ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #24 : ตอนที่ 22 : เข้าใจผิด

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 65


    ผ่านไปประมาณ 1-2 วัน ในวันนี้กลุ่มของนาวินได้ทำการเตรียมอาวุธสำหรับภารกิจของพวกเขาในคืนนี้ พวกเขาเตรียมอาวุธปืนเลเซอร์รวมถึงชุดเกราะสวมใส่ และในระหว่างนั้นพวกเขาก็คุยกันถึงภารกิจที่พวกเขาจะต้องเผชิญกันในวันนี้

    “สรุปว่า งานของเราก็คือคุ้มกันขบวนรถขนอาวุธที่จะมาส่งให้คุณเบ็ตตี้สินะ” อากิระพูดขึ้นพลางหยิบปืนเลเซอร์กระบอกหนึ่งออกมา

    “ใช่แล้วหล่ะ แต่ว่างานนี้ทั้งตำรวจ ทั้งพวก UNASO มันระดมกำลังมากันเยอะแน่ๆ” ฮารุพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถึงยังไงก็มีแต่พวกกากๆมาเจอกับเรา” เวียนพูดขึ้น

    “แต่ว่า ถ้าเป็นอย่างที่คุณเบ็ตตี้บอก เราอาจจะต้องเจอกับพวกมนุษย์แปลงนี่ครับ” เสี่ยวหลงพูดขึ้นและชาร์จแบตปืนเลเซอร์ของเขา

    “นั่นสิคะ แล้วนี่เราจะต้องรับมือกับพวกมันยังไงคะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “งานนี้เราคงต้องไปดูหน้างานก่อนหล่ะ ว่ามันจะเป็นยังไง” ดันเต้พูดขึ้น

    “ก็อย่างที่ด็อกเตอร์บอก ถ้าเราจับพวกมันมาได้ซักคน เราก็น่าจะมดลองอะไรได้” ภาภินพูดขึ้น

    “แล้วเราต้องทำไงหล่ะครับ อย่าบอกนะว่าเราต้องผ่ามันออกมา??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “พวกนั้นมันเป็นมนุษย์ทดลอง คงไม่เป็นอะไรหรอก” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ต้องจับมนุษย์ทดลองซักคนมา แต่งานนี้คงต้องระวังกันหน่อยหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “การขนส่งกำลังจะเริ่มช่วงเช้ามืด เลือกเวลาได้เหมาะดี” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “นั่นสิ แต่งานนี้คงจะยิงกันยันเช้าเลยหล่ะครับ” โลร็องต์พูดอย่างตื่นเต้น

    “แล้วพวกพี่จะกลับมาเมื่อไหร่หล่ะครับ??” นายลืมถามอย่างสงสัย

    “อืม คงจะไม่เกินสายๆนี้หรอก” ลันโทสพูดขึ้นพลางเล็งปืนเพื่อทดสอบ

    “ถ้าเกิดขนส่งอาวุธกันเสร็จ เราคงต้องรีบหนีเหมือนกันครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “นั่นสิคะ ใครจะอยากโดนจับข้อหาค้าอาวุธกันหล่ะคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ถึงยังไงพวกมันก็คงยัดข้อหาอื่นให้เราได้อยู่ดี ว่าแต่พี่วินคะ นักการเมืองคนนั้น เราจะเอายังไงกับเขาคะ??” พัตติยาถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้คงต้องให้เขารอที่นี่ก่อน รอจนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย แล้วเราค่อยส่งเขากลับบ้าน ตอนนี้เรามาโฟกัสที่งานกันก่อนดีกว่า” นาวินพูดขึ้น จากนั้นไม่นานตัวของเขาก็ใส่เสื้อเกราะเสร็จเรียบร้อย 

    “เออนี่ ว่าแต่คุณอีสครินน่าจะเปิดกล่องเสร็จเมื่อไหร่หล่ะ??” นาวินหันไปถามพัตติยา

    “อืม ตอนนี้ยังเหลือเวลาประมาณ 5 วันค่ะพี่ ถึงตอนนั้น คุณอีสครินน่าก็คงเสร็จงานตรงนี้แล้ว” พัตติยาตอบกลับไป

    “มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันนะ พลังที่ว่านี่??” โจไซอาห์ถามไป

    “เห็นอีสครินน่าบอกว่ามันสามารถโค่นเจ้าโซนิคนั่นได้ง่ายๆเลย” เวียนพูดขึ้น

    “ก็ดีเหมือนกัน จะได้จัดการไอ้บ้านั่นได้ซะที” อากิระพูดขึ้น

    “แต่ว่า ไอ้หมอนั่นมันก็ต้องการพลังอยู่เหมือนกันนี่หน่า” ฮารุพูดขึ้น

    “จะกลัวอะไรหล่ะ เราก็แค่ใช้พลังนั่นก่อนมันสิ แค่นี้ก็จบแล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “แล้วถ้าเกิดว่ามันใช้ใครซักคน หรือคนทั้งโลกนี้มาเป็นข้อต่อรองหล่ะคะ??” ลาลินลองถามไป

    “เดี๋ยวนะ มันไม่กล้าทำขนาดนั้นหรอกมั้ง??” ภาภินถามไป แต่ดูเหมือนว่าในตอนนั้นตัวของดันเต้เองดูท่าจะจริงจังกับเรื่องนี้ นายลืมเห็นเลยถามเขาไป

    “ด็อกเตอร์ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ??” นายลืมถามไป

    “จะว่าไป มันมีเรื่องแปลกๆเกี่ยวกับโซนิค หลังจากที่มันก่อวีรกรรมไว้จนทางการสหรัฐหมายหัว จากนั้นหมอนั่นก็หายเข้ากลีบเมฆ แต่ว่านั่นอาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้” ดันเต้พูดขึ้น

    “แล้วหมอนั่นหายไปไหนยังไงหล่ะครับ หรือว่าจะมีข้อตกลงอะไรกับรัฐบาล??” โลร็องต์ถามไป

    “ไม่น่าจะเป็นไปได้หล่ะมั้ง??” ลูโดวิกพูดปรามไป

    “เดี๋ยวนะครับ บางทีทุกอย่างอาจจะสอดคล้องกันนะครับ ไม่อย่างงั้นทำไมโซนิคถึงดูมีอำนาจในหน่วย UNASO หล่ะครับ??” นายลุ้นถามไป

    “สรุปว่า ไอ้หมอนั่นมันก็ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐ หรือไม่ก็อยู่เหนือรัฐบาลสหรัฐอีกหน่ะสิคะ” อัญชันพูดขึ้น

    “โห ถ้าเป็นอย่างงั้น แปลว่าพวกเรากำลังรบกับรัฐบาลสหรัฐ โดยมีไอ้โซนิคอยู่เบื้องหลังเหรอเนี่ย??” ลันโทสถามอย่างสงสัย

    “ผมว่า เรายังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “แต่ผมว่า อีกไม่นาน เราก็คงจะได้รู้ความจริงแน่ครับ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น หลังจากนั้นไม่นานนัก จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาจากเบ็ตตี้ ตัวของดันเต้เห็นดังนั้นจึงเอาโทรศัพท์ต่อเข้ากับหน้าจอโปรเจ็กค์เตอร์ให้กับคนอื่นๆได้ดู จากนั้นก็รับสายเบ็ตตี้เพื่อคุยกันในทันที

    “สวัสดีค่ะพวกคุณทุกคน เป็นยังไงกันบ้างคะ??” 

    “อ้อ คุณเบ็ตตี้ พวกเรากำลังเตรียมของเพื่อออกเดินทางอยู่เลย” ดันเต้พูดขึ้น

    “ไม่ได้จะมารบกวนอะไรหรอกนะคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันมีกำหนดการมาแจ้งพวกคุณค่ะ คนของฉันแจ้งมาว่า ขบวนรถบรรทุกจะเดินทางมาถึงที่นี่ประมาณตี 3 45 นาทีค่ะ” 

    “อืม ผมอยากถามมานานแล้ว ว่าแต่ทำไมพวกมันถึงรู้ ว่าจะมีการขนอาวุธกันหล่ะครับ??” อากิระถามอย่างสงสัย

    “เออ เรื่องนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้าพวกมันรู้ พวกมันคงสกัดตั้งแต่ตอนที่รถบรรทุกออกจากท่าเรือแล้วสิ” เบ็ตตี้ถามไป

    “เออ นั่นสิครับ ผมเองก็ว่ามันแปลกๆนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “มันคงจะรอให้รถบรรทุกเดินทางมาถึง แล้วจัดการกวาดล้างเลยทีเดียว” ลันโทสพูดขึ้น

    “นั่นสิ อาจจะเป็นไปได้ งานนี้ฉันคงต้องขอการคุ้มกันทางอากาศจากพวกคุณแล้วหล่ะค่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “คือ อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะครับ ผมว่าคุณน่าจะดูคนในหน่วยของคุณหน่อยนะครับ ผมคิดว่าอาจจะมีหนอนอยู่ช้างในแน่ๆ” นาวินพูดขึ้น

    “ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง ตัวฉันรู้ว่าจะหาตัวมันได้ยังไง เอาเป็นว่าเจอกันตอนงานเริ่มนะคะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วางสายในทันที

    “งานนี้คงต้องใช้โดรนเยอะเลยหล่ะครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “ฉันสังหรณ์ใจแปลกๆนะ ว่ามันอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล” เวียนพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง เราก็ต้องลุยกับพวกมันอยู่ดีนี่คะ” ฮารุพูดขึ้น

    “เฮ้อ เอาเป็นว่า The Show Must Go On สินะ” โจไซอาห์พูดขึ้นพลางมานั่งกอดเข่าอยู่แถวๆนั้น

    “ฉันว่า เราน่าจะหาลู่ทางเผื่อว่าเราต้องหนีด้วยดีกว่า” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ถ้าเรื่องทางหนี ไม่น่าจะต้องเป็นห่วงหรอกครับ เรามีโดรนพาหนีนี่ครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ก็ขอให้งานนี้มันผ่านไปด้วยดีเถอะ” โลร็องต์พูดขึ้นพลางถอนหายใจ

    “หนูว่า เรายกเลิกงานนี้ก่อนดีกว่าค่ะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ไม่ต้องกลัวหรอกลิน เราตายไปหนหนึ่งแล้ว ตายอีกซักรอบจะเป็นไร??” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เดี๋ยวนะครับ พวกเรามันไม่มีทางตายนี่ครับ” นายลืมพูดขึ้น

    “เออ ยังไงก็ห่วงสวัสดิภาพตัวเองไว้หน่อยเถอะ” อัญชันพูดพลางลูบหัวนายลืม

    “หรือว่า ถ้าเกิดเรามีโอกาส เราจะลองสืบเรื่องนี้ดูหล่ะคะ??” พัตติยาถามไป

    “นั่นสิครับ ผมว่าเกมนี้ยังไงๆมันก็ต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่ๆ เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่าถ้าเรามีเวลา เราจะตามสืบเรื่องนี้อีกทีก็แล้วกันนะครับ แต่ตอนนี้ เราเตรียมพร้อมลุยกันดีกว่าครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป

     

    กลับมายังฐานทัพของหน่วย UNASO ในตอนนี้คริสเตียลและหน่วยของเขากำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อบุกสกัดการขนอาวุธไปให้กลุ่มผู้เกิดใหม่ กลุ่มของคริสเตียลใช้เวลาไม่นานก็จัดเตรียมชุดเกราะและอาวุธได้พร้อมสรรพ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็คุยกันเกี่ยวกับภารกิจไปด้วย

    “เอาหล่ะ พวกมันจะมาส่งของกันที่นี่ เราต้องรอจนกว่ารถบรรทุกจะมาถึง แล้วเราก็เข้าจู่โจมเลย” คริสเตียลพูดขึ้นในขณะที่กำลังชี้แผนที่ไป

    “อืม เข้าใจแล้วครับ งานนี้คงต้องระดมสรรพกำลังเล่นงานพวกมันซะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้สังเกตว่ากาลีน่าไม่ได้เข้ามาร่วมการประชุมด้วย 

    “เอ๊ะ ยัยกาลีน่านั่นหายไปไหนกันนะ??” วูฟถามอย่างสงสัย

    “เห็นแม่นั่นบ่นๆว่าปวดหัวอ่ะ จะขอลาป่วยหน่อย” ยูริพูดขึ้น

    “เฮ้อ ข้ออ้างหน่ะสิ สงสัยจะแอบไปคุยกับโซนิคอยู่แน่ๆ อุ๊บ!!” รูกิพูดขึ้นแต่ก็ต้องหยุดปากเอาไว้ก่อน

    “พูดมาเถอะครับ ความจริงพวกเราก็สงสัยมาซักพักแล้ว” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “นั่นสิ ดูท่าแม่นั่นจะไปทำงานให้โซนิคเต็มตัวแล้วหล่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “เฮ้อ แล้วนี่จะเอายังไงกับแม่นั่นต่อหล่ะ??” จ่าชัยถามไป

    “เธอคงทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราไม่มีอะไรอยู่แล้วนี่” รูกี้พูดขึ้น

    “แต่ยังไงก็อย่าประมาท ไม่แน่ แม่นั่นอาจจะกำลังทำอะไรที่เราไม่คาดคิดอยู่ก็ได้” คริสเตียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็มารายงานอะไรบางอย่างคริสเตียลอย่างรวดเร็ว

    “ท่านครับ อีก 10 นาทีเครื่องออกครับ!!”

    “ดี เอาหล่ะ มีใครสงสัยอะไรหรือเปล่า??” คริสเตียลถามไป 

    “เออ ท่านครับ ถ้าเราปะทะกับไอ้พวกนาวิน เราต้องทำยังไงต่อครับ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย

    “เราต้องปกป้องตัวเองไว้ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะมายึดอาวุธของกลางไปทั้งหมด” คริสเตียลพูดขึ้น

    “พนันได้เลยว่าตำรวจไทยทำไม่สำเร็จหรอก” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “ฮ่าๆๆๆ ดูถูกกันเกินไปแล้วไอ้น้องชาย” จ่าชัยพูดขึ้น

    “เอาเถอะค่ะ ถ้าได้อาวุธมาซักคันรถ ก็ใช้เป็นหลักฐานได้” เวอร์รีบพูดขึ้น

    “พวกนายนาวินนี่น่าจะเป็นปัญหา เพราะฉะนั้นคงต้องยันกับพวกมันไว้” รูกิพูดขึ้น

    “ถ้าเจอมันอีกรอบ ฉันจะควักหัวใจมันออกมาเอง” รูกี้พูดขึ้น

    “เย็นไว้พวก ไอ้หมอนั่นไม่ใช่กระจอกอย่างที่เราคิด” ยูริพูดขึ้น

    “ใช่ คนที่จะฆ่ามันได้ มีแต่ฉันเท่านั้นหล่ะ” วูฟพูดขึ้น

    “อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลยตอนนี้ เอาหล่ะ รีบไปขึ้นเครื่องก่อนดีกว่า” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันไปขึ้นบินอย่างรวดเร็วเพื่อออกเดินทางไปทำภารกิจ โดรนจู่โจม 3 ลำกำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว และไม่นานนัก พวกเขาก็ไปขึ้นโดรนขนส่งลำที่อยู่ตรงกลางกันอย่างรวดเร็ว

    “งานนี้ไม่มีกาลีน่าคุ้มกัน อาจจะลำบากนิดนึงนะ” ยูริพูดขึ้น

    “คนอย่างฉันไม่ต้องให้ใครมาคุ้มกันอยู่แล้วหล่ะ” วูฟพูดขึ้น

    “เออ แล้วเราจะมาดูผลงานนายกันในวันนี้” รูกิพูดขึ้น

    “งานนี้เราคงต้องเซฟตัวเองกันหน่อยหล่ะครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “ไม่ต้องกลัวหรอกไอ้น้อง เดี๋ยวมันก็ดีเอง” รูกี้พูดขึ้น

    “งานนี้คงเจอพวกมันไม่ต่ำกว่าร้อยแน่ๆ แถมอาวุธครบมืออีก” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ก็ขอให้หน่วยรบพิเศษที่คุณว่ามันเก่งจริงเถอะ” จ่าชัยพูดขึ้น

    “แล้วนี่ หน่วยรบที่คุณว่าจะไปสมทบกับเราเหรอครับ??” ฮาเวิร์ดถามคริสเตียลไป

    “ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะต้องมาแน่ เอาหล่ะ เดินทางกันได้!!” คริสเตียลตะโกนบอกทุกคนไป จากนั้นโดรนของพวกเขาก็ค่อยๆบินขึ้นฟ้า และออกเดินทางอย่างรวดเร็ว

    และอีกด้านหนึ่งของโกดัง ห้องของโซนิค หลังจากที่คริสเตียลเดินทางออกไปแล้ว กาลีน่าก็ยังคงพูดคุยกับโซนิคและคนของเขาอยู่ในห้องนั้น โดยมีคนของโซนิคคอยคุ้มกัน

    “นี่ เธอไม่เสียดายเหรอ ที่ไม่ได้ไปกับพวกนั้น??” ลีน่าถามกาลีน่าถามไป

    “ไม่หรอก ถึงยังไงพวกนั้นก็คงจับไอ้คนที่ฉันต้องการไม่ได้” กาลีน่าพูดขึ้น

    “ที่มาเข้าหน่วย ก็เพราะต้องการแก้แค้นอย่างเดียวสินะ” เดวิดพูดขึ้น

    “ก็ใช่ ฉันยอมรับ แล้วมันผิดตรงไหนหล่ะ??” กาลีน่าถามไป

    “เธอทำได้ดีมากที่จับตัวยัยนี่มาได้ ยัยนี่ดูน่าสนใจกว่าที่ฉันคิด” โซนิคพูดขึ้น

    “น่าสนใจ น่าสนใจตรงไหนกันคะ??” กาลีน่าถามไป

    “ยัยนี่มันไม่ใช่มนุษย์แบบเราหน่ะสิ” ลีน่าพูดขึ้น 

    “ห่ะ ไม่ใช่มนุษย์ แล้วมันเป็นอะไรอย่างงั้นเหรอ??” กาลีน่าถามไป

    “เรากำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ แต่ดูแล้วเธอน่าจะเป็นมนุษย์ดัดแปลงที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ” เดวิดพูดขึ้น

    “โห แล้วไอ้พวกนี้มันมาจากไหนกัน มันทำงานให้ใครกันนะ??” กาลีน่าถามไป

    “ฉันก็ไม่รู้ แต่ว่าเราคงจะได้รู้คำตอบในอีกไม่นานนี่หล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “หรือว่า จะเป็นฝีมือของ The Green คะ ยังจำข่าวที่เธอกำลังเคลื่อนไหวในประเทศแถบเอเชียได้หรือเปล่าคะ??” ลีน่าถามไป

    “อ้อ ยัยนั่นหน่ะเหรอ อาจจะเป็นไปได้ แล้วก็ไม่แน่ คริสเตียลอาจจะร่วมมือกับมันอีก” โซนิคพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราอยู่เฉยไม่ได้แล้วนะครับ” เดวิดพูดขึ้น

    “เฮ้อ ดูเหมือนว่าลูกน้องที่คุณมีไว้ใจไม่ได้แล้วหล่ะ” กาลีน่าพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถึงยังไงวันหนึ่งพวกมันทั้งหมดก็ต้องทำตามคำสั่งฉันอยู่ดี” โซนิคพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินมาหาโซนิค และรายงานอะไรบางอย่างกับเขาอย่างรวดเร็ว

    “คุณโซนิคครับ เราได้ทดลองกับตัวของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ร่างกายของเธอสามารถฟื้นตัวได้อย่างมหัศจรรย์ ถึงแม้ว่าดูภายนอกจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ความจริงเธอมีชิพ AI คอยควบคุมอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นมนุษย์สังหารที่น่ากลัวมากครับ!!”

    “ไม่ผิดอย่างที่คิดไว้ ดูเหมือนว่าพวก UNASO ได้ของเล่นใหม่ที่ร้ายกาจแล้วสิ” โซนิคพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่า คริสเตียลกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่นะคะ” โซนิคพูดขึ้น

    “ใช่ เอาเป็นว่าเธอลองจับตาดูพวกนั้นไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรคืบหน้า มาบอกฉันเลย” โซนิคพูดกับกาลีน่า

    “พวกนั้นคงไม่ไว้ใจฉันแล้ว แต่เอาเถอะ ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของกาลีน่าเองก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

    “ที่รักคะ ที่รักต้องทำอะไรซักอย่างแล้วนะคะ” ลีน่าพูดขึ้น

    “ตอนนี้เราต้องใจเย็น อย่าเพิ่งทำอะไรให้ไก่ตื่นดีกว่า” เดวิดพูดขึ้น

    “นี่ จะรอให้พวกมันมาฆ่าที่รักก่อนหรือยังไง??” ลีน่าถามไป

    “แล้วยังไง เธอจะไปฆ่าพวกมันให้หมด แล้วงานนี้ทางการสหรัฐก็จะหมายหัวเราอีกครั้ง และถ้าพวกมันร่วมมือกับพวกผู้เกิดใหม่อย่างนายนาวินอีกหล่ะ พวกเราจบเห่แน่” เดวิดพูดขึ้น

    “ตอนนี้ต้องรอให้ฉันได้พลังมาก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเอาโลกใบนี้เป็นข้อต่อรองหน่อยหล่ะ” โซนิคพูดขึ้น

    “ว่าแต่ที่รัก ไอ้นาวินมันจะมาเจอกับที่รักจริงๆเหรอคะ??” ลีน่าถามอย่างสงสัย

    “เรื่องนี้ก็คงต้องมารอดูกันอีกที” โซนิคพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่ของโซนิคอีกคนหนึ่งก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเดวิดอย่างรวดเร็ว

    “คุณเดวิดครับ นี่คือคำพูดที่ไอ้บ้าคนนั้นมันพูดออกมาตลอดครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดขึ้นพลางยื่นข้อมูลการสนทนาของเพี้ยนให้เดวิด จากนั้นเดวิดก็เอาข้อมูลพวกนั้นให้โซนิคอย่างรวดเร็ว

    “มาดูกันว่าไอ้บ้าคนนั้นมันพูดอะไรบ้าง” โซนิคพูดขึ้น

     

    กลับมาที่ห้องขังของเพี้ยน ในตอนนั้นเองตัวของเพี้ยนก็ยังคงนอนอยู่ในห้องเพื่อพักผ่อน ในขณะเดียวกันเพี้ยนก็ได้พูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อย ตามประสาคนแบบเพี้ยน ซึ่งค่อนข้างปากไม่มีหูรูดเท่าไหร่

    “อะไรของไรท์เนี่ย ไม่ใช่ปากไม่มีหูรูดซะหน่อย??” เพี้ยนพูดขึ้นพลางฮัมเพลงขึ้นมา

    “ไอ้บ้านี่มันพูดกับใครกันวะ??” เจ้าหน้าที่ที่ดักฟังเพี้ยนถามไป

    “เออ เอาเถอะ ทนๆฟังมันพูดไปหน่อย เดี๋ยวเสร็จงานนี้มันก็ตายห่าแล้ว” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น

    “เออ ตายได้ก็เกิดได้ครับคุณเจ้าหน้าที่” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เฮ้ย มันด่าพี่ด้วยหว่ะพี่” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นพลางแตะไหล่เจ้าหน้าที่คนที่ถูกพาดพิง และไม่นานนัก ตัวของเพี้ยนเองก็ยังคงพูดต่อ

    “เฮ้อ เข้าใจหล่ะว่าอีกไม่นานเรื่องก็คงจบแล้ว ยังไงตอนจบพกคุณต้องระวังตัวกันหน่อยเน้อ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เฮ้ย ตอนจบ อะไรของมันวะ??” เจ้าหน้าที่คนเดิมถามไป ในขณะที่กำลังตั้งใจฟัง

    “มันร้ายแรงมาก เอาเป็นว่าคุณโซนิคก็ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน” เพี้ยนพูดขึ้น

    “ระวังอะไรของมันอีกเนี่ย งงแล้วนะเว้ย??” เจ้าหน้าที่คนนั้นถามต่อ

    “เออ เงียบแล้วก็ฟังไป” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดปรามไป

    “ถามว่าคุณโซนิคควรระวังอะไรอย่างงั้นเหรอ ศัตรูใหม่ซึ่งดูภายนอกเหมือนเป็นมนุษย์ แต่ความจริงมันมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น และไอ้พวกนี้มีความเกี่ยวพันกับผู้เกิดใหม่ด้วย” เพี้ยนพูดขึ้น

    “อะไรวะ เกี่ยวอะไรกับผู้เกิดใหม่อีกวะ??” เจ้าหน้าที่คนนั้นถามไปและเตรียมจะจดบันทึก

    “เฮ้อ พอแค่นี้หล่ะ ขี้เกียจพูดแล้ว หาอะไรเย็นๆให้เรากินหน่อยสิ!!” เพี้ยนพูดขึ้นพลางนอนแผ่ตัวบนเตียงของเพี้ยนอย่างสบายใจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ที่กำลังฟังเขาก็แทบจะไม่อยากทนแล้ว

    “ระยำเอ้ย กูไม่ทนแล้ว!!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นพลางชักปืนออกมา แต่เจ้าหน้าที่อีกคนขวางทางเขาไว้

    “เฮ้ยๆๆๆ อย่าดีกว่า ถ้าไม่อยากมีปํญหา กลับไปทำงานเถอะวะ!!” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดปรามไป แล้วพาเขาไปสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังคฤหาสน์ของแก้ว หลังจากที่พวกของเธอได้จัดการเค้นความลับจากคนที่เคยตามฆ่าเธอได้เรียบร้อยแล้ว ตัวของไคเองก็พยายามแกะรอยจากโทรศัพท์ที่เธอได้มา และไม่นานนัก ไคก็รีบมาบอกทุกคนอย่างรวดเร็ว ถึงความคืบหน้าที่ตัวของเธอได้มา

    “เอาหล่ะทุกคน ตอนนี้ฉันได้ความคืบหน้าใหม่มาแล้ว ฉันลองไปติดต่อกับเพื่อนฉันที่เป็นพวกแฮ็กเกอร์ พวกนั้นบอกว่า ไอ้หมอนั่นมันเป็นนายหน้า ล่าสุดมันกบดานอยู่ในกรุงเทพนี่หล่ะ” ไคพูดขึ้น

    “อ้อ ยังดีที่มันอยู่ในกรุงเทพ แสดงว่ามันอาจจะกำลังติดต่องานให้ใครก็ได้” เบลพูดขึ้น

    “เออ เอาเถอะ ฉันอยากไปตามล่ามันอยู่พอดี” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ไอ้หมอนั่นมันอยู่ที่ไหนเหรอคะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “มันอยู่คอนโดแถวทองหล่อ แต่ตอนนี้มันคงกำลังจะหนีแล้วหล่ะ” ไคพูดขึ้น

    “อ้อ ถ้าแถวทองหล่อ ฉันจะลองติดต่อคนของฉันเอง” แก้วพูดขึ้น 

    “อ้าว แล้วจะติดต่อยังไงหล่ะ??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย และในตอนนั้น ตัวของแก้วก็เดินออกไปที่ห้องรับแขก จากนั้นก็เอาโทรศัพท์เครื่องหนึ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว

    “ดึกดื่นขนาดนี้ใครจะรับสายอย่างงั้นเหรอ??” เบลถามอย่างสงสัย และไม่นานนัก ตัวของแก้วก็โทรหาใครคนหนึ่ง จากนั้นก็คุยกับคนปลายสายอย่างรวดเร็ว

    “เออนี่ ขอข้อมูลไอ้บ้าคนนั้นหน่อยสิ” แก้วพูดกับไค และไคก็ยื่นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งให้กับแก้วในทันที และไม่นานนัก การสนทนาก็จบลง แก้วรีบวางสายในทันที

    “โห ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย??” เบลถามอย่างสงสัย

    “ถ้าอย่างงั้น คงไม่ต้องออกไปจับมันด้วยตัวเองแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เออ มันจะได้ผลอย่างงั้นเหรอคะ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “แน่นอน คนพวกนี้เป็นหนี้ฉัน ให้ตายยังไงก็ใช้หนี้ไม่หมดอยู่ดี” แก้วพูดขึ้น

    “แล้วนี่ พวกเราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้ถ้ายังจับตัวไอ้บ้านั่นไม่ได้ ก็ทำอะไรไม่ได้” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่า พวกเรามารอข่าวกันดีกว่า ว่ามันจะมีอะไรคืบหน้าหรือเปล่า” ไคพูดขึ้น

    “เออนี่ แล้วเรื่องรถกับศพของพวกมัน จัดการไปถึงไหนแล้วหล่ะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “อ้อ เรียบร้อยแล้วหล่ะ เราเผาศพพวกมันทั้งคู่จนเหี้ยน แล้วฝังไว้พร้อมกับรถแล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “ใช่ รับรองว่าสะอาดแน่นอน ไม่มีใครสาวถึงตัวเราได้หรอก” เบลพูดขึ้น

    “เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบซะทีหล่ะเนี่ย ฉันอยากจะกลับยุโรปแล้ว??” ไคถามไป

    “ไม่รู้สิ ถ้าอยากจะรู้ เราคงต้องไปที่จุดเริ่มต้นหล่ะ” เบลพูดขึ้น

    “ทั้งหมดมันเริ่มจากรัฐบาลและพวก UNASO นั่นแท้ๆเชียว” เกเบรียลพูดขึ้น

    “นั่นสิ แล้วเราจะเอายังไงกับคนพวกนั้นหล่ะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “อืม ไอ้บ้านั่นที่เราจะจับมันมา มันคงต้องรู้อะไรแน่ๆ” ไคพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นก็เตรียมเครื่องทรมานมันเลยก็แล้วกัน” เบลพูดขึ้น

    “ไอ้เรื่องทรมานนี่ฉันถนัดอยู่แล้วหล่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ยังไงก็เตรียมพร้อมก็แล้วกัน” แก้วบอกกับทุกคนไป

     

    กลับมายังบ้านพักของมิกิ ในวันนี้ตัวของเธอก็กำลังกบดานอย่างเงียบๆ เพื่อรอข่าวเพิ่มเติมจากเบ็ตตี้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมนอกจากข่าวการขนส่งอาวุธ ในตอนนั้นตัวของเธอก็เดินออกมานอกห้อง เพื่อเดินเล่นสูดอากาศ หลังจากที่พักอยู่ในห้องมาหลายวัน โดยที่คนของเบ็ตตี้ก็คอยคุ้มกันมิกิอย่างแข็งขันด้วย

    “อ้าว คุณมิกิ ไม่อยู่ในห้องเหรอครับ??”

    “อ้อ ไม่อ่ะ ฉันอยากไปเดินเล่นหน่อย” มิกิพูดขึ้น

    “ครับ ถ้าอย่างงั้นก็ระวังหน่อยนะครับ” 

    “เออนี่ ได้ข่าวมาว่าวันนี้จะมีการขนส่งอาวุธกันนี่” มิกิพูดขึ้น

    “สมกับเป็นคุณมิกิจริงๆ ใช่ครับ น่าจะเป็นเวลานี้หล่ะครับ”

    “ก็ขอให้มันราบรื่นก็แล้วกัน” มิกิพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง สาวใช้คนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหามิกิอย่างรวดเร็วเพื่อมาคุยอะไรบางอย่าง

    “คุณมิกิ แย่แล้ว มีข่าวว่าตำรวจอาจจะมาค้นที่นี่ตอนเช้า!!”

    “อะไรกัน พวกมันจะมาค้นที่นี่งั้นเหรอ??” ลูกน้องของเบ็ตตี้ถามไป

    “แย่หล่ะ แบบนี้คงต้องทำลายทุกอย่างทิ้งแล้วหล่ะ” มิกิพูดขึ้น

    “เรื่องนั้นผมจัดการเองครับ” ลูกน้องของเบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของมิกิเองก็รีบโทรศัพท์หาเบ็ตตี้อย่างรวดเร็ว

    “รับสายหน่อยเถอะ”

    มิกิพยายามโทรติดต่อหาเบ็ตตี้ แต่ก็ไม่มีสัญญาณอะไรตอบรับเลย ทำเอามิกิถึงกับหัวเสีย

    “นี่มันอะไรกันเนี่ย??” มิกิถามอย่างสงสัย 

    “สงสัยคุณเบ็ตตี้กำลังยุ่งอยู่มั้งคะ??” สาวใช้คนนั้นถามไป

    “เฮ้อ ช่างมันเถอะ” มิกิสบถออกมา จากนั้นก็รีบหนีเข้าไปในห้องของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเอากระเป๋าใส่เงินของเธอมานับเงินที่เหลือทั้งหมดอย่างรวดเร็ว 

    “40 ล้าน สงสัยคงไม่ต้องรอ 25 ล้านที่เหลือแล้วมั้ง” มิกิพูดออกมา

     

     

    ณ ตึกระฟ้าแห่งหนึ่งในย่านใจกลางกรุงเทพ ในเมืองยามนี้ถึงแม้จะยังมีแสงสีอยู่บ้าง แต่ก็มีผู้คนบางส่วนที่ยังออกเดินทางกันแต่เช้า ตัวของเซนในตอนนั้นกำลังเล็งปืนเข้าไปในตึกหลังหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขากำลังหาเป้าหมายซึ่งเขากำลังจะสังหารทิ้ง

    “เซน เจอความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า??” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งติดต่อกับเซนทางวิทยุไป

    “ยังไม่มี พูดตรงๆ ยังไม่เจออะไรเลย” เซนตอบกลับไป

    “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ นึกถึงหน้าคิฮาระไว้สิ”

    “ถ้าพวกมึงทำอะไรเธอ กูรับรองได้เลย พวกมึงต้องร้องขอชีวิตจากกูแน่ๆ” เซนพูดขึ้น

    “อ่าๆๆ เข้าใจๆ เอาเป็นว่าเจอเป้าหมายหรือยังหล่ะ??” ผู้หญิงคนนั้นถามต่อ และไม่นานนัก ตัวของเซนเองก็เจอกับชายอ้วนคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งโทรศัพท์อยู่ในห้อง เซนเห็นเป้าหมายจึงได้พูดขึ้น

    “เจอเป้าหมายแล้ว นี่มันเสี่ยสำราญนี่??” เซนพูดขึ้น

    “ใช่ รู้จักหมอนั่นด้วยเหรอ??”

    “ได้ยินมาว่ามันเป็นนายหน้าค้าอาวุธหน่ะ” เซนพูดขึ้น

    “เออ เอาเป็นว่ายิงๆมันให้จบแล้วกัน” 

    “ได้เลย!!” เซนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เล็งปืนใส่หัวของเสี่ยคนนั้น จากนั้นก็เหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว

    “ปัง!!”

    กระสุนเจาะหัวของเสี่ยคนนั้นจนแน่นิ่ง ไม่นานนักตัวของเซนก็รีบเก็บปืนของเขาแล้วออกจากตึกอย่างรวดเร็ว ตัวของเขาเดินลงลิฟของตึก จากนั้นก็ติดต่อกับผู้หญิงคนเดิมไปด้วย

    “นี่ งานของฉันเสร็จแล้ว!!”

    “ดี ตอนนี้คิฮาระตื่นแล้ว” 

    “เธอเป็นยังไงบ้าง นี่แกทำอะไรเธอ??” เซนถามอย่างสงสัย

    “เธอไม่เป็นไรหรอก อยากคุยกับเธอหน่อยมั้ยหล่ะ??” ผู้หญิงคนนั้นถามไป และไม่นานนัก เสียงของคิฮาระก็ดังขึ้นมาจากวิทยุ

    “นี่ นายเซน นายหายไปไหนเนี่ย??”

    “คิฮาระ เธอเป็นยังไงบ้างเนี่ย ยัยบ้าเอ้ย??” เซนถามไป

    “ก็สบายดี ว่าแต่หายไปไหนเนี่ย ไปฆ่าใครอีกหล่ะ??”

    “เออ ยังไม่ต้องรู้หรอก” เซนพูดขึ้น

    “เออ รีบกลับก็แล้วกัน” คิฮาระพูดทิ้งท้าย และในตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนเดิมก็พูดแทนคิฮาระ

    “รีบกลับมาแล้วกัน เธอรอนายอยู่” 

    “เออ ถ้ามึงทำอะไรเธอนะ” เซนพูดอย่างเจ็บแค้น

    “ไม่ต้องห่วง ฉันเคารพทุกข้อตกลงอยู่แล้ว ถ้าอยากให้เธอรอด นายอย่าพลาดก็แล้วกัน” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น

    “เออ เอาที่สบายใจเลย แต่ถ้าหักหลังฉัน พวกแกก็รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนอย่างฉันพูดจริงทำจริง” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ลงมาถึงชั้นล่างขอกตึก จากนั้นเขาก็รีบขับรถหนีออกจากตึกอย่างรวดเร็ว

    “รอก่อนนะยัยบ้า ฉันกำลังไป”

     

    ณ สถานทูตสหรัฐในกรุงเทพมหานคร หลังจากที่ซูซาคุได้พบกับอากิระซึ่งเป็นลูกชายของน้าสาวเธอ ตัวของเธอยังคงนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเธอ ซูซาคุยังคงนึกถึงวันเก่าๆในอดีตของเธอและน้าสาวของเธอ

    “ตามหาเขาที...”

    “อากิระ..”

    “กริ๊งๆๆๆๆ”

    โทรศัพท์ดังมาจากโต๊ะทำงานของเธอ ซูซาคุรีบหยิบโทรศัพท์รับสายอย่างรวดเร็ว

    “ฮัลโหล ซูซาคุพูด??”

    “คุณซูซาคุ ผมเจนกิ้นส์ ผมได้รับร่างกฎหมายของคุณแล้ว ร่างของคุณมันสุ่มเสี่ยงมาก”

    “ฉันรู้ค่ะ แต่ยังไงก็รบกวนหน่อยนะคะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เฮ้อ คุณนี่ไม่เคยเลิกราจริงๆ ว่าแต่งานที่นั่นเป็นยังไงบ้าง??” 

    “ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ มีแต่งานเอกสารทั้งนั้น” ซูซาคุพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ยังไงก็จัดการหน่อยแล้วกัน แล้วก็เรื่องพวก UNASO ผมได้ยินมาว่าตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมจัดการโปรเจ็กค์ S งานนี้เป็นงานช้าง แพนตาก้อนสั่งมาว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องกำจัดหมอนั่นให้ได้”

    “ค่ะ ก็หวังว่าจะสำเร็จนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นเธอวางสายโทรศัพท์ในทันที 

     

    กลับมายังบ้านของสส.สุรสิงห์ หลังจากที่ตัวของนายแสนได้สำแดงพลังออกมาจนทำให้นายสิงห์ถึงกับอึ้ง ตัวของสิงห์ก็จับตัวนายแสนไปยังเอาไว้ในห้องๆหนึ่ง ซึ่งเขาต้องล่ามโซ่ลูกชายของเขาไว้ เพื่อไม่ให้ลูกชายของเขาเกิดอาละวาดขึ้นมาอีกครั้ง ตัวของเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองจนนอนไม่หลับ ตัวของเลขาที่นอนกับเขาก็ตื่นขึ้นมาคุยกับเขาในทันที

    “มีอะไรหรือเปล่าคะท่าน??”

    “อ้อ ไม่มีอะไร ผมแค่..”

    “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อสายตาท่านเองนะคะ”

    “ก็ใช่หน่ะสิ ไม่อยากจะเชื่อ ผมมองเข้าไปนัยน์ตาของเขา แต่ ผมกลับคิดว่าเขาตายไปแล้ว” นายสิงห์พูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรนะคะท่าน” เลขาของเขาพูดขึ้นพลางกอดเขาไป

    “แล้วนี่ เรื่องศพของคุณนาย จัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือเปล่า??” นายสิงห์ถามไป

    “แน่นอนค่ะ แม้แต่คนขับรถของคุณนาย แล้วก็รถของเธอ ฉันก็จัดการหมดแล้วค่ะ”

    “ดี ทำลายกล้องวงจรปิดทั้งหมดในบ้าน บอกคนใช้ด้วยว่าห้ามปากโป้งเด็ดขาด” นายสิงห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ แม่บ้านคนหนึ่งก็มาเคาะประตูที่หน้าห้องของนายสิงห์ ทำเอานายสิงห์ถึงกับต้องลุกไปดูอย่างรวดเร็ว

    “คุณท่านคะ แย่แล้วค่ะ คุณหนูแสนหายตัวไปค่ะ!!”

    นายสิงห์แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง จึงรีบวิ่งไปดูที่ห้องนายแสนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาและเลขาไปถึง เขากลับพบว่า ตัวของนายแสนหายไป เหลือเพียงแค่ซากของโซ่เหล็กที่พันธนาการตัวนายแสนไว้ และหน้าต่างของห้องก็พังด้วย ทำเอานายสิงห์ถึงกับเข่าทรุดไปเลย

    “บ้าเอ้ย นี่ฉันปล่อยสัตว์ร้ายหนีไปแล้วงั้นเหรอ??” นายสิงห์พูดไป

    “ใจเย็นนะคะท่าน ฉันจะส่งคนไปตามหาเขาเองค่ะ”

    “ส่งคนของเราออกตามหานายแสน ไม่ว่าจะยังไง เดี๋ยวนี้เลย!!” นายสิงห์พูดขึ้น 

    “เฮ้อ งานนี้คงไม่จบง่ายๆแน่ๆค่ะท่าน”

    “ฉันรู้ ยังไงก็ต้องเอาตัวมันกลับมาให้ได้” นายสิงห์พูดขึ้น 

    “ฉันว่า ถ้านายแสนยังมีสตอยู่ เขาต้องไปแก้แค้นแน่ๆเลยค่ะ”

    “เออ ก็ไม่ยากเกินจะเดา คนอย่างมันนี่เวลาแค้นใครก็น่ากลัวนัก” นายสิงห์พูดขึ้น

    “จะให้ติดต่อพวกตำรวจให้ช่วยเราด้วยหรือเปล่าคะ??”

    “อย่าเพิ่งเลย สถานการณ์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้ ใช้คนของเราก่อนดีกว่า” นายสิงห์พูดขึ้น จากนั้นตัวของเลขาก็รีบไปดำเนินการตามที่นายสิงห์บอกอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในตอนนี้ตัวของเขาก็นั่งสมาธิเพื่อทำพิธีเพื่อช่วยเหลือวิญญาณของเมืองผา ซึ่งเขาต้องใช้ไอพลังของผู้เกิดใหม่เพื่อซ่อมแซมพลังให้กับเมืองผา ตัวของวิบัติลืมตาขึ้นมา มองเห็นวิบัติที่กำลังนอนนิ่ง และไม่นานนัก วิญญาณรับใช้ของวิบัติก็เดินทางกลับมาหาเขา จากนั้นก็มารายงานตัวกับเขา

    “นายท่าน กระผมเอาพลังไอวิญญาณของพวกผู้เกิดใหม่มาให้ท่านแล้ว” 

    “ดี เอามันมาให้ข้า” วิบัติพูดขึ้น จากนั้นวิญญาณรับใช้ตนนั้นก็เอาพลังไอวิญญาณมาใส่ให้เมืองผา แต่ถึงกระนั้น ตัวของเมืองผาก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียทีเดียว

    “เกิดอันใดขึ้นหรือท่าน??” 

    “ดูเหมือนจักไม่พอหน่ะ” วิบัติพูดขึ้น

    “แปลว่าต้องหามาเพิ่มงั้นหรือขอรับ??”

    “ใช่ เอาหล่ะ เราต้องไปหามันมาเพิ่ม จนกว่าเมืองผาจักฟื้น” วิบัติสั่งวิญญาณตนนั้นไป

     

    ณ น่านฟ้าย่านชานเมืองกรุงเทพ เวลาใกล้จะตีสี่ ขบวนรถบรรทุกขบวนหนึ่งค่อยๆขับเข้ามาในเขตด่านตรวจด่านหนึ่ง ซึ่งมีกลุ่มชายติดอาวุธนับสิบนับร้อยกำลังยืนคุมพื้นที่ รถบรรทุกคันนั้นจอดอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมรับการตรวจสอบ แต่ในตอนนั้นเอง

    “หยุด นี่เจ้าหน้าที่ ยอมมอบตัวซะดีๆ!!”

    เสียงประกาศดังขึ้นจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินเข้ามาใกล้พวกเขา รวมถึงหน่วยรบพิเศษที่บุกเข้ามา ทำเอากลุ่มชายติดอาวุธถึงกับต้องยิงเพื่อป้องกันตัว และไม่นานนัก โดรนบินของคริสเตียลและกำลังของเขาก็บินเข้ามาในพื้นที่อย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับกองกำลังผู้เกิดใหม่ คริสเตียลสั่งให้เครื่องร่อนลงจอดในทันที

    “พวกเรา ลุยมันเลย!!” คริสเตียลตะโกนออกมา แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ลงจากเครื่อง จู่ๆโดรนของดันเต้ก็เข้ามาในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที โดรนบินของดันเต้ยิงใส่หน่วยรบพิเศษของ UNASO จนตายกันไปมากมาย ทำเอากลุ่มของคริสเตียสต้องสั่งให้กระจายกำลังออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พวกเรา รีบกระจายกำลังออกไป เร็ว!!”

    ฮาเวิร์ดนำกำลังพลกระจายออกไปตามจุดต่างๆเพื่อเข้าโอบล้อมกลุ่มผู้เกิดใหม่และกลุ่มของดันเต้ที่นำกำลังเข้ามายังพื้นที่ โดรนของดันเต้นำพวกของนาวินลงมา จากนั้นพวกของนาวินก็กระจายกำลังออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พวกเรา อย่าให้มันล้อมเราได้!!” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยิงปะทะกับพวกของนาวิน

    “บ้าเอ้ย พวกมันมีเยอะเกินไป!!” เวอร์รีนพูดขึ้นจากนั้นก็พยายามจะยิงสวนไป วูฟเห็นโดรนที่ใช้ปืนกลยิงกดพวกเขา เขาจึงแปลงร่างและเหาะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำลายโดรนพวกนั้น

    “เฮ้อ อย่าหวังเลยพวกมึง!!” วูฟพูดขึ้น

    “พวกมันมีเยอะเกินไป กำลังเสริมเราอยู่ไหน??” แสงจันทร์ถามในขณะที่ยัดกระสุนใส่ปืนลูกโม่ของเขา

    “นั่นสิ หายหัวไปไหนกันหมดวะ??” รูกี้สบถออกมา ในขณะที่ยิงหัวของผู้เกิดใหม่คนหนึ่งจนล้ม

    “คุณคริสเตียล กำลังเสริมของเราอยู่ไหน??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย ในขณะที่เขาก็ยิงกับพวกมันจนกระสุนหมด

    “พวกนั้นใกล้จะมาแล้ว เตรียมพร้อม!!” คริสเตียลพูดขึ้น และในไม่นานนัก กลุ่มชายหญิงติดอาวุธกลุ่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากป่า พวกนั้นกระจายกำลังและยิงโอบล้อมกลุ่มของนาวินไว้

    “ไอ้พวกนั้นหน่ะเหรอ ไม่น่าจะเวิร์คนะ??” รูกิพูดในขณะที่กำลังยิงกดพวกของนาวินไว้

    “เอาเถอะ มาดูกันว่าพวกนั้นแน่ซักแค่ไหน” ยูริพูดขึ้นจากนั้นก็ใส่กระสุนจนเสร็จ จากนั้นก็ยิงกลุ่มของนาวินในทันที กองกำลังพิเศษบุกเข้าโจมตีพวกของนาวิน พวกนั้นยิงกดนาวินและคนอื่นๆไม่ให้โผล่ออกมาจากพื้นที่ นาวินเลยยิงปืนเลเซอร์สวนมันไปคนหนึ่ง

    “ปิ้ว!!”

    เลเซอร์ของนาวินโดนเข้าไปที่หน้าท้องของมัน แต่ดูเหมือนว่ามันแทบจะไม่เป็นอะไรเลย และยังดูเหมือนว่าพวกมันจะค่อยฟื้นตัวได้ด้วย พวกของนาวินเห็นก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเลย

    “บ้าน่า ไอ้พวกนี้ นี่มันปืนเลเซอร์นะเว้ย??” นาวินสบถออกมา

    “พวกมันไม่ได้ใส่เกราะด้วยนะพี่ ผมว่าไอ้พวกนี้ต้องเป็นมนุษย์ดัดแปลงแน่ๆค่ะ!!” อัญชันพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นคงต้องยิงทำลายเนื้อเยื่อของมัน ยิงเข้าที่ขามัน ให้มันลุกไม่ได้!!” อากิระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ยิงใส่ขาของมันคนหนึ่งจนขาขาดไปทั้งท่อน แต่ดูเหมือนว่ามันก็พยายามจะลากตัวเองต่อ อากิระเลยยิงขามันเข้าอีกข้างไป แต่มันก็ยังคลานเข้ามาหาพวกเขาได้

    “โห พวกนี้มันเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย??” เวียนถามไป และในตอนนั้นเธอก็ใช้พลังจิตยกมันตัวหนึ่งขึ้นมาแล้วเหวี่ยงออกไป มนุษย์แปลงพวกนั้นพยายามจะบุกเข้าชาร์จใส่พวกของนาวินราวกับว่าพวกมันไม่กลัวตาย ในที่สุด นาวินก็พูดขึ้น

    “พวกเรา ลุยมันเลย!!” 

    นาวินตะโกนออกมา จากนั้นก็ชักปืนออกมาแล้วยิงสู้กับพวกมัน แล้วก็ใช้หมัดจักรกลของพวกเขาต่อยหน้ามันไปหนึ่งทีจนมันกระเด็นออกไป ส่วนตัวของเสี่ยวหลงก็เอากระบองสองท่อนที่ดันเต้ให้มาฟาดเข้าใส่มนุษย์พวกนั้นจนกระเด็น

    “ว้าว เจ๋งดีเหมือนกันแหะ!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้นพลางมองกระบองสองท่อนของเขาอย่างตื่นเต้น

    “เฮ้ อย่ามัวแต่ตะลึงสิพวก!!” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ใช้เครื่องพ่นไฟใส่มนุษย์แปลงพวกนั้น แต่พวกมันก็ยังขยับได้แม้ว่าจะโดนเผาทั้งตัว จนกระทั่งมันค่อยๆมอดไหม้จนเหลือแต่ขี้เถ้า

    “ไอ้พวกนี้มันอะไรกันวะเนี่ย??” นายลุ้นถามไป และในตอนนั้น ตัวของเขาก็จั่วไพ่ขึ้นมา แต่ในคราวนี้เขาลองใช้ไพ่ที่ได้มาใหม่ไปด้วย

     

    “เฮ้อ ไอ้วูฟ มึงเจอกูแน่!!” โจไซอาห์ที่เจอวูฟกำลังเล่นงานโดรนของดันเต้จึงแปลงร่างแล้วเข้าไปปะทะกับวูฟอย่างรวดเร็ว ส่วนอินเนสซ่าเองก็แปลงร่างเป็นพญานาคเพื่อพ่นไฟใส่พวกมนุษย์แปลงต่อ

    “เอานี่ไปกิน!!” ลาลินโยนระเบิดควันของเธอใส่พวกมนุษย์แปลงพวกนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่สะทกสะท้านอะไรมากนัก

    “โห ไอ้พวกนี้มันทนทายาทจริงๆเว้ย!!” ลันโทสพูดขึ้นจากนั้นก็พยายามยิงเข้าที่ขาเพื่อสกัดมันไว้ และในขณะเดียวกัน ซีโร่เองก็ปาระเบิดใส่พวกมันจนกระเด็น

    “ตู้ม!!”

    “พวกมันมากันเยอะเลยครับ พวกเราไม่ไหวแน่ครับ!!” ซีโร่พูดขึ้น

    “เราต้องเผาพวกมัน ทำลายเนื้อเยื่อของพวกมันให้มากที่สุด!!” พัตติยาตะโกนออกมา    

    “เออ ไม่บอกก็รู้ครับผม!!” โลร็องต์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งไปตลบหลังพวกมัน จากนั้นก็ยิงขาพวกมันจากทางด้านหลัง ทำเอาพวกมันถึงกับล้มลงไป

    “ระวังด้วย พวกมันคงไม่มีอยู่แค่นี้แน่!!” ลูโดวิกพูดขึ้นจากนั้นก็รีบวิ่งไปช่วยโลร็องต์ และไม่นานนัก กลุ่มคนขับรถของเบ็ตตี้ก็รีบขับรถบึ้งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อหนีออกจากพื้นที่เพื่อเอาอาวุธหนีไป

    “เฮ้ย มันจะเอาอาวุธหนีไปแล้ว!!” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นก็ยิงล้อรถบรรทุกคันหนึ่ง จนรถค่อยๆเสียหลัก นาวินเห็นดังนั้นจึงยิงสกัดคริสเตียลและพรรคพวกอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ผมได้ยินพวกตำรวจมันวอติดต่อกันแล้ว มันบอกจมาที่นี่ครับ!!” ภาภินถามนาวินทางวิทยุ

    “เออ กำลังยุ่งอยู่เลย ดักฟังข่าวไปก่อน” นาวินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันมนุษย์ดัดแปลงตัวหนึ่งจะยิงนาวินจากทางด้านหลัง แต่ดันเต้ก็ใช้น้ำแข็งแช่เข็งมันไปก่อน ทำเอามนุษย์ดัดแปลงนั่นขยับอะไรไม่ได้เลย 

    “ระวังหน่อยสิพ่อหนุ่ม” ดันเต้บอกกับนาวิน จากนั้นตัวของนาวินก็ลุยกับมนุษย์แปลงพวกนั้นต่อ นาวินพยายามยิงกดให้พวกของคริสเตียลถอย คริสเตียลเห็นว่ารถขนอาวุธหนีไปได้แล้ว ตัวของเขาจึงสั่งคนอื่นๆในทันที

    “พวกเรา ถอยก่อน!!”

    คริสเตียลออกคำสั่งกับทุกคนไป และไม่นานนัก โดรนของหน่วย UNASO ก็บินมารับพวกเขาอย่างรวดเร็ว คริสเตียลเร่งให้หน่วยของเขาถอนกำลัง จากนั้นไม่นานพวกเขาก็หนีออกจากพื้นที่กันหมด กลุ่มผู้เกิดใหม่คราวนี้ได้รับชัยชนะและเฮกันยกใหญ่ 

    “เยี่ยม พวกเราชนะกันแล้วสินะ” นาวินพูดขึ้น และไม่นานนัก เบ็ตตี้ที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงก็รีบมาหากลุ่มของนาวินในทันที ส่วนกลุ่มของนาวินก็ไปหาเบ็ตตี้ด้วย

    “ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยเหลือพวกเรา!!” เบ็ตตี้พูดกับนาวิน

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” นาวินตอบไป แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็ตะโกนอะไรบางอย่างออกมา

    “ไอ้คนทรยศ!!”

    ชายคนหนึ่งตะโกนและชี้หน้าอากิระ ซึ่งชายคนนั้นเป็นคนที่อากิระเคยเจอที่ตึกร้างนั้น

    “เฮ้ย นี่แก ไอ้คนที่ชนอากิระนี่หน่า” ฮารุพูดขึ้น

    “แกแอบติดต่อกับไอ้บ้านี่ ใช่เปล่า??” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็เอารูปที่ตัวของอากิระคุยกับโซนิคให้กับทุกคนได้ดู ตัวของเบ็ตตี้ได้เห็นก็ถึงกับอึ้ง

    “ยังมีนี่อีก แกใช่หรือเปล่าที่ฆ่าคุณโรเบิร์ตตาย??” ชายคนนั้นถามต่อ แล้วก็เอาวีดีโอจากกล้องวงจรปิดให้ทุกคนได้ดู และปรากฎภาพของชายคนหนึ่งซึ่งบุกเข้ามายิงชายผิวขาวจนตายคาเก้าอี้ทำงาน และชายคนนั้นยังมองกล้องวงจรปิดอีก ทุกคนเห็นหน้าได้ชัดว่าเป็นอากิระ

    “มันไม่จริงใช่หรือเปล่าคะ??” เบ็ตตี้ถามไป แต่ในตอนนั้นอากิระก็ไม่มีท่าทีอะไร เหมือนกับว่าเขายอมรับสภาพในตอนนั้น

    “ผมบอกแล้ว ไอ้พวกนี้มันไว้ใจไม่ได้ตั้งแรกแล้ว ฆ่ามันเลยดีกว่าครับ!!” 

    “นี่ แต่เขาช่วยชีวิตพวกเรานะ ถ้าไม่ได้พวกเขาช่วย อาวุธของพวกเราคงโดนยึดไปหมดแล้ว!!” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “คุณเบ็ตตี้ แบบนี้พวกเราไม่ยอมจริงๆนะครับ” คนในกลุ่มของเบ็ตตี้พูดขึ้น

    “เฮ้พวก แค่ไปคุยไม่ได้หมายความว่าจะร่วมมือซักหน่อยนี่หว่า แล้วเรื่องวีดีโอ อาจจะมีเงื่อนงำแน่ๆ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ใช่ พี่อากิระไม่มีทางทรยศแน่นอน พวกคุณอย่ามาพูดส่งเดชนะ!!” ลาลินพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง โลร็องต์ก็สังเกตเห็นรอยรถบรรทุกที่ขับลงข้างทาง โลร็องต์เลยสะกิดลูโดวิกในทันที

    “พี่ๆ มากับผมหน่อย ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย” โลร็องต์พูดขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งไปในทันที ส่วนลูโดวิกก็วิ่งตามเขาไปติดๆ 

    “ก็ได้ ฉันยอมรับว่าไปคุยกับโซนิคเอง!!” อากิระพูดขึ้น 

    “ไอ้ระยำเอ้ย แกก็คงฆ่าคุณโรเบิร์ตด้วยสินะ มึงอย่าอยู่เลย!!”และในตอนนั้นเขาจะเอาปืนยิงอากิระ แต่เสี่ยวหลงก็จับแขนมันแล้วหักลงไปก่อน

    “เร็วไปม้าง อย่าดีกว่าน่า!!” เสี่ยวหลงพูดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆก็เล็งปืนใส่เสี่ยวหลง ส่วนพวกของนาวินเองก็เล็งปืนใส่พวกมันกลับไป

    “เดี๋ยว วางอาวุธลงเถอะ อย่าให้มันร้ายแรงกว่านี้เลย!!” เบ็ตตี้ตะโกนบอกทุกคนไป

    “ได้ แต่คุณต้องทำอะไรซักอย่างกับพวกมัน ไม่อย่างงั้นพวกเราไม่ยอมจริงๆด้วย” ลูกน้องของเบ็ตตี้คนหนึ่งพูดขึ้น แต่อากิระก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรต่อ จากนั้นตัวของอากิระก็เดินหันหลังกลับไปโดยไม่พูดจาอะไรกับใครเลย

    “เดี๋ยว อากิระ รอก่อนสิ!!” อัญชันตะโกนไล่หลังอากิระไป

    “ผมเสนอว่าอย่าร่วมงานกับพวกมันอีก โอเคนะครับคุณเบ็ตตี้!!” ชายคนเดิมพูดกับเบ็ตตี้ แต่ไม่นานนัก โลร็องต์และลูโดวิกก็กลับมาพร้อมกับห่ออะไรบางอย่างสีขาว แล้วเดินมาหาเบ็ตตี้ในทันที

    “พวกแกบอกไม่อยากร่วมงานกับเราใช่หรือเปล่า เราก็ไม่อยากทำงานกับแกเหมือนกันวะ เราเจอไอ้นี่อยู่ในรถบรรทุกของคุณ ใต้กล่องเก็บอาวุธเลย!!” ลูโดวิกพูดขึ้นพลางปาสิ่งของนั่นลงพื้น เบ็ตตี้หยิบของนั้นขึ้นมาดูในทันที

    “นี่มันผงขาวนี่!!” เบ็ตตี้พูดขึ้น ทำเอาชายคนที่ใส่ร้ายอากิระถึงกับหน้าเจื่อนไปในทันที

    “อืม ดูเหมือนว่าพวกคุณจะมีปัญหาเรื่องการปกครองแล้ว ผมขอตัวนะครับ” นาวินรีบวิ่งตามอากิระไปในทันทีเพื่อไปดูเขา

    “นั่นไง ทุกอย่างเข้าเค้า ที่แกใส่ร้ายอากิระ เพราะอากิระรู้ว่าแกค้ายาเสพติดนี่ใช่หรือเปล่าหล่ะ??” พัตติยาตะโกนถามไป

    “ใช่ อากิระก็สงสัยอยู่ว่าพวกคุณจะทำอะไรแบบนี้ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นจริง” เวียนพูดขึ้น ทำเอาเบ็ตตี้ถึงกับหันขวับไปทางลูกน้องของเธอ

    “นายหญิง ผมอธิบายได้ พวกมันอาจจะเอามาใส่ร้ายผมก็ได้!!”

    “อธิบายอะไรวะ ในรถยังมีของแบบนี้อีกเพียบเลย อยากไปดูมั้ยหล่ะ??” โลร็องต์ตะโกนถามไป

    “แบบนี้มันผิดข้อตกลงของเรานี่คะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “เราต้องการเงินสนับสนุน ไม่ว่าจะทางไหน ผมไม่เห็นว่าเราจะผิดตรงไหนเลยที่ทำแบบนี้” หัวหน้ากลุ่มผู้เกิดใหม่คนหนึ่งพูดขึ้น

    “อ้อ สรุปที่พวกแกสู้มาทั้งหมดก็เพื่อเงินใช่หรือเปล่า ห่ะ??” โจไซอาห์ถามไป

    “เฮ้อ พวกโลภมากก็อยากได้เงินเป็นธรรมดานี่” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “คุณอินเนสซ่า คุณจะปล่อยให้คนนอกมาทำลายขบวนของเราอย่างงั้นเหรอ??” หัวหน้ากลุ่มผู้เกิดใหม่อีกคนถามไป

    “ถ้าคุณจะเอาแบบนั้นก็ได้ งั้นต่อจากนี้ก็ถือว่าพวกผมไม่เกี่ยวอะไรด้วยก็แล้วกันนะครับ” ดันเต้พูดขึ้น 

    “ฉันรับไม่ได้เลยที่เกิดอะไรขึ้นแบบนี้ เอาเป็นว่า ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ฉันขอถอนตัวจากเกมนี้ก็แล้วกัน” เบ็ตตี้พูดขึ้น 

    “ก็ได้ คุณอยากจะถอนตัวก็ได้ พวกเราสู้กันเองได้อยู่แล้ว!!” ชายคนที่ใส่ร้ายอากิระพูดขึ้น เสี่ยวหลงโกรธมากจึงปากระบองสองท่อนใส่เข้าที่กลางหลังของมันจนมันกระเด็น

    “ตุ๊บ!!”

    “เฮ้อ สมน้ำหน้า!!” ซีโร่พูดขึ้น และในตอนนั้นทั้งสองฝ่ายก็เกือบจะปะทะกันอีกรอบ แต่คราวนี้ดันเต้และเบ็ตตี้ต่างห้ามคนของพวกเขาแต่ละฝ่ายกันอย่างชุลมุน 

    “คุณเบ็ตตี้ ผมเคารพคุณนะครับ แต่ครั้งนี้มันเกินไป” ลันโทสพูดขึ้น

    “เฮ้อ ฉันขอโทษที่ต้องให้พวกคุณมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ยังไงก็เชิญกลับกันก่อนเถอะค่ะ ทางนี้ฉันจะจัดการเอง ฉันขอโทษด้วย” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นไม่นานทุกคนก็วิ่งออกจากพื้นที่และตามอากิระไปอย่างรวดเร็ว

    “เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยค่ะ ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมเดี๋ยวนี้” เบ็ตตี้บอกกับกลุ่มผู้เกิดใหม่ที่ยังอยู่ตรงนั้นไป

     

    อากิระเดินหัวเสียออกมาจากพื้นที่โดยที่อัญชันถามมาด้วย อัญชันพยายามจะไปแตะตัวอากิระ แต่อากิระก็สะบัดเธอออก

    “ปล่อยฉันน่า!!” อากิระพูดขึ้นแล้วหันหลังเดินต่อ แต่ในคราวนี้ มือของใครคนหนึ่งแตะที่ไหล่อากิระ อากิระหันไปต่อยด้วยความรำคาญ

    “หมับ!!”

    “พี่วิน!!”

    “เฮ้ย ไม่เป็นไร อย่าอารมณ์เสียสิ ทุกคนเข้าใจนายนะเว้ย” นาวินพูดขึ้น

    “พี่พูดจริงเหรอ??” อากิระถามไป

    “ใช่สิ นายก็เหมือนน้องชายฉัน” นาวินพูดขึ้น ทำเอาอากิระกอดกับนาวินในทันที นาวินแตะไหล่อากิระไปอีกหนึ่งที แต่ในตอนนั้น ตัวของอากิระก็ผละตัวออกจากนาวิน

    “ผมขอตัวนะพี่ ไว้ผมจะมาเจอกับพี่นะครับ ผมสัญญา” อากิระพูดขึ้น จากนั้นก็เดินจากนาวินไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก คนอื่นๆก็กลับมารวมตัวกับนาวิน แต่ในตอนนั้น ตัวของเสี่ยวหลงก็เห็นว่าอากิระไม่อยู่กับนาวิน ทำเอาเสี่ยวหลงถึงกับถามนาวินไป

    “พี่วินครับ อากิระไปไหน??” เสี่ยวหลงถาม แต่ดูเหมือนว่านาวินจะไม่รู้อะไรเลย

    “ได้ ถ้าอย่างงั้นผมจะไปตามหาอากิระเอง” เสี่ยวหลงพูดขึ้น 

    “เสี่ยวหลง รอด้วย!!” อัญชันพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นพัตติยาก็ห้ามอัญชันเอาไว้ก่อน

    “นี่ เดี๋ยวอากิระก็คงจะกลับมา ไม่ต้องห่วงหรอกนะ” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ตัวของนาวินเองก็รีบไปคุยกับดันเต้อย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อสรุป

    “เป็นยังไงบ้างครับด็อกเตอร์??” นาวินถามไป

    “อืม เรากลับฐานของเราก่อนเถอะครับ วันนี้พวกเราเหนื่อยมามากพอแล้ว” ดันเต้พูดขึ้น

    “ได้ครับ ถ้าอย่างงั้นเราไปกันเลยครับ” นาวินพูดขึ้น

    ======================================================================

    อากิระกำลังคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ และเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    https://writer.dek-d.com/shinobinon/writer/view.php?id=2293773 นิยายใหม่ผมเน้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×