ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 13 : บุกถ้ำเสือ

    • อัปเดตล่าสุด 12 ธ.ค. 64


    “โซนิคเป็นใครครับด็อกเตอร์??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “เขาคือผู้เกิดใหม่ เป็นตัวอันตรายสำหรับทุกฝ่าย ครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกจับมาทดลองโดยพวก UNASO แต่พลังของเขามีมากเกินไป รวมถึงเขาไม่สามารถควบคุมได้ ต่อมาเขาก็ออกอาละวาดตามล่าหัวใจของผู้เกิดใหม่ทุกคน จนถึงขั้นที่มีข่าวลือว่า ตัวของเขาทำข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐได้ เรื่องนี้เพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของผมในหน่วย UNASO บอกมา” ดันเต้พูดขึ้น ทำเอาทุกคนที่อยู่ในนั้นถึงกับแปลกใจ

    “ถ้าอย่างงั้น งานนี้เราคงเจอศัตรูที่อันตรายแล้วหล่ะ” ฮารุพูดขึ้น

    “แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันหล่ะครับนั่น??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ฉันว่าน่าจะเป็นคนที่ทำงานให้กับโซนิคอะไรนี่หล่ะ” เวียนพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ตัวของอากิระก็พูดขึ้นถึงเหตุการณ์เก่าๆในทันที

     

    “ท่านครับ ดูเหมือนว่าหมอนี่จะอันตรายนะครับท่าน”

    “ใช่แล้วหล่ะอากิระ รีบๆเอามันไปส่งก็พอแล้ว” 

    อากิระและคนในหน่วยของเขาคนอื่นๆรีบเอาตัวชายผิวสีคนหนึ่งคนหนึ่งเข้าไปในห้องทดลองห้องหนึ่ง และในขณะเดียวกัน คริสเตียสก็เดินตามเข้ามาด้วย เพื่อมาหาหัวหน้าของเขา

    “อากิระ ออกไปรอผมก่อน” หัวหน้าของอากิระพูดขึ้น จากนั้นอากิระก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น เขาก็เหลือบไปมองชายผิวสีคนนั้น และชายผิวสีก็เกิดเงยหน้าขึ้นมา สายตาของเขาและอากิระเกิดผสานกันซักพัก แต่อากิระก็ไม่ทำอะไรต่อแล้วเดินออกไป

     

    และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็รีบมาคุยกับพวกเขาอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น

    “พี่ครับ ผมน่าจะเจอตำแหน่งของพวกมันแล้วหล่ะครับ ผมแกะรอยจากโทรศัพท์ทั้ง 3 เครื่องของมัน พบว่าหลายชั่วโมงก่อนมันอยู่ตำแหน่งเดียวกัน ผมว่ามันต้องเป็นที่นี่แน่นอนครับ” ภาภินพูดขึ้น จากนั้นก็เอาตำแหน่งให้ทุกคนได้ดู

    “โกดังร้างอย่างงั้นเหรอ โลเคชั่นใช้ได้เลยนี่” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราคงต้องบุกไปช่วยแล้วหล่ะครับ ถ้าเราลอบเข้าไป น่าจะพอมีหวังนะ” ซีโร่พูดขึ้น

    “เห็นด้วย แต่ฉันกลัวว่าพวกมันจะตั้งกำลังดักทางเราเอาไว้หน่ะสิ” ลันโทสพูดขึ้น

    “ก่อนอื่นเราคงต้องตรวจสอบพื้นที่รอบๆก่อน ภาภิน นายพอจะแฮ็กกล้องวงจรปิดที่นั่นได้หรือเปล่า??” ลูโดวิกถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นภาภินก็รีบไปจัดการในทันที

    “นี่ นายลืม เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่มีใครโทษนายหรอก” ลาลินพูดขึ้น ในขณะที่เธอกำลังลูบหลังเขาด้วย

    “อะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ แล้วผมร้องไห้ทำไม??” นายลืมถามไป ในตอนนั้นทำเอาโลร็องต์ถึงกับอยากจะกระแทกหน้าเขา

    “โธ่เอ้ย มึงนี่นะ พูดเองลืมเองซะอย่างงั้น” โลร็องต์พูดไป

    “เอาเถอะ ให้หมอนั่นลืมหน่ะดีแล้ว ตอนนี้เรารีบมาช่วยอัญชันดีกว่า” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “นั่นสิคะ ยังไงก็ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้นะคะ ฉันจะช่วยด้วย” พัตติยาพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นอีสครินน่าพยายามจะปรามเธอด้วย

    “ใจเย็นสิ เธอไม่ได้มีพลังในการต่อสู้ซะหน่อย” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “เอ๊ะ ว่าแต่ คุณรู้เรื่องพลังพวกนี้ด้วยเหรอครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ฉันรู้ยิ่งกว่านี้อีก แต่เอาไว้ฉันจะบอกคุณตอนเรื่องนี้จบก็แล้วกันนะคะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราคงต้องเตรียมของเพื่อไปลุยกับพวกมันนะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ ครั้งนี้ผมจะขอลุยด้วย ผมจะไม่ยอมแยกจากเธออีกแล้ว” เสี่ยวหลงพูดไป

    “ได้ครับ ถ้าอย่างงั้น เราจะรอจนกว่าจะได้ข้อมูล แล้วจัดการกับพวกมันเลยแล้วกัน” นาวินพูดขึ้น

    “พวกคุณทั้งสองคน ไปอยู่ที่ห้องพักรับรองของผมก่อนก็ได้นะครับ” ดันเต้บอกกับอีสครินน่าไป จากนั้นไม่นานลูอีสก็พาอีสครินน่าไปที่ห้องรับรองก่อนอย่างรวดเร็ว โดยที่อีสครินน่าเองก็พาพัตติยาไปด้วยเพื่อพักผ่อน และรอข่าวเกี่ยวกับอัญชัน และในขณะเดียวกัน หลังจากที่ภาภินได้ทำการตรวจสอบพื้นที่กบดานของกลุ่ม UNASO เขาก็รีบวิ่งมาบอกกับนาวินในทันที

    “พี่วิน พอมีวิธีเข้าไปด้านในอยู่ ด้านหลังลานจอดรถเก็บขยะ จะมีรถมาเก็บขยะทุกตี 4 แถมการคุ้มกันก็น้อยด้วยพี่” ภาภินพูดขึ้น

    “อืม ถ้าอย่างงั้น เราคงต้องไปดักรอรถขยะที่นั่น แล้วจี้รถขยะมาซักคัน” นาวินพูดขึ้น

    “ห่ะ จะให้พวกเราไปนั่งรถขยะอย่างงั้นเหรอคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “ก็ให้ลาลินใช้พลังของเธอสิ ไม่ยากหรอก” ฮารุพูดขึ้น

    “จริงด้วย ถ้าเราเข้าไปแล้วเราจะเอายังไงต่อคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย

    “ใครขวางก็ฆ่าให้หมดสิ ไม่ต้องเก็บไว้ โดยเฉพาะไอ้คริสเตียล อย่าให้มันรอด” อากิระพูดขึ้น

    “ว่าไงว่าตามกันเลย ขอแค่ให้ช่วยอัญชันออกมาได้ก็พอ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ผมว่าไม่น่าจะเป็นการดีนะ ทำแบบนั้นมันก็จะมีข้ออ้างให้พวกมันปราบปรามเราได้” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ไอ้พวกนั้นมันก็หาข้ออ้างได้ร้อยแปดนั่นแหละ ไม่ต้องไปสนใจหรอก” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เราโจมตีเวลาเช้ามืดจะดีมาก เพราะส่วนใหญ่พวกมันมีแต่มนุษย์ พวกมันคงจะเหนื่อยจากเหตุการณ์ที่เจอวันนี้” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “ถ้าเกิดพวกมันรู้ว่าที่นี่เป็นที่กบดานของพวกเราแล้ว เราคงต้องย้ายไปที่อื่นนะคะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “อ้อ ถ้าเรื่องนั้นผมจะจัดการเอง ผมมีห้องใต้ดิน ผมจะย้ายทุกอย่างไปที่นั่นให้หมด กว่าพวกนั้นจะมาเราก็ไปกันหมดแล้ว” ดันเต้พูดขึ้น

    “ผมก็หวังไว้ให้เป็นแบบนั้นนะด็อกเตอร์” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ผมว่าเราต้องมีคนอยู่ที่นี่ด้วยก็ดีนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ไม่ต้องหรอก พวกมันคงเหนื่อยเกินกว่าจะออกเดินทางตอนนี้หน่ะ” ลันโทสพูดขึ้น

    “อืม เราต้องหลบเข้าไปอยู่ใต้ดินเหรอครับ??” นายลืมถามอย่างสงสัย

    “ใช่แล้วหล่ะครับ ตอนนี้เราคงต้องเตรียมของเพื่อบุกเข้าไปแล้วหล่ะครับ งานนี้เราต้องเล่นพวกมันคืนบ้างแล้วหล่ะ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมอุปกรณ์กันอย่างรวดเร็ว คนที่เตรียมตัวอย่างตั้งใจดูเหมือนจะเป็นเสี่ยวหลงและอากิระ พวกเขาทั้งคู่เตรียมปืนเก็บเสียงรวมถึงระเบิดชนิดที่สามารถถล่มได้ทั้งตึก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พัตติยาก็เดินเข้ามาในห้องที่พวกเขาทั้งคู่อยู่อย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ พวกนาย ได้ยินว่าพวกนายจะไปช่วยอัญชัน” พัตติยาพูดขึ้น

    “ใช่ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าหล่ะ??” อากิระถามอย่างสงสัย

    “คือ พวกนายต้องช่วยเธอกลับมาให้ได้นะ” พัตติยาบอกกับพวกเขาทั้งคู่ไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เราต้องช่วยเธอออกมาให้ได้” เสี่ยวหลงตอบไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง คนอื่นๆที่จะออกเดินทางไปช่วยอัญชันก็มาสมทบกับเสี่ยวหลงและอากิระด้วย

    “อ้าว คุณพัตติยา มีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ไม่มีอะไรค่ะ ความจริงฉันแค่อยากจะมาขอให้พวกคุณช่วยคุณอัญชันด้วยค่ะ ยังไงก็รบกวนด้วยนะคะ” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกในทันที ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนเล็กน้อย

    “เอ๊ะ ยังไงของเธอกันนะ แต่ก็เอาเถอะ” ฮารุพูดขึ้น

    “แล้วนี่นายภาไปไหนกันหล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ??” อินเนสซ่าถามอย่างสงสัย

    “อ้อ พี่ภาเขาไปจัดการสืบข่าวให้เราหน่ะค่ะ” ลาลินพูดขึ้น และในขระเดียวกันนั้นเอง ตัวของภาภินก็เดินมาคุยกับพวกของนาวินอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน ผมตรวจสอบแล้ว ตี 5 จะมีเวรรถขยะเข้าไปในโกดังนั้น 2 คัน เป็นรถขยะเปล่าครับ ผมรู้ว่ามันเป็นรถคันไหน ผมจดทะเบียนรถไว้แล้ว” ภาภินพูดขึ้น

    “อ้อ ดีเลย อย่างน้อยเราก็คงไม่ต้องไปอยู่กับขยะหล่ะนะ” เวียนพูดขึ้น

    “ถ้าไปถึงแล้วเราจะทำยังไงต่อหล่ะครับ??” นายลุ้นถามไป

    “ภาภิน นายช่วยแฮ็กกล้องวงจรปิด หรือกล้องด้านในทุกตัว เพื่อค้นหาตำแหน่งของอัญชัน จากนั้นเราจะรีบไปช่วยเธอออกมา จากนั้นเราก็จะกลับมาที่ด้านหลังโกดัง หนีไปด้วยโดรนเลย” นาวินพูดขึ้น

    “ดูท่าพวกมันน่าจะเตรียมการป้องกันเราไว้แล้ว เพราะพวกมันรู้ว่าเราส่งคนมาช่วยเธอ” โจไซอาห์พูดไป

    “พวกมันส่วนใหญ่มีแต่มนุษย์ คงจะสู้กับเราไม่ได้หรอกครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง เหยียบถ้ำเสือก็อันตรายอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท ไม่ว่าจะยังไง” ลันโทสพูดขึ้น

    “ผมขอไปช่วยพี่อัญชันด้วยนะครับ” นายลืมพูดขึ้น

    “นายอยู่ที่นี่แหละ แล้วก็เลิกโทษตัวเองได้แล้วหล่ะ” เสี่ยวหลงตอบไป

    “เอาไว้ผมจะเตรียมโดรนเพื่อมารับพวกคุณนะครับ” ดันเต้พูดไป

    “งานนี้ฉันจะเล่นงานไอ้คนที่จับพี่อัญชันให้ยับเลย” โลร็องต์พูดขึ้น

    “คิวยาวหน่อยนะไอ้น้องชายเอ้ย” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “งานนี้เราต้องไปเงียบๆ อย่าให้ไอ้พวกนั้นรู้ตัว ถ้าไม่อย่างงั้น อัญชันอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ พอถึงเวลาตี 2 เราจะออกเดินทางกันเลยครับ” นาวินพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อมาหาเขา ตัวของเขารับสายในทันที ตัวของเขาพูดไม่กี่คำก็วางสายไป

    “มีอะไรเหรอคะคุณวิน??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “อ้อ พ่อบ้านผมโทรมา บอกว่ามีตำรวจพยายามจะค้นบ้านผม แต่พวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วหล่ะ” นาวินพูดขึ้น

    “พี่วิน พี่ว่าอัญชันจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ??” เสี่ยวหลงถามอย่างสงสัย

    “พี่ว่ายังหรอก อัญชันไม่ใช่ผู้เกิดใหม่แบบเรา แล้วอีกอย่าง มันคงยังต้องเก็บเธอไว้เพื่อต่อรองกับเราแน่” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ใส่กระสุนปืนของเขาอย่างรวดเร็ว

     

    ทางด้านของอีสครินน่า ในขณะที่ตัวของเธอยังอยู่ในห้องรับรองที่ดันเต้จัดไว้ให้ ในตอนนั้นลูอีสก็มาคุยกับเธอ

    “คุณอีสครินน่าครับ เป็นยังไงบ้างครับ??” ลูอีสถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอก ก็อยู่สบายดีนะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ว่าแต่ คุณแน่ใจเหรอครับว่าเป็นเขา??” ลูอีสถามไป

    “ฉันมั่นใจเลยหล่ะ แต่รอเขาพร้อม ค่อยว่ากันอีกที” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ตัวของพัตติยาก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เพื่อมาคุยกับอีสครินน่าด้วย

    “นี่ อีสครินน่า เป็นยังไงบ้าง??” พัตติยาถามอย่างสงสัย

    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ว่าแต่เธอไปไหนมาเหรอ??” อีสครินน่าถามไป

    “คือฉันไปคุยกับพวกเขามา ฉันอยากไปช่วยอัญชันกับพวกเขาด้วย” พัตติยาพูดขึ้น

    “มันอันตรายนะ เธอไปแล้วจะช่วยอะไรได้หล่ะ??” อีสครินน่าถามไป

    “นี่ ฉันไม่เป็นตัวถ่วงพวกเขาหรอก” พัตติยาพูดขึ้น

    “ดูเธอจะห่วงใยคนที่ชื่ออัญชันมากเลยนะ” อีสครินน่าพูดขึ้น และนั่นทำเอาพัตติยาถึงกับพูดไม่ออก

    “ก็ เธอเคยช่วยฉันไว้นี่ จะให้ฉันนิ่งเฉยได้ยังไงกัน” พัตติยาพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ยังไงฉันก็คงหยุดเธอไม่ได้แล้วหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “อืม เอาไว้ฉันจะกลับมาก็แล้วกัน” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ตัวของอีสครินน่าก็คุยกับลูอีสต่อด้วย

    “อืม เห็นทีคงต้องรีบคุยกับนายคนนั้นแล้วหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “อ้อครับ ถ้าเขากลับมาแล้วผมจะรีบบอกเขาครับ” ลูอีสพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง คนของดันเต้คนหนึ่งก็รีบมารายงานอะไรบางอย่างกับอีสครินน่าอย่างรวดเร็ว

    “คุณอีสครินน่าครับ คุณดันเต้ขอเชิญพวกคุณไปหลบภัยใต้ดินครับ เราเตรียมห้องรับรองไว้แล้วครับ” 

    “อ้าว ทำไมกันหล่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ??” อีสครินน่าถามอย่างสงสัย

    “เผอิญว่าพวกข้าศึกมันรู้ตำแหน่งของเราแล้ว เราจะต้องไปหลบภัยที่ห้องแล็ปใต้ดินที่คุณดันเค้เตรียมไว้ ตอนนี้พวกเรากำลังทำการขนย้ายลองลงไปใต้ดินอยู่ครับ”

    “อ้อ ได้เลยครับ เดี๋ยวพวกเราจะตามไปครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่างานนี้พวกคุณจะเจอศึกหนักนะคะเนี่ย” อีสครินน่าพูดขึ้น จากนั้นกำลังคนของอีสครินน่าก็ตามคนของดันเต้ไปอย่างรวดเร็ว

     

    ทางด้านของนาวินและพรรคพวก เวลาผ่านไม่นานเท่าไหร่นัก พวกเขาก็เลือกอาวุธและอุปกรณ์เสริมสำหรับปฏิบัติการกันเสร็จแล้ว ในคราวนี้พวกเขาใช้ปืนเลเซอร์ชนิดพิเศษซึ่งยิงได้แบบไร้เสียง รวมถึงอุปกรณ์สำหรับอำพรางตัว ในขณะเดียวกันนั้นเอง พัตติยาก็เดินไปรวมตัวกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดกับพวกเขา

    “พวกคุณคะ ฉันขอไปช่วยคุณอัญชันด้วยค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ห่ะ นี่คุณจะไปจริงๆเหรอครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ใช่แล้วค่ะ ฉันรับรองว่าฉันไม่เป็นตัวถ่วงแน่นอนค่ะ ฉันเคยใช้ปืนด้วย” พัตติยาพูดขึ้น

    “อ่า ถ้าอย่างงั้นก็ตามสบายเลยนะครับ” นาวินพูดขึ้น

    “ขอบคุณมากนะครับที่จะไปช่วยเพื่อนผม” เสี่ยวหลงพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ให้ปืนเลเซอร์กับพัตติยาไปด้วย พัตติยารีบรับปืนมาจากเขาอย่างรวดเร็ว

    “คุณอยู่หลังพวกเราก็ได้นะครับ” นาวินบอกกับพัตติยาไป

     

    กลับมายังสถานที่กบดานของหน่วย UNASO กลุ่มของคริสเตียลกลับมาด้วยอารมณ์เสียเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อยานของพวกเขาจอดที่ดาดฟ้า เจ้าหน้าที่ที่รอรับพวกเขารีบเอาตัวคริสเตียลไปรักษาอย่างรวดเร็ว และกำลังพลของเขาคนอื่นๆรีบเดินเข้าไปยังห้องของลีน่าในทันที ซึ่งในตอนนั้นตัวของลีน่าเองก็ยืนรออยู่แล้ว ฮาเวิร์ดเห็นเธอยืนอยู่จึงพูดขึ้นในทันที

    “คุณลีน่าครับ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันครับเนี่ย??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ภารกิจวันนี้ของพวกคุณจบแล้ว ทำได้ดีมาก” ลีน่าพูดขึ้น

    “ภารกิจอะไรกัน หลอกพวกเราไปที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก ระหว่างนั้นฉันส่งกำลังพลไปจัดการพวกมันแล้ว ฉันแค่ให้พวกคุณเป็นตัวล่อหน่ะ” ลีน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ เจ้าหน้าที่สองคนก็หิ้วปีกอัญชันที่เพิ่งจะทำแผลเสร็จมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทำเอาทุกคนถึงกับแปลกใจ

    “นี่ พวกแกจับฉันมาทำไมเนี่ย ไอ้พวกบ้าเอ้ย??” อัญชันถามอย่างสงสัย และในตอนนั้น แสงจันทร์เมื่อเจอหน้าอัญชันก็รู้สึกคุ้นเคยกับเธอมาก

    “อัญชัน เธอใช่อัญชันหรือเปล่า ป.4/1 โรงเรียนประถมวราลัยหรือเปล่า นี่ฉันโร่ว์เองนะ??”

    “อ้าว นายโร่ว์ที่เคยเตะบอลเข้าประตูตัวเองสินะ” อัญชันพูดขึ้น 

    “นี่มันอะไรกันครับ เธอเป็นผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “เปล่า เธอเป็นมนุษย์ที่อยู่กับพวกนั้น และฉันเชื่อว่าพวกนั้นต้องมาช่วยเธอแน่ๆ” ลีน่าพูดขึ้น วูฟในตอนนั้นเมื่อเห็นคนสวยๆแบบอัญชันก็แทบจะอดใจไม่ไหว

    “น้องสาว ไปเที่ยวกับพี่เถอะจ้ะ” วูฟพูดขึ้นและเดินไปใกล้เธอ แต่อัญชันก็เหยียบเท้าของวูฟคนเขาถึงกับร้องออกมา คนอื่นๆเห็นก็พากันขำกลิ้ง

    “เฮ้ย อย่ามาทำซกมกตอนนี้สิวะพวก” รูกี้พูดขึ้น

    “แต่ว่า ทำแบบนี้มันผิดข้อตกลงนะครับ” ยูริพูดขึ้น

    “ใครจะไปสนเรื่องข้อตกลงกันหล่ะ จะจับหมาป่า มันก็ต้องมีเหยื่อล่อสิ” กาลีน่าพูดขึ้น 

    “แต่ถึงยังไง เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้ค่ะ คุณคริสเตียลจะเขียนรายงานเบื้องบนเรื่องนี้แน่นอน” รูกิพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันไม่สนใจอีกแล้วหล่ะ เอาเป็นว่าพักผ่อนกันตามสบายเถอะ ส่วนแม่นี่ เอาไปขังไว้ก่อน ไว้รอเวลาพวกมันบุกค่อยว่ากัน” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินเชิดไปอย่างไม่สนอะไร รูกิเกือบจะไปตั๊นหน้าลีน่าแต่คนอื่นห้ามเอาไว้ก่อน รวมถึงพยายามบอกให้เธอใจเย็นไว้

    “เอาผู้หญิงคนนี้ไปขังไว้ก่อนแล้วกัน ฉันจะไปเยี่ยมคุณคริสเตียลด้วย” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งไปเยี่ยมคริสเตียล ส่วนหนึ่งพาตัวอัญชันไปขังไว้ก่อน ฮาเวิร์ด เวอร์รีน รูกิ รูกี้ได้ไปเยี่ยมคริสเตียลที่ห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อพวกเขามาถึงห้องพยาบาล คริสเตียลก็กำลังนั่งให้พยาบาลทำแผลอยู่ 

    “หัวหน้าครับ เป็นยังไงบ้างครับ??” ฮาเวิร์ดถามไป

    “อ้อ ผมไม่เป็นไรหรอก แล้วลีน่าว่ายังไงหล่ะ??” คริสเตียลถามอย่างสงสัย

    “เธอดูเหมือนไม่สนใจพวกเราเลยค่ะ ขนาดนั้นฉันบอกว่าจะรายงานเรื่องของเธอไปหาเบื้องบน เธอยังไม่สนใจเลยค่ะ” รูกิพูดขึ้น

    “เดาไว้ไม่มีผิด เธอน่าจะทำงานให้ใครอีกคน ที่ใหญ่กว่าเรามาก” รูกี้พูดขึ้น

    “ถ้าเป็นอย่างงั้น เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “นี่เธอยังไปจับคนมาเป็นตัวประกันด้วย ถ้าเกิดเรื่องแดงขึ้นมา พวกเราซวยแน่” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ตอนนี้เราคงต้องดูแลเธอไว้ จนกว่าไอ้พวกนั้นจะมา ลีน่าบอกว่าพวกนั้นต้องมาช่วยเธอแน่” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ใช่ และถึงตอนนี้ เราคงจะจับพวกมันได้หมด” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ผมนี่หล่ะจะรับมือกับพวกมันเองครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ตอนนี้พวกมันเป็นต่อเราหลายขุม เราต้องระวังตัวกันหน่อย” รูกิพูดขึ้น

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้น แล้วอีกเรื่อง คนที่ชื่ออากิระ จับมันมาเป็นๆ ฉันอยากจะสอบถามเรื่องอะไรมันหน่อย” คริสเตียลพูดขึ้น

    “อ้อ คุณกะจะถามมันเรื่องของผู้พันใช่หรือเปล่า??” รูกี้ถามไป

    “แค่คนๆเดียว มันจะไปสำคัญอะไรหล่ะคะ??” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “ผมแค่ต้องการกวาดล้างมลทินในใจของผมหน่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินมารายงานอะไรบางอย่างกับคริสเตียลอย่างรวดเร็ว

    “ท่านครับ เจ้าหน้าที่พิเศษที่คุณ The Green ส่งมาช่วยเรา มาถึงที่หน่วยแล้วครับ!!”

    “อืม ดีเลย ถ้าอย่างงั้นก็ให้พวกเขาเตรียมพร้อมก็แล้วกัน” คริสเตียลออกคำสั่งไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของรูกิก็ขออนุญาตเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความแปลกใจของคนอื่นๆ

    และทางด้านของอัญชัน ในตอนนั้นตัวของอัญชันก็ถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปยังห้องขังห้องหนึ่ง และในตอนนั้น ตัวของแสงจันทร์ก็คอยไปเฝ้าเธอด้วย เพราะตัวของเขาและเธอเคยรู้จักและสนิทกัน

    “อัญชัน ลำบากหน่อยนะ แต่เธอจะต้องไม่เป็นอะไร” แสงจันทร์พูดกับเธอ 

    “นี่ โร่ว์ นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วนายมาทำงานแบบนี้ได้ยังไงกัน??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “คือ มีคนจากรัฐบาลมาหาฉัน เขายื่นข้อเสนอให้ฉัน บอกว่าถ้ามาทำงานนี้ พวกเขาจะช่วยเรื่องรักษาแม่และน้องเราหน่ะ ว่าแต่ ไปยังไงมายังไง ถึงได้ไปอยู่กับคนพวกนั้นได้หล่ะ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย

    “พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของวูฟก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะเดินเขาไปใกล้อัญชัน แต่แสงจันทร์ก็ขวางเอาไว้ก่อน

    “เฮ้ย แนะนำเพื่อนแกให้ฉันรู้จักหน่อยสิ!!”

    “อย่ายุ่งกับเธอนะ ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “โธ่ จะเก็บไว้กินเองหรือไงวะ??” วูฟพูดขึ้น จากนั้นก็จะต่อยแสงจันทร์ไป แต่คนอื่นๆก็เข้ามาก่อน จ่าชัยเห็นวูฟในตอนนั้นจึงชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่วูฟในทันที

    “เฮ้ย ทำบ้าอะไรของแกวะ??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “อะไรวะ ก็แค่อยากมาทำความรู้จักเพื่อนของเพื่อหน่อย ไม่ได้หรือไง??” วูฟถามไป 

    “ถุ๊ย อาการหื่นออกขนาดนี้ ใครๆก็รู้ดีหว่ะ สันดานมันปิดกันไม่ได้หรอก” กาลีน่าพูดขึ้น

    “เธอเป็นตัวประกัน ไม่ใช่นักโทษ แกอย่ามาทำซกม๊กแบบนี้สิวะ” ยูริพูดขึ้น

    “โธ่เอ้ย อะไรวะ แค่นิดหน่อยก็ไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงนะน้องสาว คืนนี้เจอกัน” วูฟพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินออกไปอย่างหัวเสีย ในขณะที่แสงจันทร์ก็พยายามปกป้องอัญชันอย่างเต็มที่

    “ไม่ต้องกลัวนะ เธอจะต้องไม่เป็นอะไร” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “เออ ฉันแนะนำนะว่าคืนนี้เฝ้าที่นี่หน่อยแล้วกัน ไอ้บ้านั่นมันล่อเพื่อนเธอแน่” กาลีน่าพูดขึ้น

    “ฉันไม่กลัวไอ้ระยำนั่นหรอก พวกคุณก็ด้วย” อัญชันพูดขึ้นมา

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน้องสาว พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่” ยูริพูดขึ้น

    “เฮ้อ เจ้าหน้าที่ดีๆที่ไหนจับคนมาเป็นตัวประกันแบบนี้คะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะช่วยคุ้มกันเธอเอง วันหนึ่งพวกเขาต้องปล่อยเธอไปแน่” จ่าชัยพูดขึ้น

    “อัญชัน ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้เธอพักที่นี่ ถ้ามีอะไร เธอตะโกนเรียกฉันได้เลย” แสงจันทร์พูดขึ้น 

    “ฉันไม่กลัวหรอก ถึงยังไงฉันก็สู้ขาดใจแน่” อัญชันพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จ่าชัยก็เดินไปหาพวกเขาทั้งคู่ จากนั้นก็เอามีดเล่มหนึ่งให้กับอัญชัน จากนั้นก็เอากระสุนอะไรบางอย่างให้แสงจันทร์ด้วย

    “นี่ มีดเงิน น่าจะใช้จัดการมันได้ แล้วนี่กระสุนเงิน ฉันเตรียมไว้ปราบพยศมัน” จ่าชัยพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันไม่เกี่ยวด้วยแล้วกัน ขอตัวนะ” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

    “ฉันว่า ยังไงพวกนั้นก็ต้องมาช่วยเธอคืนนี้แน่ๆ” ยูริพูดขึ้น

    “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างงั้นฉันจะรอค่ะ” อัญชันพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ตัวของแสงจันทร์ก็แอบเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่พูดอะไรมากตอนนั้น

     

    ณ สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง หลังจากที่ตำรวจพวกนั้นได้จับเบลไปที่นั่น เกเบรียล แก้ว รวมถึงไคที่พยายามติดตามสถานการณ์มาด้วยก็ลงจากรถโดยสารและลอบสังเกตการณ์รอบๆสถานีตำรวจ เพื่อสืบดูว่ามันจะจับเบลไปทำอะไร เกเบรียลและแก้วหลบอยู่ด้านหลังรถแถวนั้นและพยายามส่องมองสถานการณ์ไป แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง

    “ทำแบบนั้นระวังจะโดนจับได้นะคะคุณเกเบรียล”

    เกเบรียลได้ยินเสียงนั้นก็คุ้นเคย ในตอนนั้นตัวของเขาก็ลุกขึ้นมาในทันที

    “ไค..”

    “หนูตามหาคุณมานานแล้ว” ตัวของไครีบเข้าไปกอดเกเบรียลอย่างรวดเร็ว ทำเอาแก้วถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

    “อ่า ไม่ทราบว่ามีอะไรกันคะ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “อ้อ นี่คือไค ฉันเลี้ยงดูเธอมาแต่เด็กหน่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น

    “พวกคุณกำลังจะช่วยเขาใช่หรือเปล่าคะ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “ใช่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไง” แก้วพูดขึ้น และในตอนนั้น ตัวของเกเบรียลก็พูดขึ้น

    “มีรถมา รีบหลบก่อนเร็ว!!”

    พวกเขาทั้งสามคนรีบไปหลบอยู่ด้านหลังรถคันหนึ่งอย่างฉุกลหุ พวกเขาจ้องมองรถตู้สีดำสองคันซึ่งขับเข้ามาแถวนั้น แล้วจอดใกล้กับรถตำรวจที่ไปจับเบลมา เมื่อรถจอด ชายในชุดดำพร้อมอาวุธครบมือก็ลงจากรถตู้มาในทันที แล้วเดินไปหาตำรวจคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่รถของเบล

    “อะไรกัน พวกมันเป็นใครเนี่ย??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “ต้องเป็นไอ้พวกระยำที่ให้ส่วยตำรวจแน่ๆ” ไคพูดขึ้นในขณะที่เธอควักเอาโทรศัพท์ของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถ่ายวีดีโอเอาไว้

    “นี่เธอจะทำอะไรหน่ะ??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย

    “ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานหน่ะค่ะ” ไคพูดขึ้น และในตอนนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังคุยกันเสียงดังไปด้วย แม้ว่าเสียงจะดังพอที่พวกของเกเบรียลได้ยิน แต่ก็ไม่มีใครเดินผ่านแถวนั้นเลย

    “เฮ้ย แล้วเงินของเราหล่ะ??”

    “1 หมื่น เอาไปเลย”

    “ไม่พอหว่ะ ไอ้บ้านี่มันฤทธิ์เยอะ ต้อง 2 หมื่นเว้ย”

    “เอ้า เอาไป ฉันรู้ว่าคนอย่างแกต้องมีเงินเยอะ ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง แล้วมันอยู่ที่ไหน??”

    กลุ่มชายชุดดำถามไป และในตอนนั้นเอง พวกตำรวจก็เดินไปที่รถของพวกเขา จากนั้นก็เอาตัวเบลออกมาจากรถคันนั้น จากนั้นก็คุมตัวเบลมาในทันที แล้วเอามาให้พวกนั้นได้ดู

    “อืม น่าจะใช่ไอ้บ้านี่แหละ”

    “นั่นเบลนี่ มันจะเอาเขาไปทำไมกัน??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “เราคงเดินไปถามมันไม่ได้หรอก” เกเบรียลพูดขึ้น

    “เบาๆหน่อยสิ ฉันจะได้เอาคลิปไปปล่อย” ไคพูดขึ้น และในตอนนั้น พวกมันก็ให้เงินกับตำรวจพวกนั้น และไม่นานนัก ตัวของไคก็ค่อยๆเดินออกไปแบบเงียบๆ แล้วไปที่ไหนซักแห่ง

    “เฮ้ย จะไปไหนหน่ะไค??” เกเบรียลถามไป

    “เราจะเอายังไงดีหล่ะ พวกมันจะเอาตัวเบลไปแล้ว??” แก้วถามอย่างเป็นกังวล และในขณะเดียวกันนั้น พวกมันก็คุยกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนัก ตัวของไคก็เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนอื่นๆถึงกับแปลกใจ

    “ฉันไปส่งคลิปนี้ให้สารวัตรในโรงพักนั้นดู ถ้าไอ้สองคนนี้ไม่โดนเด้ง ฉันจะเอาคลิปนี้ไปลงเน็ต” ไคพูดขึ้น และในตอนนั้น กลุ่มชายชุดดำก็รีบไปขึ้นรถอย่างรวดเร็วและพาตัวเบลไปด้วย แต่ไม่นานนัก ตำรวจบนโรงพักก็รีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ชายชุดดำพวกนั้นตกใจและพยายามขับรถหนี 

    “นั่น พวกมันจะหนีไปแล้ว!!” แก้วตะโกนออกมา

    “ฉันพอจะเดาได้ว่าพวกมันไปที่ไหน รีบเรียกแท็กซี่เถอะ” ไคพูดขึ้น

    “ได้ๆ ถ้าอย่างงั้นเราก็รีบๆไปกันเลย” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็รีบหาทางไล่ตามรถตู้ของพวกมันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตำรวจสองคนที่ทำการซื้อขายตัวของเบลก็โดนตำรวจบนโรงพักรวบอย่างง่ายดาย เกเบรียลรีบวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งขับเข้ามาหน้าโรงพักพอดี

    “นี่ลุง ตามรถคันนั้นไปเลยครับ!!”

    “นี่ ไปไกลหรือเปล่าครับ ผมกลัวเปลืองแก๊ส??” แท็กซี่คนนั้นถามไป จนในตอนนั้น แก้วต้องควักเงินให้คนขับไป 2000 อย่างรวดเร็ว

    “แค่นี้น่าจะพอนะคะ” แก้วพูดขึ้น 

    “ครับ งั้นขึ้นมาได้เลยครับ” คนขับพูดขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็รีบขึ้นรถกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นแท็กซี่คันนั้นก็ขับตามรถตู้สีดำที่จับตัวเบลไปอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังแหล่งกบดานของเบ็ตตี้ ซึ่งในตอนนี้ตัวของมิกิได้พักผ่อนอยู่ในห้องของเธออย่างสบายอารมณ์ ในขณะเดียวกันเธอก็ฟังเพลงจากโทรศัพท์ไปด้วย

    “อืม ถ้าเราหนีไปมาเก๊าซักพัก รอให้เรื่องเงียบ เราค่อยกลับมาทำข่าวต่อก็ได้” มิกิพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก้มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาเธอ ในตอนนั้นเธอก็รีบรับสายอย่างรวดเร็ว

    “คุณมิกิ”

    “อ้าว ก้อง เป็นยังไงบ้างหล่ะ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “ผมรู้หมดแล้วนะ เรื่องของเพื่อนผมที่ให้ข่าวกับคุณ”

    “เออ ก้อง ฉันอธิบายได้นะ” มิกิพูดขึ้น

    “ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว ตอนนี้ตำรวจทั่วโลกหมายหัวคุณแล้ว คุณหนีไปไหนไม่รอดหรอก”

    “เฮ้อ คิดว่าจะจับฉันได้เหรอ ก็ลองดูสิ” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วางสายไปในทันที

    “ระยำเอ้ย น่าจะฆ่ามันตั้งนานแล้ว” มิกิพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะที่หน้าประตูห้องของเธอ ตัวของเธอเลยไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว มีอะไรเหรอ??” 

    “คุณมิกิ เราต้องไปแล้วครับ” 

    “หือ เราจะไปไหนงั้นเหรอ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “เราจะกลับเข้ากรุงเทพ เราจะไปที่กบดานใหม่ เพื่อรอไปส่งคุณที่สนามบินครับ” 

    “อืม แล้วเราจะไปสุวรรณภูมิหรือเปล่าหล่ะ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “เราคงต้องไปขึ้นที่อู่ตะเภาครับ ตอนนี้สองสนามบินมีแต่ตำรวจตรวจตราเต็มไปหมดครับ”

    “เฮ้อ ก็พอจะเดาออก เอาเถอะ เราจะไปกันเลยหรือเปล่า??” มิกิถามไป

    “เชิญทางนี้ครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบพามิกิลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ตัวของเธอมองไปรอบๆก็เห็นว่าบรรดาคนที่ประจำอยู่ที่นี่กำลังขนของไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะหนีอะไรซักอย่าง

    “เฮ้นี่ ตำรวจรู้แล้วเหรอว่าเราอยู่ที่นี่??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ใช่ครับ พวกมันเริ่มระแคะระคายแล้วครับ”

    “เอาเถอะ ยังไงก็อย่าลืมข้อตกลงก็แล้วกัน” มิกิพูดขึ้น

    “แน่นอนครับ คุณมิกิเตรียมเงินมัดจำส่วนหนึ่งให้คุณในรถแล้วครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเขาก็พามิกิไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว โดยที่ด้านในมีกระเป๋าใส่อะไรบางอย่างอยู่ ตัวของมิกิเปิดมาก็พบกับเงินดอลล่าห์จำนวนหนึ่ง ทำเอามิกิถึงกับยิ้มออกมา

     

    ณ ตึกแถวแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่แถวเขตรังสิต เซนและคิฮาระที่ขับรถเดินทางมาไกลก็มาจอดรถที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกแถว และเมื่อเขาจอดรถ พวกเขาทั้งคู่ก็ลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก้เตรียมอาวุธเพื่อบุกเข้าไปในตึกแถวนั้น

    “เราต้องเข้าไปด้านหลัง ถ้าเราไม่อยากเสี่ยงโดนพวกมันรุมยิง” เซนพูดขึ้น

    “ฉันรู้อยู่แล้วน่า” คิฮาระพูดขึ้นพลางหยิบปืนของเซนมากระบอกหนึ่งด้วย

    “อืม ยังไงก็ตามฉันมาก็แล้วกัน” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินอ้อมปี่ซอยด้านหลังตึกแถวอย่างรวดเร็ว ซึ่งด้านหลังตึกมันมีหลังคายื่นออกมา ตัวของเซนรีบยกคิฮาระขึ้นไปบนหลังคาในทันที จากนั้นคิฮาระก็ช่วยดึงเซนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น พวกเขาก็ทุบหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แล้วก็พากันเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ไล่ยิงกลุ่มคนที่อยู่ด้านใน

    “ปังๆๆๆๆ”

    “คิฮาระ อยู่ข้างหลังฉันไว้หล่ะ” เซนพูดขึ้น จากนั้นก็ไล่ยิงกับพวกมันแล้วเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อตามหาคนอย่างรวดเร็ว

    “ว่าแต่ มันอยู่ที่ไหนกันนะ” คิฮาระถามไป แต่ในตอนนั้นพวกเขาก็ยังเดินต่อไปเรื่อยๆ จนในตอนนั้น พวกเขาก็ไปเจอกับแม่บ้านคนหนึ่ง เธอยกมือขึ้นแล้วพยายามร้องขอชีวิต

    “อย่าๆๆ อย่าฆ่าฉันนะคะ”

    “นี่ ไอ้เฉินมันอยู่ที่ไหน??” เซนตะโกนถามไป

    “อยู่ชั้นบนสุดค่ะ”

    “นี่ป้า ป้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะ” คิฮาระพูดไป จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินขึ้นมาได้ไม่นาน พวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของตึก จากนั้นไม่นาน เซนก็ถีบประตูเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว และด้านในห้อง เขาก็เจอกับชายชาวจีนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับหมาร็อตไวเลอร์ตัวหนึ่ง ชายคนนั้นเห็นเซนก็ถึงกับตกใจ เขาพยายามจะหยิบปืนออกมา แต่เซนก็ยิงปืนขู่เขาเอาไว้

    “ไอ้เฉิน มึงหยุดเลย!!”

    “เดี๋ยวๆๆ มึงเป็นใคร ใครใช้มึงมาวะ??” ชายคนนั้นตะโกนถามไป

    “ก็คนที่มึงจ้างให้ไปฆ่าลูกนักการเมืองแล้วโดนมึงหักหลังยังไงหล่ะ!!” เซนตะโกนออกมา

    “อะไร ไม่ใช่ฝีมือฉันซะหน่อย”

    “เฮ้อ ถ้าไม่ใช่ แล้วตำรวจไปจับเขาได้ยังไงหล่ะ??” คิฮาระถามอย่างสงสัย

    “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงหล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ แกอยากได้เท่าไหร่ฉันให้หมดเลย” นายเฉินพูดขึ้น

    “มึงโชคดีที่กูยังไม่ตาย” เซนพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงรถไซเรนของตำรวจมาจากด้านหน้า ทำเอาเซนถึงกับแปลกใจ

    “ถ้านายปล่อยฉันไป ฉันสัญญา เจอกันครั้งหน้า ฉันให้ 10 ล้านเลยนะ” 

    ในตอนนั้นเซนไม่พูดอะไรต่อ นอกจากพาคิฮาระหนีออกไปในทันที ส่วนนายเฉินก็รีบเก็บของของเขาและจูงหมาของเขาออกไป แต่ในตอนนั้นหมาของนายเฉินก็เกิดหลุดมือเขาแล้ววิ่งไปหาตำรวจ พวกตำรวจบุกขึ้นมาถึงชั้นบน ทำเอาเซนถึงกับต้องยิงสกัดไป

    “ปัง!!” ในตอนนั้นตำรวจยิงเฉียดแขนของเซนไป ทำเอาตัวเขาถึงกับเซลงไป คิฮาระในตอนนั้นก็กระสุนหมดพอดี ในตอนนั้นตัวของเธอก็เห็นหมาร็อตไวเลอร์กำลังโดนตำรวจยิงและวิ่งหนีออกมา เธอเลยวิ่งไปหาหมาตัวนั้นในทันที แล้วกัดกินหมาตัวนั้นอย่างรวดเร็ว

    “พรึ่บ!!”

    คิฮาระกินเนื้อของหมาร็อตไวเลอร์ ทำให้เธอได้พลังของหมาตัวนั้นมา ตัวของเธอวิ่งเข้าจัดการตำรวจพวกนั้นอย่างดุเดือด เธอทั้งวิ่งเข้าไปตะปบและกัดตำรวจพวกนั้นจนทำตำรวจถึงกับต้องหนีไปคนละทาง 

    “ชิบหายแล้ว ผีหลอก!!”

    ตำรวจพวกนั้นรีบหนีออกจากตึกอย่างรวดเร็ว ส่วนร่างกายของคิฮาระก็เริ่มหมดพลังลง แล้วก็ค่อยๆเข่าอ่อนลงกับพื้น ตัวของเซนที่ตามเธอมา เมื่อเห็นสภาพของเธอก็รีบมาหิ้วปีกเธอไปในทันที

    “เราไปจากที่นี่เถอะ”

    คิฮาระยิ้มให้เขาและเซนแบกคิฮาระออกไปทางด้านหลังตึกแถวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตำรวจพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรเลย พวกเขาพากันลากสังขารออกมาแล้วเดินไปตามซอยเพื่อหาที่กบดานกันใหม่อย่างทุลักทุเล

     

    ณ แหล่งกบดานของหน่วย UNASO ตำรวจท้องที่ได้เอาตัวเพี้ยนไปส่งที่นั่น พวกเขาขับรถไปถึงหน้าด่านตรวจ จากนั้นตำรวจก็เอาบัตรให้เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ดูในทันที

    “อืม เอาตัวมาแล้วอย่างงั้นเหรอ??” เจ้าหน้าที่หน้าป้อมยามถามไป

    “ใช่ แต่มันเป็นบ้าหน่ะ ระวังหูไว้ด้วยก็แล้วกัน” ตำรวจที่ขับรถมาตอบไป

    “นี่ ไรท์ด่าเราบ้าอีกแล้วเหรอคะ??” เพี้ยนถามอย่างสงสัย

    “เฮ้ย เงียบๆหน่อยได้มั้ยไอ้ตุ๊ดเอ้ย!!” ตำรวจคนหนึ่งตะโกนออกมา ในตอนนั้นมันทำให้เพี้ยนถึงกับปรี๊ดขึ้นหน้า

    “นี่ การเหยียดแบบนี้มันไม่ใช่วิถีคนฉลาดเลยนะครับคุณตำรวจ โลกมันกว้างไกลไปถึงไหนแล้ว หันทันโลกซะบ้าง อย่าเก่งแต่ในกะลาโง่ๆสิครับ!!” เพี้ยนตอบกลับไป

    “ฮืม ไอ้บ้านี่!!” ตำรวจคนนั้นจะชักปืนออกมา แต่ตำรวจคนขับก็ห้ามเอาไว้ก่อน

    “เฮ้ยๆๆ พอเหอะ จะไปเอาอะไรกับมันวะ เออนี่ รีบเอาตัวมันไปหน่อยก็แล้วกัน” ตำรวจคนขับพูดกับเจ้าหน้าที่หน้าป้อมยาม จากนั้นไม่นานพวกเจ้าหน้าที่ก็รีบมาเอาตัวเพี้ยนออกไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเพี้ยนก็มีท่าทางจะขัดขืนเล็กน้อย

    “นี่ไรท์ อย่าเพิ่งให้รีบไปสิ ขอถีบหน้าไอ้ตำรวจนั่นก่อน!!” เพี้ยนตะโกนออกมา และในตอนนั้น ตัวของเพี้ยนก็ดิ้นจนหลุดและถีบไปที่กระจกรถซึ่งในตอนนั้นตำรวจที่ด่าเพี้ยนกำลังเปิดกระจกอยู่ เพี้ยนเลยถีบหน้าตำรวจคนนั้นเข้าไปเต็มๆ

    “ไอ้สัส ไม่ทนแล้วโว้ย!!” ตำรวจคนนั้นชักปืนออกมา แต่ในตอนนั้นตำรวจพวกของเขาก็ห้ามเอาไว้ เจ้าหน้าที่ของ UNASO ก็รีบมาจับตัวเพี้ยนไปอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ UNASO ก็รีบเอาตัวเพี้ยนเข้าไปในโกดังนั้นในทันที

    “เฮ้อ สะใจมากเลยไรท์ ความจริงอยากกระทืบมันมากกว่านี้อีก!!”

    “เฮ้ยนี่ ไอ้นี่มันบ้าด้วย คุณลีน่าจะเอามันไปทำอะไรหล่ะ??” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ มันอาจจะมีความลับอะไรอยู่ก็ได้” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น

    “ถูกต้องเลยไรท์ ความจริงเรามีความลับอีกเยอะ ไม่ต้องห่วง คืนนี้จะมีคนมาช่วยเราใช่หรือเปล่าหรอก แต่หายห่วง เรายังไม่ไปกับคนพวกนั้นหรอก เพราะเรายังต้องรอเจอใครบางคนด้วย” เพี้ยนพูดขึ้น

    “อะไรของมันวะเนี่ย หาอะไรปืดปากมันหน่อยได้หรือเปล่า??” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามไป

    “เล่นอย่างงี้เลยเหรอไรท์ งั้นเราเงียบก่อนก็ได้ค่ะ ชิ!!” เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเพี้ยนก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเลย ทำเอาเจ้าหน้าที่ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

     

    กลับมายังสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ห้องทำงานของซูซาคุ ตัวของเธอทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจัดการเรื่องเอกสารของเธอ รวมถึงจัดการเรื่องร่างกฎหมายผู้เกิดใหม่ซึ่งเธอกำลังศึกษาและเตรียมจะบังคับใช้เรื่องนี้ และในขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตัวของซูซาคุก็รีบไปรับสายในทันที

    “สวัสดีค่ะ”

    “คุณซูคาคุ นี่ผมเองนะครับ ยังจำเสียงผมได้หรือเปล่า??” 

    “อ้อ ท่านรัฐมนตรีคะ มีธุระอะไรไม่ทราบคะ??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ผมอยากมาคุยเรื่องกฎหมายผู้เกิดใหม่กับคุณหน่ะ”

    “ถ้าท่านจะมาเปลี่ยนใจฉัน ฉันบอกเลยว่าฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมแค่อยากจะมาเตือนคุณหน่ะ” 

    “เตือน เตือนดิฉันเรื่องอะไรกันคะ??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย

    “เรื่องที่คุณกำลังจะผลักดันตอนนี้มันส่งผลสะเทือนไปทั่ว ตอนนี้องค์กรลับ UNASO กำลังหมายหัวคุณอยู่ ตอนนี้พวกนั้นกำลังปฏิบัติการที่เมืองไทยด้วย”

    “เรื่องนั้นดิฉันรู้แล้วค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “ก็ใช่ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกนั้นจะเอาจริงแล้วหล่ะ เพราะว่านอกจากพวกนั้นจะตามล่าหัวเธอแล้ว ตอนนี้เป้าหมาย S ก็กำลังหมายหัวเธอด้วย” 

    “S เหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันจะระวังค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น

    “อืม ตอนนี้คุณกำลังเอาคอไปขึ้นเขียงอยู่ ผมพูดได้แค่นี้ ยังไงก็ระวังตัวด้วยหล่ะ” เขาพูดกับซูซาคุ จากนั้นก็รีบวางสายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเธอก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของเธอต่อเพื่อทำงานของเธอ

    “เฮ้อ จะเอาแบบนี้กับฉันเหรอคะคุณคริสเตียล ว่าแต่เป้าหมาย S ของเราเปิดเผยตัวแล้วอย่างงั้นเหรอ??” ซูซาคุถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเธอก็นอนเอนหลังไปเพื่อพักผ่อน

     

    กลับมายังห้องพักของนายแสน ในตอนนั้นตัวของแสนก็กำลังนอนนึกอะไรบางอย่างอยู่บนเตียงคนป่วย ซึ่งในตอนนั้นลูกน้องของเขามากมายก็กำลังนั่งเฝ้าเขาอยู่ในห้อง

    “เฮ้ย พวกแกออกไปก่อน!!” นายแสนพูดออกมา

    “เออ แต่นายครับ”

    “ไปเร็ว!!” นายแสนตะโกนออกมา และในตอนนั้นลูกน้องของเขาทุกคนก็รีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกนั้นออกไปกันหมดแล้ว ไม่นานนัก ตัวของเขาก็หยิบเอาปืนลูกโม่กระบอกหนึ่งที่เขาพกติดตัวไว้ออกมา จากนั้นก็เอามาจ่อขมับของเขาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังไม่กล้ายิงออกมา ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ สส.สุรสิงห์ พ่อของเขาก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นภาพที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบปืนชองลูกเขามาในทันที

    “นี่มึงเป็นบ้าอะไรของมึงวะ??” นายสิงห์ถามลูกของเขาไปด้วยความโมโห

    “พ่อ ผมอยากจะมีพลังแบบมัน ผมจะได้ไปล้างแค้นมัน” นายแสนพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นนายสิงห์ก็ตบหน้าลูกของเขาอย่างรวดเร็ว

    “แกคิดว่าคนอย่างแกจะมีพลังแบบมันงั้นเหรอ ไอ้โง่??” นายสิงห์ถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเขาก็ปล่อยลูกของเขาไว้บนเตียงอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้อ แกนี่นะ แกมันโง่จริงๆ เมื่อไหร่แกจะเลิกโง่ซะทีวะเนี่ย??” นายสิงห์ถามอย่างสงสัย

    “โธ่พ่อ ถ้ามันไม่ตาย ผมนอนตาไม่หลับนะพ่อ” 

    “แกอาจจะได้ตายก่อนที่จะนอนหลับหน่ะสิ แกไม่มีอะไรสู้มันได้ เลยคิดจะทำอะไรโง่ๆเนี่ยนะ แกคิดว่าชีวิตหลังความตายแบบนั้นมันดีนักเหรอ??” นายสิงห์ถามอย่างสงสัย

    “โธ่พ่อ ถ้ามีพลังแบบมันก็น่าสนใจอยู่นะ” 

    “แต่พลังของมันก็มีสิ่งที่ต้องแลกมาด้วย แล้วอีกอย่าง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบมันได้นะเว้ย แกนี่นะ เมื่อไหร่จะคิดได้ซักที??” นายสิงห์ตะโกนถามไปคำเดียว ทำเอานายแสนถึงกับเงียบไปเลย

    “ฮือๆๆๆ ทำไมผมต้องมาเจอคนอย่างมันด้วย??” นายแสนพูดและร้องไห้ออกมา

    “แบบนี้เขาเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าไงหล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะให้คนของฉันมาคุมแก ไม่ให้มาทำอะไรโง่ๆอีก เพราะตอนนี้ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวกับแกแล้วนะ” นายสิงห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ดังเข้ามาจากเครื่องของเขา เขารีบรับสายมันอย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีครับท่านนายก”

    “ท่านว่าไงนะครับ มันหายตัวไปอย่างงั้นเหรอครับ”

    “ได้ครับ ถ้าอย่างงั้นผมจะช่วยลากตัวมันมาครับ” นายสิงห์พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบเดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนไปนอกห้อง ตัวของเขาก็พูดกับลูกน้องของเขาที่ถูกส่งมาเฝ้านายแสน

    “จับตาดูลูกฉันไว้ ต่อไปนี้รับคำสั่งจากฉันอย่างเดียว อย่าให้มันฆ่าตัวตายเด็ดขาด!!” นายสิงห์ตะโกนสั่งพวกเขาอย่างดุดัน ทำเอาคนพวกนั้นถึงกับไม่กล้าหือไปเลย

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในตอนนั้นตัวของเขาก็ยังคงพยายามหาคำตอบว่าใครใช้กระแสจิตติดต่อกับเขา ตัวของเขาพยายามนั่งสมาธิเพ็งหา แต่ก็แทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย

    “นายท่านขอรับ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ??” วิญญาณรับใช้ของเขาถามอย่างสงสัย

    “ไม่ว่ามันเป็นผู้ใด ข้าจักต้องตามล่าตัวมันให้ได้” วิบัติพูดขึ้น

    “ท่านให้กระผมไปตามล่าพวกมันเลยดีหรือไม่ขอรับ??”

    “ยังก่อน พวกเจ้าสู้กับมันมิได้ดอก” วิบัติพูดขึ้น

    “โธ่นาย แล้วนายจะปล่อยไว้เยี่ยงนี้หรือขอรับ??” 

    “ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้หรอก แล้วเพลานี้พวกเจ้าไปเตือนพวกเราแล้วหรือไม่??” วิบัติถามอย่างสงสัย

    “แจ้งแล้วขอรับนายท่าน”

    “ข้าใคร่อยากรู้นักว่ามันเป็นผู้ใด เห็นทีข้าคงต้องเร่งเรียนวิชาอีก 2 ขั้นเสียแล้วหล่ะ” วิบัติพูดขึ้น

    “แต่มันไม่เคยมีผู้ใดฝึกสำเร็จเลยนะขอรับ แม้แต่พ่อของนายท่าน”

    “เออ พวกเจ้ามิต้องพูดดอก หาจักหาทางเอง” วิบัติพูดทิ้งท้ายเอาไว้

     

    ในเครื่องบินลำหนึ่ง ซึ่งลอยลำอยู่เหนือน่านฟ้าแปซิฟิก เครื่องบินซึ่งกำลังเดินทางไปยังทวีปเอเชียประเทศหนึ่ง และเครื่องบินลำนั้นพา The Green โดยสารมาด้วย ตัวของเธอและนักวิทยาศาสตร์ที่เดินทางมากับเธอด้วยพากันพักผ่อนบนเครื่องบินลำนั้น ในขณะเดียวกัน ตัวของ The Green ก็นั่งเล่นโน๊ตบุ๊คเพื่อคุยแชทกับใครบางคนไปด้วย

    “ข่าวที่คุณได้มาเป็นยังไงบ้าง??” The Green พิมพ์ถามไป

    “ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ โปรเจ็กค์ S กำลังเดินทางมายังเมืองไทยครับ”

    “อืม ดี แล้วพวกมันจะไปที่ไหนหล่ะ??”

    “ได้ข่าวมาว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่กบดานของพวก UNASO ครับผม” 

    “อืม ถ้าอย่างงั้น จองโรงแรมที่ใกล้กับสถานที่นั้นให้ฉันและพวกของฉันอีก 30 คนด้วยหล่ะ”

    “ได้เลยครับผม”

    “อืม ส่วนเรื่องหน่วยนั่น ฉันจะติดต่อคุยกับคริสเตียลเอง รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐสั่งให้เราจัดการกับโปรเจ็กค์ S ให้ได้ ไม่ว่าจะยังไง”

    “ครับ เรื่องนั้นผมทราบดีแล้วหล่ะครับ”

    “งานนี้มันเป็นงานช้าง ยังไงก็ต้องระวังไว้ทุกฝีก้าวด้วยหล่ะ เพราะพวกของโปรเจ็กค์ S นั่น หูตาอย่างกับสัปปะรด พวกมันอาจจะกำลังสอดแนมเราอยู่ก็ได้”

    “ครับผม ผมจะดำเนินการไม่ให้มีปัญหาครับ เอาไว้เจอกันเมื่อคุณมาถึงเมืองไทยนะครับ” 

    “UNNAMED ออกจากการสนทนา”

    ตัวของ The Green เห็นดังนั้นจึงรีบปิดโน๊ตบุ๊คของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็กลับไปเอนหลังนอนที่ที่นั่งของเธออย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังที่ตั้งของหน่วย UNASO เจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังเตรียมพร้อมเพื่อคุ้มกันโกดังอย่างแข็งขัน โดยที่ในห้องพักของอัญชัน ในระหว่างที่ตัวของแสงจันทร์กำลังนอนเฝ้าอยู่หน้าห้องของอัญชันนั้น จู่ๆ เจ้าหน้าที่สองคนก็เอาตัวเพี้ยนเข้ามาในห้องขังด้วย ในขณะที่แสงจันทร์ก็ตื่นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 

    “เฮ้ มีอะไรกันงั้นเหรอ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย

    “อ้อ เราจับคนมาได้คนหนึ่งครับ” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น จากนั้นไม่นาน เขาก็ลากเอาตัวของเพี้ยนไปขังอยู่รวมกับอัญชันในทันที อัญชันในตอนนั้นก็ลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    “นี่ นาย โดนจับมาที่นี่ด้วยเหรอ??” อัญชันถามเพี้ยนไป

    “โห เธอเองก็โดนจับมาสินะ แล้วหมอนั่นที่ชอบเธอก็มาคอยเฝ้าเธอด้วย แล้วอีกอย่าง อย่าเรียกฉันว่านายหรือเธอด้วยหล่ะ เรียกฉันว่าเพี้ยนก็พอ” เพี้ยนบอกกับอัญชันไป

    “นี่ ฉันไม่ได้ชอบซะหน่อย เราเป็นแค่เพื่อนกันหน่ะ แล้วอีกอย่าง เพี้ยนโดนจับมาได้ยังไงหล่ะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “ไม่มีอะไรหรอก ไรท์กำหนดให้เราโดนจับมาหน่ะ แล้วคืนนี้ระวังด้วยหล่ะ จะมีคนมาทำร้ายเธอ แต่ก็จะมีคนมาช่วยเธอด้วยนะ” เพี้ยนพูดขึ้น

    “เพี้ยนเป็นผู้เกิดใหม่สินะ เอาเถอะ ฉันไม่กลัวไอ้บ้านั่นหรอก” อัญชันตอบไป

    “เอาเถอะ เอาไว้เราจะช่วยก็แล้วกันนะ” เพี้ยนพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น ตัวของอัญชันเองไม่รู้เลยว่าแสงจันทร์กำลังแอบฟังอยู่ ตัวของเขาเมื่อได้ยินอัญชันพูดขึ้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่ในตอนนั้น รูกิก็เดินมาเยี่ยมเขาอย่างรวดเร็ว

    “นี่โร่ว์ เฝ้ายัยบ้านั่นอยู่เหรอ??” 

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก ฉันเป็นห่วงเพื่อนฉันหน่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “อืม ดูท่าทางจะสนิทกันดีนะ” รูกิพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ว่าแต่เธอมีอะไรหรือเปล่า??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย

    “ก็แค่อยากมาดูนายหน่อยหน่ะ คืนนี้ยังไงก็ระวังด้วยหล่ะ พวกมันอาจจะบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ ไว้เจอกันตอนจบเรื่องนะ” รูกิพูดขึ้น จากนั้นเธอก็จุ๊บเข้าที่แก้มของแสงจันทร์หนึ่งที จากนั้นเธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้แสงจันทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

    และอีกห้องหนึ่ง ในตอนนั้นตัวของวูฟก็กำลังคลั่งและอาละวาดอยู่ในห้องกว้างห้องหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง และก็ได้แต่เห่าหอนอะไรไปเรื่อยตามประสาหมาป่า และในขณะเดียวกันนั้นเอง คนอื่นๆก็รีบไปดูสภาพของวูฟหลังจากที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกของเขาจนแทบไม่ได้พักผ่อน

    “เฮ้ย เป็นบ้าอะไรของแกวะเนี่ย??” กาลีน่าตะโกนถามอย่างสงสัย

    “เงียบปากไปเลย หรือเธออยากจะมาเป็นที่ระบายให้ฉันหล่ะ??” วูฟตะโกนถามไป และในตอนนั้น ตัวของจ่าชัยก็เล็งปืนใส่วูฟอย่างรวดเร็ว

    “กูว่ามึงสงบสติอารมณ์ดีกว่าหว่ะ ไม่งั้นกูอาจจะทำปืนลั่นใส่มึงก็ได้!!” จ่าชัยพูดขึ้น

    “เออสิ มึงเป็นอะไรของมึงวะเนี่ย??” ยูริตะโกนถามเสริม

    “บ้าเอ้ย อย่ามายุ่งกับกู!!” วูฟตะโกนออกมา

    “นี่ ถ้าเกิดมึงกระสันขนาดนั้น มึงก็ไปหากินข้างนอกสิวะ” ยูริพูดขึ้น

    “เฮ้อ ฉันว่าให้ ให้เป็นหมื่นยังไม่ได้เลยมั้ง” กาลีน่าพูดด้วยท่าทางเยาะเย้ย

    “ใช่ แล้วถ้ามึงคิดจะไปทำระยำอะไรกับเด็กผู้หญิงคนนั้น กูไม่เอามึงไว้แน่” จ่าชัยพูดขึ้น และในตอนนั้น ตัวของวูฟก็โมโหสุดขีด จากนั้นมันก็วิ่งเข้ามาจะเล่นงานทุกคน แต่จ่าชัยก็ยิงปืนลงพื้นต่อหน้าวูฟ ทำเอาวูฟถึงกับหยุดนิ่งในทันที

    “นี่กระสุนเงิน อย่าทำอะไรโง่ๆดีกว่า” จ่าชัยพูดขึ้น

    “ปล่อยมันเถอะค่ะ ฉันไม่อยากจะเสวนากับมันแล้ว!!” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้อ นี่จ่า ปล่อยมันบ้าไปคนเดียวเถอะ” ยูริพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนจ่าชัยเองก็ค่อยๆลดปืนลง แล้วก็เดินตามคนอื่นๆออกไปอย่างรวดเร็ว

    “ไอ้พวกระยำเอ้ย!!” วูฟตะโกนไล่หลังพวกเขาไป

    ที่ห้องพักของคริสเตียล ในตอนนั้นคริสเตียลยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้อง ส่วนฮาเวิร์ด เวอร์รีน และรูกี้ก็ผลัดกันเฝ้าไข้ของเขาไปด้วย 

    “เออนี่ รูกิไปไหนของเธอหล่ะเนี่ย??” รูกี้ถามอย่างสงสัย

    “สงสัยว่าจะไปเดินตรวจรอบๆโกดังหน่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันเชื่อว่าคืนนี้พวกมันต้องบุกมาแน่ๆ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ฉันก็เชื่อแบบนั้น คุณลีน่าก็ดันไปจับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาอีก แบบนี้เรื่องได้บานปลายแน่ๆ” รูกี้พูดขึ้น

    “ว่าแต่ พอจะรู้เรื่องหรือยังว่าใครน่าจะอยู่เบื้องหลังลีน่า??” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “เรากำลังสืบอยู่ อีกไม่นาน ก็คงจะได้คำตอบแน่” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “อืม ว่าแต่ถ้าเกิดเรารู้ เราจะทำอะไรได้หล่ะ??” รูกี้ถามอย่างสงสัย

    “เอาเถอะ ยังไงก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรนี่” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “อืม ตอนนี้เราก็ต้องระวังทุกฝีก้าว พวกมันมาแน่ นี่ก็ตี 3 แล้ว ฉันไปชงกาแฟกินก่อนนะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

     

    และที่ห้องพักของลีน่า ในคืนนั้นตัวของเธอไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อรอให้นายของเธอเดินทางมาถึง โดยที่เธอได้คุยแชทกับเขาไปด้วยเพื่ออัพเดทสถานการณ์เพิ่มเติม

    “ที่รักคะ เดินทางเป็นยังไงบ้างคะ??”

    “อ้อ ก็โอเค ตอนนี้คุณเดวิดหลับไปแล้ว พรุ่งนี้ตอนสายๆ ฉันก้คงจะถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วหล่ะ”

    “ดีจังเลยค่ะ ถ้าอย่างงั้นฉันจะให้พวก UNASO ไปรับนะคะ”

    “อืม ยังไงก็อย่าเอิกเกริกมากก็แล้วกันนะ”

    “รับทราบค่ะที่รัก เชื่อมือฉันได้เลย”

    “อืม แล้วก็เอาอุปกรณ์ของฉันมาด้วย ฉันอยากจะสื่อสารกับพวกมันทุกคน ให้มันรู้ว่าใครใหญ่”

    “แน่นอนค่ะ เอาไว้เจอกันนะคะที่รัก xoxo”

    ตัวของนายของลีน่าหลังจากที่คุยจบ ตัวของเขาก็วางไอแพดของเขาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆรินไวน์ขาวราคาแพงขวดหนึ่งใส่ลงในแก้ว จากนั้นก็ดื่มอย่างสบายอารมณ์

    ===================================================================

    นาวินและคนอื่นๆ จะช่วยอัญชันไว้ได้หรือไม่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×