ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้นของพลัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 240
      7
      19 ก.ย. 64

    ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ถึงจะหลุดพ้นซะที??

    .

    “แม่ครับ ผมคิดถึงแม่…”

    .

    “พ่อครับ อย่าทิ้งผมไปนะครับพ่อ!!”

    .

    “นี่แม่ใหม่เรา ทำความรู้จักกันไว้ซะ!!”

    .

    “ฉันเป็นแม่ใหม่แก แกต้องทำตามคำสั่งฉัน!!”

    .

    “ช่วยด้วย ไฟไหม้!!” 

    .

    “พี่นาวิน ช่วยผมด้วยครับ!!”

    .

    “แม่ครับ ผมกำลังจะได้เจอแม่แล้วครับ!!” 

    .

    “ช่วยด้วยๆ คุณหนูวินหมดสติอยู่ที่นี่!!”

    .

    “แม่ครับ พี่นาวินเขาจะฆ่าผม เขาขังผมไว้ในโรงสีนั่น แล้วจะเผาผมให้ตาย!!”

    .

    “ไอ้นาวิน มึงมันไม่ใช่คนแล้ว คุณพี่คะ ฆ่ามันเลยค่ะ!!”

    .

    “ไอ้ลูกชั่วเอ้ย!!”

    “ปัง!!”

    “เฮ้อ!!”

    ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงสุดหรูขนาดคิงไซส์ เขาคิดว่าตัวของเขาหลับไปนานแค่ไหน เขาถึงกับต้องกุมขมับและคิดไปคิดมาถึงเรื่องที่อยู่ในหัวของเขา 

    “นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย นาวิน มันก็หลายปีแล้วนะเว้ย ยังไม่ลืมอีกเหรอ??”

    ตัวของเขาคิดในใจ มองนาฬิกา มันเป็นเวลาตี 3 แล้ว ตัวของเขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ปลายเตียงของเขา แล้วก็พบว่ามีหญิงสาวชุดขาวยืนอยู่ปลายเตียงเขาโดยมีผมยาวปิดหน้าของเธอ 

    “อะไรกัน ถ้าจะมาขอส่วนบุญ ไม่มีหรอก ผมมันก็บาปหนา ไม่รู้เหรอ??” นาวินถามไป จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ค่อยๆหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตัวของเขาเปิดไฟห้องนอนอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบไปมองปฏิทินที่แขวนบนผนังตัวหนึ่ง รวมถึงเปิดไปอ่านหน้าต่อไป มองมันแล้วก็ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย เพราะส่วนแรกของปฏิทินมันมีสัญลักษณ์กากบาทอยู่ แต่มันมาหยุดที่จุดๆหนึ่ง ทำเอาเขาถึงกับแปลกใจ

    “เหลือแค่ 30 วันเองเหรอ??” เขาถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาในหัวเขา 

    “เหลือแค่ 30 วันเองนะนาวิน ที่นายจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้”

    “เออ ไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้” นาวินพูดอย่างเซ็งๆ

    “ครั้งหนึ่งนายเคยอยากจะเป็นอมตะ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจ นายจำได้หรือเปล่า??” เสียงนั้นพูดต่อ ทำเอานาวินถึงกับนึกถึงเรื่องเก่าๆของเขา ที่เคยเกิดขึ้น

    .

    “เฮ้ย ไฟมันมาจากไหน??” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดอย่างแปลกใจและชี้ไปที่ร่างของนาวินสมัยเด็กซึ่งกำลังถูกเผาโดยที่ไม่มีใครไปราดน้ำมันและจุดไฟบนร่างของเขา ทุกคนรวมถึงพ่อ แม่เลี้ยงและลูกติดแม่เลี้ยงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตัวของนาวินค่อยๆถูกเผาด้วยเปลวเพลิงประหลาดนั่น และไม่นานนัก กลุ่มควันนั้นก็ค่อยๆกลับไปรวมกันอีกที่หนึ่งบริเวณไม่ห่างจากจุดที่นาวินตายมากนัก จากนั้นกลุ่มควันก็ค่อยๆรวมกันเป็นตัวของนาวิน ตัวของพ่อที่ได้เห็นแบบนั้นก็ถึงกับแทบเสียสติไปเลย

    .

    “เฮ้อๆๆๆ สวัสดี ผู้เกิดใหม่ ในที่สุดก็เจอชายผู้เป็นอมตะแล้ว!!” เสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของนาวิน หลังจากที่ตัวของเขาหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว 

    “นี่ คุณเป็นใคร??”

    “เจ้าหนุ่ม นายคงยังไม่รู้จักฉัน ฉันคือทูตที่จะบอกทุกอย่างกับนาย ตอนนี้นายตายไปแล้ว และนายได้เกิดใหม่พร้อมพลังวิเศษของนายยังไงหล่ะ!!” เสียงนั้นได้แวบเข้ามาในหัวของนาวิน 

    “อะไรกัน ไม่จริง ผมต้องฝันไปแน่ๆ” นาวินยังพูดเหมือนกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

    “นี่นายยังไม่เชื่อสายตาตัวเองอีกเหรอ นายเคยได้ยินเรื่องโอปปาติกะหรือเปล่า การเกิดในโลกหลังความตายหน่ะ การที่นายฆ่าตัวตายแบบนั้น นายจึงได้กลายเป็นผู้เกิดใหม่ยังไงหล่ะ” 

    “โลกหลังความตาย ถ้างั้นผมก็เป็นผีหน่ะสิ แต่ทำไมทุกคนถึงเห็นผมได้หล่ะ แล้วผมมีพลังพิเศษอะไรหล่ะ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ถ้างั้นฉันจะบอกนายให้ละเอียดเลยแล้วกัน ตั้งใจฟังให้ดีนะ ความจริงแล้วไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะเป็นผู้เกิดใหม่ได้ ต้องเป็นคนพิเศษเท่านั้น พวกเขายังมีอีกเยอะมากในโลกนี้ ปะปนกับมนุษย์อย่างเรา พวกมนุษย์ยังพอจะมองเห็นนายได้ พูดคุยกับนายได้ รวมถึงเทพสมกับนายได้ด้วยนะ ฮ่าๆๆๆ เอาเถิดๆ นอกเรื่องมามากแล้ว พลังพิเศษของนายคือความเป็นอมตะ แต่มันก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน นั่นก็คือ ในตอนที่นายจะเกิดใหม่ ร่างกายนายจะร้อนอย่างทรมานราวกับถูกไฟคลอก ก่อนที่เถ้าถ่านพวกนั้นจะกลายเป็นตัวนายไงหล่ะ” ทูตตัวนั้นพูดขึ้น

    “อ้อ จริงด้วย เหมือนกับตอนนั้นไงหล่ะ” นาวินพูดขึ้น

    “แต่สิ่งที่นายต้องรู้ก็คือ อายุขัยของนายจะอยู่ได้แค่ 100 ปี แล้วอีกเรื่อง นายเป็นผู้เกิดใหม่อันเกิดจากกรรมดี นายช่วยชีวิตเด็กคนนั้นแลกกับชีวิตตัวเองใช่หรือเปล่า แต่ก็โดนหักหลัง น่าสงสารจริงๆ เพราะฉะนั้น ข้อจำกัดของนายคือ ถ้านายทำกรรมดีก่อนตาย ร่างกายของนายจะไม่ทรมานจากการถูกไฟคลอกหน่ะ”

    เมื่อนาวินได้ยินดังนั้น ตัวของเขาจึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีพลังเหนือมนุษย์ จะไม่มีใครหยุดเขาได้ แต่ยังไม่ทันที่นาวินจะลำพองใจ จู่ๆ ชายแก่คนหนึ่งก็รีบเดินมาหานาวินราวกับว่าต้องตามเขามาให้ทัน นาวินรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใครเลยคุยกับเขาในทันที

    “อ้าว ลุงสา มีอะไรหรือเปล่าครับ??” 

    “คุณหนูวิน ลุงเอานี่มาให้!!” ลุงคนนั้นพูดขึ้นแล้วยื่นเอาห่ออะไรบางอย่างให้กับนาวินอย่างรวดเร็ว รวมถึงอีกสองห่อที่เหลือด้วย เมื่อนาวินแอบดูของในห่อ เขาก็พบว่ามันเป็นทองคำและเครื่องเพชรของแม่เขา ซึ่งมีราคาแพงมาก ทำเอานาวินถึงกับถามลุงสาไปในทันที

    “ลุงสา นี่มันของคุณแม่ของผมนี่ครับ”

    “แม่ของหลานสั่งเสียลุงไว้ว่า หากคุณหนูอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ให้เอาทรัพย์สินพวกนี้หนีไปขอรับ ลุงคงต้องหนีไปอยู่ที่อื่นซักพัก เพราะพ่อของหลานคงฆ่าลุงแน่ แม่เลี้ยงใจร้ายคนนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์สินของแม่เจ้ามาหน่ะ” ลุงสาพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ลุงสามาอยู่กับผมเถอะครับ เอาทรัพย์สินไปลงทุนกัน” นาวินบอกกับลุงสาไป

    .

    นาวินไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ตัวของเขาจึงเดินไปที่หัวเตียง จากนั้นก็หยิบเอาปืนพก Berretta กระบอกสีดำที่อยู่บนนั้น จากนั้นก็เอาปืนกระบอกนั้นออกมาเช็ดถูอย่างรวดเร็ว รวมถึงคิดเรื่องเก่าๆของเขาไปด้วย

    .

    ในสมัยก่อน หลังจากที่ตัวของเขาได้สมบัติเก่าจากแม่ของเขามามากโข ตัวของเขาและคนรับใช้เก่าแก่ของแม่เขาบางส่วนได้หนีออกจากบ้านของพ่อนาวินและเดินทางไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง พวกเขากว้านซื้อพื้นที่แถวนั้นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาตั้งใจกันว่าจะปลูกข้าวทำไร่ รวมถึงนาวินยังให้จ้างคนมาฝึกการต่อสู้กับเขา รวมถึงหาอาวุธให้เขา และไม่นานนัก เขาก็ได้กลายเป็นคนร่ำรวยและมั่งคั่ง และในวันหนึ่ง ตัวของนาวินได้นั่งอยู่ในห้องของเขา พร้อมกับถือปืน M1911 แล้วนั่งนึกอะไรบางอย่างในใจ

    “ถ้าเราเป็นอมตะแบบนี้ เราก็สามารถทำอะไรก็ได้หน่ะสิ คุณพ่อ ผมจะทำให้พ่อได้รู้ซึ้ง!!” นาวินพูดขึ้นพลางใส่แม็กกาซีนเข้าไปในปืนทันที

    .

    แต่ในวันหนึ่ง ตัวของเขาได้พบรักกันหญิงสาวคนหนึ่ง นาวินกับเธอรักกันอย่างหวานชื่น จนทั้งคู่ตกลงปลงใจที่จะอยู่ด้วยกัน แต่ในวันหนึ่ง ภรรยาของเขาก็ล้มป่วยด้วยโรคร้าย ตัวของนาวินทำใจไม่ได้เลยกับเรื่องนี้

    “หมอครับ ช่วยเมียผมด้วย หมออยากได้เท่าไหร่หมอบอกผมเลย!!”

    “คุณวินครับ ผมเสียใจด้วยจริงๆ คุณจะไปดูเธอหน่อยก็ได้นะครับ” หมอคนนั้นตอบกลับไป ทำเอาเขาถึงกับวิ่งเข้าไปที่ห้องพยาบาลของบ้าน จากนั้นก็ไปหาเธอแล้วกอดเธอเอาไว้

    “คุณอย่าเป็นอะไรนะ...”

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณวิน คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ถ้าไม่ตายสิแปลก ว่ามั้ย??” หญิงสาวคนนั้นถามไป ทำเอานาวินถึงกับนิ่งไป

    “ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันอีกนะคะ ฉันรักคุณ..” หลังพูดจบ ภรรยาของเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำเอานาวินถึงกับทำใจไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดอยากจะตายตามภรรยาของเขาไป แต่เขาก็ทำไม่ได้

    “นี่ นายลืมพลังของนายแล้วเหรอ นายตายอีกไม่ได้นะเว้ย??”

    “ช่างแม่งสิวะ กูไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าต้องอยู่แล้วเห็นเมียกูตายแบบนี้!!” นาวินตะโกนออกมา

    “เออ นายทำได้แค่อดทนเว้ย เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่หรอก เมื่อครบ 100 ปีเมื่อไหร่ นายก็จะตายตามอายุขัยไปเอง ไม่ต้องห่วง!!” 

    “ขอให้กูทนได้ถึงตอนนั้นเถอะวะ” นาวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

    “เออๆ ในระหว่างนี้ นายอยากจะทำอะไรก็เรื่องของนายก็แล้วกัน”

    .

    นาวินนั่งพักผ่อนอยู่บนโต๊ะตัวนั้นจนเช้า และเมื่อเช้าแล้ว ตัวของเขาก็เดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว และที่ด้านหน้าห้อง ตัวของเขาก็พบกับชายวันกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าห้องของเขา เขารีบมาหานาวินแล้วก้มหัวให้เขาในทันที

    “คุณนาวินครับ!!”

    “ว่าไงเสริม กินไรหรือยังอ่ะ??” เขามองไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานชายของลุงสา

    “เรียบร้อยแล้ว คุณวินเพิ่งตื่นเหรอครับ??” 

    “อ้อ ความจริงตื่นแต่ตอนดึกแล้วหล่ะ ได้ข้อมูลที่ผมให้หาหรือยังหล่ะ??” นาวินถามไป

    “โห นานมากแล้วนะครับ คุณยังตามพวกมันอีกเหรอครับ นี่ครับ” นายเสริมพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นเอาซองเอกสารให้กับนาวินในทันที 

    “อืม ขอบใจมากนะ!!” นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็เอาซองเอกสารเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นก็เทมันออกมาในทันที จากนั้นเขาก็พบรูปๆหนึ่ง ของหญิงสาวและชายหนุ่มคู่หนึ่งกำลังเดินห้างด้วยกัน รวมถึงข้อมูลของชายหญิงคู่นั้น มันเป็นชื่อและนามสกุล และเมื่อนาวินได้เห็นนามสกุล เขาก็รู้ในทันทีว่าเป็นนามสกุลของใคร

    “อ้อ เข้าใจแล้ว นี่คงจะเป็นโหลนของยัยแม่เลี้ยงนั่น” นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็อ่านข้อมูลอีกแผ่นหนึ่งต่อในทันที แล้วก็พบว่ามันมีชื่อของชายหญิงคนนั้น มีสัญลักษณ์วงกลม พร้อมกับชื่ออื่นๆที่โยงกัน พร้อมกับรูปชายหญิงคู่นั้นเดินเข้าบ้านหรูหลังหนึ่ง ทำเอาตัวของนาวินถึงถึงบางอ้อในทันที

    “ในที่สุด กูเสียเวลาเกือบร้อยปีกับเงินอีกมากตามหาพวกมึง ที่แท้พวกมึงก็อยู่กรุงเทพนี่เอง พวกมึงมาทำห่าอะไรที่กรุงเทพวะ??” นาวินพูดขึ้น

    “เฮ้อๆๆ ในที่สุดนายก็เจอพวกเขาแล้วสินะ??” เสียงประหลาดนั่นพูดกับนาวินอีกครั้ง

    “ใช่ แต่พวกนั้นมากบดานอะไรที่กรุงเทพกันหล่ะ??” นาวินถามไป

    “แล้วนายจะเอายังไงต่อหล่ะ??”

    “ก็คงต้องตามล่าพวกมันหน่อยหล่ะ” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องของเขา ตัวของนาวินรีบไปเปิดประตูดูอย่างรวดเร็ว และพบว่านายเสริมกำลังรอเขาอยู่

    “คุณนาวินครับ ลูกชายผมส่งเอกสารนี่มาให้ครับ!!” นายเสริมพูดขึ้นจากนั้นก็ยื่นเอกสารให้กับเขา จากนั้นนาวินก็เดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่มีนายเสริมเดินมาด้วย นาวินเปิดเอกสารดูก็พบว่ามันเป็นเอกสารลับของรัฐบาล มีใจความว่า

    “ความเห็นเรื่องการกำจัดผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เกิดใหม่...”

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณวิน??” นายเสริมถามไป

    “ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังจะเตรียมเล่นงานพวกเราแล้วสิ เป็นไปได้ยังไงกัน??” นาวินพูดขึ้น

    “อาจจะมีคนในรัฐบาลอยากจะเล่นงานคุณก็ได้ครับ กระผมว่า คุณวินควรจะออกตามหาคนอื่นๆเพื่อเตือนภัยดีกว่านะครับ”

    “อืม นั่นสิ ต้องทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน ผมอาจจะไม่ได้อยู่บ้านหน่อยนะเสริม ยังไงผมก็ฝากบ้านด้วยหล่ะ” นาวินบอกกับเสริม จากนั้นตัวของเขาก็เดินไปแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อออกเดินทางตามหาผู้เกิดใหม่คนอื่นๆ

     

    เมื่อ 3 วันที่แล้ว เวลา 7 นาฬิกา กรุงเทพมหานคร รถเบนซ์หรูคันหนึ่งได้ขับมาจอดบริเวณลานจอดรถแห่งหนึ่งในตึกรัฐสภาอันใหญ่โตโอ่อ่า หลังจากที่จอดรถ ชายวัยกลางคนในชุดสูทก็เดินลงมาจากรถ โดยที่ตำรวจสภามาคอยต้อนรับ พวกเขาพากันเดินไปห้องประชุมใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่และเป็นสถานที่ออกเสียงมติ และที่หน้าห้อง เขาก็พบกับนายทหารคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ด้านหน้า ชายคนนั้นรีบไปหานายทหารคนนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อคุยด้วย

    “สวัสดีผู้พันประกอบ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!!”

    “ท่านสุรสิงห์ เชิญด้านในเลยครับ!!” ผู้พันประกอบพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันเข้าไปในห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ซึ่งในห้องก็มีบรรดาคนใหญ่คนโตในฝ่ายรัฐบาลมาคุยกัน เพื่อถกกันเรื่องการปราบปรามผู้เกิดใหม่อย่างรวดเร็ว

    “ท่านทั้งหลาย ภารกิจที่ผมเสนอนี่เป็นภารกิจลับ ผมต้องการเสียงสนับสนุนจากพวกคุณ พวกคุณคงจะฟังรายละเอียดจากผมหมดแล้ว” สุรสิงห์พูดขึ้น

    “ขออนุญาตครับ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าคนพวกนี้เป็นตัวอันตรายต่อมนุษยชาติจริง??” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้ยกมือถามไป

    “ท่านรัฐมนตรี วันนี้ผมมีหลักฐานมาให้ท่าน ท่านผู้พันประกอบจะอธิบายเรื่องนี้เองครับ!!” สุรสิงห์ส่งไม้ต่อให้ผู้พันประกอบไป 

    “ครับท่าน ผมอยากให้ทุกท่านจำวีดีโอที่เราวิสามัญนายชัทนัย ผู้ต้องหายาเสพติดใน 3 วันก่อน แล้วในวันนี้ ทางเรายืนยันว่าพบตัวเขาที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในย่านรัชดาครับ!!” ผู้พันประกอบพูดขึ้น จากนั้นก็ให้คนในสภาได้ดูคลิปดังกล่าวผ่านจอโปรเจกค์เตอร์ และเมื่อพวกเขาได้เห็น ก็พบว่าเป็นนายชัทนัยจริงๆ ทำเอาทุกคนในห้องประชุมถึงกับตกใจ เพราะว่าคนที่ถูกยิงขนาดนั้น ไม่มีทางจะฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆในไม่กี่วัน

    “โอโห้ นี่มันยังไม่ตายเหรอครับเนี่ย??” 

    “ใช่แล้วครับ เราเชื่อว่ายังมีผู้เกิดใหม่แบบนี้อีกมาก แล้วถ้าเกิดพวกมันกลายเป็นอาชญากรขึ้นมา ประเทศนี้จะเสียหายแค่ไหนครับ” ผู้พันประกอบพูดขึ้น

    “เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องดำเนินการกวาดล้างพวกมันอย่างรวดเร็ว และต้องเป็นความลับให้ได้มากที่สุด ชนิดที่ว่าไม่ให้พวกมันรู้ตัว” สุรสิงห์พูดขึ้น

    “แล้วทำไมมันต้องทำให้เป็นความลับแบบนั้นด้วยหล่ะครับ แบบนี้พวกฝ่ายค้านจะไม่เอาเรื่องนี้มาโจมตีเหรอครับ??” 

    “ท่านนายกครับ ถ้าเราทำอะไรโฉ่งฉาง ทั้งกรุงเทพได้ปั่นป่วนแน่ ผมเลยต้องการให้มีการสร้างหน่วยเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อปราบปรามมันโดยเฉพาะครับ” สุรสิงห์พูดขึ้น

    “ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นผมจะทำเรื่องประสานงานไปกับทางตำรวจและกองทัพ ให้พวกเขาจัดการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นมาโดยเร็ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา คุณต้องรับผิดชอบนะ!!” นายกรัฐมนตรีพูดกับสุรสิงห์ไป

    “รับทราบครับท่านนายก” สุรสิงห์พูดขึ้น พร้อมกันนั้นตัวของเขาก็ได้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนไปด้วย

     

    “ป๊า ป๊าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ผมด้วยนะ ผมขอร้อง!!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งพยายามกุมมือพ่อของเขา แต่ดูเหมือนว่าท่านสุรสิงห์ในตอนนั้นไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่

    “แกนี่มันก่อเรื่องไม่สิ้นสุดจริงๆ ไอ้ลูกเวร ไอ้คนที่แกสั่งฆ่ามันดันเป็นผู้เกิดใหม่ด้วย ฉันเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ไม่นึกว่ามันจะมีจริง” สุรสิงห์พูดขึ้น 

    “โธ่ป๊า แต่เราก็มีวิธีกำจัดมันนี่” ลูกของเขาพยายามอ้อนวอนต่อ

    “แต่มันต้องใช้คนและอาวุธเยอะยังไงหล่ะ แล้วก็ไม่ใช่ใครก็ฆ่าไอ้พวกนี้ได้นะเว้ย แกนี่นะ!!” สุรสิงห์ตะคอกใส่ลูกเขาต่อ

    “ป๊าจะปล่อยให้มันฆ่าผมอย่างงั้นเหรอ??”

    “เฮ้อ แกนี่มันจริงๆเลย แกรู้มั้ยว่าพรรคของฉันกำลังเป็นตัวเต็งในรัฐบาล ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาหล่ะก็ชิบหายแน่ แล้วแกก็จะชิบหายไปด้วย!!” สุรสิงห์พูดด้วยความละเหี่ยใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องจำใจทำเพื่อปกป้องลูกชายคนเดียวของเขา

     

    หลังการประชุมจบ ตัวของสุรสิงห์ได้เดินหลบผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ เพื่อไปหาผู้พันประกอบซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่แถวนั้น จากนั้นเขาก็พูดคุยกับผู้พันประกอบต่อในทันที

    “ท่านประกอบ ผมหวังว่างานนี้จะสำเร็จด้วยดีนะ” สุรสิงห์พูดขึ้น

    “แน่นอนครับ ขอแค่รัฐบาลมีคำสั่ง ผมจะคัดเลือกตำรวจทหารที่จะใช้ในงานนี้เอง” ผู้พันประกอบพูดขึ้น

    “พรุ่งนี้จะมีคำสั่งอย่างเป็นทางการ คุณไปดำเนินการตามนั้นได้เลย” สุรสิงห์พูดขึ้น

    “ได้เลยครับผม ผมรับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวัง” ผู้พันประกอบบอกกับสุรสิงห์ไป โดยที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีชายคนหนึ่งได้แอบฟังเขาอยู่แถวๆนั้น และไม่นาน ชายคนนั้นก็แอบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังช่วงเวลาปัจจุบัน เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ตึกสูงแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพ บรรดาตำรวจและทหารมากมายเดินทางมารวมตัวกันที่ห้องประชุมแห่งหนึ่ง บรรดานายทหารและตำรวจชั้นหัวกะทิมากมายมารวมตัวกันเพื่อทำภารกิจ และเมื่อพวกเขามารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว การประชุมก็เริ่มขึ้นในทันทีอย่างรวดเร็ว

    “เอาหล่ะ สวัสดีพวกคุณทุกคน ผมผู้พันประกอบ ผมต้องขอโทษที่ไม่บอกภารกิจล่วงหน้ากับพวกคุณก่อน ภารกิจนี้เป็นภารกิจลับ ค่อนไปทางนอกกฎหมาย เพราะฉะนั้น งานนี้เราจึงต้องดำเนินการอย่างลับๆ อย่าให้ประชาชนมาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด คนที่พวกเรากำลังตามล่า พวกนี้มันเป็นตัวอันตราย พวกมันไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป ต้องเป็นคนที่มีดวงพิเสษจึงจะสามารถฆ่าพวกมันได้ หน้าที่ของพวกคุณคือพยายามยื้อเวลามัน เพื่อให้คนของเราฆ่ามันได้ เอาหล่ะ ผมตะแนะนำใครคนที่จะมาร่วมภารกิจกับเรา” ผู้พันประกอบพูดขึ้น และในตอนนั้นชายสองคนก็เดินเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำความเคารพผู้พันประกอบไป

    “คนแรกเขาเป็นตำรวจ จ่าสิบเอกชัยณรงค์ เขาจะมาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจปราบปรามงานนี้โดยเฉพาะ!!”

    “รับทราบครับท่าน!!” จ่าชัยรับคำสั่งไป

    “คนที่สอง เขาเป็นพลเรือน เขาชื่อแสงจันทร์ เขาจะมาเป็นผู้ช่วยของเรา” ผู้พันประกอบพูดต่อ

    “สวัสดีครับ เรียกผมว่าโรว์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “แล้วอีกเรื่อง จะมีหน่วยพิเศษจากต่างประเทศมาช่วยงานเราในครั้งนี้ด้วย เชิญครับ!!” ผู้พันประกอบเรียกตัวเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งให้เข้ามา จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำความเคารพผู้พันประกอบ รวมถึงจับมือไปด้วย

    “พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ รบกวนแนะนำตัวได้เลยครับ!!” ผู้พันประกอบพูดขึ้น

    “สวัสดีครับ ผมชื่อฮาเวิร์ด โล เจ้าหน้าที่พิเศษหน่วย ATR ผมมาเพื่อช่วยพวกคุณครับ แล้วผมอยากจะแนะนำพวกเธอสองคน เธอเป็นหุ่นแอนดรอยด์เทคโนโลยีขั้นสูง คนแรกชื่อเวอร์รีน คนที่สองชื่อรูกิ!!” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นพวกเธอสองคนก็ก้มหัวให้พร้อมกัน

    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ!!” พวกเธอสองคนพูดพร้อมกัน แต่ในระหว่างเดียวกันนั้นเอง มีชายอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วย จากนั้นพวกเขาก็แนะนำตัวอย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีครับ ผมยูริ อดีตหน่วย Seal ยินดีที่ได้รู้จักครับ!!”

    “สวัสดีครับ ผมรูกี้ เป็นเจ้าหน้าที่ที่กำจัดไอ้พวกเกิดใหม่โดยเฉพาะ อย่างไอ้บ้านั่น!!” รูกี้พูดขึ้น จากนั้นก็เล็งปืนใส่ชายคนหนึ่ง ซึ่งเดินตามเข้ามาด้วย ทำเอาชายคนนั้นถึงกับยกมือขึ้นทั้งสองข้าง

    “ใจเย็น ผมก็มาช่วยพวกคุณเหมือนกันนะ รัฐบาลนี้อนุญาตผมแล้ว ผมชื่อวูฟ ยินดีที่ได้รู้จัก!!” ชายผมยาวคนนั้นพูดขึ้น

    “อ่า ส่วนดิฉันชื่อกาลีน่า ฉันเองก็อาสารัฐบาลมาทำงานนี้เหมือนกัน” หญิงสาวหน้าตาสะสวยได้พูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ไหนๆก็แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ผมจะให้คนของผมรับผิดชอบเรื่องข้อมูลก็แล้วกันนะ ส่วนผมต้องขอตัวก่อน ยังไงก็ตามสบายนะครับ!!” ผู้พันประกอบพูดขึ้น จากนั้นไม่นานตัวของเขาก็เดินออกไป และไม่นานนัก นายทหารของประกอบก็ได้รับช่วงต่อบรรยายภารกิจให้เหล่าสมาชิกได้ฟังในทันที

    “ขอแนะนำตัวนะครับ ผมร้อยเอกธีรนัท เอาหล่ะครับ จากข้อมูลที่เราใช้เวลารวบรวมมาประมาณ 2 เดือน เราพบผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้เกิดใหม่ในกรุงเทพ 2 หมื่นคน ข้อมูลจะอยู่ตามนี้ครับ!!” นายทหารคนนั้นพูดขึ้นพลางเปิดสไลด์ให้ทุกคนได้ดู แต่ในตอนนั้น มีผู้เกิดใหม่คนหนึ่งได้เกิดสะดุดตาของรูกี้ รูกี้จึงสั่งให้เขาหยุดรูปในทันที จากนั้นก็พูดขึ้น

    “ไอ้หมอนี่ มันเคยหลุดมือฉันที่จีน ที่แท้มันกลับมาไทยนี่เอง!!” รูกี้พูดขึ้น

    “ว่าแต่ หมอนี่เป็นใครงั้นเหรอ หน้าดูเด็กมากเลย??” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “เราลองสืบประวัติของเขา เขาชื่อนาวิน ยังไม่ทราบนามสกุล แต่เดาว่าเขาน่าจะเกิดปีค.ศ.1906 หน่ะครับ” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น

    “ห่ะ หมอนี่มันอยู่มาเป็นร้อยปีเลยเหรอเนี่ย??” รูกิถามไป

    “ดูหน้าใบหน้าที่ยังคงความเยาว์ พลังของเขาคงจะต้องเป็นอมตะแน่ๆ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นรูกี้ก็ดีดนิ้วเพื่อเป็นสัญญาณว่าถูกต้อง

    “ความเป็นอมตะเหรอ ดี แบบนี้สิถึงจะสนุก!!” วูฟพูดขึ้นพลางหักนิ้วของตัวเองไป

    “เย็นไว้ก่อน เรายังไม่รู้ความสามารถของเขาเลย เขาอยู่มาได้ขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่” จ่าชัยพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ ถ้าเขาเป็นอมตะ เราคงจัดการเขาไม่ได้” โร่ว์พูดขึ้น

    “เอาเถอะ ก่อนอื่นเลยคือเราต้องรู้ก่อนว่าพลังของพวกมันแต่ละคนเป็นยังไง” กาลีน่าพูดขึ้น

    “นั่นสิ ขืนลุยมั่วซั่วแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตายอยู่ดี” ยูริพูดขึ้น

    “ใช่ครับ โชคร้ายก็คือ เรายังไม่รู้ว่าใครมีพลังอะไรเพราะแต่ละคนค่อนข้างเก็บตัวกันดีมาก แล้วผู้เกิดใหม่ที่ประเทศของพวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง??” ผู้กองธีรนัทถามไป

    “พวกมันตั้งเป็นกองกำลัง แต่ไม่มีประชาชนคนไหนเชื่อ เราจึงต้องดำเนินการเก็บพวกมันแบบลับๆหน่ะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ใช่ พวกเราทำแบบเปิดเผยไม่ได้ แต่ผู้เกิดใหม่ที่นี่คงไม่ต่างกับที่อเมริกาหรอก” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ไอ้หมอนี่มีพลังเป็นความอมตะ มันสามารถเผาตัวเองแล้วเกิดใหม่ได้ ตอนจับมันผมต้องใช้ห้องขังพิเศษเพื่อจับมัน แล้วอีกคน คนนี้ หมอนี่มันหนีหมายจับจากสหรัฐอยู่!!” รูกี้พูดขึ้นแล้วชี้ไปยังชายวัยกลางคนคนหนึ่ง จากนั้นก็เอารูปขึ้นโชว์ในทันที

    “อ้อ ดร.ดันเต้นี่เอง เราคิดว่าจะจับมันได้แล้ว แต่เขาหนีมากบดานที่ไทยนี่เอง” รูกิพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าดินแดนนี้จะน่าสนุกแหะ ฉันจะลุยพวกมันให้สนุกมือเลย!!” วูฟพูดขึ้น

    “เย็นไว้ เราทำอะไรต้องมีแบบแผนสิ ไม่อย่างงั้นชาวบ้านชาวเมืองจะเดือดร้อน” จ่าชัยพูดขึ้น

    “จะไปกลัวอะไรหล่ะ ไอ้พวกนี้มันปลีกตัวจากสังคมอยู่แล้วนี่” กาลีน่าพูดขึ้น

    “นี่คุณ จะทำอะไรคิดให้เยอะๆ บ้านเมืองผมก็มีกฎหมายนะครับ” โร่ว์พูดขึ้น

    “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็ต้องเงียบปาก ไม่เข้าใจเหรอไอ้น้อง??” ยูริถามไปแล้วมองหน้าแสงจันทร์

    “เฮ้อ วลีอมตะเลยคำนี้!!” ฮาเวิร์ดพูดพลางกอดอกไป

    “เอาเถอะครับ อย่าเพิ่งเถียงกันเลยครับ ตอนนี้เราคิดว่าเราได้ที่อยู่ของพวกมันแต่ละคนมาแล้ว แต่กำลังของเราไม่พอที่จะจับพวกมันพร้อมกันครับ” ร้อยเอกธีรนัทพูดขึ้น

    “ก็ไปจับพวกมันทีละคนสิ ไม่เห็นยากเลย!!” กาลีน่าพูดขึ้น

    “แบบนั้นคงเสียเวลาเปล่าๆ หน่วยของผมมีคนอยู่ 2 พัน พวกเขาพร้อมจะลุยได้ทุกเมื่อ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “แล้วอีกเรื่อง ผมอยากให้พวกคุณเอานักโทษคดีฆ่าคนตายออกมา แล้วให้พวกมันเป็นเกราะกำบังให้เรา” รูกี้พูดขึ้น

    “เฮ้ย คุณจะบ้าเหรอ จะให้เราเอานักโทษมาใช้งานเนี่ยนะ??” จ่าชัยถามไป

    “เราก็แค่เอามันมาเป็นเกราะกำบังให้เรา แล้วปล่อยให้คนอย่างพวกเราจัดการฆ่าไอ้พวกนั้นเองไงหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “อู้ว เยี่ยมเลย เราใช้งานไอ้พวกนรกนั่นแล้วเก็บมันทิ้งแบบเนียนๆ” วูฟพูดขึ้น

    “เฮ้อ แบบนี้รู้สึกไม่ค่อยดีเลยแหะ” โร่ว์พูดขึ้น

    “เอาเถอะ เดี๋ยวนายก็ชินไปเองหล่ะ หนุ่มน้อย!!” รูกิพูดพลางชกไปที่ไหล่ของเขา

    “ไหนตอนแรกบอกว่าจะรอดูพลังของแต่ละคนไปก่อนไง แล้วตอนนี้จะลุยเลยเหรอ??” ยูริถามอย่างสงสัย

    “ไม่ต้องห่วงครับ เราจะส่งคนไปลองเชิงก่อน ผมจะทำเรื่องของพวกนักโทษคดีฆ่าคนตายให้ออกมาอยู่หน่วยของเรา เราจะทดสอบพลังของพวกมันไปทีละคน” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น

    “อืม ก็ดี แต่พวกมันมีตั้งเยอะ เราจะแบ่งคนออกไปยังไงดีหล่ะ??” จ่าชัยถามไป

    “เราจะเก็บคนที่ดูจะสำคัญก่อนครับ คนที่ดูจะเป็นอันตราย อย่างนาวิน อากิระ ฮารุ โจไซอาห์ ลันโทส ดันเต้ เบล เกเบรียล ส่วนที่เหลือ เราใช้แค่ตำรวจท้องที่ไปจับก็พอแล้วหล่ะ” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น

    “8 คน ถ้าอย่างงั้นเราก็แบ่งกันไปตามล่าเลยสิ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น 

    “ว่าแต่ แล้วใครจะไปตามล่าใครกันดีหล่ะ??” เวอร์รีนถามไป 

    “ถ้าอย่างงั้น ฮาเวิร์ด พาคนไปจัดการอากิระ เวอร์รีน เธอไปจัดการกับฮารุ วูฟ นายไปจัดการโจไซอาห์ จ่าชัย ไปจัดการลันโทส รูกิ คุณไปตามหาตัวดันเต้ รูกี้ ไปจัดการกับเบล ยูริ คุณไปจัดการกับเกเบรียล กาลีน่า ไปจัดการกับอินเนสซ่า ส่วนโร่ว์ ไปจัดการกับนาวิน ผมจะไปจัดการกับหมอนั่นด้วย ถึงหมอนั่นจะเป็นอมตะ แต่ผมก็มีดวงเพชรฆาตเหมือนกัน!!” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น

    “นายห้ามปล่อยให้ไอ้บ้านั่นหลุดมือเด็ดขาด ไอ้น้อง ถามหน่อย เอ็งเคยฆ่าคนมั้ย??” รูกี้หันไปขิงโร่ว์

    “ของแบบนี้มันก็ต้องลองมั้ยหล่ะครับ??” โร่ว์ถามไป

    “ว่าแต่นายก็เป็นพวกเกิดใหม่ไม่ใช่เหรอ นายมีพลังอะไรวะ??” ยูริถามวูฟไป

    “ใครๆก็เรียกฉันว่าหมาป่านักล่า แล้วพวกนายจะได้เห็น” วูฟพูดขึ้น

    “เอาเถอะ คืนนี้ถึงจับพวกมันไม่ได้ อย่างน้อยก็คงได้รู้ว่าพวกมันมีพลังอะไร” รูกิพูดขึ้น

    “ฉันจะไปเตรียมปืนของฉันก็แล้วกัน แล้วอีกเรื่องที่ฉันอยากขอ ไอ้บ้าที่ชื่อภาภิน อย่าปล่อยให้มันหลุดมือเด็ดขาด” กาลีน่าพูดขึ้น

    “ทุกคนจะทำดีที่สุดแน่ครับ ไม่ต้องห่วง เอาหล่ะครับ เราไปเตรียมอาวุธกันเถอะครับ!!” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทุกคนก็แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมพร้อมตามล่าผู้เกิดใหม่ในทันที

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในย่านเยาวราช ในช่วงที่คนเดินพลุกพล่านไปมา รวมถึงจับจ่ายใช้สอย และด้านหนึ่ง ในซอยแคบๆแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะมีเสียงฝีเท้าวิ่งอยู่ด้านในซอยไปด้วย ประกอบกับยืนประชิดกำแพงด้วยความหวาดกลัว

    “กูบอกมึงไปหมดแล้ว มึงจะเอายังไงกับกูอีกวะ กูขอโทษ??” ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินถอยหลังตะโกนถามชายในฮู้ดดำไป

    “มึงแน่ใจนะว่ามันอยู่เบื้องหลัง??” ชายฮู้ดดำถามไป

    “ก็เออดิ เมื่อหลายคืนก่อนมันมาบอกกูว่ามีไอ้ผู้เกิดใหม่บ้าบออะไรนี่กำลังมาแก้แค้นมัน ตอนนี้ได้ยินว่ามันวิ่งแจ๋นไปฟ้องไอ้สุรสิงห์พ่อมันด้วย!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมา

    “งั้นเหรอ แต่ไหนๆก็เจอมึงแล้ว” ชายฮู้ดดำคนนั้นพูดต่อ

    “อย่าทำอะไรกูเลย กูขอโทษ กูแค่ทำตามคำสั่งไอ้แสนมัน!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมา แต่ชายที่ใส่ฮู้ดดำก็ชักปืนออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันไร หมอนั่นใช้จังหวะคว้าเอาเข่งของชาวบ้านแถวนั้นปาใส่ชายในฮู้ดดำ จากนั้นก็วิ่งหนีออกไปในทันที

    “ช่วยด้วย มีคนจะฆ่า…” ชายคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆก็มีรถบรรทุกคันใหญ่คันหนึ่งพุ่งเข้าชนหมอนั่นตอนที่วิ่งไปกลางถนนใหญ่ เสียงดังอึกทึกจนชาวบ้านแถวนั้นรีบมาดูอย่างรวดเร็ว ชายฮู้ดดำยังทำเป็นนิ่ง และชาวบ้านแถวนั้นก็มองมาทางเขาซึ่งกำลังถือปืนอยู่พอดี 

    “ช่วยด้วย คนมีปืน ฆาตกร!!”

    ชาวบ้านต่างตกใจกันยกใหญ่เมื่อได้เห็นเขา แต่เขาก็ยังทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับจะฆ่าชาวบ้านแถวนั้นให้หมด และไม่ทันไร จู่ๆก็มีมือปริศนามาคว้าแขนของเขา จากนั้นก็พาเขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ชายฮู้ดดำคนนั้นดึงแขนออกแล้วเอาปืนเล็งใส่เจ้าของมือในทันที

    “มึงเป็นใครวะ มาเสือกอะไรด้วย??” ชายฮู้ดดำคนนั้นถามไป

    “ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนจับยัดตารางพอดีไอ้หนู”

    “แล้วทำไม กูไม่กลัวหรอก” ชายฮู้ดดำคนนั้นตอบไป

    “แกก็จะหมดโอกาสแก้แค้นไง คิดมั้งสิวะ เลิกทำฟอร์มได้แล้ว มันไม่เท่ห์เลย” ชายคนนั้นตอบกลับไป

    “แล้วมึงตามหากูเจอได้ยังไง??” ชายฮู้ดดำถามไป

    “นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร นายสัมผัสถึงพวกเดียวกันไม่ได้เหรอ ตอนนี้รัฐบาลกำลังตามล่าหัวคนอย่างพวกเรา ฉันมาเตือนทุกคนด้วยความหวังดี” ชายคนนั้นพูดขึ้น ทำเอาชายฮู้ดดำถึงกับนิ่งไป รวมถึงนึกได้ว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากชายคนนี้

    “เอาเถอะ ฉันมาบอกแค่นี้ ถ้าอยากเจอเมื่อไหร่ นายก็รู้ว่าจะตามฉันเจอได้ไง ฉันชื่อนาวิน นายชื่ออะไรหล่ะ??” 

    “ฉันอากิระ!!” ชายฮู้ดดำคนนั้นตอบไป

    “เออ แล้วก็รีบหนีซะ เดี๋ยวตำรวจมาจะซวยกันหมด” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของนาวินก็เดินออกจากซอยไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อากิระยืนสงสัยอยู่ตรงนั้นคนเดียว

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งในเขตรัชดา ถนนเส้นเดิมที่รถราวิ่งกันมากมาย รวมถึงรถคันหนึ่งซึ่งมีชายคนหนึ่งกำลังขับพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งหน้ารถด้วย และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองนั่นมองนี่ไปด้วยเพื่อหาอะไรบางอย่างด้วย และไม่นาน พวกเขาสองคนก็คุยกันในรถต่ออย่างรวดเร็ว

    “นายคิดว่านายเจออากิระจริงๆเหรอ??” หญิงสาวที่นั่งข้างๆเขาได้ถามไป

    “ใช่สิอัญชัน ฉันมั่นใจว่าฉันเจอเขาแน่ๆ” 

    “อืม ว่าแต่นายจะพาฉันไปไหนหล่ะ เสี่ยวหลง??” อัญชันถามไป

    “ฉันขับรถมาแถวนี้ เพราะอากิระชอบมาเดินแถวนี้บ่อยๆหน่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “จะว่าไป ตอนที่หมอนั่นตายก็ใจหายเหมือนกันนะ” อัญชันพูดขึ้น

    “ใช่ แต่ถ้าหมอนั่นยังไม่ตาย ฉันจะไม่ยอมพลาดซ้ำสองอีกแล้วหล่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นชายใส่เสื้อฮู้ดสีดำคนหนึ่งซึ่งเขามองไม่ค่อยชัด เดินเข้าไปในซอยๆหนึ่ง ในตอนนั้นเสี่ยวหลงเห็นจึงได้ปลดเข็มขัดของเขาออกมาในทันที พลางดูเลขไฟแดงที่เป็นสัญญาณ

    “241”

    “4 นาที พอมีเวลาอยู่ บังคับพวกมาลัยที อัญชัน!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้นพลางลงจากรถอย่างรวดเร็ว ตัวของอัญชันทำอะไรไม่ถูกเลยต้องรีบมายังที่นั่งคนขับอย่างทุลักทุเล เสี่ยวหลงรีบวิ่งเข้าไปซอยนั้น แล้วตะโกนหาอากิระไปทั่ว

    “อากิระ นายอยู่ไหน??” 

    เขาตะโกนไปมาแบบไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววของคนที่เขาตามหาเลย เขาวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วก็ดูนาฬิกาไปด้วย ก็พบว่าเวลาใกล้จะหมดแล้ว ตัวของเขาเลยกัดฟันรีบวิ่งกลับไปที่รถของเขาอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาได้เคาะประตูรถไปก่อน อัญชันรีบย้ายที่นั่งอย่างรวดเร็วและให้เสี่ยวหลงมานั่งที่นั่งคนขับ

    “นี่ เหลือแค่ 25 วินาทีเองนะ!!” อัญชันพูดขึ้น

    “เอาน่า อย่างน้อยก็กลับมาทัน” เสี่ยวหลงตอบไป

    “ถ้าเจอด่านนี่ฉันคงโดนซิวไปแล้วนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนได้อีกหน่ะสิ” อัญชันพูดแล้วก็คาดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย

    “ไม่ต้องห่วง ไม่ว่ายังไงฉันก็จะตามหาหมอนั่นเอง แล้วถ้าเธอโดนจับ ฉันจะไปประกันเอง” เสี่ยวหลงพูดอย่างแน่วแน่

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตอนุสาวรีย์ชัย กรุงเทพมหานคร ซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนไปเดินมากนัก มอไซค์คันหนึ่งแล่นเข้าไปในซอยๆนั้น พร้อมกับกล่องอะไรบางอย่าง เข้าไปในซอยนั้นอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าจะเป็นซอยแคบแต่เธอก็แทบไม่ลดความเร็วเลย แต่ไม่ทันไร จู่ๆก็มีมอไซค์อีกคันหนึ่งกำลังขี่สวนมาทางเธอ เธอสัมผัสได้จึงหยุดรถอย่างรวดเร็ว และรถคันนั้นก็หยุดต่อ และชายคนนั้นก็ถอดหมวกกันน็อกของเขาออกมา ซึ่งชายคนนั้นก็คือนาวินนั่นเอง อีกฝ่ายก็ถอดหมวกกันน็อกของเธอออกมาเหมือนกัน จากนั้นเธอก็ตะโกนบอกกับนาวินในทันที

    “นี่ นายเป็นใครมาขวางหน้าฉัน??”

    “นี่ผมมาเตือนคุณดีๆนะ ใจเย็นๆสิ” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วจะมาเตือนอะไร อย่ามาเล่นกับฉันดีกว่า!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น ทันใดนั้นเธอก็เตรียมมือของเธอก็เกิดสะเก็ดไฟลุกขึ้นมาด้วย

    “เก็บไฟของเธอไว้เถอะ เดี๋ยวฉันมีผลกับตัวเองเปล่าๆ” นาวินพูดขึ้น ทำเอาหญิงสาวคนนั้นถึงกับแปลกใจ จากนั้นเธอก็ค่อยๆลดมือของเธอลงในทันที

    “นี่ นายก็เป็น...”

    “เพิ่งจะสังเกตเหรอ ฉันจะมาบอกเธอว่า ตอนนี้พวกเรากำลังโดนตามล่า ช่วงนี้ต้องระวังตัวเอาไว้หน่อย” นาวินพูดขึ้น

    “ใครมันจะมาตามล่ากันหล่ะ แล้วนายรู้ได้ยังไง??” เธอคนนั้นถามไป

    “ผมมีสายอยู่ในรัฐบาล ดูเหมือนว่าพวกเขาเริ่มดำเนินการอย่างลับๆ ถ้าเป็นไปได้ เราควรจะติดต่อกันเอาไว้ดีกว่า” นาวินพูดขึ้น

    “งั้นเหรอ ก็ได้ แล้วนายเป็นใครกัน พักอยู่ที่ไหน??” หญิงสาวคนนั้นถามไป

    “ผมชื่อนาวิน คุณไม่ต้องรู้ที่อยู่ผมหรอก เพราะจิตของพวกเขาสามารถตามหากันได้” นาวินพูดขึ้น

    “ฉันชื่อฮารุ ยังไงก็ขอบใจที่มาเตือนฉัน!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนาวินก็ใส่หมวกกันน็อกของเขาต่อไป จากนั้นก็ค่อยๆขี่มอไซค์สวนทางกับเธอออกไปจากซอยนั้นในทันที ปล่อยให้ฮารุได้แต่หันไปมองเขา

     

    ณ สยามสแควร์ สถานที่ที่ผู้คนมากมายเดินเที่ยวไปมารวมถึงจับจ่ายซื้อของ และบริเวณทางเดินซึ่งมีผู้คนเดินไปเดินมามากมาย เด็กสาวชุดสีเหลืองคนหนึ่งเดินถือร่มสีเหลืองไปมาแถวนั้น ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกเลย เด็กสาวคนนั้นเดินไปตามทางเรื่อยๆ จากนั้นก็เดินเขาซอยๆหนึ่งคนเดียว แต่ในตอนนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครซักคนตามเธอมา เธอเลยหันไปพูดกับชายคนนั้นในทันที

    “ตามหนูมาทำไม??”

    “พี่เป็นห่วงเราเลยตามมาหน่ะ พี่ก็เหมือนกับเรา ไม่ต้องห่วงนะ” 

    “แล้วพี่เป็นใคร พี่ต้องการอะไรจากหนูกัน??” เด็กสาวคนนั้นถามไป

    “ตอนนี้พวกรัฐบาลกำลังตามล่าคนอย่างพวกเรา หนูตัวคนเดียวมันจะอันตรายเปล่าๆ”

    “งั้นเหรอคะ แล้วพี่เป็นใครกัน??” เด็กสาวคนนั้นถามต่อ

    “พี่ชื่อนาวิน แล้วเราหล่ะ??”

    “หนูชื่อลาลิน แล้วหนูต้องไปที่ไหนหล่ะ??” เด็กสาวถามไป

    “หนูไปตามที่อยู่นี้ แล้วค่อยว่ากัน” นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้กับลาลินไป จากนั้นก็เดินหันหลังกลับไป

    “แล้วพี่จะไปไหนหล่ะคะ??” ลาลินถามไป

    “พี่ต้องไปเตือนคนอื่นๆก่อนหน่ะ” นาวินพูดขึ้นจากนั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้เด็กสาวคนนั้นยังคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ณ ตึกหรูแห่งหนึ่งย่านสีลม ตึกเล็กๆแต่หรูหราเมื่อดูจากภายนอก ด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า “Le poison” ซึ่งเป็นสำนักงานของนิตรสารชื่อดังอีกสำนักหนึ่ง ด้านหน้าก็มีผู้คนเดินไปเดินมาตามประสาพนักงานออฟฟิศ และเหมือนเดิม มอไซค์ของนาวินได้ขับมาจอดอยู่แถวๆนั้น จากนั้นเขาก็ลงจากรถแล้วรีบเข้าไปในตึกนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้นเขาก็เจอกับยามที่ห้ามเขาเอาไว้ก่อน จากนั้นยามก็บอกกับนาวินไป

    “คุณมาที่นี่มีอะไรครับ??”

    “ผมมาหา บก. ของที่นี่ครับ” นาวินพูดขึ้น

    “คุณได้นัดเอาไว้ก่อนหรือเปล่าครับ??” ยามคนนั้นถามต่อ แต่ในตอนนั้น สาววัยผมบลอนด์ถือร่มสีดำคนหนึ่งก็เพิ่งจะเดินออกจากลิฟต์ เธอมาเจอเข้ากับนาวิน เธอหยุดนิ่งไปซักพัก จากนั้นก็พูดขึ้น

    “ให้เขาเข้ามา!!” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยามเลยปล่อยให้นาวินเข้ามาหาเธอได้ จากนั้นเธอก็พูดกับนาวินในทันที

    “คุณแน่มากที่มาเหยียบถิ่นของฉัน!!”

    “คุณฆ่าผมไม่ตายหรอก แต่อย่าเสียเวลาอ่านใจผมเลย เดี๋ยวจะมีผลเสียเปล่าๆ ผมมาดีนะ” นาวินพูดขึ้น

    “มาคุยกับฉันหน่อย!!” หญิงสาวคนนั้นจูงมือของนาวินไปที่อื่น จากนั้นก็คุยกับเขาต่ออย่างรวดเร็ว

    “คุณจะบอกอะไรกับฉันกันแน่ แล้วคุณก็เป็นเหมือนฉันใช่หรือเปล่า??”

    “ตอนนี้พวกคนในรัฐบาลกำลังตามล่าพวกเรา คุณเองก็คงจะตกเป็นเป้าแน่นอน” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วทำไมมันต้องตามล่าเราด้วยหล่ะ??” หญิงสาวคนนั้นถามไป

    “คนของผมก็กำลังสืบเรื่องนี้อยู่ ทางเดียวที่เราจะรอดก็คือต้องร่วมมือกับผู้เกิดใหม่คนอื่นๆครับ” นาวินพูดขึ้น

    “อืม แล้วฉันต้องทำยังไงหล่ะ??” หญิงสาวคนนั้นถามไป

    “ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไปหาผมได้ คุณก็รู้ว่าจะตามหาผมได้ยังไง จิตของพวกเรามันเชื่อมต่อกันอยู่ คุณหาไม่ยากหรอก ผมต้องไปรีบเตือนคนอื่นๆแล้วหล่ะ แล้วอีกเรื่อง ถ้าคุณใช้พลังจิตของคุณส่งข่าวให้คนอื่นๆไปด้วย มันจะดีมากเลย” นาวินพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นหญิงสาวคนนั้นก็รั้งนาวินเอาไว้ก่อน

    “เดี๋ยวสิ ฉันชื่อเวียน ยินดีที่ได้รู้จักนะ!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นและยื่นมือให้กับนาวิน และนาวินก็ยื่นมือจับไป

    “ผมชื่อวิน!!” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกจากตึกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ตัวของเวียนยืนมองอยู่ด้านหลังเขาไป 

     

    ณ คอนโดแห่งหนึ่งในย่านทองหล่อ ชั้น 25 ของตึก ห้องๆหนึ่งซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่หน้าคอมของเขาซึ่งมีคอมมากมายทั้งคอมพีซีรวมถึงโน๊ตบุ๊ค เขานั่งพิมพ์คอมอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าพยายามจะทำอะไรบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เกิดมึนหัวขึ้นมา และพยายามฟังสิ่งที่มันเข้ามาในหัวของเขา

    “รัฐบาลกำลังตามล่านาย...”

    หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้สติกลับมา ตัวของเขาก็ลองวางมือของเขาบนมือถือเครื่องหนึ่ง จากนั้นไม่นานเขาก็หยุดนิ่งไปรวมถึงพยายามกลั่นกรองข้อมูลที่เขาได้รับ 

    “สุรสิงห์...การสนทนา...”

    ตัวของเขาพยายามฟังข้อมูลที่เขาได้มาจากการคุยโทรศัพท์ของ ส.ส. สุรสิงห์ จากนั้นตัวของเขาก็ต่อ USB โทรศัพท์กับลำโพงของเขา รวมถึงหยิบเอาโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งมาอัดเสียงเอาไว้

    “อืม ต้นเหตุมาจากนี่เอง!!”

    ตัวของเขานั่งฟังไปเรื่อยๆ อัดเสียงเข้าโทรศัพท์ จากนั้นไม่นานเขาก็พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเขากดหยุดการบันทึกเสียงเอาไว้ จากนั้นตัวของเขาก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงไปคาจอคอมในทันที

     

    ณ ย่านชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูภายนอกเหมือนกับตึกสำนักงานธรรมดา แต่ด้านในเป็นบ่อนคาสิโนมีระดับ ซึ่งบรรดานักพนันมากมายมาเล่นพนันกันอย่างเนื่องแน่น และที่โต๊ะโป๊กเกอร์โต๊ะหนึ่ง ซึ่งบรรดานักพนันมากมายกำลังรอลุ้นการเล่นของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังถือไพ่ในมือ และไม่นาน เขาก็วางไพ่ลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

    “รอยัลสเตรทฟลัช!!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็กวาดเงินที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แต่พนักงานในคาสิโนมากันเขาไว้ก่อน

    “เฮ้ย มึงโกงหรือเปล่าวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกไป

    “แนะ พอเล่นได้จะเอาๆอย่างเดียว แต่พอเสียกลับไม่มีจ่าย ถุ๊ย!!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดขึ้น

    “ถ้ามึงไม่อยากตาย เอาเงินคืนมาเลย” พนักงานคาสิโนพูดขึ้น จากนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก็หยิบเอาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของเขา ซึ่งข้างในเป็นสำรับไพ่สำรับหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาสับ แล้วก็พูดขึ้น

    “มึงอยากพนันมั้ยหล่ะ งั้นมาพนันกัน” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็จั่วการ์ดออกมาจากสำรับ และทันใดนั้น เขาก็พบกับไพ่ที่เขียนภาษาอังกฤษสีดำบนนั้น

    “STOP!!”

    เขาโชว์ไพ่ขึ้นมา และไม่นานนัก คนในคาสิโนก็ขยับร่างกายอะไรไม่ได้เลย พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นรู้ตัวจึงรีบวิ่งออกไปจากบ่อนอย่างรวดเร็ว เขารีบลงบันไดหนีไฟมาไม่กี่ชั้น จากนั้นก็หนีออกมาทางด้านหลังตึกได้สำเร็จ เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จู่ๆ ตัวของเขาก็ขยับอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่หายใจไปเท่านั้น

    “เฮ้อ เอาอีกแล้วนะไอ้ลุ้นเอ้ย” ชายคนนั้นคิดในใจไป

     

    ณ บ้านพักสุดหรูหลังหนึ่งในย่านคนรวย ใจกลางกรุงเทพ บ้านหลังใหญ่โตซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาผู้รับใช้มากมายที่นั่น และด้านในห้องๆหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีฟ้าคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่างบนโต๊ะของเธอ โดยที่ในตอนนั้น แม่บ้านคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องของเธอเพื่อคุยด้วย

    “คุณอินเนสซ่าคะ เอาชามาเสิร์ฟค่ะ!!”

    “อืม วางไว้ตรงนั้น” หญิงสาวคนนั้นทำหน้าเรียบเฉย จากนั้นคนใช้ก็วางถ้วยชาไว้แถวนั้น และไม่นานนัก อินเนสซ่าก็เกิดเห็นภาพอะไรบางอย่างในหัว มันเป็นอยู่ซักพัก จากนั้นก็หายไปในไม่นาน

    “ตามล่าผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ??” อินเนสซ่าถามตัวเองไป 

    “นายอยู่ที่ไหนกันนะ??” หญิงสาวคนนั้นพูดอีกครั้ง และไม่นานนัก คนใช้อีกคนของเธอก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วเพื่อมาคุยกับเธออย่างรวดเร็ว

    “คุณอินเนสซ่าคะ มีตำรวจมาขอพบคุณค่ะ!!”

    “พวกนั้นมีหมายค้นหรือเปล่า??” อินเนสซ่าถามกลับไป

    “ไม่มีค่ะ แต่พวกเขายืนยันจะค้นให้ได้”

    “ไม่ต้องให้พวกเขามา ไปขอหมายค้นจากพวกเขาก่อน ไม่อย่างงั้นก็ให้พวกนั้นกลับไป” อินเนสซ่าพูดอย่างไม่รู้สึกอะไร จากนั้นคนใช้ของเธอก็เดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของเธอก็นั่งอ่านเอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอต่อ

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในย่านสวนจตุจักร กรุงเทพมหานคร สวนซึ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้ามากมายที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต กลุ่มคนซึ่งกำลังวิ่งไปมาตามสวน บางคนก็มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ต่างจากชายคนหนึ่งในเสื้อฮู้ดสีขาวที่กำลังเดินผ่านผู้คนไป เขาเดินเข้าไปในซอยๆหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นมีกลุ่มชายกำลังยืนอยู่แถวนั้น จากนั้นมันก็ชักมีดออกมาแล้วก็พูดขึ้น

    “เฮ้ย ส่งเงินมาให้หมดเว้ย!!” 

    ชายในฮู้ดขาวคนนั้นนิ่งไม่ไหวติง ทำเอาโจรถึงกับหัวเสีย

    “เฮ้ย มึงหูหนวกหรือไงวะ??”

    “ไม่ได้หูหนวก แต่ไม่อยากได้ยิน!!” ชายคนนั้นตอบไป

    “มึงกวนตีนกูเหรอ??” โจรคนนั้นพูดขึ้นแล้วแทงเข้าไปที่ร่างของชายคนนั้น แต่เขาก็หลบได้อย่างรวดเร็ว แม้โจรคนนั้นพยายามจะแทงเท่าไหร่แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะชายคนนั้นหลบได้ว่องไวมาก

    “ไอ้ห่าเอ้ย เก่งนักเหรอ??”

    โจรคนนั้นพยายามจะแทงเข้าอีกครั้ง แต่คราวนี้ชายฮู้ดขาวคนนั้นจับแขนของโจรได้อย่างง่ายดาย และตัวของโจรสังเกตเห็นเล็บของนกที่งอกออกมามือของชายคนนั้น ทำเอาชายคนนั้นถึงกับตกใจ

    “เฮ้ย ปล่อยกูนะเว้ย!!”

    ชายคนนั้นไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็ใช้อีกมือหนึ่งซึ่งดูคล้ายเล็บของนกแทงเข้าไปที่ร่างของมันอย่างรวดเร็ว มือของเขาแทงเข้าใจกลางอกของโจรคนนั้น จนมันค่อยๆขาดใจตายคามือของเขา จากนั้นตัวของเขาก็ทิ้งศพเอาไว้ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

    “ชุดเปื้อนเลือดอีกแล้ว ต้องหาอะไรกินอีกแล้วสิ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินข้ามศพของโจรคนนั้นออกไปโดยไม่แยแสอะไร

     

    ณ บ้านร้างหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรซึ่งถูกทิ้งร้างในกรุงเทพมหานคร ชายคนหนึ่งในชุดคลุมกำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟาเก่าๆ จากนั้นก็นึกคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย 

    “เหลืออีกเพียงไม่นาน ข้าก็คงจะต้องจากไปแล้วสินะ!!”

    แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดอะไรได้เพิ่ม จู่ๆก็มีเสียงเอะอะโวยวายออกมาจากหน้าบ้านที่ชายคนนั้นอยู่ ชายคนนั้นไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่แต่ก็ไม่ทำอะไร ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่จู่ๆต้นทางของเสียงก็เดินเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นในทันที

    “เฮ้ย พวกเรา มีคนบ้าอยู่ในนี้ด้วยหว่ะ!!” ซึ่งนั่นคือเสียงของเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังเมายาอย่างสุดขีด แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่สนใจ จนในตอนนั้นพวกมันก็เข้ามาเป็นสิบคน สภาพของแต่ละคนนั้นเมายาอย่างสุดขีด ทำเอาชายคนนั้นต้องพูดขึ้น

    “เฮ้ย ออกไปข้างนอก อย่ามากวนใจข้า!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น แต่วัยรุ่นพวกนั้นถึงกับหัวเราะออกมา และในตอนนั้น วัยรุ่นคนหนึ่งก็ถือมีดเข้ามาหาเขา จากนั้นก็เข้ามาใกล้ๆกับเขา

    “ลุงลืมพูดคำว่า ครับ ต่อท้าย!!” เด็กคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆเอามีดไปจ่อที่หน้าของลุงคนนั้น แต่ลุงคนนั้นก็จับแขนเด็กคนนั้นไว้ จากนั้นก็บีบแขนแน่น จนเด็กคนนั้นพูดขึ้น

    “เฮ้ย ปล่อยกูนะเว้ย!!” เด็กคนนั้นพูดขึ้น และไม่ทันไรเด็กอีกคนก็หยิบเอาท่อนไม้แถวนั้นมาฟาดเข้าที่หัวของชายคนนั้น หัวของชายคนนั้นเลือดออกแต่เขาก็แทบไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมา

    “มึงบังคับกูเองนะ!!”

    ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบเอาขวานที่เหน็บไว้ด้านหลังเขาฟันเข้าที่ตัวเด็กคนนั้น เด็กคนอื่นๆที่เห็นก็ชักมีดของพวกเขาออกมา จากนั้นก็วิ่งเข้าไปรุมแทงที่ชายคนนั้น เด็กพวกนั้นรุมแทงไม่ยั้ง แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ขวานไล่ฟันเด็กพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เขาทั้งฟันและถีบเด็กเหลือขอพวกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้นเด็กคนหนึ่งพยายามจะวิ่งหนีเขา ชายคนนั้นไล่ขวานปาเข้าไปที่กลางหลังอย่างรวดเร็ว เด็กคนนั้นโดนขวานฟันกลางหลังจนนอนแน่นิ่งไป พลันร่างกายของเขาก็เหมือนกับว่ากำลังฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ตัวของเขาก็ถึงกับลงไปนั่งคุกเข่าและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

    “อ๊าค!!”

    ตัวของเขาร้องออกมาราวกับว่าการฟื้นฟูร่างกายของเขามันเจ็บปวดเหลือคณานับ และไม่นานนัก ตัวของเขาก็ลงไปนอนกับพื้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ทั้งๆที่ร่างของเขาได้รับการฟื้นฟูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว

     

    ณ ตึกสำนักงานแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ตึกสำหรับให้เช่า ซึ่งมีชั้น 25 ที่มีเจ้าของคนเดียวเช่าอยู่ ด้านในห้องจะเป็นห้องสำนักงานธรรมดาๆ ซึ่งหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งมองแผนผังอะไรบางอย่างซึ่งมีรูปของบรรดานักการเมืองและนายทหาร นายตำรวจระดับสูงมากมายแปะไว้ตรงนั้น 

    “ส.ส. สุรสิงห์ ต้นเรื่องงั้นเหรอ??”

    หญิงสาวคนนั้นคิดในใจ แต่เธอก็ยังดูเหมือนคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี 

    “โธ่มิกิเอ้ย คิดอะไรให้ออกหน่อยสิ!!”

    เธอสบถออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะคิดอะไรไม่ออกเท่าไหร่ แต่ไม่ทันไร จู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังเข้ามาในเครื่องของเธอ เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว

    “มิกิ นี่ฉันเอง ชาติ!!”

    “อ้าว ชาติ มีอะไรงั้นเหรอ??” 

    “ฉันไปได้ข้อมูลวงในมา ได้ยินว่าเขากำลังจะตามล่าพวกเกิดใหม่อะไรนี่แบบเข้มข้นและเอาจริงแล้ว”

    “งั้นเหรอ มันเอาจริงแค่ไหนกัน??” มิกิถามไป

    “ข้อมูลบอกมาว่าพวกเขาจะปราบให้หมดใน 1 เดือนหน่ะ”

    “อืม แล้วจะส่งข้อมูลมาให้ยังไง??” มิกิถามไป

    “เดี๋ยวฉันส่งไปเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วง”

    “โอเค ไว้ฉันจะรอ ขอบคุณมาก!!” มิกิพูดขึ้นแล้ววางสายไป

     

    ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตดอนเมือง ย่านคนมีฐานะ คฤหาสน์ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างมีระดับ บรรดาคนใช้ซึ่งเดินตรวจตราความปลอดภัย ด้านในตกแต่งสวยงามสไตล์ยุโรป และในห้องๆหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มไวน์อยู่ด้านในอย่างผ่อนคลาย และในไม่นานนัก คนใช้คนหนึ่งก็เคาะประตูห้องและเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว

    “คุณแก้วคะ มีข้อความมาส่งที่หน้าบ้านค่ะ!!”

    เด็กสาวคนนั้นวางแก้วไวน์ลง จากนั้นก็เดินมาหาป้าคนนั้นในทันที

    “ขอบคุณมากค่ะป้า” เด็กสาวคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเธอก็หยิบเอาข้อความของป้าคนนั้นมาอ่าน และเมื่อเธออ่านจบ เธอก็พับกระดาษนั่นเอาไว้ในทันที

    “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณแก้ว??”

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณป้าไปพักเถอะค่ะ ขอโทษเรื่องเมื่อคืนด้วยนะคะ!!” แก้วพูดขึ้น จากนั้นป้าคนใช้คนนั้นก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของเธอก็คิดอะไรของเธอไปเรื่อย

    “พวกรัฐบาลกำลังตามล่าเรางั้นเหรอ แล้วคนอื่นๆจะเป็นยังไงบ้างนะ??” 

    เธอคิดในใจ จากนั้นเธอก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมของเธอ จากนั้นก็เรียกให้แม่บ้านที่อยู่หน้าห้องมาหาเธอ

    “แม่บ้านคะ อยู่หรือเปล่าคะ??” และเมื่อเธอเรียก แม่บ้านก็เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว

    “คุณแก้วคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ??”

    “ต่อไปนี้อย่าเพิ่งให้ใครมาพบฉัน จัดเวรยามไว้หน้าบ้านเราให้ดีด้วยนะคะ” แก้วบอกกับแม่บ้านไป

     

    ณ บ้านพักสุดหรูแห่งหนึ่งในกลางกรุงเทพ ในห้องนอนห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยของตกแต่งน่ารักมากมาย แต่ดูเหมือนว่าในห้องนี้จะไม่มีใครอยู่เลย 

    “พรึ่บ!!”

    หลังจากสิ้นเสียงลมพัดไปได้ไม่นาน จู่ๆก็ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งโผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่หลังจากที่เธอโผล่มา จู่ๆเธอก็มีอาการมึนหัวพร้อมกับคลื่นไส้ เธอจึงเซไปนั่งที่เตียงนอนของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นอนลงไปบนเตียงนั้น

    “บ้าเอ้ย เมื่อไหร่จะหายซะที??”

    และไม่นานนัก เมื่อเธอได้สติ เธอก็ลุกขึ้นมาจากเตียงของเธอ จากนั้นก็นึกคิดอะไรบางอย่างไปด้วย

    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไปนิวยอร์กจะทำให้มึนหัวได้ขนาดนี้”

    เธอคนนั้นลุกขึ้นจากเตียง ก่อนที่จะเอาถุงเสื้อผ้าของเธอไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าที่แปะชื่อคนหราไว้ตรงนั้น

    พัตติยา!!”

    เธอรีบเก็บเสื้อผ้าเข้าไปในตู้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานนัก เธอก็รู้สึกมึนหัวอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆพยายามจับใจความในสิ่งที่เธอเห็น

    “รัฐบาลกำลังตามล่าคนอย่างพวกเรา...”

    “อะไรกัน นี่ใครส่งข้อความมาหาฉันเนี่ย หรือว่าจะเป็นอินครินน่า??” พัตติยาถามตัวเองไป แต่ดูแล้วเธอก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก จากนั้นเธอก็เดินกลับไปนั่งที่เตียงของเธออย่างรวดเร็วเพื่อนั่งพักผ่อนไป

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งในเขตโรงงานในกรุงเทพมหานคร บรรดารถบรรรทุกมากมายแล่นไปแล่นมาแถวนั้นเพื่อรับของส่งของกันตามปกติ และในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งซึ่งเดินผ่านโรงงานแถวนั้นโดยไร้จุดหมาย แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ เขาก็เห็นลูกหมาตัวหนึ่งกำลังนอนเจ็บอยู่กลางถนน เขาเลยรีบวิ่งเข้าไปดูในทันที 

    “ปรื้น!!”

    “โครม!!”

    รถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งเบรกไม่ทันได้เข้าชนชายคนนั้นอย่างรุนแรง แต่ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย แต่รถบรรทุกที่มาชนเขากลับบุบลงไปอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนั้นคนขับรถบรรทุกรีบเดินลงมาดูรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บ่นชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย มาขวางถนนทำไมวะ??”

    “มีหมานอนเจ็บอยู่นี่ ไม่เห็นเหรอ??” ชายคนนั้นถามไป

    “แล้วยังไงหล่ะ มึงทำรถกูพังแล้วนะเว้ย กูเอามึงตายแน่!!” คนขับรถบรรทุกพูดขึ้น จากนั้นชายคนนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆเดินไปหาคนขับรถคนนั้น

    “เฮ้ยๆๆ มึงจะมีเรื่องกับกูเหรอ??” คนขับรถคนนั้นถามไป 

    “มึงบังคับกูเองนะ!!”

    ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็จับคอคนขับรถคนนั้น จากนั้นก็ยกหมอนั่นขึ้นอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย ปล่อยกูนะเว้ย!!” คนขับรถคนนั้นพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็ชักมีดออกมาแล้วแทงชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อแทงเสร็จ ชายคนนั้นก็ปล่อยร่างคนขับรถลง จากนั้นตัวเขาก็ดูดเอาเลือดของชายคนนั้นดื่มกินอย่างรวดเร็ว

    “อึกๆๆๆๆๆๆ!!”

    ในระหว่างที่ชายคนนั้นดูเลือด จู่ๆก็มีคนมาเห็นเข้า พวกนั้นเลยตะโกนออกมาในทันที

    “ช่วยด้วย มีคนโดนฆ่า!!”

    ชายคนนั้นรีบทิ้งศพของคนขับรถ จากนั้นก็รีบวิ่งไปอุ้มลูกหมาตัวนั้นหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในย่านสลัมของกรุงเทพ ย่านซึ่งเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมในเมืองหลวงของไทย น้ำคลองซึ่งเหม็นเน่ารวมถึงขยะที่ถูกทิ้งไว้มากมาย เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินไปที่ไหนซักแห่งอย่างไร้จุดหมาย เธอเดินผ่านเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่แถวนั้น เด็กพวกนั้นเมื่อเห็นผู้หญิงสวยๆแบบเธอ มีเหรอที่พวกมันจะไม่สนใจ

    “ไงจ๊ะน้องสาว!!” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นก็ไปจับมือของเธอไว้ แต่เด็กสาวคนนั้นได้ถีบหมอนั่นออกไป จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปในทันที

    “เฮ้ย จะไปไหน!!” เด็กพวกนั้นพยายามไล่กวดเธออย่างรวดเร็ว เธอวิ่งไปตามซอยนั้นซอยนี้เรื่อยๆ และในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็ดันไปเจอกับด้วงตัวหนึ่งเข้า มันกำลังเกาะกระถางต้นไม้แถวนั้น เธอรีบวิ่งไปหยิบมันมาในทันที จากนั้นเธอก็รีบกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ร่างของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน รวมถึงปีกแข็งของด้วงซึ่งค่อยๆงอกออกมา และไม่นาน เด็กพวกนั้นก็ตามมาถึง แต่ก็ต้องมาเจอกับภาพที่น่ากลัวตรงหน้า

    “เฮ้ย ปีศาจ!!”

     หญิงสาวคนนั้นกระโจนใส่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เธอทั้งต่อย เตะ รวมถึงฉีกร่างของเด็กพวกนั้นเป็นชิ้นๆ พวกมันที่เหลือไม่รู้จะทำยังไงเลยรีบหนีไปอย่ารวดเร็ว ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างของเธอก็ค่อยๆกลับกลายสภาพเป็นมนุษย์อย่างรวดเร็ว แต่สภาพของเธอในตอนนี้ได้กรีดร้องราวกับคนบ้า รวมถึงเลือดมากมายที่เปื้อนเสื้อและปากของเธอ เธอวิ่งหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างคนไร้สติ ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงก็มารวมตัวกันเพื่อดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ที่ร้านเหล้าร้านหนึ่งซึ่งเปิดในช่วงเย็น บรรดานักดื่มจากละแวกนั้นเดินทางมาดื่มอย่างไม่ขาดสาย และไม่นานนัก ชายคนหนึ่งก็ได้เดินผ่านโต๊ะซึ่งมีคนนั่งดื่มตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปที่ด้านหลังร้าน ซึ่งด้านในมีลิฟต์ลึกลับตัวหนึ่ง ตัวของเขากดลิฟต์ลงไปอีกชั้น ลิฟต์ตัวนั้นค่อยๆพาเขาลงไปที่ชั้นใต้ดิน จากนั้นตัวของชายคนนั้นก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ มาถึงห้องๆหนึ่ง และเมื่อเขาได้เปิดประตูเข้าไป เขาก็พบกับชายหญิงกลุ่มหนึ่งราว 10 กว่าคน ด้านในมีอาวุธครบมือมากมาย 

    “กลับมาแล้วเหรอครับคุณลันโทส??”

    “ใช่ซีโร่ เรามีอาวุธมากพอหรือยัง??” ลันโทสถามไป

    “เรากำลังพยายามรวบรวมอยู่ครับ แต่ว่า คุณมาที่นี่มีข่าวอะไรหรือเปล่าครับ??” ซีโร่ถามไป

    “ตอนนี้ในรัฐบาลยืนยันกันแล้ว รัฐบาลกำลังเตรียมพร้อมกวาดล้างคนอย่างพวกเรา” ลันโทสพูดขึ้น ทำเอาผู้คนที่อยู่ด้านในถึงกับแปลกใจ

    “อะไรกัน ทำไมพวกเขาทำกับเราแบบนี้??” ชายคนหนึ่งถามไป

    “ดูเหมือนว่ามีนักการเมืองคนหนึ่งไปล็อบบี้คนในรัฐบาล รวมถึงกองทัพและตำรวจด้วย” ลันโทสพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น อีกไม่นาน พวกมันก็คงจะตามล่าเราแบบเต็มรูปแบบแล้วสินะครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ก่อนอื่นเลย เราคงต้องหาและรวบรวมคนแบบพวกเรามาก่อน” ลันโทสพูดขึ้น

    “แล้วเราจะไปตามหาที่ไหนหล่ะครับ??” ซีโร่ถามไป

    “ฉันจะตามหาเอง นายก็รู้นี่ว่าฉันสัมผัสได้ถึงพวกเดียวกันอยู่แล้ว” ลันโทสพูดขึ้น จากนั้นก็หยิบปืบ AK ของเขาขึ้นมาแล้วขึ้นลำปืนอย่างรวดเร็ว

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตสะพานเหล็ก สถานที่ที่รับซื้อขายของทั่วไป ผู้คนมากมายเดินจับจ่ายซื้อของกันเนืองแน่น และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งกำลังตะโกนขายอะไรบางอย่างบนโต๊ะ มันเป็นหินประหลาดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหินธรรมดา แต่คนขายซึ่งเป็นสองหนุ่มซึ่งเป็นคนขาวที่ตะโกนขายของอย่างต่อเนื่อง

    “หินนำโชคจ้า มันจะนำโชคลางมาให้กับพวกคุณ!!” 

    ชายคู่นั้นตะโกนขายไป จนในขณะเดียวกัน มีเด็กคนหนึ่งได้เดินมาดูแล้วหยิบเอาหินนั้นไปอันนึง จากนั้นก็เดินข้ามถนนไป สองคนนั้นพยายามจะตาม แต่จู่ๆ ก็มีรถสิบล้อคันหนึ่งขับมาจะชนเด็กคนนั้น แต่จู่ๆ

    “พรึ่บ!!”

    เหมือนกับว่าเด็กน้อยคนนั้นถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นแปลกใจเป็นอย่างมาก ทำเด็กคนนั้นย้อนกลับมาได้ยังไง

    “โห ดูสิ เด็กรอดมาได้ยังไงกัน??”

    “สงสัยเป็นหินนำโชคจริงๆแหะ” ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นพูดขึ้น จากนั้นชาวบ้านแถวนั้นก็รีบพากันไปซื้อหินพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาสองหนุ่มถึงกับยิ้มกริ่มเนื่องจากว่าตัวเองขายหินธรรมดาๆพวกนั้นได้แล้ว

    “ค่อยๆเข้าแถวมาเลยจ้า!!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดขึ้นพลางหอบไปเล็กน้อย รวมถึงหันไปมองกันและกันด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองพวกเขาทั้งคู่อยู่

     

    ณ หุบเขาที่ไหนซักแห่งในเขตเขาใหญ่ หุบเขารกร้างซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเดินทางมาแถวนี้ เพราะบรรยากาศดูช่างหน้ากลัว อบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นเมกไม้ที่อับทึบ แต่บริเวณนั้นยังมีถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านในถ้ำยังมีแสงจากเทียน รวมถึงกลิ่นจากธูปมากมายด้านใน ชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนกำลังร่ายบริกรรมคาถาที่แท่นพิธีอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พูดขึ้น

    “มันเริ่มแล้วสินะ ใช่หรือไม่??” 

    ไม่มีเสียงตอบกลับจากปลายทาง แต่ดูเหมือนว่าตัวของเขาจะเข้าใจ

    “อืม พวกรัฐกำลังกวาดล้างผู้เกิดใหม่งั้นหรือ น่าสนุกนี่!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ร่ายบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างอีกรอบ และไม่นานนัก บรรดาวิญญาณมากมายก็ปรากฏต่อหน้าของชายชุดดำคนนั้นอย่างรวดเร็ว วิญญาณพวกนี้เป็นวิญญาณที่ร้ายกาจพอสมควร พวกนั้นมายืนเรียงแถวกัน จากนั้นก็พูดขึ้น

    “ท่านวิบัติ ท่านเรียกใช้พวกเรากระนั้นหรือ??”

    “ใช่ คืนนี้ไอ้พวกรัฐบาลมันจะปราบปรามพวกผู้เกิดใหม่ ข้าอยากให้พวกเจ้าไปขัดขวางพวกมันเสีย!!” วิบัติพูดขึ้น

    “รับทราบขอรับ!!” เหล่าวิญญาณนั้นพูดขึ้นพร้อมกัน จากนั้นพวกมันก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

    “ครานี้หล่ะ ข้าจักได้สนุกเสียที!!” วิบัติพูดออกมา

     

    ณ ห้องพักหลังหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ในห้องโทนสีขาวเรียบซึ่งชายคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาเพื่อพักผ่อนอยู่ด้านใน รวมถึงนึกคิดเรื่องราวเก่าๆในหัวของเขาไปด้วย 

    “พี่คะ ช่วยหนูด้วย!!”

    “คุณตำรวจ ช่วยน้องผมด้วย!!”

    “ไม่นะ พี่ขอโทษ..”

    “ไอ้ระยำ มึงทำน้องกู ตายซะ!!”

    “เฮ้อ!!” ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว พร้อมกับนั่งเศร้าอยู่ด้านใน และเมื่อได้สติในไม่นาน ตัวของเขาก็หยิบเอาแฟ้มเอกสารอะไรบางอย่าง เป็นซองใส่เอกสารสีน้ำตาลเรียบง่าย เขาเอาเอกสารด้านในออกมาดูอย่างรวดเร็ว

    “เป้าหมาย ...”

    “บุตรชายของ ส.ส. สุรสิงห์!!”

    “ไอ้ลูกคนใหญ่คนโตงั้นเหรอ ของชอบเซนเลย!!” ชายคนนั้นคิดในใจ เพราะตัวของเซนนั้นชอบฆ่าพวกคนใหญ่คนโตอยู่แล้ว แต่ไม่นานนัก เขาก็วางเอกสารนั้นบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว 

     

    ณ สนามบินดอนเมือง สนามบินซึ่งในตอนนี้บรรดาเครื่องบินจากหลายที่มาจอดเทียบท่าเพื่อรับผู้โดยสาร และไม่นานนัก เครื่องบินลำหนึ่งก็มาจอดยังสนามบิน พร้อมกับปล่อยให้ผู้โดยสารเดินทางไปยังจุดตรวจขาเข้าประเทศ หญิงสาวคนหนึ่งถือกระเป๋าเดินทางไปที่จุดตรวจ จากนั้นก็เอาเอกสารให้กับพนักงานสนามบินได้ดู พนักงานสนามบินได้เห็นก็พูดขึ้นในทันที

    “อะไรคือสาเหตุที่คุณมาเมืองไทยครับ คุณไค??”

    “อ้อ มาพักผ่อนหน่ะค่ะ” หญิงสาวคนนั้นตอบไป

    “ว่าแต่ คุณจะพำนักกี่วันครับ??”

    “1 เดือนค่ะ” ไคตอบไป

    พนักงานสนามบินตรวจสอบเอกสารอยู่ซักพัก จากนั้นก็ปั๊มตราประทับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นเอกสารคืนให้กับไค จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็เดินออกจากสนามบินไปในทันที

    “คุณเกเบรียล คุณอยู่ที่ไหนกันนะ??”

     

    ณ ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตลำลูกกา ซึ่งอยู่ชานเมืองกรุงเทพ ดูภายนอกเหมือนจะเป็นตึกร้างที่ไม่มีใครสนใจ แต่เข้าไปด้านใน มันเป็นสถานที่ที่เหมือนกับห้องแลปทดลองในทางวิทยาศาสตร์ แต่ด้านในไม่มีใครอยู่มากมายนัก นอกจากชายวัยกลางคนในกาวน์คนหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นกำลังยืนจดอะไรบางอย่าง พร้อมกับมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองเขา จากนั้นก็พูดกับเขาไป

    “นี่ผมเป็นใคร แล้วผมอยู่ที่ไหนกัน??” 

    ชายในชุดกาวน์คนนั้นจดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หยิบเอาเข็มกลัดอันหนึ่งที่ติดตัวเขามาดูด้วย

    “อืม เข็มกลัดใช้ได้ผลด้วยแหะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น 

    “คุณพาผมมาทำไม แล้วนี่มันอะไรกัน??” ชายหนุ่มคนนั้นถามต่อ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็เอากล้องถ่ายรูปตัวหนึ่งออกมา จากนั้นก็เอาหมวกอะไรบางอย่างใส่หัวของเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วย จากนั้นก็ต่อสายแลนอะไรบางอย่างเข้าเชื่อมต่อกล้องและหมวกนั้น จากนั้นก็ถ่ายรูปหมอนั่นในทันที

    “แชะ!!”

    และเมื่อถ่ายรูปเสร็จ ไม่นานรูปก็ออกมาอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นเอารูปออกมาดู จากนั้นก็ยื่นให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นดูอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มคนนั้นเมื่อได้ดูก็ดีใจมาก เพราะนั่นเป็นรูปที่ชายชุดกาวน์คนนั้นเอาไอติมแท่งหนึ่งให้เขากิน

    “ผมชอบกินไอติมมาก!!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดออกมา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็ได้รับสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง เขาจึงรีบวิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ของเขา ซึ่งในตอนนั้นมันก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังขี่มอไซค์ไปที่ไหนซักแห่ง จากนั้นก็มาจอดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ชายคนนั้นจอดมอไซค์แล้วถอดหมวกกันน็อคออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

    “ผู้มีพลังอมตะ ในที่สุดผมก็เจอคุณแล้ว!!”

     

    ช่วงเช้ามืดวันหนึ่ง ตัวของนาวินยังคงนั่งอ่านข้อมูลที่เขาได้รับมาจากสายของเขา มันเป็นข้อมูลของครอบครัวที่เขากำลังตามล่าตัวอยู่ เขาพยายามสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดทั้งคืนว่ามีใครที่เกี่ยวกับข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่นาวินจะอ่านมันจบ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องของเขา จากนั้นตัวของเขาก็เดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว เสริม มีอะไรงั้นเหรอ??”

    “มีคนตามคุณวินมาครับ อีก 20 นาทีพวกมันคงจะมาถึงที่นี่ครับ!!” นายเสริมคนนั้นพูดขึ้น

    “งั้นเหรอ ผมจะไปปลอกล่อพวกมันเอง คุณอยู่ที่นี่ บอกไอ้ยักษ์ไอ้ย้อยให้มันเตรียมของไว้ด้วยหล่ะ” นาวินพูดขึ้นจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องแล้วหยิบปืนพกของเขามาในทันที จากนั้นก็เอากระสุนเหน็บกับตัวไปด้วย จากนั้นตัวของเขาก็ออกไปที่นอกบ้านอย่างรวดเร็ว

    และอีกด้านหนึ่งของบ้าน ถนนเส้นหนึ่งซึ่งมุ่งตรงไปที่บ้านของนาวิน บรรดารถตำรวจและรถทหารประมาณ 6 คันรถได้มุ่งตรงไปยังบ้านของนาวิน ด้านในมีทหารพร้อมอาวุธครบมือมากมาย รวมถึงผู้กองธีรนัท และแสงจันทร์ ซึ่งพวกเขาทั้งคู่กำลังเตรียมอาวุธเพื่อออกตามล่านาวินไปด้วย

    “โร่ว์ นายอยู่ข้างหลังฉันไว้” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น โร่ว์ได้แต่พยักหน้าตอบไป พร้อมกับใส่ลูกปืน MP5 ในมือของเขา

    “อีก 10 นาทีถึงสถานที่ต้องสงสัยครับ!!” คนขับรถรายงานเข้ามาในวิทยุของผู้กองธีรนัทอย่างรวดเร็ว

    “ดี เตรียมตัว..” ผู้กองธีรนัทที่ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆก็เกิดระเบิดขึ้นดังมาจากหน้าขบวนรถของเขา

    “ตู้ม!!”

    รถนำขบวนคันหนึ่งถูกระเบิด จากนั้นรถคันอื่นก็หยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว ทำเอาทุกคนรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

    “เราถูกโจมตีแล้ว กระจายกำลังตามล่ามัน!!” ผู้กองธีรนัทพูดขึ้น จากนั้นก็เตรียมปืน M4A1 ของเขาในทันที แล้วลงจากรถอย่างรวดเร็ว  

    =====================================================================

    สงครามครั้งใหม่ระหว่างมนุษย์และผู้เกิดใหม่จะเป็นอย่างไรต่อ อย่าลืมติดตามชมตอนหน้าจ้า

    ตอนแรกมาแล้ว เป็นยังไงกันบ้าง

    ปล. ตัวละครอาจจะยังมาไม่ครบทุกคนเน้อ 

    ขอคนละเม้นท์กันด้วย

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×