “คือ ฉันเป็นลูกของเขาหน่ะค่ะ”

    “จริงเหรอครับ ผมเห็นคุณพกปืนด้วย คุณไปเรียนที่ญี่ปุ่นงั้นเหรอ”

    “อ้อ เปล่าค่ะ แม่ฉันพาฉันไปที่ญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กหน่ะ”

    “อ้อครับ ผมจะบอกว่าตอนนี้ที่ที่ท่านนายพลอยู่กำลังเจอสงคราม คุณต้องระวังตัวหน่อยนะครับ”

    “ค่ะ ฉันจะระวังค่ะ”

    เรือเร็วลำนั้นค่อยๆแล่นต่อไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว เพื่อเดินทางไปยังกองเรือของนายพลจางจงซาง

     

    ณ เขตชุมชนชาวรัสเซีย ซึ่งห่างจากชายแดนเว่ยตงได้ไม่เท่าไหร่นัก ซึ่งโทมารอฟกับทหารของเขาก็เร่งเข้าตรวจสอบพื้นที่อย่างขันแข็ง ซึ่งในเขตชุมชนนั้นยังมีซากศพชาวรัสเซียบางศพที่ยังไม่ได้รับการฝัง และซากปรักหักพังของบ้านเรือนก็ทำให้เขาและพรรคพวกถึงกับต้องเศร้าใจ โทมารอฟสั่งให้คนของเขาถ่ายรูปทุกอย่างซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเบาะแสได้ จนกระทั่งทหารคนหนึ่งของโทมารอฟไปเจอเศษผ้าอะไรบางอย่าง ซึ่งมันไม่ใช่ผ้าที่ชาวรัสเซียสวมใส่ ชายคนนั้นรีบเอามันไปให้กับโทมารอฟในทันที

    “คุณโทมารอฟครับ ดูนี่สิครับ” ชายคนนั้นยื่นผ้าชิ้นนั้นให้โทมารอฟไป

    “อืม ผ้านี่ไม่ใช่ของชาวบ้านแน่ๆ แต่ดูๆไปมันคล้ายๆเครื่องแบบทหารเลยนะ เหมือนว่าจะมีตราอยู่ตรงนี้ด้วย”

    “คิดว่าพวกไหนเป็นคนทำครับ” ดาโกวิชลูกน้องของเขาถามไป

    “ฉันก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวจะได้รู้กันแน่ๆ พอจะรู้หรือเปล่าว่ากองทัพไหนที่พอจะมีอำนาจทำแบบนี้ได้” โทมารอฟถามไป

    “กองทัพของขุนศึกไคตงฟง ตอนนี้กำลังเป็นใหญ่ในเขตนี้ แต่เรายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดพอครับ”

    “ไม่เป็นไร เก็บผ้าชิ้นนี้ไว้ เราจะติดต่อกับกองทัพของพวกเขาอีกที” โทมารอฟพูดขึ้น ในขณะที่เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขาจากระยะไกล ซึ่งดูเหมือนกับว่าโทมารอฟกำลังโดยจับตามองอยู่

    และด้านในเมือง โรงเตี๊ยมของจื่อหลิน จื่อหลินในตอนนั้นตื่นแต่เช้ามาเพื่อเปิดร้านอาหารของเธอ ในขณะที่เธอกำลังจะไปรับวัตถุดิบที่ส่งมาจากตลาด จู่ๆหญิงสาวคนหนึ่งก็เข้ามาสะกิดหลังจื่อหลินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “จื่อหลิน เป็นยังไงบ้าง”

    “ฮุ้ยซิ่ว!! กลับมาแล้วเหรอ” จื่อหลินถามเธออย่างตื่นเต้น

    “ก็ใช่ เออนี่ เธอจะไปไหนอย่างงั้นเหรอ”

    “ก็ฉันกำลังรับวัตถุดิบพวกนี้เข้าร้านยังไงหล่ะ”

    “มาๆ เดี๋ยวฉันช่วย”

    จื่อหลินกับฮุ้ยซิ่วช่วยกันแบกทั้งแป้ง ผัก และเนื้อสัตว์เป็นกระสอบๆเข้าไปในร้านของพวกเธอ แต่ในระหว่างที่พวกเธอกำลังช่วยกันขน จู่ๆพวกเธอก็เห็นบรรดาชาวบ้านนับร้อยกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอย่างแตกตื่น พวกเขาวิ่งหนีและบางคนก็ล้มลงบนพื้น ซึ่งด้านหลังของชาวบ้านพวกนั้นก็มีทหารนับสิบขี่ม้าเข้ามายังด้านหน้าของโรงเตี๊ยมของเธอ และในขณะเดียวกันนั้นเอง นายทหารคนหนึ่งก็ขี่ม้าเข้ามาที่หน้าร้าน จากนั้นก็ลงจากม้าของเขาแล้วมองอยู่หน้าร้านซักพัก จื่อหลินรีบเดินไปหานายทหารคนนั้นในทันที

    “นี่ทหาร ท่านมาทำอะไรที่นี่”

    “มาหาอะไรกิน ฉันไคชิงหยาง บุตรชายนายพลไคตงฟง เธอใช่หรือเปล่าเจ้าของร้าน หาอะไรอร่อยๆให้ฉันกินหน่อย”

    “ท่านแม่ทัพ ร้านของเรายังไม่เปิดนะคะ” ฮุ้ยซิ่วพูดขึ้น

    “นี่ไม่ใช่ที่ฉันอยากจะฟัง ฉันต้องการหาอะไรกินหน่อย ไม่อย่างงั้นร้านนี้เละแน่ๆ”

    ฮุ้ยซิ่วถึงกับกำหมัดแน่น แต่จื่อหลินห้ามเอาไว้ก่อน จากนั้นเธอก็เชิญชิงหยางไปนั่งที่รับรองแขกพิเศษของร้าน จากนั้นเธอก็เข้าไปในครัวทันทีเพื่อทำเมนูพิเศษอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เอามันมาเสิร์ฟให้กับชิงหยาง ซึ่งในจานเป็นเต้าหู้ผัดซึ่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว แม้แต่นายทหารอารักขาของชิงหยางก็ยังน้ำลายไหล

    “นี่มันอะไรกัน ฉันไม่ชอบกินเต้าหู้นะ”

    “ลองทานดูก่อนสิท่านแล้วท่านจะรู้”

    ชิงหยางหยิบตะเกียบที่วางบนโต๊ะมาจากนั้นก็กินไปหนึ่งคำ ความรู้สึกหลังจากที่ชิงหยางได้กิน ชิงหยางถึงกับต้องกินต่อเรื่อยๆราวกับโดนมนต์สะกด เขากินมันจนหมดโดยไม่แคร์สายตาของใครในร้านเลย

    “ไม่เคยกินเต้าหู้ที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย ขอเพิ่มอีกเยอะๆเลย แพงเท่าไหร่ข้าไม่ว่า”

    จื่อหลินยิ้มที่มุมปากจากนั้นก็สั่งให้แม่ครัวคนอื่นๆรีบไปทำมาในทันที และอีกด้านหนึ่งของร้านซึ่งเป็นห้องพัก ฝางหลินเหลือบไปมองด้านนอกห้องของเขา เขาก็พบว่าเป็นลูกของนายพลไคตงฟง เขาตกใจมากทำอะไรไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันทหารของเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงเล็งปืนกลมือไปยังประตูห้องพักด้านนั้น จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆมัน

    “คุณชายครับ ระวังนะครับ อาจมีคนปองร้าย”

    ทหารคนนั้นพยายามเดินเข้าไปยังประตูห้องของฝางหลิน ฝางหลินตกใจจึงทำได้แค่หลบอยู่หลังประตู แต่จู่ๆในขณะเดียวกัน เฟยอวี่ที่เพิ่งออกมาจากห้องของเขาก็ตกใจเมื่อเห็นทหารเล็งปืนใส่ เฟยอวี่จึงเล็งธนูใส่พวกเขาในทันที

    “เฮ้ย นั่นมันพวกจอมยุทธ์นี่หว่า”

    “พวกเจ้าเป็นใครถึงกล้าท้าทายข้า” เฟยอวี่ตอบกลับ จากนั้นไม่นาน จื่อหลินก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น จื่อหลินเห็นดังนั้นจึงบอกชิงหยางไปในทันที

    “ท่านคะ กรุณาสั่งให้ลูกน้องของท่านลดปืนลงด้วย ที่นี่ไม่ใช่สนามรบ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ทำอะไรให้ท่านทานอีกแล้ว”

    ชิงหยางได้ยินดังนั้นจึงรีบสั่งทหารของเขาในทันที

    “ทหาร ลดปืนลงให้หมด”

    “แต่ท่านครับ นั่นมันพวกจอมยุทธ์นะครับ”

    “เอาน่า แค่คนเดียวไม่เป็นอะไรหรอก หรือพวกเจ้าอยากติดคุกห่ะ ลดปืนลงแล้วออกไปด้านนอกด้วยไป”

    ทหารพวกนั้นยอมลดปืนลงอย่างโดยดีจากนั้นก็เดินออกจากร้านไป

    “ต้องขอโทษแทนทหารของผมด้วย อาหารวันนี้อร่อยมาก” ชิงหยางพูดในขณะที่ยังคงกินต่อไป และอีกด้านหนึ่ง เฟยอวี่ก็ไปเคาะประตูห้องของฝางหลินในทันที

    “ปลอดภัยแล้ว พวกนั้นออกไปแล้ว”

    ฝางหลินได้ยินดังนั้นจึงเปิดประตูห้องออกไปในทันที

    “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า คนพวกนั้นมันน่ากลัวมาก”

    “น่ากลัว ยังไงกันเหรอ” เฟยอวี่ถามอย่างสงสัย

    “นั่นมันคนของนายพลไคตงฟง พวกมันน่ากลัวมาก พวกนั้นออกกฎหมายกวาดล้างผู้ประพฤติตัวเป็นจอมยุทธ์ทุกคนไม่เลือกหน้า ยังดีนะที่คุณรอดมาได้”

    “พวกมันจะเก่งแค่ไหนเชียวหล่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ข้าต้องไปแล้ว ท่านน่าจะไปจากที่นี่ด้วยนะ” เฟยอวี่พูดทิ้งท้าย จากนั้นเขาก็เดินออกจากร้านของจื่อหลินไปในทันที และตัวของฝางหลินเองก็รีบเก็บของออกจากโรงเตี๊ยมของจื่อหลินเช่นกัน

     

    และที่ด้านนอก หลังจากที่ชิงหยางรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาเตรียมขี่ม้าแล้วออกไปจากร้าน แต่จู่ๆเธอก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังตะโกนดังลั่นไปทั่ว

    “ความชั่วร้ายกำลังจะมาเยือน พวกเจ้าทุกคนควรระวังไว้!!”

    ชิงหยางได้ยินถึงกับสะดุ้ง ทหารของเขาพยายามจะลากตัวเธอออกไป ตัวเขารีบลงจากม้าแล้วเดินไปหาหญิงคนนั้นในทันทีพร้อมด้วยปืนพกในมือ

    “เมื่อกี้เจ๊ว่าอะไรนะ ผมไม่ค่อยได้ยิน”

    “ความชั่วร้ายกำลังจะมาเยือน ซึ่งพวกเจ้าคือความชั่วร้าย”

    “นี่เจ๊!! กล้าดียังไงถึงมาพูดกับฉันแบบนี้”ชิงหยางเล็งปืนใส่เธอในทันที แต่จู่ๆหญิงสาวที่ใช้ชื่อเอลซ่าก็วิ่งออกมาช่วยเธอจากด้านในโรงเตี๊ยมอย่าเร่งรีบ

    “หยุดนะ!! เธอเป็นหมอดู เธอดูแม่นมากเลยนะ”เอลซ่าเธอพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นชิงหยางเห็นหน้าเธอก็ถึงกับหลงเสน่ห์เธอเข้าเต็มเปา เขารีบลดปืนแล้วเดินเข้าไปหาเธอในทันที

    “อ้อ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจเลยนะครับ ผมไคชิงหยาง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ชิงหยางพูดแล้วจูบมือเธอตามธรรมเนียมตะวันตกในทันที จากนั้นตัวเขาก็รีบไปขึ้นม้าแล้วเดินทางออกไป เอลซ่าในตอนนั้นรีบไปดูคุณป้าจิ๋นหลื่อวี้ในทันที

    “คุณป้าคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ แต่หูต้องระวังเขาให้ดีนะ เขาเริ่มหลงไหลในตัวหนูแล้วหล่ะ”เอลซ่าได้ยินจึงรีบพาเธอไปนั่งที่อื่นเพื่อนั่งพักในทันที

     

    และในป่าแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเว่ยตง ซึ่งเป็นป่าที่ค่อนข้างจะดูสงบเงียบดี แต่มันคงจะไม่สงบอีกต่อไปเมื่อทหารกองสอดแนมของนายพลไคตงฟงอาละวาดไปทั่ว ซึ่งในตอนนั้นเองพวกมันกำลังล้อมกรอบครอบครัวของผู้อพยพกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังอพยพหนีไปทางเหนือ เพื่อเสาะหาที่หลบภัยใหม่

    “พวกแกคิดจะไปไหน ห่ะ!!”

    “อย่าทำอะไรพวกเราเลย ได้โปรดเถอะ”

    พวกเขาพยายามร้องขอชีวิต แต่ทหารคนหนึ่งเอาสันปืนฟาดไปยังท้ายทอยของผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็พยายามจะฉุดลูกสาวที่อายุยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ไปด้วย แม่ของเด็กพยายามจะแย่งเธอกลับมาแต่พวกมันก็กระชากเธอออก จากลูกสาวของเธอ แต่จู่ๆก็มีเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโจนลากมันคนหนึ่งเข้ามาในป่า ชายคนที่โดนลากร้องขอให้คนช่วย ทหารคนอื่นๆพยายามไล่ยิงกลับไปแต่ไม่เป็นผล

    “เฮ้ย มันเป็นใครกันวะ”

    พวกนั้นพยายามไล่ตามชายคนที่ถูกลากเข้าไปในป่า แต่จู่ๆชายคนหนึ่งคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากป่า จับปืนของทหารคนหนึ่งหักทิ้งในทันที

    “เฮ้ย!!มึงเป็นใครกันวะ”ทหารคนหนึ่งถามอย่างแปลกใจ

    “ก็แค่จอมยุทธ์กับเสือคู่ใจของฉันหว่ะ”ชายคนนั้นพูดจากนั้นก็กระโดดเตะก้านคอทหารคนนั้นไป ทหารคนอื่นๆพยายามจะยิงใส่เขา แต่จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งใช้วรยุทธ์เหาะออกมากวัดไกวดาบและปล่อยลมปราณใส่ทหารพวกนั้นจนตายไปมากมาย ทหารคนอื่นๆรีบกลับมารวมกลุ่มกันเพื่อเตรียมยิงในทันที

    “พวกจอมยุทธ์นี่ ฆ่ามันให้หมด”

    พวกมันระดมยิงใส่จอมยุทธ์ทั้งคู่ แต่พวกเขาทั้งคู่ก็หลบกระสุนได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ใช้วรยุทธ์ของพวกเขาไล่ฆ่าพวกนั้นจนแตกกระเจงไปคนละทาง จนทหารกลุ่มนั้นไม่มีทางเลือกอะไรเหลือ

    “ไปเอารถมา เร็ว!!”

    เมื่อสิ้นเสียง รถยนต์คันหนึ่งซึ่งติดปืนกลMG08บนรถก็ขับเข้ามาแล้วระดมยิงใส่พวกเขา ทั้งคู่รีบหาที่หลบหลังต้นไม้ในทันที

    “ออกมาสิโว้ยไอ้พวกขี้ขลาด!!”

    ทหารพลปืนกลพูดขึ้นใจขณะที่สาดปืนกลใส่พวกมัน แต่จู่ๆมีดบินประหลาดก็พุ่งเข้ามาใส่พลปืนกลนั่นจนตายคาที่ ส่วนทหารคนอื่นๆก็โดนมีดบินประหลาดพุ่งเข้าใส่จนตายกันหมด เมื่อเหตุการณ์สงบลง เหล่าจอมยุทธ์ทั้งสามก็ออกมาตรวจสอบพื้นที่ในทันทีและดูว่ายังมีใครเหลือรอดบ้าง

    “พวกเจ้าสองคนฝีมือดีมากๆเลยนะ”จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นในขณะที่ลูบหัวเสือของเขาไปด้วย

    “กล่าวเกินไปแล้วทุกท่าน ข้ามู่เฉิน พเนจรร่อนเร่ไปทั่ว ขอคารวะทุกท่าน”มู่เฉินพูดแล้วคารวะกับจอมยุทธ์ทั้งสอง

    “ข้าฮุยจิน สำนักมีดบินเหินเวหาเว่ยตง แล้วท่านหล่ะ”ฮุยจินหันไปถามชายผู้เลี้ยงเสือคนหนึ่ง

    “ข้าเสี่ยวหลง ข้าฝึกวิทยายุทธกับเสือของข้ามานานในเว่ยตง ทั่วทั้งเว่ยตงรู้จักข้ากันหมด”ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ทหารพวกนี้เป็นใครอย่างงั้นเหรอ”ฮุยจินถามเขาอย่างสงสัย

    “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าน่าจะเป็นทหารของนายพลไคตงฟง ซึ่งตอนนี้เขากำลังกวาดล้างบรรดาจอมยุทธ์ทุกคนอยู่”มู่เฉินพูดขึ้น

    “งั้นเหรอ!! ถ้างั้นไอ้ขุนศึกนั่นคงต้องเจอกับข้าแน่ๆ”เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ใจเย็นสิ สิ่งที่เราเห็นเป็นแค่ส่วนน้อยของพวกมัน แต่ยังไงก็ช่างเถอะ พวกเจ้ารีบไปพักที่เว่ยตงกันดีกว่า”

    ฮุยจินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินทางเข้าเว่ยตงในทันที ก่อนที่พวกเขาจะโดนตามล่าจากทหารนายพคลไคตงฟง

     

    กลับมายังเขตเหนือ ที่มั่นของกลุ่มโจรมองโกล ซึ่งทาร์เมอเลนกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่ในเต้นท์ ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆยามคนหนี่งก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนท้องฟ้ากำลังเคลื่อนที่มาทางพวกเขา ยามคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปรายงานทาร์เมอเลนในทันที

    “ท่านครับ!! มีอะไรไม่รู้ลอยมาที่นี่ครับ”

    “อะไรของเจ้าเนี่ย”

    ทาร์เมอเลนรีบออกไปดูด้านนอกพร้อมกับเซย์ริวในทันที โดยที่พวกเขาทั้งคู่ได้เห็นเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินรบนับสิบกำลังมาทางพวกเขา เสียงเครื่องยนต์ของมันทำเอาม้าที่อยู่แถวนั้นตกใจกันมาก

    “เครื่องบินทิ้งระเบิด พวกเรารีบหนีเข้าป่าเร็ว”

    เซย์ริวพูดขึ้น จากนั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดนำสิบก็ตรงดิ่งมายังพวกเขาแล้วทิ้งระเบิดอย่างบ้าคลั่ง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งคนทั้งเต้นท์และม้าบางส่วนโดนระเบิดจนแหลกไม่มีชิ้นดี ทหารของทาร์เมอเลนบางส่วนพยายามยิงทั้งปืนและธนูตอบโต้ แต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเลย ทาร์เมอเลนรีบไปเก็บของด้านในทั้งหมดจากนั้นก็ผูกไว้กับม้าคู่ใจของเขาแล้วก็พูดขึ้นในทันที

    “ทุกคน รีบเข้าป่าไปเร็ว”

    ชาวมองโกลทุกคนรีบไปเก็บของแล้วขี่ม้าหนีเข้าป่าไปในทันที เครื่องบินบางส่วนพยายามจะตามเข้าไปในป่าแต่พวกเขาก็มองไม่เห็นพวกมองโกลที่เหลือแล้ว เมื่อค่ายของพวกเขาถูกทำลายย่อยยับ เครื่องบินพวกนั้นก็รีบกลับไปยังฐานของพวกเขาในทันที ปล่อยให้ทาร์เมอเลนยืนมองด้วยความเจ็บแค้นจากในป่า เขาสาบานกับตัวเองว่าจะตามล่าคนที่โจมตีเขาให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

     

    กลับมายังสำนักของสกุลจิน ซึ่งซิ่วอิงและหวังเหว่ยที่ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลเสี่ยวเว่ยก็พาตัวเขามายังกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นกระท่อมเล็กๆที่ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่หนัก และดูเหมือนซิ่วอิงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่เธอต้องมาดูแลเขา

    “ทำไมท่านแม่ต้องให้ข้ามาดูเจ้าด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”ซิ่วอิงพูดแล้วหันไปหาเสี่ยวเว่ย

    “อ่า!! ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”เสี่ยวเว่ยตอบแบบกวนๆไป

    “นี่!! เจ้ากล้ายวนข้าเหรอ”

    “ใจเย็นซิ่วอิง ท่านพ่อท่านแม่สั่งให้เอย่าทำอะไรเขา แต่ข้าจะบอกเจ้าให้อย่างนึงนะ ถ้าเกิดเจ้าคิดอะไรกับน้องสาวข้า ข้าสาบานได้เลยว่าเจ้าจะไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ”หวังเหว่ยพูดขู่เสี่ยวเว่ยไป เสี่ยวเว่ยไม่กล้าพูดอะไรไปแล้วก็แบกปืนของเขาต่อ

    “นี่ ปืนของเจ้าหน่ะ ยังใช้ Hanyang 88อยู่หรือเปล่า”หวังเหว่ยถามเขาไป ทำเอาเสี่ยวเว่ยถึงกับแปลกใจมาก

    “หือ นี่คุณรู้ด้วยเหรอ”เสี่ยวเว่ยตอบไป

    “ท่านพี่ข้ารู้ยิ่งกว่านี้ซะอีกข้าจะบอกเจ้าไว้”ซิ่วอิงตอบไป

    “เอาแบบนี้ ข้าจะพาเจ้าไปพบใครคนหนึ่ง เจ้าจะไปกับข้าหรือเปล่า” หวังเหว่ยถามเขาไป แต่ซิ่วอิงทัดทานเขาไว้

    “ท่านพี่ ท่านจะบอกเขาจริงเหรอ”

    “ก็ไม่เสียหายนี่ถ้าเขาจะรู้ เจ้าตามข้ามา”

    หวังเหว่ยรีบพาเสี่ยวเว่ยไปขึ้นม้าที่จอดไว้อยู่ที่คอกม้าของสำนัก ซิ่วอิงเห็นดังนั้นจึงตามตัวเขาไปด้วยในทันที เมื่อท้งสามคนขึ้นม้าไป พวกเขาก็เดินทางออกปากสำนักเพื่อไปที่ไหนซักแห่งในทันที

    ===============================================================

    ดูเหมือนว่าหวังเหว่ยจะกุมความลับอะไรบางอย่าง แล้วเสี่ยวเว่ยจะใช้ชีวิตของเขาต่อไปในเว่ยตงอย่างไร อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า


    ขอคนละเม้นท์กันด้วยเน้อ ซับแนลผมด้วย https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber
    ตอนนี้ปิดรับสมัครตัวละครนะครัช

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×