คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 : ตัวประกัน
เช้าวันต่อมา หลังจากที่สถานการณ์สงครามกลางเมืองได้ลุกลามไปทั่วโลก
“ขณะนี้เรากำลังรายงานสดจากรัสเซีย
กลุ่มกบฏได้ทำการโจมตีทหารเยอรมันทั่วประเทศ
ในขณะนี้พวกเขาได้ยึดเมืองฮิตเลอร์กราด ซึ่งชื่อเดิมคือสตาลินกราดได้แล้ว
ในตอนนี้กองทัพที่ 6 และ 7 กำลังเตรียมกองทัพเพื่อบุกเข้ายึดเมืองคืนมาในเร็ววัน”
“รายงานสดจากแอฟริกา
ในขณะนี้กองทัพเรือผสมจากอิตาลีและสเปน กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์ในแอฟริกา
ซึ่งพวกเขาได้ยึดเมืองเคปทาวน์และจับเจ้าหน้าที่บางส่วนเป็นตัวประกัน”
“กลุ่มกบฏได้เข้ายึดเม็กซิโกเรียบร้อยแล้ว
ทางการญี่ปุ่นส่งกองทัพและกองเรือของพวกเขาเพื่อเข้ายึดเม็กซิโกกลับคืนมา”
“เกิดการก่อการในจีน
ซึ่งกลุ่มกบฏได้โจมตีทหารญี่ปุ่นที่ประจำการในอู่ชาง การรบเข้าขั้นแตกหัก
กองทัพญี่ปุ่นเตรียมการกวาดล้างครั้งใหญ่ในเร็วนี้ และที่แมนจูกัว
ในขณะนี้นายพลพักซองฮี นายกรัฐมนตรีแมนจูกัวได้เข้ายึดพระราชวังแมนจูเรียจากกลุ่มกบฏได้เรียบร้อยแล้ว
แต่องค์จักรพรรดิผู๋อี๋และบรรดาข้าราชบริพานได้ตายกันหมดแล้ว
นายพลพักปฏิญาณว่าจะกลาดล้างกลุ่มกบฏให้สิ้นซาก”
“ที่กรุงฮานอย
ซึ่งอยู่เวียดนามตอนเหนือ กองทัพมหาราชอาณาจักรไทยได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปโจมตี
แต่พวกเขาก็โดนต่อต้านอย่างหนัก
ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องส่งกำลังทหารเข้าไปจัดการให้สิ้นซาก”
และกลังจากเกิดเหตุ กลุ่มผู้นำประเทศอักษะได้รวมตัวและรวมกำลังทหารกันเพื่อกวาดล้างกลุ่มกบฏให้สิ้นซาก
แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์จะลุกลามมากเกินไปทุกที
หลังจากที่หลายๆคนผ่านเหตุการณ์ร้ายเมื่อวานกันหมดแล้ว
กลุ่มของนนท์ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเรียนกันแล้ว
ซึ่งในวันนี้นาต้องเข้าไปเรียนกับฟรองเกอร์
ส่วนซานะไปเรียนอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นสาขาวิชาที่เธอเรียน
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนทักทายันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเข้าเรียนซักที
ในห้องเรียนของนนท์ บรรดานักเรียนหลายเชื้อชาติก็เดินเข้ามาในห้อง
จากนั้นพวกเขาก็เลือกที่นั่งสำหรับฟังบรรยายของอาจารย์
ในตอนนั้นเองนนท์และฟรองเกอร์ก็นั่งอยู่โซนหน้าห้อง
ซึ่งดูจะเป็นโซนที่สงบเงียบมากเลยทีเดียว
“จะได้เรียนแล้ว
นายว่าไงพวก” ฟรองเกอร์ถามนนท์ไป
“ก็นะ
ตื่นเต้นดีเหมือนกันหว่ะ”
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน จู่ๆ
อลาวดี้กับดันเต้ก็มานั่งอยู่ข้างๆพวกเขา โดยอลาวดี้นั่งอยู่ข้างนนท์
ส่วนดันเต้ก็นั่งกับฟรองเกอร์
“ไง
เจ้าอ้วน” ดันเต้ทักทายฟรองเกอร์
“หนักหัวพ่อแกหรือไงวะ” ฟรองเกอร์ตอบกลับดันเต้ไป
“อลาวดี้
เป็นยังไงบ้างหล่ะ” นนท์ถามอลาวดี้ไป
“อ้อๆ
ก็โอเคแล้วหล่ะ แล้วถ้าจะถามหาลินน์รีด เธอปลอดภัยนะ
แต่เธอไม่ยอมพูดกับใครเลยตอนนี้”
“อ้าว
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ” นนท์ถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน
แต่พูดถึงนายด้วยหล่ะพวก”
“เธอพูดถึงฉันเนี่ยนะ” นนท์ถามกลับอีกครั้ง
“ก็ใช่หน่ะสิ
ฉันจะโกหกทำไมหล่ะ”
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน
จู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึม
จากนั้นเขาก็เดินตรงมายังไมโครโฟนในทันที แล้วพูดขึ้น
“ประกาศจากองค์พระจักรพรรดิแด่ประชาชนชาวอเมริกันในเขตปกครองญี่ปุ่นทุกคน
ในขณะนี้เรากำลังอยู่ในภาวะสงคราม ตอนนี้เม็กซิโกได้เกิดการก่อกบฏขึ้น
ในนามขององค์พระจักรพรรดิ ขอให้ชายชาวญี่ปุ่น ไทย จีน
และชายทุกคนที่อาศัยอยู่ในเขตนี้ต้องได้รับการฝึกทหาร
เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น องค์จักรพรรดิจงเจริญ บันไซ”
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างยกมือบันไซทุกคน
จากนั้นนายทหารคนนั้นก็เดินออกจากห้องไป
“เฮ้อ
มันเกิดขึ้นแล้วสินะ” อลาวดี้พูดขึ้น
“ช่างมันเถอะ
อย่าคิดมากเลย อาจารย์มาหล่ะ”
หลังจากที่อาจารย์ของพวกเขาเข้ามาในห้อง
พวกเขาก็หยุดเงียบและฟังสิ่งที่อาจารย์สอนบรรยายในทันที
และในห้องนักเรียนที่ซานะกำลังเรียน
ในขณะที่เธอกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆญี่ปุ่นของเธอ
จู่ๆลินน์รีดก็ถือหนังสือเดินเข้ามานั่งใกล้เธอในทันที
พร้อมกับวางหนังสือไว้บนโต๊ะด้วย
“อ้าว
ลินน์รีด เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันสบายดี
ขอบคุณนะ แล้วนนท์ไม่มาด้วยเหรอ”
“นนท์เรียนอีกห้องนึงหน่ะ
ขอบใจนะที่มาช่วยพวกฉัน”
“ไม่เป็นไรหรอก
ความจริงฉันต้องขอโทษเธอด้วยแหละ”
“ขอโทษทำไมกันหล่ะ
ดีซะอีก เธอเรียนสาขานี้เหมือนกันเหรอ ฉันได้เพื่อนเรียนแล้ว” ซานะพูดอย่างตื่นเต้น
“อืมๆ
ก็คงจะเป็นอย่างนั้นหล่ะนะ”
กลับมายังอพาร์ทเม้นท์ลับแห่งหนึ่งในซอยเปลี่ยว
หลังจากที่การก่อการในแคลิฟอร์เนียล้มเหลว
พวกเขารีบมารวมตัวกันเพื่อจัดการแผนการใหม่ที่เกิดขึ้น
ในตอนนั้นเองปารีสก็หัวเสียมากเนื่องจากว่าแผนของเขาไม่สำเร็จอย่างแรง
“เหลือรอดมาได้เท่าไหร่กันหล่ะ” ปารีสถามเพื่อนของเขาที่หนีมาได้
“ก็บางส่วน
แต่พวกเราโดนจับไป 32 คนเลยนะเว้ย” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“เป็นเพราะนายคนเดียว
ไอ้บ้าเอ้ย” ชายคนหนึ่งตะโกนใส่หน้าปารีสไป
“นั่นสิ
ถ้าไมเคิลรู้นายตายแน่” ชายอีกคนหนึ่งพูดเสริม
“อย่าโทษกันเองเลยจ้ะ
เขาคงไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้” คุณย่าออลเรียสพยายามห้ามศึกในห้องเอาไว้
“ผมทำให้เรื่องนี้มันแย่
ผมจะรับผิดชอบเอง” ปารีสพูดออกมา
“ยังไงกันหล่ะ
วันนี้ตอนเที่ยงพวกเราคงโดนยิงเป้าตายกันหมดแล้ว” ชายคนเดิมพูดออกมา
“ฉันจะไปช่วยพวกเขาเอง
ไม่ต้องห่วง” ปารีสพูดขึ้น
“เฮ้อ
ป่านนี้พวกเคมเปนไตคงอยู่ที่นั่นเต็มไปหมดแล้วหล่ะ” ชายคนเดิมบอกไป
“ฉันจะเอาตัวประกันเอเชียที่มีแลกกับตัวพวกเรา” ปารีสพูดขึ้น
“เฮ้อ
หวังว่าพวกเขาจะไม่ทรมานกันนะ” คุณย่าออลเรียสพูดทิ้งท้ายเอาไว้
ณ ศูนย์บังคับบัญชาหน่วยเคมเปนไต
หลังจากที่ยามะดะจับตัวบรรดาสมาชิกผู้ก่อการได้เรียบไม่ไว้หน้า
พวกเขาก็จับพวกเขาขังคุกเอาไว้ชั่วคราวเพื่อรอการประหารชีวิตในตอนเที่ยง
ในขณะเดียวกัน
ซาโต้ก็เพิ่งจะได้ข่าวมาว่ากลุ่มผู้ต่อต้านได้จับตัวชาวเอเชียในแคลิฟอร์เนียเอาไว้
ซาโต้รีบไปรายงานกับยามาดะในทันที
“ท่านครับ
พวกมันจับตัวชาวเอเชียเอาไว้ประมาณ 30 ครอบครัวครับ”
“ตอนนี้พวกมันเรียกร้องอะไรหรือยัง”
“เมื่อเช้ามีจดหมายมาเสียบอยู่ที่หน้าหน่วย
มันบอกว่าถ้าไม่ยอมปล่อยตัวทั้ง 32 คน
มันจะฆ่าครอบครัวชาวเอเชียทั้งหมดออกสื่อทั่วโลกครับ”
“ระยำเอ้ย
ส่งข้อความไปถ่วงเวลาพวกมันก่อน จากนั้นก็ส่งหน่วยรบพิเศษไปชิงตัวมา”
“แต่ว่า
ตัวประกันอาจจะอยู่ในอันตรายนะครับ” ซาโต้พูดขึ้น
“พวกมันไม่ทำอันตรายตัวประกันหรอก
นายไปจัดการตามนั้นแล้วกัน”
“ครับท่าน”
ณ กรุงไซง่อน อินโดจีน เวียดนาม
หลังจากที่โกโร่มาถึงสถานีได้ไม่นาน
พวกเขาก็ได้รับข่าวใหม่ว่ากองทัพไทยกำลังถูกส่งเข้ามาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว
โกโร่และเพื่อนของเขารีบไปยังจุดเกิดเหตุในทันที
ซึ่งเป็นจุดที่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพไทยกำลังลำเลียงกำลังพลเข้ามายังเวียดนาม
ซุนกิวรีบใช้กล้องที่เขาพกมาถ่ายทำสดๆในทันที โดยที่โกโร่ก็เริ่มดำเนินรายการทันที
“สวัสดีครับ
ผมโกโร่ นาโตริ รายงานสดจากไซง่อนนะครับ ซึ่งในขณะนี้ เวลา 18.16
ตามเวลาท้องถิ่นกรุงไซง่อน ในขณะนี้กองทัพอากาศไทย
ซึ่งนำโดยเฮลิคอปเตอร์มากกว่าหลายร้อยลำ ลำเลียงทหารและเสบียงเข้ามายังกรุงไซง่อนอย่างไม่ขาดสาย
ซึ่งคำนวณจากสายตาแล้ว กำลังพลน่าจะมีราวๆพันคน เราจะรายงานเป็นระยะๆครับ” จากนั้นโกโร่ก็ทำสัญญาณมือให้พักได้
“โอเค
จบได้สวย แล้วนี่นายจะเอายังไงต่อหล่ะ” ซุนกิวถามไป
“นายไปติดต่อพวกเราที่สำนักข่าว
ให้มาที่นี่ด่วนเลย”
“แล้วนายจะไม่เข้าที่พักก่อนเหรอ” ซุนกิวถามอีกครั้ง
“พอไหวอยู่
ข่าวนี้สำคัญมากเลยนะเว้ย”
“เออๆ
ถ้าอย่างงั้นฉันไปโทรศัพท์ก่อนก็แล้วกัน”
ซุนกิวรีบวิ่งไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อติดต่อกับพรรคพวกของเขาที่สำนักข่าว
ส่วนโกโร่ก็คอยดูความเคลื่อนไหวของกองทัพไทยเป็นระยะๆ
ณ เขตเป็นกลาง เดนเวอร์ โคโลราโด
โซลขับรถออกมายังกระท่อมหลังหนึ่งในย่านร้างห่างไกลผู้คน เขาจอดรถอยู่ข้างๆกระท่อม
หลังจากนั้นก็จุดบุหรี่สูบไปด้วยในตัว ในระหว่างที่เขากำลังสูบ
จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งมาขับจอดใกล้ๆเขา โดยที่โซลก็ลงจากรถทันทีเมื่อเห็นรถคันนั้น
หลังจากรถอีกคันหนึ่งจอด ชายคนหนึ่งก็ลงจากรถมาในทันที
“สวัสดี
เป็นยังไงบ้าง”
“มันยอมบอกมาแล้ว
เกี่ยวกับไวเวิร์นหน่ะ” โซลตอบไป
“เออ
แล้วมันว่ายังไงหล่ะ”
“มันบอกว่าที่ตั้งของกองกำลังอยู่ชายแดนมิชิแกนหน่ะ”
โซลพูดขึ้น
“แล้วจากนั้นยังไงต่อหล่ะ”
“มันรู้แค่นั้นแหละ”
“แกแน่ใจนะว่าไม่เหลือร่องรอยหน่ะ”
“ไม่เหลือแน่นอน
รับรองได้เลย” โซลพูดขึ้น
จากนั้นชายคนนั้นก็ยื่นซองให้กับโซล โซลรับมาในทันที
“แล้วนี่ผมต้องไปไหนต่อหล่ะ”
“มิชิแกน
เล่นงานไวเวิร์นมันเลย”
“ดี
แล้วผมจะส่งข่าวมาแล้วกัน”
โซลรีบขึ้นรถของเขาแล้วขับออกไปจากพื้นที่
ก่อนที่กลุ่มต่อต้านในพื้นที่จะมาเจอกับพวกเขาเข้า
และ ณ ที่มั่นของกลุ่มไวเวิร์น
หลังจากที่พวกเขาหนีจากการโจมตีของทหาร SS กลับมาได้
พวกเขาก็มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในวันนี้
“คนของเราเป็นยังไงบ้าง” ไวเวิร์นถามโบซอล
“ตาย 4
บาดเจ็บอีก 10 กว่าๆได้” โบซอลพูดขึ้น
“เกือบตายแล้วมั้ยหล่ะวันนี้พวกนายเนี่ย”
เจนนี่พูดอย่างอารมณ์เสีย
“ฉันขอโทษ
ฉันเสียใจ พอใจยังหล่ะ” โบซอลพูดขึ้น
“มันไม่ใช่แค่นั้นนะ
พวกเราต้องมาตายแบบนี้มันไม่ถูก” ไวเวิร์นพูดขึ้น ในขณะเดียวกัน
ชายคนหนึ่งในกลุ่มต่อต้านก็วิ่งมาหาพวกของไวเวิร์นอย่างหน้าตาตื่น
“อ้าว
นาย มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
เจนนี่ถามอย่างสงสัย
“คาเรนตายแล้ว
บ้านเขาโดนเผาไม่เหลือซากเลย”
ไวเวิร์นได้ยินดังนั้นจึงตกใจมาก เพราะคาเรนเป็นแกนนำหลักคนสำคัญในกลุ่ม
ถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นย่อมไม่เป็นผลดีกับกลุ่มของพวกเขาแน่ๆ
“ฝีมือใครกันวะเนี่ย” โบซอลถามอย่างโมโห
“พวก SS แน่ๆ
เชื่อฉันสิ” เจนนี่ตอบไป
“ฉันว่าไม่น่าใช่นะ
พวก SS หรอก พวกมันคงไม่เก็บหลักฐานขนาดนี้แน่ๆ” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“แล้วจะใครหล่ะ
พวกญี่ปุ่น เคมเปนไตเหรอ”
โบซอลถามอย่างสงสัย
“แสดงว่าพวกนั้นเริ่มประกาศสงครามกับเราแล้วสินะ” เจนนี่พูดขึ้น
“ตอนนี้
พวกเราทุกคนต้องระวังตัวกันหน่อยหล่ะ” ไวเวิร์นบอกกับทุกคนในกลุ่มไปทันที
ณ สำนักงานใหญ่ของหน่วย SS นายพลสติฟท์เรียกตัวแองเจลล่ามาพบเพื่อถามถึงความคืบหน้าในการสร้างกำแพงชายแดนเพื่อป้องกันการเข้าออกของกลุ่มกบฏ
แองเจลล่าเข้ามาในห้องทันทีโดยที่นายพลสติฟท์กำลังนั่งรอเธออยู่บนโต๊ะพอดี
“อ้าว
แองเจลล่า นั่งก่อนสิ”
แองเจลล่านั่งลงบนเก้าอี้ในทันที
“ที่ชายแดนคุณปลอดภัยนะ”
“ค่ะ
พวกมันพลาดตามเคยค่ะ แล้วท่านหล่ะคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” แองเจลล่าถามกลับ
“ผมไม่เป็นไรหรอก
ขอบคุณมาก เรื่องกำแพงทางชายแดนเป็นยังไงบ้างหล่ะ”
“อาจจะต้องมีการเสริมแนวป้องกันอีกหน่อยค่ะท่าน”
“งั้นเหรอ
ตรงไหนบ้างหล่ะ”
“เราจะวางรั้วลวดหนามไว้รอบๆ
พร้อมกับเรือตรวจการณ์ชายฝั่งในทะเลสาบค่ะ”
“เรื่องนั่นผมจะจัดการให้
แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญกว่านั้น”
“มีอะไรเหรอคะท่าน” แองเจลล่าถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้นายคาเรน
กลาเดียน หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญที่เราคาดว่าจะเกี่ยวข้องกับไวเวิร์น ถูกเก็บไปแล้ว”
“จริงเหรอคะ
แบบนี้ก็ดีหน่ะสิคะ”
“แต่ปัญหาคือ
ถ้าเรื่องนี้ลุกลามไป เราคงต้องเจอศึกหนักแน่ๆ” นายพลสติฟท์พูดอย่างเป็นกังวล
“เราก็แค่จัดกองกำลังคุ้มกันพื้นที่สิคะ”
“ผมรู้
แต่อย่างเรื่องที่เกิดกับผม ผมว่าเราควรจะลงมือได้แล้ว”
“ท่านแน่ใจแล้วเหรอคะ” แองเจลล่าถามอีกครั้ง
“แน่นอน
ผมจะไม่ยอมพลาดซ้ำสองอีกแล้วหล่ะ คุณรับผิดชอบเรื่องการสร้างกำแพงต่อไปเถอะ”
“ค่ะท่าน”
กลับมายังคาซาน รัสเซียอีกครั้ง
ซึ่งในตอนนั้นทั้งประเทศกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย การก่อจลาจลที่มีอยู่ทั่วไป
ทหารเยอรมันไล่ยิงกลุ่มกบฏอย่างไม่เลือกหน้า
สงครามกลางเมืองในครั้งนี้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย
เรซนอร์ฟและพรรคพวกของเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่จัดการกับทหารนาซี
ในระหว่างที่พวกเขากำลังเตรียมการซุ่มโจมตีพวกมันในตึกแห่งหนึ่ง
เอลซาร์วินด์ได้ข่าวอะไรบางอย่างมาจึงรีบไปรายงานเขาในทันที
“คุณเรซนอร์ฟ
มีข่าวจากสตาลินกราดมาครับ”
เอลซาร์วินด์รีบมาบอกกับเรซนอร์ฟ
เนื่องจากว่าชาวรัสเซียส่วนใหญ่ยังคงเรียกมันว่า สตาลินกราด
แม้ว่าการเรียกชื่อนี้จะผิดกฎหมายก็ตาม
“มีอะไรอย่างงั้นเหรอ”
“ตอนนี้กลุ่มกบฏยึดสตาลินกราดไว้แล้วครับ”
“จริงเหรอ
พวกเยอรมันตอบโต้อะไรหรือเปล่า”
“อีก 3
วันพวกเขาจะเอากองทัพที่ 7 มายึดเมืองคืนแล้วครับ”
“อืม
แล้วพวกนั้นมีกำลังพลกับอาวุธมากแค่ไหนหล่ะ” เรซนอร์ฟถามไป
“สายข่าวของเรายังไม่บอกมาครับ”
“อืม
ดาโกวิช นายคิดยังไงเรื่องนี้” เรซนอร์ฟถามเขาไป
“เราเคยแพ้ที่สตาลินกราดครั้งหนึ่งแล้ว
ผมจะไม่ยอมซ้ำสองแน่ๆ” ดาโกวิชพูดขึ้น
“ใช่
ต่อให้พวกมันเอาคนเป็นล้านบุกเข้ามา ผมก็ไม่กลัวหรอก” เอลซาร์วินด์พูดขึ้น
“เราจะไปสตาลินกราดอีกไม่นานนี่หล่ะ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“ครับ
แล้วพวกมันที่นี่จะทำยังไงต่อครับ” เอลซาร์วินด์ถามอย่างสงสัย
“ที่นี่พวกมันมีกำลังน้อย
คอยๆจู่โจมไปเรื่อยๆก็ได้”
เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“ที่สตาลินกราดเที่ยวนี้ผมไม่มีทางพลาดแน่ๆ” ดาโกวิชพูดขึ้น
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น
สหาย” เรซนอร์ฟตอบเขาไป
ณ ทะเลแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ไป
300 ไมล์ทะเล
หลังจากที่เรือพาณิชย์ของมิคาอิลแล่นผ่านกองเรือผสมของสเปนและอิตาลีได้สำเร็จ
เขาก็เตรียมเข้าเทียบท่าเพื่อกักตุนเสบียงและอาวุธที่จะใช้ก่อการในจีน
ซึ่งพวกเขาก็ติดต่อกับกลุ่มต่อต้านในพื้นที่ทันที
“ติดต่อพวกเขาเป็นยังไงบ้าง” มิคาอิลถามลูกน้องของเขา
“ได้แล้วครับ
ทางนั้นจะเปิดท่าเรือให้เราครับ”
“ดี
แล้วอีกนานมั้ยกว่าเราจะไปถึง”
“4
ชั่วโมงได้ครับ”
“ดี
เราจะขายอาวุธบางส่วนให้กับพวกเขา น่าจะช่วยพวกเขาได้บ้างหล่ะ” มิคาอิลพูดขึ้น
“หวังว่ากองเรือสเปนจะตามมาไม่ทันนะครับ”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน
จู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องบินดังมาแต่ไกล ซึ่งพวกเขาก็รีบไปสังเกตการณ์ด้านบนในทันที
ซึ่งเครื่องบินพวกนั้นเป็นเครื่องบินสัญชาติสเปน
ซึ่งพวกเขาก็กำลังบุกเข้าไปทิ้งระเบิดในแอฟริกาใต้
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีเวลาแล้วหล่ะ
รีบไปเร็ว”
“ครับผม”
กองเรือของมิคาอิลรีบแล่นผ่านสมรภูมิในพื้นที่เพื่อไปเข้าท่าเรือในเคปทาวน์ในทันที
ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง
หลังจากที่ออร์ลินด้าและคนของเธอมาซ่อนตัว
พวกเธอก็เตรียมกำลังกันใหม่โดยที่พวกเธอก็อ่านข่าวสถานการณ์รอบโลกไปด้วย
แต่ในขณะนั้น มีอยู่หนึ่งข่าวที่สร้างความตกใจให้กับเธอมาก ออร์ลินด้าเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นเพื่อจะได้ยินชัดขึ้น
“ขณะนี้ทางเขตตะวันออกกลาง
กองทัพอินเดียราว 1 ล้านคน ได้เตรียมการบุกเข้ามาในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบ
กองกำลังหลักของพวกเขามีทหารราบและเครื่องบินเป็นหลัก ในตอนนี้
พวกเขาได้เข้าควบคุมปากีสถาน และรุกคืบไปยังเขตอันตรายเขตอื่น”
“คุณออร์ลินด้าคะ
คือว่า” บาโธรี่กำลังจะวิ่งมารายงานสถานการณ์ของเธอให้ออร์ลินด้า
แต่ออร์ลินด้าก็ให้เธอเงียบก่อน
“ดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังจะมาที่นี่สินะ”
“ใช่ค่ะ
ตอนนี้กองพลหลักของอินเดียเริ่มจะทำการกระโดดร่มเข้ามาในพื้นที่แล้วค่ะ” บาโธรี่พูดขึ้น
“งั้นเหรอ
ตอนนี้กองกำลังของพวกเขาอยู่ที่ไหนหล่ะ”
“พวกเขากำลังกระโดดร่มเพื่อเข้ามายังอิรัก
โดยที่กองทัพอิหร่านคอยสนับสนุนอยู่ค่ะ” บาโธรี่บอกไป
“พวกเขาอยู่ที่อิรักงั้นเหรอ
ไม่ได้การหล่ะ”
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงต่อหล่ะคะ”
“เราต้องรีบไปที่ซาอุดิอาราเบียด่วนเลย
เพื่อติดต่อกับกลุ่มของเราที่เหลือ”
“ตอนนี้เราอยู่ใกล้กับอียิปต์
อาจต้องใช้เวลาเดินทางซักพักนะคะ” บาโธรี่ตอบไป
“ได้
ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้ก็เริ่มเดินทางกันได้เลย”
กลับมายังบริษัท อาคะสึกิ คอปเปอร์เรชั่น
ในระหว่างที่อาคะสึกิกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะของเธอ
จู่ๆเลขาของเธอก็มาเคาะประตูหน้าห้องของเธอ แล้วเดินเข้ามาหาเธอในห้องทันที
“คุณอาคะสึกิคะ
แย่แล้วค่ะ มีเจ้าหน้าที่เคมเปนไตมาหาคุณค่ะ”
“งั้นเหรอ
เดี๋ยวฉันไปรับพวกเขาเอง”
อาคะสึกิใส่สูทที่แขวนอยู่ทันที
จากนั้นก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปรับมือกับเคมเปนไตที่มาตรวจบริษัทของเธอ
โดยที่เจ้าหน้าที่ซาโต้คนเดิมเป็นคนมาเยี่ยมเยือนเธอที่บริษัท
อาคะสึกิรีบไปคุยในทันที
“คุณซาโต้
มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมมีหมายค้นจากหน่วย
เราสงสัยว่าบริษัทของคุณมีส่วนในการค้าของผิดกฎหมาย เราคงต้องขอค้นหน่อยนะครับ”
“ได้ค่ะ
แต่ลูกน้องของฉันต้องตามประกบด้วยนะคะ”
“ทำไมหล่ะครับ” ซาโต้ถามอย่างแปลกใจ
“ตามกฎหมาย
ฉันสามารถทำเพื่อความบริสุทธิ์ใจของพวกคุณได้ ต่อให้มีการประกาศกฎอัยการศึกก็ตาม”
“ก็ได้
ถ้างั้นก็ขอรบกวนเลยก็แล้วกัน”
เจ้าหน้าที่ของซาโต้รีบไปค้นทุกซอกทุกมุมในบริษัท
เพื่อหาของผิดกฎหมาย แต่ว่าลูกน้องของอาคะสึกิส่วนใหญ่ก็มาคอยตามประกบด้วย
จึงทำให้การค้นหาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในขณะเดียวกัน
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของซาโต้ทำท่าลับๆล่อๆ โดยอาคะสึกิก็เอะใจ จากนั้นเธอก็จับมือของเขาเอาไว้
“เฮ้ย
นี่คุณทำบ้าอะไรกันเนี่ย”
อาคะสึกิค้นที่ชายเสื้อของเขา
จากนั้นก็โยนสิ่งที่อยู่ในเสื้อของเขาออกมา มันเป็นเฮโรอีนหนึ่งซองใหญ่
ทำเอาลูกน้องของอาคะสึกิในบริษัทถึงกับตกใจ
“พวกคุณจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ
ไม่มีมุกใหม่เลยเหรอ ฉันขอชื่อคุณหน่อย ฉันจะทำเรื่องส่งไปโตเกียว
ฉันอยากจะรู้เหมือนกัน ว่าคุณจะทำอะไรได้”
“คุณนี่ฉลาดจริงๆ
แต่วันนี้ผมไม่ยอมแล้วหล่ะ”
ซาโต้ชักปืนออกมาจะยิงอาคะสึกิ
แต่ในตอนนั้นเอง อาคะสึกิก็ชูป้ายอะไรบางอย่าง มันเป็นป้ายประจำตระกูลของอาคะสึกิซึ่งตระกูลของเธอมีอิทธิพลมากในญี่ปุ่น
ซึ่งทำเอาเจ้าหน้าที่ของซาโต้ไม่กล้าทำอะไร
ซาโต้ก็ไม่กล้าทำอะไรเหมือนกันเลยเก็บปืนเข้าไปในซอง
แล้วก็รีบพาลูกน้องออกไปในทันที
“อย่าลืมรอรับหมายศาลจากฉันนะคะคุณซาโต้” อาคะสึกิพูดทิ้งท้ายก่อนที่ซาโต้จะหนีออกไป
ณ ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
เขตปกครองญี่ปุ่น กองเรือของนาโอมิรีบเทียบท่า ณ
ท่าเรือกองทัพแห่งหนึ่งซึ่งพวกเขากำลังรอรับนาโอมิอยู่แล้ว
เรือธงของนาโอมิรีบเทียบท่าไปในทันทีเพื่อขอพบกับผู้บังคับบัญชาของเธอ
และเมื่อเธอลงจากเรือ นายทหารใหญ่คนหนึ่งก็กำลังรอเธออยู่พอดี
เขาเดินเข้ามาหาเธอในทันที
“ในที่สุดก็มาแล้วนะคุณนาโอมิ”
“ทำความเคารพท่านนายพล”
นาโอมิวันทยหัตถ์และคำนับนายพลคนนั้น
“ตามสบายนาโอมิ”
นาโอมิลดมือลงในทันที
“ผมขอโทษที่ไม่ได้แจ้งสถานการณ์คุณไว้ล่วงหน้า
แต่มันเกิดขึ้นเร็วมาก”
นายพลพูดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอคะท่าน”
“มันเกิดขึ้นเร็วมาก
พวกกบฏฆ่าทหารเราที่รักษาการณ์ในเม็กซิโก บางส่วนก็กำลังต่อสู้อยู่”
“มันเป็นพวกไหนกันหล่ะคะ”
นาโอมิถามไป
“น่าจะเป็นคนในพื้นที่นั่นแหละ
ผมยินดีมากที่คุณมาช่วย”
“ยินดีค่ะท่าน”
“ตอนนี้กองพล
ที่ 4 5 และ 6 กำลังเคลื่อนพลเข้าเม็กซิโก
ตอนนี้ผมอยากให้กองเรือพวกคุณคอยสนับสนุนพวกเขา ในอีก 5 วัน
เรากำลังรอกองทัพอากาศที่กำลังมาจากมิดเวย์มาที่นี่หน่ะ”
“รับทราบค่ะท่าน
ดิฉันจะจัดการเอง”
“ยังไงผมก็ฝากด้วยก็แล้วกัน”
นายพลคนนั้นเอามือแตะไหล่ของนาโอมิ
ส่วนตัวนาโอมิก็คิดอะไรบางอย่างออก ไหนๆก็ได้มาที่แคลิฟอร์เนียแล้ว
“ไปเยี่ยมนนท์หน่อยดีกว่า”
กลับมายังเรือโดยสารสัญชาติอินเดีย
ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพวกเขากำลังแล่นผ่านกองเรือญี่ปุ่นที่กำลังไปอเมริกา
หลังจากที่ซวาตีพักผ่อนเสร็จเรียบร้อย ในตอนนั้นเองเธอก็ออกไปเดินเล่นด้านนอกเรือ
ซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็มองเห็นเรือรบของญี่ปุ่นที่กำลังเดินทางไปอเมริกา
เธอมองไปก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
จนกระทั่งเครื่องบินรบลำหนึ่งก็ได้บินผ่านหัวเธอไปด้วย
“ฟ้าว!!”
ซวาตีถึงกับตกใจมาก ทำเอาเธอต้องหันไปมอง
จนกระทั่งเธอมาเจอกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งบนเรือที่เดินมาหาเธอ
“อ้าวคุณ
มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“อ่า
คือ ฉันมาชมวิวเฉยๆหน่ะ”
“อ้อ
เหมือนผมเลย คุณดูสิ เรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ด้านนั้น คุณเชื่อหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนนั้นชี้ไปให้กับซวาตีดู
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“รู้สิ
ผมเป็นเจ้าหน้าที่การข่าวหน่ะ ผมทาโร่ ยูจิดะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคำนับเธอไป
“ดิฉันซวาตีค่ะ
ว่าแต่คุณไปทำอะไรที่อเมริกาคะ”
“อ้อ
ทางโตเกียวมีคำสั่งให้ผมไปประจำการที่นั่นหน่ะ”
“ค่ะ
ต้องจากบ้านมาแบบนี้ แย่จังเลยนะคะ”
“โอ้ย
ผมไม่กังวลหรอก มาก็ดีซะอีก ยังไงก็ไปหาผมได้นะครับถ้ามีอะไร”
ทาโร่เดินกลับไปยังห้องในเรือ
ส่วนซวาตีก็ยังคงยืนมองวิวอยู่แถวๆนั้น
กลับมายังโรมแรมในนูเรมเบิร์ก หลังจากที่มาเรียน่ารู้ว่ามีศัตรูจ้องจะจับตัวเธอไปเป็นตัวประกัน
เธอจึงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องไม่ยอมไปไหน
ในตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องมาจากด้านหน้า
“สวัสดีค่ะ
ดิฉันมาส่งอาหารให้ค่ะ”
มาเรียน่ามองดูผ่านช่องมองที่ประตู
ก็พบว่าเป็นแม่บ้านผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับรถเข็นอาหารมารอที่หน้าห้อง
ในตอนนั้นเองเธอก็เปิดประตูห้องให้ แต่ไม่ทันไร
ผู้หญิงคนนั้นก็ชักปืนออกมาจากรถเข็น จากนั้นก็เล็งไปยังมาเรียน่าในทันที
“คุณมาเรียน่า
กรุณาอย่าส่งเสียง”
มาเรียน่ายกมือขึ้น เป็นสัญญาณว่าเธอไม่คิดต่อสู้
และในตอนนั้นเอง จู่ๆชายอีกสามคนจากห้องข้างๆก็เดินตามเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตูห้องในทันที
“นี่พวกคุณเป็นใครกันเนี่ย”
มาเรียน่าถามไป
“คุณมาเรียน่า
กรุณามากับพวกเราด้วย”
“นี่
ฉันแจ้งตำรวจไปแล้วนะ ถ้าพวกนายทำแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยพวกคุณได้”
“เราเป็นกลุ่มปลดปล่อยชาวสวิส
เราแค่จะเอาตัวคุณไปแลกกับพวกเราที่โดนจับไป” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“แล้วทำไมคุณถึงเจาะจงฉันหล่ะ”
“พ่อของคุณ
เป็นนายทหารที่พอจะช่วยได้หน่ะ”
“พ่อของฉันไม่ยอมเจรจาต่อรองหรอก”
มาเรียน่าพูดขึ้น
“แต่ก็ไม่แน่นะ”
ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น แต่จู่ๆ ก็มีเสียงรถที่อยู่ด้านนอกหลายคันมาจอดอยู่ด้านหน้า
ทำเอาพวกนั้นถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก
“พวกมันมาแล้ว
เอายังไงดีคะคุณวาคิน”
“พาเธอออกไปที่ประตูหลัง
เร็ว”
พวกเขาช่วยกันพาตัวมาเรียน่าออกไปยังประตูหนัง
ในขณะที่หน่วยเกสตาโปได้ค้นทั่วโรงแรม
พวกเขาลากมาเรียน่ามาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงด้านหลังของโรงแรม
ที่มีรถจอดรออยู่สองคัน
“รีบพาเธอไปเร็ว”
มาเรียน่าไม่ยอม เธอเหยียบเท้าของคนที่จับตัวเธอ
จากนั้นเธอก็รีบวิ่งหนีไป พวกนั้นพยายามจะไล่ยิงเธอ แต่ในตอนนั้นเอง
หน่วยเกสตาโปก็มาช่วยเธอไว้ได้ทัน จากนั้นพวกนั้นก็โดนจับจนเรียบอย่างไม่เว้นแม้แต่คนเดียว
“เจอตัวจนได้
วาคิน เชอร์ล็อฟ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็ลากคนร้ายทั้งหมดขึ้นรถไป
“คุณมาเรียน่า
เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“เรามีรถจอดรออยู่ด้านนอก
เราจะไปส่งคุณที่เบอร์ลินพรุ่งนี้ครับ”
กลับมายังแคลิฟอร์เนีย ลานกว้างประจำเมือง
ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในช่วงเที่ยง
ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศให้เชิญชวนให้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียดูการประหารชีวิตเหล่าผู้ก่อการร้ายที่ทางเคมเปนไตจับตัวได้
ซึ่งในตอนนั้นหลังจากนั้นศึกษาเรียนคาบเช้าจบ พวกเขาก็มาดูการประหารชีวิตกันอย่างตื่นเต้น
ซึ่งเหล่าผู้ก่อการโดนจับมัดกลางแสงแดด
พยายามร้องขอชีวิตกับทหารญี่ปุ่นที่ยืนคุมอยู่ ส่วนชาวบ้านหลายคนที่ได้เห็นก็วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ
ทางด้านของนนท์และพรรคพวก ในตอนนั้นเองซานะพานนท์
ฟรองเกอร์ ลินน์รีดและอลาวดี้มาดูเหตุการณ์ด้วย
ซึ่งพวกเขาไปยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน
“นี่ๆๆ
ดูสิ โดนจับมาได้หลายคนเลยอ่ะ รีด พอรู้จักใครบ้างหรือเปล่าอ่ะ” ซานะหันหน้าไปถามรีด
“ก็พอรู้หน่ะ
เคยคุยกันอยู่ ไม่น่าเลยนะเนี่ย” ลินน์รีดพูดขึ้น
“บ้าเอ้ย
กลุ่มกบฏทำบ้าอะไรกันอยู่วะเนี่ย” ฟรองเกอร์พูดเบาๆ แต่อลาวดี้ก็ได้ยิน
จึงตอบกลับไป
“นี่
พวกเขาทำอะไรไม่ได้หรอกนะตอนนี้”
จากนั้นไม่นาน ขบวนรถตำรวจก็มาถึง
ซึ่งพวกเขาก็มาจอดรถไว้เป็นระเบียบ โดยที่ยามะดะก็ลงจากรถมาในทันทีโดยที่ตำรวจของเขาก็ทำความเคารพเขา
จากนั้นเอง เขาก็เริ่มประกาศให้ชาวบ้านทุกคนได้ทราบกัน
“พ่อแม่พี่น้องชาวแคลิฟอร์เนียทั้งหลาย
บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ก่อการร้ายที่กราดยิงพลเรือนผู้บริสุทธิ์
และพวกมันยังจับตัวคนของเราไปเป็นตัวประกันอีก โทษทัณฑ์ของพวกมันมีสถานเดียว
คือประหารชีวิต ทุกคน เตรียมพร้อม”
หลังจากที่ยามะดะมีคำสั่ง ตำรวจญี่ปุ่นก็ประทับปืนเล็งไปยังเหล่านักโทษ
“เล็ง”
ตำรวจเหล่านั้นเตรียมเหนี่ยวไกปืน แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง
“ปัง”
เสียงปืนดังมาจากอีกด้านหนึ่งของลานประหาร ซึ่งชายคนหนึ่งยิงปืนขึ้นฟ้า
จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินมาใกล้ลานประหารในทันที
“ปารีส” ลินน์รีดพูดกับทุกคนในกลุ่มของเธอ
“ผมขอคุยกับผู้บังคับบัญชาของที่นี่
ไม่เช่นนั้น ชาวญี่ปุ่นหลายร้อยคนอาจถูกสังหารหมู่ในเร็วๆนี้”
ยามะดะสั่งให้ตำรวจลดอาวุธลง
จากนั้นเองตัวเขาก็เดินเข้าไปหาปารีสในทันทีเพื่อเจรจาอะไรกันบางอย่าง
=====================================================================================
ปารีสมีแผนอะไรของเขาอยู๋ในใจกันแน่ ส่วนตัวประกันของทั้งสองฝ่ายจะลงเอยอย่างไร อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
ความคิดเห็น