ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 23 : นัดพบ

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 65


    หลังจากที่จบเรื่อง กลุ่มของนาวินได้เดินทางกลับมายังฐานของพวกเขา หลังจากที่ได้เผชิญกับเรื่องหนักมานาน พวกเขากลับมาพักผ่อน รวมถึงรอเวลาให้อีสครินน่าจัดการเรื่องหทัยราชันย์ แต่ในวันนั้น ตัวของนาวินเองก็กำลังคิดอะไรของเขาไปเรื่อย เวียนเห็นนาวินกำลังคิดอะไรในตอนนั้น เธอก็เลยเดินมาหานาวินอย่างรวดเร็ว

    “คุณวินคะ กำลังคิดอะไรอยู่เหรอคะ??” เวียนถามไป

    “ผมว่า ผมจะลองไปเจอกับไอ้บ้านั่นหน่อย” นาวินพูดขึ้น

    “ใครคะ อย่าบอกนะคะว่าเป็นโซนิค??” เวียนถามไป

    “ใช่ครับ ถ้ามันอยากเจอผม ผมก็จะไปเจอกับพวกมันหน่อย” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วคุณไม่กลัวว่าจะโดนพวกมันจับไปเหรอคะ??” เวียนถามนาวินไป

    “ไม่หรอกครับ ผมมันอมตะอยู่แล้ว” นาวินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันขอไปคุ้มกันคุณด้วยนะคะ” เวียนพูดขึ้น

    “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลัวว่าพวกมันจะควบคุมคุณ แต่เอ๊ะ ผมพอรู้แล้วหล่ะว่าจะต้องทำยังไง??” นาวินพูดขึ้น

    “คุณจะทำยังไงเหรอคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “เราจะไปกันหมดทุกคน ถ้าเกิดมันอยากจะวัดกับผม ผมก็อยากรู้ว่าพวกมันจะกล้าหรือเปล่า” นาวินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันจะลองไปบอกกับคนอื่นๆนะคะ” เวียนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร้ว ส่วนตัวของนาวินก็เดินตามเวียนไปด้วย

     

    และทางด้านของคนอื่นๆ ดันเต้ได้แบกเอาร่างของมนุษย์ทดลองที่ถูกแช่แข็งไว้ เอามาทดลองอะไรบางอย่าง ดันเต้เดินมาหาทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ที่ห้องโถงรับแขก และเมื่อพวกเขาเห็นดันเต้ ก็ได้พูดคุยกับเขาในทันที

    “อ้าว คุณดันเต้คะ เป็นยังไงบ้างคะ??” ฮารุถามไป

    “อ้อ ตอนนี้เราเอามนุษย์ทดลองมาทำการตรวจสอบแล้วครับ คาดว่าจะได้ผลไม่ช้านี้ แต่โครงสร้างของมนุษย์พวกนี้ซับซ้อนมากครับ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ใช่ครับพี่ พูดง่ายๆก็คือ DNA ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์เหล่านั้น มันไม่ใช่มนุษย์แบบเรา แล้วก็คุณดันเต้ลองใช้เลือดของผม เปรียบเทียบกับเลือดของมัน พบว่า DNA ตรงกันครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “ห่ะ นี่แปลว่า ไอ้พวกบ้านี่มันเป็นผู้เกิดใหม่ด้วยเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป

    “ไม่น่าใช่ ฉันดูจากพลังอัตลักษณ์ของพวกมัน แทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับพวกเรา” อินเนสซ่าพูดขึ้นพลางดื่มไวน์ไปด้วย

    “อืม แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่เรายังไม่รู้ก็ได้” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เฮ้อ เรื่องก่อนก็ยังไม่ถึงไหน นี่ยังมาเรื่องใหม่อีก สงสัยคงต้องไปถามคุณอีสครินน่าแล้วหล่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “แต่ว่า ตอนนี้คุณอีสครินน่ากำลังมีภารกิจอยู่นี่คะ” ลาลินพูดขึ้น

    “เออ ว่าแต่คุณอีสครินน่าทำอะไรอยู่ครับ??” นายลืมถามอย่างซื่อๆ ทำเอาทุกคนถึงกับปวดหัวไปเลย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลันโทสกับซีโร่ก็เดินมาหาคนอื่นๆอย่างรวดเร็วเพื่อคุยด้วย

    “ด็อกเตอร์ครับ คุณเบ็ตตี้ติดต่อมา เธอบอกมาว่าเธอขอโทษสำหรับทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้เธออยากให้พวกเรากบดานกันซักพักครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “โห มาขอโทษตอนนี้ ไม่ช้าไปหน่อยเหรอ” ลูโดวิกถามไป

    “ผมว่า เธอคงไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกเราหรอกครับ” ซีโร่พูดขึ้น 

    “นั่นสิคะ ถ้าไม่มีใครช่วย เราก็ลุยกันเองก็ได้” อัญชันพูดขึ้น และในตอนนั้น เวียนก็เดินกลับมาหาทุกคน เพื่อมาคุยกับทุกคนอย่างรวดเร็ว

    “เออนี่ เป็นยังไงบ้างทุกคน??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ก็โอเคค่ะ มีอะไรเหรอคะพี่เวียน??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “คือว่าคุณวิน อยากจะไปเจอกับไอ้บ้าโซนิคนั่น เขาอยากให้พวกเราไปช่วยด้วย” เวียนพูดขึ้น และไม่นานนัก ตัวของนาวินก็เดินมารวมตัวกับเวียนด้วย

    “งานนี้พี่จะไปเจอกับพวกมันหน่อย” นาวินพูดขึ้น

    “ห่ะ พี่จะไปเจอกับพวกโซนิคมันจริงๆเหรอ??” นายลุ้นถามไป

    “ใช่ ถ้ามันอยากจะฉัน ฉันก็จะให้มันได้เจอตัวเป็นๆไปเลย” นาวินพูดขึ้น

    “อ้อ แล้วคุณวินจะให้เราช่วยอะไรเหรอครับ??” ดันเต้ถามไป

    “ผมอยากจะให้พวกคุณดักซุ่มรออยู่ข้างนอก ถ้าเกิดว่าพวกมันมีปัญหา ก็ลุยกับมันไปเลย” นาวินพูดขึ้น

    “เยี่ยม แบบนี้ก็จะได้สู้กับมันแล้วสิ” ฮารุพูดขึ้น

    “แบบนี้เราคงต้องเตรียมอาวุธแล้วสินะ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ถ้าเกิดว่ามันต้องการจับเรา มันคงเตรียมพร้อมมาดีแล้วหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น 

    “ถ้าอย่างงั้น เราคงต้องมาคิดแผนกันยาวเลยหล่ะครับ เพราะไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ธรรมดาเลยครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ ผมว่า คุณอย่าไปเสี่ยงเลยดีกว่า” ซีโร่พูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ตัวผมไม่มีอะไรต้องห่วงอยู่แล้ว” นาวินพูดขึ้น

    “จะว่าไป เราน่าจะจับมันได้นะครับ ถ้าเรามีโอกาส” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เฮ้อ ถ้านายอยากจะเอาชีวิตไปทิ้งก็ตามใจนะ” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เออ แล้วนี่เราจะไปหาใครเหรอครับ??” นายลืมถามอย่างสงสัย

    “นี่ นายยังไม่ต้องรู้ก็ได้นะ” ลาลินพูดปรามนายลืมไป

    “ถ้าอย่างงั้น ผมจะคอยสืบเองว่าตอนนี้พวกมันกำลังติดต่ออะไรกันอยู่ หรือไม่ผมอาจจะส่งข้อความไปหาพวกมันได้ก็ได้ พี่วินจะไปเจอกับมันเมื่อไหร่ดีครับ??” ภาภินถามอย่างสงสัย

    “คืนนี้เลย ถ้าเกิดมันกล้า” นาวินพูดขึ้น

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตธัญบุรีซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฐานทัพของดันเต้มากนัก อากิระได้ขโมยมอไซค์ของกลุ่มผู้เกิดใหม่คันหนึ่งหนีมา และในตอนนั้นตัวของเขาก็ไปนั่งพักบริเวณชายป่าแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน อากิระนึกอะไรชึ้นมาบางอย่างได้ ตัวของเขาได้หยิบจดหมายที่ซูซาคุให้เขาขึ้นมาอ่าน เขาลองเปิดมันแล้วอ่านข้อความในนั้นทันที

    “อากิระลูกแม่ ถ้าลูกได้อ่านจดหมายของแม่ฉบับนี้ แม่คงจะจากไปไกลแสนไกลแล้ว แม่รู้ว่าลูกโกรธ ลูกอยากจะฆ่าแม่ให้ตายไปจากโลกนี้เลยก็ได้ แม่ไม่ว่า แต่แม่อยากให้ลูกรู้ แม่ไม่เคยคิดอยากจะทิ้งลูกเลยแม้แต่วันเดียว แม่นอนร้องไห้ทรมานทุกคืน แม่อยากจะกอดลูกอีกครั้ง หลายปีผ่านไป แม่คิดจะเดินทางไปตามหาลูก แต่เหมือนว่าสวรรค์คงไม่อยากให้แม่ชั่วๆไปเจอลูก แม่เลยล้มป่วย แม่ขอโทษสำหรับทุกอย่าง แม่ทิ้งทุกอย่างที่มีไว้ให้กับลูก เพราะแม่คิดว่ามันเป็นสิ่งเดียว ที่แม่จะชดใช้ให้กับลูกได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง จะให้แม่เกิดเป็นทาสของลูก แม่ก็ยอม แม่รักลูกเสมอไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน ลูกไม่จำเป็นต้องรักแม่กลับก็ได้ แม่แค่อยากให้ลูกรู้...”

    ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อากิระอ่านจบแล้วน้ำตาไหลออกมา แต่เขาก็ยังต้องเก็บอาการเอาไว้ และซักพัก เขาก็นึกถึงคำพูดที่ซูซาคุพูดกับเขา จากนั้นก็มองไปที่ด้านท้ายของจดหมาย และในตอนนั้น เขาก็เห็นเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง ตัวของเขาลองหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา จากนั้นก็ลองโทรไปที่เบอร์ติดต่อนั้นอย่างรวดเร็ว

    “ฮัลโหล นั่นใครพูดหน่ะ??” ปลายสายถามไป

    “คุณซูซาคุใช่หรือเปล่า ขอบคุณที่ช่วยผม” อากิระตอบกลับไป

    “อากิระ เธอปลอดภัยนะ ไม่เป็นอะไรนะ??”

    “ผมแค่อยากจะโทรมาขอบคุณ ที่คุณช่วยผม” อากิระพูดขึ้น

    “อากิระ เธออยู่ที่ไหน พี่จะไปรับนะ”

    “ตอนนี้ยังไม่ต้องตามหาผม ผมกำลังทำงานของผมอยู่” อากิระพูดขึ้น

    “นายกำลังทำอะไรของนายอยู่ ไม่รู้เหรอว่าที่นายทำ มันอันตรายมากนะ ไอ้พวกที่มันคุยกับนายเมื่อวันก่อนด้วย เธอรับมือไม่ไหวหรอก??”

    “ไม่เป็นไร ผมมีพวกอยู่ ไว้จบเรื่องนี้ ผมจะลองติดต่อกลับไปก็แล้วกัน” อากิระพูดขึ้น

    “พี่เป็นห่วงเธอนะ อากิระ เธอไม่รู้เหรอ ว่าตอนนี้มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น”

    “ผมก็กำลังจะจบเรื่องนี้อยู่ยังไงหล่ะ เอาไว้เจอกันใหม่นะครับ” อากิระพูดขึ้น จากนั้นก็วางสายอย่างรวดเร็ว ตัวของซูซาคุเองก็ถึงกับตกใจ แต่ในตอนนั้น เธอก็เรียกฮันเตอร์เข้ามาหาเธอในห้องอย่างรวดเร็ว

    “คุณซูซาคุครับ!!”

    “ฮันเตอร์ แกะรอยสัญญาณโทรศัพท์ให้ฉันหน่อยสิ ฉันขอเร็วที่สุด ภายในวันนี้ได้ยิ่งดี” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นฮันเตอร์ก็รีบเอาโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ฮันเตอร์ก็กลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง เขายื่นมันให้กับซูซาคุอยู่รวดเร็ว

    “สัญญาณมันอยู่บริเวณนี้ คุณคงต้องควานหาเองหล่ะครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น

    “ดี แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะ แล้วก็ตอนบ่ายฉันจะออกไปข้างนอกนะ” ซูซาคุบอกกับฮันเตอร์ไป

    “อ้อ ได้ครับผม” ฮันเตอร์รับคำไป

    และอีกด้านหนึ่งของถนน ตัวของเสี่ยวหลงก็หารถคันหนึ่งเพื่อเดินทางออกตามหาอากิระ ตัวของเขาพยายามขับรถวนหาไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจอเขาเลย

    “อากิระ ฉันขอร้องหล่ะ อย่าหนีไปแบบนี้เลย!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ตัวของเขาก็คิดถึงเรื่องเก่าๆ ระหว่างตัวของเขากับอากิระไปด้วย

    .

    “ตุ๊บ!!” เสียงของเสี่ยวหลงที่ใช้กำปั้นของเขาอัดเข้าไปที่ใบหน้าอากิระอย่างจัง ทำเอาอากิระถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น โดยที่อัญชันได้แต่ยืนมองที่ด้านล่างเวลา

    “เฮ้ อากิระ รุกหน่อยสิ!!” อัญชันตะโกนออกมา

    “อากิระ ฉันรู้ว่านายทำได้ ลองดูหน่อยสิ” เสี่ยวหลงพูดขึ้นในขณะที่กำลังตั้งการ์ดต่อ

    “ได้ ถ้าอย่างงั้นฉันลุยหล่ะ!!” อากิระพูดขึ้น จากนั้นก็รุกเข้าไปต่อยเสี่ยวหลงต่อ แต่เสี่ยวหลงก็ปัดป้องได้ทุกกระบวนท่า และในตอนนั้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้าไปข้างอัญชัน แล้วไปดูการต่อสู้ที่กำลังดุเดือดนั้น

    “อืม ไอ้หนุ่มนั่นเชิงมวยดีมากเลย”

    “อ้อ ลุงคะ เสี่ยวหลงเขาเก่งมากเลยค่ะ” อัยชันพูดขึ้น และไม่นานนัก เสี่ยวหลงก็เตะอากิระติดเวที แต่ดูเหมือนว่าอากิระยังคงไม่ยอมแพ้ พยายามบุกเข้าหาเสี่ยวหลงแบบไม่พักต่อ

    “เออ แต่ไอ้หมอนั่นบ้าเลือดดีแหะ” ลุงของอัญชันพูดขึ้น

    “เฮ้อ อากิระเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ” อัญชันตอบไป และไม่นานนัก ตัวของอากิระก็โดนหมัดของเสี่ยวหลงจนล้มลง แต่เสี่ยวหลงก็ยังมาจับมือช่วยอากิระเอาไว้

    “เฮ้ ไม่เป็นไร วันหน้ายังมีนะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “แน่นอน ฉันไม่แพ้นายแน่” อากิระตอบกลับไป

     

    ณ ห้องทำพิธีของอีสครินน่า ในตอนนั้นลูอีสและพัตติยาต่างก็รอเธอทำพิธีอย่างใจจดใจจ่อ แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนรอ ตัวของอีสครินน่าก็เดินออกมาจากห้องในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พัตติยาและลูอีสรีบวิ่งไปประคองอีสครินน่าอย่างรวดเร็ว

    “คุณอีสครินน่า เป็นยังไงบ้าง??” พัตติยาถามอย่างสงสัย

    “ฉันต้องใช้เลือดของคุณนาวิน ที่เหลือก็รออีกไม่นาน กล่องก็เปิดได้แล้ว” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ได้ครับ ผมจะรีบไปบอกคุณนาวินครับ” ลูอีสพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหานาวินอย่างรวดเร็ว

    “ดูเหมือนว่ามันจะง่ายกว่าที่ฉันคิด” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ฉันว่า เธอต้องพักผ่อนนะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ไม่หรอก แค่นี้ฉันไหวอยู่แล้ว” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ลูอีสก็รีบพานาวินมาอย่างรวดเร็ว

    “คุณอีสครินน่า มีอะไรเหรอครับ??” 

    “คุณนาวิน คุณรีบเอาเลือดของคุณไปราดที่กล่องนั้น” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก ตัวของนาวินก็เดินเข้าไปด้านในพร้อมกับมีดเล่มหนึ่ง เขากรีดข้อมือตัวของจนเลือดไหลออกมา หลังจากนั้นไม่นานนัก กล่องใบนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนสีกลายเป็น 7 สีดูสวยงาม จากนั้นไม่นาน นาวินก็เดินออกมานอกห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมเอาผ้าปิดที่แผลด้วย

    “คุณอีสครินน่า เรียบร้อยแล้วครับ” นาวินพูดขึ้น

    “ค่ะ จากนี้ก็คงรออีก 3 วันหรือน้อยกว่านั้น ถ้าโชคดีนะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “คุณลูอีสคะ เฝ้าที่หน้าห้องด้วยนะคะ” พัตติยาบอกกับลูอีส

    “ครับผม!!” ลูอีสรับคำสั่ง จากนั้นทั้งสามคนก็พากันไปรวมตัวกับคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว และเมื่อนาวินกลับมา เวียนก็รีบมาดูเขาอย่างรวดเร็ว

    “คุณวินคะ นี่มันอะไรคะเนี่ย เดี๋ยวฉันทำแผลให้นะคะ” เวียนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปเอาอุปกรณ์ทำแผลให้กับนาวิน 

    “คุณอีสครินน่า เป็นยังไงบ้างครับ??” นาวินถามอีสครินน่าไป

    “อ้อ ตอนนี้ก็แค่รอเวลาหน่ะ ว่าแต่ ที่นี่มีอะไรหรือเปล่า ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นผู้เกิดใหม่อะไรบางอย่าง??” อีสครินน่าถามไป ในขณะที่ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 

    “เออ คุณหมายถึงมนุษย์ทดลองที่เราจับมาใช่หรือเปล่าครับ??” ดันเต้ถามไป และไม่นานนัก ตัวของเขาก็ลองตัดชิ้นเนื้อของร่างมนุษย์ทดลองชิ้นหนึ่งมาให้กับอีสครินน่าได้เห็น ตัวของอีสครินน่าเมื่อสัมผัสถึงมัน ตัวของเธอก็พูดขึ้นอย่างแปลกใจ

    “เป็นไปไม่ได้ นี่มันอะไรกัน??” อีสครินน่าถามไป

    “มันคืออะไรเหรอคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย

    “ฉันสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งมูและแอตแลนติก”

    “มู แอตแลนติก มันคืออะไรเหรอคะ??” ฮารุถามอย่างสงสัย

    “ยังจำที่ฉันเล่าเกี่ยวกับสงครามระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าได้หรือเปล่าคะ ในบรรดาเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีเผ่ามูและแอตแลนติก ที่สามารถนำพลังของเทพเจ้ามาใช้ได้”

    “โห แล้วมันยังไงต่อหล่ะคะ??” อัญชันถามไป

    “เหล่าเทพที่เบื่อสงครามในครั้งนี้ พวกเขาลงมาเสพสมกับเหล่ามนุษย์ เพื่อหวังว่าจะได้มีมนุษย์ครึ่งเทพเกิดขึ้นมา แต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด เหล่ามนุษย์ครึ่งเทพได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น โดยเฉพาะมนุษย์ครึ่งเทพแห่งเผ่ามูและแอตแลนติกนั้น เข้มแข็งและทรงพลัง รวมถึงมีความชาญฉลาดมากพอจะต่อกรกับเทพเจ้าได้ พวกเขาเป็นกำลังหลักในการรบ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “อ้อ มิน่าหล่ะ เหล่าเทพเจ้าถึงได้ต่อสู้ได้ลำบาก” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ว่าแต่ แล้วทำไมยังเหลือร่องรอยมาถึงที่นี่อีกหล่ะคะ??” อินเนสซ่าถามไป

    “คือ หลังจากที่สงครามดำเนินการ เหล่ามนุษย์เผ่ามูและแอตแลนติก ต้องการจะสืบเผ่าพันธุ์ลูกครึ่งเทพต่อไปให้นานเท่านาน พวกเขาจึงตัดแบ่งร่างกายของพวกลูกครึ่งเทพที่เสียชีวิตในการรบ เอามากักเก็บไว้เพื่อรอวันที่มนุษย์อีกรุ่นหนึ่งได้กินเนื้อพวกนั้น แต่ว่า สุดท้ายเผ่ามูและแอตแลนติกได้ทำสงครามกันเอง เพื่อที่จะแย่งชิงชิ้นส่วนเนื้อหนังของมนุษย์ครึ่งเทพพวกนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครชนะ มนุษย์ก็ถูกสาปให้เริ่มอารยธรรมของพวกเขาใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้ชิ้นเนื้อพวกนั้นได้สูญหายไป” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “แปลกแหะ ถ้าเกิดมันสูญหายไป แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่นี่หล่ะครับ??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย

    “ก็อย่างที่คุณอีสครินน่าบอก พวกนั้นฝังชิ้นเนื้อไว้ที่ใต้ดิน นักสิทยาศาสตร์บางคนอาจจะไปขุดเจอก็ได้” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ว่าแต่ มนุษย์ทดลองพวกนี้เป็นใครอย่างงั้นเหรอ??” อีสครินน่าถามไป

    “เป็นไอ้พวก UNASO ที่เราปะทะกับมันเมื่อคืนครับ ไอ้พวกนี้สุดยอดมาก ต้องยิงทำลายเนื้อเยื่อของมัน กว่ามันจะล้มได้” ลันโทสพูดขึ้น

    “ผมว่า พวก UNASO ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ครับ” ซีโร่พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็เดินเข้ามาในกลุ่มของนาวินอย่างรวดเร็ว ตัวของเขาในตอนนี้ดูลนลานอย่างเห็นได้ชัด

    “อ้าวนี่ นายเป็นอะไรอีกเนี่ย??” นายลืมถามภาภินไป

    “พี่วิน ผมลองสอดแนมเครือข่ายของพวกมัน ดูเหมือนพวก UNASO มันจะส่งข้อความมาหาพี่ มันบอกอยากเจรจากับเราครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “ห่ะ เจรจางั้นเหรอ เมื่อวานยังอยากจะถล่มพวกเราให้ราบอยู่เลยนี่??” นายลุ้นถามไป

    “เออ ภิน มันบอกอะไรเราเพิ่มหรือเปล่า??” นาวินถามไป

    “เธอให้สัญญาณเป็นรหัสมอส ผมลองถอดรหัสออกมาร มันบอกอยากเจรจากับคุณ The Green” ภาภินพูดขึ้น และในตอนนั้น ทั้งลันโทส ซีโร่ และดันเต้ก็ถึงกับตะลึงงัน

    “อะไรกันคะ คนพวกนี้เป็นใครกันคะ??” อีสครินน่าถามไป

    “ได้ยินว่าเธอเป็นคนอยู่เบื้องหลังพวก UNASO ทั้งหมดหน่ะ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ถ้าเกิดพวกนั้นอยากเจรจากับเรา มันต้องมีอะไรแน่ๆครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ งานนี้มันต้องมีอะไรแปลกๆแน่ๆครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “แล้วทำไมมันถึงอยากจะเจรจากับเราหล่ะคะ??” อัญชันถามไป และไม่นานนัก ตัวของเวียนก็รีบกลับมาพร้อมกับกล่องพยาบาล โดยที่เธอก็รีบทำแผลให้นาวินอย่างรวดเร็ว

    “อดทนหน่อยนะคะคุณวิน” เวียนพูดขึ้นพลางทายาให้นาวิน

    “เอาหล่ะ แล้วเราจะต้องคุยกับพวกมันตามที่มันขอหรือเปล่าหล่ะ??” ฮารุถามไป

    “หรือว่าจะลองฟังข้อเสนอของพวกมันหน่อยหล่ะ จะได้รู้ว่ามันต้องการอะไร” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “แต่ว่า มันจะไม่เล่นตุกติกกับเรางั้นเหรอ??” อินเนสซ่าถามไป

    “นั่นสิครับ ผมไม่ค่อยไว้ใจไอ้พวกนี้เลย” ลุ้นพูดเสริม

    “หรือเราจะรอพวกนั้นโทรหาหล่ะครับ??” นายลืมพูดขึ้น

    “เออ เข้าท่าหว่ะ นึกว่าแกจะลืมทั้งปีทั้งชาติซะอีก” โลร็องต์พูดขึ้น

    “ใช่ จริงด้วย ถ้าเกิดว่ามันติดต่อภาภินได้ ติดต่อกับเราคงไม่ยากหรอก” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “โห ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องรอพวกมันสินะคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมันต้องการอะไร” พัตติยาพูดขึ้น และในไม่กี่อึดใจ จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงเตือนภัยดังขึ้นจากทุกที่

    “คำเตือน ตรวจพบการพยายามเข้าระบบ!!”

    ในตอนนั้นดันเต้เองก็รีบไปที่แผงควบคุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเขาก็พบข้อความข้อความหนึ่งบนแผงหน้าจอ 

    “จาก The Green ฉันอยากติดต่อคุณ!!”

    ในตอนนั้นตัวของดันเต้ชั่งใจอยู่ซักพัก จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วเพื่อไปเรียกทุกคนมา

    “ทุกคน เชิญทางนี้หน่อยครับ!!”

    ดันเต้พาทุกคนในกลุ่มเข้าไปในห้องควบคุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเขาก็เตรียมพร้อมจะเปิดข้อความการติดต่อ ส่วนภาภินเองก็ใช้อุปกรณ์ของเขาเตรียมติดตามสัญญาณจากอีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน

    “เปิดรับการเข้าถึงจากภายนอก!!”

    “กำลังติดต่อ...”

    หลังจากที่สิ้นเสียงไม่นาน จู่ๆ ก็มีภาพหญิงสาวในเสื้อกาวน์ใส่หน้ากากปิดบังตัวตนฉายขึ้นมา พร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

    “สวัสดีค่ะด็อกเตอร์ สวัสดีค่ะทุกคน!!”

    “เฮ้ย นี่แกเป็นใครวะ??” ฮารุตะโกนด่าไป

    “อ้อ ฉันแค่อยากจะเจรจากับพวกคุณค่ะ อย่าเพิ่งหัวเสียกันเลยนะคะ ว่าแต่ ใครเป็นผู้นำกลุ่มหล่ะคะ??” ผู้หญิงคนนั้นถามไป และในตอนนั้น ตัวของนาวินก็ออกหน้า

    “ผมเองครับหัวหน้าของกลุ่มนี้ คุณสินะ The Green??” นาวินถามไป

    “สวัสดีค่ะคุณนาวิน ดิฉันอยากจะมาเจรจากับพวกคุณทุกคนหน่อยค่ะ งานของฉันในตอนนี้คือกำจัดโซนิค ฉันอยากจะให้พวกคุณช่วยเหลือเราในการจัดการกับเขาค่ะ”

    “แล้วพวกเราจะได้อะไรหล่ะ??” เวียนตะโกนถามไป

    “แลกกับอิสรภาพ และการถูกลบประวัติออกจากสารบบอาชญากรทั่วโลกค่ะ” 

    “แล้วผมจะเชื่อใจคุณได้ยังไงหล่ะ??” ดันเต้ถามไป

    “ฉันเข้าใจคุณค่ะดิอกเตอร์ คุณอาจจะไม่ไว้ใจฉัน แต่ฉันมาเจรจาครั้งนี้ ฉันมาอย่างเป็นมิตร คิดดูให้ดีนะคะ” The Green พูดทิ้งท้ายไว้ จากนั้นสัญญาณก็หายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนที่อยู่ในห้องถึงกับแปลกใจ

    “เชื่อที่นังนั่นพูดหรือเปล่าคะ??” ฮารุถามอย่างสงสัย

    “อืม เรื่องนั้นเราก็ยังคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ใครจะเชื่อก็เชื่อไปเถอะ ฉันไม่เชื่อแล้วคนนึง” โจไซอาห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของภาภินก็รีบเดินมาบอกอะไรบางอย่างกับทุกคนอย่างรวดเร็ว

    “ทุกคนครับ ผมเจอตำแหน่งพี่อากิระกับพี่เสี่ยวหลงแล้ว พี่อากิระยังอยู่รอบๆฐาน พี่เสี่ยวหลงก็อยู่ไม่ห่างกันมากครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “สงสัยอากิระเขาคงจะไปทำใจนิดหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกนะ” พัตติยาพูดขึ้นพลางกุมมืออัญชันไป

    “อืม ถ้าอย่างงั้น หมอนั่นก็คงไม่ไปไหนแล้วหล่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “เอาเถอะครับ ว่าแต่ เรื่องที่พี่นาวินจะไปเจอกับไอ้โซนิคนั่น จะเอายังไงครับ??” นายลุ้นถามไป

    “เช้ามืดพรุ่งนี้ ผมจะไปเจอกับมันเลย ถ้าเกิดว่ามันกล้า” นาวินพูดขึ้น

    “โห ถ้าอย่างงั้น พี่ก็คงต้องมีคนคุ้มกันนะพี่” โลร็องต์พูดขึ้น

    “ก็พวกเรานี่หล่ะ จะไปคุ้มกันไง” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง พี่ก็ต้องระวังตัวไว้นะครับ” นายลืมพูดขึ้น จากนั้นนาวินก็ลูบหัวของนายลืมไป

    “งานนี้พวกมันอาจจะดักเล่นงานเรา คงต้องเตรียมโดรนไว้รอแล้วหล่ะครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “จริงด้วยครับ พวกมันอาจจะหาทางจับตัวคุณก็ได้ครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “อ้อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วเราจะไม่รอพี่อากิระเหรอคะ??” ลาลินถามไป

    “ไม่เป็นไรหรอก ให้อากิระทบทวนอะไรของเขาไปก่อน เอาไว้รอเขาพร้อม ให้เขากลับมาก็แล้วกัน” นาวินพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นฉันจะหาทางเปิดหทัยราชันย์ให้เร็วที่สุดนะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ครับผม งานนี้เราคงต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาหน่อยครับ” นาวินพูดขึ้น

     

    กลับมายังที่มั่นของหน่วย UNASO หลังจากที่กลุ่มของคริสเตียลได้เดินทางกลับมาถึง พวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน ตัวของกาลีน่าก็เดินมาหาคนอื่นๆ เพื่อดูว่าคนอื่นๆเป็นยังไงกันบ้าง

    “เป็นไง ดูเหมือนจะเจอมาหนักเลยนะวันนี้??” 

    “ก็ไม่ทำไม แล้วนายใหม่ของเธอเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” วูฟถามกลับไป 

    “เฮ้อ บางทีฉันก็หวังดีชี้ทางสว่างให้พวกนาย แต่พวกนายนี่ก็นะ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา” กาลีน่าพูดต่อ

    “ตาสว่างอะไร ฉันว่าเรามาสรุปตรงประเด็นกันเลยดีกว่า” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ใช่ ไม่ต้องมาปิดบังแบบนี้ซะที ว่ามั้ย??” รูกิถามกลับไป แต่กาลีน่าก็ยังไม่ตอบอะไร

    “คุณกาลีน่า คุณรู้มั้ยว่าคุณกำลังถล่ำลึกแค่ไหน??” แสงจันทร์ถามไป ในขณะที่กาลีน่าก็ได้แต่ส่ายหน้าและหัวเราะราวกับรู้อะไรบางอย่าง

    “อะไรของเธอ นี่เธอขำอะไรของเธอเนี่ย??” รูกี้ถามไป

    “นี่ ใจเย็นน่า ฉันว่าน่าจะฟังที่เธอพูดหน่อยก็ดี” ยูริพูดขึ้น

    “ฟังอะไรอีกหล่ะ ยัยนี่มันเป็นบ้าไปแล้ว??” จ่าชัยถามไป และในตอนนั้นเอง ฮาเวิร์ดก็ถึงกับหมดความอดทนและชักปืนพกออกมาอย่างรวดเร็ว

    “นี่ ถ้าเธอยังไม่เลิกหัวเราะนะ..” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น 

    “ฮ่าๆๆๆ ถ้าพวกนายอยากจะรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้ พวกนายก็แค่ถูกคริสเตียลหลอกใช้!!” กาลีน่าพูดขึ้น และในตอนนั้น คนอื่นๆก็ถึงกับหูผึ่งอย่างรวดเร็ว

    “หลอกใช้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย??” ยูริถามอย่างสงสัย

    “ถ้าพวกนายอยากจะรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้ คริสเตียลแอบฟังคำสั่งลับๆจากใครบางคน พวกนั้นไม่ยอมบอกให้พวกนายรู้ เพราะพวกนายมันไม่ใช่คนในหน่วยตั้งแต่แรก พวกนั้นแค่หลอกใช้พวกนาย ตอนนี้คุณโซนิคเริ่มระแคะระคายแล้ว” กาลีน่าพูดขึ้น ในตอนนั้นทำเอาแสงจันทร์ถึงกับหันไปมองหน้ารูกิอย่างรวดเร็ว

    “ไม่จริงใช่มั้ยครับคุณคริสเตียล??” จ่าชัยถามไป แต่ในตอนนั้นคริสเตียลก็ไม่พูดอะไรต่อ

    “ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกพวกนาย แต่มันคือหน้าที่” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “เฮ้ย แบบนี้มันเกินไปแล้วนะเว้ย!!” วูฟตะโกนออกมา

    “นายจะอะไรกันนักกันหนา มันก็แค่งาน ทำให้เสร็จแล้วก็กลับบ้าน แค่นั้นพอ” รูกี้ถามไป

    “รูกิ นี่เธอก็...” แสงจันทร์พูดขึ้น 

    “ไม่นะ ฉันไม่ได้คิดจะหลอกนายเลยนะ” รูกิพยายามอธิบายให้แสงจันทร์ฟัง แต่กาลีน่าก็มาแตะไหล่แสงจันทร์แล้วพูดขึ้น

    “นี่ หนุ่มน้อย แค่เธอนอนกับนาย ไม่ได้หมายความว่าเธอจะผูกพันกับนายนะ” กาลีน่าพูดขึ้น

    “หยุดได้แล้วยัยบ้า ฉันจะไม่ทนอีกแล้วนะ!!” เวอร์รีนตะโกนบอกกาลีน่า

    “กาลีน่า ฉันขอปลดเธอออกจากทีมของฉัน!!” คริสเตียลตะโกนบอกกับกาลีน่าไป

    “เสียใจด้วยค่ะ ตอนนี้ฉันทำงานให้คุณโวนิคเต็มตัวแล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อมาบอกว่า ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งคุณแล้ว เสียใจด้วยนะคะ” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ลูบหน้าแสงจันทร์ไปหนึ่งที ทำเอารูกิถึงกับเลือดขึ้นหน้า แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ก่อน

    “อยากทำอะไรก็ทำกันเลย!!” วูฟตะโกนออกมา จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกห้องด้วยอย่างรวดเร็ว ส่วนในตอนนั้นแสงจันทร์ก็เดินออกไปบ้าง แต่รูกิคว้ามือเขาเอาไว้

    “ปล่อยผม อย่ามายุ่งกับผม!!” แสงจันทร์พูดขึ้นจากนั้นก็เดินออกไปนอกห้องในทันที

    “เดี๋ยว ฉันขอโทษ!!” รูกิพูดขึ้นและพยายามจะเดินตามเขาไป

    “วันนี้บรรยากาศไม่ดีแล้ว ไว้คุยกันวันหลังแล้วกันครับ” จ่าชัยพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไป

    “เดี๋ยวผมไปดูคนอื่นให้ก็แล้วกัน” ยูริพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินตามคนอื่นๆไปด้วย ในตอนนั้นทำเอาฮาเวิร์ดถึงกับปวดหัวไปเลย

    “ดูเหมือนว่าคงจะเหลือแค่พวกเราแล้วสินะ” รูกี้พูดขึ้น

    “คุณคริสเตียลคิดว่ายังไงคะ??” เวอร์รีนถามไป

    “สงสัยโซนิคมันคงจะเริ่มเดินหมากแล้ว มันคงอยากให้ทีมเราแตกกัน ไอ้ระยำเอ้ย!!” คริสเตียลพูดขึ้น

    “แบบนี้ท่าไม่ดีแล้วหล่ะครับ คุณจะเอายังไงต่อหล่ะครับ??” ฮาเวิร์ดถามไป

    “ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร รอจนกว่าจะแน่ใจว่าคุณ The Green จะจัดการไอ้โซนิคได้แน่นอน” คริสเตียลบอกกับคนอื่นๆไป

     

    และที่ห้องของโซนิค ในตอนนั้นตัวของเขาก็กลับมานั่งภาคภูมิใจกับความสำเร็จของเขาที่เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้ให้ลีน่ารินไวน์ให้เขาดื่มไปด้วย

    “ที่รักฉลาดจริงๆเลยค่ะ ทำให้พวกมันแตกกันได้ ก็เท่ากับว่าทำให้มันอ่อนแอด้วย” ลีน่าพูดขึ้นพลางรินเหล้าให้กับโซนิคไป

    “นั่นสิครับ แล้วอีกอย่างที่คุณปลอมตัวเป็นไอ้อากิระไปสังหารโรเบิร์ต แผนนี้ดีมากเลยครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “แน่นอน ตอนนี้กำลังของพวกมันเริ่มอ่อนแอลง แต่นี่มันก็แค่เริ่มต้น แล้วนี่เจอตำแหน่งของ The Green หรือยัง??” โซนิคถามไป

    “ตอนนี้ฉันส่งคนออกไปตามหาแล้วค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ดี ยังไงเรื่องนี้ฉันฝากจัดการด้วยหล่ะ” โวนิคพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เดวิดก็รับสายโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบเอามันมาบอกกับโซนิคในทันที

    “คุณโซนิคครับ ไอ้นาวินมันอยากจะเจอกับคุณครับ” 

    “ที่รักคะ เราจะจับมันตอนที่มันมาถึงเลยดีมั้ยคะ??” ลีน่าถามไป

    “ไอ้นาวินนี่ยังก่อน ฉันอยากจะคุยกับมันหน่อย” โซนิคพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าคุณอยากจะสนิทกับนายนาวินคนนี้มากเลยนะครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “มันมีพลังอะไรบางอย่าง ซึ่งร่างกายของฉันกำลังโหยหามัน ไม่รู้สิ ฉันอยากจะเจอกับมันก่อน” โซนิคพูดขึ้น พลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มมันไปในทันที

    “ผมจะนัดไปติดต่อมันเองครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “เออ ยังไงก็จัดการด้วยแล้วกัน ตอนนี้พวกนายคิดว่าฝ่ายไหนกำลังอ่อนแอที่สุดหล่ะ??” โซนิคถามอย่างสงสัย

    “จากข่าวกรองล่าสุด ตอนนี้ฝ่ายผู้เกิดใหม่ที่เบ็ตตี้สนับสนุนอยู่ กำลังอ่อนแอจากการคดโกงกันภายในค่ะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ใช่ครับ ข่าวล่าสุดประกาศมาว่ามีการยึดรถอาวุธที่พวกมันขนส่งกันมา ในนั้นมียาเสพติดด้วย” เดวิดพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่างานนี้คงต้องกวาดล้างกันแล้วหล่ะ ออกคำสั่งให้คริสเตียลฆ่าไอ้พวกนั้นให้ได้มากที่สุด ส่วนลีน่า เธอจัดการตามหา The Green ต่อไป เจอตำแหน่งเธอที่ไหน ก็จัดการได้เลย ส่วนเดวิด จัดการเรื่องของนาวินให้ฉันด้วย” โซนิคพูดขึ้น

    “รับทราบค่ะที่รัก” ลีน่ารับคำไป

    “งานนี้ดูเหมือนว่าพวกมันทั้งสามฝ่ายก็เริ่มแตกแยกกันเองแล้ว เราจะจัดการใครก่อนก็ได้” เดวิดพูดขึ้น

    “แน่นอน งานนี้ฉันขอให้ราบคาบหล่ะ โดยเฉพาะยัย The Green นั่น จัดการมันอย่าให้มันมาระคายตาฉัน!!” โซนิคพูดขึ้นพลางหยิบขวดไวน์มาดื่มเองอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังห้องขังของเพี้ยน ในตอนนี้ตัวของเพี้ยนก็ยังคงนั่งบ่นเพ้ออะไรบางอย่างไปในห้อง โดยที่เจ้าหน้าที่ก็ยังคอยดักฟังทุกคำที่เพี้ยนทุกคำ แต่ในคราวนี้เจ้าหน้าที่ก็เริ่มจะเบื่อเพี้ยนแล้ว 

    “เฮ้ย เบื่อเว้ย เมื่อไหร่จะได้เลิกเฝ้าไอ้บ้านี่ซะที??” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามในขณะที่กำลังสูบบุหรี่ไปด้วย

    “เออ เอาเถอะ จะอะไรนักหนาวะ??”

    “โธ่ มึงไม่ได้เป็นคนฟังแบบกูนี่หว่า” 

    “กูก็นั่งฟังกับมึงนี่หล่ะ ถ้ามึงไม่อยากฟังก็ออกไปก็ได้” 

    แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน จู่ๆ เพี้ยนก็พูดขึ้นมา

    “ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังจะตีกันใหญ่เลยนะทั้งสองฝ่าย แต่มันจะจบยังไงหน่ะเหรอ รอดูกันต่อเลย อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วนะ!!”

    “ไอ้ห่าเอ้ย ทุกครั้งที่แม่งพูด อยากจะกระทืบมันจริงๆ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้น

    “เอาน่า คุณเจ้าหน้าที่ อีกไม่นานพวกคุณก็จะได้กลับบ้านแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เออ เอาที่มันสบายใจเลย ฉันเองก็อยากกระทืบมันเหมือนกัน” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น

    “แหม่ๆๆ ทำไมต้องรุนแรงกันด้วยจ๊ะที่รัก มีอะไรค่อยๆคุยกันก็ได้” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เออ อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเลย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดขึ้นพลางกลับไปนั่งที่ของเขา แต่ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าเพี้ยนจะนอนหลับเพื่อพักผ่อน ทำเอาเจ้าหน้าที่ไม่ได้อะไรเลยจากเพี้ยน

     

    กลับมายังคฤหาสน์ของแก้ว ในวันนั้นพวกของแก้วก็กำลังนั่งรอฟังข่าวจากคนของแก้ว และในไม่นานนัก ชายสองคนก็เดินลากชายคนหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมหัวเดินเข้ามากลางห้องโถง ทำเอาพวกของแก้วถึงกับลุกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ชายคนหนึ่งก็พูดกับแก้วไป

    “คุณแก้วครับ นายผมฝากมาบอกว่า เจอตัวมันแล้วครับ!!” และหลังจากจบเรื่อง ชายสองคนนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชายคนนั้นนอนกองอยู่กับพื้นในสภาพสะบักสะบอม

    “เกเบรียล เบล ลากตัวมันลงห้องใต้ดินเลย” แก้วพูดขึ้น จากนั้นทั้งเกเบรียลและเบลก็ลากตัวชายคนนั้นลงไปที่ห้องใต้ดินตามที่แก้วบอกอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งคู่จับชายคนนั้นมัดกับเก้าอี้ และไม่นานนัก พวกเขาก็เปิดหน้าของชายคนนั้นขึ้นมา

    “เฮ้ย มึงจับกูมาทำไมวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกมา

    “นี่ พวกกูไม่มีเวลามาก บอกกุมา มึงรับงานใครมาเล่นงานพวกกู??” ไคตะโกนถามไป

    “ใช่ ถ้าไม่บอก มึงตายนะเว้ย??” เบลพูดขู่มัน

    “ถึงยังไงกูก็ตายอยู่ดีเว้ย แล้วอีกอย่าง พวกมึงพูดอะไรของมึงวะ??” ชายคนนั้นถามต่อ แต่ในตอนนั้น เกเบรียลก็ชักมีดออกมา จากนั้นก็ค่อยๆกรีดตัวของมันไปทีละแผล จนมันถึงกับร้องโหยหวน

    “โอ๊ย เจ็บโว้ย!!”

    “ถ้ามึงบอกกู อย่างน้อยมึงก็ไม่ทรมานนะเว้ย!!” เกเบรียลพูดขึ้น และในตอนนั้น มันก็ไปเจอหน้าแก้วอย่างรวดเร็ว และแก้วก็พูดกับมันต่อ

    “ฉันฝังไอ้คนที่แกจ้างวานมาแล้ว แกพอจะบอกฉันได้หรือยัง??” แก้วถามไป

    “ก็ได้ๆๆ ผมรับงานมาจากเจ้าหน้าที่อเมริกันคนหนึ่ง ผมได้ยินมาว่ามันอยู่หน่วย UNASO หน่ะ” 

    “ห่ะ UNASO อีกแล้วเหรอ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “อ้าว นี่แกรู้จักๆไอ้พวกอยู่แล้วเหรอ??” ชายคนนั้นถามไป

    “แล้วแกพอจะรู้จักใครที่จะพอช่วยเราเข้าถึงตัวพวกมันบ้าง??” เกเบรียลถามไป

    “ไม่รู้แล้ว หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “งั้นก็หมดประโยชน์แล้ว” ไคพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เป่ากบาลชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว จนหมอนั่นตายคาที่

    “สรุปคือ พวก UNASO มันจัดการทุกอย่างจริงๆ” แก้วพูดขึ้น

    “ใช่ แต่เราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “หรือว่า เราจะไปจัดการพวกมันเองเลยหล่ะ??” ไคถามไป

    “เดี๋ยวๆๆ เราจะกลับไปถ้ำเสืออีกเหรอ??” เกเบรียลถามไป

    “ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นค่ะ ถ้าพวกเราอยากจะจบเรื่องนี้” ไคพูดขึ้น

    “งั้นก็ได้เลย ว่าไงว่าตามนั้น” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เอาเถอะ แต่ฉันว่าเราต้องมีอาวุธเพิ่มนะ” เบลพูดขึ้น

    “เรื่องอาวุธฉันจะจัดการเอง ไม่ต้องห่วง” แก้วพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ส่วนศพที่อยู่ด้านล่างนั้นในทันที พวกเขาทั้งคู่รีบแบกศพนั้นไปยังเตาเผาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องใต้ดินมาก พวกเขาเอาศพนั่นเข้าไปในเตา จากนั้นก็เปิดระบบเพื่อจุดไฟในทันที

    “นี่ นายแน่ใจว่าจะสะอาดนะ??” เบลถามเกเบรียลไป

    “แน่นอน เชื่อหัวฉันเถอะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ถ้าเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไปด้านบนนะคะ” ไคบอกกับทั้งคู่ไป จากนั้นตัวของเธอก็เดินตามแก้วไปต้อยๆด้วย

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตจังหวัดระยอง มิกิได้ขโมยรถคันหนึ่งเดินทางมา ตัวของเธอขับรถไปเรื่อยๆ เพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นท่าเรือแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหามิกิ ตัวของเธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว

    “ฮัลโหล”

    “คุณมิกิ คุณจะทำอะไรของคุณเนี่ย??”

    “คุณเบ็ตตี้ ฉันทนรอไม่ไหวแล้ว ฉันเบื่อที่ต้องหนีไปหนีมาแล้ว” มิกิตอบไป

    “แบบนี้มันผิดข้อตกลงนะคะ แล้วข้อมูลของฉันหล่ะ??”

    “ฉันจะให้ตอนที่ฉันเดินทางถึงมาเก๊า แล้วฉันจะส่งให้คุณทั้งหมด” มิกิพูดขึ้น

    “ถ้าเธอไปคนเดียว เธอไม่รอดแน่”

    “ไม่ต้องห่วง ฉันพอมีที่อยู่ในใจแล้วหล่ะ” มิกิพูดขึ้น

    “ฉันจะไม่พูดอีกแล้วนะคะคุณมิกิ”

    “ไม่ต้องพูดหรอก เอาไว้รอโอนเงินให้ฉันก็แล้วกัน ฉันไม่ทนแล้ว” มิกิพูดทิ้งท้าย จากนั้นเธอก็รีบวางสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเธอก็มองป้ายที่อยู่บนถนน

    “หาดน้ำริน 30 กิโล”

    “เฮ้อ ไปหาโรงแรมแถวนี้อยู่ก่อนดีกว่า” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบขับรถเดินทางต่อไปอีกหน่อย และไม่นานนัก ตัวของเธอก็ขับรถมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง เธอจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ จากนั้นก็แบกกระเป๋าเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างรวดเร็ว โดยที่มีเด็กโรงแรมมารอต้อนรับด้วย

    “สวัสดีค่ะ”

    “ค่ะ มีห้องพักว่างๆหรือเปล่าคะ??” มิกิถามไป

    “อ้อ มีค่ะ มากี่คนคะ??”

    “คนเดียวค่ะ” มิกิตอบไป

    “เชิญห้องนี้เลยค่ะ” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของพนักงานโรงแรมก็พามิกิไปยังห้องพักของเธออย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของมิกิเองก็ควักเอาเงินในกระเป๋าออกมาเพื่อให้กับพนักงานโรงแรมไป

     

    กลับมายังโกดังแห่งหนึ่งในย่านใจกลางกรุงเทพ หลังจากที่เซนได้สังหารเป้าหมายตามที่นักวิทยาศาสตร์บอก ตัวของเขาก็ขี่มอไซค์กลับมา โดยที่เจ้าหน้าที่ติดอาวุธก็เดินมาหาเขา เพื่อมาคุยกับเซน

    “กลับมาแล้วเหรอ??” เจ้าหน้าที่ถามไป

    “คิดว่ากลับมาหรือยังหล่ะ??” เซนถามกลับไป

    “กวนตีนดีหว่ะ รีบๆไปเลยนะ”

    เจ้าหน้าที่คนนั้นเปิดทางให้กับเซน ตัวของเซนขี่มอไซค์เข้าไปจอดที่โรงรถในโกดัง จากนั้นไม่นานตัวของเขาก็รีบเดินไปหาคิฮาระในทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ไปถึงไหน นักวิทยาศาสตร์คนเดิมก็มาหาเซนก่อน

    “อย่าเพิ่งไปหาเธอตอนนี้เลย”

    “อะไร ทำไมไม่ได้ นี่คิดจะเบี้ยวเหรอ??” เซนถามไป

    “ไม่มีอะไรหรอก เธอกำลังรักษาตัวอยู่”

    “เออ เอาเถอะ แล้วนี่จะยังไงต่อ??” เซนถามไป

    “ยังมีอีกหลายเป้าหมายเลยที่ฉันอยากจะให้มันหายไป”

    “เออ ยังจำได้อยู่นะ ถ้าเธอเบี้ยวฉัน เธอก็จะหายไปอีกคนด้วย” เซนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งก็เดินมาทางพวกเขา แล้วก็พูดขึ้น

    “ขออนุญาตครับ ตอนนี้คิฮาระเธอฟื้นแล้วครับ”

    “ห่ะ เธอฟื้นแล้วเหรอ??” เซนถามไป และในตอนนั้นตัวของเขาก็รีบเดินผ่านนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นไปอย่างรวดเร็ว เซนเดินเข้ามาในห้องทดลองเรื่อยๆ และไม่นานนัก ตัวของเขาก็เจอกับคิฮาระที่นอนอยู่บนเตียง ตัวของเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากอาการมึนงงเล็กน้อย เซนรีบวิ่งไปกอดคิฮาระในทันที

    “นี่ ฉันหายใจไม่ออกนะตาบ้า!!” คิฮาระพูดขึ้น

    “นั่นสิ ลืมไปว่าเธอมันบ้าจี้” เซนพูดขึ้นพลางผละตัวเธอออกไป

    “แล้วนี่ นายเป็นยังไงบ้างช่วงนี้??” คิฮาระถามไป

    “ฉันไม่เป็นไรหรอก ห่วงตัวเองเถอะยัยบ้า” เซนพูดขึ้น 

    “เอาเถอะ ฉันเริ่มจะง่วงแล้ว” คิฮาระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ค่อยๆนอนหลับไป ทำเอาเซนถึงกับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

    “นี่ พวกแกทำอะไรกับเธอเนี่ย??” เซนตะโกนถามไป

    “เย็นไว้โรมิโอ เธอแค่ต้องรับการรักษาหน่ะ แต่ช่วงนี้พัฒนาการของเธอดีเกินคาด” นักวิทยาศาสตร์หญิงคนเดิมพูดขึ้น

    “เออ เอาเถอะ นี่จะให้ฉันทำอะไรต่อ??” เซนถามไป

    “เดี๋ยวฉันจะบอกนายอีกที ตอนนี้ฉันจะไปพักก่อนดีกว่า”

    “แล้วเราจะได้กลับไปเมื่อไหร่??” เซนถามอย่างสงสัย

    “ถ้านายจะพาคิฮาระไปด้วย เราคงต้องรักษาเธอก่อน ไม่อย่างงั้น เธออาจจะตายในอีกไม่นาน นายโชคดีนะที่เรามาเจอเธอก่อน ไม่อย่างงั้นนะ”

    “เออ พวกคุณอยากจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ” เซนพูดขึ้นอย่างหัวเสีย จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกห้อง ส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์สาวคนนั้นก็พูดกับลูกน้องของเธอต่อ

    “เราจะยื้อตัวเธอได้นานแค่ไหน??”

    “ถ้าให้ผมเดา คงจะไม่ถึงอาทิตย์หล่ะครับ หรือสอง ถ้าโชคดี”

    “เออ อย่าเพิ่งบอกให้หมอนั่นรู้หล่ะ” 

     

    กลับมายังบ้านพักของ สส.สุรสิงห์ ในวันนี้ตัวของเขาก็ยังคงรอข่าวการหายตัวไปของลูกชายเขา ในขณะที่ข่าวการหายตัวไปของคุณนายก็เริ่มแพร่งพรายไปมากขึ้น ตัวของเขารับสายโทรศัพท์ทั้งวัน โดยหวังว่าจะเป็นความคืบหน้าในการหาลูกชายของเขา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายติดต่อหาคุณนายต่างหาก ตัวของเขานั่งกลุ้มอยู่ในห้องของเขา โดยที่เลขาของเขาก็กลับมารายงานความคืบหน้าให้เขาได้รู้

    “นี่ คุณเลขา เป็นยังไงบ้าง พวกเราตอนนี้??”

    “คอตกกลับมาทุกคนเลยค่ะท่าน”

    “เฮ้อ เธอรู้มั้ย วันนี้ฉันต้องรับสายพวกรัฐมนตรีทั้งวันเลย” นายสิงห์พูดขึ้น

    “ค่ะท่าน คุณหญิงหายตัวไปแบบนั้น”

    “แล้วเรื่องเครื่องบินหล่ะ ไปถึงไหนแล้ว??” นายสิงห์ถามไป

    “เราเช่าเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

    “ดี ตอนนี้ต้องรีบหาตัวไอ้แสนด่วนเลย ไม่อย่างงั้นแย่แน่” 

    “ฉันว่า เขาคงต้องไปแก้แค้นแน่นอนค่ะ”

    “แล้วเรื่องไอ้ผู้พันประกอบหล่ะ เป็นยังไงบ้าง??” นายสิงห์ถามไป

    “ตอนนี้ฉันกำลังดำเนินเรื่องอยู่ค่ะ งานนี้ผู้พันประกอบเสร็จเราแน่ค่ะ”

    “ดี ถ้าอย่างงั้นก็จัดการเลย” นายสิงห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อเข้ามาหานายสิงห์ นายสิงห์รับสายไปในทันที

    “ฮัลโหล”

    “นายครับ เราไปที่ร้านอาหารของคนที่มีเรื่องกับนายแสน แต่ไม่มีอะไรผิดปกติเลยครับ”

    “งั้นเหรอ แล้วยังไงต่อ??”

    “ตอนนี้เรากำลังพยายามตามรอยอยู่ แต่สายของเราบางคนรายงานว่าเจอนายแสนกำลังออกจากกรุงเทพ ไปลำลูกกาครับ”

    “เออ พวกแกรีบไปที่ลำลูกกาให้หมด”

    “ครับนาย” ลูกน้องของเขาวางสายไปหลังจากที่พูดจบ

    “เจอตัวคุณหนูแล้วเหรอคะ??” เลขาถามไป

    “ยังหรอก ตอนนี้ยัง รีบส่งคนของเราไปสำรวจแถวลำลูกกา ด่วนเลย” นายสิงห์บอกกับเลขาของเขาไป

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ ตัวของเขาได้แต่รอพลังไอวิญญาณของผู้เกิดใหม่ แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณที่เขาส่งไปยังไม่กลับมาเลย ตัวของเขาได้แต่รออยู่นาน จนไม่รู้ว่าตอนนี้จะต้องทำยังไงแล้ว

    “ท่านขอรับ ให้ผมไปตามมันหรือไม่ขอรับ??” วิญญาณตนหนึ่งในถ้ำถามวิบัติไป

    “ยังก่อน เอาไว้ข้าจะตัดสินใจเอง” วิบัติพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง วิญญาณที่วิบัติส่งไปก็กลับมาแล้ว วิญญาณข้ารับใช้รีบเอาไอพลังของผู้เกิดใหม่มาให้กับวิบัติในทันที

    “ข้าได้มาแล้วขอรับ!!” วิญญาณตนนั้นพูดขึ้น

    “เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ??” วิบัติถามอย่างสงสัย

    “เพลานี้พวกมันกำลังเตือนภัยกันขอรับ ข้าหาทางเข้าไปลำบากมาก”

    “เอาเถิด เจ้ากลับมาได้ก็ดีแล้ว” วิบัติพูดขึ้น และในตอนนั้น วิบัติก็เอาพลังไอวิญญาณที่ได้มาใส่เข้าไปในร่างของเมืองผาในทันที แล้วก็ได้ผล ตัวของเมืองผาค่อยๆลืมตา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “เมืองผา เจ้าปลอดภัยแล้ว!!” วิบัติพูดขึ้นพลางกอดกับเมืองผาไป ส่วนตัวของเมืองผาก็กอดกลับไปด้วย

     

    กลับมายังฐานทัพของดันเต้ เช้ามืดของวันต่อมา หลังจากที่พวกเขาได้รับข้อความจากเดวิด ถึงสถานที่นัดพบของตัวนาวินและในไม่นานนัก กลุ่มของนาวินเองก็เตรียมตัวกันพร้อมที่จะไปเจอกับโซนิคแล้ว

    “เอาหล่ะครับ ผมอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า อย่าไปไว้ใจหมอนั่น ไม่ว่าจะยังไง” นาวินพูดขึ้น

    “เสียดายไม่มีเสี่ยวหลงกับอากิระอยู่ด้วยนะคะ” อัญชันพูดกับนาวิน 

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันว่าเดี๋ยวพวกนั้นก็ต้องกลับมา” พัตติยาพูดขึ้น

    “เฮ้อ ถ้าเจอหน้าไอ้บ้านั่น ฉันจะเล่นมันให้หน้าแหกเลย” ฮารุพูดขึ้น

    “เย็นไว้ ระวังเธอจะหน้าแหกก่อนมันนะ ไม่เห็นพลังของมันเหรอ??” เวียนถามไป

    “มันคงต้องใช้พลังเหนือมนุษย์ แล้วก็ควบคุมพวกเราแน่ๆ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “เราจะไม่ยอมให้พวกมันเล่นงานเราได้ก่อนหรอก” อินเนสซ่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง นายลุ้นก็ลองจั่วไพ่ของเขาขึ้นมา แล้วก็บอกกับทุกคน

    “ดูเหมือนว่างานนี้ มันจะเป็นการเจรจาเฉยๆนะ” 

    “แต่ถึงยังไง เราก็ต้องไม่ประมาทพวกมันนะคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “โซนิคมันเหลี่ยมจัด ไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไรเราหรือเปล่า ผมจะให้โดรนเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้าเกิดอะไรผิดปกติ พวกคุณต้องรีบหนีเลย” ดันเต้พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน อีสครินน่าก็ให้ยันต์อะไรบางอย่างกับนาวิน นาวินรีบรับมันมาในทันที

    “คุณนาวินคะ ใช้มันเวลาจวนตัวนะคะ”

    “ขอบคุณมากครับ” นาวินตอบกลับไป

    “พี่นาวิน พี่ต้องระวังตัวนะครับ” นายลืมพูดขึ้น จากนั้นนาวินก็ลูบหัวนายลืมไป

    “หรือไม่ เราก็เป่ากบาลมันก่อนที่มันจะมาเล่นงานเราสิ” โลร็องต์พูดขึ้น

    “พูดอย่างกับว่ามันจะทำได้ง่ายๆนะ” ลูโดวิกพูดปรามเขาไป

    “ก็ไม่แน่ ถ้าเกิดเรารุมพวกมันให้ยับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “ผมว่า นายโซนิคนั่นคงไม่ยอมให้เราทำง่ายๆหรอกครับ” ซีโร่พูดไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็รีบวิ่งมารายงานอะไรบางอย่างให้พวกเขาได้ฟังอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน ผมลองติดตามสัญญาณของพวกมัน ตอนนี้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วครับ”

    “ครับ ถ้าอย่างงั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่าครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป

    ====================================================================

    การเผชิญหน้าระหว่างนาวินและโซนิคจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    https://writer.dek-d.com/shinobinon/writer/view.php?id=2293773 นิยายใหม่ผมเน้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×