คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 12 : ตัวประกัน
ยานบินของคริสเตียลร่อนลงจอดกับพื้นได้ไม่นาน คริสเตียลก็นำทีมออกสำรวจในป่าแถวนั้นอย่างรวดเร็ว พวกเขามองไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อดูว่ากลุ่มของนาวินหลบอยู่ที่ไหนกัน แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็แทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวของนาวินและคนอื่นๆเลยแม้แต่เงา
“ท่านครับ พวกมันอยู่ที่ไหนกันหมดครับเนี่ย??” ฮาเวิร์ดถามอย่างหัวเสีย
“นั่นสิคะ เดินมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่เห็นอะไรเลย” เวอร์รีนพูดขึ้นพลางใช้ตาสแกนของเธอ
“คุณลีน่า คุณอยู่ที่ไหนครับ??” คริสเตียลถามเธอทางวิทยุไป แต่เธอก็ไม่ตอบกลับอะไรเลย
“นี่เธอไม่ตอบกลับเลยเหรอคะเนี่ย??” รูกิถามอย่างสงสัย
“เอ๊ะ หรือว่าเธอกำลังอำเราอยู่กัน??” วูฟถามไป
“เป็นไปได้ พวกเรามาทำบ้าอะไรกันที่นี่เนี่ย??” รูกี้ถามอย่างสงสัย
“ทุกคนระวังด้วย ผมว่าผมได้กลิ่นแปลกๆ ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น” ยูริพูดขึ้น
“จ่า เราถอนตัวตอนนี้ไม่ได้เหรอครับ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย
“จะถอนตัวยังไงหล่ะ เราไม่มีคำสั่งให้ถอยออกมานี่” จ่าชัยพูดขึ้น
“นี่ จะกลัวไปทำไมหล่ะ ปืนในมือของเราก็ยังอยู่นี่” กาลีน่าถามไป ในขณะที่พวกเขาก็ยังคงเดินลาดตระเวนต่ออย่างรวดเร็ว ในขณะที่กลุ่มของนาวินตอนนั้น พวกเขาก็เดินทางมาถึงพื้นที่อย่างรวดเร็ว พวกเขาอยู่ในป่าซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นพวกของคริสเตียลได้ แต่เมื่อพวกเขามองเห็นกลุ่มของคริสเตียล พวกเขาก็เกิดสงสัยอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ มันแปลกๆนะ??” นาวินพูดขึ้น
“อะไรแปลกๆอย่างงั้นเหรอคะ??” อินเนสซ่าถามอย่างสงสัย
“ทำไมพวกมันถึงมาที่นี่ ถ้าเกิดพวกมันรู้ที่ตั้งของเราหล่ะ??” นาวินถามอย่างสงสัย
“หรือว่า พวกมันจะหลอกล่อเราให้พวกเรามาที่นี่หล่ะคะ??” ลาลินถามอย่างสงสัย
“อืม แต่ฉันดูจากท่าทีของพวกนั้นแล้ว พวกนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่นะ” เวียนพูดขึ้น
“ผมว่านะ เรากลับไปหาคุณดันเต้ดีกว่า” โจไซอาห์พูดขึ้น
“จริงด้วย ไอ้พวกนี้เราปล่อยให้มันหลงอยู่ในป่าดีแล้ว” ฮารุพูดขึ้น
“แต่ถ้าปล่อยไอ้พวกนี้ไป ก็เหมือนกับปล่อยเสือเข้าป่า ฉันไม่ยอมหรอก” อากิระพูดขึ้น
“นี่ นายไม่ห่วงพวกเราเลยเหรอ??” เสี่ยวหลงถามกลับไป
“ถ้าอย่างงั้น เราก็แบ่งคนบางส่วนกลับไปที่ตึกของคุณดันเต้สิครับ” นายลุ้นพูดขึ้น
“จริงด้วย ความจริงเราบางส่วนน่าจะไปเฝ้าที่นั่น” ลูโดวิกพูดไป
“ภาภิน ตอนนี้ที่บ้านเราเป็นยังไงบ้าง??” นาวินวิทยุบอกกับภาภินไป
“ยังปกติอยู่ครับพี่ แต่คุณดันเต้กำลังวางกำลังคุ้มกันอยู่” ภาภินตอบไป
“เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย ผมว่าเราแยกกำลังไปช่วยพวกนั้นดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะเจ็บน้อยกว่า” โลร็องต์พูดไป
“ถ้าอย่างงั้น ผมจะกลับไปช่วยคุ้มกันที่นั่นเอง” ลันโทสพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นผมจะไปกับคุณด้วยครับ” ซีโร่พูดขึ้น ไม่นานนักพวกเขาก็ตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นคนจัดการกับคริสเตียลและพรรคพวก ใครที่จะกลับไปคุ้มกันสถานที่กบดานของพวกเขา และเมื่อพวกเขาจัดการวางกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปจัดการตามหน้าที่ของพวกเขา
และที่กบดานของดันเต้ ในตอนนี้ดันเต้ได้จัดให้หุ่นแอนดรอยด์ของเขาเดินสำรวจทั่วทั้งพื้นที่อย่างแข็งขัน โดยที่ดันเต้ก็ได้ถือปืนลาดตระเวนอยู่กับภาภินที่กำลังนั่งอยู่ที่แท่นควบคุมของเขา และนายลืมตอนนั้นก็ยืนอยู่แถวๆนั้นด้วย ไม่นานนักพวกเขาก็มาคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ด็อกเตอร์ครับ พี่นาวินเขาบอกมาว่า พวกนั้นน่าจะมาหลอกล่อเรา แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นมาทำอะไร” ภาภินพูดขึ้น
“เอ๊ะ ใครหลอกล่ออะไร ใครไม่รู้อะไร ฉันงงไปหมดแล้ว??” นายลืมถามอย่างสงสัย
“อืม ถึงยังไงก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน ยังไงก็ระวังไว้แล้วกัน” ดันเต้พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จู่ๆ นายลืมก็ไปเดินเล่นอยู่แถวๆนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เดี๋ยวฉันตามไปดูเขาเอง” อัญชันตอบกลับไปและเดินตามนายลืมไป
และทางด้านของลีน่า ตัวของเธอค่อยๆเดินเข้ามาทางท่อระบายน้ำ โดยใช้หน้ากากหายใจชนิดพิเศษเข้ามา รวมถึงใช้เครื่องนำทางเธอเข้าไปด้านใน ไม่นานนักตัวของเธอก็เดินเข้ามาด้านในได้สำเร็จ โดยที่เธอมาถึงห้องปรับอุณหภูมิน้ำด้านใน และมีหุ่นดรอยด์ตัวหนึ่งกำลังยืนรอเธออยู่ ตัวของเธอใช้แท็บเล็ตควบคุมหุ่นดรอยด์ตัวนั้นในทันที
“เธอต้องพาฉันไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ของคุณดันเต้” ลีน่าพูดขึ้น
“รับทราบค่ะคุณลีน่า ตามฉันมาทางนี้ค่ะ”
หุ่นดรอยด์ตัวนั้นนำทางลีน่าไปอย่างรวดเร็ว และด้วยตัวของลีน่าได้แต่งตัวเหมือนกับหุ่นดรอยด์ตัวอื่นๆ ทำให้ไม่มีใครสงสัยเธอมากนัก ตัวของเธอพยายามเดินตามหุ่นตัวนั้นมาเรื่อยๆ และไม่นานนัก พวกเธอก็เดินมาถึงหน้าห้องๆหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่ามันต้องใช้รหัสผ่านในการเข้าประตู
“อืม รหัสผ่านงั้นเหรอ??”
ในตอนนั้นลีน่าก็เอาแท็บเล็ตของเธอเชื่อมต่อเข้ากับแผงวงจรของประตูในทันที และแฮ็กรหัสเพื่อเข้าสู่ระบบ เธอใช้เวลาไม่นานก็สามารถเปิดประตูได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ในที่สุดก็เข้ามาได้ซะที” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เล็งปืนช็อตไฟฟ้าของเธอยิงใส่หุ่นดรอยด์ตัวนั้นจนแน่นิ่ง และไม่นานนัก ตัวของเธอก็เดินไปตามหาของที่เธอต้องการในทันที
“เอ๊ะ มันอยู่ไหนกันนะ??”
ตัวของลีน่าเดินดูตรงนั้นทีตรงนี้ที ในที่สุด เธอก็เห็นโหลกระจกอันหนึ่งซึ่งด้านในมีอุปกรณ์อะไรบางอย่าง ลักษณะของมันเป็นที่ครอบหัว เชื่อมต่อกับลำโพง ตัวของลีน่าเห็นดังนั้นจึงยิ้มแป้นออกมาในทันที
“ของของที่รักอยู่นี่เอง”
ตัวของลีน่าในตอนนั้นก็รีบแฮ็กระบบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะเปิดโหลกระจกนั้นและเอาของออกมา ก่อนที่พวกของดันเต้จะรู้เข้า
ทางด้านของนาวิน ซึ่งพวกเขากำลังซุ่มดูคริสเตียลและทีมของเขาที่กำลังเดินลาดตระเวน พวกเขาซุ่มดูไปซักพัก พวกของคริสเตียลก็เดินเข้ามาในจุดที่เสียเปรียบ ตัวของอากิระในตอนนั้นไม่รอช้ายิงเข้าใส่คริสเตียลในทันที โดยที่นาวินยังไม่ทันจะสั่งยิงเลย
“ปัง!!”
กระสุนลูกนั้นพุ่งเข้าที่แขนของคริสเตียล ซึ่งในตอนนั้นเขาใส่เกราะที่ไหล่อยู่ กระสุนเลยทำอะไรไม่ได้มาก แต่ตัวของเขาก็ถึงกับเซลงพื้น ในขณะที่คนอื่นๆก็พยายามช่วยยิงคุ้มกัน
“ไอ้คริสเตียล วันนี้ฉันไม่ปล่อยแกแน่!!” อากิระพูดขึ้น และในตอนนั้นตัวของคริสเตียลก็ได้ยินเสียง เขาเลยสั่งให้หยุดยิงก่อนในทันที
“หยุดยิงก่อน!!” ทุกคนหยุดยิงตามคำสั่งของคริสเตียล และในตอนนั้นเขาก็ตะโกนกลับไป
“เฮ้ย แกเป็นเด็กของจอห์นสันใช่หรือเปล่า ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย!!” คริสเตียลตะโกนกลับไป
“คุยอะไร พวกแกรวมหัวไปกับเจ็ค วางแผนจะฆ่าเขานี่หว่า??” อากิระตะโกนถามไป
“ไม่ใช่ เจ็คต่างหากที่รายงานฉันว่าจอห์นสันทรยศ ตอนนี้เขาลาออกจากราชการไปแล้ว” คริสเตียลพูดขึ้น ในขณะที่อากิระก็ถึงกับสับสนไปเลย
“อากิระ นายคิดอะไรอยู่เหรอ??” เสี่ยวหลงถามไป
“ฉัน...แค่..”
“เฮ้ย อย่ามาหลอกพวกเราให้ยากเลย ไอ้พวกสวะเอ้ย!!” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นก็ยิงลูกไฟออกไปเป็นระเบิด ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องรีบหาที่หลบกันคนละทาง แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีวิทยุติดต่อเข้ามาหาพวกเขา
“คุณวิน นี่ผมดันเต้ นายลืมกับคุณอัญชันหายตัวไปได้ซักพักแล้ว”
“ห่ะ เจ้าลืมกับอัญชันหายงั้นเหรอ??” นาวินถามไป และในตอนนั้นมันทำให้เสี่ยวหลงกับอากิระถึงกับโกรธเลือดขึ้นหน้าไปเลย
“นั่นไง พวกมันต้องหลอกเราแน่ๆ” เวียนพูดขึ้น
“คุณลันโทส พวกคุณอยู่ที่ไหนแล้ว??” นาวินรีบวิทยุติดต่อลันโทสไป
“อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงแล้ว เราสองคนขี่หลังคุณโจไซอาห์กับอินเนสซ่าอยู่” ลันโทสตอบกลับ
“ถ้างั้นเราต้องรีบไปช่วยพวกเขาเถอะ อากิระ เสี่ยวหลง พวกนายต้องรีบไปช่วยเพื่อนนายก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน” นายลุ้นพูดขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็พยักหน้าพร้อมกัน
“ถ้างั้นฉันนำร่องก่อนเอง” โลร็องค์พูดขึ้นจากนั้นก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย ไม่รอฉันเลยนะเว้ย” ลูโดวิกพูดขึ้น จากนั้นก็วิ่งตามโลร็องต์ไป
“แล้วนี่พวกเราต้องเดินเท้าไปเหรอคะเนี่ย??” ลาลินถามไป
“ยังไงก็ต้องไปก่อน ตอนนี้แต่คนต่างก็ชุลมุนกันไปหมด เรารีบไปกันเถอะ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไปช่วยอัญชันและนายลืมที่หายตัวไป ทางด้านของคริสเตียล ในตอนนั้นทุกคนก็ช่วยดูอาการของคริสเตียลหลังจากที่เขาโดนยิงเข้าไป
“ฉันดูแผลเขาแล้ว กระสุนไม่ทะลุเข้าไป” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นก็ไม่เป็นไร ดูเหมือนว่างานนี้จะมีลับลมคมในแล้วหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น
“ว่าแต่ ไอ้พวกนั้นไปไหนกันหล่ะ??” ฮาเวิร์ดถามไป
“จะให้ฉันตามไปหรือเปล่า พวกมันน่าจะยังไปได้ไม่ไกล??” วูฟถามไป
“ยังก่อน พวกมันอาจจะดักรอโจมตีเราก็ได้” ยูริพูดขึ้น
“ไม่แน่นะ คุณลีน่าอาจจะมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ก็ได้” รูกี้พูดขึ้น
“เหมือนกับว่าเธอหลอกเราให้มาเดินเตร่แถวนี้งั้นเหรอ??” รูกิถามไป
“อาจจะเป็นไปได้ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ ตอนนี้ต้องรอฟังจากปากเธอแล้ว” กาลีน่าพูดขึ้น
“ยังไงก็ตามเถอะครับ ตอนนี้เรารีบเรียกยานของเราก่อนเถอะครับ” แสงจันทร์พูดขึ้น
“นั่นสิ ยังดีกว่าต้องมาอยู่กันแบบนี้” จ่าชัยพูดขึ้นพลางถอนหายใจ และในตอนนั้นตัวของคริสเตียลก็พยายามจะติดต่อกับยานของเขาเพื่อให้มารับพวกเขา แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ติดต่อใครไม่ได้เลย
“บ้าเอ้ย หายหัวไปไหนกันหมดวะ??” คริสเตียลถามไป
“อะไรกัน นี่ไม่มีใครตอบกลับซักคนเลยเหรอครับ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย
“นี่อย่าบอกนะว่าพวกเราโดนลอยแพแล้ว เฮ้อๆๆๆ” วูฟพูดขึ้นพลางกอดอกไป
“ฉันไม่ยอมจริงๆนะ ถ้าเป็นแบบนี้” เวอร์รีนพูดขึ้น
“นั่นสิ ถ้ากลับไปถึงหน่วย ฉันจะฆ่ายัยลีน่านั่นเลย” รูกิพูดขึ้น
“คิวยาวหน่อยนะตัวเอง ฉันเองก็รออยู่เหมือนกัน” กาลีน่าพูดขึ้น
“นี่หมายความว่า เราไว้ใจใครไม่ได้แม้แต่คนในหน่วยเองเนี่ยนะ??” รูกี้ถามไป
“ว่าแต่ เราจะเอายังไงต่อหล่ะครับ??” แสงจันทร์ถามไป
“ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น ก็คงต้องเคว้งกันไปอย่างงี้” ยูริพูดขึ้น
“ผมพอแล้ว ผมทำต่อไม่ไหวแล้ว” จ่าชัยพูดขึ้นในขณะที่เขานั่งลงกับพื้นไป
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมจะพยายามติดต่อเธอก็แล้วกัน” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็พยายามติดต่อกับลีน่าให้มารับพวกเขา
กลับมาที่ห้องเก็บอุปกรณ์ของดันเต้ ในตอนนั้นลีน่าก็ยังคงแฮ็กระบบเพื่อเปิดกระจกล็อก ตัวของเธอนั่งกดแท็บเล็ตตรงนั้นทีตรงนี้ที
“ขอให้ได้ทีเถอะ”
“กริ๊ก!!”
“เยี่ยม เปิดได้แล้ว!!” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ค่อยๆเปิดกระจกออก แต่ในตอนนั้น
“เฮ้ย พี่ทำอะไรกันหน่ะ??”
นายลืมที่เดินไปแถวนั้นดันมาเจอกับพวกเขาเข้า ทำเอาพวกของลีน่าถึงกับตกใจ
“เฮ้ย จัดการมัน!!”
ลีน่าตะโกนสั่งลูกน้องของเธอ จากนั้นพวกมันก็ชักปืนกลออกมายิงใส่นายลืม แต่ในตอนนั้นอัญชันที่ตามนายลืมมาก็กระชากแขนเขาไว้ได้ทัน แล้วพาเขาหลบไปอย่างรวดเร็ว
“นายลืม มานี่เร็ว!!” อัญชันพูดและพยายามเอาตัวนายลืมมา ลูกน้องของลีน่าก็พยายามตามมาเก็บพวกเขา ลีน่าในตอนนั้นรีบเก็บอุปกรณ์ใส่กระเป๋าของเธออย่างรวดเร็ว
“พวกเรา รีบถอนตัวออกมา ที่นี่เราเสียเปรียบพวกมัน” ลีน่าวอบอกกับลูกน้องของเธอไป จากนั้นเธอก็รีบเอาอุปกรณ์นั้นไปในทันที ทางด้านของอัญชัน ในขณะที่เธอกำลังพานายลืมหนี เธอก็โดนยิงถากเข้าที่ขาจนล้มลง
“โอ๊ย!!”
“พี่อัญชัน!!”
“รีบหนีไปก่อน ไม่ต้องห่วงพี่!!” อัญชันพูดขึ้น และในตอนนั้นพวกมันสามคนก็เข้ามาหาอัญชันอย่างรวดเร็ว มันกำลังจะยิงเธอ แต่ในตอนนั้น
“ปังๆๆๆ!!”
ดันเต้ได้นำลูกน้องของเขารวมถึงภาภินมาช่วยอย่างรวดเร็ว พวกมันสามคนเลยเอาตัวอัญชันไป อัญชันพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่าเธอบาดเจ็บอยู่
“เฮ้ย ด็อกเตอร์ มันจับพี่อัญชันไปแล้ว!!” ภาภินพูดขึ้น
“ปิดทางเข้าออกให้หมด อย่าให้มันหนีไปได้!!” ดันเต้ตะโกนออกคำสั่งไป จากนั้นก็ไล่ตามลูกน้องของลีน่าเพื่อช่วยอัญชัน พวกมันสามคนลากอัญชันไปหาลีน่า ซึ่งกำลังนั่งหลบกระสุนอยู่แถวนั้น
“เฮ้ย พวกแกจับใครมาเนี่ย??” ลีน่าถามอย่างสงสัย
“เป็นพวกมันครับผม!!”
“เออ ตามฉันมา ฉันต้องระเบิดที่นี่แล้วหล่ะ” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบกลับไปยังท่อระบายน้ำทางเดิม ในขณะที่ดันเต้พยายามไล่ตามมา ในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เฮ้ย ปล่อยตัวเธอมาซะ!!” ดันเต้ไล่ตามพวกมัน จากนั้นตัวของเขาก็พยายามไล่ยิงพวกนั้น
“ด็อกเตอร์ พวกมันจะหนีไปแล้วครับ!!” ภาภินพูดขึ้นในขณะที่ใช้สไนเปอร์ของเขายิงใส่พวกนั้น และไม่นานนัก พวกของลีน่าก็มาถึงท่อระบายน้ำ พวกเธอรีบลากสังขารกันออกไปในทันที
“เฮ้ย พวกแกสามคนสกัดมันไว้!!” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ลากอัญชันไปกับเธอด้วย สามคนนั้นพยายามยิงสกัด รวมถึงลงไปเดินที่ท่อระบายน้ำตามลีน่าไป ในตอนนั้นเมื่อดันเต้มาถึง ตัวของเขาเห็นน้ำจึงใช้พลังน้ำแข็งของเขาทำให้น้ำในท่อระบายน้ำแข็งเป็นน้ำแข็ง เพื่อไม่ให้พวกมันหนีไป ลีน่าและอัญชันหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ลูกน้องของเธอขาติดน้ำแข็งออกมาไม่ได้ ลีน่าจำต้องทิ้งลูกน้องของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ ปล่อยฉันนะยัยบ้า!!” อัญชันตะโกนออกมา
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะพาไปทำแผลให้” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ติดต่อวิทยุกับคนในหน่วยของเธอในทันที
“นี่ ส่งยานมารับฉันที แล้วก็ไปรับพวกของคริสเตียลด้วย งานของฉันเสร็จแล้ว” ลีน่าติดต่อวิทยุไป
และทางด้านของดันเต้ ในตอนนั้นตัวของเขาก็สั่งให้ลูกน้องของเขาออกตามหาอัญชันไปทั่ว โดยที่ทั้งนายลืมและภาภินก็ถึงกับคอตกไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ตรงนั้น เขารีบหยิบมันมาในทันที
“โปรเจ็กค์ S ฝากทักทาย อย่างงั้นเหรอ??” ภาภินพูดขึ้นหลังจากที่อ่านมัน ดันเต้รีบหยิบกระดาษนั่นมาอ่านในทันที และนั่นมันก็ทำให้ตัวของเขาถึงกับอึ้งไปซักพัก
“S นี่มันคืออะไรครับ??” นายลืมถามอย่างสงสัย
“นี่ ไปดูห้องเก็บอุปกรณ์หน่อยว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า??” ดันเต้สั่งลูกน้องของเขาไป จากนั้นไม่นานนัก ลูกน้องของเขาก็กลับมารายงานเขาอย่างรวดเร็ว
“ด็อกเตอร์ครับ มีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งหายไป เป็นอุปกรณ์ออกเสียงโดยใช้ความคิดครับ!!”
“คิดไว้ไม่ผิด นี่หมอนั่นมันมาแล้วงั้นเหรอ??” ดันเต้ถามอย่างสงสัย
“ท่านครับ มีสามคนที่หนีไปไม่ได้ ขามันติดน้ำแข้งไปไหนไม่ได้ครับ!!” ลูกน้องอีกคนของดันเต้พูดขึ้นหลังจากที่เขาไปสำรวจความเสียหายมา
“พี่ ไปตรวจสอบด้วยนะว่ามันมีโทรศัพท์หรืออะไรติดตัวหรือเปล่า ผมจะตามหาตำแหน่งมัน” ภาภินบอกกับเขาไป และเขาก็พยักหน้ารับคำไป
“ฮือๆๆ พี่อัญชัน ผมขอโทษ” นายลืมพูดขึ้นพลางเข่าอ่อนแล้วนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น
และที่ด้านนอก ลันโทส ซีโร่ โจไซอาห์และอินเนสซ่าก็เพิ่งจะเดินทางมาถึงพื้นที่จนได้ แต่ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือมียานบินลำหนึ่งค่อยๆบินออกไปจากพื้นที่บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าอินเนสซ่ากับโจไซอาห์จะเห็น แต่พวกเขาก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะไล่ตามไป เพราะว่าช็อกโกแลตของพวกเขาหมดพอดี
“บ้าเอ้ย ช็อคโกแลตมาหมดอะไรตอนนี้??” โจไซอาห์ตะโกนถามไป
“พวกมันหนีไปแล้ว มันต้องได้อะไรไปแน่ๆครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“พวกเราไปดูคุณดันเต้ดีกว่าค่ะ” อินเนสซ่าบอกกับทุกคนไป
ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตธัญบุรี หลังจากที่กลุ่มของเบลหนีจากตำรวจที่ตรวจค้นตึกร้างแห่งนั้น พวกเขารีบออกจากตึกแล้วหาทางหนีกันต่อ แต่ในตอนนี้พวกเขาก็เริ่มเหนื่อยล้ากันแล้ว และในตอนนั้นพวกเขาก็มานั่งอยู่บริเวณป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งเพื่อมาพักเหนื่อยกัน
“เฮ้อ เหนื่อยจริง นี่เราต้องหนีกันแบบนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย??” แก้วถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่รู้สิ ตอนนี้ทั้งตำรวจทั้งพวกบ้านั่นกำลังตามล่าเราอยู่” เบลตอบไป
“เฮ้อ หรือว่าเราจะกลับเข้ากรุงเทพดีหล่ะ??” เกเบรียลถามไป
“จะกลับไปเข้าถ้ำเสืองั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก” เบลพูดขึ้น
“ฉันอยากกลับบ้านจริงๆ” แก้วพูดขึ้น
“อืม ฉันเข้าใจ ตอนนี้เคงต้องหาที่กบดานกันก่อน” เกเบรียลพูดขึ้น
“นั่นสิ แล้วอีกอย่าง บ้านของคุณตอนนี้คงไม่ปลอดภัยหรอก” เบลพูดขึ้น
“อืม จะว่าไป เราไม่..” ในตอนนั้นแก้วยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ตัวของเบลก็ถูกอะไรบางอย่างยิงเข้าใส่ที่ร่างของเขา มันเป็นอาวุธคล้ายกับเข็มฉีดยา
“เฮ้ย เบล!!” เกเบรียลตะโกนออกมา ในตอนนั้นมีคนพยายามจะยิงเกเบรียลต่อ แต่เกเบรียลก็หลบได้อย่างรวดเร็ว
“บ้าเอ้ย รีบหนีไปก่อน!!” เบลตะโกนออกมา และในตอนนั้น เกเบรียลก็รีบพาแก้วหนีออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่กลุ่มตำรวจกลุ่มหนึ่งก็พากันมาล้อมตัวของเบลไว้ จากนั้นก็จับเขาใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันด้วย
“เฮ้ย ไอ้บ้านี่เหรอที่เราต้องจับตัวมันหน่ะ??”
“ถ้าอย่างงั้นก็เอาไปโรงพักสิ”
“ไม่ งานของเราคือเอาตัวมันไปตามที่อยู่ที่พวกนั้นบอก แล้วก็รับเงิน แค่นั้น” ตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆแบกร่างของเบลขึ้นรถตำรวจที่อยู่แถวนั้นอย่างรวดเร็ว และอีกด้านหนึ่ง ในตอนนั้นเกเบรียลก็พาแก้วหนีเข้าไปในซอยหนึ่ง ซึ่งตำรวจไม่ตามพวกเขาทั้งคู่มา พวกเขาทั้งคู่เหลือบไปมองพวกตำรวจที่จับตัวเบลไป แล้วคุยกันต่อในทันที
“แย่แล้ว มันจับคุณเบลไปแล้ว!!” แก้วพูดขึ้น
“มันน่าจะจับไปที่โรงพักไหนซักที่นั่นแหละ ฉันจะลองสะกดรอยตามพวกมันไปดู” เกเบรียลพูดขึ้น
และอีกด้านหนึ่งของพื้นที่ ในตอนนั้นตัวของไค หลังจากที่ไคได้เช็คอินที่โรงแรมแถวนั้นและออกไปเดินเล่นด้านนอกเพื่อผ่อนคลาย ในตอนนั้นตัวของเธอเองก็เหลือบไปเห็นเสียงเอะอะโวยวายมาจากป้ายรถเมล์แถวนั้น เธอเลยไปดูสถานการณ์ในทันที
“นี่มันอะไรกันเนี่ย??”
ตัวของเธอในตอนนั้นเห็นเบลที่กำลังถูกแบกขึ้นรถตำรวจ รวมถึงเธอสัมผัสได้ถึงพลังอะไรบางอย่างจากตัวของเขา ทำเอาตัวของเธอถึงกับรู้ในทันที
“ผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ??”
หลังจากที่พวกตำรวจเอาตัวของเบลขึ้นรถสำเร็จ ในตอนนั้นตัวของเธอก็แอบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้พลังในการดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“พวกแกจะไปที่ไหนกันนะ??”
ตัวของไคในตอนนั้นหลับตาและเพ็งพลังไป และในตอนนั้น ตัวของเธอก็เห็นภาพอะไรบางอย่าง ซึ่งมันทำให้เธอถึงกับแปลกใจ
“เอ๊ะ ไม่ได้ไปสถานีตำรวจงั้นเหรอ??”
ในตอนนั้นที่ไคกำลังอ่านสถานการณ์ จู่ๆ ตำรวจคนหนึ่งก็ชักปืนของเขาออกมา จากนั้นก็ค่อยๆเดินเข้ามาในไคซึ่งกำลังอยู่แถวนั้น ตัวของเธอรีบไปหาที่หลบอย่างรวดเร็ว ตำรวจคนนั้นค่อยๆเข้ามาใกล้เธอ จนในตอนนั้นเธอต้องไปหลบอยู่ด้านหลังถังขยะแถวนั้น ตำรวจคนนั้นพยายามจะเข้ามาดู
“เฮ้ย ไปทำอะไรตรงนั้น??” เสียงของตำรวจอีกคนหนึ่งตะโกนถามตำรวจที่ตามไคมา
“ไม่รู้สิ รู้สึกแปลกๆหว่ะ”
“แปลกอะไรวะ รีบมาได้แล้ว เรามีงานต้องทำนะโว้ย!!”
“เออๆ กำลังไป!!”
ตำรวจคนนั้นรีบเก็บปืนแล้วตามไปขึ้นรถตำรวจในทันที ตัวของไคออกมาแล้วพยายามตามรถตำรวจไป เธอเรียกแท็กซี่แถวนั้นให้ตามรถตำรวจพวกนั้นไป และตัวของเกเบรียลและแก้ว พวกเขาทั้งคู่มองเห็นไคกำลังนั่งแท็กซี่ตามรถตำรวจไป เกเบรียลจึงเรียกแท็กซี่ด้วย จากนั้นก็ไล่ตามรถที่ไคนั่งอยู่ เพื่อตามดูว่าเหตุการณ์จะเป้นอย่างไรต่อไป
ณ ถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะเดินทางไปยังเขตธัญบุรี พัตติยาก็ยังคงนั่งรถมากับอีสครินน่าเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ของดันเต้ ในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของพัตติยาก็โทรศัพท์หาใครบางคนอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะโทรไม่ติดใครเลย ทำให้เธอค่อนข้างหัวเสียมาก อีสครินน่าก็คุยกับพัตติยาด้วย
“พัตติยา โทรหาใครเหรอ??”
“อ้อ โทรหาเพื่อนฉันหน่ะ แต่เธอไม่รับสาย” พัตติยาพูดขึ้น
“อ้าว มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ??” อีสครินน่าถามไป
“นั่นสิ ฉันว่าผิดสังเกตแล้ว เธอไม่เคยไม่รับสายฉันนะ” พัตติยาพูดขึ้น
“อืม ถ้าไปถึงที่นั่นก็คงจะรู้เองนั่นหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูอีสพูดกับพวกเธอทั้งสองคนไป
“อีก 10 นาทีจะถึงสถานที่ครับ!!” ลูอีสพูดขึ้น จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ขับรถมาจนถึงทางแยกแห่งหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นมีคนสามคนกำลังยืนอยู่แถวนั้น และเมื่อรถของอีสครินน่ามาถึง พวกนั้นก็โบกให้รถของเธอจอดในทันที
“นี่มันอะไรกันเนี่ย??” อีสครินน่าถามไป
“อ้อ น่าจะเป็นคนของคุณดันเต้หน่ะ” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้น ลูอีสก็ลดกระจกลงในทันทีเพื่อคุยกับพวกนั้น
“อ้อ ว่ายังไงกันหล่ะ??” ลูอีสถามไป
“พวกคุณเป็นใครกัน จะไปที่ไหน??”
“นี่ฉันเอง พัตติยา ตอนนี้คุณดันเต้อยู่หรือเปล่าคะ??” พัตติยาถามกลับไป
“อ้อ คุณพัตติยาครับ ตอนนี้คุณดันเต้มีเรื่องนิดหน่อยครับ”
“ห่ะ มันเรื่องอะไรกันเหรอ??” อีสครินน่าถามอย่างสงสัย
“มีพวกไหนก็ไม่รู้มันมาโจมตีพวกเรา เหมือนว่ามันจับตัวคุณอัญชันไปด้วย” เมื่อพัตติยาได้ยินดังนั้นจึงตกใจในทันที
“ห่ะ อัญชันเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นคะ แล้วเธออยู่ที่ไหนคะ??”
“เรากำลังตามล่าพวกมันอยู่ครับ”
“อ้อ เราจะไปหาคุณดันเต้อะไรนี่หล่ะ พวกคุณนำทางเราไปได้หรือเปล่า??” อีสครินน่าถามอย่างสงสัย
“อ้อ เชิญถนนเส้นนั้นเลยครับ จะมีคนรอเราอยู่ครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ปล่อยรถของอีสครินน่าออกมาในทันที จากนั้นลูอีสก็ขับต่อไปยังเส้นทางที่คนพวกนั้นบอก
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” พัตติยาพูดขึ้น
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเป็นยังไง” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ผมว่า อาจจะเป็นฝีมือของพวก UNASO นะครับ” ลูอีสพูดขึ้น
“แต่อัญชันเป็นมนุษย์นะคะ มันจะจับเธอไปทำไมกัน??” พัตติยาถามไป
“ผมว่า พวกมันอาจจะจับเอไปต่อรองอะไรบางอย่างก็ได้ครับ” ลูอีสพูดขึ้น
“เอาเถอะ ไปถึงที่นั่นก่อนค่อยว่ากันว่าจะทำยังไง” อีสครินน่าบอกกับทุกคนไป จากนั้นรถของลูอีสก้ขับต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังสถานที่ของดันเต้ในทันที
ณ สถานที่กบดานของเบ็ตตี้ หลังจากที่มิกิได้ให้ข่าวบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องฉาวของ UNASO ตัวของเธอก็ได้รับการคุ้มกันอย่างดีจากคนของเบ็ตตี้ หลังจากนั้นไม่นาน ตัวของเธอก็เล่นทวิตเตอร์เพื่อดูว่ามีข่าวอะไรหรือเปล่า แล้วก็เป้นไปอย่างที่เธอคาด ในตอนนี้หลายคนกำลังตามข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เธอมีข้อมูล
“อืม ดูสิว่าพวกแกจะเอายังไงต่อ??” มิกิพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เบ็ตตี้ก็เดินมาคุยอะไรบางอย่างกับมิกิอย่างรวดเร็ว
“ดีค่ะ อยู่ที่นี่สบายหรือเปล่าคะ??”
“อ้อค่ะ ก็ดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” มิกิพูดขึ้น
“อืม ตอนนี้ฉันดำเนินการเรื่องเครื่องบินที่จะเดินทางไปมาเก๊าให้คุณได้แล้วนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ แล้วเรื่องเงินหล่ะคะ??” มิกิถามไป
“เราจะให้มัดจำคุณก่อน 10 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ เราจะให้ตอนที่เราได้ข้อมูลทั้งหมด”
“อืม แน่นอนค่ะ รับรองว่าคุณไม่ผิดหวังแน่นอน” มิกิพูดขึ้น
“แต่ตอนนี้คุณต้องอยู่ที่นี่ซักระยะนะคะ ในเมืองตอนนี้ไม่ปลอดภัย ได้ยินว่าพวกมันเริ่มส่งกำลังมาเสริมหน่วยของคริสเตียลแล้ว” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“อืม จะว่าไป เขาเองก็มีความลับอะไรเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” มิกิพูดขึ้น
“แล้วคุณพอมีข้อมูลเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าหล่ะ??” เบ็ตตี้ถามอย่างสงสัย
“หมอนี่มันค่อนข้างเก็บความลับเก่ง แต่จะว่าไปก็เคยได้ยินเรื่องการแย่งอำนาจภายในของมันเหมือนกัน” มิกิพูดขึ้น
“แย่งอำนาจกันงั้นเหรอ??”
“ประมาณนั้น ได้ยินมาว่าคริสเตียลต้องการกำจัดนายทหารคนหนึ่งซึ่งรู้ความลับภายในเยอะ เคยมีการกวาดล้างกันยกใหญ่ในสหรัฐด้วย” มิกิพูดขึ้น
“อืม แล้วพอมีเรื่องอื่นหรือเปล่าหล่ะ??” เบ็ตตี้ถามอย่างสงสัย
“ทุกเรื่องที่ฉันรู้ก็อยู่ในฮาร์ดดิสก์ของฉันนี่หล่ะ” มิกิพูดขึ้น
“เอาเถอะ ยังไงก็พักผ่อนตามสบายนะคะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกจากห้องไป ส่วนตัวของเบ็ตตี้ก็กลับไปนอนบนเตียงของเธอ แล้วอ่านข่าวดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ณ ห้องพักของเซนและคิฮาระ หลังจากที่ทั้งคู่เสพสุขร่วมกันบนเตียงอย่างเผ็ดร้อน พวกเขาทั้งคู่ก็นอนบนเตียงอยู่ข้างๆกัน ท่ามกลางเสียงเพลงที่เปิดอยู่เบาๆ และในตอนนั้นพวกเขาก็คุยกันต่อไป
“รู้มั้ย ฉันจำเรื่องของฉันเมื่อก่อนไม่ได้เลย ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นคือฉันพยายามวิ่งออกจากมาจากโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่งนี่หล่ะ” คิฮาระพูดขึ้น
“อ้อ ถ้าอย่างงั้น เธอก็ความจำเสื่อมสินะ” เซนพูดขึ้น
“ว่าแต่ นายมีแผนจะทำยังไงกับชีวิตต่อหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นอกจากจะตามล่าไอ้พวกนั้น” เซนพูดขึ้น
“เอาน่า ไหนๆเราก็นอนด้วยกันแล้ว ยังจะปิดบังอะไรฉันอีกเหรอ??” คิฮาระถามไป
“ฉันฆ่าตัวตาย ฉันแก้แค้นให้น้องสาวฉันไปแล้ว ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ นอกจากอยู่แบบนี้ยังไงหล่ะ” เซนพูดขึ้นจากนั้นก็บิดขี้เกียจไปด้วย
“ถ้าอย่างงั้น เราสองคนก็ชะตากรรมเดียวกันสินะ” คิฮาระพูดขึ้น
“แล้วนี่ เธอไม่คิดจะลองหาอดีตของตัวเองเลยเหรอ??” เซนถามอย่างสงสัย
“อืม ไม่รู้สิ อย่างที่ฉันเคยบอก บางอย่างลืมไปหน่ะดีแล้ว” คิฮาระพูดขึ้น
“เอาเถอะ ก็ตามใจเธอนะ” เซนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็ใส่เสื้อผ้าของเขา คิฮาระเห็นตอนนั้นก็ใส่เสื้อผ้าต่อด้วย
“เออนี่ นายจะไปไหนเหรอ??” คิฮาระถามอย่างสงสัย
“ไปไหนหล่ะ ก็ตามฆ่าไอ้บ้าที่มันทำกับฉันแบบนี้หน่ะสิ” เซนพูดขึ้น
“อืม แล้วนี่ นายรู้หรือเปล่าว่ามันอยู่ที่ไหน”
“แน่นอน ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงมันไม่รอดมือฉันแน่” เซนพูดขึ้น จากนั้นไม่นานตัวของเขาก็เตรียมปืนของเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งปืนยาวและปืนสั้น จากนั้นก็แบกมันไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่ เราไปล่ามันตอนนี้จะดีเหรอ??” คิฮาระถามไป
“เอาน่า ถึงยังไงก็ต้องลองดู” เซนพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ขึ้นรถกันอย่างรวดเร็ว และขับออกจากโรงแรมม่านรูดเพื่อไปจัดการเรื่องของพวกเขา
ณ สถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเทพ หลังจากที่เพี้ยนถูกจับกุม ตัวของเพี้ยนก็นั่งอยู่ในห้องขังคนเดียว ในขณะที่ผู้ต้องหาคนอื่นๆอยู่คนละห้องของเพี้ยน พวกเขาได้แต่งุนงงกับพฤติกรรมของเพี้ยนที่อยู่ในห้องขัง
“นี่ไรท์ จะให้เราอยู่ห้องนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย เมื่อไหร่จะได้ไปที่ที่ๆไรท์บอกซะที??” เพี้ยนพูดขึ้น
“เฮ้ย ไอ้บ้าเอ้ย มึงพูดอะไรวะ??” คนในห้องขังคนอื่นตะโกนถามไป
“อ้อๆ อีกไม่นานแล้วสินะไรท์ ต้องให้เรารออีกแล้ว” เพี้ยนพูดขึ้น
“โธ่ไอ้บ้าเอ้ย คุณตำรวจ ไม่เอามันไปโรงพยาบาลบ้าหล่ะ??” คนในห้องขังตะโกนออกมา และไม่นานนัก ตำรวจคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องขังอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะมาที่ห้องของเพี้ยนด้วย
“ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วสินะไรท์” เพี้ยนพูดขึ้น
“นี่ คุณตำรวจ มาเอามันไปที!!” คนในห้องขังพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ตำรวจคนนั้นก็ไปเปิดห้องของเพี้ยนในทันที แล้วก็เข้าไปหาเพี้ยน
“นี่ไรท์ จะให้เราโดนแบบนี้จริงเหรอ??” เพี้ยนถามไป และในตอนนั้น ตำรวจก็เอาผ้าอะไรบางอย่างคลุมหัวเพี้ยนเอาไว้ จากนั้นก็เอาเพี้ยนออกไป
“โห นี่ต้องคลุมหัวเลยเหรอคุณตำรวจ??” คนในห้องขังคนเดิมถามไป
“มึงหุบปาก แล้วก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” ตำรวจคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็เอาตัวเพี้ยนออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว พวกเขาพาตัวเพี้ยนไปที่ด้านหลังของโรงพัก โดยที่ในตอนนั้นมีรถตู้คันหนึ่งกำลังจอดอยู่ ในขณะที่เพี้ยนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง และไม่นานนัก ตำรวจก็เอาตัวเพี้ยนเข้าไปในรถตู้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาถุงที่คลุมหัวเพี้ยนออกมา
“โอ๊ย ไรท์ หายใจไม่ออกเลยเนี่ย!!” เพี้ยนพูดขึ้น
“นั่งเงียบๆไว้นะไอ้บ้า ฉันไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นะเว้ย!!” ชายคนขับรถพูดขึ้น จากนั้นตำรวจก็ปิดประตูรถตู้ให้เขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ในที่สุดก็จะถึงเวลาแล้วสินะ” เพี้ยนพูดขึ้น
“ไอ้ห่าเอ้ย เสียดายเขาสั่งไม่ให้ทำอะไรแก ไม่งั้นแกตายแน่!!” คนขับรถพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบขับรถออกไปจากโรงพักอย่างรวดเร็ว
กลับมายังสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ตัวของซูซาคุก็ยังคงทำงานเอกสารในห้องของเธอ รวมถึงตัวของเธอได้ทำการศึกษาร่างกฎหมายเพื่อผลักดันกฎหมายตัวหนึ่งขึ้นมา และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูที่หน้าห้องเธออย่างรวดเร็ว
“เข้ามาได้!!” ซูซาคุพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ชายผู้ที่เคาะประตูก็เดินเข้ามาในห้องของเธอ
“อ้าว ฮันเตอร์ มีอะไรเหรอ??”
“อ้อ ผมได้ข้อมูลของเด็กหนุ่มที่ชื่ออากิระอะไรนี่หล่ะครับ ผมลองติดต่อกับคนที่เคยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“จริงเหรอคะ พวกนั้นว่ายังไงคะ??” ซูซาคุถามไป
“พวกเขายืนยันกันว่าอากิระอะไรนี่ตายแล้วครับ แต่จากที่ผมตามสืบข่าวมา ได้ยินว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“ถ้าตายแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงหล่ะ เอ๊ะ หรือว่าเขา…” ซูซาคุถามไป
“ไม่แน่นะครับ เขาอาจจะเป็นคนแบบเดียวกับที่คุณกำลังศึกษาอยู่ก็ได้ครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“ผู้เกิดใหม่งั้นเหรอ เขาเป็นผู้เกิดใหม่งั้นเหรอเนี่ย??” ซูซาคุถามไป
“แล้วนี่ จะให้ผมทำยังไงต่อหล่ะครับ??” ฮันเตอร์ถามไป
“ตอนนี้เก็บข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดก่อนก็แล้วกัน” ซูซาคุพูดไป
“อืม ถ้าอย่างงั้น ผมจะไปจัดการตามนั้นครับ ว่าแต่ คุณกำลังร่างกฎหมายที่คุณเคยบอกอยู่เหรอครับ??” ฮันเตอร์ถามไป
“ใช่แล้วหล่ะ ฉันกะว่าจะให้มันบังคับใช้เลย” ซูซาคุพูดขึ้น
“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงต้องช่วยพวกนั้นหล่ะครับ พวกเขาก็ไม่ใช่คนแล้วนี่ครับ??” ฮันเตอร์ถามอย่างสงสัย
“นายรู้หรือเปล่า เมื่อก่อนฉันเองก็เคยอยู่หน่วย UNASO??”
“อ้อครับ คุณเคยเล่าให้ผมฟังอยู่นี่ครับ”
“ใช่ แต่สิ่งที่ฉันไม่ได้เล่าให้นายฟังก็คือ ผู้เกิดใหม่พวกนี้ ความจริงเขาก็ไม่ต่างจากเรา พวกเขาไม่ได้มีแค่พวกชายฉกรรจ์เท่านั้น พวกเขามีทั้งผู้หญิง เด็กอีกมากมายที่เป็นผู้เกิดใหม่ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พวกเขาส่วนใหญ่ก็แค่อยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีชีวิตเฮงซวยเท่านั้น แล้วก็ยังมาเจออะไรแบบนี้อีก” ซูซาคุพูดขึ้น
“ว่าแต่ ผมอยากจะถามคุณมานานแล้ว เกิดอะไรขึ้นในวันที่คุณปฏิบัติการครับ??” ฮันเตอร์ถามอย่างสงสัย แต่ในตอนนั้นซูซาคุก็ทำหน้าเศร้า
“พวกเราฆ่าทุกคน” ซูซาคุพูดขึ้น
“ผมเสียใจด้วยนะครับ แต่มันก็เป็นหน้าที่นี่ครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“บางครั้งหน้าที่ของเราก็ไม่ควรขัดกับมนุษยธรรมนะ ยังไงพวกเขาก็เคยเป็นมนุษย์แบบเรา ถึงยังไงก็ควรจะปฏิบัติกับพวกเขาให้ดีกว่านี้หน่อยเถอะ” ซูซาคุพูดขึ้น
“แต่ผมว่า ในสภาอาจจะอนุมัติได้ยากนะครับ เพราะยังมีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น
“ฉันรู้ แต่ฉันคงไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็นั่งเอนหลังกับเก้าอี้ของเธอไป
กลับมายังเซฟเฮ้าส์ของสส.สุรสิงห์ ตัวของเขาได้แต่นั่งเครียดอยู่ในห้องคนเดียว หลังจากที่เรื่องที่พวกเขาก่อเริ่มจะแดงขึ้นมา และในขณะเดียวกันนั้นเอง
“ก๊อกๆๆ!!”
“เข้ามาได้!!”
สุรสิงห์ตอบกลับไป และในตอนนั้น เลขาของเขาก็เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
“ท่านคะ ดิฉันให้คนจัดการเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วค่ะ”
“เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก” นายสิงห์พูดไป
“ดูท่านเป็นกังวลนะคะ”
“ก็ไม่มีอะไร ฉันก็แค่คิด ว่าที่ฉันทำอาจจะทำอะไรพลาดไปก็ได้” นายสิงห์พูดขึ้น
“ท่านหมายถึง เรื่องไอ้คนพวกนั้นเหรอคะ??”
“ประมาณนั้น ถ้าฉันยอมจบศึกนี้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีปัญหามาจนถึงตอนนี้หรอก” นายสิงห์พูดขึ้น
“ดิฉันทราบค่ะท่าน”
“ไอ้ลูกชายตัวแสบของฉัน เฮ้อ บางทีฉันก็อยากจะจบเรื่องนี้” นายแสนพูดขึ้น
“ท่านคิดจะทำอะไรอย่างงั้นเหรอคะ??” นายสิงห์ถามไป
“ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว เราต้องทำลายทุกอย่างที่มันจะสาวมาถึงตัวเรา” นายสิงห์พูดขึ้น
“แต่ตอนนี้พวกองค์กรลับก็มาจัดการแทนเองทุกอย่างแล้วนี่คะ” เลขาของเขาพูดขึ้น
“แต่ฉันเป็นคนที่เริ่มต้นเรื่องนี้นี่ ถ้าฉันพลาด ทุกอย่างมันจะพังหมดแน่”
“ได้ค่ะท่าน แล้วท่านจะให้ฉันทำอะไรเหรอคะ??” เลขาของเขาถามไป
“ตอนนี้พยายามทำลายหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวถึงตัวเราก่อน ส่วนในคณะรัฐมนตรี ฉันจะจัดการเอง” นายสิงห์ตอบไป จากนั้นตัวของเลขาก็เดินออกไปด้านนอกทันที
กลับมายังห้องพยาบาลของนายแสน ในตอนนั้นสภาพร่างกายของนายแสนก็อิดโรยแบบสุดขีด เนื่องจากว่าพักผ่อนน้อย รวมถึงบาดเจ็บทางกายและทางใจอีก ตัวของเขายังคงให้ลูกน้องทำงานสกปรกให้กับเขาอยู่
“เฮ้ย พวกมึงตามล่าไอ้เสี่ยวหลงได้หรือยังวะ??”
“เออ ลูกพี่ พ่อพี่บอกไม่ใช่เหรอครับ ว่าไม่ให้เรายุ่งเรื่องนี้อีก??” ลูกน้องของเขาถามอย่างสงสัย
“กูต้องการฆ่ามัน ถ้าพวกมันไม่ตาย ฉันนอนตาไม่หลับ แกเข้าใจหรือเปล่า ห่ะ??” นายแสนถามไป
“แต่ถ้าเราทำอะไรวู่วาม มันจะส่งผลเสียนะพี่”
“ไอ้สัส มึงกล้าเถียงกูเหรอ??” นายแสนตะโกนถามไป
“ตอนนี้ไอ้เสี่ยวหลงกับเพื่อนๆมันหายตัวไป ผมว่ามันน่าจะไปกบดานที่อื่นแน่นอนครับ”
“ไม่ว่าพวกมันจะไปอยู่ที่ไหน ฉันก็จะฆ่ามัน โดยเฉพาะไอ้อากิระ ไอ้ระยำนั่น!!” นายแสนพูดขึ้น
“ลูกพี่ แต่ว่ามันไม่ใช่คนแล้วนะครับ”
“งั้นเหรอ ได้ยินมาว่าพอมันฆ่าตัวตาย มันก็กลายเป็นผู้เกิดใหม่ ถ้าเกิดฉันลองฆ่าตัวตายบ้างหล่ะ??” นายแสนถามไป
“นายครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเป็นผู้เกิดใหม่แบบมันได้หมดนะครับ”
“แต่ถึงยังไง ฉันก็ยังอยากลองเหมือนกัน จะได้พ้นๆจากสภาพนี้ด้วย” นายแสนพูดขึ้น
“แต่เราก็ใช้คนอื่นไปจัดการแทนได้นี่ครับ”
“ไม่ ฉันอยากทำเองมากกว่า ไม่ว่ามันจะทำอะไร ฉันต้องชนะมันให้ได้” นายแสนพูดไป
กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในตอนนั้นตัวของเขาก็กำลังนั่งสมาธิเพื่อติดต่อกับวิญญาณของชายคนหนึ่งซึ่งเขาตามหาตัวมานาน ตัวของเขาพยายามเพ่งสมาธิอย่างตั้งใจ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีหวังเลย
“เมืองผา เจ้าอยู่ที่ใด??”
“เฮ้อๆๆ หาเพื่อนของนายอยู่เหรอ??”
จู่ๆ ในตอนนั้น ก็มีใครบางคนพยายามติดต่อกับเขา
“เฮ้ย นี่เจ้าเป็นผู้ใด??” วิบัติถามกลับไป
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ฉันแค่อยากจะมาทักทายนายหน่ะ”
“แกรู้หรือไม่ว่ากำลังลองดีกับใคร??” วิบัติถามต่อ
“ฉันว่าฉันรู้นะ ยิ่งกว่ารู้อีก”
“แกต้องการอะไรกันแน่??” วิบัติถามอย่างสงสัย
“ก็บอกแล้วไง ฉันแค่อยากมาทักทายกับนาย อีกไม่นาน ฉันจะไปแผ่นดินของนาย ลาก่อนนะ!!”
“เฮ้อ!!”
วิบัติได้สติกลับมาไม่นานในตอนนั้น ตัวของเขาก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครที่มีความสามารถที่จะติดต่อกับเขาได้เลย
“นายท่าน เกิดอันใดขึ้นขอรับ??” วิญญาณรับใช้ของเขาถามเขาไป
“ไม่มีอันใดดอก มีไอ้ระยำที่ใดก็ไม่รู้มันบังอาจมาติดต่อกับข้า” วิบัติพูดขึ้น
“จริงหรือขอรับ แล้วท่านจักทำเยี่ยงไรต่อขอรับ??”
“มันแจ้งกับข้าว่ามันจะเดินทางมาที่นี่ แต่เอาเถิด ข้าจักรอต้อนรับขับสู้กับมันเสีย!!” วิบัติพูดขึ้น
ณ สนามบินลึกลับแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เครื่องบินลำใหญ่ลำหนึ่งซึ่งสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ภายในเวลาไม่กี่วัน รอบเครื่องมีบรรดากองกำลังติดอาวุธมากมายคอยคุ้มกัน และไม่นานนักเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็บินมายังสนามบิน เมื่อเครื่องลงจอด ตัวของ The Green ก็เดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปยังเครื่องบินอย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะ เราจะไปถึงเมืองไทยนานกี่วันหล่ะ??” The Green ถามอย่างสงสัย
“คงถึงในไม่กี่วันค่ะ” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งตอบไป
“ตอนนี้มีข่าวอะไรมาจากคริสเตียลหรือเปล่า??” The Green ถามไป
“ยังไม่มีเลยค่ะ”
“แต่ช่วงนี้เขาก็เงียบหายไปเลยนะคะ” ลูกน้องของเธอพูดขึ้น
“เราต้องไปถึงเมืองไทย ก่อนที่โปรเจ็กค์ S จะปรากฏตัว ไม่อย่างงั้นโลกนี้ได้วุ่นวายอีกครั้งแน่ๆ แล้วอีกอย่าง เรื่องที่ฉันจะไปเมืองไทย อย่าเพิ่งให้ใครรู้เยอะหล่ะ” The Green พูดขึ้น
“อ้าว ทำไมหล่ะคะ??”
“ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ฉันไม่ไว้ใจคนในหน่วยเท่าไหร่” The Green ตอบไป
“อ้อค่ะ ถ้าอย่างงั้นจะบอกคุณคริสเตียลตอนไหนคะ??”
“ถ้าฉันไปถึงที่นั่นเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการเอง” The Green พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินขึ้นเครื่องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์ของเธอ ก่อนที่เครื่องจะค่อยๆขึ้นบินออกจากสนามบินไป
กลับมายังที่ตั้งของหน่วย UNASO ยานบินของลีน่าที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงหน่วย ตัวของลีน่าได้จับตัวอัญชันมาด้วย อัญชันพยายามดิ้นรนสุดขีด แต่ลีน่าก็ได้ตบเธอร่วงลงกับพื้น
“โอ๊ย คอยดูเถอะ ไม่จบแค่นี้แน่!!” อัญชันพูดขึ้น
“นี่ ใครก็ได้ มานี่หน่อย!!” ลีน่าเรียกคนในหน่วยมาอย่างรวดเร็ว
“เอายัยนี่ไปทำแผลที” ลีน่าพูดขึ้น
“ว่าแต่ เธอเป็นใครเหรอครับ??” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามไป
“ไม่ต้องถาม เอาเป็นว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกผู้เกิดใหม่แน่นอน ไปสิ!!” ลีน่าตะโกนออกมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้พาตัวอัญชันไปอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น ตัวของเธอก็แบกอุปกรณ์นั้นไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดกล่องอุปกรณ์ ซึ่งด้านในมีเครื่องมือที่เธอขโมยมาด้วย
“เยี่ยมไปเลย” ลีน่าพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และได้คุยแชทกับคนของเธอ
“ที่รักขา ฉันมีอะไรเซอร์ไพร์สค่ะ”
“อืม งั้นเหรอ มีอะไรหล่ะ??”
“ลีน่า ส่งรูป!!”
“นี่เธอทำได้จริงๆเหรอเนี่ย??”
“แน่นอนค่ะที่รัก เพื่อที่รักทำได้ทั้งนั้น”
“เธอทำได้ดีมาก ฉันจะตบรางวัลให้เธอเลย ฉันกับเดวิดจะรีบไปเมืองไทยเลย”
“ค่ะที่รัก ดิฉันรออยู่นะคะ xoxo”
ชายที่คุยแชทกับลีน่าได้จบการสนทนา จากนั้นก็พิมพ์ข้อความอะไรบางอย่างลงบนไอแพดของเขา แล้วส่งให้เดวิดได้ดู
“ฉันจะไปเมืองไทย วันนี้เลย!!”
“ครับผม ตอนนี้เครื่องพร้อมแล้วครับ” เดวิดตอบกลับไป
กลับมายังแหล่งกบดานของดันเต้ หลังจากที่พวกเขาถูกบุกรุกและขโมยของไป ในตอนนี้ตัวของดันเต้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นนาวินละคนอื่นๆก็กลับมาถึงพอดี นาวินในตอนนั้นรีบไปหาดันเต้อย่างรวดเร็วเพื่อคุยกับเขาว่าเกิดอะไรขึ้น โดยที่นายลืมก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นด้วย
“ทุกคนครับ เป็นยังไงกันบ้างครับเนี่ย??” นาวินถามอย่างสงสัย
“ฮือๆๆๆ พวกมันจับพี่อัญชันไปแล้ว ผมขอโทษ พี่อัญชันช่วยผมไว้ ผมผิดเอง!!” นายลืมพูดขึ้น ในตอนนั้นมันทำให้เสี่ยวหลงกับอากิระถึงกับโมโห อากิระรีบไปกระชากตัวของนายลืมขึ้นมาในทันที
“มันเกิดอะไรขึ้น มันทำอะไรกับอัญชัน ตอบมาสิ!!” ในตอนนั้นเสี่ยวหลงต้องลากเขาออกมาอย่างรวดเร็ว
“อากิระ หมอนั่นคงทำดีที่สุดแล้วหล่ะ หมอนั่นคงไม่อยากให้อัญชันโดนจับไปหรอก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ระยำเอ้ย พวกมันทำกับเราแบบนี้ ยกพวกไปฆ่าพวกมันเลยดีกว่า!!” โลร็องต์ตะโกนออกมา
“ใช่ รออะไรหล่ะ” อากิระพูดเสริม แต่ในตอนนั้นเวียนก็ห้ามพวกเขาไว้ก่อน
“นี่ พวกนายหน่ะ ทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากเข้าถ้ำเสือหรอกนะ!!” เวียนพูดขึ้น
“ใช่ พี่เวียนพูดถูก พวกมันคงต้องการจะล่อให้เราไปที่นั่น” ลูโดวิกพูดขึ้น
“แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร พี่อัญชันก็อาจจะแย่นะคะ” ลาลินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็รีบวิ่งมาหาทุกคนด้วยความตื่นเต้น
“พี่ครับ ตอนนี้ผมพอจะรู้ตำแหน่งของพี่อัญชันแล้วหล่ะครับ ผมเอาโทรศัพท์ของพวกมันมาแกะรอยแล้ว พบว่าตำแหน่งสุดท้ายที่พวกมันอยู่หลายชั่วโมงที่แล้วเป็นที่เดียวกันครับ” ภาภินพูดขึ้น ในตอนนั้นมันทำให้ทุกคนเริ่มจะมีหวังขึ้นมาบ้าง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังดีใจกันอยู่นั้น หุ่นดรอยด์ของดันเต้ก็พาแขกเข้ามาหาพวกเขา ซึ่งนั่นก้คืออีสครินน่ากับพัตติยานั่นเอง พัตติยารีบไปทักทายกับทุกคนในทันที
“สวัสดีค่ะทุกคน ได้ยินว่าที่นี่มีปัญหาหน่ะ” พัตติยาพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ เพื่อนของเราคนหนึ่งโดนพวกมันจับตัวไป” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ยังไงก็เสียใจด้วยนะคะ ดิฉันชื่ออีสครินน่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น และในตอนนั้นเมื่อเธอสังเกตเห็นนาวิน เธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันที
“อ่า มีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามอีสครินน่าไป แต่ในตอนนั้นเธอก็ยังไม่ตอบอะไร
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปช่วยอัญชันกลับมาอยู่หน่ะค่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“ถ้าไม่อย่างงั้น เราก็คงต้องลอบเข้าไปช่วยเธอแบบเงียบๆหน่ะ” ลันโทสพูดขึ้น
“อืม ผมเห็นด้วยนะครับ ไหนๆเราก็รู้ตำแหน่งของพวกนั้นแล้ว” ซีโร่พูดขึ้น
“วันนี้ผมไม่จั่วไพ่ก็แล้วกัน เพราะถึงยังไงเราก็ต้องช่วยพี่เขาออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง” นายลุ้นพูดขึ้น
“เอาเถอะ ว่าไงว่าตามกัน ฉันเต็มที่อยู่แล้ว” ฮารุพูดขึ้น
“โปรเจ็กค์ S ถ้าเขากลับมาจริงๆ เราคงต้องระวังตัวกันหน่อยแล้วหล่ะครับ” ดันเต้พูดขึ้น
“S มันคืออะไรเหรอครับด็อกเตอร์??” นาวินถามอย่างสงสัย
“โซนิค”
===================================================================
โซนิคคือใครกันแน่ แล้วอัญชันจะปลอดภัยหรือไม่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย
ความคิดเห็น