คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1 : ปฐมบทสงคราม
ปี ค.ศ. 1925
ราชวงศ์ชิงล่มสลาย
ควันแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะจางไปได้ไม่นาน
เหล่าขุนศึกทั่วแคว้นต่างรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่
ชาวประชาไต้หล้าตกทุกข์ได้ยาก ทั้งแผ่นดิน
ณ ที่ไหนซักแห่งในมณฑลส่านซี ประเทศจีน แผ่นดินรอบข้างดูแร้นแค้น ไร้ซึ่งเสียงใดนอกจากเสียงลมที่พัดผ่าน
“ตู้ม!!”
“ปังๆๆๆ”
เสียงปืนและระเบิดดังสลับเสียงระเบิดดังอยู่นานนักหนา เปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้หลุมหลบภัยลุกโชนอย่างหนัก เสียงโห่ร้องของผู้คนที่กำลังสู้ศึกอย่างหนัก ดังคร่าคร่ำไปปนกับเสียงปืนที่ดังลั่นไปทั่วท้องทุ่ง
“บ้าเอ้ย!! กระสุนเราหมดแล้ว”ชายคนหนึ่งที่กำลังถือปืนไรเฟิลประจำกายของเขาขึ้นลำ ท่ามกลางเสียงปืนที่กำลังดังอยู่รอบด้าน ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็วิ่งมายื่นกระสุนให้กับเขา
“เหลือแค่สิบนัดเองนะเสี่ยวเว่ย”
“ปัง”
แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวเว่ยจะได้ใส่กระสุน จู่ๆชายคนนั้นก็ถูกยิงกลางหน้าผากจนล้มไปต่อหน้าต่อตาเขา
“แพทย์สนามอยู่ไหน ช่วยด้วย!!”
เสี่ยวเว่ยตะโกนเรียกหมออยู่นาน แต่ก็ไม่ยักมีใครมาช่วย จู่ๆชายในชุดทหารพร้อมบั้งยศจ่าก็วิ่งเข้ามาหาเสี่ยวเว่ยอย่างหน้าตาตื่น
“เฮ้ย อาก๊วนเป็นอะไรไปเนี่ย”
“เขาตายแล้วครับจ่า”เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น จากนั้นก็ถามต่อไป
“แล้วกำลังเสริมของเราหล่ะจ่า”
“ผมขอไปแล้ว แต่พวกเขายังไม่มาเลย”เสี่ยวเว่ยได้ยินดังนั้นจึงทำสีหน้าถอดใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสี่ยวเว่ยก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังมาแต่ไกล
“พวกมันบุกเข้ามาแล้ว ติดดาบปลายปืนเร็ว”
เสี่ยวเว่ยได้ยินดังนั้นจึงรีบชักดาบปลายปืนของเขาออกมาแล้วติดมันเข้าไปที่ปืนของเขา ส่วนจ่าก็ชักดาบออกมาเพื่อเตรียมสู้
“ทหารทุกคน สู้ตาย!!”
จ่าตะโกนดังลั่นไปทั่ว จากนั้นเหล่าข้าศึกที่กำลังบ้าคลั่งนับร้อยก็ถือปืนก็บุกเข้ามายังหลุมหลบภัยของพวกเขา แล้วตะลุมบอนกันทหารฝ่ายที่กำลังตั้งรับอย่างดุเดือด เสี่ยวเว่ยพยายามป้องกันตัวเองแล้วหาทางออกไปจากหลุมหลบภัย แต่ก็ไม่เป็นผล
“จ่า ระวัง!!” เสี่ยวเว่ยเห็นพวกมันคนหนึ่งกำลังจะแทงจ่าด้วยมีด เสี่ยวเว่ยจึงยิงมันเข้าที่กลางกบาล ส่วนตัวจ่าก็ใส่กระสุนปืนพกตลับใหม่เข้าไป จากนั้นก็ยิงสกัดพวกมันเอาไว้
“จ่า เราไม่เหลืออีกแล้ว กระสุนเราหมดแล้ว”ทหารคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นตะโกนบอกจ่าไปในทันที
“นี่ จ่าเฉิน ไม่มีใครอยากตาย ให้เราฝ่ามันออกไปเถอะครับ”ทหารอีกคนหนึ่งพูดอย่างสิ้นหวัง จ่าเฉินตัดสินใจลำบากกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ จ่าเฉินมองหน้าเสี่ยวเว่ยแล้วก็พูดขึ้น
“เราไม่มีทางเหลือ ถ้าอย่างงั้นรีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
ทหารเหล่านั้นได้ยินก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง พวกเขารีบหาทางหนีกลับไปยังส่านซีอย่างเร่งด่วน แต่ดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะถูกล้อมไว้ทุกทาง ทหารที่เหลือต้องสู้ในสภาพที่ต้องเอาชีวิตรอดโดยไม่มีอะไรเหลือ ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสี่ยวเว่ยก็หาทางฝ่าศัตรูหนีไปพร้อมกับจ่าเฉินและพรรคพวก แต่ในระหว่างทาง พวกมันก็ส่งทหารม้าออกตามไล่ล่าพวกของเสี่ยวเว่ยที่เหลือ เพื่อนๆของเสี่ยวเว่ยถูกทหารม้าของข้าศึกควบม้าแล้วฆ่าฟันไปทีละคน จนมันคนหนึ่งก็ควบม้ามายังเสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยจะยิงสววนแต่กระสุนของเขาก็หมดพอดี เสี่ยวเว่ยจึงจะใช้ดาบปลายปืนเตรียมแทง
“ปัง”
จ่าเฉินยิงทหารม้าจนตกจากม้าเพื่อช่วยเสี่ยวเว่ย แต่ตัวจ่าเฉินเองก็โดนทหารม้าคนหนึ่งฟันเข้าที่หลัง จนเสี่ยวเว่ยต้องวิ่งไปแล้วกระโดดแทงมันจนตกจากม้าด้วยความโกรธ เสี่ยวเว่ยรีบไปดูอาการของจ่าเฉินในทันทีด้วยความเป็นห่วง
“จ่า เป็นไงบ้าง”
“นายหนีไปซะเสี่ยวเว่ย ฉันคงไม่รอดแล้ว”
“ไม่นะจ่า ผมจะพาจ่าหนีไป”
แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวเว่ยจะพูดจบ ทหารม้าอีก 5 คนก็กำลังจะควบม้ามายังตัวเขาเพื่อหวังจะสังหาร
“หนีไปซะ เร็ว!!”
เสี่ยวเว่ยจำใจต้องทิ้งจ่าเฉินที่บาดเจ็บ จากนั้นตัวเขาก็วิ่งหนีทหารม้า ในขณะที่พวกมันยังตามจี้เขาอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเสี่ยวเว่ยก็มาหยุดอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ในตอนนั้นเองเสี่ยวเว่ยก็จนตรอกแล้ว
“ยอมแพ้เดี๋ยวนี้!!”
เสี่ยวเว่ยทำอะไรไม่ถูก พยายามจะหาทางหนีออกไป แต่ว่ามันคนหนึ่งก็ชักปืนไรเฟิลออกมาแล้วยิงไปยังเสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยพลัดตกลงไปยังหน้าผาในทันที โดยที่ไม่มีใครทราบชาตะกรรมของเขาหลังจากนั้นเลย
และที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ซึ่งปืนใหญ่สนามกำลังตั้งเรียงรายอยู่ติดกันมากมาย รวมถึงทหารหลายร้อยนายที่ประจำอยู่ที่ปืนใหญ่อย่างแข็งขัน ในขณะเดียวกัน ทหารลาดตระเวนคนหนึ่งก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปรายงานผู้บังคับบัญชาของเขาที่กำลังดูเชิงอยู่บนหลังม้า ทหารลาดตระเวนคนนั้นรีบวันทยหัตถ์เคารพนายทหารคนนั้นในทันที
“ท่านนายพลครับ พวกมันเริ่มฮุบเหยื่อแล้วครับ”
ชายในชุดนายทหารประดับไปด้วยเหรียญตรามากมายได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้น
“ดีมาก เล็งปืนใหญ่ไปที่ค่ายเรา”
“แต่ว่า พวกเราอาจจะตายด้วยครับ”
“นี่เป็นคำสั่ง ยิงเดี๋ยวนี้!!”
หลังจากที่มีคำสั่ง ทหารคนหนึ่งก็ให้สัญญาณทหารปืนใหญ่ในทันที
“พร้อม!!”
“เล็ง!!”
“ยิง!!”
หลังจากที่มีคำสั่ง ปืนใหญ่นับร้อยกระบอกก็ยิงลงไปยังค่ายของพวกเขาที่เพิ่งจะโดนตีแตก แรงระเบิดอันมหาศาลทำลายทั้งทหารและที่กำบังแหลกกระจายราบไม่มีชิ้นดี ทั้งทหารฝ่ายตัวเองและฝ่ายข้าศึก ทุกชีวิตได้สังเวยให้กับปืนใหญ่นับร้อยพวกนั้น หลังสิ้นเสียงปืนใหญ่ ทุกอย่างก็เหลือแต่ความพินาศ ซากศพทหารนับร้อยนอนรวมกัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว นายพลไคได้แต่มองดูความโหดร้ายของตัวเองอย่างอภิรมย์
“ท่านนายพลครับ พวกมันตายหมดแล้ว จะให้ทำยังไงต่อครับ”
“บุกเข้าไป ฆ่าพวกมันให้หมดทุกคน”
ณ ดินแดนเว่ยตงอันเลื่องชื่อ ท่ามกลางสายลมพัดผ่านที่ปลิวว่อนไปมา หมู่ไม้เขียวขจีเติบโตท่ามกลางภูผาสูงชันอันเงียบสงบ ในป่าแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดจอมยุทธ์โบราณถือกระบี่สีดำวิ่งไต่ไปตามต้นไม้ ตามมาด้วยชายสี่คนในขุดจอมยุทธ์ที่กำลังไล่ตามเธออย่างไม่ลดละ
“ตามข้ามาให้ทัน ไม่งั้นพวกเจ้าสอบไม่ผ่านแน่ๆ”หญิงสาวคนนั้นตะโกนไปยังบรรดาจอมยุทธ์หนุ่มที่ไล่ตามเธอมา
“เฮ้อ พี่ซิ่วอิง อย่าคิดว่าวันนี้เราจะยอมนะ”ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งพูดไล่หลัง จากนั้นก็ไล่ตามซิ่วอิงไปติดๆ
“แหม่ วันก่อนเจ้าก็พูดอย่างงี้นะจูไค๋”ศิษย์อีกคนหนึ่งพูดขึ้น
“แล้วไงหล่ะ วันนี้ข้าไม่พลาดอยู่แล้วจางหลง”ศิษย์อีกคนหนึ่งพูดขึ้นจากนั้นก็เร่งลมปราณของเขาตามไปไม่หยุด
“ดีแต่พูดกันนักนะ พวกเจ้าเนี่ย”ศิษย์คนสุดท้ายพูดจากนั้นก็ไล่ตามซิ่วอิงไปเรื่อยๆ แต่ก็ดูเหมือนกับว่าจะไล่ตามซิ่วอิงไปไม่ได้เลย ทั้งเรื่องความเร็วและพลังลมปราณ บรรดาศิษย์ผู้ชายได้แต่หอบแหกๆมองศิษย์พี่ของตัวเองวิ่งนำลิ่ว ซิ่วอิงเธอได้แต่ส่ายหน้ากับความไม่เอาไหนของศิษย์แต่ละคน เธอวิ่งด้วยพลังลมปราณไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอมาเจอกับชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดดำกำลังยืนขวางทางเธออยู่ เธอเห็นกระบี่สีดำของเขาจึงหยุดวิ่งทันที จากนั้นเธอก็มาหาชายคนนั้นที่กำลังรอเธออยู่
“ซิ่วอิง ยังเร็วไม่เปลี่ยนเลยนะ”ซิ่วอิงรีบคารวะเขาในทันทีเมื่อเขาพูดเสร็จ
“ท่านพี่ ท่านมีอะไรหรือเปล่าคะ”ซิ่วอิงถามไป ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆที่ตามมาต่างก็เห็นตัวเขา พวกเขาพยายามหาที่หลบในต้นไม้ แต่ก็ไม่ได้ผล เมื่อศิษย์พี่คนนั้นเห็นพวกเขาแล้ว
“พวกเจ้าก็ออกมาได้แล้ว ไม่ต้องซ่อนจากข้าหรอก”ศิษย์พวกนั้นถึงกับหน้าเจื่อนแล้วเดินออกมาในทันที
“ศิษย์พี่หวัง พวกเรากำลังฝึกวิชา ไม่ได้เที่ยวเตร่นะครับ”
“ข้ารู้ แต่ท่านพ่อขอให้เราไปที่ทุ่งหญ้าดอกเหมยหน่ะ ตอนนี้เลย พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา”
ศิษย์พี่หวังเหว่ยไม่รอช้าใช้ลมปราณของตัวเองเดินทางออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนซิ่วอิงและศิษย์คนอื่นๆก็ใช้วิชาลมปราณเหยียบเมฆาไล่ตามศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไปในทันที
ณ ทุ่งหญ้าดอกเหมย ดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าอันเขียวขจี สายลมเย็นพัดโชยมาโบกผิวให้หนาวเหน็บ แต่ดูท่าว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายวัยกลางคนกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆลูกหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่ และในไม่กี่อึดใจ หวังเหว่ย ซิ่วอิงกับศิษย์คนอื่นๆก็กระโดดลงมาด้านหลังชายหญิงคู่นั้น จากนั้นพวกเขาก็คารวะทั้งคู่ในทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรียกพวกเรามามีอะไรหรือเปล่าคะ”ซิ่วอิงรีบถามไป
“การฝึกเป็นยังไงบ้างหล่ะ”ผู้เป็นแม่ถามเธอไป
“ราบรื่นดีค่ะข้ายังคงฝึกตนตามวิถีกระบี่มารอยู่เสมอเจ้าค่ะ”ซิ่วอิงพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกท่านเรียกเรามามีอะไรขอรับ”หลงเหว่ยถามอย่างสงสัย
“พวกเจ้าดูตรงนั้นสิ”
ผู้เป็นพ่อได้ชี้ไปยังเขตทุ่งหญ้าอันเขียวขจี แต่ในตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยบรรดาชาวบ้านผู้อพยพในเสื้อผ้ามอมแมมนับร้อยรับพันครอบครัวที่กำลังเดินทางผ่านเว่ยตงมากันยกใหญ่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเดินทางมาจากไหนกัน เพียงแต่รู้ว่าระหว่างทางพวกเขาต้องพบเจอกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัวแน่ๆ บรรดาลูกศิษย์ของสำนักต่างก็นินทาเรื่องนี้กันยกใหญ่
“ท่านพ่อเจ่ออี๋ พวกเขามาจากไหนกันเนี่ย”ซิ่วอิงถามอย่างสงสัย
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้อิงฮวากำลังหาอาหารกับที่พักให้พวกเขาอยู่ ลองไปดูสิ”
“น้องฮวาอยู่ในนั้นเหรอครับ ถ้าอย่างงั้นพวกเราไปก่อนนะครับ”
หวังเหว่ยและคนอื่นๆรีบกระโดดลงไปด้านล่าง จากนั้นพวกเขาก็เดินไปที่โต๊ะๆหนึ่ง ซึ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งกำลังตุ๋นน้ำซุปและแจกซาลาเปาให้กับชาวบ้าน ซิ่วอิงกับหวังเหว่ยรีบวิ่งไปหาเธอในทันที
“อิงฮวา เป็นยังไงบ้าง”หวังเหว่ยถามเธอไป
“ท่านพี่ มีชาวบ้านมาราวสามร้อยเดินทางมาตลอดทั้งวันเลยค่ะ ตอนนี้ทิงฟงกำลังระดมคนไปหาฟืนฟางมาทำที่พักชั่วคราวอยู่หน่ะค่ะ”อิงฮวาพูดในขณะที่กำลังตักซุปให้กับหญิงชราคนหนึ่ง
“มานี่ๆ เดี๋ยวพี่ช่วยนะพวกเจ้ารีบไปหาฟืนฟางในป่าเร็ว”ซิ่วอิงหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งให้หญิงชราคนนั้นแล้วก็สั่งให้ศิษย์คนอื่นๆเข้าป่าไปหาฟืนฟางมาทำที่พักให้ชาวบ้าน และในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดดำที่กำลังถือฟืนเพียงหยิบมือก็เดินมาทางซิ่วอิง จากนั้นเขาก็วางไม้ลงตรงหน้าซิ่วอิงแล้วก็พร่ำบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย
“นี่ ทำไมถึงต้องมาทำแบบนี้กันด้วยเนี่ย ไม่ใช่เรื่องของเราเลยนะ”
“นี่ เจ้าไม่สงสารชาวบ้านตาดำๆบ้างหรือไงอิ๋งฉง”อิงฮวาบ่นใส่เขา
“นั่นสิ หรือเจ้าจะกลับไปสำนักก่อนก็ได้นะ ไม่มีใครว่าเจ้าหรอก”ซิ่วอิงพูดเสริม จากนั้นอิ๋งฉงก็หัวเสียสะบัดหน้าเดินหนีไปทันที
“เหม็นขี้หน้าเจ้าบ้านั่นยิ่งนัก อาจารย์ควรไล่มันออกไปจากสำนักได้แล้ว”จูไค๋พูดไล่หลัง
“มันถือว่าเป็นคนโปรดของนายหญิงปิงหลี่ เลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ วันก่อนข้าแอบเห็นมันแอบเข้าไปในห้องของอิงฮวาด้วย”จางหลงพูดขึ้น
“ช่างมันก่อนเถอะ ข้าว่าพวกเจ้าช่วยดูแลชาวบ้านก่อนดีกว่า”หลงเหว่ยพูดขึ้นจากนั้นเขาก็เดินไปช่วยชาวบ้านแถวนั้นสร้างที่พักชั่วคราวที่ทำจากไม้และฟางให้บรรดาชาวบ้านอพยพผู้น่าสงสารเหล่านั้น
ณ เขตแดนของสกุลเจ้า ซึ่งตั้งอยู่บนยอดผาสูงชันลูกหนึ่ง มีป่าไม้อดุมสมบูรณ์อย่างมาก และภายในบ้านหลังหนึ่งที่ปลูกบนต้นไม่ใหญ่ ชายคนหนึ่งในชุดสีขาวกำลังนั่งเป่าขลุ่ยอย่างสบายใจอยู่ในบ้าน บทเพลงของเขาได้ขับกล่อมพื้นป่าให้สงบเงียบ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสงบเงียบได้ไม่นาน จู่ๆก็มีเสียงคนมาจากด้านนอก เขารีบคว้าดาบของเขาแล้วกระโดดออกไปพบกับเจ้าของเสียงในทันที
“ท่านพี่หลานหยู ข้ามีข่าวมาแจ้งพี่หน่ะ” หญิงสาวในขุดขาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“ข่าวอะไรงั้นเหรอกวนเทียน บอกพี่มาสิ” หลานหยูตอบไป
“ในเขตสกุลจินค่ะพี่ ตอนนี้มีชาวบ้านอพยพมาจากไหนก็ไม่รู้หนีมาในเขตสกุลจินค่ะ และคาดว่าจะไปถึงเขตอื่นด้วยค่ะพี่”
“หือ แล้วท่านพ่อรู้เรื่องนี้หรือยัง” หลานหยูถามเขากลับไป
“รู้แล้วค่ะ อีกไม่นานคงจะมีการประชุมระหว่างสำนัก ท่านพี่จะไม่ไปจริงๆเหรอคะ ข้าคิดถึงท่านพี่นะ”
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง ระหว่างนี้น้องช่วยดูแลท่านพ่อที ดูแลตัวเองด้วยนะกวนเทียน ดูเหมือนข้าต้องกลับมาจับดาบแล้วสินะ”
“ได้ค่ะพี่” กวนเทียนคนนั้นรีบใช้ลมปราณเหาะออกไป ปล่อยให้หลานหยูนั่งคิดอะไรไปพลางๆอยู่บนโขดหิน เขาปลีกตัวเองเพื่อออกจากความวุ่นวายมานาน บัดนี้ความวุ่นวายครั้งใหม่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
ณ บ้านสกุลหม่า ซึ่งตั้งอยู่ในป่าหินแห่งหนึ่งของเว่ยตง ซึ่งเรียงรายเต็มไปด้วยหินต่างๆมากมายทั้งขนาดเล็กและใหญ่ แต่หินขนาดเล็กนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจ แต่เป็นหินก้อนใหญ่ซึ่งบรรดาชายหญิงร่างกำยำที่กำลังแบกมันไปมาเพื่อทำการฝึกฝน ในระหว่างนั้นเอง ณ ถนนแห่งหนึ่งที่กำลังทอดยาวเป็นทางไกลเข้าสู่ป่าหินแห่งนั้น มีรถยนต์อังกฤษสีน้ำเงินค่อยๆขับมายังพื้นที่ที่พวกสกุลหม่ากำลังฝึกฝน เมื่อรถนั้นมาจอด เหล่าศิษย์ทุกคนก็หยุดการฝึกซ้อมในทันที โดยที่ชายร่างกำยำและหญิงสาวอรชรคนหนึ่งก็เดินมายังรถคันนั้นเพื่อดูในทันทีว่าใครมาและในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่ซึ่งเป็นเจ้าของรถก็ออกมาโบกมือทักทายในทันที
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว”
“พี่โหลวฟาง เกอโย่วกลับมาแล้ว” หญิงสาวคนนั้นรีบไปหาเกอโย่วในทันทีด้วยความคิดถึง
“ท่านสบายดีนะ ท่านพี่ลี่หยวน”
“สบายดี นี่ๆมาทักทายพี่โหลวฟางก่อนสิ”
“อืม เจ้านี่มันคืออะไรหล่ะเนี่ย” โหลวฟางลองพยายามยกมันดู ซึ่งก็ยกได้ไม่ยาก แต่เกอโย่วต้องห้ามไว้ก่อน
“ท่านพี่ นี่คือรถยนต์ จากอังกฤษเลยนะท่านพี่ มันใช้แทนม้าได้นะ”
“แล้วนี่เจ้าไปเรียนเมืองนอกมาเป็นยังไงบ้างเนี่ย” เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น ทั้งโหลวฟางและลี่หยวนต้องคำนับเขาในทันที เกอโย่วก็ด้วย
“ท่านพ่อ ข้าเอาวิชาความรู้ทุกอย่างกลับมาให้ท่านพ่อแล้วครับ”
“อืม ว่าแต่ เจ้ายังถือทวนไหวอยู่นะ”
“แน่นอนขอรับท่านพ่อ”
“อืม พรุ่งนี้จะมีการชุมนุมบรรดาแต่ละสกุล พวกเจ้าต้องไปด้วยนะ”
“รับทราบท่านพ่อ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน
ณ บ้านสกุลข่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงผาแห่งหนึ่งในเขตเว่ยตง บรรดาลูกศิษย์ของสำนักต่างพากันฝึกซ้อมวิชาธนูของพวกเขากันอย่างหนัก ลูกธนูนับร้อยดอกที่กำลังยิงใส่เป้าหินขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน และมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินฝึกซ้อมให้กับบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่กำลังฝึกอย่างหนัก เขาตะโกนเพื่อปลุกเร้าลูกศิษย์คนอื่นๆไปด้วยเพื่อให้พวกเขาเริ่มฝึกหนักขึ้น
“เอาหล่ะ ตั้งใจฝึกกันหน่อย พวกเจ้าต้องยิงให้ก้อนหินนั่นพังให้ได้”
บรรดาลูกศิษย์พากันเหงื่อตก เพราะไม่ว่าจะยิงไปกี่ดอก ก็ไม่สามารถที่จะทำลายหินก้อนนั้นได้เลย
“นี่ พวกเจ้าไม่ได้เรื่องเลย ไหนจินฮัว แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ”
หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งซึ่งมาพร้อมกับธนูคู่ใจของเธอเดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเธอก็หยิบลูกศรมาแล้วง้างคันธนูในทันที
“ฟิ้ว”
หลังจากที่เธอยิงธนูออกไป ลูกดอกก็ปักเข้าไปกลางหิน หินยักษ์ก้อนนั้นก็ค่อยๆเกิดรอยร้าวแล้วพังทลายลงมาในชั่วพริบตา ทำเอาศิษย์คนอื่นๆถึงกับตกตะลึง
“เอาหล่ะ พวกเจ้าต้องดูจินฮัวเป็นตัวอย่างนะ”
“ท่านพี่หวังเจ่ย ท่านไม่ลองดูบ้างเหรอ” จินฮัวถามชายคนนั้นไป
“อย่าเลย เจ้าก็รู้นี่ฝีมือเขาร้ายกาจมาก เดี๋ยวศิษย์เราจะตกใจ” ชายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับหวังเจ่ยพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรโฮจิน ข้าอยากทดสอบอยู่เหมือนกัน”
หวังเจ่ยหยิบลูกธนูมาดอกหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเข้าไปกลางเป้าหินสามก้อนที่เรียงกันอีกด้านหนึ่ง เมื่อเขายิงเข้าไป ลูกศรนั้นก็ทะลุผ่านหินทั้งสามก้อน จนหินพวกนั้นก็ร้าวและแตกเป็นเสี่ยงๆในทันที
“เยี่ยมไปเลยท่านพี่ แบบนี้ท่านก็สามารถไปสู้กับสกุลอื่นพรุ่งนี้ได้แล้วสินะ” โฮจินพูดขึ้น
“พรุ่งนี้จะไม่มีการต่อสู้อะไรหรอก เราแค่ไปรวมตัวกันเฉยๆ พวกเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน” หวังเจ่ยบอกกับพวกเขาทั้งสองคนไป
ณ บ้านสกุลต้า ซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกอันเงียบสงบ ควันไฟจากการต้มยาลอยโขมงขึ้นฟ้าจนเห็นได้จากระยะไกล ซึ่งแต่ละคนกำลังฝึกในการปรุงยา แต่ในห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยหลอดทดลองทางวิทยาศาสตร์ปนกับอุปกรณ์ปรุงยาศาสตร์จีน ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็กำลังหยอดสารตัวนั้นทีตัวนี้ทีลงในหลอด จากนั้นก็ผสมกันไปมา ในขณะเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นก็ไปสะกิดชายหนุ่มคนนั้นในทันที
“แว้ก!!”
“นี่ พี่เฟิงเทียน ตกใจอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวคนนั้นตอบไป
“โธ่ หลันฮวา พี่ก็ตกใจหมด จู่ๆก็โผล่เข้ามา” เฟิงเทียนพูดพลางถอนหายใจ
“นี่พี่ยังทดลองของฝรั่งพวกนั้นอยู่งั้นเหรอ”
“แน่นอน ในยุคศตวรรษแบบนี้ เราต้องก้าวหน้าบ้างสิ” เฟิงเทียนพูด จากนั้นเขาก็หยิบทวนของเขาซึ่งเขาดัดแปลงมันให้สามารถคดหรืองอได้ตามใจนึก เขาหยิบมาแล้วก็โชว์ความสามารถของทวนนั่นให้กับหลันฮวาดู หลันฮวาถึงกับอึ้ง
“ยอดเยี่ยมท่านพี่ แต่ว่าศิษย์พี่ของเราอยู่ด้านนอกนะ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ไปเจอกับพี่เลยสิ” เฟิงเทียนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบออกไปพบกับศิษย์พี่ของเขาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาววัยกลางคนแต่ยังมีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้า เธอกำลังรอทั้งคู่อยู่ที่ด้านนอก เมื่อทั้งคู่มา เธอก็เข้าไปพูดกับทั้งคู่ในทันที
“นี่ พวกเจ้ารู้หรือเปล่า พรุ่งนี้จะมีการรวมตัวของกลุ่มนักยุทธ์ พวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง”
“ข้าพร้อมอยู่แล้วน่าพี่หงฝู” เฟิงเทียนพูดขึ้น
“หลันฮวา ยังไงเธอก็พาท่านพ่อท่านแม่เราไปด้วยก็แล้วกันนะ”
“รับทราบค่ะท่านพี่”
ณ บ้านสกุลหนี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตถ้ำใต้ภูเขา หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีม่วงพร้อมปิดหน้ากากกำลังค่อยๆย่องเข้ามาด้านในถ้ำ ในขณะที่ชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ด้านในถ้ำ หญิงสาวคนนั้นก็ค่อยๆย่องแล้วชักมีดออกมา เพื่อหวังทำอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนั้นเอง ชายแก่คนนั้นก็ลืมตาแล้วปามีดบินเข้าไปด้านหลังเธอ เธอคนนั้นกระโดดหลบแล้วปามีดกลับไป ชายแก่คนนั้นรีบจับมีดด้วยมือเปล่าแล้วทิ้งลงพื้นในทันที จากนั้นก็พูดขึ้น
“ทำได้ดีมากเจาจวิน” หญิงสาวคนนั้นได้ยินจึงคุกเข่าคำนับเขาในทันที
“ท่านพ่อ กล่าวชมเกินไปแล้ว”
“ข้าว่าเจ้าพร้อมแล้วหล่ะกับวันพรุ่งนี้ เจ้าต้องทำให้เห็นว่าสกุลของเรามีดีกว่าที่สกุลอื่นคิด”
“แน่นอนค่ะท่านพ่อ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“ว่าแต่ ช่วงนี้เจ้าเจอกับฮุยจินหรือเปล่า” ชายคนนั้นถามขึ้น เจาจวินถึงกับตอบไม่ถูก
“ท่านพ่อ ข้าไม่เคยเจอเขาเลยนับแต่วันนั้น”
“อืม ช่างมันเถอะ ข้าเกือบจะลืมเขาได้อยู่แล้ว เอาเป็นว่า พรุ่งนี้เจ้าเตรียมศิษย์ของเราให้พร้อมก็แล้วกัน”
“ค่ะท่านพ่อ” เจาจวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน เธอก็เจอกับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดจอมยุทธ์รัดรูปกำลังค่อยๆเดินออกไปนอกถ้ำ เจาจวินรู้ในทันทีว่าเธอเป็นใครจึงรีบไปทักทายกับเธอในทันที
"พี่ฮุ้ยซิ่ว พี่จะออกไปไหนงั้นเหรอคะ" ฮุ้ยซิ่ว ศิษย์เอกอีกคนหนึ่งในสำนักที่ฝีมือร้ายกาจมากซึ่งเจาจวินนับถือเธอในฐานะพี่สาวแท้ๆ เธอได้ยินดังนั้นจึงตอบเจาจวินไปทันที
"พี่กำลังจะกลับเข้าเมืองหน่ะ พี่ว่าจะไปทำงานต่อ"
"แล้วงานของท่านพี่เป็นยังไงบ้างหล่ะ" เจาจวินถามไป
"อ้อ ก็เรื่อยๆหล่ะนะ พรุ่งนี้จะมีการชุมนุมชาวยุทธ์ เจ้าอยู่ช่วยท่านอาจารย์ไปก็แล้วกันนะ"
"ได้ค่ะท่านพี่" เจาจวินพูดขึ้น แต่จู่ๆฮุ้ยซิ่วก็ชักมีดของเธอออกมาจากนั้นก็แทงพุ่งเข้ามาที่เจาจวิน เจาจวินรู้ตัวจึงรีบปัดป้องไปในทันที
"เจ้าฝีมือดีขึ้นนะ ยังไงก็ขอให้โชคดีนะ" ฮุ้ยซิ่วพูดจากนั้นเธอก็คารวะอาจารย์ของเธอแล้วเดินออกจากถ้ำไป
"รักษาตัวด้วยนะคะท่านพี่" เจาจวินตะโกนไล่หลังไป
ณ บ้านสกุลจู ซึ่งตั้งอยู่ที่ลานกว้างแห่งหนึ่งติดกับชายป่า ซึ่งมีหุ่นไม้มากมายตั้งเรียงรายอยู่ โดยที่บรรดาศิษย์ของสำนักนี้ต่างก็ซ้อมต่อยกับหุ่นไม้อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่มีชายหนุ่มสามคนกำลังคุมการซ้อมอยู่ และในขณะเดียวกันนั้นเอง หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินถือพัดออกมาดูการฝึกซ้อมด้านนอกพร้อมกับหญิงชราถือไม้เท้าคนหนึ่ง เธอทั้งคู่รีบเข้ามาหาชายทั้งสามคนนั้นในทันที
“ซื่อหง จงซาน ฟานจิง พวกเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
ชายสามคนนั้นเมื่อเจอกับเธอ ก็คุกเข่าคารวะในทันที
“คารวะท่านแม่จิงหวู่ ท่านยายเหออัน”
“เอาหล่ะๆ พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” ยายเหออันพูดขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็ลุกขึ้นมาในทันที
“ท่านแม่ ท่านยาย เราสามคนเตรียมพร้อมกับวันพรุ่งนี้แล้วขอรับ”
“อืม ดีมากซื่อหง แม่เชื่อในตัวพวกเจ้านะ” จิงหวู่ตอบเขาไป
“เออนี่ ว่าแต่พวกเขาจะชุมนุมกันเรื่องอันใดงั้นเหรอ” ยายเหออันถามไป
“ไม่ทราบเหมือนกันครับท่านยาย เราน่าจะได้รู้พรุ่งนี้ขอรับ” จงซานตอบไป
“ว่าแต่ ท่านพ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอครับท่านแม่”ฟานจิงถามจิงหวู่ไป แต่จิงหวู่ตอบแค่ว่า
“ป่านนี้ป๊าพวกเจ้าคงจะลอยคออยู่ที่ไหนซักแห่งหล่ะนะ ฮาๆๆๆ” จิงหวู่ตอบไปพลางหัวเราะไปด้วย
“นี่ๆๆ พูดกับสามีเจ้าแบบนั้นได้ไงกันนะ เอาเป็นว่า พวกเจ้าทั้งสามก็เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกันนะ”
“รับทราบครับท่านย่า”
ณ ค่ายของนายพลไคตงฟง เขตส่านซี 50 กิโลเมตรจากชายแดนเว่ยตง บรรดาทหารของนายพลไคตงฟงต่างพากันฉลองให้กับชัยชนะของเขา โดยที่นายพลไคตงฟงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ลานกว้าง โดยเหล่าบรรดานายทหารต่างก็สดุดีชัยชนะของนายพลไคตงฟงกันไม่ขาดสาย
“ท่านนายพลคะ ไม่ว่าศัตรูจะเก่งแค่ไหน ท่านก็สามารถฆ่าพวกมันได้ในไม่กี่กระบวน อีกไม่นาน ท่านก็คงจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีนใหม่แน่นอน”
“กล่าวเกินไปแล้วจื่อวี่ จอกนี้แด่พวกเจ้าทุกคน ดื่ม!!”
หลังจากที่มีคำสั่ง บรรดานายทหารของไคตงฟงต่างก็ดื่มเหล้าในจอกของตัวเองกันจนหมด
"เราได้ความจริงทั้งหมดแล้ว ความจริงเราน่าจะบุกลงใต้มากกว่า" นายทหารหญิงคนหนึ่งออกความคิดกับนายพลไคตงฟงไป
"ตอนนี้ทางใต้กำลังวุ่นวายหนัก ปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองดีกว่าฮุ่ยชิง" นายพลไคตงฟงตอบเธอไป
"นี่ ท่านฮุ่ยชิงคะ ไม่ทราบว่าท่านกับท่านนายพลจางยังติดต่อกันหรือเปล่าคะ" จื่อวี่ถามเธอไป
"ก็ติดต่ออยู่ ความจริงข้าต้องขอตัวก่อนนะท่านตงฟง ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง" เหมยฮุ่ยชิงพูดขึ้นจากนั้นเธอก็ให้ทหารของเธอเรียกรถม้าแล้วเดินทางออกไปจากค่ายของนายพลไคตงฟงในทันที
“ท่านพ่อ ข้าว่าเราน่าจะยึดทั้งแผ่นดินจีนเลยนะท่านพ่อ”
“ข้ารู้น่า ว่าแต่ไคจิน ไปไหนหล่ะซุยริว”
“คงจะนอนป่วยอยู่ในเต้นท์หล่ะมั้งท่านพ่อ”
“ช่างเถอะ ให้แพทย์ไปดูอาการเขาหน่อยเถอะ”
“ท่านครับ ท่านก็พิชิตทางเหนือได้แทบจะทั้งหมดแล้ว ท่านจะบุกไปไหนต่ออีกครับ” นายทหารคนหนึ่งถามท่านนายพลไป
“เว่ยตง”
“ท่านพ่อ เว่ยตงมันก็แค่นิทานหลอกเด็กน่า” ชิงหยางพูดขึ้น แต่พ่อของเขาก็จ้องหน้าเขาเขม็ง
“ท่านพ่อ น้องคงไม่ได้ตั้งใจหน่ะ” ซุยริวพูดเสริม
“เว่ยตงไม่ใช่แค่ตำนาน ข้ารับรองได้ ที่นั่นจะมีความมั่งคั่งให้พวกเจ้าทุกคนแน่นอน” ในระหว่างที่นายพลไคตงฟงกำลังนั่งดื่ม จู่ๆมีทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานเขาในทันที
“ท่านครับ คุณเหมยฉีพร้อมแล้วครับ”
เมื่อสิ้นเสียงของทหาร เพลงบรรเลงก็ดังขึ้นมาในทันที และปรากฎร่างของหญิงสาวชุดแดงหน้าตาแช่มช้อยออกมาร่ายรำพร้อมกับพัดประจำตัวของเธอ ท่าร่ายรำของเธอทำเอาบรรดาทหารน้อยใหญ่ถึงกับเคลิ้มไป หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ค่อยๆร่ายรำเข้าไปบนตักของนายพลไคตงฟงในทันที
“ท่านนายพลขา ท่านดื่มหนักไปแล้วนะคะ”
“ไม่หรอก ข้ายังสนุกกับเจ้าได้นะ ยังรำได้งดงามเหมือนเดิมเลยนะ”
“คืนนี้ข้าจะร่ายรำแบบส่วนตัวให้ท่านเองนะเจ้าคะ”
และก็ยังไม่ทันที่เหมยฉีกำลังจะจู๋จี๋กับนายพลไค จู่ๆทหารคนหนึ่งก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเขา
“ท่านครับ เราจับกุมตัวนายพลกั๋วมาได้ครับ”
หลังจากนั้นเอง บรรดาทหารก็ลากตัวนายพลกั๋วออกมาที่ลานกว้างต่อหน้านายพลไคและนายทหารคนอื่นๆ นายทหารที่ชื่อนายพลกั๋วนั้นไม่มีสีหน้ากลัวอะไร นอกจากเคียดแค้นในสิ่งที่นายพลไคตงฟงทำ และเขายังกล้าท้าทายนายพลไคตงฟงอีก
“ไคตงฟง คนอย่างแกไม่มีวันตายดีแน่ ไอ้คนทรยศ แกจะต้องตายด้วยคมหอกคนดาบในเร็ววัน”
นายพลไคตงฟงไม่ยี่หร่าอะไร แต่เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้านายพลกั๋วที่โดนจับมัดอยู่
“แกรู้ไหม ฉันทำแบบนี้ไปทำไม ถ้าแกตอบถูก ฉันจะไว้ชีวิตแก”
“เพราะแกมันสารเลวไงหล่ะ ถุ๊ย” นายพลกั๋วพูดแล้วถุยน้ำลายใส่นายพลไคตงฟง แต่นายพลไคก็เตะเข้าไปที่หน้าของนายพลกั๋วจนเขาล้มลง จากนั้นเขาก็ลากคอนายพลกั๋วขึ้นมาให้มองหน้าเขา
“แกตอบผิดหว่ะ ฉันจะบอกให้นะ ราชสำนักในวันนี้อ่อนแอ สิ่งที่มันได้รับก็สมควรแล้ว” เขาพูดจากนั้นก็ต่อยหน้านายพลกั๋วไปหนึ่งหมัด จากนั้นก็พูดต่อ
“ความภักดีโง่ๆงั้นเหรอ ถ้ามันดีจริง ป่านนี้ราชสำนักยิ่งใหญ่ไปนานแล้วหล่ะ ภักดีงั้นเหรอ นี่แหละที่มันทำให้ฉันเซง แบบฮ่องเต้โง่เขลาและขุนนางกังฉินงั้นเหรอ เฮ้อ ยิ่งคนหลับหูหลับตาสนับสนุน สมควรตาย” เขาพูดจบ จากนั้นเขาก็ลากตัวนายพลกั๋วลงพื้นในทันที
“มึงฆ่ากูเลยสิ” นายพลกั๋วพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เอาเครื่องฉีดไฟมาเครื่องหนึ่ง จากนั้นก็ฉีดไฟใส่นายพลกั๋วไป นายพลกั๋วดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางสายตานับร้อยที่จ้องมองเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆตายอย่างอนาถต่อหน้านายพลไค นายพลไคยิ้มมุมปากจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปที่นั่งของเขา และเขาก็เรียกนายทหารหนึ่งคนหนึ่งมาหาเขาด้วย
“ท่านครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” นายทหารคนหนึ่งยืนทำความเคารพกับเขา
“เก็บงานให้ฉันด้วยเจียงเหวิน” นายพลไคตงฟงเดินไปยังที่นั่งแล้วควงเหมยฉีกลับเข้าไปในที่พักของเขา ปล่อยให้เจียงเหวินจัดการงานของเขาไป หลังจากนั้นเขาก็เดินไปเพื่อหาใครบางคนในป่า ซึ่งในตอนนั้นเองชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนเรียกเขาอยู่ริมต้นไม้
“ไงเจียงเหวิน ฆ่าคนอีกแล้วสินะ”
“ว่าไงฟู่เถา วันนี้ตามล่าใครหรือยังหล่ะ”
“ยังเลย วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ งานของฉันมันเยอะหว่ะ”
“ฉันว่าเราหยุดคุยเรื่องงาน แล้วกลับมาเรื่องของเราดีกว่าหว่ะ”
เจียงเหวินเดินเข้าไปจูบประกบปากกับฟู่เถาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งคู่แลกจูบกันอยู่นานโดยไม่แคร์อะไรรอบข้างเลย
“ข้าคิดถึงเจ้าฟู่เถิง”
พวกเขากอดจูบเล้าโลมกันสองต่อสองในป่าที่ค่อนข้างสงบเงียบอย่างหวานชื่น แต่ก็ได้ไม่นาน เพราะคนของนายพลไคตงฟงพยายามสอดส่องทุกคนที่เป็นพวกรักร่วมเพศในค่ายของเขา
ณ ที่ไหนซักแห่งที่ฝั่งแม่น้ำเหลือง เรือตรวจการณ์แม่น้ำลำหนึ่งได้จอดอยู่ที่ริมฝั่งโดยมีกองกำลังคุ้มอยู่หนาแน่นพร้อมอาวุธครบมือ และจากนั้นไม่นาน ชายคนหนึ่งก็ค่อยๆเดินลงจากเรือโดยที่มีบันไดพาดอยู่ จากนั้นชายคนนั้นก็ไปนั่งอยู่บนโขดหินริมน้ำที่พอจะให้คนนั่งได้หนึ่งที่ และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีนกตัวหนึ่งบินมาเกาะบนแขนของทหารคนหนึ่ง ทหารคนนั้นรีบจับนกตัวนั้นจากนั้นก็หยิบเอาข้อความที่ติดอยู่กับกีบเท้านกตัวนั้นมาอ่านทันที เมื่อเขาอ่านเสร็จ เขาก็รีบไปรายงานกับนายทหารคนนั้นในทันที
“ท่านนายพลจางครับ มีคำสั่งจากท่านนายพลตงฟงครับ” ชายในชื่อนายพลจางลุกขึ้นในทันที
“เขาต้องการอะไรอีกหล่ะ”
“อ่า เขาต้องการให้เราตามล่าพวกนายพลกั๋วที่เหลือที่หลบหนีขึ้นไปตามแม่น้ำเหลืองครับ”
“เฮ้อ จะเอาอะไรอีกนะ นายพลกั๋วก็โดนจับไปแล้วนี่หน่า สงครามไม่จบไม่สิ้นจริงๆเลย”
“ผมว่า ท่านนายพลตงฟงขยายอำนาจเร็วเกินไปอยู่นะครับ”
“นั่นฉันก็คิดอยู่ ไม่แน่นะ วันหนึ่งเราอาจต้องรบกับตงฟงก็ได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไปบอกพวกเราให้ติดตามข้าศึกไปตามแม่น้ำเหลืองทันทีเลย”
“ได้ครับท่าน” ทหารคนนั้นรีบวิ่งไปรายงานทหารเรือคนอื่นๆในทันที ในขณะที่นายพลจางก็เอากระดาษข้อความนั่นโยนทิ้งไปในทันที
ณ ท่าเรือนานาชาติแห่งหนึ่งในมณฑลซานตง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือสินค้าแล่นผ่านไปมาทุกวัน และก็เหมือนกับเรือลำอื่นๆ เรือสัญชาติญี่ปุ่นลำหนึ่งมาจอดอยู่ที่ท่าเรือ จากนั้นผู้โดยสารบนเรือก็ค่อยๆเดินลงมาจากเรือ ท่ามกลางผู้โดยสารคนอื่นๆ หญิงสาวในชุดกิโมโนพกดาบซามูไรก็ถือกระเป๋าลงมาจากเรือ จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นเรือกองทัพลำหนึ่งที่กำลังจะล่องไปตามแม่น้ำเหลือง เธอรีบไปที่เรือลำนั้นในทันทีเพื่อไปคุยกับเจ้าของเรือ
“ขอโทษนะคะ คุณจะไปส่านซีหรือเปล่า”
“ใช่ เธอเป็นใครกันหล่ะ”
“หนูมาตามหาท่านนายพลจางจงซานหน่ะ”
“อ่า เธอรู้จักท่านนายพลงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ ฉันชิโนบุ คุณพาฉันไปพบเขาหน่อยได้หรือเปล่าคะ ฉันมีเงินจ่ายให้นะคะ”
“อ้อ เรากำลังจะไปรายงานตัวกับท่านนายพลพอดี ถ้างั้นขึ้นมาเลยครับ”
ชิโนบุรีบขึ้นเรือทหารลำนั้นไปในทันที จากนั้นเธอก็อ่านจดหมายที่แม่เธอเขียนไว้สั่งเสียก่อนตาย จากนั้นเธอก็พูดขึ้นในทันที
“แม่คะ หนูมาหาพ่อแล้วนะคะ”
ณ เขตเมืองหลัวจิง ใกล้ชายแดนเว่ยตง ซึ่งเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นเมืองชายแดนที่บรรดาชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาบ่อยๆ โดยที่ท่ามกลางเมืองแห่งความวุ่นวายนี้ ยังมีภัตตาคารใหญ่ร้านหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งร้านนั้นเป็นร้านที่ทั้งบรรดาชาวจีนและชาวต่างชาติต่างเข้าร้านกันอย่างเนื่องแน่น เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของอาหารร้านนี้ซึ่งถูกปากของผู้ที่ผ่านไปมา และด้านในครัวของร้าน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังใช้วรยุทธ์ของเธอในการนวดแป้งซาลาเปา เธอโยนมันไปทางนั้นทีทางนี้ที จากนั้นก็ค่อยๆใช้มีดผ่าแยกทีละลูก จากนั้นก็แบะเอาใส้ต่างๆใส่เข้าไป จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อนแล้วจับเรียงไว้ แล้วจับไปอุ่นในกองไฟทันที จากนั้นเธอก็เอาผ้าเช็ดเหงื่อไปด้วย แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ๆเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาเธอในร้านทันที
“เจ๊จื่อหลิน แย่แล้ว พวกฝรั่งมันกินแล้วไม่จ่ายตังค์”
หญิงสาวที่ชื่อจื่อหลินเปลี่ยนสีหน้าในทันที จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกซึ่งมีฝรั่งกลุ่มหนึ่งกินแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน แถมยังไปรบกวนลูกค้าท่านอื่นอีก
“เฮ้ พวกเรา มีน้องหนูเป็นของหวานตบท้ายด้วยเว้ย” พวกมันคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อจื่อหลินออกมาหาพวกมัน
“นี่ จ่ายมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่” จื่อหลินบอกพวกมันไป
“ชาวต่างชาติให้เกียรติมาแดก ทำไมต้องจ่ายด้วยวะ” พวกนั้นพูดพลางควงปืนลูกโม่ไปมาโชว์ให้เธอเห็น แต่จื่อหลินไม่พูดอะไรแล้วยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับหยิบไม้กวาดที่อยู่ตรงนั้นขึ้นมาในทันที
“ตุ้บๆๆๆๆ”
เมื่อสิ้นเสียง กลุ่มชายฝรั่งพวกนั้นก็กระเด็นออกมานอกร้านด้วยสภาพที่น่วมเต็มที่
“แม่งเอ้ย เจ้าของร้านนี้ดุชิบเป๋งเลย”
โดยที่จื่อหลินหยิบไม้กวาดตามออกมาด้วย พวกมันเห็นเธอเดินตามมาจึงรีบวิ่งหนีในทันที โดยที่มันคนหนึ่งหนีไม่ทัน จื่อหลินเข้าไปเหยียบที่หลังของมันในทันที
“ทั้งหมดก็ 100 เหรียญเงิน แต่ฉันขอคิดเพิ่ม 10 เท่า เป็น 1000 เหรียญเงิน จ่ายมาซะดีๆ”
ชายคนนั้นรีบควักแบงค์ให้ตามที่จื่อหลินบอก จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปในทันที
“นี่ เสี่ยวเอ้อ เก็บเงินให้หมด แล้วก็เอาปืนพวกมันไปขายให้หมดเลย”
จื่อหลินสั่งเสี่ยวเอ๋อคนนั้น จากนั้นเขาก็ค่อยๆหยิบเงินที่ตกอยู่บนพื้นทั้งหมดกลับเข้าร้าน และที่ด้านในร้าน หลังจบเรื่อง บรรดาลูกค้าโต๊ะต่างๆก็นั่งทำธุระของตัวเองกันต่อ ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ชายหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มวอดก้าในถ้วยแบบจีนโดยที่มีชายคนหนึ่งนั่งกับเขาด้วย จากนั้นพวกเขาก็นั่งดูรูปๆหนึ่งซึ่งพวกเขาถ่ายกันมาได้จากชุมชนชาวรัสเซียในเขตนั้น
“คุณโทมารอฟครับ คุณคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำหรือเปล่าครับ” ชายคนหนึ่งในชุดนายทหารถามเขาไป
“อืม แน่นอน ดูจากสภาพศพแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ตายเพราะปืน และเป็นปืนสมัยใหม่ด้วย แต่ดูเหมือนว่าชุมชนพวกนั้นจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกมันหรอก”
“แล้วคุณคิดว่าเป็นฝีมือใครครับ”
“ฉันยังไม่รู้เลยดาโกวิช แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ คืนนี้ต้องรีบกลับสถานทูตก่อนนะ”
“ถ้าอย่างงั้นผมไปเตรียมรถม้าให้นะครับ”
ดาโกวิชพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินออกไปด้านนอกร้าน ปล่อยให้โทมารอฟนั่งจ่ายเงินกับเสี่ยวเอ๋อในร้าน และอีกด้าหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวก็เดินมาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ โดยที่เธอกำลังจะเข้าไปในร้านนั้น แต่จู่ๆก็มีเสียงของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนเรียกเธอจากแถวนั้น
“สนใจดูดวงหรือเปล่าจ๊ะ ฉันดูจากสีหน้าของเธอแล้ว ฉันดูให้ฟรีนะ”
หญิงสาวคนนั้นเกิดแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอก็หลวมตัวเข้าไปหาหญิงคนนั้นจนได้ หมอดูคนนั้นเห็นหญิงสาวจึงถามเธอในทันที
“เธอชื่ออะไรจ๊ะสาวน้อย ดูเหมือนว่าเธอกำลังหนีเภทภัยอันใหญ่หลวงที่ตามเธอมา เธอเคยมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไร แถมตัวเองในตอนนี้ก็ยังระเหเร่ร่อนไปเรื่อย ใช่หรือเปล่าจ๊ะ”
หญิงสาวคนนั้นถึงกับอึ้งในคำทำนายของหมอดูคนนั้น เพราะตัวเธอในตอนนี้เจอทุกอย่างที่หมอดูคนนั้นพูด
“ใช่ค่ะ หนูชื่อ อ่า.. เอลซ่าค่ะ” เธอตอบไปแบบอ้ำๆอึ้งๆ
“อืม ไม่ใช่ชื่อของเธอเอง แต่ก็ไพเราะพอสมควรนะ”
หมอดูคนนั้นรู้อีกว่าเอลซ่าไม่ใช่ชื่อของเธอคนนั้น ทำเอาเธอถึงกับสนใจขึ้นมา
“คุณป้าช่วยเรื่องในอนาคตให้หนูหน่อยนะคะ หนูจะให้เพชรนี่นะคะ” หญิงสาวเอลซ่าได้หยิบเพชรงามเม็ดหนึ่งให้กับหมอดูคนนั้น หมอดูคนนั้นหยิบเพชรมาในทันที
“เพชรนี่สวยนะ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่จะครอบครองมันได้ เรียกข้าจิ๋นหลื่อวี้ก็แล้วกันสาวน้อย” หมอดูคนนั้นตอบไป ส่วนเอลซ่าคนนั้นก็นั่งดูดวงกับเธออยู่ที่ด้านนอกเพียงลำพัง และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งถือกระเป๋าอะไรบางอย่าง และเขาดูลุกลี้ลุกลนมากในตอนนั้น เขาเผลอไปเดินชนกับชายหนุ่มในชุดจอมยุทธ์ที่เหน็บกระบี่ไว้ข้างตัวจนกระเป๋าของเขาหล่น ชายหนุ่มจอมยุทธ์คนนั้นรีบหยิบกระเป๋าให้กับชายคนนั้นในทันที
“นี่ ท่านทำของท่านตกหน่ะ” ชายคนนั้นหันกลับมาแล้วพูดขึ้นในทันที
“ขอบคุณครับ” เขาพูดแล้วหยิบกระเป๋านั่นกลับมาอย่างรีบร้อน
“นี่ท่านไม่สบายหรือเปล่า” ชายจอมยุทธ์คนนั้นถามไป
“อ่า ข้าไม่มีเวลามากนัก คือว่าที่นี่มีห้องพักหรือเปล่า”
“มีนะ แต่ไม่รู้ว่ายังเหลือหรือเปล่า ปกติร้านนี้แทบจะไม่มีห้องพักเหลือนะ ว่าแต่ท่านเป็นใคร ข้าชื่อมู่เฉิน” ชายจอมยุทธ์คนนั้นแนะนำตัวเขาไป
“ผมฝางหลิน ผมเป็นหมอหน่ะ”
“อ้อ ท่านหมอ ท่านคงจะไปรักษาคนป่วย ข้าไม่รบกวนหล่ะนะ” มู่เฉินพูดจากนั้นก็เดินจากไป ปล่อยฝางหลินคนนั้นรีบไปสะกิดเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งที่กำลังจะเดินไปหลังร้าน
“นี่ๆ ที่นี่มีห้องพักเหลือหรือเปล่า ข้ายินดีจ่ายให้นะ”
“มีครับท่าน เหลือไม่กี่ห้องด้วย ท่านนี่ตามแหลมนะที่เลือกที่นี่ มาๆข้าจะพาไปที่ห้อง”
เสี่ยวเอ้อคนนั้นรีบพาฝางหลินไปที่ห้องพักในทันที โดยที่ฝางหลินจ่ายเงินเสี่ยวเอ้อคนนั้นไปแล้วปิดห้องเงียบไม่ยอมพูดจาอะไรกับใครทั้งสิ้น เขาเผลอไปชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าไปพักด้านในห้องจนธนูที่เขาพกมาหล่นลงพื้น จนในตอนนั้นเสี่ยวเอ้อต้องรีบไปหยิบธนูมาคืนให้กับเขา
"นี่ธนูของนายท่านขอรับ"
ชายคนนั้นรีบหยิบธนูของเขามาแล้วเอาเก็บไว้กับตัวเขา จากนั้นเสี่ยวเอ้อคนนั้นก็ถามต่อ
"อ่า ท่านชาย...."
"ข้าเฟยอวี่ เรียกข้าแบบนี้ก็ได้" เขาตอบกับเสี่ยวเอ้อไป
"อ้อ ขอรับ ข้าจะถามว่าท่านต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าขอรับ"
"ไม่หล่ะ ข้ามีพอแล้ว ข้าขอพักผ่อนนะ"
เฟยอวี่รีบเปิดประตูห้องของเขาแล้วเข้าไปนอนที่ด้านใน ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปที่ไหนซักแห่งในวันพรุ่งนี้
ณ ที่ราบแห่งหนึ่งเหนือเขตเว่ยตง เป็นดินแดนทุ่งราบที่สงบเงียบ บรรดาฝูงม้าวิ่งกันไปมาทวนกระแสลมที่พัดปลิว ที่ค่ายแห่งหนึ่งในแถบนั้น ชายหนุ่มสองคนกำลังเตรียมปะดาบกันท่ามกลางชายฉกรรจ์นับร้อย ชายหนุ่มคนหนึ่งถือดาบโค้งและอีกคนหนึ่งถือดาบคาตานะแบบญี่ปุ่น พวกเขาเข้าประลองกันในทันทีหลังจากที่ได้สัญญาณ ประดาบกันอยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้มีใครแพ้หรือชนะ จนกระทั่งการประลองนั่นต้องสะดุดหยุดลง เมื่อชายคนหนึ่งขี่ม้ามาจากด้านนอก แล้วรีบมารายงานอะไรบางอย่างกับชายที่ถือดาบโค้งในทันที
“ท่านทาร์เมอเลน มีข่าวจากเขตส่านซีครับ ตอนนี้นายพลไคตงฟงยึดได้ทั้งมณฑลแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทัพมาทางเหนือครับ”
ชายหนุ่มทั้งสองต่างแปลกใจแล้วเลิกประดาบในทันที จากนั้นก็พูดคุยกันในทันที
“เซย์ริว เจ้าคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้” ทาร์เมอเลนถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นของเขาไป
“ข้าว่า พวกมันอาจจะขึ้นมายังดินแดนเราก็ได้”
“อืม แล้วพวกมันมีกำลังคนกี่นายกันหล่ะ” ทาร์เมอเลนถามทหารคนนั้นกลับไป
“กองทัพชุดแรกที่จะมา ทหาร 20000 นายพร้อมอาวุธครับ”
“20000 คนเลยเหรอ งานนี้เราอาจจะลำบากแล้วนะ” เซย์ริวพูดขึ้น
“พวกเว่ยตงอาจจะโดนก่อน แต่ไม่เป็นไร รอให้พวกมันปะทะกัน แล้วเราจะรอเสียบพวกมันอีกที จัดเตรียมคนให้พร้อมก็แล้วกัน”
“รับทราบขอรับ”
ทหารคนนั้นรีบเดินออกไป ส่วนทาร์เมอเลนกับเซย์ริวทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำในทันทีเนื่องจากเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว
ตกดึกในคืนเดียวกันนั้นเอง เขตชายแดนเว่ยตง ใกล้หนองน้ำโหวหวา ชายแก่ชราคนหนึ่งกำลังแบกไม้อยู่ที่ริมน้ำท่ามกลางบรรยากาศที่ลมเย็นพัดมาบาดผิว แต่ในตอนนั้นเอง เขากลับสังเกตเห็นร่างของชายคนหนึ่งที่ลอยมาเกยตื้นที่ริมฝั่ง ชายแก่คนนั้นรีบทิ้งไม้ที่เขาแบกแล้วไปดูร่างของชายคนนั้นในทันที
“พ่อหนุ่มๆ ทำใจดีๆไว้นะ”
ชายแก่คนนั้นทำการตรวจชีพจร พบว่าชีพจรยังเต้นอยู่ ชายแก่คนนั้นจึงพาร่างของชายคนนั้นเข้าไปในกระท่อมของเขาในทันที โดยที่เขาวางร่างของชายคนนั้นไว้ที่แคร่ไม้ไผ่ที่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อของชายคนนั้นแล้วใช้พลังลมปราณของเขาแผ่เข้าไปในร่างของชายคนนั้นในทันที แต่เมื่อเขาแผ่ลมปราณไปได้ซักพัก จู่ๆก็ชายแก่คนนั้นก็เกิดประหลาดใจอะไรบางอย่าง เมื่อลมปราณที่เขาให้กลับทำให้เขาฟื้นตัวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ชายแก่คนนั้นก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเองเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร
“พ่อหนุ่มนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
ชายแก่คนนั้นพูดขึ้นจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ชายคนนั้นพักผ่อนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ในกระท่อม ส่วนตัวเขาก็รีบไปทำธุระส่วนตัวก่อนที่เขาจะเข้านอนเหมือนกัน
===============================================================
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับตอนแรก หวังว่าจะชอบกันนะคร้าบ ตอนนี้ตัวละครออกมาครบเลย บางสำนักไม่ครบผมเลยสร้างตัวละครเองซะเลย อิอิ
ตัวละครมากันครบทุกคนนะครับ ผมมาร์คสีดำชื่อตัวละครของแต่ละคนไว้ครับ หวังว่าตอนแรกจะสนุกกันนะครับผม แหะๆ
ถ้าชอบยังไงก็ฝากกด Like นิยายกันด้วยเน้อคร้าบ ขอคนละคอมเม้นท์ด้วย อิอิ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลผมด้วย
ความคิดเห็น