ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 24 : บาดเจ็บ

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 65


    เช้ามืดวันต่อมา ที่โกดังแห่งเดิม ซึ่งตัวของโซนิคเคยใช้มันเป็นสถานที่นัดพบกับอากิระมาก่อน ตัวของนาวินเดินดุ่มๆเข้ามาในโกดัง ในขณะที่มือของเขาก็ถือปืนของดันเต้ไปด้วย ตัวของเขาค่อยๆเดินเข้าไปยังโต๊ะตัวเดิมซึ่งอากิระเคยใช้มันนั่งคุยกับโซนิค

    “ขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอนานนะครับ คุณนาวิน!!” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น และไม่นานนัก ก็ปรากฏร่างของโซนิคเดินออกมา โซนิคเดินมาพร้อมลีน่าและเดวิด จากนั้นตัวของเขาก็นั่งเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

    “คุณเองก็นั่งด้วยสิครับ” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน ตัวของนาวินก็นั่งลงอย่างรวดเร็ว

    “อืม คุณอยากเจอ ผมก็มาแล้ว” นาวินพูดขึ้น

    “แน่นอน คุณก็รู้นะว่าผมเจอกับอากิระมาแล้ว หมอนั่นหลุดมือผมไปได้ แต่คุณไม่ต้องห่วง วันนี้ผมแค่จะมาเจรจาหน่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ” นาวินพูดขึ้น

    “ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมรู้สึกถูกชะตากับคุณ ผมรู้ประวัติของคุณหมดแล้ว คุณเองก็เผชิญโชคไม่ต่างจากผม มันน่าเศร้านะครับ ถ้าเกิดแม่ตาย แล้วแม่ใหม่ทำระยำแบบนั้นกับคุณ แถมลูกเลี้ยงมันยังหลอกให้คุณไปตายอีก” โซนิคพูดขึ้น ทำเอาตัวของนาวินถึงกับตกใจมาก 

    “นี่ แกรู้เรื่องของฉันด้วย??” นาวินถามไป

    “ยิ่งกว่ารู้อีกครับ ชีวิตของผมก็บัดซบไม่ต่างกัน แม่ติดยา พ่อเลี้ยงบังคับให้ไปเป็นเด็กส่งยาตั้งแต่เล็กๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมทนมาได้ ก็คือดนตรีแร็พนี่หล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “เท่าที่รู้มา พวกนักร้องเพลงแร็พส่วนใหญ่ก็ผ่านชีวิตแบบนี้กันทั้งนั้น” นาวินพูดขึ้น

    “ใช่ คุณทำการบ้านมาดีนี่ แต่คงไม่มีนักร้องเพลงแร็พคนไหน ที่กลับบ้านมา เจอแม่ตัวเองถูกข่มขืนจนตายคาที่ ผมหนีออกมา หาเลี้ยงตัวเองข้างถนน ก่อนที่ผมจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ แต่โชคชะตาก็ยังบัดซบไม่เลิก มีครอบครัวบุญธรรม แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดของพวกมัน ขนาดผมป่วยจนใกล้ตาย ก็ยังให้ผมทำงานหาเงินไม่เลิก ลูกหลานพวกมันก็ยังทำระยำบัดซบกับผมทุกวัน แล้วคุณรู้มั้ยเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ไอ้พ่อเลี้ยงเก่าระยำนั้น ยังมาขู่เอาเงินจากผม เลิกกับการที่จะไม่แฉอดีตเลวๆของผม พ่อบุญธรรมใหม่ผมสั่งคนให้ไปเก็บพ่อเลี้ยงบ้านั่น ผมเสือกไปห้ามเขาไว้ แต่มันจับผมเป็นตัวประกัน ตำรวจยิงไอ้พ่อเลี้ยงนั่นต่อหน้าผม ผมยังจำรสชาติเลือดที่ติดปากผมได้อยู่เลย แล้วรู้มั้ยเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมแม่งกลายเป็นดาวร่วงเพราะไอ้ข่าวบ้าๆพวกนั้น ผมพยายามอดทน คิดซะว่าทุกอย่างจะจบ แต่ว่าทุกอย่างแม่งก็ชิบหาย ผมเกิดอุบัติเหตุ กล่องเสียงผมพังและใช้งานไม่ได้ตลอดชีวิต ผมกลายเป็นไอ้ใบ้ไปแล้ว และวันหนึ่ง ผมได้ยินไอ้ครอบครัวบุญธรรมพวกนั้นคุยกันที่หน้าห้องพยาบาล รู้มั้ยว่าคุยกันเรื่องอะไร เรื่องที่พวกมันต้องการจะเก็บผม เพราะผมมันหมดประโยชน์แล้ว หลังจากนั้นผมก็ฆ่าตัวตายเพื่อจบทุกอย่าง แต่ไอ้บ้าเอ้ย ผมเสือกตื่นขึ้นมาในสุสาน ตอนแรกก็คิดว่าทั้งหมดเป็นฝันร้าย แต่เมื่อผมตั้งสติได้ ผมกลับไปที่บ้านของครอบครัวบุญธรรม จะไปทักทายกับทุกคน แต่เมื่อปริปากพูดออกมาคำเดียว ทุกคนแม่งหูแตกตายห่าคาบ้านกันหมด ตั้งแต่นั้นผมสาบาน ผมจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น!!” โซนิคพูดขึ้นอย่างไม่มีพัก

    “สุดท้าย คุณก็เลยไปลงกับคนอื่น ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยสิ” นาวินพูดขึ้น

    “ใช่ หลังจากนั้นผมก็ไปหาลีน่า เธอช่วยผมได้มาก ผมได้พลังของผู้เกิดใหม่มาเพียบเลย” โซนิคพูดขึ้น

    “สรุปแล้ว ทั้งหมด คุณต้องการอะไรจากผม??” นาวินถามไป

    “ง่ายมาก เราสองคนมาแบ่งโลกนี้ด้วยกัน และพวกเรา จะรวมกันยิ่งใหญ่ จะไม่มีใครหยุดเราได้!!” โซนิคพูดขึ้น

    “ข้อเสนอยั่วกิเลสดี แต่ฉันจำใจปฏิเสธหว่ะ คนอย่างฉันต่อสู้เพื่อความอยุติธรรม และฉัน จะไม่กลายเป็นปีศาจร้ายเพื่อสนองความเกลียดของตัวเองแน่ๆ ฉันว่านายเสียเวลาเปล่า” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของนาวินก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ลีน่าจะเล็งปืนใส่นาวิน แต่โซนิคก็ห้ามเอาไว้ก่อน

    “คุณไม่มีทางชนะผมหรอก คุณนาวิน แล้วอีกอย่าง ผมแนะนำว่าอย่าไปร่วมมือกับพวก UNASO นั่น พวกมันจะหักหลังคุณกับพวกแน่ หลังจากที่พวกมันกำจัดผมได้ คุณกับพรรคพวกของคุณกลับบ้านไปก่อนเถอะ” โวนิคพูดขึ้น นาวินแปลกใจมากที่ทำไมโซนิครู้ว่านาวินพาคนอื่นมาด้วย แต่เขาต้องข่มใจตัวเองแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว

    “ฉันจับตัวมันได้นะคะ ถ้าที่รักต้องการ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ไม่ วันนี้ฉันแค่อยากเจรจา ก็คือเจรจา ถึงยังไง ฉันก็ปราบหมอนั่นได้อยู่ดี” โซนิคพูดขึ้น

    “แต่ว่า ตอนนี้พวกมันกำลังเปิดกล่องหทัยราชันย์ พวกมันคง” เดวิดพูดขึ้น

    “ไม่หรอก ถึงตอนนั้น เราก็ใช้แผนสองได้เลย” โซนิคพูดขึ้น

    “ที่รักว่าหมอนั่นจะเชื่อหรือเปล่าคะ เรื่อง UNASO??” ลีน่าถามไป

    “แน่นอน พวกนั้นคงไม่โง่หรอก” โซนิคพูดขึ้น

    “ครับ ถ้าอย่างงั้นเรากลับกันดีกว่าครับ กาลีน่ารอเราอยู่แล้ว” เดวิดพูดขึ้น

    “ได้เลย ถ้าอย่างงั้นเรารีบไป” 

    โซนิคพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินออกไปจากโกดังอย่างรวดเร็ว โดยที่ในตอนนั้น กาลีน่าก็ยืนรอที่รถ กาลีน่าที่เห็นโซนิคกำลังเดินมา ตัวของเธอก็รีบไปรับโซนิคในทันที

    “คุณโซนิคคะ เป็นยังไงบ้างคะ??” กาลีน่าถามไป

    “เป็นอย่างที่ฉันคิด ไอ้พวกนี้มันไม่ยอมเจรจากับเรา” ลีน่าพูดขึ้น

    “สงสัย เราคงต้องใช้ไม้แข็งแล้วหล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “ไม้แข็ง คืออะไรเหรอคะ??” กาลีน่าถามไป

    “เอาไว้หลังจากนี้ เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง” เดวิดพูดขึ้น

    “ใช่ แล้วคราวนี้ พวกมันทั้งหมดก็ต้องมาสยบแทบเท้าฉัน” โซนิคพูดขึ้น ทำให้กาลีน่ายิ่งงงเข้าไปใหญ่

    “อย่างงั้นเหรอคะ แล้วฉันจะรอดูค่ะ” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เปิดรถให้กับโซนิคอย่างรวดเร็ว จากนั้นทุกคนก็เข้าไปนั่งในรถ โดยที่กาลีน่าเป็นคนขับ และเดวิดก็ได้นั่งใกล้กับกาลีน่าไป

    “นี่ ถามอะไรหน่อย เธอไม่เสียดายแย่เหรอ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ??” เดวิดถามไป

    “เรื่องไอ้พวกนั้นหน่ะเหรอ ฉันไม่วอรี่อะไรหรอก ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำงานกับพวกนั้นแต่แรกแล้ว” กาลีน่าพูดขึ้นพลางสตาร์ทรถไปอย่างรวดเร็ว

    “ที่รักคะ ฉันว่าเราน่าจะไปจับตัวพวกมันมาหน่อยดีกว่านะคะ” ลีน่าพูดกับโซนิค

    “ไม่จำเป็น อีกไม่นานพวกมันทั้งหมดก็ต้องมารับใช้ฉัน ไม่ก็ตายไปซะ” โซนิคพูดขึ้น

    “คุณโซนิคจะใช้แผนตัวประกันสินะครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “ใช่ ถึงไอ้พวกนี้มันจะเก่ง แต่พวกมันมีศีลธรรมในใจ พวกมันไม่กล้ามองดูคนบริสุทธิ์ตายไปหน้าต่อตาพวกมันหรอก รอดูได้เลย” โซนิคพูดขึ้น

    “ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า เตรียมพร้อมสำหรับแผนพวกเราก็แล้วกัน” โซนิคบอกกับกลับไป จากนั้นรถของพวกเขาก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    ทางด้านของนาวิน ตัวของนาวินเดินออกจากโกดังมา และไม่นานนัก กลุ่มของนาวินซึ่งคอยดักซุ่มอยู่แถวนั้นเพื่อช่วยเหลือนาวินถ้าเกิดนาวินเกิดอันตราย ทุกคนรีบออกมาเจอกับนาวิน โดยที่เวียนก็ได้วิ่งเข้ามากอดเขาอย่างรวดเร็ว

    “ปลอดภัยนะคะคุณวิน”

    “อ้อ ผมไม่เป็นไรครับ ผมว่าเรารีบกลับกันก่อนดีกว่าครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน ดันเต้ก็เรียกโดรนให้มารับพวกเขา หลังจากที่โดรนมารับ พวกเขาก็รีบพากันขึ้นโดรนในทันที จากนั้นพวกเขาก็รีบออกเดินทางกันอย่างรวดเร็ว

    “คุณนาวิน ไอ้หมอนั่นมันพูดอะไรกับคุณครับ??” ดันเต้ถามนาวินไป

    “ไอ้หมอนั่นมันอยากให้ผมร่วมมือกับมัน มันบอกอย่าไว้ใจพวก UNASO ครับ” นาวินพูดขึ้น

    “เฮ้อ ถึงมันไม่บอก เราก็ไม่เชื่อใจมันอยู่ดี” ฮารุพูดขึ้น

    “อืม แต่ว่า สงคราม 3 ฝ่ายแบบนี้ ถึงยังไงก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งถูกกำจัดอยู่ดี” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ใช่ แต่ปัญหาก็คือ เราจะเล่นอยู่ข้างไหนกันหล่ะ??” โจไซอาห์ถามไป

    “เราก็เลือกข้างคนที่ชนะสิครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “นี่ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มันต้องแล้วแต่สถานการณ์ด้วย” พัตติยาพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราคงต้องกบดานแล้วรอฟังข่าวหล่ะค่ะ” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ภาภินก็วิทยุมารายงานอะไรบางอย่างกับนาวินอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน ผมเจอตำแหน่งพี่อากิระแล้ว แต่แกน่าจะรู้ตัวเลยปิดโทรศัพท์ และพี่เสี่ยวหลงก็อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ครับ”

    “อ้อ ดีแล้วหล่ะ ขอบใจมากนะ” นาวินตอบกลับไป

    “เฮ้อ สุดท้ายแล้วหมอนั่นก็ต้องกลับมา” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เออ ว่าแต่ พวกเราจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อหล่ะครับ??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย

    “ก็อย่างที่พี่อัญชันบอกหล่ะค่ะ เราคงต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป” ลาลินพูดขึ้น

    “แต่ผมว่า พวกมันคงไม่หยุดแค่นี้หรอก โดยเฉพาะไอ้โซนิค ผมว่ามันต้องมีแผนอะไรต่อไปแน่ๆ” ลันโทสพูดขึ้น

    “จริงด้วยครับ ผมว่าไอ้หมอนั่นมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ” ซีโร่พูดขึ้น

    “เอาเป็นว่า ถ้ากลับไปถึงบ้านค่อยว่ากันดีกว่าครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันด้วยโดรนกันต่อ และไม่กี่นาที พวกเขาก็เดินทางมาถึงฐานที่มั่นของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่นั่นตัวของอีสครินน่ารวมถึงคนอื่นๆ ก็กำลังยืนรอพวกของนาวิน โดรนลำนั้นค่อยๆลงจอดอย่างรวดเร็ว จากนั้นกลุ่มของนาวินก็เดินลงจากโดรนกันในทันที และเดินมาหาอีสครินน่าที่กำลังยืนรอพวกเขาอยู่

    “สวัสดีค่ะทุกคน!!”

    “คุณอีสครินน่า ไม่เห็นต้องออกมาด้านนอกเลยนี่ครับ” นาวินพูดขึ้น

    “อ้อ บังเอิญว่าตอนนี้เรามีข่าวร้ายเกี่ยวกับหทัยราชันย์ค่ะ เอาไว้เราเดินไปคุยไปกันดีกว่านะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของลุอีสก็คุ้มกันทั้งคู่และคนอื่นๆ พากันลงไปยังห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงห้องโถงในชั้นใต้ดินกันแล้ว พวกเขาก็คุยกันในทันที 

    “เอาหล่ะครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับคุณอีสครินน่า??” นาวินถามไป

    “คือว่า ฉันลองพยายามเปิดมันแล้ว แต่ว่ามันต้องใช้พลังอีกส่วนหนึ่งในการเปิดมันหน่ะค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “พลังอีกส่วนหนึ่ง หมายความว่ายังไงคะ??” พัตติยาถามไป

    “หมายความว่า เราคงต้องใช้พลังของเทพโซราห์ในการเปิดอีก” พัตติยาพูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงกับแปลกใจกันมาก 

    “ห่ะ นี่หมายความว่า เราต้องไปขอร้องให้ไอ้บ้านั่นช่วยเปิดมันออกมาอย่างงั้นเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป

    “นั่นสิ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ มันคงต้องเอาพลังของเราไปหมด” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ไม่หรอก พลังนั่นมีสองส่วน ซึ่งแต่ละส่วนนั้น คนอื่นๆไม่สามารถใช้ได้ ดูเหมือนว่าพระแม่เทพีจะรักลูกเท่ากันนะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “ฉันว่าเราสู้ด้วยวิธีของเราเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อพวกมันเลย” เวียนพูดขึ้น

    “ไม่ได้หรอกครับ ผมว่ามันไม่มีทาง” นายลุ้นพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของภาภินและนายลืมก็เดินออกมาจากห้องทำงานของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว พี่วิน กลับมาแล้วเหรอพี่??” นายลืมถามไป

    “อ้อ เมื่อกี้แล้วหล่ะ พวกนายเป็นยังไงกันบ้าง??” นาวินถามไป

    “ก็นิดหน่อยพี่ หวังว่าพี่เสี่ยวหลงจะตามพี่อากิระกลับมาเร็วๆนะ” ภาภินพูดขึ้น

    “เออใช่ ว่าแต่ พวกนั่นยังตามหากันอยู่อีกเหรอ??” ฮารุถามไป

    “ก็ตามหาคนไม่ใช่ตามหาร้านอาหารนี่นะพี่” ลาลินพูดขึ้น

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เรามาคุยกันเรื่องนี้ก่อนดีกว่าครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “อืม โซนิคมันมากด้วยเล่ห์กล มันอาจจะริบเอาพลังไปทั้งหมดก็ได้ แล้วฆ่าพวกเราทิ้ง” ดันเต้พูดขึ้น

    “หรือว่า เราจะต้องเดินเกมล่าพวกมันบ้างหล่ะครับ??” ซีโร่ถามไป

    “ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ตอนนี้พวกมันกำลังเป็นต่อเรา นอกจากจะมีคนมาช่วย” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “แล้วเราจะไม่ลองเรียกพี่วิบัติให้มาช่วยเหรอครับ??” โลร็องต์ถามไป

    “เออ จะว่าไป ไม่ได้เจอกับหมอนั่นเสียนานแล้วนะ” นาวินพูดขึ้น

    “คุณวิบัติ หมายถึงเทพแห่งวิญญาณที่เราเคยเจอในถ้ำหรือเปล่าคะ??” อีสครินน่าถามไป

    “คิดว่าใช่ค่ะ แต่ไม่รู้หมอนั่นจะช่วยได้หรือเปล่า ขนาดหมอนั่นยังเคยโดนโซนิคใช้งานเลยนี่” พัตติยาพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง ถ้าเราร่วมมือกัน ก็น่าจะผ่านมันไปได้นะคะ” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อเข้ามาหาดันเต้ ตัวของดันเต้รีบรับสายอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาเปิดลำโพงให้คนอื่นๆฟังด้วย

    “คุณดันเต้คะ ดีจังที่คุณยังรับสาย”

    “คุณเบ็ตตี้ อะไรครับ มันเกิดอะไรขึ้นครับ??” ดันเต้ถามไป

    “ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวก UNASO มันกำลังกวาดล้างเราอย่างหนัก ตอนนี้พวกมันจัดการพวกเราไปได้ 2 กลุ่มแล้ว ตอนนี้ฉันเองก็ต้องรีบหนีเหมือนกัน”

    “เฮ้อ ถ้าจะมาขอให้พวกเราช่วย เสียใจด้วยนะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “อินเนสซ่า เย็นไว้ก่อนสิ ฟังที่เธอพูดก่อน” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ฉันไม่ได้อยากจะขอร้อง แต่ถ้าพวกคุณช่วยเรา เราจะขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้กลุ่มผู้เกิดใหม่บางคนได้หนีไปยอมแพ้กับพวก UNASO แล้ว อีกไม่นาน พวกนั้นคงตายกันหมด”

    “เออ หัดโดนซะมั้งไอ้พวกนี้” โลร็องต์พูดขึ้น

    “แล้วคุณติดต่อเรามา ต้องการอะไรครับ??” นาวินถามไป

    “เราต้องการให้พวกคุณกับดาน และตอบโต้พวกมันให้ได้มากที่สุด เพราะอีกไม่นาน พวกมันคงพุ่งเป้าไปทางพวกคุณแน่ ฉันต้องไปแล้ว ขอตัวนะคะ” เบ็ตตี้พูดทิ้งท้ายไว้ จากนั้นเธอก็วางสายไปในทันที

    “เฮ้อ สมน้ำหน้าพวกมัน อยากทำกับเราแบบนี้เอง” พัตติยาพูดขึ้น

    “แต่หนูว่า ถ้าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เราคงไม่มีเวลามาสมน้ำหน้ากันแล้วหล่ะค่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “นั่นสิ มันหมายความว่า ตอนนี้ก็เหลือแค่ฝ่ายเรากับฝ่ายพวกมันแล้ว” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ผมว่า ต้องเรียกว่า 4 ฝ่ายมากกว่าครับ ฝ่ายเรา ฝ่ายคุณเบ้ตตี้ ฝ่าย UNASO แล้วก็ฝ่ายโซนิคครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “จริงด้วย ตอนนี้เหลือแค่ 3 ฝ่ายแล้ว เราคงโดนเป็นรายต่อไปแน่ๆ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ปล่อยให้พวกมันมาเถอะ เราจะเล่นพวกมันให้หมดเลย” ฮารุพูดขึ้น

    “หรือเราจะอยู่เงียบๆ ปล่อยให้พวกมันเล่นกันเองไปก่อนหล่ะ??” เวียนถามไป

    “ผมว่า พวกมันคงไม่หยุดร่วมมือกันหรอกครับ ถ้าเราไม่ตายก่อน” ลันโทสพูดขึ้น

    “แล้วเรื่องของ The Green เราจะเอายังไงต่อหล่ะครับ??” ซีโร่ถามไป

    “คนบ้าอะไรชื่อ The Green ครับเนี่ย??” นายลืมถามไป ทำเอาคนอื่นๆถึงกับปวดตับ

    “นี่ นายอยู่เงียบๆไปเถอะนะ” ลาลินตอบกลับไป

    “ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้เลย เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรเรื่องนี้เลยครับ” นาวินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ก็ไม่ต้องไปตอบรับพวกเธอสินะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ค่ะ ส่วนเรื่องหทัยราชันย์ ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกคุณคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ใกล้กับพวกเขา ทำเอาพวกเขาถึงกับแปลกใจและขนลุกไปพร้อมๆกัน

    “พวกท่าน อยู่กันครบเลยงั้นหรือ ไม่ต้องห่วง วิบัติให้ข้ามาพบพวกท่าน ข้าคือเมืองผาอย่างไรเล่า”

    “อ้าว คุณเมืองผา พวกคุณหายไปไหนกันมาตั้งนานหล่ะเนี่ย??” นาวินถามไป

    “เพลานี้วิบัติกำลังช่วยเหลือวิญญาณของข้าไม่ให้แตกดับ แลตัวเขาในยามนี้ กำลังหาทางปราบเจ้าบ้านั่นอยู่ คงต้องใช้เพลาเสียนานหน่อย” เมืองผาพูดขึ้น

    “ถึงยังไง พวกเราก็จะไปปราบพวกมันอยู่แล้ว พวกเรามีพลังที่พอจะปราบมันได้อยู่” พัตติยาพูดขึ้น

    “พวกคุณอยู่ที่นั่นต้องระวังตัวด้วยนะคะ” อัญชันบอกกับเมืองผาไป

    “ขอบน้ำใจพวกท่านมาก ว่าแต่ บุรุษคนนั้นหายไปไหนกันเล่า ทุกทีเขาต้องอยู่นี่??” เมืองผาถามไป

    “อ้อ อากิระหน่ะเหรอ เดี๋ยวเขาก็คงกลับมาหน่ะครับ” นาวินพูดขึ้น

    “อ้อ คงต้องให้รีบกลับมาหน่อยแล้ว เพราะเพลานี้ ข้าสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตอะไรบางอย่างซึ่งกำลังตามล่าตัวเขาอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจักมีศัตรูอยู่มาโข ข้าขอตัวก่อนหล่ะ” เมืองผาพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ค่อยๆสลายร่างหายไปอย่างช้าๆ สร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆไป

    “เกิดอะไรขึ้นกับอากิระคะ หนูจะไปช่วยเขา!!” อัญชันพูดขึ้น

    “นี่ เธอไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก มีแต่จะทำให้ห่วงหน้าพะวงหลังมากยิ่งขึ้นนะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ก็ให้คุณดันเต้ส่งโดรนไปตรวจสอบดูก่อน ถ้าเกิดมันเหนือบ่ากว่าแรง พี่จะรีบไปช่วยกลับมาเอง ไม่ต้องห่วงไปนะ” นาวินบอกกับอัญชันไป

     

    ณ บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฐานของดันเต้มากนัก ตัวของอากิระนอนพักในป่าเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่เจออะไรมามาก ตัวของเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงรถมาจอดบริเวณถนนชายป่านั้น และชายที่ขับรถมา ก็ไม่ใช่ใครที่นั่น ก็คือเสี่ยวหลงที่ขับรถตามหาเขา ตัวของเสี่ยวหลงเองก็รีบตะโกนเรียกอากิระไป

    “อากิระ กลับมาเถอะ ฉันขอร้อง!!”

    ตัวของอากิระได้ยินแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ ตัวของเขาเฝ้ามองดูเสี่ยวหลงที่กำลังตะโกนหาเขา ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ได้แต่ยืนนิ่งและทำอะไรไม่ถูก

    “อากิระ ฉันขอร้อง กลับมา..”

    “ตึกๆๆๆๆๆ!!”

    จู่ๆ เสียงของเสี่ยวหลงก็ถูกแทรกด้วยเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่าง ตัวของเขาอากิระสัมผัสได้ถึงพลังนั้นจึงรีบวิ่งออกไปในทันที แต่มันก็พุ่งเข้าชนเสี่ยวหลงซะจนกระเด็นไปเลย

    “ตุ๊บ!!”

    ตัวของเสี่ยวหลงกระเด็นออกไปและนอนลงกับพื้น อากิระรีบหยิบปืนพกของเขาออกมาแล้วเล็งใส่มัน

    “เสี่ยวหลง!!”

    “ปังๆๆๆๆๆ!!” อากิระกระหน่ำยิงใส่สัตว์ยักษ์นั่น จนตัวของมันต้องรีบหนีหลบเข้าไปในป่า อากิระรีบไปดูเสี่ยวหลงที่นอนอยู่กับพื้นในทันที

    “เสี่ยวหลง!!”

    “อากิระ นายกลับมา..” เสี่ยวหลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ไม่นานนัก ตัวของอากิระก็โดนชนเข้าที่ด้านหลัง ตัวของอากิระกระเด็นไป อากิระกระเด็นออกไปแต่พลิกตัวกลับมาได้ แล้วกระหน่ำยิงต่อ

    “ปังๆๆๆๆ!!”

    ปีศาจตัวนั้นรีบวิ่งหลบเข้าไปในต้นไม้อย่างรวดเร็ว อากิระรีบไปหาเสี่ยวหลง แล้วลากเขาไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ตัวของเขาให้เสี่ยวหลงนั่งด้านหน้า ส่วนอากิระไปขับ แต่ยังไม่ทันที่อากิระจะได้สตาร์ทรถ ปีศาจตัวนั้นก็ทุบรถอย่างรวดเร็ว 

    “ตุ๊บๆๆๆ!!”

    “เฮ้ย อะไรของแกนักหนาวะ??” อากิระตะโกนออกไป จากนั้นก็จะเล็งปืนใส่ปีศาจตัวนั้น แต่ปีศาจตัวนั้นก็กระแทกรถอีกครั้ง คราวนี้ปืนของอากิระเสียหลักตกลงไปที่พื้นรถ

    “ไอ้อากิระ กูไม่ปล่อยมึงไปแน่!!” เสียงของปีศาจตัวนั้นพูดขึ้น

    “เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย มึงเป็นใครวะ??” อากิระถามไป และในตอนนั้นเขาก็ลากตัวของเสี่ยวหลงออกมาจากรถ เพราะรถคันนั้นใกล้จะหลุดเป็นชิ้นอยู่แล้ว เขาลากเสี่ยวหลงออกมาได้อย่างทุลักทุเล แต่รถคันนั้นก็เสียหายยับเยินเป้นอย่างมาก อากิระทำได้แค่คอยคุ้มกันเสี่ยวหลง ปีศาจตัวนั้นค่อยๆทิ้งรถ จากนั้นก็เดินมาอยู่ต่อหน้าอากิระและเสี่ยวหลงทั้งคู่

    “ไอ้ระยำ มึงเป็นใครกันวะ??” อากิระตะโกนถามไป

    “มึงจำกูไม่ได้เหรออากิระ เก่งมากที่รอดมือกูไปได้ แต่วันนี้มึงไม่รอดแน่!!” ปีศาจตัวนั้นพูดขึ้น

    “มึง ไอ้แสนใช่มั้ย??” อากิระถามไป

    “เออ มึงมารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว วันนี้แหละ มึงไม่รอดมือกูแน่!!” นายแสนพูดขึ้น

    “นี่มึงก็เป็นผู้เกิดใหม่อย่างงั้นเหรอวะ ดี กูจะได้จัดการเรื่องนี้ให้จบๆ” อากิระพูดขึ้น

    “ไม่ต้องมาปากดี!!” นายแสนตะโกนออกมา จากนั้นก็วิ่งเข้าใส่อากิระ แต่อากิระก็กระโดดหลบ จากนั้นก็ยิงเข้าใส่ที่ลำตัวของนายแสน แต่แสนก็ไม่เป็นอะไรมาก จากนั้นก็วิ่งเข้าไปต่อยหน้าอากิระ ตัวของอากิระกระเด็นไป แต่ดูเหมือนว่านายแสนก็เจ็บที่หน้าเขาด้วย

    “บ้าเอ้ย นี่มันอะไรวะเนี่ย??” 

    “เฮ้อ พลังสะท้อนความเจ็บปวดยังไงหล่ะ” อากิระพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น นายแสนเห็นเสี่ยวหลงสลบอยู่ เขาเลยลากตัวของเสี่ยวหลงขึ้นมา จากนั้นก็จับตัวเขาไว้

    “เฮ้อ มึงอยากเห็นเพื่อนมึงตายใช่มั้ย??” 

    “ไอ้ระยำ ปล่อยเขานะเว้ย!!” อากิระตะโกนออกมา 

    “ได้ แต่มึงต้องมาตายแทนมัน” นายแสนพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง นายแสนก็ได้ยินเสียงรถกำลังขับมาทางเขา นายแสนหันหน้าไปดู อากิระเล็งปืนใส่หน้าของนายแสน จากนั้นก็ยิงเข้าไปจนนายแสนกระเด็นและปล่อยเสี่ยวหลงออกมา อากิระกระหน่ำยิงใส่นายแสนต่ออย่างดุเดือด และรถคันนั้นก็ชนเข้าร่างของนายแสนจนกระเด็นออกมา รถคันนั้นจอดที่หน้าของอากิระ แล้วก็ลดกระจกลงอย่างรวดเร็ว

    “อากิระ ขึ้นมา!!”

    เสียงนั่นเป็นเสียงของซูซาคุ อากิระรีบแบกร่างของเสี่ยวหลงรถไปด้านหลังรถอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของอากิระก็ไปนั่งที่ด้านหน้า และเมื่อทุกคนขึ้นรถ ซูซาคุก็รีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนนายแสนที่ได้สติก็ลุกขึ้นมาและพยายามจะวิ่งไล่ตามรถ แต่จู่ๆ ตัวของนายแสนก็หมดเรี่ยวแรง ร่างของเขาค่อยๆเปลี่ยนกลับไปเป็นมนุษย์อย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน รถตู้สีดำคันหนึ่งก็ขับมาบริเวณนั้น และขับมาจอดตรงหน้านายแสน จากนั้นชายฉกรรจืกลุ่มหนึ่งก็ลงจากรถมาในทันที

    “นายแสนครับ กลับบ้านเถอะครับ!!” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น แต่จู่ๆ ตัวของแสนก็เกิดอาการหน้ามืดอะไรบางอย่าง ตัวของเขากระโดดและกัดกินชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาชายคนอื่นๆถึงกับตกใจ ชายคนหนึ่งจะควักปืนขึ้นมา แต่อีกคนก็ห้ามเอาไว้

    “เฮ้ย ลูกนายนะเว้ย!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น จนสุดท้าย นายแสนก็กินชายคนนั้นจนร่างกายเหลือแต่กระดูก เลือดเปรอะเต็มตัวของเขาไปทั่ว พร้อมกับความอาฆาตอย่างถึงที่สุด

    “ตามไปฆ่าพวกมันให้หมด!!” นายแสนพูดขึ้น

    ทางด้านของซูซาคุ ตัวของเธอขับรถพาอากิระไปที่ไหนซักแห่งเพื่อหนีจากปีศาจตัวนั้น 

    “นี่ อากิระ ไอ้บ้านั่นมันผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ??” ซูซาคุถามไป

    “ใช่ มันเป็นคู่อริผมเอง” อากิระพูดขึ้น

    “แล้วเพื่อนเธอหล่ะ จะเป็นยังไงต่อ ฉันจะพาไปโรงบาลเอง” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ไม่ต้องหรอกครับ พี่ขับไปอีกหน่อย พอเจอทางสามแยก เลี้ยวขวาไปเลยครับ” อากิระพูดขึ้น

    “นี่ เธอจะไปไหนเนี่ย เธอไม่กลับไปกับน้าเหรอ??” ซูซาคุถามไป

    “ผมมีเรื่องต้องสะสางครับ” อากิระพูดขึ้น

    “เอาเถอะ พี่จะได้รู้ด้วยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก ตัวของซูซาคุก็ขับรถถึงทางสามแยก ซูซาคุขับเลี้ยวขวาไปอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เห็นชายใส่สูทสามคนกำลังยืนอยู่แถวนั้น ซูซาคุจะชักปืนออกมา แต่อากิระห้ามไว้ก่อน

    “เดี๋ยวครับ ไม่ต้อง!!” อากิระตะโกนออกมา ชายสามคนนั้นรีบไปที่รถของซูซาคุ จากนั้นก็ไปดูที่รถของเธอทั้งสองด้าน ซูซาคุเปิดกระจกให้กับพวกนั้นอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว คุณอากิระ!!”

    “อย่าเพิ่งถามอะไรครับ ผมต้องให้ด็อกเตอร์ช่วย เดี๋ยวนี้เลย!!” อากิระตะโกนออกมา

    “อ้อ ถ้าอย่างงั้นก็เชิญครับ ผมจะติดต่อด็อกเตอร์ให้” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ปล่อยให้รถของซูซาคุออกมาได้อย่างรวดเร็ว

    “ด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์อะไรของเธอกัน??” ซูซาคุถามไป

    “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองหล่ะครับ” อากิระตอบกลับไป

     

    กลับมายังฐานทัพของหน่วย UNASO คริสเตียลได้ตัดสินใจเรียกคุยกับทุกคนเพื่อพูดคุย ทุกคนยกเว้นกาลีน่าได้มารวมตัวกับคริสเตียลอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้น ตัวของแสงจันทร์ก็ได้กลับมาช้ากว่าใครเพื่อน รูกิรีบวิ่งไปหาเขาและกอดเขาในทันที แต่ดูแสงจันทร์จะไม่ตอบรับเธอเท่าไหร่

    “รูกิ ให้ฉันได้คุยก่อนเถอะนะ” คริสเตียลพูดขึ้น และไม่นานนัก ตัวของแสงจันทร์และรูกิก็รีบมารวมตัวกับคริสเตียลในทันที และไม่นานนัก คริสเตียลก็ได้พูดขึ้น

    “ขอบคุณที่พวกนายมาที่นี่นะ ฉันรู้ว่าพวกนายกำลังไม่พอใจ แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังพวกนาย” คริสตียลพูดขึ้น

    “แล้วมาพูดให้มันได้อะไรหล่ะ??” แสงจันทร์ถามไป ทำเอารูกี้ถึงกับจะเข้าเล่นงานแสงจันทร์ แต่รูกิก็ห้ามไว้ก่อน

    “นี่ ฉันขอหล่ะ!!” รูกิตะโกนออกมา

    “ใจเย็น ฉันจะบอกพวกนายแค่ครั้งเดียว ส่วนที่เหลือ พวกนายจะตัดสินใจยังไง ฉันก็ไม่ขัดหรอก” คริสเตียลพูดขึ้น

    “เฮ้อ ว่ามาเลยครับเจ้านาย!!” วูฟพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ฉันได้รับมอบหมายงาน จากทางการสหรัฐ เป้าหมายของเราก็คือกำจัดโซนิคให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำยังไง เจ้าหน้าที่ที่มาร่วมมือกับเราในวันนั้น เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยใหญ่ใน UNASO ถ้างานนี้สำเร็จ พวกคุณจะได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ ที่ฉันไม่บอกพวกนาย เพราะต้องการจะกันพวกนายออกจากเรื่องนี้ เพราะส่วนงานของพวกนายแค่จัดการกลุ่มผู้เกิดใหม่ แต่ไหนๆก็มาถึงตรงนี้แล้ว ฉันจะไม่โกหกพวกนายอีกแล้วหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “แล้วทำไมถึงไม่รีบจัดการมันซะเลยหล่ะครับ??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “นายก็เห็นพิษสงมันแล้วนี่ เราต้องรอให้พวกหน่วยใหญ่ไฟเขียวก่อน เราถึงจะจัดการได้ แต่ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาแล้ว” รูกี้พูดขึ้น

    “สรุปก็คือ พวกคุณรับคำสั่งมาจากหน่วยแม่อีกทีสินะ” ยูริพูดขึ้น

    “ใช่ค่ะ และงานนี้ ทางการสหรัฐหนุนหลังเราค่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “งานนี้ถือว่าเป็นงานสุดท้ายสำหรับพวกคุณ แต่ถ้าใครอยากถอนตัวตอนนี้ พวกเราก็ไม่ว่าครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถ้าผมไม่ติดว่าต้องหาเงินนะ ผมไปแล้ว” แสงจันทร์พูดขึ้นพลางกอดอกไป

    “ว่าไงว่าตามกันเลยครับผม” วูฟพูดขึ้น

    “ว่าแต่ กาลีน่าหล่ะครับ เราจะเอายังไงกับเธอ??” จ่าชัยถามไป

    “ถ้าเธอมีปัญหามาก ก็เก็บเธอซะ” รูกี้พูดขึ้น

    “ก็หวังว่าจะไม่ทำกับพวกเราแบบที่ทำกับกาลีน่านะครับ” ยูริพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง คนอย่างฉันรักษาคำพูดเสมอ จบงานนี้พวกนายได้ค่าเหนื่อยแน่ๆ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ตอนนี้มีข่าวจากเบื้องบน ว่าอีกไม่กี่วัน พวกเขาก็พร้อมจะจับกุมโซนิคแล้ว พวกเขาจะนำกำลังมาที่นี่ และปิดล้อมที่นี่ไว้” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ค่ะ ถ้าเราจับโซนิคและผู้ติดตามได้แล้ว แค่นี้ก็จบเรื่อง” รูกิพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ว่าแต่พวกนายมีคำถามอะไรหรือเปล่า??” ฮาเวิร์ดถามไป

    “พวกคุณจะเอากองกำลังที่เคยมาช่วยเราในวันนั้นมาหรือเปล่าครับ??” ยูริถามไป

    “แน่นอน เบื้องบนได้นำกำลังพวกเขามาเต็มอัตราศึก และเราเชื่อว่าโซนิคคงไม่รอดแน่” คริสเตียลพูดขึ้น

    “เฮ้อ พวกคุณจัดการเขาด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้หรอก ผมมีวิธีจะจัดการกับมัน แค่จับมันมาให้ผมก็พอ” วูฟพูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงกับแปลกใจ

    “อย่างนายเนี่ยนะ แต่เอาเถอะ งานของเราคือต้องทำยังไงก็ได้เพื่อฆ่ามัน” รูกี้พูดขึ้น

    “อืม หวังไว้ว่ามันจะจบด้วยดีนะครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ยังไงผมก็ขอบคุณมากนะครับที่ยังอยู่ด้วยกัน เราจะรอจนกว่าเบื้องบนติดต่อมา แล้วเราค่อยจัดการกับโซนิค ตอนนี้ก็คือ เราต้องทำยังไงก็ได้ ให้โซนิคอยู่ที่นี่” คริสเตียลพูดขึ้น

    “แต่ผมว่า หมอนั่นคงไม่โง่ยอมให้พวกเราจับหรอก ถ้าเราจับมันไม่ได้ งานนี้พวกเราจบแน่นอนครับ โซนิคคงไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น 

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่ายังไง พวกมันก็หนีเราไม่รอดอยู่แล้ว” รูกี้พูดขึ้น

    “เออ ว่าแต่ที่นายจะจัดการกับมัน นายจะทำยังไงกับมัน ฉันไม่เข้าใจ??” จ่าชัยถามไป

    “เออน่า เอาเป็นว่าจัดการมันได้ก็แล้วกัน แต่เราต้องพันธนาการมัน ไม่ให้มันใช้พลังได้ ที่เหลือฉันจัดการเอง” วูฟพูดขึ้นพลางกอดอกไป

    “เออ เอาที่นายสบายใจก็แล้วกัน แต่ถ้าจัดการไม่ได้ก็รับผิดชอบเองแล้วกัน” วูฟพูดขึ้น

    “คือว่า แล้วเราจะกันกาลีน่าออกจากเรื่องนี้ได้ยังไงครับ??” ยูริถามไป

    “เรื่องของกาลีน่าคงเกินกำลังของพวกเราแล้วหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ใช่แล้วหล่ะ ถ้าเกิดว่าเธอมีปัญหา เราคงจำเป็นต้องจัดการ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “อืม ตอนนี้เราคงต้องรอให้โซนิคกลับมาก่อน แล้วค่อยว่ากัน” คริสเตียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือของคริสเตียล คริสเตียลรีบรับสายอย่างรวดเร็ว

    “ครับ” 

    “ห่ะ จริงเหรอครับ ไว้ผมจะรีบจัดการเองครับ” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็วางสายอย่างรวดเร็ว

    “เอาหล่ะทุกคน งานนี้เตรียมตัวให้พร้อม เราหันหลังกลับไม่ได้แล้ว” คริสเตียลพูดขึ้น และไม่นานนัก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาคริสเตียลอย่างรวดเร็ว

    “ท่านครับ โซนิคกลับมาแล้วครับ!!”

    “ได้ เดี๋ยวฉันไป” คริสเตียลพูดขึ้นแล้ววางสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บอกกับทุกคนไป

    “เอาหล่ะ ไปก่อน งานนี้เราต้องเล่นตามมันไปก่อน ถ้าได้สัญญาณไฟเขียวเมื่อไหร่ เราจะลุยกับพวกมันเลย” คริสเตียลบอกกับทุกคนไป 

     

    กลับมายังห้องขังของเพี้ยน ในวันนั้นตัวของเพี้ยนก็ตื่นขึ้นมาจากเตียง หลังจากที่ตัวของเพี้ยนพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “มาเจอกับเราแล้วสิ!!”

    เพี้ยนพูดขึ้น พลางมองไปยังโซนิคที่กำลังเดินมาหาเพี้ยน โซนิคมายืนอยู่ที่หน้าห้องขังของเพี้ยนอย่างตั้งใจ 

    “มาที่นี่อยากจะมาฟังตอนจบของเรื่องสินะ แต่ขอโทษ เรายังไม่บอกตอนนี้หรอก” เพี้ยนพูดขึ้น ในตอนนั้นตัวของลีน่าพยายามจะเข้าไปเล่นงานเพี้ยน แต่โซนิคก็ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

    “ไม่ต้องห่วง งานนี้คุณกับหมอนั่นจะได้รับพลังเพื่อทำลายล้างโลกใบนี้แน่ๆ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “นายคนนั้น นายหมายถึงนาวินใช่หรือเปล่า??” โซนิคถามเพี้ยนไป

    “นี่ บอกแล้วไงอย่าเรียกเราว่านาย ไม่เคยจำเลย!!” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ว่าแต่มึงรู้อะไรอีก??” โซนิคถามไป

    “เอาเป็นว่า ช่วงนี้หนีเอาตัวให้รอดก่อน แล้วพาเราหนีไปด้วย ถ้ายังอยากรู้อะไรเพิ่มเติม” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เฮ้ย หนีเอาตัวรอด หนีเรื่องอะไรของมึงวะ??” โซนิคถามไป

    “เออ เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ” เพี้ยนพูดขึ้นพลางเอนหลังนอนต่ออย่างสบายอารมณ์ ส่วนตัวของโซนิคเองก็พูดกับลีน่าและเดวิด

    “ไปบอกคริสเตียล เรียกทุกคนให้มาพบกันให้หมด” โซนิคพูดไป

     

    และที่ด้านนอก หลังจากที่กลุ่มของแก้วได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเขาได้เจอ พวกของเธอได้เดินทางกลับมายังโกดังเดิมที่พวกเขาเคยดักซุ่มเพื่อให้การช่วยเหลือเบล แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ มีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธนับสิบยืนเฝ้าโกดังกันอย่างแข็งขัน 

    “โห คงมีไม่ต่ำกว่า 20 แน่ๆ” ไคพูดขึ้นในขณะที่ใช้กล้องส่องทางไกลมองไป

    “ตายโหง แล้วแบบนี้เราจะเข้าไปในโกดังได้ยังไงกันหล่ะ??” เบลถามไป

    “สงสัย งานนี้เราคงต้องอยู่แต่ด้านนอกแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “นั่นสิ ขืนบุกเข้าไป พวกเราโดนจับกันหมดแน่” แก้วพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงรถดังมาทางพวกเขา พวกเขาจึงรีบหาที่หลบกันอย่างรวดเร็ว

    “มีรถมา หลบเร็ว!!” ไคตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็รีบหาที่หลบกันบริเวณพงหญ้าแถวนั้น และไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นรถบรรทุกทหารขบวนหนึ่งขับมาทางพวกเขา 

    “รถบรรทุกงั้นเหรอ??” เกเบรียลถามไป

    “พวกมันบรรทุกอะไรกันมา หรือว่าจะเป็นอาวุธ??” แก้วถามไป

    “อาจจะบรรทุกทหารมาก็ได้นะ” เบลพูดขึ้น และไม่นานนัก รถบรรทุกก็มาจอดที่หน้าประตูด่านกั้น โดยที่เจ้าหน้าที่ด่านก็รีบไปดูรถบรรทุกในทันที

    “หือ อะไรกันเนี่ย พวกมันจะทำอะไร??” แก้วถามอย่างสงสัย 

    “เดี๋ยวเราคงได้รู้กัน” เบลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่ด่านคนหนึ่งก็เดินไปตรวจที่ท้ายรถด้านหลัง แต่จู่ๆ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็โดนปืนเก็บเสียงยิงเข้าที่หน้า และคนยิงก็ลากศพชายคนนั้นเข้าไปที่ท้ายรถบรรทุกในทันที โดยที่ชายคนหนึ่งในรถบรรทุกก็ลงจากรถ พร้อมเปลี่ยนไปใส่ชุดของเจ้าหน้าที่ด่านที่ตายแล้ว

    “อะไรเนี่ย หรือว่าจะมีการโจมตีกัน??” ไคถามไป

    “สงสัยจะมีการหักหลังกันเองแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตัวปลอมคนนั้นก็เดินไปที่ด่าน จากนั้นก็เปิดประตูให้กับขบวนรถบรรทุกคันนั้นในทันที

    “เฮ้อ สงสัยงานนี้คงได้ถล่มกันเละแน่ๆ” แก้วพูดขึ้น

    “ดี สมน้ำหน้าพวกมัน ให้มันตีกันเองให้ตายไปเลย” เบลพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ถึงตอนนั้น เราจะทำยังไงกันต่อหล่ะ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “จะเอายังไงหล่ะ ก็รอให้พวกมันถล่มกันให้เสร็จ แล้วเข้าไปลุยเลย” เกเบรียลพูดขึ้น

    “แบบนี้ก็น่าจะดี รอดูว่าพวกมันจะเอายังไงต่อ” เบลพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง พวกนั้นก็มีมากกว่าเราอยู่ดีนะ” แก้วพูดขึ้น

    “อ้อ ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ปะทะกับพวกมันโดยตรง” ไคพูดขึ้น ในขณะที่เธอก็เอาปืนพกของเธอออกมาดู

    “ถ้าจะสู้กับพวกมัน แค่ปืนพกไม่พอหรอก” เบลพูดขึ้น

    “สงสัยคงต้องไปเอาปืนกับพวกมันแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น 

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้นค่ะ ตอนนี้เราก็แค่รอดูว่าพวกมันจะตีกันเองเมื่อไหร่” แก้วพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ขบวนรถบรรทุกก็ขับเข้ามาในโกดัง พวกเขาก็ยังคงอยู่เฉยและรอดูสถานการณ์กันต่อ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป 

     

    ณ ท่าเรือแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดระยอง ท่าเรือหาปลาซึ่งมีเรือมากมายจอดเรียงรายอยู่บริเวณนั้น รวมถึงเรือหาปลามากมายก็แล่นเข้าเทียบท่าเพื่อเอาปลามาส่ง รถของมิกิขับมายังท่าเรือ จากนั้นตัวของเธอก็ลงจากรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเธอก็เดินไปคุยกับชายหาปลาคนหนึ่ง ซึ่งกำลังแบกกระชังปลาอยู่

    “ขอโทษนะคะ เฮียไก่อยู่หรือเปล่า??”

    “นั่งอยู่นั่นหน่ะ” ชายคนนั้นตอบกลับไป พลางชี้ไปยังชายคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินไปเดินมาบริเวณท่าเรือ ตัวของมิกิรีบเดินไปหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว และทักทายชายคนนั้นไป

    “เฮียไก่คะ ฉันมิกิ เพื่อนของไอ้จิ๋ว ไอ้จิ๋ว สุรชัย มันแนะนำฉันมา”

    “จ้ะ มีธุระอะไร??” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

    “ไอ้จิ๋วมันบอกว่าเรือของเฮียรับส่งคนโดยสารออกนอกประเทศด้วย” มิกิพูดขึ้น

    “จะไปไหน??”

    “มาเก๊าค่ะ” มิกิตอบไป

    “ถ้าหนีตำรวจมาแบบเธอหล่ะก็ แพงหน่อยนะ ไม่อย่างงั้นไม่คุ้มค่าเสี่ยง” เฮียไก่พูดขึ้น

    “อ้อ ค่ะ เฮียคิดเท่าไหร่คะ??” มิกิถามไป

    “ค่าเดินทาง 2 แสนขาดตัว ห้ามต่อรอง” เฮียไก่พูดขึ้น จากนั้นไม่นาน มิกิก็ควักเงินให้กับเฮียไก่ไป ตัวของเฮียไก่รับเงินมาอย่างรวดเร็ว

    “ไอ้จ๊ะ ดูแลเธอหน่อยเว้ย!!” เฮียไก่ตะโกนบอกเด็กเรือคนหนึ่ง จากนั้นเด็กเรือคนหนึ่งก็เดินมาหามิกิอย่างรวดเร็ว

    “นี่เจ๊ ออกเดินทางพรุ่งนี้ได้เลย”

    “ห่ะ พรุ่งนี้ได้เลยเหรอ??” มิกิถามไป

    “ใช่เจ๊ จะมีเรือสำราญผ่านมา พอเรือมาถึงแล้ว เจ๊ก็รีบขึ้นเรือไปเลยนะ” 

    “ขอบใจจ้ะ แล้วนี่ฉันต้องไปกี่โมงเนี่ย??” มิกิถามไป

    “9 โมงเช้า จะมีเรือผ่านมา แถวนี้จะมีบังกะโลร้าง เจ๊ไปพักที่นั่นก่อนก็ได้นะ”

    “ขอบใจมากนะ” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินกลับไปที่รถของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็สตาร์ทรถออกเดินทางไปยังบังกาโลตามที่เด็กเรือคนนั้นได้บอกไป

     

    กลับมายังโกดังแห่งเดิม ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของนักวิทยาศาสตร์ในหน่วยงานของ The Green ในวันนี้ ตัวของ The Green และคณะของเธอได้เดินทางมายังโกดังแห่งนี้ โดยที่นักวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบโกดังก็เดินไปหา The Green อย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะมาที่นี่??”

    “อ้อ ดูเหมือนว่าโปรเจ็กค์ S จะเริ่มมีปัญหาแล้ว มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกเข้ามาโรงแรมของฉัน ดีที่ฉันรู้ตัวก่อน ฉันเลยหนีออกมาได้” The Green พูดขึ้น

    “หมายความว่า พวกมันก็อาจจะรู้ ว่าเราส่งหนอนบ่อนไส้ไปอยู่ในกลุ่มของมัน”

    “ใช่แล้วหล่ะ ตอนนี้เราคงต้องรีบจบเกมแล้วหล่ะ” The Green พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเซนซึ่งทำงานให้นักวิทยาศาสตร์ก็เดินผ่านไปแถวนั้น นักวิทยาศาสตร์ผู้ว่าจ้างเซนเรียกเขามาพบอย่างรวดเร็ว ตัวของเซนเมื่อได้ยินก็เดินไปหาเธอ

    “เรียกผมมามีอะไร??” เซนถามไป

    “ฉันมีงานสุดท้ายให้นายทำ ถ้านายทำได้ นายกับคิฮาระก็ไปตามทางของพวกนาย”

    “งานสุดท้าย งานอะไรของคุณ??” เซนถามไป

    “ฉันอยากจะให้นายไปจัดการใครคนหนึ่ง” นักวิทยาศาสตร์คนนั้นยื่นรูปให้ดู จากนั้นเวนก็พูดขึ้นด้วยอาการตกใจ

    “เป็นไปไม่ได้ ก็ผมยิงมันไปแล้วนี่” เซนพูดไป

    “มันไม่ตายง่ายๆหรอก ดูเหมือนว่านายจะต้องจัดการมันอีกรอบ แต่คราวนี้นายไม่ต้องทำคนเดียว จะมีคนช่วยเหลือนาย นายแค่ไปจัดการมัน” 

    “งั้นเหรอ แล้วคุณจะปล่อยผมกับคิฮาระงั้นเหรอ??” นักวิทยาศาสตร์ถามไป

    “แน่นอน เราจะปล่อยนายกับเธอ รวมถึงจะใช้เส้นสายล้างประวัติให้หมดเลย”

    “เออ ขอให้เป็นจริงดังคำเถอะ แล้วพวกคุณจะได้รู้ ว่าผมทำอะไรได้” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง นักวิทยาศาสตร์ชายคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหานักสิทยาศาสตร์หัวหน้าอย่างลนลาน

    “คุณครับ แย่แล้วครับ คิฮาระกำลังแย่แล้ว!!”

    “ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับเธอ??”

    “ชีพจรของเธอกำลังจะหมดลงแล้วครับ เราพยายามจะยื้อเธออยู่ครับ”

    “ยื้อเธอให้นานที่สุด อย่าให้หมอนั่นมันรู้ด้วยหล่ะ” 

    “เอาหล่ะ ฉันเองก็ต้องรีบทำงานของฉัน ยังไงก็โชคดีนะ” The Green พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธออย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังบ้านของ สส.สุรสิงห์ ในวันนี้ตัวของเขาก็ยังคงไม่ได้ตัวลูกชายของเขากลับมาบ้าน ตัวของเขายังคงนั่งเครียดอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่คนเดียวในห้อง เลขาของเขาก็เดินเข้ามาในห้องของเขาอย่างรวดเร็ว

    “ท่านคะ มีตำรวจมาที่หน้าบ้านค่ะ”

    “ตำรวจ พวกนั้นอยากรู้เรื่องอะไร??” นายสิงห์ถามไป

    “เรื่องคุณนายที่หายตัวไปค่ะ”

    “เหรอ งั้นเชิญพวกนั้นเข้ามาได้ ฉันจะลงไปคุยเอง” นายสิงห์พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินลงไปด้านล่าง โดยที่เลขาของเขาก็วิ่งไปบอกตำรวจที่อยู่หน้าบ้าน ส่วนตัวของนายสิงห์ก็เดินตามลงไป และไม่นานนัก ตำรวจสองนายก็เดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็ไหว้ สส.สุรสิงห์ไปด้วย

    “สวัสดีครับท่าน ขออภัยด้วยครับที่มารบกวน”

    “ครับ ว่าแต่พวกคุณอยากจะรู้อะไรครับ??” นายสิงห์ถามไป

    “อ้อ เราอยากสอบถามเกี่ยวกับเบาะแสของคุณนายของคุณหน่ะครับ ทางเราตรวจสอบแล้วพบว่า รถของคุณนายมาที่บ้านของคุณหน่ะครับ”

    “อ้อ เธอมาที่นี่จริงๆ แต่เราสองคนทะเลาะกัน แล้วเธอก็ออกจากบ้านไป ผมไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน ถ้าคุณตำรวจเจอ ผมรบกวนตามหาเธอหน่อยนะครับ”

    “แน่นอนครับ เราจะรีบตามหาครับ แต่เราลองไปถามทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณนาย แต่ทุกคนก็ยืนยันว่าไม่มีใครเห็นเธออีกเลยครับ” ตำรวจพูดขึ้น

    “คุณนายอาจจะถูกลักพาตัวไปก็ได้นะคะ” เลขาพยายามพูดเบี่ยงประเด็น

    “อืม แต่ถ้าเป็นการเรียกค่าไถ่ ป่านนี้พวกมันก็ต้องติดต่อกลับมาแล้วสิ ฉันว่าไม่น่าเป็นไปได้หรอก” นายสิงห์พูดขึ้นเพื่อเล่นละคร ไม่ให้ดูมีพิรุจ

    “ครับ ตอนนี้ครอบครัวใหญ่ของคุณนายกำลังร้อนใจมาก เราจะช่วยตามหาให้เร็วที่สุดนะครับ ผมขอตัวนะครับท่าน” ตำรวจสองนายพูดขึ้นพลางวันทยหัตถ์นายสิงห์ไป จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกไปนอกบ้านอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน เลขาของเขาก็รับโทรศัพท์สายหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น เธอก็รีบมาบอกกับนายสิงห์ในทันที

    “ท่านคะ เครื่องบินเราพร้อมแล้วค่ะ”

    “เดี๋ยวก่อน เราต้องรอแสนกลับมาก่อน” นายสิงห์พูดขึ้น

    “ฉันจะรีบติดต่อคนของเรานะคะ ท่านคะ เราจะไปพักที่ห้องรับรองสนามบินก่อนดีหรือเปล่าคะ??” เลขาถามไป

    “ดี เราต้องรีบออกจากบ้านหลังนี้ เก็บของที่สำคัญไปให้หมด ของไอ้แสนมันด้วย เอาไปให้หมด อย่าให้เหลืออะไรไว้” นายสิงห์พูดขึ้น

    “ได้เลยค่ะท่าน” เลขาของเขาพูดขึ้น จากนั้นตัวของเลขาก็เดินออกไปแล้วโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ วิบัติในตอนนี้ก็พยายามช่วยเหลือเมืองผาเพราะวิญญาณของเขายังซ่อมแซมได้ไม่เต็มที่ เมืองผาเองก็ยังเดินเหินไม่สะดวกนัก วิญญาณรับใช้ของวิบัติยังคงหาพลังไอวิญญาณของผู้เกิดใหม่มาช่วย แต่ก็ช่วยอะไรเมืองผาได้ไม่มากนัก

    “เมืองผา เจ้าต้องระวังด้วย เพลานี้เจ้าต้องพักผ่อน” วิบัติพูดกับเมืองผา

    “ข้ารู้ ข้ามันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง” เมืองผาพูดขึ้น

    “อย่าพูดเช่นนั้นสิ เจ้าเพียงต้องพักฟื้นหน่ะ” 

    “ข้ารู้ ข้าจักพยายาม แต่มันอาจจะช่วยอันใดมิได้มาก” เมืองผาพูดขึ้น

    “อย่าเพิ่งพูดไปเลย เจ้านอนพักก่อนเถิด” วิบัติบอกกับเมืองผา และในขณะเดียวกันนั้นเอง วิญญาณรับใช้ของวิบัติก็เดินทางกลับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว

    “ท่านขอรับ เราหาพลังของผู้เกิดใหม่มาให้แล้ว แต่ที่เราหาได้ มีแต่พวกชั้นต่ำขอรับ”

    “เฮ้อ นั่นสิ ข้าไม่รู้จักทำเยี่ยงไรแล้ว” วิบัติพูดขึ้น

    “แล้วท่านพอจักมีวิชาเพิ่มเติมหรือเปล่าขอรับ??” วิญญาณรับใช้ถามไป และในตอนนั้น วิบัติก็เกิดนึกอะไรบางอย่างออกมาได้

    “ข้าพอจักรู้แล้วหล่ะ”

     

    กลับมายังฐานของดันเต้ ซูซาคุขับรถไปตามที่อากิระบอก เธอขับรถไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอก็เดินทางมาถึงซากตึกแห่งหนึ่ง ซูซาคุขับมาจอดบริเวณลานจอด จากนั้นเธอก็ลงจากรถอย่างรวดเร็ว โดยที่อากิระก็ลงตามมาด้วย

    “นี่ จะให้แบกเพื่อนเธอไปไหนเนี่ย??” ซูซาคุถามไป

    “แบกมาทางนี้เลยครับ” อากิระพูดขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็รีบแบกเสี่ยวหลงไปทางซากตึก โดยที่ในตอนนั้น หุ่นดรอยด์ของดันเต้นก็มารับพวกเขา พร้อมกับเตียงพยาบาลเตียงหนึ่ง

    “เอาตัวคุณเสี่ยวหลงมานี่เลยครับ”

    อากิระและซูซาคุค่อยๆประคองร่างของเสี่ยวหลงไปนอนบนเปล จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบตามอากิระไป และในขณะเดียวกัน ตัวของนาวินก็รีบขึ้นมาเพื่อดูอากิระในทันที อากิระไปกอดกับนาวินอย่างรวดเร็ว

    “ผมขอโทษครับพี่ที่ผมทำอะไรโง่ๆ”

    “เอาเถอะ นายปลอดภัยก็ดีแล้ว” นาวินพูดขึ้น 

    “พี่วิน นี่ซูซาคุ พี่ผมเอง” อากิระพูดขึ้น จากนั้นทั้งนาวินและซูซาคุก็ได้จับมือกันในทันที

    “สวัสดีค่ะ คุณนี่เองที่น้องฉันพูดถึง” 

    “ครับ อยู่ตรงนี้ไม่ปลอดภัย เราลงใต้ดินกันเถอะครับ” นาวินบอกกับซูซาคุไป จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก้รีบลงไปด้านล่างห้องใต้ดินในทันทีเพื่อดูอาการของเสี่ยวหลง

    =======================================================

    เสี่ยวหลงจะเป็นยังไงต่อไป อย่าลมืติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    https://writer.dek-d.com/shinobinon/writer/view.php?id=2293773 นิยายใหม่ผมเน้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×