ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 9 : หน่วยรบจู่โจม

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 64


    เช้าวันต่อมา หลังจากที่กลุ่มของนาวินได้พักผ่อนกันเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พวกเขาลุยกันมาทั้งวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันพักผ่อนไป ในห้องของนาวิน หลังจากที่ตัวของเขาพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นก็ไปทำธุระส่วนตัวของเขาอย่างรวดเร็ว 

    “ก๊อกๆๆ”

    เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้องของนาวิน ตัวของเขารีบไปเปิดดูอย่างรวดเร็ว และด้านหน้า เขาก็พบว่าเวียนเป้นคนเคาะประตูเรียกเขา

    “คุณวินคะ เป็นยังไงบ้างคะ??”

    “อ้อ คุณเวียน ผมสบายดีครับ คุณเวียนหล่ะครับเป็นยังไงบ้าง??” นาวินถามไป

    “อ้อ ฉันก็ไม่เป็นอะไรมากค่ะ แต่ฉันเป็นห่วงคุณเลยมาหาค่ะ” เวียนพูดขึ้น

    “ครับ เราเดินไปด้วยกันมั้ยครับ??” นาวินถามไป และในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินไปด้วยกันราวกับเป็นคู่รักยังไงอย่างงั้น

    “ฉันถามอะไรคุณวินหน่อยได้หรือเปล่าคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “มีอะไรเหรอครับ??”

    “ถ้าจบเรื่องนี้ คุณวินจะเอายังไงต่อหล่ะคะ??” เวียนถามไป

    “ผมไม่รู้สิ ผมว่าผมคงจะรีบสะสางเรื่องทั้งหมด แล้วรีบไปเกิดใหม่ซะที” นาวินพูดขึ้น

    “แล้วคุณไม่อยากจะเป็นอมตะตลอดไปเหรอคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “เป็นคุณ คุณจะมองดูคนที่รักตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคนอย่างงั้นเหรอ ดูคุณตายแบบนี้เหรอ ผมไม่เอาด้วยหรอก” นาวินบอกกับเวียนไป ทำเอาเวียนถึงกับมองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มออกมา

     

    ทางด้านของอากิระ ในตอนนั้นตัวของเขาก็แทบจะยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวหลงเลย ทั้งๆที่ในตอนนี้ตัวของเขาได้เจอกับเสี่ยวหลงแล้ว เหมือนกับว่าในตอนนี้มันมีอะไรในใจของเขามากมายที่พร้อมจะระเบิดออกมา แต่ในตอนนั้น เมื่อเขาเปิดประตูออกจากห้องมา เขาก็พบกับเสี่ยวหลงซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่หน้าประตูห้อง พร้อมกับอัญชันด้วย 

    “อากิระ นายเป็นยังไงบ้าง??”

    “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า นายไม่ต้องห่วงหรอก” อากิระตอบกลับไป

    “นี่ พวกเราเป็นห่วงนายแทบแย่ นายหายไปตั้งนาน ข่าวคราวก็ไม่ส่งมา” อัญชันพูดขึ้น และในระหว่างนั้นเอง พัตติยาก็เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็มาเจอเข้า เธอเดินมาหาพวกของเสี่ยวหลงในทันที

    “อ่า ไม่ทราบว่ารบกวนหรือเปล่าคะ??” พัตติยาถามไป

    “อ้อ ไม่รบกวนหรอกครับ ว่าแต่ มีอะไรหรือเปล่าครับ??” เสี่ยวหลงถามไป

    “ฉันจะมาขอบคุณคุณ อ่า ใช่อัญชันหรือเปล่าคะ??” พัตติยาถามไป

    “อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” อัญชันพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่าคุยกันไปก่อนก็แล้วกัน” อากิระพูดขึ้นแล้วพยายามเดินออกไป แต่ในตอนนั้นเสี่ยวหลงก็จับแขนของอากิระเอาไว้ก่อน

    “นี่ อากิระ เลิกปิดฉันซะทีเถอะ ฉันขอร้องหล่ะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ใช่ อากิระ นี่เราไม่ใช่เพื่อนนายแล้วเหรอ??” อัญชันถามไป

    “ไม่ใช่ พวกนายไม่เข้าใจหรอก!!” อากิระตะโกนออกไป 

    “นี่พวก เลิกปากไม่ตรงกับใจเถอะนะ ฉันดูออกว่านายคิดอะไร” พัตติยาพูดขึ้น ในตอนนั้นอากิระถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่เดินออกห่างจากเสี่ยวหลงไป แต่ตัวของเสี่ยวหลงก็ยังไม่ถอดใจในตอนนี้

    “ดูเหมือนเพื่อนคุณจะมีอะไรอยู่ในใจนะคะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ก็นี่แหละเขา เป็นแบบนี้ตลอดหล่ะค่ะ” อัญชันพูดกับพัตติยาไป

     

    ทางด้านของภาภิน ในตอนนั้นตัวของเขาก็พักผ่อนเรียบร้อยหลังจากที่เขาทำงานมามาก ซึ่งในตอนนั้นคนอื่นๆก็มาอยู่กับภาภิน รวมถึงมาคุยกันแลกเปลี่ยนอะไรไปเรื่อยด้วย ฮารุเดินมาหาภาภินแล้วก็เอาอะไรบางอย่างมาให้กับภาภินเพื่อมาคืนเขา ซึ่งนั่นก็คือรู้ถ่ายร่วมกับครอบครัวของเขา โดยที่เธอได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในรูปถ่ายด้วย เธอเลยเอาไปคืนภาภินแล้วก็ไถ่ถามเขาไป

    “นายภา นี่รูปของนายหรือเปล่า นายทำตกไว้หน่ะ แล้วผู้หญิงคนนี้ก็คุ้นๆนะ” ฮารุพูดขึ้น และในตอนนั้นเธอก็ชี้ไปยังรูปผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกับภาภิน ยืนข้างผู้ชายวัยกลางคนไปด้วย ภาภินรีบเอารูปนั้นมาเก็บอย่างรวดเร็ว

    “เออ ว่าแต่ ฉันอยากจะถามอะไรนายหน่อย ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวนายจริงๆเหรอ??” นายลุ้นถามไป และในตอนนั้นหน้าทุกคนดูเหมือนว่าอยากจะรู้มาก ทำเอาภาภินถึงกับต้องพูดออกมา

    “ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆหรอก ฉันเป็นลูกติดแม่ ส่วนพี่กาลีน่าก็ลูกติดพ่อหน่ะ ป่านนี้เธอคงตามล่าผมทุกวิถีทางแน่ๆ” ภาภินพูดขึ้น

    “ดูจากสภาพของเธอแล้วก็คิดว่าใช่” โลร็องต์พูดขึ้นจากนั้นก็กอดอกไป

    “คิดว่าใช่แน่ๆ แต่ยังไงมันก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้” นายลืมพูดขึ้น

    “เฮ้อไอ้ลืมเอ้ย ว่าแต่พี่สาวนายต้องตามล่านายถึงขนาดนี้เลยเหรอ??” ลูโดวิกถามไป

    “ก็เคยได้ยินพี่ภาบอกว่า พี่เขาเข้าใจผิดว่าพี่เป็นคนฆ่าแม่นี่” ลาลินพูดขึ้น ในตอนนั้นทำเอาภาภินถึงกับนั่งกอดเข่าไปเลย คนอื่นๆถึงกับต้องคอยปลอบใจเขาไป

    “ความทรงจำคือพื้นฐานของความทุกข์ ถ้าเราลืมไปได้มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง” นายลืมพูดขึ้น ทำเอาโลร็องต์ถึงกับแพ่นกบาลไปหนึ่งที

    “โห จะมาคำคมอะไรตอนนี้ ถ้าลืมแบบนายฉันไม่เอาด้วยหรอก” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันเชื่อว่าวันหนึ่งพี่สาวนายจะเข้าใจนะ” ฮารุพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ตอนนี้พวกพี่นาวินจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย คงจะต้องเก็บตัวกันซักพักหล่ะค่ะ” ลาลินพูดขึ้น

     “แต่ถึงยังไงเราก็ต้องไม่ประมาทนะ พวกมันอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ” ลูโดวิกพูดไป จากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาร่วมกันไป

     

    ทางด้านของลันโทส ในตอนนั้นตัวของเขาได้พยายามติดต่อกับกลุ่มใต้ดินเพื่อรวมกำลังกันและต่อต้านการปราบปราม โดยที่ตัวของเขาและเบ็ตตี้ได้พยายามพูดคุยกัน โดยมีดันเต้เป็นคนที่ช่วยคุยด้วย และไม่นานนัก พวกเขาก็เจรจากับกลุ่มใต้ดินได้สำเร็จ และไม่นานพวกเขาก็มาคุยกันต่อว่าจะทำอย่างไรกัน

    “เอาหล่ะ ตอนนี้พวกเขาพร้อมจะติดต่อกับเราแล้ว พวกคุณจะทำยังไงกันต่อหล่ะ??” ดันเต้ถามไป

    “เราคงต้องรวบรวมกำลัง เพื่อจัดการพวก UNASO ให้มันออกไปจากประเทศนี้ครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “แต่จากที่ทางนั้นให้ข่าวมา พวกเขาบอกกันว่าพวกนั้นเริ่มกวาดล้างอย่างหนักเลยนี่ครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ลำพังแค่ตัวคริสเตียลทำอะไรไม่ได้หรอก” ลันโทสพูดขึ้น

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้น แต่คนที่คุมอยู่เบื้องหลังอีกทีก็คงจะไม่ยอมง่ายๆหรอก” ดันเต้พูดขึ้น

    “คุณคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังองค์กรนี้เหรอครับ??” ซีโร่ถามไป แต่ยังไม่ทันที่ดันเต้จะบอก จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อลันโทสมา ตัวของลันโทสรับสายไป และในตอนนั้น เขาก็บอกกับทุกคนในทันที

    “ด็อกเตอร์ครับ รบกวนเรียกทุกคนมาทีครับ” ลันโทสพูดขึ้น

     

    ทางด้านของอินเนสซ่าและโจไซอาห์ หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่ใช้พลังรับมือกับวูฟไปพอสมควร พวกเขาก็กลับมาพักผ่อนจนกลับมาหายดี จนในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็มาคุยกันหลังจากนั้น

    “ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งคู่จะใช้พลังไปพอสมควรกับพวกมันเลยนะคะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “มันก็ใช่ แต่เหมือนว่าตอนนี้เราใช้พลังได้ไม่จำกัดเลยแหะ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “แล้วทำไมไอ้พวกนั้นถึงต้องตามฟัดพวกเราขนาดนี้หล่ะ??” อินเนสซ่าถามไป

    “สงสัยพวกมันต้องคิดจะทำอะไรบางอย่างแน่ๆ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “แล้วนายคิดว่าพวกเราจะรอดไปได้หรือเปล่า??” อินเนสซ่าถามไป

    “คุณไม่ต้องห่วงนะ ถ้าผมยังอยู่ ผมไม่ยอมให้ใครทำอะไรคุณหรอก” โจไซอาห์ตอบไป แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ หุ่นดรอยด์ตัวหนึ่งก็มาเรียกพวกเขาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว

    “ขอเชิญพวกคุณสองคนทางนี้หน่อยครับ”

     

    หลังจากที่บรรดาหุ่นดรอยด์ไปเรียกทุกๆคนมาแล้ว ไม่นานนักกลุ่มของนาวินก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เพื่อดูว่ามีใครเรียกพวกเขา และเรียกมาทำไม ซึ่งในตอนนั้นตัวของดันเต้และลันโทสก็กำลังรออยู่ 

    “ด็อกเตอร์ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ผมเรียกเองหล่ะครับ คือว่า คุณเบ็ตตี้บอกผมว่าวันนี้จะมีการรวมตัวของกลุ่มต่อต้าน พวกเขาอยากจะพบพวกเราหน่ะครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “พบพวกเราอย่างงั้นเหรอ ทำไมกันหล่ะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “พวกเขาบอกว่า พวกเขาอยากจะพบกับผู้เกิดใหม่ซึ่งมีพลังเป็นที่โดดเด่นครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “โห นี่เรากลายเป็นคนดังไปแล้วเหรอเนี่ย??” โลร็องต์ถามไป

    “เป็นคนดังก็ต้องมีนักข่าวสัมภาษณ์สิครับ” นายลืมพูดขึ้น ทำเอาทุกคนถึงกับปวดหัวไปเลย

    “เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ เราน่าจะลองไปเยี่ยมพวกเขาหน่อยนะ” ฮารุพูดขึ้น

    “ผมจะอยู่ที่นี่ เผื่อว่าพวกมันมีแผนการจะทำอะไรกัน จะได้บอกพวกคุณได้” ภาภินพูดขึ้น

    “อืม ว่าแต่ พวกคุณทั้งสามคนนี่ จะไปด้วยหรือเปล่าครับ??” ดันเต้ถามทั้งสามคนซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ไป

    “อืม ก็ดีนะคะ งานของฉันคือตามหาพวกเขาอยู่พอดี” พัตติยาพูดขึ้น

    “ผมจะไปด้วยครับ ผมไม่เป็นตัวถ่วงหรอก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เฮ้ย นี่พวกนาย...” อากิระถามไป

    “นี่ เลิกค้านพวกเราซะทีเถอะน่าพวก” อัญชันพูดขึ้น ทำเอาอากิระถึงกับส่ายหัว และในตอนนั้น นาวินเองก็เอาปืนของดันเต้ให้กับพวกเขาทั้งคู่ไปในทันที

    “เอ้า ใช้กันเป็นนะ” นาวินพูดขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะหยิบปืนมาอย่างรวดเร็ว ส่วนเวียนก็เอาปืนที่เธอพกไว้ให้กับพัตติยาไปด้วย

    “แล้วนี่ พวกเขาจะพบกันตอนไหนหล่ะ??” นายลุ้นถามอย่างสงสัย

    “ก็คงพบกันตอนนี้แหละมั้งพี่ ไม่งั้นคงไม่เรียกเราตอนนี้หรอก” ลาลินพูดไป

    “เอาเถอะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกนั้นต้องการอะไร” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “เออ ว่าแต่ เราจะออกเดินทางกันหรือยังหล่ะ??” โจไซอาห์ถามไป

    “นั่นสิครับ ผมว่าเราออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “โดรนจอดรออยู่บนดาดฟ้าแล้ว ทางนี้เลยครับ” ดันเต้พูดขึ้น จากนั้นไม่นานพวกเขาก็พากันขึ้นไปบนดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งในตอนนั้นพวกโดรนก็กำลังรอรับพวกเขาอยู่ และเมื่อพวกเขาพากันขึ้นโดรนได้สำเร็จ พวกเขาก็ออกเดินทางกันในทันทีเพื่อไปนัดพบกับกลุ่มต่อต้านอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังหน่วยของฮาเวิร์ด หลังจากที่พวกเขาทำพลาดมาหลายครั้ง ในตอนนี้พวกเขาก็กลับมานั่งทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงพยายามตามสืบเรื่องของลีน่าด้วยว่าเธอเป็นใคร แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ คริสเตียลก็เดินมาหาทุกคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถือแฟ้มเอกสารไปด้วย ดูเหมือนว่าตัวของเขาจะมาแนะนำภารกิจให้กับทุกคนได้ทราบกัน

    “เอาหล่ะทุกคน วันนี้เรามีภารกิจใหม่แล้ว!!” คริสเตียลบอกกับทุกคนไป 

    “ครับท่าน มีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอครับ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย

    “มีข่าวมาว่าพวกผู้นำระดับสูงของกลุ่มผู้เกิดใหม่จะมารวมตัวกันเพื่อประชุมใหญ่ งานนี้มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ผมจะเป็นคนคุมปฏิบัติการนี้ด้วยตัวเอง” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ค่ะ ว่าแต่ เป้าหมายของเราคือใครคะ??” เวอร์รีนถามอย่างสงสัย

    “เป้าหมายหลักของเราคือเบ็ตตี้ หัวหน้าระดับสูง ส่วนที่เหลือ จัดการตามเห็นสมควรได้” คริสเตียลพูดขึ้น

    “หือ เบ็ตตี้มาที่นี่ด้วยเหรอคะเนี่ย??” รูกิถามไป

    “ใครกันครับ คนที่ชื่อเบ็ตตี้เนี่ย??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “เราเชื่อว่าเธอเป็นผู้นำองค์กรกลุ่มต่อต้านระดับสูงหน่ะ เธอรวบรวมผู้เกิดใหม่และทำการก่อการร้ายไปทั่วโลก” รูกี้พูดขึ้น

    “ถ้าเธอเป็นผู้เกิดใหม่ แสดงว่าเธอต้องมีดีแน่ๆ” วูฟพูดขึ้น

    “เออ จะมีดีแค่ไหนก็เอาเถอะ ถึงยังไงก็ฆ่ามันได้อยู่ดี” กาลีน่าพูดขึ้น

    “แล้วกำลังของพวกมันมีมากแค่ไหนครับ??” ยูริถามไป

    “คงจะมีเป็นพัน อาวุธครบมือ แต่พวกเราเตรียมของเอาไว้แล้วหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “แล้วเราจะไปบุกพวกมันเลยเหรอครับ ทั้งๆที่พวกมันมีมากกว่านะครับ??” แสงจันทร์ถามไป

    “ไม่ต้องห่วง พวกเราเตรียมรับมือแล้วหล่ะ อาวุธและอุปกรณ์ของเราพร้อมแล้ว มีเวลา 10 นาที เตรียมตัวให้พร้อม” คริสเตียลพูดขึ้น และในตอนนั้นพวกเขาก็รีบไปเอาอาวุธและอุปกรณ์ของเขา ซึ่งในตอนนี้อุปกรณ์ของพวกเขาได้อัพเกรดไปมาก ทั้งเสื้อเกราะชนิดใหม่ รวมถึงถุงมือสำหรับเพิ่มพลังการต่อย และอื่นๆอีกมากมาย ในตอนนั้นใครที่เป็นมนุษย์ก็พากันใส่ชุดเกราะ รวมถึงสนับมือและอุปกรณ์เสริมอย่างรวดเร็ว และบางคนก็ดูตื่นเต้นกับอุปกรณ์พวกนั้นอย่างมาก

    “ถ้าเราใส่ของพวกนี้ เราก็มีพลังเพิ่มขึ้นแล้วสิ” ยูริพูดขึ้น

    “แต่ถึงยังไง พวกนั้นก็เก่งกว่าเราอยู่ดี เราคงต้องใช้กลยุทธ์จัดการพวกมัน” จ่าชัยพูดในขณะที่ใส่เสื้อเกราะอยู่ และในขณะเดียวกับ คริสเตียลก็รีบมาดูทุกคนในทันทีว่าเตรียมตัวไปถึงไหนกันแล้ว

    “เอาหล่ะ พวกนายทุกคนพร้อมกันนะ??” คริสเตียลถามไป

    “ครับท่าน แต่ว่า ลีน่าไม่มาด้วยเหรอครับ??” ฮาเวิร์ดถามอย่างสงสัย

    “อ้อ เธอไปรับหน้าที่ที่สำคัญกว่าหน่ะ ไม่ต้องสนใจหรอก” คริสเตียลพูดขึ้น

    “หรือว่า เธอกำลังมีลับลมคมในกับเราอยู่คะ??” เวอร์รีนถามไป

    “นั่นสิคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยไว้ใจเธอเลย” รูกิพูดเสริม

    “พอเถอะ ผมไม่อยากให้พวกคุณพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะมันเกินมือผมแล้ว” คริสเตียลพูดขึ้น 

    “เอาเถอะครับท่าน พวกเราจะพยายามลืมๆแล้วกัน” รูกี้พูดขึ้น

    “เอาเป็นว่าผมจะรอข้างนอกก็แล้วกัน” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านเพื่อรอพวกเขา

    “ท่าทางจะเส้นใหญ่จริงๆนะแม่คนนี้” จ่าชัยพูดขึ้น

    “นั่นสิครับจ่า ผมว่างานนี้มันต้องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “อยากรู้ก็ไปถามพวกมันสิไอ้น้อง!!” วูฟพูดขึ้นพลางกอดอกไป 

    “เฮ้อ อย่าไปสนใจเลย สนใจงานของเราก่อนเถอะ” กาลีน่าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบบรรจุกระสุนลงในแม็กกาซีนอย่างรวดเร็ว

    “กาลีน่า ฉันรู้ว่าเธอเจออะไรมา แต่อย่าวู่วามไปสิ” ยูริพูดปรามเธอไป และไม่นานเท่าไหร่นัก พวกเขาก็รีบมารวมตัวกับคริสเตียลอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมออกเดินทางไปจัดการปราบปรามกลุ่มผู้เกิดใหม่ และอีกด้านหนึ่งของสำนักงาน ห้องพักของลีน่า ในตอนนั้นตัวของเธอได้ตักหอยทอดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย รวมถึงคุยแชทกับที่รักของเธอไปด้วย

    “ที่รักคะ หอยทอดนี่อร่อยมากเลยค่ะ”

    “ส่งรูป”

    “อืม ก็น่ากินดีนี่ ว่าแต่ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง??” คู่สนทนาของเธอถามไป

    “ตอนนี้เรากำลังแกะรอยอยู่ค่ะ คาดว่าไม่กี่วันน่าจะเรียบร้อย”

    “อืม ดี แล้วเธอจะทำยังไงต่อหล่ะ??”

    “ฉันจะไปเอาของนั่นออกมาให้ที่รักเอง ต่อให้ต้องตายก็ยอม”

    “อืม ยังไงก็รายงานความคืบหน้าเรื่อยๆหล่ะ” คู่สนทนาพิมพ์จบ จากนั้นตัวของเขาซึ่งใส่เสื้อฮู้ดกำลังยืนอยู่บนตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยชายคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ด้านหลัง

    “ท่านครับ เราเตรียมเครื่องบินพร้อมไปเมืองไทยแล้วครับ”

    ในตอนนั้น ชายเสื้อฮู้ดก็พิมพ์อะไรบางอย่างลงบนไอแพดของเขา จากนั้นก็ยื่นให้ชายคนนั้น

    “เอาไว้รอลีน่าได้ของก่อนแล้วกัน ไว้ตอนนั้นฉันจะเตรียมพร้อมอีกที เดวิด”

    “ครับท่าน ผมจะไปรอท่านข้างล่างนะครับ” เดวิดพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รับไอแพดมาอย่างรวดเร็วแล้วเดินลงไปด้านล่าง ส่วนตัวของชายคนนั้นก็กระโดดโหม่งโลกกระแทกเข้าพื้นอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนว่าตัวของเขาตอนนี้แทบจะไม่เป็นอะไรเลย แล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนราวกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตชานเมืองกรุงเทพมหานคร ในตอนนั้นกลุ่มของเบลได้นั่งรถเมล์มาลงที่เขตแยกลำลูกกา พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องไปที่ไหนกันต่อหลังจากที่ถูกกลุ่มตำรวจตามล่า ในตอนนั้นพวกเขารีบมานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง แล้วก็คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย

    “บ้าเอ้ย นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย??” แก้วสบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย

    “เอาเถอะ ไหนๆเราก็รอดตายมาได้แล้ว” เกเบรียลพูดขึ้น

    “นั่นสิ ง่าแต่เราจะไปที่ไหนกันต่อดีหล่ะ??” เบลถามไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็เห็นขบวนรถตำรวจมากมายผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันมุ่งหน้าออกยังปทุมธานี ทำเอาตัวของเบลถึงกับนึกไอเดียได้บางอย่าง

    “ฉันว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดหล่ะ” เบลพูดขึ้น

    “เฮ้ย นี่นายจะตามพวกมันไปเหรอ??” เกเบรียลถามไป

    “อืม แต่ถ้าพวกตำรวจไปที่นั่น ที่นั่นต้องเป็นที่ที่น่าจะพอใช้หลบซ่อนได้ ตำรวจคงจะไม่กลับไปค้นที่นั่นอีกแน่ๆ” แก้วพูดขึ้น

    “ว่าแต่ เราจะเดินทางไปยังไงต่อหล่ะ??” เบลถามไป

    “เออ นั่นสิ เราไม่มีรถเลยนี่นะ” เกเบรียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง แท็กซี่คันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าพวกเขา จากนั้นก็พูดกับพวกเขา

    “เฮ้ พวกคุณจะไปที่ไหนกัน??”

    “สงสัยคงต้องไปแท็กซี่หล่ะ” แก้วพูดขึ้น

    “แล้วใครจะจ่ายกันหล่ะ??” เกเบรียลถามไป และในตอนนั้นเอง ตัวของแก้วก็ลองค้นตัวของเธอ พบว่ามีกระเป๋าตังค์ที่พกแบงค์พันติดมาด้วย 

    “จ่ายไปก่อนนะ เอาไว้มีโอกาสฉันคืน” เบลพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็รีบไปขึ้นแท็กซี่อย่างรวดเร็ว โดยที่พวกเขาสั่งให้แท็กซี่ไล่ตามรถตำรวจพวกนั้นไป

     

    กลับมายังบ้านของอีสครินน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็รู้สึกเป็นห่วงพัตติยาซึ่งออกไปติดต่อกับกลุ่มต่อต้านด้านนอก ตัวของเธอจึงให้ลูอีสพยายามออกติดตามหาตัวเธอไป และไม่นานนัก จู่ๆก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาอีสครินน่า ในตอนนั้นเธอจึงรีบรับสายโทรศัพท์ในทันที

    “ฮัลโหล ลูอีส เป็นยังไงบ้าง??” อีสครินน่าถามเขาไป

    “ครับ ตอนนี้ผมกำลังพยายามติดต่อกับพวกกลุ่มต่อต้านอยู่ครับ แต่วันนี้น่าจะมีเรื่องนิดหน่อยครับ”

    “ห่ะ เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอ??” 

    “มีข่าวยืนยันมาว่าจะมีการรวมตัวของพวกหัวหน้ากลุ่มผู้เกิดใหม่ แล้วคราวนี้พวก UNASO ก็กำชลังเตรียมการเข้าจับกุมครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “ห่ะ จริงเหรอ ถ้างั้นพัตติยาก็อยู่ในอันตรายหน่ะสิ” 

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้นครับ แล้วคุณจะเอายังไงต่อครับ??” ลูอีสถามไป

    “ฉันจะไปที่นั่นหน่ะ นายเตรียมรถให้ฉัน” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ครับ เอาเป็นว่าผมจะรีบหาตำแหน่งของเธอก็แล้วกันครับ”

    “ดี ยังไงก็ฝากด้วยหล่ะ แล้วเป้าหมายที่ฉันอยากเจอหล่ะ??” อีสครินน่าถามไป

    “มีแนวโน้มว่าเขาจะไปที่นั่นด้วยครับ”

    “อืม ดี คงต้องรีบไปก่อนที่พวกนั้นจะบุก ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ได้เจอกันอีก” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ว่าแต่ เราต้องมีกำลังเยอะกว่านี้ครับ ไม่อย่างงั้นเราจะเสียเปรียบครับ”

    “ได้ ตอนนี้นายไปเรียกใครก็ได้ที่เรียกได้มาเลย คงต้องรีบแล้วหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ครับผม แล้วผมจะเอารถไปรับคุณครับ”

    “ได้เลย รีบมาก็แล้วกัน” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นเธอก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็เดินขึ้นไปยังห้องแต่งตัวของเธอ แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูทะมัดทะแมง แล้วก็เดินลงมาที่ชั้นล่าง จากนั้นก็รอให้ลูอีสเอารถมารับเธอที่หน้าบ้านไป

    “พัตติยา รอฉันหน่อยนะ”

     

    กลับมายังแหล่งกบดานของมิกิ ในตอนนี้ตัวของเธอกำลังรอให้เงินที่ทางองค์กรเสนอมาให้ เธอรอให้มีคนมาติดต่อเธอ แต่เมื่อเธอไม่อยากรออีกแล้ว เธอรีบโทรกลับไปหากลุ่มคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อทวงเงินกับคนพวกนั้น

    “ฮัลโหล เงินฉันได้หรือยัง??” มิกิตะโกนถามไป

    “เรากำลังจะขนไปให้ครับ”

    “นี่ถ้าแกตุกติก ฉันรับรองว่า..”

    “ไม่หรอกครับ เรากำลังส่งคนไปเจรจากับคุณอยู่ครับ” ปลายสายพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูมาจากด้านหน้าตึกแถวของเธอ มิกิรีบไปดูกล้องวงจรปิดที่เธอแอบเอาไว้ในทันที แล้วก็พบว่าด้านหน้ามีชายคนหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ แต่ที่ด้านหลังกลับมีบรรดาตำรวจมากมายกำลังยืนรออยู่

    “ไอ้ทรยศเอ้ย!!”

    ตัวของมิกิในตอนนั้นรีบเก็บข้อมูลเข้าไปในฮาร์ดดิสก์พกพาของเธอ จากนั้นเธอก็รอเวลา รวมถึงเคลียร์เส้นทางที่จะหนีออกไปทางด้านหลัง แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง

    “ตุ๊บๆๆๆๆ”

    เสียงเคาะอะไรบางอย่างดังขึ้นเรื่อยๆ ตัวของมิกิรีบมองนาฬิกาแล้วรีบเก็บข้อมูลอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นาน เธอก็วิ่งไปหยิบระเบิดมือที่อยู่ในโต๊ะเครื่องแป้งของเธอออกมา และไม่นานนัก

    “ดาวน์โหลด 100%”

    ตัวของมิกิเห็นดังนั้นจึงรีบเอาฮาร์ดดิสก์ออกในทันที จากนั้นก็เอาน้ำยาอะไรบางอย่างราดไปบนเครื่องคอมอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้น

    “ปัง!!”

    เสียงพังประตูดังเข้ามา ตัวของมิกิรีบคว้าเอาของๆเธอออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แกะสลักระเบิดออกมา แล้วปาใส่คนพวกนั้น

    “เฮ้ย ระเบิด!!”

    “ตู้ม!!”

    ระเบิดนั้นทำลายทุกอย่างให้หายอันตรธานไปในพริบตา ส่วนตัวของมิกิก็อาศัยจังหวะชุลมุนหนีออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมาที่ไค หลังจากที่ตัวของเธอพยายามตามหาเกเบรียลอย่างมีความหวัง ตัวของเธอเดินไปตามถนนเรื่อยๆเพื่อออกไปยังเขตชานเมือง แต่ในระหว่างนั้นเธอก็เดินเข้าไปที่ร้านข้าวหมูแดงร้านหนึ่ง ซึ่งเธอเดินเข้าไปในร้านโดยไปนั่งโต๊ะตัวหนึ่งสำหรับคนเดียว แล้วก็มีพนักงานร้านมารับออเดอร์อย่างรวดเร็ว

    “รับอะไรดีคะ??”

    “ข้าวหมูแดงหมูกรอบจานหนึ่งค่ะ” ไคพูดขึ้น จากนั้นพนักงานคนนั้นก็รีบไปจัดการ และในขณะเดียวกันนั้น เธอก็รินน้ำใส่แก้วของเธออย่างรวดเร็ว 

    “เฮ้อ ไปอยู่ที่ไหนนะคะคุณเกเบรียล”

    ในระหว่างที่เธอกำลังดื่มน้ำ เธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง ในตอนนั้นเธอก็รีบหยิบมาอ่านในทันที เนื่องจากที่เธอพออ่านภาษาไทยได้ ก็เลยทำให้พอเข้าใจข่าว

    “ปะทะเดือดกลางเมือง บาดเจ็บอื้อ...”

    “ปะทะเดือดงั้นเหรอ??” ไคถามไป และในตอนนั้นเอง พนักงานร้านก็รีบเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ไคอย่างรวดเร็ว 

    “ข้าวมาแล้วค่ะ”

    “ค่ะ ว่าแต่ คุณเคยได้ยินข่าวนี้หรือเปล่าคะ??” ไคถามพนักงานคนนั้นไป จากนั้นก็เอาหน้าหนังสือพิมพ์ให้พนักงานเสิร์ฟได้ดูในทันที

    “อ้อ ข่าวนี้เหรอคะ ดังมากเลยนะคะ”

    “ใช่ค่ะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “เท่าที่ดูในทีวี แทบจะไม่มีรายละเอียดอะไรมาก นอกจากจัดการกลุ่มก่อการร้ายค่ะ” 

    “อ้อ อย่างงั้นเหรอคะ ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ”

    ไคพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นแบงค์ร้อยให้พนักงานคนนั้นไป และเมื่อเธอรับมาเธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตรวจสอบรายละเอียดข่าวต่อในทันที

    “พวกผู้เกิดใหม่ปะทะกันอย่างงั้นสินะ”

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตบางเขน ตึกแถวแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย บรรดาชาวแฟลตเดินไปเดินมาแถวนั้นอย่างขวักไขว่ และในขณะเดียวกัน ตัวของเซนและคิฮาระก็เดินขึ้นไปที่แฟลตแห่งนั้น จากนั้นก็เดินไปที่ห้องๆหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นชายคนหนึ่งกำลังกวาดอะไรบางอย่างที่หน้าห้อง แต่ในตอนนั้น เมื่อชายคนนั้นเจอเซน เขาก็ถึงกับตกใจ

    “เฮ้ย ไอ้เซน!!”

    ชายคนนั้นพยายามจะวิ่งหนีออกไป แต่ตัวของเซนรีบวิ่งไปจับตัวมัน จากนั้นก็ลากตัวของมันแล้วปิดปากไว้ กระชากเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นคิฮาระก็บอกกับชาวบ้านแถวนั้นที่เหลือบมองไป

    “อ้อ ไม่มีอะไรค่ะ เพื่อนเก่าหยอกล้อกันค่ะ!!”

    ตัวของคิฮาระรีบตามเข้าไปและปิดประตูห้อง ซึ่งในตอนนั้นเซนกำลังต่อยหน้าชายคนนั้นอย่างดุเดือด

    “ว่าไง มึงจะบอกกูหรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น??”

    “ฉันขอโทษ ฉันไม่มีทางเลือกเว้ย!!” ชายคนนั้นตะโกนออกไป

    “เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรกันงั้นเหรอ??” คิฮาระถามไป

    “งานที่กูรับตอนนั้น ทำไมถึงมีตำรวจมาตามล่ากู??” เซนถามอย่างสงสัย

    “ไอ้นายจ้างมันต้องการแบบนี้ ฉันแค่ทำตามคำสั่งเฉยๆ”

    “แล้วทำไมถึงต้องทำแบบนี้หล่ะ??” คิฮาระถามไป

    “คือว่า คนจ้างมันระแคะระคายมาว่าเป้าหมายเริ่มจะรู้ตัวแล้วมาแก้แค้น มันก็เลยหาแพะครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “เฮ้อ นึกว่าไอ้นักการเมืองนั่นตายแล้วซะอีก สงสัยช่วงนี้ฝีมือตก” เซนพูดขึ้น

    “อ้าว ถ้าอย่างงั้นพวกมันก็ต้องตามล่านายตอนนี้ด้วยสิ” คิฮาระพูดขึ้น

    “ฉันรู้ว่าไอ้คนจ้างวานมันอยู่ที่ไหน ปล่อยฉันไปเถอะเซน!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “เออ ได้ ว่าแต่มันอยู่ที่ไหน??” เซนถามไป

    “ได้ยินว่าพวกมันกำลังกบดานอยู่ที่เขตธัญบุรีหน่ะ เอกสารอยู่บนโต๊ะ ไปหาเอาสิ!!” ชายคนนั้นตะโกนออกไป

    “ได้ เจ็บหน่อยนะเว้ย!!”

    “ตุ๊บ!!”

    เซนต่อยหน้าหมอนั่นจนสลบไป ทุกอย่างก็แทบจะหยุดหมุนอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น คิฮาระก็หยิบเอาซองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะมา จากนั้นเธอก็หยิบเอามาอ่านอย่างรวดเร็ว

    “เออ ดูเหมือนว่ามันจะพูดจริงนะ” คิฮาระพูดขึ้นพลางยื่นเอกสารให้กับเซน เซนรับมาแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว

    “อืม น่าจะใช่ สงสัยฉันคงต้องไปทำอะไรที่นั่นหน่อย” เซนพูดขึ้น

    “คงต้องหาแท็กซี่ไปแล้วหล่ะ” คิฮาระบอกกับเซนไป จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบออกจากห้องไปในทันที

     

    ณ โรงแรมแห่งหนึ่งย่านกรุงเทพ ตัวของเพี้ยนเดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วเพื่อเข้ามาพักผ่อน หลังจากที่เพี้ยนจองไว้ที่เคาน์เตอร์ แต่ในตอนนั้นตัวของเพี้ยนยังไม่ทันจะทำอะไร จู่ๆ เพี้ยนก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “เฮ้นี่ ขอบใจนะไรท์ที่จองโรงแรมดีๆแบบนี้ให้เราหน่ะคะ”

    เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเพี้ยนก็นั่งอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ค่อยๆเอนตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเพี้ยนก็พูดขึ้นต่อ

    “นี่ รู้นะว่าวันนี้จะมีอะไรสนุกๆ จะไม่ให้เราออกไปดูหน่อยงั้นเหรอ??”

    เพี้ยนถามต่อไป และในตอนนั้นตัวของเพี้ยนก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินไปที่ตู้เย็น แล้วไปหยิบน้ำดื่มในตู่เย็นอย่างรวดเร็ว 

    “นี่ไรท์ ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ไม่ได้อยากกินน้ำซะหน่อย!!”

    “ก๊อกๆๆๆ!!”

    ในตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูมาจากหน้าห้องของเพี้ยน ทำเอาเพี้ยนถึงกับหัวเสียเล็กน้อย

    “นี่ รู้นะจะใช้มุกคนมาเคาะประตูแล้วให้เราเงียบเสียงใช่หือเปล่าหล่ะครับ??”

    เพี้ยนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเพี้ยนก็ไปเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่ามีแม่บ้านคนหนึ่งมาอยู่ที่หน้าห้องของเพี้ยน ทำเอาเพี้ยนถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

    “คุณคะ ห้องข้างๆเขาฝากมาบอกว่าให้เบาเสียงหน่อยค่ะ”

    “ได้เลย จำไว้เลยนะไรท์!!” เพี้ยนพูดขึ้น ทำเอาแม่บ้านถึงกับแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นตัวของเพี้ยนก็ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปพักผ่อนด้านใน

     

    ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ในตอนนั้นเครื่องบินสัญชาติอเมริกันลำหนึ่งได้จอดเทียบท่ากลุ่มชายในชุดสูทซึ่งมีรถคันหนึ่งมาจอดรอ และเมื่อเครื่องบินจอดลง แล้วประตูเครื่องบินเปิด ซูซาคุในชุดสูทและกางเกงขายาวสีแดงดูเตะตาก็เดินลงมาจากเครื่องบินอย่างรวดเร็ว และบรรดาชายในชุดสูทก็วันทยหัตถ์เธออย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีครับ ขอต้อนรับสู่ประเทศไทยครับ!!” ชายชุดสูทพวกนั้นพูดขึ้น

    “ค่ะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะคะ” ซูซาคุตอบไป

    “ครับ ตอนนี้ท่านทูตคนเก่ากำลังรอที่สถานทูตนะครับ กำลังรอให้คุณมารับตำแหน่งครับ”

    “ฉันรู้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปเองค่ะ ว่าแต่รถของฉันเอามาหรือเปล่าคะ??” ซูซาคุถามไป

    “จอดรออยู่ตรงนั้นแล้วครับ”

    “ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวฉันจะขับรถไปเองค่ะ” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบเดินไปยังซุปเปอร์คาร์ของเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นรถ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

    “พาฉันไปสถานทูตสหรัฐอเมริกา!!” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้น GPS ก็นำทางให้เธออย่างรวดเร็ว ตัวของเธอขับรถไปตามทางที่ GPS แนะนำ โดยที่ในขณะเดียวกัน ตัวของเธอก็ต่อบูลธูทเข้ากับโทรศัพท์ของเธอ จากนั้นก็ติดต่อกับใครบางคน

    “เฮ้ ฮันเตอร์ ฉันขับรถออกมาจากสนามบินแล้ว ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง??” เธอถามชายคนหนึ่งไป

    “ครับ ตอนนี้ท่านทูตกำลังรออยู่เลยครับ”

    “ได้เลยค่ะ อย่าลืมของๆฉันด้วยนะคะ” ฮันเตอร์พูดขึ้น

    “รับทราบครับผม”

    หลังจากนั้นตัวของเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของเธอก็รีบเร่งเครื่องยนต์เพื่อเดินทางไปยังสถานทูตในทันทีเพื่อรับตำแหน่ง

     

    ณ ห้องพยาบาลของนายแสน ลูกชายของ สส.สุรสิงห์ หลังจากที่พวกเขาจัดการกับเสี่ยวหลงและอัญชันได้ไม่สำเร็จ ตัวของเขาก็โวยวายลั่นห้อง เพราะลูกน้องของเขาทำพลาดอีกแล้ว

    “ระยำเอ้ย กูไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกมึงแล้วเนี่ย!!”

    นายแสนตะโกนออกมา และในตอนนั้นเอง สส.สุรสิงห์ก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เพื่อๆและลูกน้องของนายแสนเห็นดังนั้นจึงรีบออกจากห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวของนายสิงห์ก็ไปหาลูกชายของเขาในทันที

    “นี่ แกพูดว่าอะไรนะ??”

    “ไม่มีอะไรหรอกป๊า” นายแสนตอบกลับไป

    “อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์เมื่อวาน แกก็มีส่วนร่วมด้วย??” นายสิงห์ถามไป

    “โธ่ป๊า ผมแค่จะไปจัดการกับไอ้คนที่เกี่ยวข้องกับไอ้อากิระหน่ะ”

    “แล้วแกไม่รู้เหรอ ว่ามันส่งผลอะไรบ้าง ตอนนี้เรื่องมันแดงกันไปเยอะแล้ว บ้าเอ้ย แกนี่นะ ต่อไปนี้ แกห้ามสั่งลูกน้องทำอะไรอีก ฉันจะจัดการเองทุกอย่าง แกไม่ต้องยุ่งเลย” นายสิงห์พูดขึ้น

    “ป๊า นี่ป๊าทำแบบนี้กับผมเหรอ??”

    “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ แกก็ก่อเรื่องอีกเรื่อยๆหน่ะสิ แล้วแกมันโง่ชอบทำงานพลาด ไม่ต้องทำอะไรแล้ว อยู่ที่นี่หล่ะ!!” นายแสนบอกกับลูกชายของเขาอย่างละเหี่ยใจ

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตธัญบุรี ตึกร้างตึกใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งรอบตึกเต็มไปด้วยบรรดากลุ่มคนติดอาวุธมากมายเดินไปเดินมา ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะคุ้มกันใครบางคน และไม่นานนัก ขบวนรถนับสิบคันก็ขับรถกันมาที่ตึกแห่งนั้น ขบวนรถค่อยๆขับเข้ามาพร้อมกับจอดที่หน้าตึกทีละคันสองคัน คนที่อยู่ในรถรีบเดินเข้าไปในตึกร้างอย่างรวดเร็ว แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังขึ้นไปบนตึก ในตอนนั้นโดรนของกลุ่มนาวินก็ค่อยๆขับมาจอดที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตึกเท่าไหร่นัก กลุ่มของนาวินรีบเดินลงมาจากโดรน ซึ่งในตอนนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินมาหาพวกเขา ลันโทสเห็นหญิงสาวคนนั้นจึงรีบไปทักทายในทันที

    “สวัสดีค่ะ เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน??”

    “คุณเบ็ตตี้ ขอบคุณมากนะครับที่มารับผม” ลันโทสพูดขึ้น

    “ความจริงฉันต้องขอบคุณพวกคุณต่างหาก จริงมั้ยคะดันเต้??” เบ็ตตี้หันไปคุยกับดันเต้ในทันที

    “แหม่ คุณยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” ดันเต้พูดขึ้น

    “โอโห ที่นี่คนเยอะแยะจริงๆ ดูเหมือนว่ากำลังจะมีปาร์ตี้นะเนี่ย” โลร็องต์พูดขึ้น

    “ปารืตี้อะไรของนายเนี่ย อย่าเพิ่งไร้สาระสิ” ลูโดวิกพูดปรามไป

    “แล้วทุกคนมาที่นี่กันหมดเลยเหรอคะ??” เวียนถามเบ็ตตี้ไป

    “ก็ใช่ค่ะ ยังไงพวกคุณมาที่นี่ก็ตามสบายนะคะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินกลับเข้าไปในตึกอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียว จู่ๆ วิทยุสื่อสารก็ติดต่อเข้ามาหานาวินอย่างรวดเร็ว

    “พี่วิน ผมดักฟังวิทยุพวกตำรวจ พวกมันจะยกกำลังไปหาพวกพี่แล้ว!!”

    “ได้เลย ไว้พี่จะจัดการเอง” นาวินตอบกลับไป

    “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอพี่??” ฮารุถามไป

    “ดูเหมือนพวกตำรวจกำลังจะมาที่นี่” นาวินพูดขึ้น

    “ห่ะ นี่ต้องเจอพวกมันอีกแล้วเหรอ??” โจไซอาห์ถามไป

    “ว่าแต่ เราจะรับมือพวกนั้นยังไงหล่ะ??” อินเนสซ่าถามไป

    “ถ้าพวกตำรวจมา ผมเชื่อว่าไอ้พวกเดิมนั่นมันต้องตามมาด้วยแน่” อากิระพูดขึ้น

    “ถึงยังไง ก็ต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ดีนะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “แต่อย่ากลัวไปเลยค่ะ พวกเรามีตั้งเยอะนี่คะ” ลาลินพูดขึ้น

    “แต่พวกนั้นมันอาศัยกฎหมายใช้เล่นงานเรานี่คะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ถ้าเรื่องนั้นเธอไม่ต้องกังวลหรอก เธออยู่ข้างๆฉันเอาไว้ก็แล้วกันนะ” อัญชันบอกกับพัตติยาไป

    “งานนี้พวกมันอาจจะขนสรรพกำลังมาเต็มที่แน่ๆ เพราะที่นี่มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลยครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ผมขออาสาคุ้มกันพวกคุณเองครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “ครับ เอาเป็นว่าพวกเราไปดูความเคลื่อนไหวด้านในก่อนดีกว่า แล้วค่อยว่ากันนะครับ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็ตัดสินใจเดินตามเบ็ตตี้เข้าไปในตึกร้างแห่งนั้น พวกเขาเดินเข้าไปในตึกแล้วก็พบว่า ด้านในนอกจากจะมีทั้งชายฉกรรจ์แล้ว ยังมีกลุ่มผู้หญิง คนแก่และเด็กอีกจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ ซึ่งทำให้นาวินและคนอื่นๆถึงกับแปลกใจไม่น้อยในสิ่งที่พวกเขาเจอ

    “อะไรกันครับเนี่ย มีเด็กกับคนแก่ที่นี่ด้วยเหรอครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ใช่แล้วหล่ะ ยังมีอีกเยอะที่อื่นอีกนะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “แล้วทำไม พวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่กันหล่ะคะ??” ฮารุถามอย่างสงสัย

    “ก็นะ คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่อยากจะเป็นผู้เกิดใหม่หรอก พวกเขาส่วนใหญ่แค่อยากจะจบปัญหาชีวิตของพวกเขาไปซะ แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ไหนจะต้องมาเจอไอ้พวกนั้นตามรังควานอีก” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “ว่าแต่ คุณเคยได้ยินเรื่องของ UNASO หรือเปล่าคะ??” เวียนถามอย่างสงสัย

    “มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า The Green อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หน่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “ใช่ ไม่มีใครเคยรู้ชื่อจริงของเธอ เธออยู่เบื้องหลังองค์กรนี้ทั้งหมดเลย” ดันเต้พูดขึ้น

    “นั่นสิ พวกเราพยายามจะตามหาเครือข่ายของเธอ แต่ก็ไม่ได้ผลเลย” ลันโทสพูดเสริม

    “แสดงว่าคนระดับนั้นต้องมีอทธิพลเยอะๆแน่ๆ” อินเนสซ่าพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ภาภินก็ติดต่อนาวินทางวิทยุอีกครั้ง

    “พี่วิน พวกตำรวจกำลังมานะพี่ ประมาณ 40 นาทีได้” 

    “ไม่ต้องห่วง พี่จะบอกคนอื่นๆเอง” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็บอกกับคนอื่นๆไป

    “ทุกคนครับ ตอนนี้พวกตำรวจกำลังมาที่นี่นะครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ เราเตรียมทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “พวก UNASO ต้องมาด้วยแน่ๆ คุณต้องระวังตัวไว้ด้วย” อากิระพูดขึ้น

    “ถ้าถึงตอนนั้น เราก็แค่นี้ออกไปจากที่นี่สิ” พัตติยาพูดขึ้น

    “คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ยังไงก็อยู่กับฉันไว้นะ” อัญชันพูดขึ้น

    “คราวนี้ฉันจะไม่แยกกับนายแล้วนะ” เสี่ยวหลงหันไปบอกกับอากิระไป

    “เอาหล่ะ คงต้องรอรับมือพวกมันหล่ะ” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “นั่นสิ ถึงยังไงก็คงต้องสู้กับพวกมันหน่อยแล้วหล่ะ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ถ้าพวกมันมา เราจะหนีไปทางไหนหล่ะ??” โลร็องต์ถามไป

    “ได้ยินว่าคุณดันเต้เอาโดรนไปซ่อนไว้นี่ แล้วจะเรียกมาตอนเราหนี” ลูโดวิกบอกกับโลร็องต์ไป

    “แต่ถ้าเกิดการปะทะจริงๆ เด็กและผู้หญิงที่นี่ต้องเป็นอันตรายด้วยสิคะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ถึงเวลานั้น เราจะอพยพพวกเขาออกไปก่อนหน่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “เรื่องการอพยพผมจะช่วยพวกเขาเองครับ” ซีโร่พูดขึ้น

    “เฮ้อ ก็หวังว่าอย่าให้มีการสูญเสียเลย” นาวินพูดขึ้น

    “เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้มันสูญเสียน้อยที่สุดค่ะ” เบ็ตตี้พูดขึ้น และไม่นานนักพวกเขาก็ค่อยๆเดินขึ้นไปบนชั้นสูงของตึกนั้น และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เดินมาถึงห้องโถงของชั้น 14 ซึ่งเป็นที่ที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังพากันประชุมอย่างดุเดือด พวกเขาโต้เถียงกันไปกันมาอย่างเผ็ดร้อน ทำเอากลุ่มของนาวินถึงกับเกร็งๆไปเล็กน้อย

    “ตอนนี้พวกมันเริ่มจะรุกไล่เราเรื่อยๆแล้วนะ!!”

    “ใช่ ไม่มีครั้งไหนที่หนักมากเท่านี้มาก่อนเลย”

    “ตอนนี้พวก UNASO ก็ลงมาเล่นเองแล้ว พวกเราโดนจับโดนฆ่าไปมาก เราต้องหาทางแก้ไขกันแล้วหล่ะ”

    “ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้นักการเมืองคนนั้นแท้ๆเลย มันคงแค้นที่ลูกมันโดนผู้เกิดใหม่เล่นงาน มันเล่นมาเล่นงานพวกเราทุกคนแบบนี้ เราคงต้องตอบโต้พวกมันหน่อยแล้วหล่ะ”

    แต่ในตอนนั้นการโต้เถียงกันก็จบลง เมื่อพวกเขาเจอกับเบ็ตตี้ซึ่งเดินเข้ามาในห้อง

    “อ้าว คุณเบ็ตตี้ มาแล้วเหรอครับ??”

    “ใช่แล้วหล่ะค่ะ ฉันพาพวกเขามาแล้ว พวกเขาคือกลุ่มผู้เกิดใหม่ที่เก่งที่สุดเท่าที่พวกเราเคยร่วมงานกันมา” เบ็ตตี้พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง พวกของนาวินก็เดินไปหาคนที่อยู่ในนั้นอย่างเกร็งๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง

    “วูบ!!”

    ในตอนนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งซึ่งโผล่มากลางวงพวกเขา ทำเอาบรรดาคนที่ประชุมอยู่ต่างก็หยิบปืนขึ้นมาเพื่อจะป้องกันตัว

    “ช้าก่อน ข้ามาดี ข้าคือวิบัติอย่างไรเล่า!!”

    “ท่านวิบัติ ทุกคน เขาเป็นพวกเราครับ” นาวินพูดขึ้น และในตอนนั้นทุกคนในห้องก็ลดปืนลงอย่างรวดเร็ว

    “เอาหล่ะ ท่านเป็นผู้ใด แล้วมาทำอันใดที่นี่??” เบ็ตตี้ถามไป

    “ข้าแค่ใคร่จะมาบอกพวกเจ้าว่า เพลานี้ พวกมันเริ่มจะบุกเข้ามาปราบปรามพวกเจ้าแล้ว วิญญาณที่เป็นสายของข้าได้แจ้งมาเช่นนั้น” วิบัติพูดขึ้น

    “จริงด้วย เหมือนที่ภาภินบอกไว้ไม่มีผิดเลย” นาวินพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าเราคงต้องรับมือพวกมันแล้วหล่ะ!!” ชายผู้นำคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนออกมา

    “นี่ คุณสุชัย คนของคุณพร้อมหรือเปล่า??”

    “พร้อมแน่นอนครับคุณเฉิน ให้มันมาเถอะ”

    “ผมว่า ไอ้พวก UNASO มันต้องมาด้วยแน่ๆ มันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก” อากิระพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไงพวกมันก็ต้องแพ้กลับไปอยู่ดี” ฮารุพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ พวกเราจะเล่นพวกมันให้ยับไปเลย” โลร็องต์พูดขึ้น

    “เดี๋ยวก่อนสิ คิดว่าพวกมันจะไม่มีแผนอะไรเลยงั้นเหรอ??” ลูโดวิกถามไป

    “จริงด้วย พวกมันคงต้องมีแผนใหม่แน่ๆ ยังไงเราก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยสิ” เวียนพูดขึ้น

    “พวกเราเตรียมพร้อม ไปตั้งรับพวกมันไว้!!” เบ็ตตี้ออกคำสั่งไป จากนั้นบรรดานักรบก็รีบเดินออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบไปจัดการตั้งรับพวกมันอย่างรวดเร็ว

    “แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อหล่ะคะ??” ลาลินถามไป และในตอนนั้น นายลุ้นก็หยิบไพ่ใบหนึ่งของเขาขึ้นมา จากนั้นมันก็ปรากฏคำว่า

    “MASSACRE!!”

    “โห งานนี้คงตายกันเยอะแน่ๆครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “แล้วยังไงหล่ะ ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมแพ้พวกมันหรอก” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “แหม่ ดุได้ใจจริงๆเลยนะเนี่ย” โจไซอาห์พูดขึ้น และในตอนนั้น ภาภินก็วิทยุมาคุยกับนาวินอย่างรวดเร็ว

    “พี่วินครับ พวกมันเริ่มใกล้เข้ามาแล้วครับ!!”

    “รู้แล้วหล่ะ พวกเรากำลังเตรียมพร้อมอยู่” นาวินตอบกลับไป

    “ผมว่า เราอพยพเด็กกับผู้หญิง แล้วก็คนแก่ออกไปก่อนดีกว่าครับ” ลันโทสพูดขึ้น

    “ถ้าเรื่องนั้นผมจะจัดการเองครับ” ซีโร่พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ถือปืนกลเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    “งานนี้ถ้าคริสเตียลมาเอง เราคงต้องระวังตัวกันไว้หน่อย” ดันเต้พูดขึ้น

    “อัญชัน ถ้าเธอไม่ไหว เธอไปหลบก่อนก็ได้” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “ฉันไม่กลัวหรอก ฉันก็ใช้ปืนเป็นเหมือนกันนะ” อัญชันพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันจะไปหาเพื่อนฉันก่อน เธอช่วยพวกเราได้ เอาไว้เจอกันใหญ่นะอัญชัน แล้วฉันจะรีบกลับมา” พัตติยาพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็วาร์ปออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาอัญชันถึงกับอึ้งกิมกี่ไปเลย

    “ข้าเกณฑ์พวกวิญญาณของข้ามาเรียบร้อยแล้ว เอาไว้ข้าจะจัดการเอง” วิบัติพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบเดินลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พวกของนาวินคนอื่นๆก็รีบไปตั้งแนวรับเพื่อรับมือกับกองกำลังที่กำลังจะมาถึงพวกเขา

     

    ณ น่านฟ้าที่ไหนซักแห่งในเขตลำลูกกา ซึ่งเป็นยานบินสำหรับกลุ่ม UNASO ซึ่งกำลังเดินทางไปจัดการเป้าหมายตามภารกิจของพวกเขา ในคราวนี้พวกเขามียานบินขนส่งกว่า 10 ลำ รวมถึงโดรนเล็กจู่โจมถึง 100 ตัวซึ่งคอยจัดการเป้าหมาย โดยที่คริสเตียลนั้นเป็นคนนำทีมเอง

    “อีก 10 นาทีถึงที่หมายครับท่าน!!”

    “ดี ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ได้ยินมาว่าพวกมันมีกันหลายร้อย แต่เราจะจัดการกับพวกมันให้หมด” คริสเตียลพูดขึ้น

    “รับทราบครับท่าน พวกเราเตรียมพร้อมไว้นะ!!” ฮาเวิร์ดบอกกับทุกคนอีกทอดหนึ่งไป

    “ความจริงน่าจะใช้ปืนใหญ่ถล่มพวกมันไปเลยสิ” รูกี้พูดขึ้นพลางควงปืนพกของเขาไป

    “แบบนั้นชาวบ้านชาวช่องได้ตื่นกันหมดแน่” จ่าชัยพูดขึ้น

    “คราวนี้หล่ะ เราจะจบศึกซะที” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “ใช่ ไอ้ด็อกเตอร์ดันเต้ ฉันชอก็แล้วกัน ฉันจะจัดการเอง” รูกิพูดขึ้น

    “อย่าเพิ่งดีใจไปน้องสาว รอให้ไปถึงที่นั่นก่อนเถอะ” วูฟพูดขึ้น

    “มีที่ให้ฉันเล็งปืนได้ถนัดๆหรือเปล่าหล่ะ??” กาลีน่าถามไป

    “งั้นเธอก็อยู่ในโดรนก็แล้วกัน เดี๋ยวเราจะคุ้มกันเอง” ยูริพูดขึ้น

    “ถ้าเรามีอุปกรณ์เยอะขนาดนี้แต่แรก คงไม่ต้องเสียท่าให้พวกมันหลายครั้งหรอก” แสงจันทร์พูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงไปหรอก คราวนี้พวกเราไม่พลาดแน่นอน” คริสเตียลบอกกับทุกคนไป และในตอนนั้น บรรดาโดรนเล็กติดอาวุธก็ค่อยๆนำร่องไปก่อน ส่วนโดรนขนส่ง รวมถึงรถขนทหารก็ค่อยๆเคลื่อนที่ตามพวกเขาไปติดๆ 

     

    กลับมายังเขตของกลุ่มผู้เกิดใหม่ ในตอนนั้นกองกำลังผู้เกิดใหม่ก็พยายามตั้งแนวรับเพื่อรับมือกับกองกำลังของ UNASO ซึ่งกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาเข้าไปหลบกันในบังเกอร์แบบง่ายๆ จากนั้นก็ตั้งปืนกลกันอย่างรวดเร็ว รวมถึงในตอนนั้น วิบัติก็เตรียมระดมเหล่าวิญญาณของเขาเพื่อเข้าต่อรบด้วย

    “พวกเจ้าหน่ะ หากพวกมันมา ก็จัดการกับพวกมันเลย!!”

    เหล่าวิญญาณพวกนั้นได้กระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกลุ่มของนาวินก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้าเพื่อตั้งปืนกลและตั้งรับกองกำลังพวกนั้น 

    “พี่วิน พวกมันจะมาในอีก 5 นาทีครับ!!”

    “ได้เลยภิน อยู่ที่นั่นดูแลเจ้าลืมด้วยหล่ะ” นาวินตอบกลับไป แต่ในตอนนั้นเอง ตัวของเขาก็ได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล

    “โดรนพวกมันมาแล้ว!!”

    และเมื่อพวกเขาได้ยินเสียง พวกเขาก็พากันเข้าที่กำบังอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมหลบการโจมตีของโดรนพวกนั้น 

    “เตรียมพร้อมเลย พวกมันมาแล้ว!!”

    =================================================================

    หน่วย UNASO เริ่มการจู่โจมอย่างหนัก และพวกเขาจะรอดไปได้หรือไม่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×