คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 14 : สงสัย
หมอคิมใช้เวลาซักพักในการทำแผลให้กับนนท์
โดยที่เขาก็ทายาให้ตรงนั้นทีตรงนี้ที
เนื่องจากว่าเขาเพิ่งจะลงน้ำทะเลมาด้วยก็เลยต้องใช้เวลาในการทำแผลหน่อย
“นี่นนท์ นายไปทำอะไรมาอย่างงั้นเหรอ” หมอคิมถามเขา
“อ้อ ไม่มีอะไรครับ แค่เรื่องตัวประกันนิดหน่อย”
“งั้นเหรอ ดีแล้วหล่ะที่เขาไม่ฆ่านาย”
“ผมก็ว่าอย่างงั้นแหละ”
“โอเค ตรงนี้เจ็บหน่อยนะ” หมอคิมรักษาแผลให้นนท์ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเขาพานนท์ออกมาด้านนอก
โดยที่เพื่อนคนอื่นๆของนนท์ก็กำลังรอเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“นนท์ เธอเป็นยังไงบ้างเนี่ย” ลินน์รีดและซานะพูดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“อ้อ ผมไม่เป็นไรแล้ว เจ็บนิดหน่อยหน่ะ” นนท์ตอบกลับไป
“ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้วหล่ะ
รักษาแผลนิดหน่อยก็กลับบ้านได้แล้ว”
หมอคิมพูดขึ้น
“เยี่ยมไปเลย แบบนี้เขาก็กลับบ้านได้แล้วสินะ” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ลินน์รีด อลาวดี้ ขอคุยเรื่องอาการของเธอหน่อยสิ”
หมอคิมพูดขึ้น
จากนั้นเขาก็พาลินน์รีดและอลาวดี้ไปพูดในห้องทำแผลที่พวกเขาเพิ่งจะออกมา จากนั้นหมอคิมก็เริ่มเปิดประเด็นในทันที
“ลินน์รีด ที่พวกเธฮทำมันเสี่ยงเกินไปนะ”
“ฉันรู้ค่ะหมอ ปารีสคงต้องมีคำตอบกับเรื่องนี้หน่ะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“เฮ้อ
ป่านนี้พวกเราคงกำลังหนีกันหัวซุกหัวซุนแล้วหล่ะ” อลาวดี้พูดขึ้น
“เออๆ
ป่านนี้พวกเคมเปนไตกำลังตามล่าพวกนายสุดหล้าฟ้าเขียวเลยหล่ะ” หมอคิมพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก
ตอนนี้นนท์กับคนอื่นๆรู้เรื่องนี้นะคะ”
ลินน์รีดพูดขึ้น
“แน่นอน ฉันจะเก็บไว้เอง”
หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จเรียบร้อย
พวกเขาก็ออกไปจากห้อง โยที่นนท์และพรรคพวกกำลังรออยู่พอดี
“อ้าว ไปคุยอะไรกันด้านในงั้นเหรอ” นาโอมิถามไป
“อ้อ
ผมคุยกับพวกเขาเรื่องโรคประจำตัวของญาติเขาหน่ะ” หมอคิมพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกนายยังไม่ไปเอายากันอีกเหรอ” อลาวดี้ถามพวกเขาไป
“อ้อ เรากำลังรอลินน์รีดเขาอยู่หน่ะ” ซานะพูดไป
“ฉันว่านะ เย็นนี้เราไปหาอะไรกินดีกว่า” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ก็ดีเหมือนกิน ฉันอยากหาอะไรกินพอดี” นนท์พูดขึ้น
“งั้นเหรอ แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันดีหล่ะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“ร้านแถวนี้ก็ได้ บอกมาเลย เดี๋ยวฉันเลี้ยงพวกเธอเอง” นาโอมิพูดขึ้น
“แหม่ พี่นาโอมิเลี้ยงทั้งที ต้องกินดีๆหน่อยสินะ” นนท์พูดแซวนาโอมิ
จากนั้นพวกเขาก็ไปรับยาเพิ่มเติมเพื่อฆ่าเชื้อโรคของแผล แต่ในขณะเดียวกัน
จู่ๆหน่วยเคมเปนไตก็เข้ามาในโรงพยาบาลนับสิบคน
จนพวกของนนท์ต้องหลบไปดูสถานการณ์แถวนั้นอย่างเป็นกังวล
“พวกนั้นมาทำอะไรกันแน่เนี่ย” นนท์ถามอย่างสงสัย
“คงมาตามหาพวกเขาที่มารักษาที่นี่หน่ะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“งั้นเหรอ ทำไมถึงต้องตามมาถึงที่นี่เลยหล่ะ” ฟรองเกอร์ถามไป
“ดูจากเรื่องที่เกิดวันนี้
พวกมันคงตามล่าทุกคนเลยหล่ะ”
ซานะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นเราออกไปทางหลังโรงพยาบาลกันดีกว่านะ” นาโอมิพูดขึ้น
“ได้เลย ถ้าอย่างงั้นตามผมมาเลยครับ” อลาวดี้พูดขึ้น
จากนั้นก็นำทางพวกเขาไปยังด้านหลังโรงพยาบาลเพื่อหลบหลีกจากพวกเคมเปนไตที่มาตามตัวเขา
พวกเขารีบหนีออกไปจากตึก จากนั้นก็รีบไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาลในทันที
จากนั้นอลาวดี้ก็พาพวกเขาออกมาได้สำเร็จ จนพวกเขาถึงกับโล่งใจ
“เฮ้อ เกือบตายหมดแล้วมั้ยหล่ะพวกเรา” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ไม่รู้มันจะตามพวกเธอมาถึงมหาลัยหรือเปล่า
ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ” ซานะพูดขึ้น
“พวกเราไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วงไป
ฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”
ลินน์รีดพูดขึ้น
“ร้านอาหารที่พวกเราจะไปอยู่ทางนั้นพอดีเลย
เหมาะเจาะจริงๆ”
อลาวดี้พูดขึ้น
“นั่นสิ ถ้าอย่างงั้นก็ไปกันเลยดีกว่า”
นาโอมิพูดทิ้งท้าย
จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังร้านอาหารเพื่อหาอะไรกินในทันที
และในโรงพยาบาล
หน่วยเคมเปนไตหลายคนก็ควานหาตัวกลุ่มกบฏที่หนีมารักษาตัวที่นี่
และในขณะเดียวกันก็พาชาวเอเชียที่บาดเจ็บมารักษาที่นี่กันด้วย โดยที่หมอคิมก็ออกมาคุยกับยามะดะ
หัวหน้าหน่วยเคมเปนไตที่พาคนมาที่นี่ในทันที
“สวัสดีครับท่าน มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” หมอคิมพูดไป
“อืม คุณพอรู้หรือเปล่า
ชายหนุ่มที่ชื่อนนท์เขาอยู่ที่ไหน”
“คุณมีธุระอะไรกับเขางั้นเหรอ”
“ผมแค่อยากจะขอบคุณเขานิดหน่อยหน่ะ”
“คุณไม่รู้เหรอครับ
ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่รับผู้ป่วยหน่ะ”
“ผมเข้าใจครับหมอ แต่เราต้องจับผู้ก่อการร้ายหน่ะ” ยามะดะพูดขึ้น
“แต่พวกเขาต้องรับการรักษานะครับ”
“ผมรู้หมอคิม แต่คุณต้องให้ความร่วมมือกับผม
ผมจะให้พวกเขารักษาตัวที่นี่ได้ แต่ถ้าพวกเขาหาย พวกเขาต้องได้รับการพิจารณาโทษ
ผมอยากให้คุณรู้ตัวนะว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“คุณจะเอาแบบนี้ก็ได้” หมอคิมเดินออกไปหลังจากที่พูดเสร็จ
และในขณะเดียวกัน
คนในหน่วยเคมเปนไตคนหนึ่งก็เดินมาหายามะดะเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น
“ท่านครับ เราจับตัวกลุ่มกบฏได้สิบคนครับ
ตอนนี้กำลังขยายผลอยู่”
“ดี เอาพวกมันกลับไป แล้วเตรียมประหารพวกมัน”
“อีกเรื่องหนึ่งครับท่าน
ตอนนี้ซาโต้กำลังเดินทางข้ามแดนเพื่อหนีคดีอยู่หน่ะครับ”
“ดี บอกให้เขาไปพบกับโซล
ให้เงินเขาไปส่วนหนึ่งด้วย”
“ได้เลยครับท่าน”
เมื่อยามะดะพูดจบ
ลูกน้องของเขาก็เดินออกไปทำงานของเขาต่อในทันที
ณ ชายแดนเขตปกครองและเขตเสรีของอเมริกา
กลุ่มของปารีสก็รีบออกเดินทางข้ามชายแดนก่อนที่ทุกอย่างมันจะแย่ลงกว่านี้
ในตอนนั้นเองดันเต้และโจอี้ก็พาสมัครพรรคพวกของเขาข้ามแดนเพื่อรวมกำลังกันและต่อต้านพวกญี่ปุ่น
โดยที่ในตอนนั้นเองคุณย่าออลเรียสก็เกิดมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง
เธอรีบบอกกับดันเต้และโจอี้ทันที
“เมฆหมอก กำลังใกล้เข้ามาหาพวกเราทุกทีแล้ว”
“คุณย่า คุณย่าพูดอะไรกันเนี่ย” ดันเต้ถามไป
“อันตรายใกล้เข้ามา
มีทางเดียวคือเผชิญหน้ากับพวกมัน”
“เผชิญหน้างั้นเหรอครับ
แต่ตอนนี้เรามีกำลังไม่พอนะครับ”
โจอี้พูดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน มีรถมอไซค์คันหนึ่งขี่มาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งคนขับก็คือปารีสที่เพิ่งจะหนีมานั่นเอง ดันเต้และโจอี้รีบเข้าไปถามเขาในทันทีด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้ย ฉันนึกว่าแกจะไม่รอดแล้วนะเนี่ย” ดันเต้พูดขึ้น
“ฉันเปลี่ยนเส้นทางจากทางเรือแล้วลงทางบก
จากนั้นก็หนีมาทางนี้แหละ”
“ทำไมแกไม่ออกทะเลไปเลยหล่ะพวก” โจอี้พูดขึ้น
“ตอนนี้กองเรือพวกมันคงปิดล้อมไว้หมดแล้ว
ไม่น่ารอดหรอก” ปารีสพูดขึ้น
“แล้วลินน์รีดไม่มากับนายอย่างงั้นเหรอ” ดันเต้ถามไป
“เธอไม่อยากมาก็เรื่องของเธอสิ ช่างหัวเธอด้วย”
“นี่ น้อยๆหน่อยพวก
อย่าลืมดิใครกันที่ทำให้เกิดเรื่องนี้”
โจอี้พูดขึ้น
“นี่นายหาเรื่องฉันงั้นเหรอ”
ปารีสกับโจอี้เกือบจะได้วางมวยกัน
แต่คุณย่าออลเรียสมาห้ามศึกของทั้งคู่เอาไว้ก่อน
“พอได้แล้ว นี่เรื่องมันยังแย่ไม่พองั้นเหรอ”
“นี่คุณย่าเป็นห่วงยัยนั่นเหรอครับ
ยัยนั่นไม่เป็นไรหรอก มีไอ้ยุ่นนั่นคอยดูแลอยู่แล่วนี่”
“เฮ้ย ทำไมต้องหาเรื่องกันแบบนี้วะ” โจอี้ตอบไป
“พอได้แล้วหล่ะ พวกเราปลอดภัยก็ดีแล้ว
รีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
คุณย่าออลเรียสพูดขึ้น จากนั้นกองกำลังของพวกเขาก็เริ่มข้ามชายแดนเพื่อหลบหนีจากการตามล่าของทหารญี่ปุ่นที่กำลังตามล่าพวกเขา
ณ กรุงเว้ อินโดจีน เวียดนาม
หลังจากที่โกโร่ได้พักผ่อนเสร็จเรียบร้อยในโรงแรมแห่งหนึ่ง
เขาก็รีบเตรียมกล้องและข้อมูลข่าวของเขาเพื่อติดตามข่าวในกรุงฮานอย หลังจากที่พวกเขาเตรียมของเสร็จ
ทีมงานอีกสองคนก็ตามพวกเขามาถึงโรงแรมในทันทีในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวกันอยู่
“สวัสดีคุณโกโร่ ฉันยูมิ เป็นผู้ช่วยของเธอ
แล้วนี่ก็เพื่อนฉัน ฉางเจ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“สวัสดียูมิ
ผมอยากทักทายกับคุณนะแต่ตอนนี้พวกเรากำลังยุ่งเลย” โกโร่พูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกคุณพอรู้สถานการณ์ที่นี่หรือเปล่าหล่ะ” ซุนกิวถามไป
“อ้อค่ะ
ตอนนี้ได้ยินว่ากองทัพไทยได้ส่งทหารบุกเข้าไปเวียดนามเหนือมากขึ้น ระเบิดก็ทิ้งแทบจะทั้งวันทั้งคืนเลย
ตอนนี้รถไฟประจัญบานกำลังเคลื่อนผ่านลาวมาที่นี่ด้วย”
“คุณพอจะรู้หรือเปล่าเป็นรถไฟรุ่นไหน” โกโร่ถามไป
“สายข่าวแจ้งมาว่าเป็นหัวรถไฟหมายเลข 42 หน่ะค่ะ” ยูกิพูดขึ้น
“โห จริงเหรอ นี่ท่าทางกองทัพไทยจะเอาจริงนะเนี่ย” ซุนกิวพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกเราจะออกเดินทางกันตอนไหนหล่ะ” ฉางเจ้าถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้เลยก็ได้ครับผม” โกโร่พูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็เจอกับเครื่องบินทิ้งระเบิดและเฮลิคอปเตอร์ที่บินข้ามหัวเขาไป
ทำเอาพวกเขาตกใจกันยกใหญ่
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโจมตีอีกแล้วสินะ” ซุนกิวพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นรีบขึ้นรถกันเลยดีกว่า”
โกโร่รีบให้ทีมงานของเขาขนกล้องและไมค์ขึ้นไปบนรถ
จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถออกเดินทางไปยังกรุงฮานอยในทันทีอย่างเร่งรีบ
ณ เขตมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
หลังจากที่โซลจัดการกลุ่มกบฏทั้งสามคน
เขาก็เดินทางเข้าไปในเขตป่าเพื่อตามล่าตัวไวเวิร์นในทันที
เขาเดินทางลัดเลาะไปตามเขาซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนมักจะเดินลงไปมาเพื่อตรวจตรา และจากนั้นไม่นาน
เขาก็เจอกับค่ายๆหนึ่งซึ่งพวกเขากำลังจัดการค่ายของพวกเขาใหม่หลังจากถูกทิ้งระเบิด
ในตอนนั้นเองโซลก็ปีนต้นไม้แถวนั้นขึ้นไปเพื่อดูสถานการณ์เพิ่มเติม
แล้วก็ไม่ผิดหวัง เขาก็พบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นไวเวิร์นแน่ๆ
ซึ่งไวเวิร์นในตอนนั้นก็กำลังช่วยกันจัดการสถานการณ์ในค่ายอยู่กับเพื่อนของเขา
“นี่ ตอนนี้คนเจ็บเป็นยังไงบ้างหล่ะ” ไวเวิร์นถามโบซอลไป
“ฉันพาไปรักษาที่กระท่อมด้านนั้นแล้วหล่ะ” โบซอลพูดขึ้น
“แต่ถ้ามีการทิ้งระเบิดกันอีกรอบ พวกเราตายหมดแน่” เจนนี่พูดขึ้น
“ฉันขอออกความเห็นนะ เราย้ายค่ายไปที่อื่นดีกว่า” โบซอลพูดขึ้น
“งั้นเหรอ แล้วคุณไวเวิร์นคิดว่ายังไงหล่ะ” เจนนี่ถามไวเวิร์น
“ไม่ต้องหรอก ถ้าเรามีปืนต่อสู้อากาศยานเมื่อไหร่
เราสู้ได้แน่”
ไวเวิร์นพูดขึ้น แต่เขาไม่สังเกตว่ามีมือสังหารกำลังเล็งปืนพกกระบอกหนึ่งไปที่เขา
โดยที่โซลก็เล็งเข้าไปที่หัวเพื่อสังหารในทันที แต่จู่ๆ
ไวเวิร์นก็สังเกตอะไรบางอย่างบนต้นไม้ และในตอนนั้นเองเซ้นส์ของเขาก็เริ่มทำงาน
“หลบเร็ว”
โซลยิงไวเวิร์นแต่กระสุนเฉี่ยวเขาไปนิดเดียว
โซลเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปีนลงจากต้นไม้แล้วยิงคนที่ขวางทางเขา
“ตามฉันมาแล้วกัน”
ไวเวิร์นรีบวิ่งตามโซลไป โดยที่โซลพยายามยิงสกัดไวเวิร์นไว้แต่ไวเวิร์นก็ไล่ตามเขาไปอย่างไม่ลดละ
จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่ง ไวเวิร์นกระโดดตะครุบตัวโซลได้ในขณะที่โซลกำลังหนีลงเขา
จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ออกหมัดใส่กันอย่างไม่ยั้ง
โซลออกหมัดสวนไวเวิร์นเข้าไปแต่ไวเวิร์นจับหมัดของโซลเอาไว้ได้
“ใช่ได้นี่หว่า แกสินะไวเวิร์น”
“ใช่ ใครส่งแกมาวะ พวกเคมเปนไตหรือเปล่า” ไวเวิร์นถามเขาไป
“ถ้าใช่แล้วแกจะทำไม อย่าคิดนะว่าฉันจะกลัวแก”
“นี่ไม่ใช่สงครามของแก กลับบ้านไปซะ” ไวเวิร์นตอบโซลไป
“เงินมันเยอะหน่ะ นายคงเข้าใจนะเว้ย”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ระวังตัวให้ดี
แกคงไม่ได้กลับไปใช้เงินแล้วเหรอ”
“คิดว่าทำได้ก็ลองดู”
ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างชุลมุน
แต่ในตอนนั้นโซลก็เริ่มสู้แรงไวเวิร์นไม่ไหว เขาเลยชักเอาเข็มอะไรบางอย่างมาขว้างใส่ไวเวิร์น
ไวเวิร์นจับเข็มเอาไว้ได้ แต่มันเป็นเข็มยาพิษ ไวเวิร์นจับพิษไปจึงเริ่มมีอาการเวียนหัว
ในขณะที่โซลเตรียมจะสังหารไวเวิร์น
เพื่อนๆของไวเวิร์นก็ถือปืนมาแล้วไล่ยิงโซลจนต้องหนีกลับเข้าไปในป่า
โดยที่พวกเขาก็ส่งคนบางส่วนเพื่อออกตามล่าโซล
เจนนี่กับโบซอลรีบไปดูอาการของไวเวิร์นในทันที
“ไวเวิร์น เป็นอะไรหรือเปล่า” เจนนี่ถามเขา
แต่เจนนี่ดันไปเห็นเข็มเล่มหนึ่งที่อยู่บนพื้น ที่สังเกตแล้วเธอรู้ว่ามันคือยาพิษ
“แย่แล้วโบซอล เขาโดนยาพิษ”
“เฮ้ย จริงเหรอ รีบพาเขาเข้าไปรักษาเร็ว”
โบซอลและเจนนี่รีบแบกไวเวิร์นเข้าไปในค่ายทันที
โดยที่มีหมออยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นหมอประจำค่ายก็รีบมารักษาไวเวิร์นในทันที
ก่อนที่ไวเวิร์นจะโดนยาพิษจนตาย
และอีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่โซลหนีออกมาจากป่าได้สำเร็จ แล้วรีบไปขึ้นรถของเขาในทันที
แต่จู่ๆก็มีสัญญาณเข้ามาจากวิทยุสื่อสารของเขา เขารีบหยิบมันขึ้นมาพูดในทันที
“นั่นใครพูดหน่ะ”
“นี่ฉันหมวดซาโต้นะ นายมาหาฉันที่เซฟเฮ้าส์หน่อยสิ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่หล่ะ”
“เรื่องมันยาว เอาเป็นว่ารีบมาเถอะ”
โซลรีบวางสาย จากนั้นเขาก็รีบขับรถออกจากป่าเพื่อขับกลับไปยังเซฟเฮ้าส์ของตัวเองในทันที
เพื่อไปพบกับซาโต้ที่กำลังรอเขาอยู่
กลับมายังศูนย์บัญชาการหน่วย SS มิชิแกน
หลังจากที่แองเจลล่าดำเนินการเกี่ยวกับกำแพงเขตแดนใกล้จะสำเร็จแล้ว
เธอรีบไปรายงานนายพลสติฟท์ในทันทีเรื่องความคืบหน้าในการก่อสร้าง
แต่ในขณะที่เธอกำลังเดินเข้าไปในห้องของนายพลสติฟท์ เธอก็เห็นเขากำลังคุยกับนายทหารอีกคนหนึ่งอยู่
แองเจลล่ารีบเดินเข้าไปคุยในทันที
“ท่านคะ
ดิฉันจะมารายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าการสร้างกำแพงค่ะ”
“รอเดี๋ยวก่อนก็แล้วกัน
ตอนนี้เรากำลังสืบเรื่องนี้อยู่”
“เรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอคะ” แองเจลล่าถามอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้เรากำลังตามสืบเรื่องของไวเวิร์น
คริสอยู่หน่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ
แล้วได้ความคืบหน้าอะไรหรือเปล่าคะ”
“สายข่าวแจ้งมาว่าไวเวิร์น
กำลังเผยตัวออกจากฐานที่มั่นหน่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ แล้วเราจะทำยังไงต่อหล่ะคะ”
“เราจะส่งคนไปจัดการเขา เพราะถ้าเราจัดการได้
กลุ่มกบฏแถวนี้จะกลายเป็นอัมพาตในทันทีเลย”
“แล้วเป้าหมายรองหล่ะคะ มีหรือเปล่าคะ” แองเจลล่าถามอย่างสงสัย
“เท่าที่ดูตอนนี้มีอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อโบซอล
คนหนึ่งชื่อเจนนี่ เรารู้แค่นี้แหละ”
“ไม่แน่นะคะ ถ้าเราจัดการผู้ช่วยเขาก่อน
เราอาจเข้าถึงตัวเขาก็ได้”
แองเจลล่าออกความเห็น
“ก็นะ ใส่ใจไว้ก่อนก็ดี
ตอนนี้ไวเวิร์นคือเป้าหมายหลัก อีกสองคนคือเป้าหมายรอง เดี๋ยวฉันจะให้หน่วย 51
จัดการเรื่องนี้เอง”
“รับทราบค่ะท่าน”
แองเจลล่าวางรายงานไว้บนโต๊ะของนายพลสติฟท์
จากนั้นเธอก็เดินออกไปนอกห้องในทันที
กลับมายังกรุงสตาลินกราด หลังจากที่กลุ่มของเรซนอร์ฟมาถึงเมือง
พวกเขาก็เริ่มสำรวจเมืองที่เพิ่งจะโดนทิ้งระเบิดจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
ประชาชนบางส่วนก็เดินบาดเจ็บไปตามทาง ดูแล้วเป็นภาพที่น่าหดหู่พอสมควร
เรซนอร์ฟพยายามติดต่อหน่วยต่อต้านในพื้นที่แต่ก็ยังดูเหมือนจะยังไม่พบใครเลย
“นี่เรายังไม่เจอใครเลยเหรอครับเนี่ย” เอลซาร์วินด์ถามอย่างสงสัย
“โห ที่นี่ไม่ต่างจากสตาลินกราดครั้งแรกเลยนะ” ดาโกวิชพูดขึ้น
“อย่าเพิ่งสติแตก ไม่ต้องห่วง
เราต้องเจอหน่วยต่อต้านในพื้นที่แน่ๆ”
เรซนอร์ฟพูดขึ้น
แต่จู่ๆมีหญิงสาวคนหนึ่งถือตะกร้าจ่ายตลาดเดินมาหาพวกเขา
“คุณเรซนอร์ฟ ทางนี้เลยค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นพาเรซนอร์ฟเข้าไปยังตึกหลังหนึ่ง
จากนั้นเธอก็เปิดประตูห้องใต้ดินเข้าไป จากนั้นเธอก็พาพวกเขาไปเจอกับกลุ่มคนหลายคนที่กำลังนั่งบาดเจ็บอยู่บนพื้น
บางส่วนก็กำลังเช็คอาวุธ บางส่วนก็กำลังเตรียมเสบียงและของเพิ่มเติม
หญิงสาวคนนั้นพาเรซนอร์ฟและพรรคพวกมายังห้องๆหนึ่ง
ซึ่งมีชายในชุดนายทหารหลายคนกำลังยืนวางแผนอยู่บนโต๊ะ เมื่อพวกเขาเห็นเรซนอร์ฟ
พวกเขาก็เดินเข้าไปหาเรซนอร์ฟในทันที
“สวัสดีเรซนอร์ฟ ยินดีมากที่คุณมา”
“ท่านรัฐมนตรียูริครับ” เรซนอร์ฟจับมือกับรัฐมนตรียูริในทันที
“ผมอยากทักทายกับคุณให้มากกว่านี้นะ
แต่ตอนนี้เรากำลังยุ่งเลย หลังจากที่เราประกาศเอกราชได้ไม่นาน เรื่องแย่ๆก็เกิดตาม
เราคิดว่าจะควบคุมได้แต่ก็อย่างที่เห็นนี่หล่ะ”
“แล้วกำลังทางบกของพวกมันจะมาที่นี่เมื่อไหร่หล่ะครับ” เรซนอร์ฟถามอย่างสงสัย
“เราไม่แน่ใจ แต่อย่างเร็วที่สุดก็คง 2 วันหล่ะ”
“ใช่ แล้วถ้าพวกมันมาที่นี่ พวกเราตายกันหมดแน่” รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
“ผมว่า เราควรจะไปสกัดทัพของพวกมันตอนนี้เลย
ที่ชานเมืองเลยครับ”
เรซนอร์ฟออกความเห็น
“ได้เลย ตอนนี้ผมมีชาวรัสเซียที่พร้อมจะสู้อยู่ 8
แสน แต่พวกมันมีราวๆ 2 ล้านได้ งานนี้เรามีคนน้อยกว่า อาวุธน้อยกว่า
ถ้าจัดการยันได้ซัก 1 อาทิตย์ กำลังเสริมของเราอาจจะมาถึงก็ได้”
“ครับท่าน”
เรซนอร์ฟพาลูกน้องของเขาทั้งสามคนเดินออกไป จากนั้นก็ไปนั่งพักที่เก้าอี้ที่หนึ่งในห้องรับรองแล้วพูดคุยอะไรกันในทันที
“เอาหล่ะ เรามีเวลา 1 อาทิตย์ ยันที่นี่เอาไว้
เราต้องรีบจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“คุณอยากได้อะไรก็สั่งผมมาเลยครับ” เอลซาร์วินด์พูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็นั่งซดวอดก้ากันไปเพื่อย้อมใจก่อนจะทำงานใหญ่ที่ได้รับมอบหมาย
อีกฝากหนึ่งในแนวรบฝั่งตะวันออก กรุงเคียฟ ยูเครน
รถโฟล์คสวาเก้นดีไซน์รถสปอร์ตสีดำคันงามคันหนึ่งกำลังขับมาตามถนน
โดยที่เขาขับมาจอดไว้ในลานจอดรถตึกแห่งหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ลงจากรถเพื่อเข้าไปยังสำนักงานแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นหน่วยบัญชาการของกองทัพซึ่งเตรียมเข้าจู่โจมกรุงสตาลินกราด
ชายคนนั้นเข้าไปทำความเคารพทหารที่อยู่ด้านในทันทีเมื่อเข้ามาแล้ว
“สวัสดีปีเตอร์ มาจนได้สินะ”
“แน่นอนครับ สถานการณ์รบเป็นยังไงบ้างหล่ะ” ชายหนุ่มที่ชื่อปีเตอร์พูดขึ้น
“ตอนนี้กำลังพละกำลังจะจู่โจมเข้าไปอีก 2 วัน
ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมกำลังไว้แล้ว ปืนใหญ่และเครื่องบินทิ้งระเบิดจะจู่โจมก่อน
จากนั้นรถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์จะบุกเป็นหัวหอกเข้าไป”
“กำลังพลมีประมาณเท่าไหร่กันหล่ะ”
“นี่คุณปีเตอร์ คุณมาที่นี่แค่รักษาความสงบในเมือง
ไม่ใช่ก้าวก่ายงานของเรานะ”
“เปล่า ผมแค่อยากรู้ เผื่อว่าจะช่วยคุณได้ แต่ช่างมันเถอะ
ยังไงก็รอดูก็แล้วกัน”
ปีเตอร์พูดขึ้นจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
ในขณะที่เขากำลังจะเดินลงไปชั้นล่าง
จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู๋ด้านล่าง
เมื่อเธอเจอเขาจึงเรียกเขาพอดี
“ปีเตอร์ ที่รัก มาทางนี้หน่อยสิ”
ปีเตอร์เดินเข้าไปนั่งกับเธอ
จากนั้นก็เริ่มการสนทนาในทันที
“เธอนี่ไวจริงๆเลยนะ คาซาเมีย”
“แน่นอน ฉันรู้หมดหล่ะว่าเธอจะไปไหน ว่าแต่นายจะทำยังไงต่อหล่ะ”
“พวกเขาจะเตรียมเข้าตีสตาลินกราดใน 2 วันหน่ะ” ปีเตอร์พูดขึ้น
“งานนี้ไม่ง่ายแน่ๆ รอดูได้เลย” คาซาเมียพูดขึ้นพลางจิบกาแฟไปด้วย
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้น ฉันขอสั่งกาแฟเพิ่มด้วย” ปีเตอร์สั่งกาแฟหนึ่งที
จากนั้นเขาก็นั่งดื่มกับคาซาเมียด้วยกัน
ณ ที่ไหนซักแห่งในทะเลอาหรับ
กองเรือของมิคาอิลแล่นฝ่าคลื่นลมที่รุนแรงไปตามทางเพื่อผ่านอินเดียมุ่งเข้าสู่จีน
โดยที่มิคาอิลอยู่ในหอบังคับการไปด้วยเนื่องจากว่ามิคาอิลต้องการความมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่เจอทัพเรืออินเดียคอยดักรอพวกเขา
“ลมมันแรงเกินไป
เราคงต้องแล่นอยู่นิ่งๆซักพักแล้วหล่ะ” ลูกน้องของมิคาอิลพูดกับเขาในขณะที่ส่องกล้องมองไปด้านหน้า
“ไม่ต้องห่วง
ฉันพอจะฝ่าออกไปได้น่า” มิคาอิลพูดขึ้น
“หวังว่าเราจะไม่เจอกองเรือพวกอินเดียนะครับ” ลูกน้องของเขาตอบกลับไป
“ถ้าโชคดีนะ
ตอนนี้พวกนั้นกำลังบุกตะวันออกกลางอยู่นี่” มิคาอิลพูดขึ้น
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ค่อยๆฝ่าคลื่นลมที่รุนแรงขึ้นเพื่อออกไปจากทะเลอาหรับ
แต่พวกเขาไม่ยอมเข้าใกล้ชายฝั่งอินเดียเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้กองเรือพวกมันอยู่ที่ไหนครับเนี่ย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
น่าจะเดินทางไปอิหร่าน ไม่ก็ซาอุหล่ะนะ” มิคาอิลพูดขึ้น
“เครื่องบินพวกมันจะมาเจอพวกเราหรือเปล่าครับ”
“พายุหนักขนาดนี้ไม่มีเครื่องบินลำไหนขึ้นหรอก”
มิคาอิลพูดขึ้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็แล่นไปเรื่อยๆจนพวกเขาผ่านมายังทะเลที่ปลอดภัยได้สำเร็จ
“ตอนนี้พายุเริ่มอ่อนลงแล้ว
รีบไปกันต่อดีกว่า เราจะต้องฝ่าอินเดียไปให้ได้ ถ้าผ่านไทยได้ก็ปลอดภัยแล้วหล่ะ”
มิคาอิลพูดขึ้นมา
“แต่ว่า
ถ้าเจอกองเรือญี่ปุ่นหล่ะครับ” ลูกน้องของมิคาอิลถามเขาไป
“เราจะไปที่ไฮฟอง
แล้วขับรถผ่านไปชายแดนจีน ที่นั่นฉันติดต่อพวกเราเอาไว้แล้ว”
“คุณว่าที่เวียดนามจะปลอดภัยเหรอครับ
ได้ยินว่าทัพอากาศไทยทิ้งระเบิดแทบจะทุกวันเลยนี่ครับ”
ลูกน้องของเขาถามอย่างสงสัย
“แน่นอน
ฉันติดต่อเพื่อนฉันที่เวียดนามแล้วหล่ะ ตอนนี้เดินทางต่อไปเถอะ” มิคาอิลพูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็แล่นเรือต่อไปเพื่อพ้นเขตอินเดียในทันที
และอีกด้านหนึ่งของฝั่งตะวันออกกลาง
ชายแดนคูเวต ซาอุดิอาระเบีย
หลังจากที่ขบวนคาราวานของออร์ลินด้าเดินทางผ่านด่านตรวจมาเรียบร้อยแล้ว
พวกเธอก็ตั้งค่ายแถวเนินทรายแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อนก่อนจะออกเดินทางต่อไป
พวกเธอตัดสินใจเลี่ยงการอยู่ในเขตเมืองเนื่องจากกลัวว่าทางอินเดียจะส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดมาทำลาย
โดยที่บาโธรี่ได้สั่งให้ลูกน้องของเธอจัดการตั้งแคมป์ที่พักชั่วคราวเอาไว้ในทันที
“ทุกคน
งานนี้ต้องทำแบบเงียบๆ ให้พวกข้างนอกคิดว่าเราเป็นขบวนสินค้านะ”
บาโธรี่ตะโกนบอกลูกน้องของเธอ แต่จู่ๆพวกเธอก็เห็นบรรดาเครื่องบินรบหลายลำบินผ่านหัวเธอไปอย่างรวดเร็ว
บาโธรี่รีบชักปืนและวิ่งไปคุ้มกันออร์ลินด้าในทันทีในเต้นท์ของเธอ
“ระวังนะคะ”
“นั่นมันเครื่องบินของพวกไหนกันหล่ะ”
ออร์ลินด้าถามอย่างสงสัย
“คิดว่าน่าจะกองทัพอากาศอินเดียค่ะ”
“งั้นเหรอ
หวังว่าพวกมันจะไม่เจอเรานะ”
“พวกมันคงไม่สนใจหรอกค่ะ”
บาโธรี่รีบให้ออร์ลินด้าหลบในเต้นท์ในขณะที่เครื่องบินพวกนั้นก็บินเข้าบินออกอยู่ตลอดเวลา
จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วย
“สงสัยพวกมันคงจะมาทิ้งระเบิดหน่ะค่ะ”
บาโธรี่บอกออร์ลินด้าไป
“ดูเหมือนพวกมันจะเริ่มสงครามเต็มรูปแบบแล้วสินะ
ฝากบอกทุกคนด้วย เช้าเมื่อไหร่ให้ข้ามพรมแดนซาอุทันทีเลย”
“ได้ค่ะ”
บาโธรี่ตอบไป
กลับมายังบริษัทอาคะสึกิ
คอปเปอร์เรชั่น ในห้องนอนของอาคะสึกิ หลังจากที่เธอได้หลับนอนร่วมกับอิชิโร่
เนื่องจากว่าทั้งคู่เคยเป็นคนรักกัน และดูเหมือนว่าอิชิโร่ยังคงรักอาคะสึกิอยู่
ในตอนนั้นเองอาคะสึกิก็โดนกอดเข้าข้างหลัง ทำเอาเธอทำอะไรไม่ถูกไปเลย
“คุณยังตัวหอมเหมือนเดิมเลยนะที่รัก”
“นี่คุณ
อย่าทำให้ฉันเขินแบบนี้สิ”
อาคะสึกิพูดขึ้น
“ถ้ายังอยู่ญี่ปุ่น
พ่อแม่คุณอาจจะไม่ยอมรับผมก็ได้”
“ฉันเสียใจที่มันเป็นแบบนั้น
ว่าแต่คุณจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้หล่ะ”
“ผมจะจัดการทุกอย่างเอง
คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ”
อาคะสึกิพูดขื้น
“ผมจะรีบจัดการทุกอย่าง
แล้วมาอยู่กับคุณ ว่าแต่ คุณยังชอบดูดวงอยู่หรือเปล่า”
“ก็มีบ้าง”
อาคะสึกิพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นคุณดูให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า”
“ตอนนี้เนี่ยนะ
อย่าเพิ่งเลยดีกว่า ฉันกำลังเหนื่อยพอดี”
“แสดงว่าอยากอยู่กับผมก่อนสินะ
คุณนี่น่ารักจริงๆ”
อิชิโร่ทั้งกอดทั้งหอมอาคะสึกิไปเรื่อยๆ
จนเธอแทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้วในตอนนั้น
กลับมายังกรุงเบอร์ลิน
เยอรมนี หลังจากที่มาเรียน่าพักผ่อนไปเรียบร้อย
เธอก็แต่งตัวเพื่อมายังงานไว้อาลัยท่านผู้นำฮิตเลอร์ในทันที
โดยที่มีรถคันหนึ่งไปส่งเธอที่งาน
โดยในงานมีแต่ชาวเยอรมันที่ใส่เสื้อดำเพื่อมาไว้อาลัยฮิตเลอร์กันเยอะมาก ซึ่งเธฮก็เดินไปในงานเพื่อนำดอกไม้ไปวางไว้อาลัย
จู่ๆเธอก็เจอกับพ่อของเธอที่มารอเธออยู่พอดี
“มาเรียน่า
มาแล้วอย่างงั้นเหรอ”
“ค่ะพ่อ
หนูกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาที่นี่นห่ะค่ะ” เธอตอบพ่อของเธอไป
“เฮ้อ
ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่ท่านผู้นำตาย โลกก็วุ่นวายขนาดนี้”
“ว่าแต่
หนูได้ยินว่าพ่อต้องไปรัสเซียนี่คะ”
“ใช่
ตอนนี้มีการก่อกบฏที่ฮิตเลอร์กราด (สตาลินกราดในชื่อรัสเซีย) พ่อต้องไปจัดการที่นั่น”
“หนูว่าป่านนี้มันไม่ลามไปทั่วประเทศแล้วเหรอคะ”
“พ่อเข้าใจ
แต่นี่มันหน้าที่ของพ่อนี่นะ ไม่รู้ว่าท่านผู้นำที่รักษาการณ์จะทำยังไงต่อหน่ะ”
“ยังไงพ่อก็ระวังตัวด้วยนะคะ”
“ได้สิ
พ่อระวังตัวอยู่แล้วหล่ะ”
ในตอนนั้นเองเธอก็เอาดอกไม้ไปวางไว้อาลัยให้กับฮิตเลอร์ที่หน้าหลุมศพที่มีรูปปั้นของเขาวางไว้
หลังจากที่เธอวางไว้เรียบร้อย เธอก็กลับไปหาพ่อของเธอต่อ
“พ่อคะ
หนูต้องกลับไปทำงานต่อพรุ่งนี้นะคะ”
“งั้นเหรอ
ถ้าอย่างงั้นพ่อจะให้คนไปส่งที่สวิสนะ”
มาเรียน่าพยักหน้าจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
โดยที่เธอไม่สังเกตแม้แต่น้อยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเธออยู่นานแล้ว
กลับมายังฮาวาย
สหรัฐอเมริกา เขตปกครองของญี่ปุ่น หลังจากที่เรือสำราญสัญชาติอินเดียได้เดินทางมาจอดเทียบท่าที่นั่น
ผู้โดยสารบนเรือบางส่วนก็ลงจากเรือไป บางส่วนก็ยังอยู่เนื่องจากว่าต้องเดินทางต่อไปยังแคลิฟอร์เนีย
โดยที่ซวาตีเป็นหนึ่งในคนที่จะต้องเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนีย แต่เธอนึกในใจว่าเธอจะไปเดินเล่นด้านล่างซักหน่อย
เธอเลยลงจากเรือไปโดยที่เดินมองบรรยากาศรอบข้างไปด้วย ชายหาดที่สวยงาม หนุ่มสาวพากันใส่ชุดว่ายน้ำลงทะเลกัน
ซวาตีเดินลงมายังไม่ทันไร จู่ๆมีชายคนหนึ่งมากระชากสร้อยคอของเธอไปแล้ววิ่งหนีไปอีกด้านหนึ่งในเกาะ
“ช่วยด้วยค่ะ
มีคนกระชากสร้อยฉัน”
แต่ชายคนนั้นวิ่งไปยังไม่ทันไร
ก็มีเสียงปืนดังมาจากบนเรือ โจนคนนั้นโดนยิงล้มลง และมีตำรวจญี่ปุ่นสองคนมาจับชายคนนั้นเอาไว้
โดยที่ชายคนที่ยิงก็ไปเอาสร้อยของซวาตีไปคืนเธอในทันที
“นี่สร้อยของคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณทาโร่”
ซวาตีหยิบสร้อยเส้นนั้นกลับคืนมา
“แถวนี้โจรมันเยอะหน่ะครับ
ถ้าคุณอยากจะเดินเที่ยว ไปกับผมก็ได้นะครับ”
“อ่า
ได้ค่ะ ฉันอยู่ได้ไม่นานนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ
ผมจะรีบกลับมาส่งคุณเอง”
ทาโร่ชวนซวาตีไปเที่ยวที่ฮาวายด้วยกันสองคน
ส่วนหัวขโมยคนนั้น ทาโร่สั่งให้ตำรวจแถวนั้นจัดการ
ณ
ร้านอาหารแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย ร้านสุกี้ชาบูร้านหนึ่ง
ซึ่งพวกของนนท์ได้ไปนั่งกินในร้าน โดยนาโอมิสั่งอาหารหลายอย่างมาทานเพื่อเลี้ยงฉลองที่ได้เจอกับนนท์
บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานมากในตอนนั้น
“โห
ของอร่อยมากๆเลยนะครับเนี่ย” ฟรองเกอร์พูดในขณะที่คีบกุ้งเข้าปาก
“นั่นสิคะพี่นาโอมิ
น่ากินทั้งนั้นเลย” ซานะพูดต่อ
“เออนี่
ว่าแต่ช่วงนี้พี่ทำอะไรอยู่เหรอ” นนท์ถามนาโอมิไป
“พี่กำลังจะไปเม็กซิโกหน่ะ
อีก 3 วัน”
นาโอมิพูดขึ้น
“อ้อ
ได้ยินว่าที่นั่นกำลังวุ่นวายหนักสินะคะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“ใช่
เธอก็รู้เหมือนกันงั้นเหรอ”
“พวกเราได้ข่าวอยู่หน่ะครับ”
อลาวดี้พูดขึ้น
“ใช่
กองทัพญี่ปุ่นต้องร่วมมือกับพวกเยอรมันบุกเม็กซิโกอีก น่าเบื่อจริงๆ”
นาโอมิพูดพลางจิบน้ำชาไปด้วย
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ
มีธุระนิดหน่อย ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ” ลินน์รีดพูดขึ้นจากนั้นก็จูงมืออลาวดี้เดินออกจากร้านอาหารไป
โดยที่ในตอนนั้นเองนาโอมิก็พูดขึ้นกับนนท์ว่า
“พี่ว่าเพื่อนเธอดูแปลกๆไปนะ”
นนท์ในตอนนั้นก็พูดอะไรไม่ได้มาก
แต่ก็มองไปที่ลินน์รีดอย่างสงสัย เนื่องจากว่าลินน์รีดมีอะไรอยู่ในใจของเธอกันแน่
แต่พวกเขาก็นั่งกินกันอยู่อีก 10 กว่านาทีจากนั้นก็พากันออกจากร้านไป
==================================================================================
นาโอมิสงสัยอะไรกันอยู่กันแน่ แล้วสถานการณ์สงครามจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
ความคิดเห็น