คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 16 : สมบัติที่สาบสูญ
ดันเต้ได้รับการติดต่อจากเบ็ตตี้เพื่อขอความช่วยเหลือ เบ็ตตี้ต้องการให้กำลังของดันเต้ไปช่วยเหลืองานของเธอเล็กน้อย ดันเต้ได้แจกแจงงานให้กับทุกคนได้รู้ จากนั้นพวกเขาก็เตรียมอาวุธและอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว และเตรียมตัวออกเดินทางไปสมทบกับกลุ่มของเบ็ตตี้
“เอาหล่ะ งานนี้คงต้องระวังหน่อย เพราะคุณเบ็ตตี้บอกมาว่า พวกมันเตรียมส่งหน่วยรบนอกรูปแบบมาจู่โจมเรา” ดันเต้พูดขึ้น
“สุดท้ายมันก็เอาพวกมือปืนตามซุ้มมาจัดการนั่นแหละ” เวียนพูดขึ้น
“ความจริงฉันน่าจะได้ไปกับนายด้วยนะ อากิระ” เสี่ยวหลงพูดไป
“นายอยู่ที่นี่หล่ะ ต้องมีคนที่ไว้ใจได้อยู่ที่นี่ด้วย แล้วอีกอย่าง ที่นี่ก็เข้าถึงได้ยากแล้ว พวกมันคงบุกมาไม่ได้แล้วหล่ะ” อากิระตอบไป
“ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปโจมตีพวกมันที่ไหนกันนะ” ฮารุพูดในขณะที่กำลังลับดาบของเธอ
“เอาเถอะ อยากจะรู้จริงๆว่าพวกเราต้องไปทำอะไรกันเนี่ย” โจไซอาห์ถามไป
“เอาน่า เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองนั่นหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง นายลุ้นก็หยิบเอาไพ่ใบหนึ่งจากสำรับของเขาออกมา
“PEOTECT!!”
“อืม คุ้มกันอย่างงั้นเหรอ คุ้มกันอะไรวะ??” นายลุ้นถามพลางเกาหัว
“หรือว่า จะเป็นตัวประกันอะไรหรือเปล่า??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“เรื่องงานคุ้มกัน ฉันว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก” ลูโดวิกพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง อีสครินน่าและคนอื่นๆก็ตามมาดูพวกเขาอย่างรวดเร็วว่าไปถึงไหนกันแล้ว
“อ้าว ทุกคน เป็นยังไงกันบ้างหล่ะ??” อีสครินน่าถามไป
“ตอนนี้พวกเราพร้อมออกเดินทางกันแล้วหล่ะครับ” ลันโทสพูดขึ้น
“อืม พวกคุณพอรับมือได้หรือเปล่าคะ คุณอีสครินน่าจะส่งคุณลูอีสไปช่วย” พัตติยาพูดขึ้น
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ เราต้องการให้คนเฝ้าที่นี่ไว้ด้วยครับ” นาวินพูดขึ้น
“งานนี้พวกคุณจะต้องไปทำอะไรเหรอครับ??” ลูอีสถามไป
“ก็คงงานลุยๆแบบทั่วไปหล่ะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“อืม หนูใส่ชุดเกราะแล้วดูยังไงก้ไม่รู้สินะคะ” ลาลินพูดขึ้น
“ใส่เถอะนะ มันอาจจะช่วยเธอไว้ได้ก็ได้” นายลืมพูดไป
“พวกคุณไปครั้งนี้ต้องระวังตัวด้วยนะคะ” อัญชันบอกกับทุกคนไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็วิ่งมาบอกอะไรบางอย่างกับทุกคนอย่างรวดเร็ว
“เมื่อกี้ผมลองดักฟังวิทยุตำรวจ ดูเหมือนว่าพวกมันจะวอบอกกันให้ไปที่นัดพบที่พวกพี่จะไปด้วยนะครับ” ภาภินพูดไป
“ดูเหมือนว่าคุณเบ็ตตี้จะเดาเหตุการณ์ถูกจริงๆด้วย ด็อกเตอร์ครับ ยังไงผมฝากคนที่อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ” นาวินพูดกับดันเต้ไป และไม่นานนัก พวกเขาก็รีบขึ้นไปบนดิน และไปขึ้นยานที่ดันเต้เตรียมไว้ด้านนอกในทันที
“เราพร้อมออกบินแล้วครับด็อกเตอร์!!” ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้น
“อืม ระวังพวกมันตรวจจับสัญญาณเราด้วยหล่ะ รีบออกเดินทางกันเลยดีกว่า” ดันเต้พูดขึ้น และไม่นานนัก พวกเขาก็พากันขึ้นยานของดันเต้ในทันที
“ออกยานได้!!”
ยานของพวกเขาค่อยๆบินออกจากลานบินไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกลุ่มของดันเต้ก็รีบกลับลงไปด้านล่างเพื่อหลบหนีจากการแกะรอยของศัตรู
ยานบินของนาวินเดินทางมาเรื่อยๆ ตามน่านฟ้าซึ่งค่อนข้างปลอดโปร่ง และไม่นานนัก พวกเขาก็ขับยานมาถึงตึกร้างแห่งหนึ่งในชานเมืองกรุงเทพ ซึ่งด้านล่างที่พวกเขาเห็นนั้นกำลังมีขบวนรถขบวนหนึ่งค่อยๆแล่นเข้ามายังตึกร้าง ทำเอาพวกเขาถึงกับเตือนภัยกันในทันที
“พวกมันเป็นใครกันนะ รีบไปจอดที่ตึกร้างก่อนเร็ว!!” นาวินพูดขึ้น แต่ไม่ทันไรที่พวกเขาจะได้ลงจอด จู่ๆก็มีเสียงปืนยิงปะทะกันจากด้านล่าง นาวินรีบสอดส่องสถานการณ์ จากนั้นก็พูดขึ้น
“เราต้องยิงช่วยพวกนั้น สกัดพวกที่จะบุกเข้ามาในตึกเอาไว้!!” นาวินพูดขึ้น และไม่นานนัก ยานบินของเขาก็ช่วยยิงคุ้มกันจากบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
“ปังๆๆๆๆๆ!!”
“ลงจอดเลย เราต้องไปช่วยพวกเขา!!” นาวินพูดขึ้น และเป็นโจไซอาห์และอินเนสซ่าที่กระโดดออกจากยานและแปลงร่างเพื่อเข้าโจมตีในทันที
“ลุยมันเลย!!”
นาวินตะโกนออกมาหลังจากที่ยานของพวกเขาร่อนลงพื้น พวกเขาบุกเข้าไปเข้าที่กำบังและยิงตอบโต้กับกองกำลังที่ค่อยๆบุกเข้ามาในตึก นาวินไล่ยิงสกัดพวกมันอย่างดุเดือดพร้อมกับอากิระ ส่วนเวียนก็ใช้พลังจิตของเธอควบคุมพวกมันให้ไปจัดการพวกเดียวกันเอง ฮารุใช้ลูกไฟยิงใส่พวกมันอย่างดุเดือด นายลุ้นใช้ไพ่ของเขาเพื่อเล่นงานปืนของพวกมัน โลร็องต์และลูโดวิกคอยเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน ลาลินคอยปาระเบิดควันที่เธอพกมาใส่พวกมัน ลันโทสและซีโร่ช่วยกันนำกำลังกระหนาบข้างของพวกมันแล้วดันพวกมันกลับ และด้วยความสามารถที่เหนือกว่าของพวกเขา พวกมันก็ถูกกำจัดกันจนหมด จนเมื่อเสียงปืนเงียบลง นาวินก็สั่งให้หยุดยิงในทันที
“หยุดยิง มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า??”
นาวินตะโกนถามไป แต่ไม่มีใครตอบอะไรกลับ พวกเขาเลยมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน กองกำลังที่อยู่ในตึกก็ออกมาดูสถานการณ์ในทันที และเกือบจะปะทะกันแล้ว แต่ไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกของนาวินในทันทีเพื่อพูดคุยด้วย
“อ้าว สวัสดีทุกคน เป็นยังไงกันบ้าง??”
“คุณเบ็ตตี้ คุณมาอยู่ที่นี่เหรอครับเนี่ย??” นาวินถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วหล่ะ ยังไงก็เชิญพวกคุณเข้ามาด้านในก่อนสิ” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบพาพวกของนาวินไปในทันที อากิระในตอนนั้นเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งอยู่ในตึก ชายคนนั้นรีบหลบหน้าอากิระอย่างรวดเร็วเมื่อได้เห็นเขา
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ??” นาวินถามอากิระไป แต่ในตอนนั้นอากิระก็ยังทำหน้าเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานนัก เบ็ตตี้ก็พาพวกเขามาถึงห้องๆหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเป็นห้องรับรองแขก ซึ่งรายล้อมไปด้วยกองกำลังติดอาวุธมากมายยืนคุมอยู่
“คุณเบ็ตตี้ คุณเรียกพวกเรามามีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามเบ็ตตี้ไป
“ฉันมีแขกอยากจะให้พวกนายได้เจอหน่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น และในตอนนั้นชาย ลูกน้องของเบ็ตตี้ก็พาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา
“เฮ้ย นี่คุณสาโรจน์ใช่หรือเปล่าครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย
“อ้อ ใช่ครับ พวกคุณเป็นใครครับเนี่ย??”
“คุณเบ็ตตี้ คุณพานักการเมืองระดับนี้มาได้ยังไงคะเนี่ย??” เวียนถามอย่างสงสัย
“คนของฉันได้รับการติดต่อมา บอกว่าตัวของเขาถูกลักพาตัว ดีที่พวกเราช่วยมาได้ซะก่อน แล้วตอนนี้พวกรัฐมันกำลังมาชิงตัวเขาไปเพื่อต่อรองหน่ะค่ะ” เบ็ตตี้พูดไป
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมพวกนั้นถึงต้องลักพาตัวคุณด้วยหล่ะ??” อากิระถามอย่างสงสัย
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง??” สาโรจน์พูดขึ้น
“ก็คงจะเป็นเรื่องเดิมๆหล่ะ กำจัดนักการเมืองที่กำลังมีชื่อเสียงไง” ฮารุพูดไป
“เอาเถอะ แล้วแบบนี้เราต้องทำยังไงกันหล่ะครับ??” โจไซอาห์ถามไป
“ถ้าให้ฉันเดานะคะ คงต้องคุ้มกันตัวเขา จนกว่าจะติดต่อประธานฝ่ายค้านได้” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ถูกต้องแล้วหล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นเราถึงอยากให้พวกคุณช่วย” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“นี่จะให้เราไปส่งเขาที่บ้านอย่างงั้นเหรอครับ??” ลันโทสถามไป
“มันคงไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก เราต้องคุ้มกันเขา เพราะตราบใดที่เขายังไม่ปลอดภัย ก็คงจะมีคนมาชิงตัวเขาอยู่เรื่อยๆหน่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“ถ้าไม่อย่างงั้น เราก็พาเขาไปกบดานอยู่ที่ซ่อนของคุณดันเต้ก็ได้นี่ครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“เป็นความคิดที่ดีนะ อย่างน้อยเขาก็น่าจะปลอดภัย” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“เออ ขอโทษนะครับ พวกคุณช่วยให้ผมติดต่อกับครอบครัวผมได้หรือเปล่าครับ??” สาโรจน์ถามอย่างสงสัย
“ผมว่า รอไปถึงที่บ้านเราก่อนดีกว่านะครับ แล้วทางเราจะจัดการให้” นายลุ้นพูดขึ้น
“อืม แล้วพวกคุณจะไปที่ไหนอย่างงั้นเหรอคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้พวกเราคงต้องหนีไปที่อื่นแล้วหล่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“อ้อ ถ้าเรื่องนั้นเราจะจัดการเองครับ ภาภิน ตอนนี้มีใครกำลังจะมาที่นี่ต่อหรือเปล่า??” นาวินวอถามภาภินไป
“อืม จากที่ดักฟังพวกมัน น่าจะอีก 30 นาทีครับ”
“ผมว่าเราควรจะรีบไปจากที่นี่ดีกว่า ภาภิน เรียกโดรนมาเลย” นาวินแจ้งไป
“ผมว่าเราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วหล่ะครับ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“นั่นสินะ เอาไว้มีโอกาส ค่อยเจอกันใหม่นะคะ พวกเราไป!!” เบ็ตตี้ตะโกนบอกกับคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกของนาวินก็รีบไปขึ้นโดรนที่กำลังมารับพวกเขา
“โดรนหายไปไหนหล่ะเนี่ย??” โลร็องต์ตะโกนถามไป และไม่นานนัก โดรนโดยสารของนาวินก็บินมารับพวกเขาอย่างรวดเร็ว สาโรจน์ได้เห็นโดรนลำนั้นก็ร่อนลงมารับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณสาโรจน์ครับ เชิญครับ!!” นาวินบอกกับสาโรจน์ไป
“นี่มันอะไรกันเนี่ย ยานแบบนี้??” สาโรจน์ถามไป
“ไม่มีเวลาถามแล้วครับ เชิญทางนี้ก่อนครับผม แล้วผมจะอธิบายให้คุณฟัง!!” นาวินบอกกับสาโรจน์ไป และพวกเขาก็รีบพากันขึ้นโดรนอย่างรวดเร็ว
“ออกตัวได้!!”
โดรนของนาวินบินออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่กลุ่มของเบ็ตตี้ก็รีบพากันทำลายหลักฐานทั้งหมดที่อยู่ในตึกนั้น รวมถึงได้วางระเบิดตึกที่พวกเขาอยู่กันด้วย หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนของเบ็ตตี้ก็รีบมารายงานสถานการณ์กับเธอในทันที
“เรียบร้อยแล้วครับคุณเบ็ตตี้ รถพร้อมแล้วครับ!!”
“อืม จัดการทำลายหลักฐานทุกอย่างได้เลย” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบไปขึ้นรถอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหนี ก่อนที่กองกำลังอีกชุดหนึ่งจะตามมาจัดการ
ยานบินของนาวินค่อยๆบินไปเรื่อยๆ เพื่อกลับไปยังฐานที่มั่นของพวกเขา ในขณะที่สส.สาโรจน์เองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น รวมถึงยังไม่รู้ว่าพวกของนาวินเป็นใคร
“นี่ พวกคุณเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีของแบบนี้กันได้??” สาโรจน์ถามอย่างสงสัย
“เรื่องมันยาวหน่ะครับ เอาไว้ถ้ามีโอกาส เราจะบอกก็แล้วกันนะครับ” นาวินตอบไป
“คนที่ช่วยผม พวกนั้นบอกว่า พวกเขาเคยตายกันไปแล้ว แต่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” สาโรจน์พูดขึ้น
“ก็ใช่หน่ะสิ คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ พวกเราหน่ะมันตายไปแล้ว เรียกกันว่าผู้เกิดใหม่หน่ะ” เวียนพูดไป
“ห่ะ นี่แสดงว่าที่รัฐบาลพูดจริงเกี่ยวกับพวกคุณอย่างงั้นเหรอ แล้วเรื่องที่พวกคุณก่อการร้ายก็เรื่องจริงหน่ะสิ” สาโรจน์พูดอย่างตื่นเต้น
“พวกเราไม่ได้ก่อการร้ายซะหน่อยนะเว้ย รัฐบาลตีตราพวกเราเองนี่หว่า!!” อากิระตะโกนออกมา
“ใจเย็นน่าพี่ เขาคงยังไม่รู้หน่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น
“คุณจะเชื่อหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่คุณเลยค่ะ พวกเราส่วนใหญ่แค่อยากหลบหนีจากชีวิตบัดซบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้” ฮารุพูดขึ้น
“ผมเสียใจด้วยนะ แล้วพวกคุณมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันหล่ะ??” สาโรจน์ถามไป
“ก็อย่างที่บอก เรื่องมันยาว ไว้เราจะเล่าให้คุณฟังทีหลังก็แล้วกัน” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ก่อนอื่นเราคงต้องคุ้มกันคุณจนกว่าจะปลอดภัยหน่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ผมอยากติดต่อกับครอบครัวของผม พวกคุณพอช่วยผมได้หรือเปล่า??” สาโรจน์ถามอย่างสงสัย
“เรื่องนั้นพวกเราจะช่วยจัดการเองครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ลันโทสพูดขึ้น
“แล้วนี่พวกนั่นกำลังทำอะไรอยู่กันนะ??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“ได้ยินว่าคุณอีสครินน่ากำลังแกะรอยหทัยราชันย์อะไรบางอย่างจากคัมภีร์ของเธอเพิ่มเติม ร่วมกับคุณดันเต้หน่ะ” ลูโดวิกตอบไป
“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะอยู่กันเป็นองค์กรเลยนะครับ” สาโรจน์พูดขึ้น
“ก็ประมาณนั่นหล่ะค่ะ ถ้าพวกเราอยากอยู่รอด” ลาลินพูดขึ้น
“โห นี่มีเด็กผู้หญิงด้วยเหรอเนี่ย??” สาโรจน์มองเห็นลาลินพลางเกาหัวไปด้วย
“กลุ่มของเราก็จะประมาณนี้หล่ะครับ” ซีโร่ตอบไป
“ภาภิน บอกคุณดันเต้ให้เตรียมห้องพักไว้ด้วย เรามีแขกจะไปพักที่นั่นหน่ะ” นาวินพุดขึ้น
“ได้เลยพี่ ผมจะบอกด็อกเตอร์เขาให้ครับ”
“เอาหล่ะ คุณสาโรจน์ ผมจะช่วยคุ้มกันคุณจนกว่าจะติดต่อหัวหน้าพรรคของคุณได้ก็แล้วกัน แต่คุณต้องบอกผมให้หมดว่าใครเป็นคนจับคุณมา” นาวินบอกกับสาโรจน์
“ได้สิ เอาไว้ไปถึงที่นั่นก่อนก็แล้วกัน” สาโรจน์ตอบกลับไป จากนั้นโดรนของพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อกลับไปยังฐานของดันเต้
และที่ฐานของดันเต้ ในตอนนั้นตัวของดันเต้และอีสครินน่าก็พยายามจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหทัยราชันย์ ในขณะที่คนอื่นๆก็พยายามช่วยดันเต้หาข้อมูลด้วยอย่างแข็งขัน ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูอีสก็เดินเข้ามาในห้องที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็ว และมารายงานอะไรบางอย่าง
“คุณอีสครินน่า คุณดันเต้ ภาภินเขาบอกกับผมว่า จะมีแขกมาพักที่นี่ ให้พวกเราจัดที่พักให้แขกของเขาด้วยครับ”
“แขกงั้นเหรอ ใครกันคะด็อกเตอร์??” อีสครินน่าถามอย่างสงสัย
“อืม ไปบอกหุ่นผู้ช่วยของผมให้จัดการก็แล้วกัน” ดันเต้บอกกับลูอีส ลูอีสรับคำสั่งและเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ พวกนั้นจะพาใครมาด้วยเหรอเนี่ย??” พัตติยาถามอย่างสงสัย
“หรือว่าจะเป็นคุณเบ็ตตี้กันหล่ะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย
“ไม่น่าใช่นะ คุณเบ็ตตี้ไม่น่าจะต้องมาอยู่กับเราหรอก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“อืม จะมีคนมาอยู่กับเรา อย่างน้อยก็หายเหงาสินะครับ” นายลืมพูดขึ้น
“นี่ ไม่เกี่ยวกับหายเหงาซะหน่อยนะนายเนี่ย” อัญชันตอบกลับไป
“อืม ว่าแต่ใครเหงาเหรอพี่ ผมไม่แน่ใจแล้ว??” นายลืมถามไป ทำเอาคนอื่นๆถึงกับปวดหัวอย่างหนัก
“เฮ้อ เขาก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปอะไรเลย” ดันเต้พูดขึ้น
“ฉันเข้าใจค่ะ ปูมหลังของเขาสมัยยังเป็นเทพฉันก็รู้ เมื่อก่อนเขาเคยช่วยเหลือมนุษย์หน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ว่าแต่ ทำไมพวกเขาถึงต้องช่วยมนุษย์หล่ะครับ ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย??” เสี่ยวหลงถามไป
“นั่นสิครับ ผมก็จำไม่ได้เลย??” นายลืมถามไป
“พวกเทพได้มารู้ในระหว่างสงคราม ว่าเสียงสวดอ้อนวอนของมนุษย์ช่วยเพิ่มพลังให้พวกเขาหน่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อ้อ เป็นอย่างงั้นสินะคะ มิน่าหล่ะ เทพเจ้าถึงต้องการเสียงอ้อนวอนของมนุษย์จริงๆ” พัตติยาพูดขึ้น
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็พอรู้ประวัติความเป็นมาของคนแบบพวกเธอนะ” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูอีสก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เพื่อมาคุยอะไรบางอย่าง
“คุณดันเต้ พวกเขาบอกว่าอีก 5 นาทีจะถึงแล้วครับ!!”
“อืม ถ้าอย่างงั้น พวกคุณไปรับเขาก่อนเลย เดี๋ยวเราสองคนจะขอทำงานต่อหน่อย” ดันเต้พูดขึ้น และในตตอนนั้นเสี่ยวหลงก็รีบพาคนอื่นๆขึ้นไปด้านบนดินอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขามาถึง ยานบินของนาวินก็ค่อยๆร่อนลงจอดอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก พวกเขาก็รีบลงมาจากยาน แล้วก็มารวมตัวกับคนอื่นๆในทันที
“เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน แต่เอ๊ะ นี่คุณพาใครมาด้วยเนี่ย??” พัตติยาถามอย่างสงสัย และในตอนนั้น อัญชันเห็นหน้าเขาก็พูดขึ้นในทันที
“คุณสาโรจน์ คุณเป็น สส. หรือเปล่าคะเนี่ย คุณเป็นขวัญใจของดิฉันเลยค่ะ!!” อัญชันพูดอย่างตื่นเต้น และในขณะเดียวกัน ตอนนายลืมจะขึ้นมาด้านบน นาวินเห็นนายลืมเลยเอาเข็มกลัดของดันเต้ไปติดไว้ที่ตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
“ติดนี่ไว้นะครับ มันจะช่วยคุณได้ อย่าถอดมันออกจากเสื้อคุณหล่ะ” นาวินพูดขึ้น
“เออ พวกคุณอยู่ที่นี่เหรอครับ ซากตึกเนี่ยเหรอ??” สาโรจน์ถามอย่างสงสัย
“อ้อ พวกเราอยู่กันใต้ดินหน่ะครับ ว่าแต่ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย??” เสี่ยวหลงถามอย่างสงสัย
“คุณเบ็ตตี้ต้องการให้เราช่วยคุ้มกันเขาหน่ะ เขาน่าจะถูกคนของฝ่ายรัฐบาลอุ้ม ตอนนี้เราต้องติดต่อกับหัวหน้าฝ่ายค้านเพื่อช่วยเขา” อากิระพูดขึ้น
“แล้วด็อกเตอร์ไม่ได้ขึ้นมาด้วยอย่างงั้นเหรอ??” เวียนถามอย่างสงสัย
“อ้อ พวกเขาสองคนกำลังทำงานกันอยู่หน่ะครับ” ลูอีสพูดไป
“ผมว่าเรารีบลงไปด้านล่างดีกว่าครับพี่ ผมร้อน” นายลืมพูดขึ้น
“โธ่ ไอ้น้องเอ้ย จะมาร้อนอะไรตอนนี้เนี่ย??” โลร็องต์พูดแบบปวดหัว
“เอาเถอะ ฉันว่าเรารีบลงไปด้านล่างกันดีกว่า” ลูโดวิกพูดเสริม จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลบซ่อนตัว
“ทำไมฝ่ายรัฐบาลถึงต้องอุ้มคุณหล่ะ??” ฮารุถามสาโรจน์ไป
“ผมไม่แน่ใจ แต่ผมกำลังสืบเรื่องเกี่ยวกับคนอย่างพวกคุณอยู่ ตอนแรกผมก็คิดว่าคนพวกนั้นจะปั้นเรื่องโกหก ไม่นึกเลยจะเป็นจริง” สาโรจน์พูดขึ้น
“ก็ประมาณนั้น แต่ตอนนี้มีองค์กรลับมาเล่นแทนรัฐบาลแล้ว อาจจะเป็นฝีมือของพวกนั้นก็ได้นะครับ” นายลุ้นพูดไป
“ไอ้พวก UNASO งั้นเหรอ จะว่าไป เพื่อนของผมกำลังตามเรื่องนี้อยู่ ข่าวล่าสุดได้ยินมาว่ามันมาทำงานนอกกฎหมายภายใต้คำสั่งของพวกสหประชาชาติหน่ะ” สาโรจน์พูดขึ้น
“แสดงว่าพวกมันคงต้องเอาจริงแล้ว ถึงกระทั่งทำได้ แม้แต่นักการเมืองในประเทศอื่น” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“เอาเถอะ แต่ถึงยังไงเราก็ต้องรู้ความจริงให้ได้” โจไซอาห์พูดขึ้น
“เออ จะว่าไป ตอนที่พวกมันจับผมมา ตอนนั้นผมแอบตื่นขึ้นมาเพื่อฟังคำพูดของพวกมัน พวกมันพูดภาษาอังกฤษกัน ซึ่งผมคิดว่าพวกนั้นไม่น่าใช่คนไทยแน่ๆ ไม่ก็ทำงานให้กับคนต่างชาติ” สาโรจน์พูดขึ้น
“อืม ตอนนี้เราก็ต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมสินะคะ” ลาลินพูดขึ้น
“นั่นสิ พูดปากเปล่าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” ลันโทสพูดขึ้น
“แต่ผมว่าระดับพวกมัน คงไม่มีการทิ้งร่องรอยไว้หรอกครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“แต่ถ้าเกิดผมไม่เปิดโปงเรื่องนี้ มันจะไม่เป็นการดีสิครับ” สาโรจน์พูดขึ้น
“ผมว่าคุณอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอนาคตเลย ตอนนี้ไปคุยกับด็อกเตอร์ก่อนดีกว่า” นาวินพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก นาวินก็รีบพาสาโรจน์ไปพบกับดันเต้ที่กำลังอยู่ในห้องค้นคว้าซึ่งในตอนนั้นดันเต้ก็รออยู่แล้ว
“ด็อกเตอร์ครับ เขาเป็นสส.ที่ต้องการความช่วยเหลือหน่ะครับ” นาวินพูดกับดันเต้
“อ้อ เบ็ตตี้บอกผมแล้วหล่ะ ผมชื่อดันเต้ มาเป็นคนสหรัฐ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเตรียมห้องไว้ให้คุณแล้วหล่ะ” ดันเต้บอกกับสาโรจน์ไป
“ขอบคุณครับด็อกเตอร์ ผมต้องการติดต่อครอบครัวผมครับ”
“เอาไว้ผมจะช่วยนะครับผม” ดันเต้พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ภาภินก็เดินเข้ามาหาคนอื่นๆในห้องอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น นาวินก็คุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“เออ ภาภิน พี่อยากให้เราช่วยสืบอะไรหน่อยได้หรือเปล่า??”
“ครับพี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ??” ภาภินถามไป
“พี่อยากให้เราช่วยสืบให้หน่อยว่าคุณสาโรจน์เขาถูกจับไปที่ไหน แล้วลองแกะรอยคนที่จับเขาไปหน่ะ” นาวินบอกกับภาภินไป
“อ้อ ถ้าอย่างงั้น เชิญพี่มาที่ห้องนี้หน่อย ผมมีอะไรจะถามพี่หน่อย” ภาภินบอกกับสาโรจน์ไป ในตอนนั้นสาโรจน์ไม่มีทางเลือกอะไรมาก เลยเดินตามภาภินไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าพวก UNASO มันจะสร้างศัตรูเพิ่มแล้วสินะ” นาวินบอกกับคนอื่นๆไป
กลับมายังโกดังฐานที่มั่นของ UNASO ในตอนนั้นตัวของคริสเตียลก็กำลังพักผ่อนในห้องของเขาในยามเช้า ในตอนนั้นตัวของเขาก็นึกถึงเรื่องที่ตัวของเขาประชุมกับฮาเวิร์ด และเจ้าหน้าที่ UNASO คนอื่นๆ ที่เป็นคนจากหน่วยงานภายใน พวกเขาคุยกันโดยที่ทำพยายามไม่ให้รู้มากนัก
“เอาหล่ะ ที่ผมเรียกพวกคุณมาคุยตอนนี้ เพราะว่าผมมีงานใหม่ให้พวกคุณ พวกคุณต้องจับตาดูโซนิคทุกระยะ ดูว่าเขากำลังทำอะไร และมีแผนอะไรต่อ รอจนกว่าจะถึงเวลา แล้วค่อยจัดการกับมัน ตอนนี้มีคนในทีมที่ผมไว้ใจแค่พวกคุณ มียูริ จ่าชัย และแสงจันทร์ที่ผมยกเว้น ที่เหลือ อย่าบอกให้ใครรู้เด็ดขาด ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่...”
คริสเตียลเอนหลังนอนบนเก้าอี้ของเขาอย่างสบายอารมณ์ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็ได้รับข้อความจากโทรศัพท์ เขารีบอ่านมันในทันที
“คุณคริสเตียล ฉันเอง The Green”
คริสเตียลเห็นดังนั้นจึงรีบตอบกลับไปในทันที
“ครับผม เป็นยังไงบ้างครับที่เมืองไทย??”
“ก็สบายดีค่ะ สบายมากเลย ฉันชอบอาหารที่นี่มาก”
“ดีใจนะครับคุณชอบ”
“ว่าแต่ เรื่องของ Project S เป็นยังไงบ้างคะ??”
“ตอนนี้เราพยายามจับตาดูเขาอยู่ครับ”
“อืม ดี ตอนนี้เขาเคลื่อนไหวอะไรหรือยังหล่ะ??”
“วันนี้เขากับลูกน้องคนสนิทไปข้างนอก ไม่บอกพวกเราว่าไปไหนครับ”
“อืม ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังระดมกกองกำลังเพื่อสังหารมันอยู่ แต่มันต้องใช้เวลาหน่อย”
“อ้อ ผมเข้าใจครับ”
“ยังไงเรื่องนี้ฉันก็ขอฝากคุณด้วยก็แล้วกัน”
“ได้ครับ ผมจะจัดการเองครับ”
“ดี งานนี้แพนตาก้อนต้องการจัดการเขาให้อยู่หมัดหน่ะ”
“รับทราบครับผม งานนี้มันไม่พ้นมือคุณแน่ครับ”
“ถ้าเกิดว่าเราพลาด พวกเราคงตายกันหมดแน่ เอาหล่ะ ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน” The Green พิมพ์ข้อความทิ้งท้ายเอาไว้ จากนั้นตัวของคริสเตียลก็วางโทรศัพท์ไว้แถวนั้นในทันที
และอีกด้านหนึ่งของห้อง กลุ่มของฮาเวิร์ดที่แยกย้ายกันไปพักผ่อน ในตอนนั้นพวกเขาก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมารับอากาศดีในเช้าวันใหม่ ในตอนนั้นฮาเวิร์ดก็ตื่นขึ้นมา ซึ่งเวอร์รีนก็ได้เอากาแฟมาให้กับเขา
“คุณฮาเวิร์ด กาแฟหน่อยสิคะ”
“อ้อ ขอบคุณมากครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“ที่คุณคริสเตียลคุยกับเราเมื่อคืน งานนี้น่าจะเสี่ยงอยู่นะคะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“อืม ผมเข้าใจ แต่ถึงยังไงก็ต้องเสี่ยง เพื่อโลกนี้หล่ะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“เฮ้อ หวังว่าคุณ The Green จะทำอะไรได้แล้วนะคะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“อืม ตอนนี้โซนิคมันกลับมาหรือยังหล่ะ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย
“ยังหรอกค่ะ ยังไม่มีวี่แววเลย” เวอร์รีนพูดขึ้น
“อืม ดี เอาไว้รอคุณคริสเตียลอัพเดทมาก่อนแล้วกัน ตอนนี้ผมขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนแล้วกัน” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินเข้าห้องน้ำไปในทันที
ที่ห้องของแสงจันทร์ ในตอนนั้นตัวของเขาตื่นมา ซึ่งรูกิได้นอนอยู่ข้างๆเขาด้วย ตัวของเขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวของรูกิมาหาเขาที่ห้อง
“เรื่องวันนี้ ผมขอบคุณมากนะครับ คุณรูกิ”
“ฉันว่าแค่ขอบคุณมันไม่พอหรอก” รูกิพูดขึ้น จากนั้นเธอก็จูบเขาไป จากนั้นก็ค่อยๆผลักตัวของเขานอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
“นี่ คุณทำอะไรเนี่ย??”
“ครั้งแรกสินะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะทำให้มันพิเศษเอง” รูกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ค่อยๆถอดเสื้อของแสงจันทร์ออกอย่างรวดเร็ว
“คุณรักผมอย่างงั้นสินะ??” แสงจันทร์พูดขึ้น
“ก็ใช่หน่ะสิ ฉันไม่ได้ตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว” จากนั้นตัวของเธอก็ค่อยๆนัวเนียกับแสงจันทร์อย่างดูดดื่ม และแสงจันทร์ก็ตอบรับเธอไปด้วย
“คุณรูกิครับ...”
“เรียกฉันว่ารูกิเฉยๆดีกว่านะ”
“ครับ รูกิ...”
แสงจันทร์นึกขึ้นได้ในตอนนั้นก็แอบยิ้มเล็กน้อย จากนั้นตัวของเขาก็รีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำต่อ
และที่ห้องขังของเพี้ยน ในตอนนั้นเพี้ยนกำลังนอนหลับอยู่ แต่ในตอนนั้น วูฟก็ใช้เท้ามาเคาะประตูหน้าห้องเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของเพี้ยนในทันที
“ไง ไอ้ติ๊งต๊อง มึงคิดว่ามึงจะรอดเหรอ??” วูฟตะโกนถามไป
“โธ่ไรท์ นี่จะให้ไอ้บ้านี่มาแกล้งผมจริงๆเหรอ??” เพี้ยนถามไป ในตอนนั้นวูฟเกือบจะวิ่งเข้าไปต่อย แต่ในตอนนั้นจ่าชัยก็ตะโกนห้ามเอาไว้
“เฮ้ยหยุด คุณโซนิคสั่งไว้ อย่าทำอะไรเขานี่!!” จ่าชัยพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายสองคนก็แบกร่างของเบลเข้ามาในห้องของเพี้ยนแล้วโยนกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่รูกี้เป็นคนคุมการขนมาด้วย
“ท่าทางเขาจะโดนมาหนักนะเนี่ย” เพี้ยนพูดขึ้น
“แน่นอน แต่โชคดีที่มันยังไม่ตาย” รูกี้พูดขึ้น
“ส่วนมึงก็ระวังไว้ด้วย มึงจะโดนแบบมันบ้าง อย่าคิดว่ากูไม่กล้านะ!!” วูฟตะโกนบอกเพี้ยนไป
“โธ่พี่ ถ้ามีอารมณ์ก็ไปซื้อกินเอาสิ หรือพี่อยากโดนอีกหล่ะ??” เพี้ยนด่ากลับไป วูฟพยายามจะรีบไปเล่นงานเพี้ยน แต่รูกี้และจ่าชัยก็ห้ามเอาไว้ก่อน
“เฮ้ย ไม่เอาน่า นี่แขก VIP นะเว้ย!!” รูกี้พูดขึ้น
“เฮ้อ ไม่เคยมีใครทำแกได้คลั่งขนาดนี้เลยนะเนี่ย” จ่าชัยพูดอย่างยิ้มเยาะ
“เอ้า ก็ไรท์บอกให้เรากวนตีนพี่เขานี่หว่า” เพี้ยนพูดไป และในตอนนั้นมันก็เพิ่มความโกรธให้วูฟต่อ
“ไอ้ระยำเอ้ย คอยดูเหอะ กูเอามึงตายแน่ อย่ามายั่วกูนะเว้ย!!” วูฟพูดขึ้น
“เอาน่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมาสิ” จ่าชัยพูดขึ้น
“นั่นสิ ถ้าทำอะไรคนของเขา นายจะซวยเอานะ” รูกี้พูดอย่างเยาะเย้ย แต่วูฟก็สลัดตัวหลุดออกมาได้
“คอยดูเถอะ กูเอามึงตายแน่!!” วูฟตะโกนใส่เพี้ยนและชี้หน้าเขา จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ขอบใจมากไอ้น้องที่ปั่นหัวไอ้บ้านี่” จ่าชัยพูดขึ้นพลางเดินออกไปด้านนอก
“ยังไงก็ระวังด้วย ไอ้บ้านี่มันไม่จบแค่นี้แน่” รูกี้พูดทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินตามไปอีกคน หลังจากที่คนพวกนั้นเดินออกไป เพี้ยนก็รีบไปประคองร่างของเบลอย่างรวดเร็ว แล้วพาเขามานั่งที่นั่งตัวหนึ่ง
“ท่าทางจะโดนมาหนักเลยนะเนี่ยพี่” เพี้ยนพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ตายหรอก” เบลพูดขึ้น
“เฮ้อ พี่ไม่ตายง่ายๆหรอก พวกนั้นแค่อยากทรมานพี่เล่นเอาสะใจหน่ะ”
“เอาเถอะ ฉันมันตายด้านอยู่แล้ว” เบลพูดขึ้น
“อืม ปากไม่ตรงกับใจดีนะพี่ แต่ช่างเถอะ เรารู้ว่าพี่เจ็บแค่ไหน ยังไงก็พักผ่อนเยอะๆนะคะ” เพี้ยนพูดขึ้น
“เออ ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า” เบลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบเอนหลังนอนอย่างรวดเร็ว
“นี่ไรท์ อย่าใจร้ายกับพี่เบลมากสิครับ!!”
“เฮ้ย แกนั่นแหละที่ใจร้ายกับฉัน เงียบๆทีเถอะวะ” เบลตะโกนออกมา ทำเอาเพี้ยนถึงกับแอบขำ จากนั้นตัวของเขาก็นอนพิงกำแพงบ้าง
และที่ห้องของกาลีน่า หลังจากที่ตัวของเธอตื่นเช้าขึ้นมา ตัวของเธอก็เข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องที่เธอเจอเมื่อคืนอย่างรวดเร็ว ตัวของเธอออกมาเดินเล่นด้านนอก แล้วดันไปแอบได้ยินกลุ่มของคริสเตียลแอบคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของโซนิค และเมื่อเธอรู้ว่าคริสเตียลไม่ไว้ใจเธอ ตัวของเธอก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่ไม่นานนัก เธอก็เดินออกจากห้องไป แล้วเปิดประตูออกอย่างแรง ทำเอาประตูเกือบไปโดนยูริที่เดินผ่านหน้าห้อง แต่ยูริเอามือของเขากันไว้ได้ก่อน
“เฮ้ย นี่เธอ เป็นอะไรของเธอเนี่ย??” ยูริตะโกนถามไป
“อ้าว นายมาทำอะไรแถวนี้??” กาลีน่าถามไป
“เอ้า ก็จะเดินไปห้องครัวไม่ได้หรือไง เธอเป็นอะไรของเธอเนี่ย??” ยูริถามต่อ
“อย่ามายุ่งกับฉันน่า!!” กาลีน่าพูดออกไป
“เอ้า เธอมาเปิดประตูเกือบโดนหน้าฉัน แบบนี้ยังจะมาหาเรื่องอีกเหรอ??” ยูริถามต่อ
“เออๆๆ ขอโทษก็แล้วกัน ถ้ามีแผลจะไปทำแผลให้!!” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบเดินออกไปโดยไม่สบอารมณ์ ไม่สนใจยูริเลยแม้แต่น้อย
“อะไรของเธอวะเนี่ย??” ยูริถึงกับสบถออกมา
และที่โกดังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งไคและคนอื่นๆได้มาดักซุ่มเพื่อรอช่วยเหลือเบล หลังจากที่พวกเขาพักผ่อนกันเรียบร้อยแล้ว ตัวของไคก็เดินมาสำรวจโกดังของหน่วย UNASO ต่อ ในขณะเดียวกัน แก้วและเกเบรียลก็พักผ่อนกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสองคนก็รีบมาหาไคอย่างรวดเร็ว
“อ้าว ไค เป็นยังไงบ้าง พักผ่อนหรือยัง??” แก้วถามอย่างสงสัย
“อ้อ เรียบร้อยแล้วหล่ะค่ะ” ไคตอบไป
“ยังดีนะเนี่ยที่ที่นี่มีไฟฟ้ากับน้ำใช้ แล้วนี่พวกมันเคลื่อนไหวอะไรหรือยัง??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย
“ยังเลยค่ะ เท่าที่ดูมาทั้งคืน พวกมันไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย” ไคพูดขึ้น
“ห่ะ นี่พวกมันไม่ไปไหนกันเลยเหรอเนี่ย??” เกเบรียลถามไป
“หรือว่า มันจะรู้แล้วว่าเราอยู่แถวนี้หล่ะ??” แก้วถามอย่างสงสัย
“ฉันว่าไม่หรอกค่ะ ไม่อย่างงั้นพวกมันมาค้นทั้งโกดังนี้แล้วหล่ะ” ไคพูดขึ้น
“แล้วพวกมันจะทำอะไรกับคุณเบลเนี่ย??” แก้วถามอย่างสงสัย
“หรือว่า มันต้องการพลังของเบลกันนะ??” เกเบรียลถามไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของไคก็เห็นรถบรรทุกสองคันขับมาที่ด้านหน้าโกดังอย่างรวดเร็ว ตัวของไคพยายามสังเกตว่าพวกนั้นเป็นใคร ในตอนนั้น ภาพที่เธอเห็นเป็นกลุ่มคนติดอาวุธ รวมถึงใส่เสื้อเกราะแบบเต็มยศลงมาจากรถบรรทุก แล้วก็รีบเดินเข้าไปในโกดังอย่างรวดเร็ว
“พวกมันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย??” ไคถามอย่างสงสัย
“อืม เธอมีพลังมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ??” เกเบรียลถามไป
“นั่นสิ ลองดูได้หรือเปล่าหล่ะ??” แก้วถามไป
“มันต้องเป็นเรื่องที่เกิดกับตัวฉันหน่ะ” ไคตอบไป แต่ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็มองเห็นคนติดอาวุธลากชายกลุ่มหนึ่งออกมาด้านข้างโกดัง จากนั้นก็ใช้ปืนเก็บเสียงยิงคนพวกนั้นอย่างไม่ใยดี ไคเห็นตอนนั้นจึงรีบบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ในทันที
“อะไรวะเนี่ย มันยิงคนทำไมกัน??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย
“นั่นมันพวกผู้เกิดใหม่หรือเปล่า??” แก้วถามอย่างสงสัย
“ดูแล้วไม่น่าใช่ แล้วมันจะทำอะไรของมันกันนะ??” ไคถามอย่างสงสัย และในขณะเดียวกัน พวกนั้นก็ลากศพของคนที่เพิ่งโดนยิงกลับเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว และพยายามเอาน้ำมาทำความสะอาดพื้นไปด้วย
“เฮ้อ ทำลายหลักฐานสินะ เธอต้องเปิดโปงเรื่องนี้ให้ได้นะไค” เกเบรียลพูดไป ไคในตอนนั้นก็ทำได้แค่พยักหน้ารับไป
ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตป่าภาคกลางในกรุงเทพ ในวันนั้นวิบัติเดินทางมาตามคำเชิญของชายปริศนาที่ติดต่อกับเขา ซึ่งตัวของเขาไม่ได้พาเหล่าวิญญาณบริวารมาด้วยตามข้อตกลง วิบัติเดินทางมาถึงเขตป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นตัวของเขาก็ตะโกนเรียกชายปริศนาคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย มึงอยู่ที่ใด ออกมาสิวะ??”
วิบัติตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ตัวของเขาก็มองเห็นเชือกอะไรบางอย่างกำลังโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว มันขึ้นมาล้อมรอบตัวของเขาไว้
“อะไรกันวะเนี่ย ทำไมตัวข้า...”
“สวัสดี คุณวิบัติ”
เสียงของชายปริศนาดังขึ้น และในตอนนั้นตัวของเขาก็เดินมาพร้อมกับชายหญิงอีกคู่หนึ่ง แล้วก็ทักทายวิบัติอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษที่ต้องใช้วิธีนี้กับคุณนะ คุณวิบัติ บ่วงนี้เป็นบ่วงที่ใช้จัดการกับคุณโดยเฉพาะ” วิบัติพูดขึ้น
“มึงเป็นใคร ต้องการอันใดกันแน่วะ??” วิบัติตะโกนถามไป
“ผมชื่อโซนิค ผมนี่แหละติดต่อกับคุณ ผมแค่อยากจะให้คุณช่วยหน่อย” โซนิคพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ตัวของเขาก็ได้เห็นเหล่าวิญญาณของวิบัติซึ่งโผล่ออกมาช่วยเขา พวกนั้นปรี่เข้ามาพยายามล้อมรอบตัวของโซนิคเอาไว้
“ปล่อยนายกูเดี๋ยวนี้!!”
“คิดว่าพูดอยู่กับใครกันวะ??” เดวิดตอบกลับไป
“ไม่ต้องหรอกเดวิด ฉันจัดการเอง” โซนิคพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ตัวของเขาก็เดินเข้าไปหาวิญญาณพวกนั้น จากนั้นก็ต่อยมันเข้าไปหนึ่งหมัด ทำเอาวิญญาณตัวหนึ่งกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย อันใดวะ??” วิญญาณตัวอื่นพูดขึ้น
“อย่า พวกเจ้าสู้มันมิได้ดอก!!” วิบัติตะโกนออกมา
“ดีแล้วค่ะคุณวิบัติ อย่าขัดขืนที่รักเลย เขาต้องการจะคุยกับคุณหน่ะ” ลีน่าพูดขึ้น และไม่นานนัก ตัวของวิบัติก็เดินเข้าไปในบ่วงที่ล้อมวิบัติ จากนั้นก็ไปคุยกับเขาในทันที
“คุณวิบัติ ผมอยากจะให้คนของคุณช่วยตามหาของสิ่งหนึ่งให้หน่อย” โซนิคพูดขึ้น
“หาอะไรของมึงวะ กูต้องได้เจอกับเมืองผาก่อน มิเช่นนั้น อย่าหมาย!!” วิบัติตอบไป
“คุณรู้จักหทัยราชันย์หรือเปล่า??” โซนิคถามไป
“เฮ้อ นี่มึงเชื่อเรื่องหลอกเด็กด้วยกระนั้นหรือ??” วิบัติถามไป
“ผมรู้ว่าคุณรู้ แต่เอาเถอะ ถึงยังไง ผมก็ทำให้คุณช่วยผมได้อยู่ดี” โซนิคพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง โซนิคก็เอามือแตะที่หัวของวิบัติอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของวิบัติก็สั่นเครือราวกับคนเป็นไข้ และไม่นานนัก ตัวของเขาก็พูดออกมา
“เมืองผา”
“ข้าเอง วิบัติ เราจักได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ”
“เมืองผา เจ้ากลับไปกับข้าเถิด”
“ข้าขอทำงานให้กับท่านผู้นี้ก่อน เจ้าเองก็มาช่วยข้าหน่อยเถิด”
“คุณวิบัติ เราอยากให้คุณช่วยเราตามหาหทัยราชันย์ รวมถึงคนที่ชื่อนาวินคนนั้นด้วย จับตัวมันมาให้ฉันเป็นๆ ฉันอยากจะเจอหน้ามันเสียหน่อย” โซนิคพูดขึ้น
“ข้ารับบัญชานายท่าน” วิบัติรับบัญชาไป
ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร สถานที่ซึ่งมีผู้คนมากมายมาพักผ่อน รวมถึงออกกำลังกายและทำกิจกรรมกันอย่างสนุกสนาน เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมา ตรงนั้นมีกระเป๋าใบหนึ่งตั้งเอาไว้อยู่บริเวณเก้าอี้นั้น รวมถึงมีสายตาคู่หนึ่ง กำลังดักซุ่มอยู่ในพุ่มไม้เพื่อรอใครบางคนอยู่
“วอ 2 รายงาน เงินยังอยู่ครับ”
“จำไว้ ถ้ามีใครมาเอากระเป๋าเงิน เข้าชาร์จได้เลย”
และในระหว่างที่พวกเขากำลังดักซุ่มมองสถานการณ์อยู่นั้น และไม่นานนัก พวกเขาก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินเข้าไปใกล้กับกระเป๋าใบนั้น
“พวกเรา เข้าชาร์จเลย!!”
บรรดาชายฉกรรจ์นับสิบถืออาวุธครบมือเข้าชาร์จผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ และไม่นานนัก เขาก็ถอดหน้ากากของผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย!!”
“เฮ้ย ไม่ใช่นี่หว่า!!” ชายกลุ่มนั้นเมื่อได้เห็นหน้าผู้หญิงก็พูดขึ้น
“นี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ จะมาเอากระเป๋าทำไม??” ชายคนหนึ่งถามผู้หญิงคนนั้นไป
“พวกคุณรีบหนีไปดีกว่า” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น และในตอนนั้น ชายพวกนั้นก็ถอดเสื้อคลุมของผู้หญิงคนนั้นออก ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นวัตถุระเบิดติดอยู่ที่ตัวของเธอ
“เฮ้ย ระเบิด!!”
“ฟรี่!!”
วัตถุนั้นปล่อยควันอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นควันที่ค่อนข้างหนา และลอยกระจายไปไกล กลุ่มชายฉกรรจ์รีบหนีออกจากควันเพราะหายใจลำบาก ไม่นานนัก เมื่อควันจางหายไป พวกเขาก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับกระเป๋าเงินแล้ว
“เฮ้ย มันหนีไปแล้ว ตามไปจับมันเร็ว!!”
หญิงสาวปริศนาได้หยิบเอากระเป๋าเงินแล้วเดินไปที่รถคันหนึ่ง ซึ่งเป็นรถที่จอดรออยู่แถวนั้น เธอคนนั้นเดินขึ้นรถ แล้วก็พบกับมิกิที่รออยู่ในรถ เธอรีบยื่นกระเป๋าให้มิกิได้ดูอย่างรวดเร็ว มิกิเห็นด้านในมีเงินมากมายก็ดีใจ
“นี่นาย จัดการที” มิกิยื่นกระเป๋าใบนั้นให้ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้ารถ ชายคนนั้นเอาอุปกรณ์อะไรบางอย่างมาลูบตามกระเป๋าอย่างช้าๆและใจเย็น
“กระเป๋าปลอดภัย ไม่มีเครื่องติดตามครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบไป
“อืม ดี รีบไปจากที่นี่ เราต้องรีบไปเปลี่ยนรถแล้วหล่ะ” มิกิพุดไป จากนั้นไม่นานรถของเธอก็รีบขับออกไปจากสวนสาธารณะอย่างรวดเร็ว รถของเธอขับไปเรื่อยๆ เข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ซึ่งในซอยนั้นมีท่อระบายน้ำ และมีชายคนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ รถของมิกิจอดไว้แถวนั้น แล้วลงจากรถมาหาชายที่เฝ้าท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็ว
“มาช้าไปหน่อยนะครับ”
“เออ มีปัญหานิดหน่อย จัดการได้แล้วหล่ะ” มิกิตอบไป และไม่นานนัก ชายคนนั้นก็รีบเปิดท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่พวกเขาลงท่อระบายน้ำไป รถของมิกิก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงดังสนั่นไปทั่ว
ณ เขตอนุสาวรีย์ชัย กรุงเทพมหานคร สถานที่ซึ่งรถราวิ่งกันขวักไขว่ เช่นเดียวกับรถของเซนซึ่งขับไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตอนุสาวรีย์ชัย เซนไปจอดรถในนั้น จากนั้นก็ลงจากรถเดินเข้าโรงแรมอย่างรวดเร็ว
“อืม โรงแรมหรูดีนะที่นี่” คิฮาระพูดขึ้น
“อืม แต่เราคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่หรอก” เซนตอบไป และไม่นานนัก ทั้งคู่ก็เดินมาถึงล็อบบี้โรงแรม และเดินไปยังพนักงานต้อนรับซึ่งกำลังยืนอยู่แถวนั้น
“สวัสดีค่ะ!!”
“ไม่ทราบว่าพอจะมีห้องว่างหรือเปล่าครับ??” เซนถามอย่างสงสัย
“อ้อค่ะ พักห้องเดียวกันนะคะ??”
“ใช่ค่ะ ขอห้องดีๆหน่อยนะคะ” คิฮาระพูดขึ้น จากนั้นพนักงานก็เอากุญแจให้กับคิฮาระอย่างรวดเร็ว
“ชั้น 5 นะคะ ห้อง 521 ค่ะ”
เซนรีบเอากุญแจมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบพาเซนและคิฮาระขึ้นไปบนห้องอย่างรวดเร็ว โดยที่ตัวของเขาก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 5 เพื่อเข้าห้องของเขา
“เออนี่ แล้วนายจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนหล่ะ??” คิฮาระถามอย่างสงสัย
“อืม ฉันขอใช้เวลาคิดก่อนก็แล้วกัน” เซนตอบไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของเขาก็มาถึงชั้น 5 แล้วเดินเข้าไปที่ห้องของพวกเขาทั้งคู่ และเมื่อพวกเขามาถึงห้อง พวกเขาก็เปิดประตูห้องในทันที แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าห้อง จู่ๆ ตัวอขงเขาก็ได้ยินชายคนหนึ่งคุยโทรศัพท์และเดินมาทางพวกเขา
“นายครับ ตอนนี้เราพยายามตามหาตำแหน่งของไอ้เฉินอยู่ครับ” เซนได้ยินดังนั้นจึงนิ่งไป คิฮาระที่ได้ยินด้วยก็มาพูดกับเขา
“นายได้ยินแบบที่ฉันได้ยินหรือเปล่า??” คิฮาระถามไป
“เต็มสองหูเลยหล่ะ รอให้มันหยุดคุยกันก่อน” เซนพูดขึ้น และไม่นานนัก ชายคนนั้นก็วางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และเมื่อมันวางสาย เซนเอากระบองพกพาของเขาออกมาแล้วฟาดหัวของหมอนั่นอย่างรวดเร็ว
“ตุ๊บ!!”
“คิฮาระ ช่วยหน่อย” เซนพูดขึ้น จากนั้นคิฮาระก็มาช่วยแบกชายคนนั้นเข้าไปในห้องของเขา คิฮาระมองนั่นมองนี่จนแน่ใจว่าปลอดภัยก็รีบปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว เซนจับชายคนนั้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็มัดด้วยเชือกอย่างหนาแน่น แล้วก็เอาผ้าอะไรบางอย่างปิดปากเขาเอาไว้ด้วย
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อ??” คิฮาระถามไป
“ก็ต้องรอให้มันฟื้น ตอนนี้หาอะไรคลุมหน้ามันก่อน” เซนตอบไป และในตอนนั้น คิฮาระก็หยิบเอาผ้าปูโต๊ะตัวหนึ่งมาคลุมหัวของชายคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว
“ดีนะ ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่งั้นเราตายแน่” คิฮาระพูดขึ้น
“ถึงมี พนักงานโรงแรมก็ไม่สนใจหรอก ฉันเห็นเธอเอาแต่เล่นโทรศัพท์หน่ะ” เซนตอบไป
“แหม่ ช่างสังเกตจริงๆเลยนะ” คิฮาระพูดไป จากนั้นตัวของเธอก็รีบไปนอนที่เตียงของเธออย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก เซนก็รีบเอาโทรศัพท์ของมันออกมาเช็คข้อมูลในทันที ว่าพวกมันมีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
กลับมายังสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย หลังจากที่ซูซาคุเดินทางไปส่งอากิโกะไปโรงเรียน ตัวของเธอก็กลับมาพักผ่อน รวมถึงพยายามสืบสาวเรื่องราวที่มีคนพยายามสะกดรอยตามเธอมาด้วย ในขณะที่ตัวของเธอกำลังจัดการเรื่องเอกสาร ฮันเตอร์ก็เดินเข้ามาในห้องของเธออย่างรวดเร็ว
“คุณซูซาคุครับ!!”
“อ้าว ฮันเตอร์ มีอะไรหรือเปล่า??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย
“อ้อ ตอนนี้ผมสืบเรื่องไอ้พวกที่มันสะกดรอยตามคุณแล้วครับ”
“ห่ะ จริงเหรอ เป็นยังไงบ้างหล่ะ??” ซูซาคุถามไป
“เราพยายามแกะรอยกล้องวงจรปิดของพวกมัน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพวกมือปืนรับจ้างตามซุ้มมากว่า และไอ้พกวนี้น่าจะมีสีด้วยครับ”
“อืม ก็แน่หล่ะ ถ้าไม่มีสีก็แปลกแล้ว แล้วแกะรอยของพวกมันได้หรือยังหล่ะ??” ซูซาคุถามไป
“เราพยายามอยู่ครับ แต่ไอ้พวกนี้มันไม่ยอมทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลยครับ”
“อืม ถ้างั้นวันหนึ่ง คงต้องจับมันมาถามเองแล้วหล่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น
“คุณคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของใครครับ??” ฮันเตอร์ถามไป
“อืม เรื่องนั้นฉันก็พอเดาได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานมากพอหน่ะสิ” ซูซาคุตอบไป
“นั่นสิครับ แล้วอีกเรื่องนะครับ ผมว่าผมเจอเบาะแสชองนายอากิระที่คุณตามหาแล้วด้วยครับ”
“ห่ะ จริงเหรอ เป็นยังบ้างหล่ะ??” ซูซาคุถามไป
“ผมลองใช้เส้นสายเอาวีดีโอจากกล้องวงจรปิดมา มีคนรูปพรรณสัณฐานแบบเขาไปโผล่ที่เขตธัญบุรีหน่ะครับ แต่ตอนนี้ทางตำรวจกำลังตามล่าตัวเขาอยู่” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“ที่ถูกตามล่าก็เพราะเป็นผู้เกิดใหม่สินะ” ซูซาคุพูดขึ้น
“บางแหล่งข่าวบอกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่กับกองกำลังผู้เกิดใหม่ครับ มีชื่อผู้เกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเขา นี่ครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็เอาเอกสารให้กับซูซาคุอย่างรวดเร็ว ซูซาคุรีบเอาเอกสารมาอ่านในทันที
“นาวิน”
“ครับ เราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอากิระครับ”
“เอาเถอะ ยังไงก็ลองสืบเรื่องของนายคนนี้มาก็แล้วกัน ไม่แน่ ฉันอาจจะได้รู้จักกับผู้เกิดใหม่คนอื่นๆก็ได้” ซูซาคุพูดขึ้น
“อ้อ รับทราบครับผม”
“แล้วอีกอย่างหน่ะ นายจัดให้เจ้าหน้าที่ของเราไปคุ้มกันหลานฉันหน่อย เธอชื่ออากิโกะ เธออยู่คอนโดตามนี้นะ” ซูซาคุพูดขึ้นพลางยื่นที่อยู่ให้ฮันเตอร์ไป
กลับมายังห้องพยาบาลของนายแสน ซึ่งในวันนี้ตัวของสส.สุรสิงห์ได้มาเยี่ยมลูกของเขาไปด้วย นายแสนเองก็ยังคงพักฟื้นเพราะอาการยังไม่ดีขึ้น ในระหว่างที่สิงห์กำลังนั่งเฝ้าลูกชายของเขา จู่ๆ เขาก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาเขา เขารีบรับสายในทันที
“ฮัลโหล ว่ายังไงผู้พัน??” นายสิงห์ถามไป
“คุณสิงห์ สส. คนนั้นหลุดมือผมไปแล้ว”
“ห่ะ นี่คุณจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เลยงั้นเหรอ??” นายสิงห์ถามไป
“ก็ผมคิดว่าไอ้พวก UNASO มันจะจัดการได้ อ่า...”
“ห่ะ นี่ คุณว่ายังไงนะ ทำไม UNASO มาเกี่ยวเรื่องนี้หล่ะ??” นายสิงห์ถามไป
“คือ พวกนั้นต้องการรายชื่อคนที่น่าจะขัดขวางการตามล่ากลุ่มผู้เกิดใหม่ แล้วเขาบอกว่าจะจัดการเองหน่ะ”
“ปัดโธ่เอ้ย นี่คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย คุณไม่รู้เหรอ ถ้าเกิดงานพลาด พวกนั้นอาจจะโยนขี้มาให้พวกเราก็ได้!!” นายสิงห์ตะโกนออกมา
“คุณจะให้ผมทำยังไงหล่ะ??”
“ความจริงเราไม่น่าอุ้มมันตั้งแต่แรกเลย แบบนี้พวกเราวายป่วงแน่ๆ คุณไม่รู้เหรอว่าไอ้พวกนี้มันทำงานกันยังไง คุณรู้หรือเปล่าว่าผมโดนอะไรในสภาบ้าง ท่านนายกไม่ชอบใจมากๆ แล้วผมก็อาจจะหลุดจากชีวิตการเมืองก็ได้!!” นายสิงหืพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ถ้าอย่างงั้นผมจะหาทางปิดปากมันเอง”
“ปิดปาก เฮ้อ ผมคงห้ามคุณไม่ได้แล้วหล่ะ” นายสิงห์พูดขึ้น
“ใช่ แล้วผมจะรับผิดชอบเอง รับรองว่าคุณไม่มีทางเกี่ยวข้องแน่นอน”
“เอาที่คุณสบายใจเลย แต่เกิดเรื่องขึ้นมา คุณก็รับไปคนเดียวก็แล้วกัน!!” นายสิงห์ตอบไป จากนั้นตัวของเขาก็รีบวางสายแบบไม่สบอารมณ์
“ป๊า มันเรื่องอะไรกันครับ??” นายแสนถามไป
“ไม่ต้องพูดมาก พักผ่อนไปเถอะ เฮ้ย เรียกเลขาให้ฉันที!!” นายสิงห์ตะโกนออกมา และในตอนนั้น เลขาของเขาก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
“ท่านคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ??”
“ธุรกิจของเราที่สวิสเป็นยังไงบ้าง??” นายสิงห์ถามไป
“ก็ยังปกติดีค่ะ”
“ดี ขนถ่ายทรัพย์สินของฉันไปที่นั่น แล้วเตรียมเครื่องบินส่วนตัวเอาไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน” นายสิงห์พูดขึ้น
“ท่านจะไปที่นั่นจริงๆเหรอคะ??”
“ก็ปลอดภัยไว้ก่อนหน่ะ” นายสิงห์บอกกับเลขาไปสั้นๆ และเลขาของเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
กลับมายังเขตของหน่วย UNASO หลังจากที่โซนิคได้วิบัติมาเป็นพวกแล้ว พวกเขาก็รีบเดินทางกลับมายังหน่วย ส่วนคริสเตียลเองก็ยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหลังของโกดัง และไม่นานนัก โดรนของโซนิคก็แล่นมาลงจอดอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก โซนิคก็ลงมาจากยานพร้อมกับคนอื่นๆ โดยที่คริสเตียลก็ไปรอรับเขา
“ท่านโซนิคครับ!!”
“อืม ดีใจที่ได้พบพวกคุณ ตอนนี้เรามีสมาชิกใหม่ในทีมแล้ว” โซนิคพูดขึ้น จากนั้นก็รีบแนะนำวิบัติให้กับทุกคนได้รู้จักในทันที
“เอาหล่ะค่ะ พวกฉันขอเก็บตัวกันก่อนนะคะ” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็เดินกลับเข้าไปในที่พักรับรองของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“มันก็เป็นผู้เกิดใหม่งั้นเหรอเนี่ย??” วูฟพูดไป
“ไม่เข้าใจ แล้วเขาจะไปเอามันมาทำไม??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย
“คงจะใช้โจรจับโจรหล่ะมั้ง??” จ่าชัยพูดไป
“เขาจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะน่า” กาลีน่าพูดขึ้นพลางเบ้ปาก
“นึกว่าจะมีงานใหม่ซะแล้ว แต่เอาเถอะ ก็ยังดี” รูกี้พูดขึ้น
“ทุกคน เราคงต้องรอภารกิจใหม่กันแล้วหล่ะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“นั่นสิ ฉันว่าพวกเขาคงตามล่ากลุ่มผู้เกิดใหม่แน่ๆ” เวอร์รีนพูดไป
“ฉันเตรียมพร้อมอยู่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็รอเวลาสินะ” รูกิพูดไป
“ถ้าอย่างงั้นตอนนี้เราไปพักกันก่อนดีกว่า” ยูริพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เดินกลับเข้าโกดังไปอย่างรวดเร็ว
กลับมายังฐานที่มั่นของดันเต้ ในตอนนั้นตัวของดันเต้ก็เตรียมอุปกรณ์เพื่อออกเดินทางตามหาหทัยราชันย์ ในขณะเดียวกัน ภาภินก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ลักพาตัวสาโรจน์ และหลังจากที่ภาภินได้ข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว ตัวของเขาก็รีบเอาข้อมูลไปให้กับนาวินและดันเต้ได้ดูในทันที
“พี่วิน ผมลองสืบเรื่องคุณสาโรจน์จากคำพูดและหลักฐานทั้งหมด ไอ้คนที่ลักพาตัวเขามันเกี่ยวข้องกับ UNASO จริงครับพี่ นี่คือประวัติของทุกคนที่เกี่ยวข้องครับ” ภาภินพูดขึ้น จากนั้นก็เอาเอกสารกระดาษให้กับทุกคนได้ดูอย่างรวดเร็ว
“อืม เป็นยังไงบ้างครับด็อกเตอร์??” นาวินถามดันเต้ไป
“อืม ไม่ผิดอย่างที่คาด แต่ไม่มีอะไรสาวไปถึงตัวคริสเตียลได้ แสดงว่าคริสเตียลคงต้องไปจ้างพวกมันต่ออีกทอด” ดันเต้พูดขึ้น
“แล้ว ทำไมเราถึงสาวถึงมันไม่ได้หล่ะคะ??” ฮารุถามไป
“ไอ้พวกนี้มันมีหน่วยงานที่คอยปิดข่าวและเก็บกวาดหลักฐาน อีกไม่นานไอ้พวกนี้ก็คงจะเป็นปุ๋ยเหมือนกัน” ลันโทสพูดขึ้น
“นี่ พวกมันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย??” เวียนถามไป
“มากกว่านี้พวกมันก็ทำมาแล้วครับผม” อากิระพูดไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็เหลือบไปเห็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งลอยมาหาพวกเขา ตอนนั้นอากิระจะชักปืนยิงมัน แต่นาวินห้ามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน มันอาจจะมาดีก็ได้” นาวินพูดขึ้น
“นี่ แกมาที่นี่ทำไม??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย
“ได้โปรด ช่วยนายท่านวิบัติด้วย นายท่านโดนไอ้บ้าที่ใดก็ไม่รู้ควบคุม มันกำลังใช้งานท่านขอรับ!!”
“ห่ะ วิบัติอย่างงั้นเหรอ เกิดอะไรขึ้น??” อินเนสซ่าถามไป
“ข้าแอบไปได้ยินมาว่า พวกมันจะเกณฑ์พวกเราไปตามหาหทัยอะไรซักอย่างนี่หล่ะขอรับ”
“ห่ะ นี่อย่าบอกนะว่าพวกมันก็รู้เรื่องหทัยราชันย์แล้ว??” พัตติยาถามไป
“แบบนี้ไม่ได้การแน่ๆ พวกมันอาจจะไปถึงก่อนเรา” อัญชันพูดขึ้น
“เย็นไว้ก่อน ถึงยังไงพวกนั้นก็เปิดกล่องหทัยราชันย์ไม่ได้อยู่ดีนี่” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“อืม มันใช้พลังควบคุมจิตใจคนอย่างงั้นเหรอ??” อีสครินน่าถามอย่างสงสัย
“คุณรู้อะไรเหรอครับ??” นายลุ้นถามไป แต่ในตอนนั้นอีสครินน่าก็ยังคิดอะไรไม่ออก
“แบบนี้แสดงว่ามันเริ่มจะเดินหมากแล้วสินะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“แล้วเราต้องรออีกนานแค่ไหนครับเนี่ย??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“คงไม่นานหรอกพี่ คุณดันเต้กำลังจัดการเรื่องการค้นหาอยู่” ลาลินพูดขึ้น
“นั่นสิครับ ผมว่าถ้าเรารีบร้อนเกินไป งานของเราจะพังได้นะครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“เออ แล้วนี่พวกคุณจะเอายังไงต่อครับ??” นายลืมถามไป
“ผมจะคุ้มกันที่นี่เอาไว้ เผื่อว่าพวกมันจะโจมตีนะครับ” ลูอีสพูดไป
“ตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลาหน่ะ ส่วนเรื่องวิบัติ พวกเราจะหาทางช่วยเขาเอง เราคงต้องเข้าถึงหทัยราชันย์ให้ได้ก่อนพวกมันครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป
====================================================================
นาวินและพรรคพวกจะเจอหทัยราชันย์ก่อนโซนิคหรือไม่ และสงครามจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมตาอในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย
ความคิดเห็น