คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้นการเดินทาง
“เฮ้ย ไอ้ทองอินทร์ ตื่นเว้ย ถึงธนบุรีแล้ว!!”
เสียงจากชายขี่เกวียนคนหนึ่งตะโกนเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนอยู่ท้ายเกวียน ชายหนุ่มคนนั้นตื่นขึ้นมา ท่ามกลางอาการเมาค้างอย่างสุดขีด และรองด้านของเขา มีชาวบ้านหลายร้อยชีวิตพากันหนีเข้ามาในเมืองธนบุรีกันอย่างเนื่องแน่น โดยที่ทหารอังวะและทหารธนบุรีคอยตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเต็มที่ โดยที่นายทองอินทร์ก็ยังคงตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้ถามชายที่ขี่เกวียนในทันที
“พี่ ชาวบ้านพวกนี้เข้าเมืองกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะ??”
“เออ ไอ้เภตภัยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน เอ็งก็ไม่ต้องแปลกใจหรอก” ชายขี่เกวียนคนนั้นตอบไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง เกวียนของพวกเขาก็มาถึงที่หน้าประตู โดยที่ทหารอังวะคนหนึ่งก็มาตรวจค้นเกวียนคันนั้น
“เฮ้ย พวกเอ็งหน่ะ จะเข้าเมืองด้วยเหตุอันใด??” ทหารยามได้ถามไป
“พวกฉันจะมาขอหลบภัยในเมืองหน่ะจ้ะ!!” ชายขี่เกวียนพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอทดสอบพวกเจ้าหน่อย” ทหารยามคนเดิมพูดขึ้น จากนั้นก็เอาผ้ายันต์ไปปัดเป่าความชั่วร้ายที่เกวียนของพวกเขา แล้วก็พบว่าปลอดภัย
“เข้าไปได้!!” ทหารยามคนนั้นบอกไป จากนั้นเกวียนของพวกเขาก็ผ่านประตูเมืองได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ตามถนนของกรุงธนบุรีซึ่งเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาขอหลบภัยจากหลายๆที่ สภาพในตอนนี้ดูน่าเวทนายิ่งนัก
“เฮ้ย ไอ้ทองอินทร์ ข้าว่า เสบียงกรังของเมืองนี้น่าจะอยู่ได้ไม่กี่วันแน่ๆ ข้าว่าเราเดินทางต่อไปจันทบุรีเถอะ!!”
“พี่ไปเถอะ ข้าจักตามไปทีหลัง ข้าขอพักที่นี่ก่อนเถิด”
“ได้ๆ เช่นนั้นก็โชคดีมีชัยหล่ะ แล้วเจอกันที่จันทบุรีหล่ะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็บังคับเกวียนของเขาเดินทาง่อในทันที ทองอินทร์เดินต่อไปตามถนนเรื่อยๆ โดยที่ในความเป็นจริง เขายังไม่รู้ว่าจุดหมายของเขาจะไปจบที่ใด เดินอย่างไร้จุดหมาย จนในตอนนั้นเอง เขาก็ไปพบกับประกาศแผ่นหนึ่งซึ่งติดอยู่ที่ใจกลางเมือง ชาวบ้านแถวนั้นที่เห็นต่างก็พากันซุบซิบนินทาในทันที
“ห่ะ นี่บ้านเมืองเรามันวิปลาสไปตั้งแต่เมื่อใดกัน??”
“นั่นสิ แต่ว่าคำของพระคุณท่านก็ไม่มีทางมุสาดอก เมืองนี้คงจะถึงกาลวิบัติเป็นแน่”
“ขอโทษนะจ๊ะ มีเรื่องอันใดกันจ๊ะ??” ทองอินทร์ถามชาวบ้านที่อยู่แถวหน้าไป
“อ่า มีประกาศรับสมัครผู้กล้า ที่จะออกเดินทางไปปราบพวกภูตผีนั่นหน่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่ข้าได้ยินมาว่า อาจมิมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา ข้าว่า มิมีผู้ใดกล้าไปหรอก” ชาวบ้านอีกคนพูดขึ้น ทองอินทร์พยักหน้าและเดินออกมาจากพื้นที่ในทันที
“อ้ายพวกผีร้ายนั่นมาจากไหนกันแน่ เมื่อคืนวาน ข้าก็ประมือกับพวกมันเกือบตาย!!” ทองอินทร์คิดในใจไป และตัวเขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงศาลร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจะไม่ได้รับการดูแลเท่าไหร่นัก และทองอินทร์ก็เหลือบไปเจอกับตุ๊กตากุมารตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่บนพื้น ทองอินทร์ไหว้และหยิบขึ้นมา จากนั้นก็วางกลับไปที่ศาลในทันที จากนั้นก็ไหว้ไปหนึ่งที แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ถึงเสียงๆหนึ่งซึ่งลอยเข้ามาในหูของเขา
“ท่านพี่ๆ ท่านต้องช่วยผืนพิภพนี้!!”
ทองอินทร์ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนในตอนนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่งซึ่งเปลือยท่อนบนแต่ใส่กางเกงสีสันสวยงามด้านล่างมาเกาะที่ชายกางเกงของเขา
“เฮ้ย นี่เจ้าเป็นใครกันแน่??”
“ข้าคือกุมารสวรรค์ ท่านเรียกข้ากุมารเฉยๆก็ได้!!”
“นี่ เจ้าเป็นกุมารงั้นหรือ อย่ามารังควานข้าเลย ข้ามิได้ทำอันใดผิด!!” ทองอินทร์บอกเด็กคนนั้นไป
“นี่ ท่านพี่ ข้าไม่ทำอันใดกับท่านหรอก เทพบนสวรรค์ส่งข้ามาช่วยเหลือท่าน ให้ท่านปราบพวกปีศาจร้ายให้สิ้น!!”
“ช้าก่อน ใครว่าข้าจะไปหล่ะ แล้วอีกอย่าง ข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าด้านนอกเกิดเภทภัยอันใดกัน??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ที่ท่านเทวดาบอกข้า พวกเขาบอกว่า พระยาพลเทพ ผู้ใช้มนต์ดำควบคุมผีร้ายพวกนี้ เมื่อวิญญาณของเขาลงสู่นรกภูมิ เหล่าภูตผีก็ออกอาละวาดไปทั่ว ข้าเองก็รู้แค่นี้แหละท่าน!!”
“ถ้าเจ้ารู้แค่นี้ แล้วเจ้าจักช่วยข้าได้เยี่ยงไรเล่า??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“โธ่ ท่านพี่ ข้ารู้จักพวกปีศาจทุกตัว มีข้าอยู่รับรองท่านพี่ไม่ตายแน่นอน ท่านพี่หยิบตุ๊กตาของข้าพกติดตัวท่านไปด้วยสิ!!”
กุมารตนนั้นพูดขึ้น ทองอินทร์ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยไปหยิบตุ๊กตากุมารตัวนั้นพกไว้ในย่ามของเขา จากนั้นเขาก็เดินออกจากซอยนั้นไปในทันที และเดินไปตามถนนต่อไป
“แล้ว ท่านพี่จักออกเดินทางหรือไม่หล่ะ??” กุมารถามไป
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่ เจ้าพอเล่าให้ข้าฟังเพิ่มอีกสักหน่อยได้หรือไม่??”
“ข้าก็ไม่รู้อันใดมากหรอก ข้ารู้แค่พระอินทร์ท่านส่งข้าลงมาโลกมนุษย์เพื่อหาผู้กล้าที่จักกอบกู้พิภพนี้หน่ะ แม้ข้าจะรู้น้อย แต่ข้าก็มีอิทธิฤทธิ์มากพอจักปราบพวกมันได้นะท่านพี่!!” กุมารองค์นั้นพูดขึ้น
“ถ้าเจ้ามีอิทธิฤทธิ์มากขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงมาให้ข้าเดินทางร่วมกับเจ้าหล่ะ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ท่านพระอินทร์บอกข้าว่า ผู้ที่มีดวงจิตปราบมารนั้น จักเห็นข้าในร่างตุ๊กตา ท่านพี่เห็นข้า นั่นก็หมายถึง ท่านคือผู้ที่ถูกเลือกหน่ะสิ” กุมารพูดขึ้น
“เฮ้อ นี่มันอันใดกันวะ แต่เอาเถิด เมื่อคืนข้าก็ประมือกับพวกภูตผีพวกนั้นเช่นกัน ข้าสังเกตว่ามันเหมือนถูกมนต์ดำครอบครอง” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ท่านพูดถูกแล้ว ภูตผีที่ท่านเห็น คือซากศพที่ถูกมนต์ร้ายสิงสู่ แต่พวกนั้นก็แค่พวกชั้นต่ำ ยังมีมีมากมายที่ท่านยังมิรู้” กุมารพูดขึ้น
“แต่ช่างเถิด คืนนี้ข้าขอพักค้างแรมที่นี่ซักหน่อยเถิด มิเช่นนั้นข้าคงมิมีแรงจักไปต่อสู้กับมันดอก”
“ด้านหน้ามีโรงน้ำชาของพวกจีน ข้าเพ็งเล็งแล้วว่ามีห้องว่าง แล้วข้าก็รู้เช่นกันว่าท่านมีเบี้ยอัฐมากพอจะจ่ายหน่ะ” กุมารพูดขึ้น
“ท่าทางเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์จริงๆนะเนี่ย ข้าว่าข้าขอเข้าไปนั่งด้านในหน่อยดีกว่า” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็เดินดุ่มๆเข้าไปในโรงเตี๊ยมในทันที โดยที่ด้านในก็มีทั้งนักท่องเที่ยว และนักดื่มมากมายนั่งดื่มกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของโลก ตัวทองอินทร์ไม่รอช้าเดินเข้าไปหาเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมในทันที
“เถ้าแก่จ๊ะ มีห้องว่างให้ข้าพักหน่อยหรือเปล่าจ๊ะ??”
“อ้อๆ ลื้อมาเนี่ยเหลือห้องสุดท้ายพอดี ทางนี้เลยๆ”
เถ้าแก่คนนั้นพาทองอินทร์เดินขึ้นไปที่ชั้นสามของโรงเตี๊ยม ซึ่งด้านในที่ทองอินทร์เข้ามาดูไม่ค่อยน่าอภิรมณ์เท่าไหร่ และเมื่อมาถึงหน้าห้อง ในตอนนั้นเอง ทองอินทร์ก็สังเกตเห็นกุมารเทพกำลังยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่จีนถือง้าวองค์หนึ่งอยู่ด้วย แต่ทองอินทร์ไม่เห็นเทพจีนองค์นั้น
“นี่ ท่านเทพเจ้า ข้าก็เป็นเทพเหมือนท่าน ข้ามิใช่พวกผีเร่ร่อนนะ!!” กุมารเทพพูดขึ้น และองค์เจ้าที่จีนก็ค่อยๆหายตัวจากไป ทองอินทร์เห็นกุมารยืนเฉยๆจึงไปคุยกับเขาในทันที
“นี่ เจ้าไม่เข้าห้องมาหรือ??”
“ข้าเพิ่งจะอธิบายท่านเจ้าที่ที่นี่ไป เฮ้อ ทำไมชอบมองข้าเป็นพวกเร่ร่อนกันนะ??” กุมารเทพถามอย่างสงสัย
“เหตุใดเจ้ามิลองสวมเสื้อเสียหน่อยหล่ะ??” ทองอินทร์แกล้งพูดกับกุมารเทพไป
“อ่า นี่ลื้อพูดกับผู้ใดหรือ??”
“อ้อ ไม่มีอันใดหรอกจ๊ะเถ้าแก่ นี่เบี้ยอัฐจ้ะ” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นเถ้าแก่ก็รับมาอย่างยินดีแล้วก็พูดกับทองอินทร์ต่อ
“ลื้อรีบพักผ่อนให้เสร็จๆแล้วรีบไปจากเมืองนี้เสียนะ ข้าเตือนด้วยความหวังดีน้า!!” เถ้าแก่คนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆเดินลงไป และเมื่อทองอินทร์เข้ามาในห้องของเขาเรียบร้อย เขาก็เห็นกุมารเทพได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายของเขาเป็นสีแดงดูสวยงาม ทำเอาทองอินทร์ถึงกับต้องอึ้ง
“เฮ้อ แบบนี้ค่อยเหมือนเทพหน่อย ท่านว่ายังไงหล่ะ??”
“อ่า ว่าแต่เจ้าหน่ะ พอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง บอกข้ามาให้ละเอียดเลย??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“เท่าที่ข้ารู้มา พระยาพลเทพหลังจากที่ตกนรก แต่ก็มิมียมทูตคนใดหาตัวเขาพบ และวิญญาณของเขามีตบะกล้าแกร่งกว่าวิญญาณทั่วไป ซึ่งข้าว่า เขาได้ทำพิธีมอบวิญญาณให้ปีศาจอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ ข้ารู้ คนทุรยศเยี่ยงนั้นทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ว่าแต่ เหตุไฉนพระอินทร์จึงเจาะจงส่งเจ้าลงมาช่วยเหลือข้า??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะข้าหนีออกมาได้ก่อนประตูสวรรค์จักปิดลงหน่ะสิ ตอนนี้บนสวรรค์ กองกำลังเทวดากำลังต้านทานพวกปีศาจอยู่ด้วย”
“เฮ้อ แล้วเหตุไฉน พวกเทพถึงไม่จัดการให้เสียจบเรื่องไปเล่า ต้องให้มนุษย์เยี่ยงข้ามาจัดการ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ท่านพี่ พวกปีศาจที่กำลังโจมตีสวรรค์นั้นมีกำลังกล้าแกร่งกว่าปีศาจตนใดที่พวกข้าพบมา ซึ่งพวกข้าต้องปกป้องตนเองก่อน”
“จึงให้มนุษย์ทั่วย่อมหญ้านี่เผชิญโชคตามลำพังเช่นนั้นหรือ?? พวกเทพนี่สันดานเหมือนกันทุกองค์จริงๆ” ทองอินทร์สบถออกมาโดยไม่ไว้หน้ากุมารเลย
“โธ่ ท่านพี่ พระอินทร์ท่านก็ทรงเป็นห่วงมนุษย์เยี่ยงท่านพี่เช่นกัน ท่านจึงมอบของสิ่งนี้มาให้กับท่าน มันคือตะกรุดวิเศษ หากท่านพกมันติดตัว ท่านจักสามารถฟาดฟันปีศาจให้ล้มตายได้” กุมารเทพพูดขึ้น จากนั้นก็ให้ตะกรุดนั้นกับทองอินทร์ในทันที
“ขอให้มันช่วยได้ทีเถิด!!”
“มันจักช่วยท่านพี่ได้แน่นอน ข้ายังเตรียมให้ผู้กล้าคณะเดินทางท่านอื่นๆด้วยหล่ะ” กุมารเทพพูดขึ้น
“ข้านึกว่าข้าจักต้องสู้คนเดียวเสียอีก แต่เอาเถิด ข้าขอพักผ่อนเสียหน่อย ข้าเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว!!” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็เอนหลังนอนบนเตียง และนอนคิดอะไรไปเรื่อยเพื่อให้นอนหลับได้ และในตอนนั้น เขาก็นึกไปถึงเรื่องราวของเขาในอดีต นับตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับหมออาคมประจำหมู่บ้าน ซึ่งได้สอนวิชาทั้งการต่อสู้และอาคมกับเขาหลายๆอย่าง จนทำให้เขามีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร
“ท่านอาจารย์ขอรับ เหตุใดท่านถึงให้สร้อยเส้นนี้กับกระผมหล่ะขอรับ สร้อยเส้นนี้ท่านรักมันมากนะขอรับ!!” ทองอินทร์ในตอนนั้นถามอาจารย์ของเขาไป
“มันมิใช่ของข้า มันเคยเป็นของพ่อเจ้า ข้าเก็บรักษามันไว้ จนมาถึงวันนี้!!”
“แต่ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือยัง เกี่ยวกับเรื่องพ่อแม่ของข้า??” ทองอินทร์ถามอาจารย์ของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“วันหนึ่งเจ้าจะรู้เอง ซึ่งอีกไม่นานดอก จนกว่าชะตาของเจ้าจักถึงคราว ที่ข้าจับเจ้าฝึกวิชาของข้า อีกไม่นาน เจ้าก็จักได้รู้ ว่าเหตุใดข้าถึงต้องทำเช่นนั้น อ้ายทองอินทร์!!”
“พี่ทองอินทร์ ตื่นเร็ว!!” กุมารเทพในตอนนั้นรีบมากระซิบข้างหูของทองอินทร์ ทำเอาทองอินทร์ถึงกับต้องตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่งัวเงียเล็กน้อย
“นี่ข้าหลับไปนานเท่าใดกัน??”
“ก็นานโข จนจักย่ำค่ำแล้วท่านพี่!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“แล้วเจ้าปลุกข้ามีเรื่องอันใดกัน??”
“ท่านต้องไปพบกับคณะเดินทางท่านอื่น ตอนนี้พวกเขามาพบปะกันที่หน้าบ้านของท่านเจ้าเมือง ท่านพี่ต้องไปพบพวกเขาหน่อย!!”
“อะไรกัน ไวเยี่ยงนี้เชียวหรือ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง กุมารเทพก็เอามือลูบไปที่ท้องของทองอินทร์ ซึ่งทองอินทร์ก็สงสัยว่ากุมารเทพทำอะไร แต่ตอนนั้นทองอินทร์รู้สึกอิ่มท้องทั้งๆที่ยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
“นี่เจ้าทำอันใดกับข้า??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าให้ท่านอิ่มทิพย์หน่ะ เพราะท่านต้องรีบไปพบกับพวกเขา!!” กุมารเทพพูดขึ้น จากนั้นกุมารเทพก็จูงมือทองอินทร์ออกไปที่ด้านนอกในทันที
ณ จวนเจ้าเมืองธนบุรี ในคืนที่มืดสงัดคืนนั้น ก็มีอาสาสมัครมากมายมายืนรออยู่ที่หน้าจวนของเจ้าเมือง ซึ่งมีทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ต่างก็กำลังยืนรอว่าเจ้าเมืองจะประกาศอะไรต่อ โดยที่เจ้าเมืองได้นิมนต์เกจิอาจารย์คนเดิมมาด้วย โดยที่เกจิอาจารย์ท่านนั้นได้มองสมาชิกคณะเดินทางแต่ละคน ท่านก็ดูยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก เจ้าเมืองเลยคุยกับเกจิอาจารย์ท่านนั้นในทันที
“พระคุณท่าน ท่านยิ้มด้วยเหตุอันใดหรือ??”
“อาตมาสัมผัสได้ถึงพลังของเหล่าผู้กล้าที่มา เราต้องให้พวกเขาทำสัญญาเลือด เพื่อเป็นการคล้องใจพวกเขา”
“ถ้ากระนั้น ข้าจะให้บ่าวไพรไปหากระดาษแลมีดมา อ้ายไพร่ มึงไปเอากระดาษกับมีดมาที!!” เจ้าเมืองสั่งบ่าวไพรของเขาไป และไม่นานนัก ทองอินทร์และกุมารคู่ใจของเขาก็เดินมาถึงที่หน้าจวนของเจ้าเมือง ทองอินทร์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นคนอื่นๆมาเข้าร่วมในการเดินทางด้วย แต่ตอนนั้นบรรดาผู้หญิงในกลุ่มก็ได้แต่หันมามองทองอินทร์ ทองอินทร์รู้สึกอายเล็กน้อย ประกอบกับ
“พี่ทองอินทร์ พี่ทองอินทร์จริงๆด้วย!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมา จากนั้นก็เดินเข้ามาหาทองอินทร์ในทันที
“วารี นี่เจ้าจริงๆหรือ ข้านึกว่าเจ้าจะมีอันเป็นไปแล้วเสียอีก!!” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ทองอินทร์ เจ้าจำข้าได้หรือไม่??” ชายอีกคนถามทองอินทร์ไป
“จำได้สิ คาวีใช่หรือไม่ เจ้านี่ยังมิเปลี่ยนไปเลย” ทองอินทร์ทักกลับไป
“ข้าชื่อธิดา ข้ามากับคาวีหน่ะ ข้ามาค้าขายได้ที่นี่ซักพักหล่ะ!!” และในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินรุดหน้าเข้ามาหาทองอินทร์ และมาขอจับมือของเขาในทันที
“ข้าชื่อเมรี ยินดีที่ได้รู้จักท่าน!!” ยังไม่ทันที่ทองอินทร์จะได้ทำอะไร จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาแต่ไกล ซึ่งในตอนนั้น ชายกลุ่มหนึ่งพยายามล้อมหญิงสาวคนหนึ่งไว้ พวกนั้นพยายามจะจับตัวเธอไป แต่เธอก็สู้สุดใจ ถึงขนาดยันกับชายฉกรรจ์พวกนั้นได้อย่างง่ายดาย และมีเสียงตะโกนดังมาแต่ไกลด้วย
“จับอีทาสนั่นให้ได้ เร็ว!!”
“ตุ๊บ!!”
ยังไม่ทันที่พวกนั้นจะจับตัวเธอ แต่จู่ๆ ก้อนหินปริศนาก็เขวี้ยงใส่ชายกลุ่มนั้น ชายกลุ่มนั้นพยายามเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานผู้ที่เขวี้ยงก้อนหินในทันที
“นี่มึงกล้าเหรอ??” มันคนหนึ่งตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้นชายผู้เขวี้ยงก้อนหินก็ใช้เท้ายันหน้ามันจนกระเด็น ทองอินทร์เห็นท่าไม่ดีเลยวิ่งเข้าไปเข่าลอยใส่มันคนหนึ่ง จนกระทั่งเจ้าเมืองธนบุรีก็รีบมาดูเหตุการณ์ในทันที และพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งตามผู้หญิงซึ่งเป็นนายทาส สถานการณ์ในตอนนั้นดูวุ่นวายสุดขีด
“อ้ายหลวง นี่มึงมาก่อเรื่องอันใดที่นี่??” เจ้าเมืองธนบุรีถามไป
“ข้าแค่มาตามทาสของข้ากลับไปหน่ะขอรับ!!”
“ท่านเจ้าเมือง ถ้ามิรังเกียจ ข้าอยากให้นางไปกับคณะของเราด้วย ท่านจะว่าอันใดหรือเปล่า??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“อ้ายหลวง ปล่อยนางไป พรุ่งนี้ข้าจะให้อัฐแก่เจ้า เจ้าพาลูกสาวเจ้ากลับไปเถิด!!” เจ้าเมืองธนบุรีพูดขึ้น จากนั้นหลวงคนนั้นก็พาลูกสาวและบ่าวไพร่ของเขากลับไป จนกระทั่งชายผู้เขวี้ยงก้อนหินก็เดินไปดูผู้หญิงทาสคนนั้นจนชนกับทองอินทร์ ทำเอาทั้งคู่ถึงกับหวิดจะมีเรื่องกัน
“เจ้ามิมีตาหรือไร??” ทองอินทร์ตะโกนถามไป
“ข้ามิสนใจเจ้าดอก หรือเจ้าอย่างจะลองกับข้าหล่ะ??” ชายคนนั้นถามไป แต่ในตอนนั้น หญิงสาวทาสคนนั้นก็เห็นทองอินทร์เขา ทำเอาเธอรู้ในทันทีว่าเขาเป็นใคร
“พี่ทองอินทร์ นี่ข้าเอง นารา!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเองสิงห์ก็เกือบจะต่อยเข้าที่หน้าของทองอินทร์แล้ว แต่นาราได้มาห้ามเอาไว้
“นี่ พวกท่านสองคน เมื่อกี้ช่วยเหลือกัน มาตอนนี้จะกัดกันเยี่ยงหมา เอาเป็นว่าข้าขอขอบน้ำใจท่านเช่นกัน!!” นาราหันไปพูดกับชายคนนั้น
“ข้าชื่อสิงห์ ข้าเป็นทหารชาวล้านนา!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ข้าทองอินทร์ เอาหล่ะ มีผู้ใดอยากจะแนะนำตัวอีกหรือไม่??” ทองอินทร์ตะโกนถามคนในกลุ่มไป
“อ่า ท่านก็มาจากล้านนาด้วยหรือ ข้าชื่อเอื้องเหนือ เป็นชาวเมืองเชียงใหม่ ส่วนท่านนี้ ท่านนี้ก็เป็นชาวล้านนาเยี่ยงข้า” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น แล้วก็ชี้ไปยังชายผู้เงียบขรึมคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆเกวียนขนสัมภาระ
“เรียกข้าว่า แสนคำสมิงก็แล้วกัน!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ข้าชื่อวาทิน ข้าเป็นโจรป่า แต่ข้าก็มีฝีมือพอตัวเยี่ยงพวกท่าน”
“ข้าชื่อเวียงพิงค์ ข้าเป็นแม่ค้า แต่ข้าก็มีฝีมือนะ!!”
คนอื่นๆแนะนำตัวไป แต่คณะเดินทางซึ่งเป็นชาวต่างชาติบางคนก็พูดภาษาสยามมิได้ ในตอนนั้นกุมารเทพก็ร่ายคาถาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ร่ายใส่คณะเดินทางทุกคนในทันที
“เอาหล่ะ เพียงเท่านี้ พวกท่านก็สามารถเข้าใจภาษาของแต่ละฝ่ายได้แล้วหล่ะ!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“อ่า หวัดดีทุกท่าน ข้าชื่อมาร์คัส ข้ามาจากฮอลแลนด์ ข้ามากับพวกมิชชันนารีหน่ะ ส่วนนี่อเล็กซ” ชายฝรั่งคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นก็แนะนำแหม่มสาวร่างเล็กให้คนอื่นๆได้รู้จัก
“สวัสดี ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่มาร์คัสหน่ะ แต่ข้าไม่เป็นภาระพวกเจ้าหรอก”
“อ้อ พวกฮอลันดางั้นหรือ ข้าชื่อสมบาติ ข้าเป็นลูกเสี้ยวสยาม ฝรั่งเศส ข้าเคยทำงานในอโยธยาด้วย” ชายลูกครึ่งคนหนึ่งพูดขึ้น
“อ่า ข้าชื่อ อองโม่โย ข้าเป็นชาวอังวะ ข้าอยากสู้กับพวกมันด้วย” ทหารอังวะคนหนึ่งพูดขึ้นและชูมือ
“ข้าชื่อออเรเลีย ข้ามาจากกรีก ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้า” หญิงสาวในชุดเกราะและหมวกเหล็กคนหนึ่งพูดขึ้น
“ข้าชื่อชิงเสียน เป็นชาวต้าชิง ข้ามีฝีมือเรื่องการยิงปืนมิเป็นรองผู้ใดเลย” หญิงสาวจีนคนหนึ่งพูดขึ้น
“ข้าชื่อมาเรียน่า วิลาศโปรตุเกส ข้าเป็นช่างซ่อมอาวุธหน่ะ” แหม่มสาวคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังแนะนำตัว จู่ๆหญิงสาวคนหนึ่งในชุดดำ ซึ่งแต่ละคนสัมผัสได้ถึงพลังมืดของเธอ ทำเอาพวกเขาเกือบจะชักดาบออกมาเพื่อป้องกันตัว แต่เกจิอาจารย์คนนั้นห้ามไว้ก่อน
“พวกโยมทั้งหลาย โยมคนนั้นมาดี เก็บอาวุธพวกเจ้าเถิด!!” เกจิอาจารย์คนนั้นพูดขึ้น และพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเกราะเต็มยศ พร้อมชายฉกรรจ์ในชุดเกราะตราสัญลักษณ์กางเขนเล็งดาบไปที่หญิงสาวชุดดำคนนั้นด้วย
“เจ้าอย่าคิดจะมาที่นี่ นังแม่มด!!”
“อย่าดีกว่า ข้ามิอยากทำร้ายพวกคริสต์ต่อหน้าผู้ทรงศีล ท่านนักบวช ข้าชื่ออนาเลีย ข้ามาจากอังกฤษ ขอบน้ำใจที่ท่านรู้ใจข้า!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น
“แล้วโยมผู้นั้นหล่ะ เป็นใครมาจากไหนหรือ??” เกจิอาจารย์คนนั้นถามหญิงสาวในชุดเกราะไป
“ท่านนักบวช ข้าชื่อเทเรซ่า ข้าเป็นแม่ทัพกางเขนศักดิ์สิทธิ์ ข้าตามไล่ล่าความชั่วร้ายตั้งแต่ทางใต้ จนคนของข้าเหลือแค่สองคน แม็กซิม รีปเปอร์!!” หญิงสาวอัศวินคนนั้นพูดขึ้น ส่วนมาร์คัสและอเล็กซ ในตอนนั้นก็ถืออาวุธของพวกเขาเตรียมไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน!!” ทั้งแม็กซิมและรีปเปอร์พูดพร้อมกัน
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังสีดำ ที่คลืบคลานเข้ามาทางเหนือ และข้าสัมผัสได้ว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นผู้มีฝีมือ ข้าเลยอยากจะมาร่วมเดินทางกับพวกเจ้าด้วย” อนาเลียพูดขึ้น
“ข้ามิมีวันเดินทางไปกับนังแม่มดอย่างเจ้า!!” เทเรซ่าตะโกนออกไป
“พวกเจ้าทุกคน ตอนนี้มิใช่เวลาที่พวกเจ้าจะมาทะเลาะกันเองดอก!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา
“โยมทองอินทร์พูดถูก ตอนนี้พวกเจ้าต้องใช้ทุกอย่างที่มี เพราะหากความมืดคลืบคลานเข้ามา พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าก็อาจจะมีอันเป็นไป!!” เกจิอาจารย์คนนั้นเตือนสติทุกคน
“ใช่แล้ว ตอนนี้ภาคีสวรรค์กำลังร่วมมือกันเพื่อผนึกกำลังป้องกันสวรรค์ พวกท่านมีหน้าที่จะต้องกำจัดพวกมันบนพื้นพิภพนะขอรับ!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“เฮ้อ เกิดมาข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นกุมารทองแหะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“ข้าเป็นกุมารเทพ ข้าไม่ใช่กุมารพวกนั้นที่ท่านเคยเห็นหรอก” กุมารเทพพูดขึ้น
“เอาหล่ะ มีผู้ใดพอจะแปลที่ท่านหญิงผู้นี้กล่าวได้หรือเปล่า??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“ตอนที่ข้าเฝ้าสังเกตหมู่ดวงดาว พบว่าพวกมันรวมตัวกันอย่างที่ข้ามิเคยเห็นมาก่อน” สมบาติพูดขึ้น
“นั่นหล่ะ อย่างที่ข้าเคยบอก เหล่าเทพและพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เตรียมการปิดกั้นทางขึ้นสวรรค์เพื่อป้องกันแล้วพวกมันแล้ว” กุมารเทพพูดขึ้น
“ทองอินทร์ แล้วภูตผีที่พวกข้าต้องเจอ มันเป็นพวกไหนกันแน่??” คาวีถามทองอินทร์ไป
“ข้าเองก็มิรู้ว่ามันมาจากที่ใดเช่นกัน” ทองอินทร์พูดขึ้น
“จะมาจากที่ใดก็ช่าง ข้าพร้อมจักแลกเลือดกับพวกมัน” นาราพูดขึ้น
“อย่าวู่วามไปแม่หญิง พวกมันอาจมีฝีมือกว่าที่แม่นางคิด” วารีพูดขึ้น
“เช่นนี้ มิว่าพวกเจ้าจะมาจากที่ใด ตอนนี้พวกเจ้าควรจะร่วมมือกันไว้สิ” ธิดาพูดขึ้น
“แต่ข้ามิไว้ใจนังแม่มดนั่น เผลอๆนางอาจจะอยู่เบื้องหลังทั้งหมดก็ได้” มาร์คัสพูดขึ้น
“ใช่ ข้าว่าจับนางมาตรึงกางเขนเสียดีกว่า” อเล็กซพูดเสริม
“ข้าว่า ถ้านางมาร้าย นางคงจัดการพวกเราทั้งหมดแล้วหล่ะ” ชิงเสียนพูดปรามพวกเขาไป
“นี่ เจ้าหน่ะ ท่าทางเจ้าจะเป็นคนฉลาดนะ แถมยังไม่น่าใช่สามัญชนทั่วไปด้วย ข้าจะบอกให้พวกท่านรู้ พลังมืดนั่นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ข้าจะทำ ตอนนี้พวกเจ้าควรจะฝึกปรือฝีมือกันบัดเดี๋ยวนี้!!” อนาเลียพูดอย่างจริงจัง
“ข้าเห็นด้วยที่นางพูด เอาเป็นว่า ตอนนี้พวกเจ้าทุกคน ควรช่วยเหลือกันสิ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกมันมีกำลังมากแค่ไหน แล้วเราต้องสู้กับพวกปีศาจงั้นเหรอ??” มาเรียน่าถามอย่างสงสัย
“หากเทียบกับพวกมันที่ข้าประมือด้วยเมื่อวันสองวันก่อน ข้าว่า เป็นไปได้” อองโม่โยพูดขึ้น
“จริงด้วย ข้าได้ยินว่าท่านแม่ทัพฉับกุงโบนำทหารฝ่าวงล้อมพวกมันออกไปนี่ จนป่านฉะนี้ยังมิกลับมาเลย” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“มันเป็นใครข้ามิสนดอก ยังไงข้าก็จัดการพวกมันได้อยู่แล้ว” เมรีพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ข้าหวังว่าท่านจะมิปดพวกเรา มิเช่นนั้น ข้าคงมิปล่อยท่านไว้แน่!!” วาทินพูดกับอนาเลียไป
“เฮ้อ ถ้าเพื่อกอบกู้ดินแดนสวรรค์ ข้าจะยอมร่วมมือกับเจ้าก็ได้ แต่ถ้าเจ้าหลอกพวกเรา ข้าจะปักกางเขนที่หัวของเจ้า!!” เทเรซ่าพูดขึ้น แต่อนาเลียก็ทำท่าจุ๊บปากใส่เธอ ทำเอาเทเรซ่าเกือบตบะแตก
“เฮ้อ จะรอดกันหรือเปล่าเนี่ย พวกเจ้าเนี่ย??” ออเรเลียพูดพลางกุมขมับ
“อย่างไรก็ต้องลองดูก่อน แต่ก็ไม่ง่ายเลย พวกเราจาก 50 เหลือกันแค่นี้” รีปเปอร์พูดขึ้น
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าเองก็ยังหวั่นๆเช่นกัน” แม็กซิมพูดขึ้นพลางหยิบดาบของเขามาดู
“เอาหล่ะ พวกโยมทุกคนก็พักผ่อนกันเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางก็แล้วกัน” เกจิอาจารย์พูดขึ้น จากนั้นพวกไพร่ของเจ้าเมืองก็เอาที่หลับที่นอนมาให้กับเหล่าคณะเดินทาง และในตอนนั้น พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนที่จะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้
ทางด้านของทองอินทร์ ในตอนนั้นเขาก็ไปตั้งกลุ่มกับนาราและสหายเก่าคนอื่นๆ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานหลายปี พวกเขามานั่งคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ และเรื่องสำคัญก็คือเรื่องที่พวกเขาจะออกเดินทางไปทางเหนือ เพื่อหาสาเหตุของเภทภัยในครั้งนี้ว่ามันเกิดจากอะไร และในตอนนั้นทุกคนก็ทึ้งกับกุมารเทพที่มาอยู่ด้วยกันกับเขาด้วย
“โห นี่กุมารเทพจริงๆเหรอเนี่ย เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น??” คาวีถามอย่างตื่นเต้น
“ก็ใช่หน่ะสิ ข้าเป็นกุมารที่บำเพ็ญตบะมานานนับพันปีหน่ะ” กุมารตอบไป
“อ่า ว่าแต่ พวกภูตผีที่พวกข้าต้องเจอต่อไปนี่มันเป็นพวกไหนกันหรือ??" นาราถามไป
“พวกมันเป็นภูตผีที่ปีศาจหมื่นปีเคยสร้างไว้ ข้าเคยเห็นมันตัวหนึ่งหน่ะ" กุมารเทพตอบไป และในตอนนั้นเอง กุมารเทพก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามาใกล้เขา เขาจึงสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ ในตอนนั้นเอง ร่างหญิงสาวตัวเล็กเท่าตุ๊กตาพร้อมปีกซึ่งคล้ายกับปีกแมลงปอก็บินมาทางพวกเขา จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมาในทันที
“ช่วยด้วย ที่ด้านนอกพวกปีศาจเต็มไปหมดเลย!!”
“ช้าก่อน นี่เจ้าเป็นทูตผีหรือเปล่า??” กุมารเทพถามเธอไป
“ข้าเป็นทูตจริงๆ แต่ข้าไม่ใช่พวกปีศาจ ข้าติดมากับลำเรือของชาวอังกฤษหน่ะ" ทูตหญิงคนนั้นพูดขึ้น
“ว่าแต่ เจ้าชื่อเรียงเสียงไรเล่า??” ธิดาถามไป
“ข้าชื่อเบลล์ ข้าหลงทางมาหน่ะ" ทูตหญิงคนนั้นตอบไป
“เจ้ามาอยู่กับพวกข้าก่อนก็ได้ ว่าแต่ ข้าอยากจักทราบเกี่ยวกับไอ้ปีศาจหมื่นปีนี่เสียหน่อย เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือเปล่า??" เมรีถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็มิรู้ประวัติที่มาของมันแน่ชัด รู้แต่เพียงว่า เมื่อหลายหมื่นปีสวรรค์ก่อน ปีศาจหมื่นปีบำเพ็ญตบะจนแก่กล้า และได้ยกกองทัพภูติผีมาท้ารบกับองค์พระอิศวร จนพลาดท่าถูกกำราบ แต่พระอิศวรสังหารมันมิได้ เหล่าเทวดาจึงใช้มนต์สะกดมันไว้ แต่ข้าก็มิทราบเช่นกันว่าเหตุใดมันถึงถูกปลดจากพันธนาการได้??” กุมารเทพถามไป
“ข้าว่าหล่ะ พวกปีศาจมันถึงได้มีกำลังกล้าแกร่งเช่นนี้ แต่มันผู้ใดเป็นผู้ปลดปล่อย พระยาพลเทพหรือ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าว่ามิใช่ดอก ปีศาจหมื่นปีอาจใช้พระยาพลเทพเป็นเหยื่อก็ได้” นาราพูดขึ้น
“ข้ามิสนเรื่องนั้นดอก พี่ทองอินทร์ ขอแค่ข้าได้ร่วมกับท่านก็เพียงพอหล่ะ" เมรีพูดขึ้น
“ข้าว่า กำลังของเราตอนนี้ยังน้อยนัก เราควรจักปลุกคาถาอาคมมาเพิ่มด้วย เพื่อประมือกับพวกมัน" วารีพูดขึ้น
“มิต้องห่วง ข้ายังมิเคยลืมสิ่งที่ท่ายครูสอนสั่งพวกเราดอก" คาวีพูดขึ้น
“ข้าจะรอดูสหายเอ๋ย!!" วารีพูดแซวคาวีไป
“ข้าคงทำอะไรได้ไม่มากกว่านี้ นอกจากดูแลของของพวกเจ้าหน่ะ" ธิดาพูดขึ้น และอีกด้านหนึ่ง นรสิงห์ซึ่งมองดูกลุ่มของทองอินทร์อยู่ห่างๆ ก็เกิดมีความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเคยรู้จักกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า แต่ไม่นานนัก คนกลุ่มหนึ่งก็มาคุยกับนรสิงห์ในทันที
“นี่ เจ้าหน่ะ เจ้ามาจากล้านนางั้นหรือ??"
“ใช่ พวกท่านก็เช่นกันหรือ??" นรสิงห์ถามไป
“ใช่จ้ะพี่ ข้าชื่อเอื้องเหนือ ส่วนนี่พี่แสนคำสมิงจ้ะ" เอื้องเหนือพูดขึ้น
“ข้าเวียงพิงค์ ข้ามาจากนครพิงค์เชียงใหม่หน่ะ"
“อ้อ ข้าเองก็เคยอยู่เชียงใหม่ ก่อนที่จะเข้าต่อรบกับพวกเงี้ยวหน่ะ" นรสิงห์พูดขึ้น
“ข้าเคยเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน ก่อนที่ปีศาจจักโจมตีเมืองของข้า" ท้าวแสนคำสมิงพูดขึ้น
“พวกภูติผีที่พวกเราจักต้องต่อสู้กับพวกมัน ข้าว่าพวกมันต้องมีมากโขอยู่แน่ๆ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ข้าจัดเตรียมสัมภาระให้พวกท่านกันหมดแล้ว แต่ข้ามิรู้จักพอหรือไม่??" เอื้องเหนือพูดขึ้น
“หาไม่เช่นนั้น ข้าว่าพวกเราจักต้องไปหาเอาดาบแน่เป็นแน่" นรสิงห์พูดขึ้นพลางหยิบดาบขึ้นมาพลางร่ายบริกรรมคาถาลงในดาบทันที
และอีกด้านหนึ่ง กลุ่มชาวคริสต์ก็มานั่งร่วมกันเพื่อมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้ นำโดยเทเรซ่า ซึ่งในตอนนั้นเธอก็ไม่ไว้ใจอนาเลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“นี่ ข้าว่า ข้าไม่ไว้ใจนังแม่มดนั่นเลย” เทเรซ่าพูดขึ้นกับเพื่อนๆของเธอ
“อืม ข้าเข้าใจเจ้านะ แต่หากพระคุณท่านพูดเยี่ยงนั่น ข้าว่าก็น่าเชื่อถืออยู่” มาเรียน่าที่อยู่สยามมานานและรู้วัฒนธรรมของดินแดนนี้ก็พูดขึ้น
“ข้าว่าเราสังหารนางเลยดีกว่า" แม็กซิมพูดขึ้นพลางหยิบดาบขึ้นมา
“นี่ ข้าว่าเจ้าสู้นางไม่ได้หรอก นิ่งไว้ก่อนเถิด มิเช่นนั้นพวกเราคงโดนขับออกจากกลุ่มแน่ๆ” รีปเปอร์พูดขึ้น
“เอาหล่ะ พวกเจ้าว่าพวกปีศาจในแดนตะวันออกเฉียงใต้นี่จะน่ากลัวหรือเปล่า??” มาร์คัสถามคนในกลุ่มไป
“ข้าว่า น่าจะน่ากลัวกว่าแน่ๆ แต่ข้าก็เตรียมพร้อมแล้วหล่ะ” อเล็กซพูดขึ้น
“ข้าไม่แน่ใจว่าดาบธรรมดาๆนี่จะฟาดฟันพวกมันได้หรือเปล่า??” ออเรเลียถามไปในขณะที่ชูดาบออกมาดู
“ปีศาจในแดนนี้น่ากลัวกว่าที่ใดที่พวกเจ้าเคยเจอ พวกเจ้าคงต้องใช้ฝีมือกันเยอะเลยหล่ะ” มาเรียน่าพูดขึ้น
“ข้าเองก็เคยประมือกับพวกมัน พวกมันมีกันเยอะเกินไป จนข้าเหลือแค่สองคนนี้นี่หล่ะ” เทเรซ่าพูดขึ้น
“คอยดู ข้าจะแก้แค้นให้พี่น้องของเราให้ได้เลย" แม็กซิมพูดขึ้น
“เจ้าได้ทำแน่ เพียงแต่เจ้าต้องฝึกปรือมากกว่านี้” รีปเปอร์พูดขึ้น
“น่าสนุกดี ข้ารู้ว่าพวกเราแต่ละคนมีฝีมือกันทั้งนั้น” ออเรเลียพูดขึ้น
“เจ้าชมเกินไปแล้ว ตอนนี้ที่พวกเราต้องมีคือกระสุนกับดินปืนหน่ะ” มาร์คัสพูดขึ้น
“ข้าว่าเราน่าจะหาทำได้ ดินแดนนี้มีดินปืนมากโขอยู่” อเล็กซพูดขึ้น
และอีกด้านหนึ่ง สมบาติก็นั่งสมาธิอยู่ที่พื้น พร้อมกับใช้กระดานชนวนและดินสอไป เขาเขีดอะไรบางอย่างลงบนนั้น ในตอนนั้นเอง สมาชิกที่เหลือก็มาดูว่าเขาทำอะไร โดยเฉพาะอนาเลียที่ดูจะสนใจกับศาสตร์ของเขา
“นี่ เจ้าหน่ะ กำลังทำอะไรอยู่??" อนาเลียถามไป
“ข้ากำลังตรวจดูฤกษ์ยามให้พวกเจ้าอยู่หน่ะ” สมบาติตอบกลับไป
“อ้อ ชาวตะวันออกเชื่อในเรื่องฤกษ์ยามสินะ” ชิงเสียนพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ พวกเจ้ามิเชื่อก็อย่าลบหลู่เชียวน่า” วาทินพูดขึ้น
“ว่าแต่ ฤกษ์ยามมันว่าอันใดกันหล่ะท่าน??” อองโม่โยถามอย่างสงสัย จากนั้นไม่นาน สมบาติก็ลืมตาขึ้นมาในทันทีแล้วพูดกับทุกคน
“วันรุ่งพรุ่งนี้ เมื่อตะวันสีขาวโผล่พ้นขอบฟ้า จะเป็นฤกษ์ดีที่พวกเราจักออกเดินทาง"
“ตะวันสีขาวเหรอ ยากจะเชื่อแหะ” อองโม่โยพูดขึ้น
“ตอนกลางคืนข้าจะอ่อนแอ พวกเจ้าคงต้องช่วยคุ้มกันข้าแล้วหล่ะ แต่ข้าจะช่วยปรุงยาและแก้พิษให้พวกเจ้าเอง” อนาเลียพูดขึ้น
“ขอบน้ำใจท่านมาก แต่เสียดายที่ท่านเป็นแม่มด” ชินเสียนพูดขึ้น
“ข้าว่า นางมิได้คิดร้ายต่อเราก็ดีแล้วนี่” วาทินพูดขึ้น ในตอนนั้นอนาเลียก็ยิ้มและเธอก็เดินออกไปในทันที
เช้าวันต่อมา หลังจากที่เหล่าคณะเดินทางได้พักผ่อนกันเต็มที่หมดแล้ว พวกเขาก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงแดดในยามเช้า แต่ในวันนี้ มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ซึ่งดวงตะวันจากเดิมที่เป็นสีแสดตามปกติ วันนี้มันแปรเปลี่ยนสีเป็นสีขาวนวลใส่ พร้อมเปล่งแสงสว่างให้แก่ชาวเมืองทุกคน อองโม่โยที่เคยได้ยินที่สมบาติทำนายไว้ เขารีบปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาดูในทันที
“พวกเจ้าทุกคน ตะวันสีขาวจริงๆด้วย!!” อองโม่โยตะโกนอย่างตื่นเต้น ทำเอาทุกคนในกลุ่มถึงกับออกมาดู แล้วก็พบว่าเป็นดังที่สมบาติทำนายไว้
“ข้าว่า ดูเหมือนจักได้เวลาแล้วหล่ะ” สมบาติพูดขึ้น
“เอาหล่ะ พวกเจ้าทุกคน รีบไปเก็บข้าวของกันเถิด!!” ทองอินทร์ตะโกนขึ้น
“นี่มันอะไรกัน ข้ามิเห็นจักเข้าใจเลย??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“ดูเหมือนที่ท่านขุนได้ทำนายไว้จักเป็นสัตย์จริง ข้าต้องไปเตรียมสัมภาระหล่ะ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“เอาหล่ะ เรามีเกวียนอยู่ 5 คัน คงต้องมีผู้คุ้มกันหล่ะ" ธิดาตะโกนออกมา
“ข้าเอง ข้าจะคุ้มกันเกวียนเอง ต้องให้พลปืนคอยคุ้มกันนะ” ชินเสียนตะโกนออกมา
“ถ้าเช่นนั้น ก็คงต้องเป็นพวกเราแล้วหล่ะ อเล็กซ” มาร์คัสพูดขึ้นพลางชักปืนไฟของเขาออกมา
“ข้าตุนกระสุนไว้สำหรับพวกเจ้าหมดแล้วหล่ะ ข้าให้คนของข้านั่งทำกันทั้งคืนเลย” มาเรียน่าพูดขึ้น
“เฮ้อ ดูเหมือนข้าต้องใช้ปืนของข้าเองแล้วหล่ะ” อเล็กซพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เหน็บปืนพกที่เธอดัดแปลงเองไว้ตามตัวในทันที
“แม็กซิม รีปเปอร์ พวกเจ้าสองคนคอยคุ้มกันท้ายขบวนไว้ ส่วนข้าจะช่วยคนอื่นๆคุ้มกันตัวขบวนเอง” เทเรซ่าสั่งองครักษ์ของเธอ
“รับทราบครับ!!" พวกเขาทั้งคู่คุกเข่ารับคำสั่งไป
“เอาหล่ะ พวกเรากำลังจะได้เดินทางแล้ว ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก” วาทินพูดขึ้น
“นี่ ไม่ใช่งานขโมยของอย่างที่เจ้าเคยทำมานะ” ออเรเลียพูดขัดเขาไป
“เอาหล่ะ พวกเราที่เหลือ แยกย้ายกันไปคุ้มกัน ส่วนหน้าขบวน ข้าจักจัดการเอง” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ข้าขออยู่เคียงท่านด้วย พี่ทองอินทร์” เมรีพูดกับเขาไป
“ข้าว่า เจ้าคอยคุ้มกันเสบียงดีกว่า จักปลอดภัยกว่า” ทองอินทร์ตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้น ให้บุรุษคอยคุ้มกันที่หน้าขบวนแล้วกัน พี่ทองอินทร์" นาราออกความเห็นไป
“ท่านสิงห์ ข้าว่าพวกท่านต้องคุ้มกันหน้าขบวนแล้วหล่ะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“จักให้ข้าอยู่กับมันเนี่ยนะ??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย ในขณะที่เขม่นทองอินทร์ไปด้วย
“ข้าว่า นี่มิใช่เพลาที่ท่านจะมาเกี่ยงนะคะ” ธิดาพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ข้าขออยู่กับท่านด้วยก็แล้วกัน” วารีพูดขึ้น
“วารี ข้าว่าเจ้าไปคุ้มกันกลางขบวนดีกว่า อาคมเจ้ายังมิดีพอ" คาวีพูดขึ้น
“ข้าเองก็มีวิชาต่อสู้เช่นกัน มิต้องห่วงมากดอก” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ข้าขอนั่งในเกวียนนี่ก็แล้วกัน ข้าจะให้มนต์ช่วยคุ้มกันพวกเจ้า” อนาเลียชี้ไปที่เกวียนที่มีการปิดไว้ไม่ให้แสงเข้า และไม่นานเท่าไหร่นัก หลังจากที่พวกเขาตระเตรียมสัมภาระกันเรียบร้อย เจ้าเมืองและเกจิอาจารย์ประจำเมืองก็เดินมาหาพวกเขาในทันที เพื่อให้เสบียงที่ยังเหลืออยู่กับพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางกัน
“เอาหล่ะ พวกเจ้าทุกคนคือความหวังของเมืองนี้ รวมถึงพิภพนี้ด้วย พวกเจ้าต้องทำให้ดีหล่ะ” เจ้าเมืองธนบุรีพูดขึ้น
“เพลานี้ มิว่าพวกโยมจะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใด หรือมีความเชื่อเยี่ยงใด แต่โลกานี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทุกคนแล้ว พวกเจ้าทุกคนจักต้องสามัคคีกัน จึงจะสำเร็จผล ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทุกคน จงประสบผลสำเร็จ การเดินทางของพวกโยมในครั้งนี้ พวกโยมอาจจักต้องสละแม้กระทั่งชีวิตของพวกโยม พวกโยมยังจะเดินทางกันต่อหรือเปล่า!!" เกจิอาจารย์ถามคนในกลุ่มคณะเดินทางไป แต่ก็ไม่มีใครที่จะยอมเปลี่ยนใจกันเลย
“ต่อแต่นี้ พวกเจ้าคือคณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าคือความหวังเดียวของโลกานี้ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทุกคน!!”
“ท่านผู้ทรงศีลท่านนี้บารมีแก่กล้ามากเลยนะ” ทูตสาวเบลล์พูดขึ้น
“แน่นอน ข้าสัมผัสได้ถึงตบะของท่าน ว่าแต่ เจ้ามีอิทธิฤทธิ์อันใดบ้างหล่ะ??" กุมารเทพถามไป
“ข้ามีเวทย์มนต์เหมือนกัน แต่จะเป็นเวทย์มนต์จำพวกช่วยเหลือหน่ะ” ทูตเบลล์พูดขึ้น แต่ในระหว่างที่กำลังรับศีลรับพรกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีชายหญิงคู่หนึ่งในชุดเกราะสีขาวนวลเดินมายังพวกเขา เจ้าเมืองธนบุรีเห็นเลยพูดขึ้นในทันที
“พวกเจ้าสองคนหน่ะ มาทำอันใดกัน??”
“ข้าได้ยินว่าเหล่าคณะเดินทางจักออกเดินทาง พวกข้าเลยมาด้วยหน่ะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“แต่ว่า พวกเจ้ามาช้าเกินไปหน่อยนะ” เจ้าเมืองพูดขึ้น
“ช้าก่อนโยม ถ้าเขาอยากจะไปด้วยก็ให้เขาไป ให้พวกเขาเซ็นสัญญาก่อน!!” เกจิอาจารย์คนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเจ้าเมืองก็ให้บ่าวไพร่เอาสมุดเล่มหนึ่งมาให้ชายหญิงคู่นั้นทำสัญญา พวกเขาทั้งคู่กรีดเอาเลือดของตัวเองหยดลงสมุดในทันที แล้วก็แนะนำตัวกับทุกคน
“เรียกข้าว่าหลี่เจา ข้ามาจากเมืองจีน ส่วนนี่อิริยะ คนรักของข้าหน่ะ!!” ชายคนนั้นแนะนำตัวไป
“นี่ท่าน นี่มิใช่การเดินเที่ยวป่าดงพงไพรนะท่าน” ทองอินทร์พูดกับสองคนนั้นไป
“เจ้านี่หน่วยก้านดี มิต้องห่วง ข้ามิเป็นตัวถ่วงพวกเจ้าดอก” อิริยะพูดขึ้น
“เอาหล่ะ พวกโยมทุกคน ถึงเวลาอันสมควรแล้ว พวกโยมเร่งออกเดินทางกันเถิด อาตมาขอให้พวกโยมโชคดีมีชัยหล่ะ!!” เกจิอาจารย์ท่านนั้นพูดขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะออกนอกเมือง โดยที่มีชาวเมืองและทหารอังวะรอส่งพวกเขามากมาย เมื่อประตูเปิด พวกเขาก็เร่งเดินทางกันในทันที
===============================================================
การเดินทางของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่หนทางข้างหน้าของพวกเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ตอนแรกมาแล้ว ตอนต่อไปจะเป็นยังไง มาติดตามกันได้เน้อ
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
ความคิดเห็น