ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #27 : ตอนที่ 25 : แค้นส่วนตัว

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 65


    ทีมแพทย์ของดันเต้พาตัวของเสี่ยวหลงเข้าไปในห้องรักษาตัว โดยที่อากิระ รวมถึงคนอื่นๆก็ยังเฝ้ามองอย่างไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง และหลังจากนั้นไม่นาน ด็อกเตอร์ดันเต้ก็เดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่อากิระก็รีบมาคุยกับดันเต้ในทันที

    “ด็อกเตอร์ เสี่ยวหลงเป็นยังไงบ้างครับ??”

    “ปลอดภัยแล้วหล่ะ แค่บอบช้ำจากภายใน ฉันให้ยาไปแล้ว” ดันเต้พูดขึ้น และในตอนนั้น ตัวของเขาก็เหลือบไปมองซูซาคุ จากนั้นก็เดินไปหาเธออย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีครับท่านทูต”

    “คุณดันเต้ คุณคือด็อกเตอร์ดันเต้เหรอคะ ฉันคิดว่าคุณตายแล้ว??” ซูซาคุถามไป

    “พวกเราที่นี่ส่วนใหญ่ ยกเว้นหนู ก็ตายไปแล้วหล่ะค่ะ ว่าแต่ พี่รู้จักด็อกเตอร์ด้วยเหรอคะ??” อัญชันถามไป

    “นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสหรัฐ ในแวดวงวิทยาศาสตร์ไม่มีใครไม่รู้จักเขาหรอก ว่าแต่ คุณมาทำอะไรที่นี่กัน??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย

    “อ้อ เรื่องมันซับซ้อนหน่ะครับ” ดันเต้พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ตัวของอีสครินน่าก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ซูซาคุ จากนั้นก็ค่อยๆลูบมือเธอ ทำเอาซูซาคุถึงกับแปลกใจ

    “นี่ คุณมาลูบมือฉันทำไม??” 

    “มหัศจรรย์มาก เธอคือหนึ่งในล้านจริงๆ พ่อของเธอเป็นผู้เกิดใหม่ใช่หรือเปล่า??” อีสครินน่าถามไป ทำเอาซูซาคุถึงกับแปลกใจ

    “นี่ คุณรู้ด้วยเหรอว่าพ่อฉันเป็นใคร??” 

    “ฉันสัมผัสได้ถึงพลังของเทพโบรอน เทพแห่งความรักและการให้กำเนิด เธอคือลูกที่เกิดจากเขา สุดยอดมาก” อีสครินน่าพูดอย่างตื่นเต้น ทำเอาซูซาคุถึงกับถามต่อไป

    “ทำไมกัน แล้วเทพของคุณนี่มันอะไรกัน??” ซูซาคุถามไป

    “เทพโบรอน เขาเป็นหนึ่งในเทพที่มีส่วนสำคัญในการทำให้มนุษย์ชนะสงคราม ตัวของเขาเป็นองค์แรกที่มีมนุษย์ครึ่งเทพให้แก่ชาวโลกได้ และกองกำลังพวกนี้ มีส่วนสำคัญในชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์หน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “แล้วที่บอกว่าหนึ่งในล้านนี่หมายความว่ายังไงคะ??” พัตติยาถามไป

    “ปกติแล้วผู้เกิดใหม่จะมีน้อยมากที่ให้กำเนิดทายาทของพวกเขาได้ แต่นี่ เธอคือไม่กี่คนที่ได้เป็น เธอรู้สึกมีพลังเหนือกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่นหรือเปล่า??” อีสครินน่าถามซูซาคุไป ซูซาคุก็เริ่มนึกถึงอดีตของตัวเอง เพราะตั้งแต่เกิดมา ตัวของเธอก็เป็นเด็กที่เพอร์เฟ็ค ไม่สิ ความจริงแล้วตัวของเธอมีความสามารถและพัฒนาการเหนือกว่าเด็กคนอื่นในยุคนั้นมาก

    “เออ ว่าแต่ เธอมีพลังอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามอีสครินน่าไป

    “ปกติมนุษย์ครึ่งเทพ จะไม่มีพลังอะไรเป็นพิเศษ นอกจากพละกำลัง สติปัญญาที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เรียกได้ว่า สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชนคนทั่วไปได้” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “อืม จะว่าไปคุณก็พูดถูกนะ ว่าแต่ พวกคุณมารวมตัวกันทำไมที่นี่หล่ะเนี่ย??” ซูซาคุถามไป

    “พวกเรากำลังหนีจากพวก UNASO อยู่หน่ะครับ” อากิระพูดขึ้น

    “อ้อ นี่พวกนายโดนพวกมันตามล่าอยู่งั้นเหรอ??” ซูซาคุถามไป

    “นี่คุณก็รู้จักพวกมันด้วยอย่างงั้นเหรอ??” เวียนถามไป

    “รู้สิ ฉันเคยเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยนั้น ฉันเคยทำงานให้คริสเตียล แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วหล่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ห่ะ นี่คุณก็รู้จักคริสเตียลด้วยอย่างงั้นเหรอเนี่ย??” ฮารุถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ฉันกับเขามีความหลังกันนิดหน่อยหน่ะ มันเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของฉัน” ซูซาคุพูดขึ้น ทำเอาคนที่อยู่ในนั้นถึงกับทึ้งไปพักใหญ่

    “ห่ะ ทำไมมันถึงฆ่าพ่อแม่พี่หล่ะคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย

    “พ่อแม่ของฉัน เคยมีส่วนร่วมในองค์กร UNASO แต่พวกท่านช่วยเหลือผู้เกิดใหม่ วันหนึ่ง ฉันได้รับข่าวมาว่าพ่อแม่ฉันเสียชีวิต ทางองค์กรติดต่อฉันมา บอกว่าพวกผู้เกิดใหม่ฆ่าพ่อแม่ฉัน ฉันออกตามล่าพวกมันไปทั่ว แต่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยเห็นการสังหารหมู่ผู้เกิดใหม่ได้ชัดถนัดตา ไม่เว้นแม้แต่เด็กกับผู้หญิง ฉันตั้งใจว่าจะตัดขาดกับองค์กรไปซักพัก แต่ดูเหมือนว่าฉันแกะรอยไปเจอไอ้พวกแก๊งค์ผู้เกิดใหม่ที่ฆ่าพ่อแม่ฉันในเม็กซิโก มันสารภาพออกมาว่าคริสเตียลว่าจ้างพวกมันให้ก่อวินาศกรรมบนเครื่องบินลำนั้น ฉันฟังก็แทบไม่อยากจะเชื่อ ฉันเลยจะไปถามคริสเตียลให้มันรู้เรื่องไป แต่มันก็ไม่ปฏิเสธด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่ฆ่ามันในวันนั้น สงสัยคงจะเป็นเพราะฉันไม่อยากจะเป็นแบบมัน หลังจากนั้นฉันก็ออกจากองค์กรอย่างถาวรนี่หล่ะ” ซูซาคุพูดด้วยอารมณ์ดุดันและสาดเสียเทเสีย ทำเอาคนอื่นๆถึงกับไม่กล้าพูดต่อ

    “โห นี่แสดงว่า คริสเตียลมันหักหลังได้ทุกคนสินะครับเนี่ย” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ฉันว่า คนแบบนี้เราคงต้องระวังตัวให้มาก ดีแล้วที่เรายังไม่ตอบรับคำเชิญของ The Green” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “อย่าไว้ใจเธอ ฉันขอเตือนพวกคุณแค่นี้” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เยี่ยม ถ้าอย่างงั้น แปลว่าเราก็ตัดตัวเลือกไปได้แล้วสิครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “แล้วเราจะเอายังไงกันต่อหล่ะ จะกบดานกันไปแบบนี้เรื่อยๆอย่างงั้นเหรอครับ??” โลร็องต์ถามไป

    “คงต้องรอให้ฝ่ายอื่นเล่นกันให้ตายไปข้างก่อนหล่ะค่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “เดี๋ยวนะคะ พวกคุณกำลังต่อสู้อยู่กับใครอีกหล่ะคะ??” ซูซาคุถามไป

    “อ้อ ตอนนี้เรากำลังสู้กับพวก UNASO แล้วก็พวกโซนิคหน่ะครับ” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ใช่ครับ ดูเหมือนว่าสองฝ่ายนี้กำลังจะหักหลังกันเองครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ห่ะ พวกนั้นหักหลังกันเองอย่างงั้นเหรอ เป็นไปได้เหรอ??” ซูซาคุถามไป

    “มันเป็นไปแล้วครับ ทาง The Green ติดต่อมาหาเรา บอกว่าต้องการให้เราร่วมมือกับพวกเขา กำจัดโซนิคครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “งั้นเหรอ ถ้าพวกนั้นติดต่อพวกคุณ แสดงว่าพวกคุณต้องมีดีพอที่จะจัดการโซนิคได้แน่สิ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เออ คือ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะครับ ผมจำไม่ได้??” นายลืมถามไป ทำเอาซูซาคุถึงกับงงกับนายลืม

    “อ้อ อย่าไปใส่ใจหมอนี่เลย มันขี้ลืมหน่ะครับ” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็เดินมารวมตัวกับทุกคน และมารายงานอะไรบางอย่าง

    “ทุกคนครับ ผมลองตรวจสอบการสื่อสารพื้นที่ของพวก UNASO ได้ยินมาว่าตอนนี้พวกมันระดมกำลังมาเพิ่ม ไม่รู้ว่ามันกำลังจะทำอะไรครับ” ภาภินพูดขึ้น และในตอนนั้น นาวินก็แนะนำภาภินให้ซูซาคุได้รู้จักอย่างรวดเร็ว

    “คุณซูครับ นี่เจ้าภิน หมอนี่แฮ็กได้ทุกอย่างในโลกเลยครับ” นาวินพูดขึ้น

    “อืม จะว่าไป คุณซูน่าจะได้มาดูนี่นะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นอีสครินน่าก็พาซูซาคุเดินไปยังห้องเก็บกล่องหทัยราชันย์ ซึ่งในตอนนั้นกำลังเปล่งแสงสีแดงอย่างแวววาว ตัวของซูซาคุได้เห็นดังนั้นก็ตื่นเต้น เธอค่อยๆเดินเข้าไปดูกล่องใกล้ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าซูซาคุจะดูคุ้นเคยกับกล่องใบนั้นมาก

    “ฉันเคยศึกษาเรื่องของกล่องโบราณในงานวิจัย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีจริง” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ใช่ครับ แสดงว่าคุณต้องอ่านงานวิจัยที่ผมเขียนแน่ๆเลย” ดันเต้พูดขึ้น

    “ฉันเชื่อว่าคุณเป็นคนเขียน แต่เสียดาย หลังจากที่คุณโดนคดี คุณก็โดนขโมยผลงานไปหมดเลย” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ตอนนี้มีแต่พลังที่อยู่ในกล่อง ซึ่งจะสามารถปราบโซนิคได้ แต่ว่าเราต้องใช้พลังของมัน ถึงจะสามารถเปิดกล่องได้” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “หมายความว่า ต้องพึ่งมันอย่างงั้นเหรอคะ??” ซูซาคุถามไป

    “ยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ พลังที่อยู่ในกล่องใบนั้นถูกแบ่งเป็นสอง ซึ่งจะมีแต่คุณนาวิน และโซนิค ที่จะได้รับมันไปค่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “เฮ้อ วันหนึ่งเราก็คงต้องไปติดต่อพวกมันแล้วหล่ะค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ตอนนี้เราคงต้องดูสถานการณ์ไปก่อน ตอนนี้ไม่รู้ว่าเราต้องทำอะไรต่อ ตอนนี้คุณต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนนะครับ มันจะปลอดภัยกว่านะครับ” นาวินพูดกับซูซาคุ จากนั้นตัวของเขาก็เดินแยกออกไป ส่วนคนอื่นๆก็เดินแยกไปตามนาวินด้วย ส่วนตัวของซุวาคุเองก็เดินออกไปด้านนอกหลังจากที่ได้สังเกตกล่องหทัยราชันย์แล้ว ตัวของเธอก็เดินตามออกไปด้านนอก เธอเดินไปเจอกับอากิระที่กำลังยืนเฝ้าเสี่ยวหลงอยู่หน้าห้อง พร้อมกับอัญชันและพัตติยา ซูซาคุเดินไปแตะไหล่อากิระอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว พี่ซูซาคุ” อัญชันพูดขึ้น

    “อากิระ เป็นยังไงบ้าง เป็นห่วงเขาเหรอ??” ซูซาคุถามไป

    “ก็ใช่สิครับ ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไรอยู่ถึงได้ตามหาผม” อากิระพูดขึ้น

    “แล้วทำไมเธอถึงต้องตีจากเขาไปหล่ะ??” ซูซาคุถามกลับไป ทำเอากิระถึงกับไม่ตอบอะไรเลย

    “อ้อ หมอนี่ปากไม่ค่อยตรงกับใจเท่าไหร่ค่ะ” พัตติยาพูดไป

    “เอาเถอะ ยังมีโอกาสแก้ตัวได้เสมอนะ พี่เชื่อแบบนั้น” ซูซาคุพูดขึ้นแตะไหล่อากิระไป และในขณะเดียวกัน จู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ซูซาคุรีบรับสายอย่างรวดเร็ว

    “ฮัลโหล”

    “คุณซูครับ คุณเป็นยังไงบ้างครับ??”

    “อ้าว ฮันเตอร์เหรอ ฉันสบายดี ไม่เป็นไร” 

    “ครับ ผมก็นึกว่าคุณหายตัวไป ตอนนี้ที่สถานทูตมีเรื่องนิดหน่อยหน่ะครับ ตอนนี้พวกเขากำลังระดมเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเดินทางมาเมืองไทยครับ”

    “งั้นเหรอ แล้วนายจัดการไหวหรือเปล่า??” ซูซาคุถามไป

    “ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ครับ”

    “อืม ถ้าฉันเสร็จธุระตรงนี้แล้วฉันจะกลับไป ยังไงก็ฝากด้วยนะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็วางสายไป

    “ดูเหมือนว่าพี่จะมีธุระนะครับ” อากิระพูดขึ้น

    “อ้อ ก็นิดหน่อย แต่คนของน้าจัดการได้อยู่แล้วหล่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เออ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ??” อัญชันถามไป

    “อ้อ ไม่มีอะไรจ้ะ แค่ที่สถานทูตยุ่งๆนิดหน่อย มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาเมืองไทยหน่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม หนูว่านะคะ มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “อาจเป็นไปได้ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ไว้ฉันจะติดต่อกับคนของฉันที่นั่น ถามเขาเพิ่มเติมดู” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ผมว่า มันต้องเกี่ยวกับเรื่องของพวก UNASO กับโซนิคแน่ๆ” อากิระพูดขึ้น

    “หรือว่า ตอนนี้ทางการสหรัฐจะกำจัดโซนิคแล้วหล่ะคะ??” อัญชันถามไป

    “ถ้างั้นก็ดีสิ ปล่อยให้พวกมันตีกันให้ตายไปเลย” พัตติยาพูดขึ้น 

    “ฉันว่าไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ฉันต้องไปคุยกับคุณดันเต้หน่อย” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกในทันที ตัวของเธอเดินไปจนถึงห้องโถงใหญ่ ซึ่งกลุ่มของนาวินกำลังประชุมกับดันเต้อยู่แถวๆนั้น ซูซาคุรีบเดินไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว คุณซู มีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินที่เห็นเธอได้ถามไป

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือฉันอยากจะมาขอบคุณที่พวกคุณช่วยดูแลอากิระแทนฉันค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อ้อ ความจริง พวกเรามาเจอกัน ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องการกวาดล้างกลุ่มผู้เกิดใหม่ ไม่ได้เจอกันมานานอะไรหรอกนะ” เวียนพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ทำไมคุณถึงเพิ่งมาเจอกับอากิระหล่ะครับ??” นาวินถามไป

    “อากิระเป็นลูกของน้าสาวฉัน เธอคลอดเขาแล้วทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะเรื่องทางตระกูล เธอให้เบาะแสฉันเพื่อตามหาอากิระก่อนตายหน่ะค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อ้อ สรุปก็คือ ทิ้งหมอนั่นไว้ตั้งแต่ยังเด็กสินะคะ” ฮารุพูดขึ้น

    “น้าสึบากิเธอมีเหตุผลของเธอหน่ะค่ะ เธอไม่เคยทำใจได้เรื่องอากิระเลย” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อ้อ มิน่าหล่ะทำไมหมอนั่นถึงได้เป็นแบบนี้” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ความจริงหมอนั่นก็น่าสงสารเหมือนกัน แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้เจอญาติแล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ว่าแต่ พี่จะเอายังไงกับพี่อากิระต่อหล่ะครับ??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “เขาคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูล เขาคงต้องกลับไปอยู่กับตระกูลที่แท้จริงของเขา ฉันคิดว่านะคะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “โอโห้ เป็นหนูตกถังข้าวสารซะงั้นเพื่อนเรา” โลร็องต์พูดขึ้น

    “หนูตกถังข้าวสารคืออะไรครับ??” นายลืมถามไปอย่างซื่อๆ

    “โธ่เอ้ย ก็หมายความว่าอยู่ดีดีก็กลายเป็นคนรวยยังไงหล่ะ” ลูโดวิกตอบกลับไป

    “ว่าแต่ พี่พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์กรพวกนั้นเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ??” ลาลินถามซูซาคุไป

    “อ้อ ฉันรู้ว่าพวกเขาทำงานนอกกฎหมายเพื่อกำจัดผู้เกิดใหม่ทั่วโลก โดยไม่สนวิธีการ ฉันเชื่อว่าที่เมืองไทยจะโดนหนักสุด” ซูซาคุพูดขึ้น

    “มิน่าหล่ะ ช่วงนี้เที่ยวบินที่มาเมืองไทย มาบ่อยเหลือเกิน สงสัยพวกเขาคงจะมาจบงานที่นี่แน่ๆ” ภาภินพูดขึ้น

    “เออ แล้วที่ฉันอยากจะบอกพวกคุณ ตอนนี้ที่สถานทูตสหรัฐก็กำลังวุ่นวายเลยค่ะ มีข่าวมาว่าเจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเดินทางมาเมืองไทย” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เอ๊ะ หรือว่าพวกนั้นจะมาทำสงครามกัน พวก UNASO กับโซนิค??” ลันโทสถามไป

    “ผมว่าน่าจะเป็นไปได้นะครับ แต่ว่า ฝ่ายไหนจะชนะหล่ะครับเนี่ย??” ซีโร่ถามไป

    “โซนิคไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิดหรอก ไม่มีใครเอาหมอนั่นลง ถ้าไม่เจ็บตัว” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ถึงคุณไม่บอกเราก็รู้อยู่แล้วหล่ะครับ เราเคยสู้กับมันมาแล้ว” นาวินพูดขึ้น

    “แต่ฉันว่า ถ้าโซนิคเอาจริง พวกคุณตายไปแล้ว องค์กรของเราเคยเอาตัวของเขามาทดลอง ผลการทดลองของเขาอันตรายกว่าที่พวกเขาคิดมาก และฉันเคยได้ข่าวมาว่า ครั้งหนึ่ง รัฐบาลสหรัฐรบแพ้เขา และขอเจรจาสงบศึกกับเขา” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม จะว่าไป ผมก็เคยได้ยินเรื่องนี้นะครับ แต่ว่า ผมไม่อยากจะพาคุณมาเสี่ยงกับเรื่องนี้เลย” ดันเต้พูดขึ้น

    “อ้อ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ จะว่าไป ตัวฉันและองค์กรที่ฉันเคยทำงานด้วย ก็มีส่วนกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ฉันก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบหน่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ครับ ว่าแต่ คุณพอจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวก UNASO แล้วก็คริสเตียลเพิ่มหรือเปล่าครับ??” นาวินถามซูซาคุไป

    “จะว่าไป ฉันเคยได้ยินเรื่องของ The Green ครั้งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะสร้างมนุษย์ทดลองอะไรบางอย่างนี่หล่ะ แต่ว่าฉันออกมาจากหน่วยก่อน เลยไม่ได้สืบต่อ” ซูซาคุพูดขึ้น ทำเอาอีสครินน่าถึงกับแปลกใจ

    “มนุษย์ทดลอง ใช่มนุษย์ที่มีพลังเทพหรือเปล่า??” อีสครินน่าถามไป ทำเอาซูซาคุถึงกับแปลกใจ จากนั้นไม่นาน ดันเต้ก็เอารูปจากการทดลองผ่าตัดวิจัยมนุษย์ทดลองที่เขาจับมาได้มาให้กับซูซาคุในทันที ตัวของซูซาคุเห็นแล้วก็รู้เลยว่ามันเป็นตัวอะไร

    “ใช่เลยค่ะ นี่หล่ะค่ะ ผลงานของ The Green ฉันจำได้” ซูซาคุพูดขึ้น ทำเอาคนในกลุ่มนาวินถึงกับตกใจมาก

    “เออ คุณซู ไม่ทราบว่า The Green อะไรเนี่ย เธอสร้างมนุษย์ทดลองนี้ได้ยังไงกันคะ??” อีสครินน่าถามไป

    “คือ เรื่องนี้ฉันเคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง จากนักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานกับ The Green พวกเขาใช้ DNA ที่สกัดจากอะไรบางอย่าง จัดการผสมกับ DNA เดิมของมนุษย์คนนั้นหน่ะค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น และในตอนนั้น ดันเต้ก็คิดอะไรออก แล้วก็พูดขึ้น

    “คิดแล้วไม่มีผิด มันต้องใช้เนื้อเยื่อของพวกมู แอตแลนติกที่เก็บไว้แน่ๆ” ดันเต้พูดขึ้น

    “มู แอตแลนติก มันเรื่องอะไรกันเหรอคะ??” ซูซาคุถามไป

    “คือว่า มนุษย์เผ่านี้เป็นมนุษย์ที่สร้างมนุษย์ลูกครึ่งเทพขึ้นมา โดยใช้สารสกัดจากเนื้อเยื่อของมนุษย์ลูกครึ่งเทพอะไรนี่หล่ะค่ะ” ฮารุพูดขึ้น

    “มันอาจจะฟังดูเวอร์และบ้า แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริงนะครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “เอาน่า ยังไงฉันก็เชื่ออยู่แล้ว พ่อของฉันก็เป็นผู้เกิดใหม่นะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม คำถามตอนนี้ก็คือ The Green มีเนื้อเยื่อนั่นได้ยังไง แล้วทำไมดูเธอถึงรู้วิวัฒนาการของมันทั้งหมดได้??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “มีทางเดียว คงต้องเดินไปถามเธอแล้วหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “เดี๋ยวนะ แล้วพวกนาย คิดว่าเธอจะบอกเราง่ายๆอย่างงั้นเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป

    “มันก็ไม่แน่นะ ฉันน่าจะพอมีวิธี” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม ผมว่านะ พวกมันคงต้องใช้มนุษย์ทดลองพวกนี้จัดการกับโซนิคแน่นอนครับ” โลร็องต์พูดขึ้น

    “แต่ว่า พวกมันจะใช้ตอนไหน ตอนนี้โซนิคเองก็ยังเข้มแข็งอยู่นี่” ลูโดวิกพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของลุ้นเองก็ลองจั่วไพ่ขึ้นมาใบหนึ่ง

    “BETRAYED!!”

    “เออ ผมว่า พวกมันคงน่าจะเริ่มกันแล้ว” นายลุ้นพูดขึ้น

    “เฮ้อ ก็ดีครับ ปล่อยให้พวกมันฆ่ากันให้ตายไปเลย” นายลืมพูดขึ้น

    “แต่ว่า โซนิคจะยอมให้ทำได้ง่ายๆเหรอคะ หนูว่ายังไงก็ไม่สำเร็จหรอก” ลาลินพูดขึ้น

    “ถ้าเกิดโซนิคไม่โดนกำจัด งานนี้โลกได้ถึงกาลอวสานแน่ๆ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ถ้าถึงตอนนั้น เราไม่ควรจะอยู่เฉยนะครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “จริงด้วยครับ ไม่อย่างงั้น โลกใบนี้คง..” 

    ซีโร่ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างขึ้น

    “ตรวจพบความพยายามเจาะเข้าระบบ!!”

    “The Green แน่ๆ ตามมาเร็วครับ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็รีบไปที่ห้องติดต่ออย่างรวดเร็ว ตัวของดันเต้เปิดระบบให้ The Green เจาะเข้ามาติดต่อกับพวกเขาได้ 

    “ให้ฉันพูดกับเธอเองค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ไปที่ไมค์อย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีค่ะ คุณดันเต้”

    “สวัสดี ยังจำเสียงฉันคนนี้ได้หรือเปล่า??” 

    “ห่ะ ซูซาคุ เซอร์ไพร์สจริงๆแม่สาวน้อย เธอมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เนี่ย??” The Green ถามไป

    “เกี่ยวแน่ แต่ฉันขอถามอะไรเธอหน่อย เธอกำลังทำอะไรกันแน่??” ซูซาคุถามไป

    “เธอรู้จักโซนิคแล้วใช่หรือเปล่าหล่ะ ฉันกำลังยุ่งกับการจับกุมมันอยู่ และฉันก็คงจะจับมันได้ในอีกไม่นาน”

    “แล้วทำไมถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณดันเต้หล่ะ??” ซูซาคุถามไป

    “ฉันอยากให้โอกาส ฉันผิดตรงไหนหล่ะ??”

    “คนที่เธอให้โอกาส ได้ข่าวว่าลงหลุมกันหมดแล้วนี่” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ไม่เอาน่าซู งานนี้ฉันจริงจังนะ มีโลกทั้งใบเป็นเดิมพันเลยนะ”

    “พวกเราก็กำลังทำมันอยู่ แค่แนวทางของเรามันต่างกัน แล้วอีกอย่าง ฉันไม่อยากเห็นใครโดนเธอหักหลังอีก” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม งั้นเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าว่างๆมาเจอกัน ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวเธอหน่อย”

    “ช่วงนี้คิวงานฉันแน่นนิดหน่อย ฝากบอกคริสเตียลด้วย ฉันไปชำระความกับมันแน่” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ตัดการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

    “ฉันจัดการแล้วค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “โอเคครับ ถ้าอย่างงั้นตอนนี้ เราคงต้องรอดูว่าใครจะชนะ และถ้าเกิดพวก UNASO ทำไม่สำเร็จ ผมจะทำแทนเอง” นาวินพูดขึ้น

    “แต่ว่า คุณต้องแบ่งพลังกับโซนิคนะคะ ถึงจะใช้พลังได้” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “เรื่องแค่นี้ผมไม่กลัวหรอกครับ ผมจะได้จบงานนี้กับโซนิคซะที ก่อนที่โลกใบนี้มันจะถึงกาลวิบัติ” นาวินบอกกับทุกคนไป 

    ทางด้านของ the Green หลังจากที่เธอวางสายไป ในตอนนั้นเอง ตัวของเธอก็เดินไปที่ตำราโบราณหนเปกสีน้ำตาลเล่มหนึ่ง จากนั้นเธอก็ลูบมันไปราวกับเป็นของรักของหวง

    “คุณปู่คะ หนูจะจบงานนี้เอง สายเลือดมูของเราจะต้องทำสำเร็จ” The Green พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จากนั้นเธอก็โทรไปหาใครคนหนึ่ง

    “ฮัลโหล คริสเตียลเหรอ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง??”

    “ดี ฉันจะส่งล็อตสุดท้ายไปเพิ่มพรุ่งนี้ ถ้าเกิดพวกนายพร้อม โจมตีทันที”

     

    กลับมายังฐานทัพของหน่วย UNASO ในวันนั้นตัวของโซนิคได้เรียกทุกคนมาพบในห้องๆหนึ่ง และเมื่อทุกคนเข้ามาพบได้ไม่นาน พวกเขาก็เจอกับทีวีเครื่องหนึ่ง พร้อมกับเครื่องเล่นวีดีโอที่ตั้งตระหง่านไว้ โดยที่ลีน่าและเดวิดเป็นคนที่คุมการเปิดวีดีโอ กาลีน่าได้ยืนอยู่แถวๆนั้น และไม่นานนัก โซนิคที่นั่งอยู่แถวนั้นก็พูดกับทุกคนในทันที

    “มาถึงกันแล้วสินะทุกคน นั่งกันก่อนสิ”

    กลุ่มของคริสเตียลพากันนั่งโต๊ะอย่างรวดเร็ว

    “นี่คุณจะให้เรามาดูอะไรเนี่ย แล้วกาลีน่าไม่มาดูเหรอ??” คริสเตียลถามไป

    “ผมให้กาลีน่าดูก่อนแล้ว เหลือแค่พวกคุณ เอาหล่ะ ลีน่า” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน กาลีน่าก็เปิดวีดีโออะไรบางอย่างให้กับทุกคนได้ดูอย่างรวดเร็ว 

    “อ๊าค!!”

    ภาพที่คริสเตียลและคนอื่นๆได้เห็นคือภาพทหารสหรัฐมากมายถูกกองกำลังของโซนิคเล่นงาน และพร้อมกันนั้น ตัวของโซนิคก็ได้ใช้พลังคลื่นเสียงทั้งหมดของเขาทำลายล้างทุกอย่างแทบจะทั้งหมด ตัวของแสงจันทร์เองถึงกับรับแทบจะไม่ได้ และคลิปต่อไป เป็นคลิปที่รัฐบาลสหรัฐนั่งเจรจาอะไรบางอย่างกับโซนิคในทำเนียบขาว ตัวของฮาเวิร์ดทนไม่ได้ ตัวของเขาเลยลุกขึ้นแล้วพูดขึ้นมา

    “นี่ คุณทำอะไรของคุณเนี่ย??” 

    “ก็ไม่มีอะไรมาก สหประชาชาติส่งตัวแทนมาเจรจาสงบศึกกับฉัน พวกเขาสัญญาว่าจะให้เงินรายปี และไม่ให้ตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่คนไหนมายุ่งกับฉัน พูดง่ายๆ ฉันครองโลกนี้” โซนิคพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น แสงจันทร์เองก็ไม่ทนและชักปืนขึ้นมาเล็งโซนิค

    “นี่แก แกคิดจะทำอะไรกับประเทศนี้??” 

    “เฮ้ย วางปืนลงดีกว่าไอ้หนู!!” เดวิดพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น โซนิคก็ชูมือห้ามเดวิดเอาไว้ก่อน

    “แกต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่??” จ่าชัยถามไป

    “ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันรู้เรื่องที่พวกแกกำลังจะทำอะไรกับฉันแล้ว แต่ ฉันมันคนใจกว้าง ฉันให้โอกาสทุกคนเสมอ” โซนิคพูดขึ้น

    “ใช่แล้วค่ะที่รัก ไม่เชื่อพวกนายก็ลองถามกาลีน่าสิ เธอรับรองได้” ลีน่าพูดขึ้น

    “นี่ พวกคุณเลิกโง่ซะทีเถอะ ฉันพูดนี่เพื่อเตือนสตินะ!!” กาลีน่าพูดไป

    “เฮ้อ ได้จากพวกมันไปเท่าไหร่แล้วหล่ะยัยบ้า??” รูกิถามไป

    “แล้วถ้าเราร่วมมือกับแก เราจะได้อะไร??” รูกี้ถามไป

    “แล้วพวกนายอยากได้อะไรหล่ะ ตำแหน่ง เงินทอง รับรองว่าได้ชนิดที่ว่ารัฐบาลสหรัฐให้นายไม่ได้แน่นอน เอาแบบนี้ดีกว่า ในสัญญา พวกมันว่าจ้างนายเท่าไหร่ ฉันให้พวกนาย 2 เท่า เอ๊ะ หรือ 3 เท่าดีหล่ะ??” โซนิคถามไป

    “คิดว่าเงินจะซื้อพวกเราได้เหรอ??” ยูริถามไป แต่ในตอนนั้น ตัวของวูฟเองก็พูดขึ้น

    “เออ มาคิดไปแล้ว ฉันขอเปลี่ยนฝั่งดีกว่านะ” วูฟพูดขึ้น จากนั้นก็เดินไปนั่งใกล้กับโซนิค แล้วคุกเข่าคลานเหมือนหมา แต่ตอนนั้น เขาก็ยังส่งซิกให้คนอื่นๆเป็นสัญญาณ ว่าวูฟคิดอะไรอยู่ ในตอนนั้นทุกคนก็ลงปืนลงอย่างรวดเร็ว

    “แกมันโรคจิตนะ รู้ตัวมั้ย??” เวอร์รีนพูดไป

    “โธ่ พูดอย่างกับเธอไม่โรคจิตหน่ะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “พวกนายตัดสินใจถูกต้องแล้วหล่ะ ถ้าพวกนายทำงานให้ฉัน รับรองว่าพวกนายจะสบายไปทั้งชาติ พวกนายทำให้ฉันรู้ว่าไอ้พวกนั้นมันเล่นไม่ซื่อกับฉัน เห็นทีคงต้องไปเรียกร้องเงินจากพวกมันเพิ่มแล้วหล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “แล้วแกคิดจะทำอะไรต่อไปหล่ะ??” ยูริถามไป

    “ง่ายมาก ฉันจะตามล่านาวิน ถ้าหมอนั่นไม่ยอมเข้าร่วมกับเรา ฉันคงต้องชิงพลังมันมา แต่พวกนายไม่ต้องห่วง ฉันสู้มันได้สบายอยู่แล้ว ต่อให้มันมีพลังความเป็นอมตะก็เถอะ” โซนิคพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ทหารของคริสเตียลก็เดินเข้ามาในห้อง แต่พวกนั้นไม่ได้เล็งปืนใส่โซนิคเลยแม้แต่คนเดียว แต่พวกเขาเล็งปืนใส่คริสเตียลและคนอื่นๆต่างหาก

    “ไม่ต้อง ฉันจัดการได้แล้ว พวกเขายอมร่วมมือหน่ะ ไปไหนก็ไป!!” โซนิคตะโกนไล่ทหารพวกนั้นไป จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    “นี่แกซื้อคนของเราไปแล้วเหรอ??” คริสเตียลถามไป

    “ดูเหมือนว่าพวกคุณคงต้องปฏิรูปองค์กรใหม่ทั้งหมดแล้วหล่ะ หนอนเยอะชะมัด” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ยืนขึ้นในทันที จากนั้นก็เดินไปหากาลีน่าและเดวิดเพื่อคุยด้วย

    “ที่รักค่ะ ฉันขอโทษที่จับตัว The Green ไม่ได้ค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรหรอก เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ จัดการกับนาวินเพื่อชิงพลังมาให้ได้ จากนั้น ฉันจะกลับไปทำเนียบขาว ชำระความกับไอ้พวกนั้น” โซนิคพูดขึ้น

    “รับทราบครับผม” เดวิดพูดขึ้น จากนั้นโซนิคก็เดินออกไปนอกห้องพร้อมกับหัวเราะร่าอย่างสะใจ ส่วนตัวของลีน่าและเดวิดก็เดินตามไปด้วย โดยที่กาลีน่าก็เดินผ่านคริสเตียลไปราวกับไม่เห็นหัวเขา

    “พวกมันจ่ายให้เธอเท่าไหร่??” คริสเตียลถามกาลีน่าไป

    “คุณไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าอย่าตัดสินใจพลาดก็แล้วกัน” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกตามโซนิค หลังจากที่พวกนั้นออกไปกัน ทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในห้องก็มารวมตัวคุยกันในทันที

    “แสดงเก่งเหมือนกันนี่วูฟ” รูกี้พูดขึ้น

    “แน่นอน ฉันไม่ได้เก่งแค่เรื่องฆ่านะเฟ้ย” วูฟพูดขึ้น 

    “แต่ว่า เราจะทำยังไงหล่ะครับ ทหารเราส่วนหนึ่งก็เป็นพวกมันนะครับ??” แสงจันทร์ถามไป

    “อ้อ พวกนั้นบางคนก็แสดงละครตามที่เราบอกนั่นแหละจ้ะ” รูกิพูดขึ้น

    “เออ แล้วเราจะเอายังไงกันต่อไปหล่ะครับ??” ยูริถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้ทหารของคุณ The Green กำลังดักซุ่มอยู่ตามโกดังต่างๆ และอีกส่วนที่เหลือจะมาถึงคืนนี้ และเมื่อมากันครบ พวกเราจะลุยจับกุมมันทันที” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “แต่ว่า พวกมันจะไม่ระแคะระคายอย่างงั้นเหรอครับ??” จ่าชัยถามไป

    “ไม่หรอก คนที่เฝ้าด่านหน้าโกดัง เป็นพวกของเราทั้งนั้น” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ งานนี้เราหันหลังกลับไม่ได้แล้ว งานนี้มีโชคชะตาของโลกเป็นเดิมพัน แล้วอีกอย่าง เห็นทีเราคงต้องหวังพึ่งนาวินแล้วหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ผมว่า หมอนั่นคงไม่ยอมร่วมมือกับเราหรอกครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ไม่หรอก ถึงหมอนั่นจะขัดแย้งกับเรา แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าโซนิคกำลังจะยึดครองโลกอีกครั้ง พวกเขาต้องไม่อยู่เฉยแน่ๆ” คริสเตียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็โทรศัพท์หาใครบางคนอย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็พูดขึ้น

    “คุณ The Green ครับ ทุกอย่างใกล้จะพร้อมแล้ว โซนิคตกหลุมพรางของเขาแล้วครับ”

    “รับทราบครับผม” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นเขาก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว 

    “เอาหล่ะทุกคน เราจะลงมือกันเช้ามืดของวันนี้ ไปพักผ่อนและเตรียมตัวให้พร้อม อย่าให้ผิดสังเกตหล่ะ” คริสเตียลบอกกับทุกคนไป

     

    กลับมายังห้องพักเพี้ยน ในตอนนั้นตัวของเพี้ยนก็ยังคงนอนพักอยู่ในห้อง แต่ไม่นานนัก ตัวของเพี้ยนก็ตื่นขึ้นมา จากนั้นเพี้ยนก็พูดขึ้น

    “ปัดโธ่ แลดูเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วสินะเนี่ย” เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อแก้เมื่อย จากนั้นก็พูดต่อ

    “งานนี้คงได้ปะทะกันมันส์หยดแน่ๆ คุณเจ้าหน้าที่ที่ฟังอยู่ ไม่รู้นะว่าอยู่ฝ่ายไหนกัน แต่เอาเถอะ ถึงยังไงก็เอาตัวรอดเองแล้วกัน เราไม่สปอย ฮ่าๆๆๆๆๆ” เพี้ยนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินมาที่หน้าประตู แต่ยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่จะพูด ตัวของเพี้ยนก็พูดขึ้น

    “นี่เราต้องไปแล้วใช่เปล่าจ๊ะ??”

    “เออ รู้ก็ดีแล้ว จะไม่ได้ต้องบอกก่อน รำคาญ” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น

    “ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นบ้านพักสินะ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เออ ตามมาก็แล้วกัน” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็เปิดประตูห้องให้กับเพี้ยนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลากเอาตัวของเพี้ยนออกมาจากห้อง

    “นี่ ไม่ต้องรุนแรงก็ได้นี่หน่า” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เออ ถ้างั้นเดินตามมา แล้วก็เงียบปากด้วย” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ก็พาเพี้ยนเดินไปที่ด้านหลังประตูอย่างรวดเร็ว ตัวของเพี้ยนเองก็ปิดปากสนิท และเมื่อมาถึงด้านหลังโกดัง ก็มีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเพี้ยนไปขึ้นรถตู้ในทันที

    “นี่ คุณเจ้าหน้าที่ เราขอหมอนดีๆหน่อยนะ ที่นี่หมอนห่วยแตกมากเลย” เพี้ยนพูดขึ้น

    “จะห่วงทำไมวะ เดี๋ยวก็อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น

    “ใครว่าหล่ะ เราจะอยู่จนจบเรื่องเลย ใช่หรือเปล่าไรท์??” เพี้ยนพูดต่อ ทำเอาเจ้าหน้าที่ถึงกับปวดหัว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังอดกลั้นและพาเพี้ยนขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว

     

    และอีกด้านหนึ่ง เซนขี่มอไซค์มาจอดบริเวณด้านหลังโกดังซึ่งเป็นฐานของ UNASO เซนจอดรถและเดินเข้าไปที่ประตูเล็กประตูหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่เซนจะเดินเข้าไปใกล้ ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูนั้น และเมื่อเห็นเซน ชายคนนั้นก็เดินมาหาเซนอย่างรวดเร็ว

    “เซนใช่หรือเปล่า??” ชายคนนั้นถามไป เซนก็พยักหน้าไป

    “เขาบอกมาว่านายมาช่วย เชิญด้านใน”

    ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็หลีกทางให้กับเซน ตัวของเซนยังงุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย ฉันต้องไปที่ไหนต่อ??” เซนถามชายคนนั้นไป

    “โกดังนั้น” ชายคนนั้นพูดขึ้นและชี้ไปยังโกดังเดิมที่เป็นจุดที่เขาเคยใช้เป็นจุดซุ่มยิง ตัวของเซนค่อยๆเดินหลบการตรวจสอบเพื่อเดินทางเข้าไปด้านโกดังแห่งเดิมที่เขาเคยมา ตัวของเขาเดินผ่านประตูไปได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อตัวของเขาเดินเข้ามาด้านใน ตัวของเขาก็พบกับเจ้าหน้าที่นับสิบที่อยู่ด้านใน กำลังนั่งพักอยู่ ตัวของเขาตกใจมาก แต่เจ้าหน้าที่พวกนั้นดูเหมือนจะไม่มีความตกใจเลยแม้แต่น้อย 

    “คุณเซนใช่หรือเปล่าคะ??” เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวนั้นถามไป

    “ใช่ มีอะไร??” เซนถามไป

    “เชิญทางด้านนั้นค่ะ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปยังชั้นบนของโกดัง ตัวของเซนยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ฝืนใจและเดินขึ้นไปด้านบนของโกดังอย่างรวดเร็ว ตัวของเขาเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดซุ่มยิงเดิมที่เขาเคยใช้ซุ่มยิงโซนิค 

    “เอาอีกแล้วสินะ”

    เซนสบถออกมา จากนั้นเขาก็ตั้งปืนสไนเปอร์ของเขาไว้ที่เดิม จากนั้นก็ทดลองเล็งปืนเพื่อเตรียมพร้อม แต่ในตอนนั้น ตัวของเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

    “มันอะไรกันวะ มันดูง่ายเกินไปนะ??”

    เซนตัดสินใจเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันเป็นระเบิดพร้อมกับลวดสลิง เซนเอาระเบิดนั้นไปขลึงกับลวดสลิงไว้ตามทางที่จะมาหาเขา ตัวของเขาวางระเบิดไปประมาณ 10 ลูก จากนั้นก็กลับไปที่จุดซุ่มยิงต่ออย่างรวดเร็ว

     

    ที่ด้านนอกโกดัง กลุ่มของแก้วก็ยังคงดักซุ่มมองดูกลุ่ม UNASO อย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งตกเย็น พวกเขาก็ยังคงไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร พวกเขาจึงไปรวมตัวกันอยู่ในบ้านพักคนงานเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้างไว้ พวกเขาไปรวมตัวกันด้านใน จากนั้นก็จุดเทียนไว้ แล้วก็มานั่งคุยกันอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้อ เบื่อจังเลย อยากกลับไปที่บ้านของเธอจัง” เบลพูดขึ้น

    “นี่ๆๆๆ ไม่ใช่บ้านนายซะหน่อย เอาใหญ่แล้วนะ” แก้วพูดขึ้น

    “เอาเถอะ พวกเรามันก็ตายไปแล้ว ยังไงก็กินง่ายอยู่ง่ายหล่ะนะ” ไคพูดขึ้น

    “เออ จะว่าไป ลืมไปเลยว่าพวกเราเคยตายมาแล้ว” เกเบรียลพูดขึ้น

    “นอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว ว่าแต่พวกเราจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” แก้วถามไป

    “เราก็ยังไม่รู้ ตอนนี้พวกมันยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย” ไคพูดขึ้น

    “หรือว่า พวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่” เบลพูดขึ้น

    “เสียดาย ถ้าเข้าไปด้านในได้ เราก็น่าจะรู้ได้ไม่ยากแหะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ฉันว่าถึงยังไง พวกมันก็ต้องหักกันเองแน่ๆ” ไคพูดขึ้น

    “ฉันรู้ แต่ตอนนี้แค่เมื่อไหร่หล่ะ??” เกเบรียลถามไป

    “เฮ้อ สงสัยพวกเราคงจะรอจนรากงอกหล่ะ” เบลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของแก้วก็รู้สึกว่าเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ตัวของเธอเลยพูดขึ้น

    “เออ เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันได้ยินเสียงรถนะ” แก้วพูดขึ้น และในตอนนั้น ไคก็รีบดับเทียน จากนั้นก็รีบออกไปด้านนอก โยที่คนอื่นๆก็ได้ตามไปด้วย ในคราวนี้ พวกเขาซุ่มดูจากข้างทางก็พบว่า มีรถบรรทุกคันหนึ่ง ขับมาอยู่ที่หน้าด่าน จากนั้นไม่นาน กลุ่มคนบนรถบรรทุกก็พากันลงจากรถ แล้วค่อยๆเดินเข้าไปด้านในเขตของโกดัง โดยที่ใช้ความเงียบมากที่สุดเพื่ออำพรางตัวเอง

    “ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายนะเนี่ย” แก้วพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง มันคนหนึ่งก็หันมามองทางพวกเขา ทำเอาตัวของแก้วถึงกับต้องรีบปิดปาก ส่วนคนอื่นก็ชักอาวุธออกมาเพื่อเตรียมป้องกันตัว มันเดินมาเรื่อยๆ เพื่อมาดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่ไม่นานนัก มันก็เลิกสนใจ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปอย่างดื้อๆ ทำเอาทุกคนถึงกับโล่งใจ

    “เฮ้อ เกือบตายแล้วมั้ยหล่ะพวกเรา” เบลพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถึงยังไงก็รอดมาได้แล้ว” เกเบรียลพูดขึ้น

    “พวกมันเอากำลังชุดสุดท้ายมาแล้ว สงสัยคงจะฟัดกันอีกไม่นาน” ไคพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ก็รอดูพวกมันตีกันให้ตาย แล้วเราก็ค่อยเสียบข้างหลังพวกมันอีกที” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ใช่ โดยเฉพาะไอ้กร๊วกนั่น ฉันขอจัดการมันเอง” เบลพูดขึ้น

    “นี่ ยังไงก็ต้องใจเย็นหน่อยนะ” แก้วพูดปรามเบลไป

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราจะมารอดูว่าจะเป็นยังไงต่อ ถ้าเกิดได้ยินเสียงปืน ก็แปลว่าพวกมันตีกันแล้ว แล้วเราจะบุกไปฆ่าพวกมันเลย” ไคพูดขึ้นทิ้งท้ายไว้ 

     

    กลับมายังบังกะโล ที่พักชั่วคราวของมิกิ ตัวของเธอเข้าไปพักด้านในเพื่อรอให้เรือเดินทางมาเทียบท่า หลังจากมิกิอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตัวของเธอก็มานั่งที่เตียงของเธออย่างรวดเร็ว ตัวของเธอเฝ้ารอเวลาจนกว่าจะถึงเช้า แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับเข้ามาใกล้ ตัวของเธอรีบชักปืนออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินไปที่ริมประตู

    “ใครมาวะเนี่ย??”

    ตัวของมิกิเหลือบไปเจอกับเด็กที่ท่าเรือที่เธอเจอเมื่อไม่นานมานี้ ตัวของเธอเปิดประตูออกมาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินไปหาเด็กเรือคนนั้นอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย ไอ้น้อง!!”

    “อ้าวพี่ มาอยู่นี่เอง ผมหาตั้งนาน”

    “เออ มาที่นี่มีอะไรหล่ะ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “ผมจะมาบอกพี่ว่า ตอนนี้พวกเราลำบากแล้วพี่”

    “ลำบาก ลำบากเรื่องอะไรกัน??” มิกิถามไป

    “ตำรวจกำลังค้นท่าเรือของเฮีย ผมเลยรีบมาบอกพี่ก่อนหน่ะ”

    “ห่ะ นี่มันมาค้นหาอะไรกันหน่ะ??” มิกิถามไป

    “เรื่องยาเสพติดหน่ะพี่ ไม่เกี่ยวกับพี่หรอก พรุ่งนี้พี่ต้องมาเจอกับผมที่ท่าเรือ 3 เก้าโมงเช้า ห้ามสายด้วยนะพี่” เด็กเรือคนนั้นพูดขึ้น

    “เออ เข้าใจแล้ว แล้วเรือมีสัญลักษณ์อะไรหรือเปล่า??” มิกิถามไป

    “ผมจะติดธงเขียวไว้ที่เรือหน่ะพี่ หาไม่ยากหรอก ห้ามสายนะพี่” เด็กเรือคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเด็กเรือก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของมิกิก็เก็บปืน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบังกะโลของเธออย่างรวดเร็ว 

    “บ้าเอ้ย ชักไม่ไว้ใจเลย”

    มิกิสบถออกมา จากนั้นตัวของเธอก็เปิดประตูบังกะโลกลับเข้าไปในห้องของเธอ จากนั้นก็ล็อคประตูในทันที

    “เฮ้อ หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรนะ” มิกิพูดขึ้นพลางทิ้งตัวลงนอนที่เตียงของเธอต่อ จากนั้นเธอก็เอาโทรศัพท์ของเธอออกมา เพื่อดูข่าวเพิ่มเติม 

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบนถนนเส้นหนึ่งซึ่งมุ่งหน้าออกนอกกรุงเทพ ซึ่งในช่วงนี้ขาออกค่อนข้างติดขัดเล็กน้อย เพราะมีด่านตรวจสอบมากมาย รถของเบ็ตตี้ขับมาถึงด่าน โดยที่มีตำรวจคนหนึ่งมาตรวจสอบรถของเธอ

    “สวัสดีครับ ขออนุญาตตรวจสอบพาสปอร์ตครับ”

    ตำรวจคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นตัวของเบ็ตตี้ก็เอาพาสปอร์ตของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว และตำรวจก็เอาพาสปอร์ตของเธอไปตรวจสอบ จากนั้นไม่นาน ตำรวจก็กลับมาหาเบ็ตตี้ในทันที

    “คุณจะไปไหนครับคุณมาเรีย??” ตำรวจถามไป

    “อ้อ ระยองหน่ะค่ะ ฉันจะไปจัดการเรื่องธุรกิจที่นั่น” เบ็ตตี้ตอบกลับไป จากนั้นตำรวจพวกนั้นก็ปล่อยให้เบ็ตตี้ออกจากด่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ตัวของเบ็ตตี้ก็โทรศัพท์หาใครบางคนอย่างรวดเร็ว

    “ฮัลโหล คุณเกรียติ สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง??” เบ็ตตี้ถามไป

    “หนักเลยครับ พวกมันฆ่าพวกเราตายไปเรียบเลย พวกเราแตกกระจายกันไปคนละทางเลยครับ”

    “แล้วนี่ เราจะต้านพวกมันได้นานแค่ไหน??” เบ็ตตี้ถามไป

    “คงได้อีกไม่กี่วันครับ”

    “อืม ยังไงก็ระวังตัวด้วยหล่ะ ฉันจะลองหาทางดู” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว

     

    ณ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติซึ่งในตอนนี้ผู้คนต่างเดินทางเข้าออกกันเนืองแน่น รถของ สส.สุรสิงห์ เดินทางเข้ามายังสนามบิน โดยที่เลขาของเขานำทางไปยังห้องๆหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเลานจ์สำหรับ VIP ซึ่งใช้รับรองแขก โดยที่ชายคนหนึ่งก็มายืนรอที่หน้าห้องอยู่แล้ว

    “สวัสดีครับท่าน เชิญครับ”

    ชายคนนั้นพา สส.สุรสิงห์เข้าไปในห้อง ซึ่งในห้องนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกรับรองอย่างดี โดยที่ตัวของ สส.ก็ได้ไปนอนพักบนเตียงนุ่มๆที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็คุยกับเลขาของเขา

    “นี่ เจอลูกชายฉันหรือยัง??” 

    “ยังเลยค่ะ ฉันพยายามติดต่อลูกน้องของคุณอยู่” เลขาพูดขึ้น

    “ถึงยังไง ก็ต้องลากมันกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะยังไง” 

    “ดิฉันทราบดีค่ะท่าน แต่เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ถ้าเกิดเรื่องนี้ถูกระแคะระคายเมื่อไหร่ เราต้องหนีทันทีค่ะ” เลขาพูดขึ้น

    “ฉันรู้ดีน่าว่าต้องทำยังไง” สส. พูดขึ้น จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อ จากนั้นก็เดินไปยังผ้าคลุมตัว จากนั้นก็คลุมตัวของเขาในทันที

    “วันนี้จะลงอ่างเหรอคะท่าน??” เลขาถามไป

    “ใช่ เครียดๆนิดหน่อยหน่ะ ฉันห่วงเรื่องลูก ไม่ว่ายังไงต้องเอามันออกมาให้ได้ ต้องให้มันเลิกแก้แค้นได้แล้ว” สส.สุรสิงห์พูดขึ้น

    “ค่ะ ดิฉันเข้าใจค่ะ” เลขาพูดไป

    “เอาเถอะ ยังไงก็ต้องรีบจัดการก็แล้วกัน” 

    “ค่ะ ดิฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดค่ะ” เลขาของเขาพูดไป

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในวันนั้นตัวของวิบัติก็ได้นั่งคิดอะไรบางอย่างไปบนโขดหินบริเวณถ้ำ ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างอับทึบ และในขณะเดียวกันนั้นเอง วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งของวิบัติเองก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเขาอย่างรวดเร็ว

    “ท่านวิบัติขอรับ มีข่าวมาขอรับ!!”

    “มีเรื่องอันใดงั้นหรือ??” วิบัติถามอย่างสงสัย

    “ข้ามั่นใจว่าพวกของไอ้โซนิคมันต้องหักหลังกันเองแน่ขอรับ”

    “หือ นี่เจ้าแน่ใจงั้นหรือ??” วิบัติถามอย่างสงสัย

    “ข้าแน่ใจขอรับ ตัวข้าเฝ้าดูอยู่หลายวัน”

    “อืม ถ้าเช่นนั้น ส่งคนไปดูสถานการณ์ด้วย หากสบโอกาส ก็จัดการพวกมันเสียทั้งหมด แต่ต้องระวังด้วย เพราะพวกมันร้ายกาจนัก” วิบัติพูดขึ้น

    “ขอรับ ว่าแต่นายท่านจักทำอันใดต่อหรือขอรับ??”

    “ข้าจักใช้พลังวิญญาณรวมหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเมืองผา” วิบัติพูดขึ้น

    “แต่ว่า วิชานั่น แม้แต่ท่านพ่อของท่านก็ยังฝึกฝนมิได้เลยนะขอรับ??”

    “ข้ารู้ แต่ข้าต้องลองเสี่ยงเสียหน่อยหล่ะ” วิบัติยังคงยืนยันคำเดิม

     

    กลับมายังฐานทัพของดันเต้ ในตอนนั้นตัวของนายลืมก็กำลังเดินไปเดินมาอยู่บริเวณทางเดินของฐาน ซึ่งเป็นสถานที่เชื่อมต่อไปด้านนอก แต่ในขณะที่นายลืมกำลังเดินอย่างสบายใจ จู่ๆ ก็มีมืออะไรบางอย่างมาปิดปากเขา จากนั้นก็ลากเขาเข้าไปหลบที่ไหนซักแห่ง จากนั้นทุกอย่างก็เงียบงันไป

    และไม่นานนัก ในตอนนั้นคนอื่นๆก็กำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ในตอนนั้นลาลินก็กำลังเดินไปเดินมาแถวนั้น จู่ๆ นายลืมก็เดินดุ่มๆ มาหาลาลิน จากนั้นก็มาเปิดกระโปรงของเธอ ทำเอาลาลินถึงกับตกใจ

    “อู้ว สีชมพูซะด้วย” ในตอนนั้นลาลินอายมาก โดยที่ฮารุที่ผ่านมาแถวนั้นก็รีบมาดูอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน??” 

    “อู้ว พี่นี่นมใหญ่น่าฟัดจังเลยนะครับ” นายลืมพูดขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ตัวของฮารุรีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว 

    และอีกด้านหนึ่ง ห้องพักของกลุ่มของนายลุ้น ซึ่งพวกของนายลุ้นกำลังนั่งเล่นไพ่กันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ในตอนนั้น อากิระก็เดินมาแถวนั้น จากนั้นก็เอาปืนยิงไปที่โต๊ะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “ปัง!!”

    กลุ่มของนายลุ้นแตกกระจายกันไปคนละทาง ทุกคนแปลกใจว่าทำไมอากิระทำแบบนี้ จากนั้นอากิระก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว นายลุ้นรีบสะกิดคนอื่นๆให้ตามอากิระออกไปในทันที 

    และอีกด้านหนึ่ง ในตอนนั้นนาวินและเวียนก็เดินไปเดินมาแถวนั้น แต่จู่ๆ นายลืมก็วิ่งมาทางพวกเขาทั้งคู่ นายลืมเห็นเวียนในตอนนั้นก็เกิดอาการหื่นกามออกนอกหน้า ตัวของนายลืมจะกระโดดไปจับนมเวียน แต่เวียนก็ผลักนายลืมออกไปได้ก่อน

    “เฮ้ย แกเป็นบ้าอะไรวะ??”

    นายลืมตอนนั้นรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้นเอง

    “ตุ๊บ!!”

    นายลืมเผลอไปชนอากิระที่กำลังเดินผ่านแถวนั้นจนล้มลง ในตอนนั้นอากิระก็พูดขึ้น

    “เฮ้ย นี่แกเป็นอะไรของแกเนี่ยลืม??”

    “อย่ามายุ่งกับกู!!” นายลืมเผลอหลุดปากพูดออกมา ในตอนนั้นอากิระบังเอิญจับจุดได้ เขาเลยพูดขึ้น

    “เฮ้ย แกจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า เพราะปกติ แกต้องความจำดีสิ แกไปทำอะไรมา??” อากิระถามไป นายลืมเลยตอบไป

    “อ้อ ผมแค่ไปเล่นอะไรสนุกๆมาหน่ะ ผมชอบมากเลย” อากิระได้ยินดังนั้นจึงรู้ในทันที จึงชักปืนออกมาแล้วเล็งใส่นายลืม

    “มึงเป็นใครกันแน่วะ??”

    จู่ๆ ตอนนั้นนายลืมก็แสยะยิ้มออกมา ในขณะที่คนอื่นๆ ก็มารวมตัวกันที่กลุ่มของอากิระ และไม่นานนัก นายลืมก็แปลงร่างกลับไปเป็นร่างเดิมอย่างรวดเร็ว

    “ไอ้แสน!!” อากิระสบถออกมา

     

    ทางด้านของนายลืมตัวจริงที่ถูกจับ ชายสามคนพยายามจับตัวของนายลืมมัดไว้ แต่ในตอนนั้นนายลืมก็เขย่าหัวและทำอะไรขึ้นมาบางอย่าง ทำเอาชายสามคนนั้นถึงกับพูดขึ้น

    “เฮ้ย แล้วนายแสนจะกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย??” 

    “เออ นายแสนบอกว่าให้เรามัดมันไว้นี่ หรือเปล่าวะ??”

    “เออ แล้วนี่นายแสนเป็นใครกัน??”

    “เอ้า พวกมึงนี่ ว่าแต่พวกมึงเป็นใครกันวะ??” พวกมันสามคนตั้งคำถามกันไป แต่ในตอนนั้น ตัวของนายลืมก็รีบวิ่งหนีออกไปในทันที แต่ดูเหมือนว่าสามคนนั้นจะไม่วิ่งตามนายลืมไป

    “เฮ้ย ตามมันไปสิ!!”

    “ตามไปทำไมวะ บอกกูก่อนว่ามึงเป็นใคร??”

    “เออนี่ แล้วนี่ พวกมึงมาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย??”

    นายลืมรีบวิ่งกลับไปหาทุกคนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนอื่นๆกำลังประจันหน้ากับนายแสนที่บุกเข้ามาด้านในฐานทัพของดันเต้

    ================================================================

    กลุ่มของนาวินจะรับมือกับนายแสนได้หรือไม่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×