คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 8 : บททดสอบจากสวรรค์
คณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์เดินทางผ่านหมู่บ้านมาเรื่อยๆ ผ่านป่ากว้างซึ่งดูเขียวชอุ่ม และเงียบสงบ ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสนามรบเก่า ลานกว้างที่เต็มไปด้วยเศษซากจากสงคราม ทั้งอาวุธแลซากเกวียนยังคงตั้งอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยไปมา บรรยากาศดูช่างน่าวังเวง
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่นี่มีการรบเกิดขึ้น” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ที่นี่มีสงครามอันใดกัน ข้ามิเคยรู้มาก่อน??” มายะถามอย่างสงสัย
“สงครามกับพวกเราชาวอังวะหน่ะ พระเจ้ามังระทรงต้องการแผ่บารมีของพระองค์ จึงจำเป็นต้องทำศึกหน่ะ” อองโม่โยพูดขึ้น
“ข้าว่ามิใช่ดอกท่าน ครานี้ทัพกษัตริย์มิได้ยกมาเอง แต่ยกให้แม่ทัพใหญ่มา นั่นหมายถึง อังวะต้องการทำลายล้างอโยธยาหน่ะสิ” สมบาติพูดกลับไป
“สงครามสร้างความพินาศย่อยยับ บ้านเมืองของข้าก็มิต่างกัน” ฮิเดกิพูดพลางถอนใจ
“เอาหล่ะ พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ อย่าเสียเวลาเลย!!” นาราพูดไป จากนั้นพวกเขาก็เดินทางผ่านสนามรบซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ และเศษซากยุทโธปกรณ์ที่เรียงรายกันมากมายบริเวณนั้น
“โห ดูสิ แม้แต่สุนัขก็ยังไม่รอดเลย” คาวีพูดขึ้นและชี้ไปยังด้านหนึ่งของสนามรบ
“นั่นสิ แม้ว่าสัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่รอด” วารีพูดขึ้น
“เราขอส่งวิญญาณของพวกเขาสู่พระหัตถ์ของพระเจ้า!!” เทเรซ่าและชาวคริสต์คนอื่นๆพยายามสวดมนต์ไปด้วย
“หวังว่าพวกเขาจะได้ยินคำสวดนะ” อนาเลียพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าหน่ะ” มาร์คัสพูดไป
“แต่ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นคริสต์ มันจะได้ผลเหรอ??” รีปเปอร์ถามไป
“ก็อย่างที่มาร์คัสบอก เจ้ามิต้องคิดมากไปใยดอก” แม็กซิมพูดไป
“เอาเถิด พ่อกุมาร ท่านคิดว่าผู้ใดจะรอเราอยู่ข้างหน้า??” อเล็กซถามกุมารเทพไป
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน” กุมารเทพพูดขึ้น
“นี่ ท่านหลี่เจา ท่านพอจะทราบหรือเปล่า??” วาทินถามอย่างสงสัย
“ข้ามิได้รู้ข่าวคราวบนสวรรค์มาซักพักแล้วหล่ะ” หลี่เจาพูดขึ้น
“นับตั้งแต่ประตูด่านสรรค์ปิดลง พวกเขาก็ไม่ส่งข่าวให้ท่านเลยเหรอ??” ธิดาถามไป
“เฮ้อ สงสัยคงต้องถามเทพจอมซนนั่นหล่ะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“เฟยหลิงงั้นเหรอ อย่าไปยุ่งกับนางเลย นางก็ไร้สาระเช่นนี้แหละ” อิริยะพูดไป
“เฮ้อ ไม่นึกไม่ฝันว่าพวกเทพจะมีพวกปัญญาอ่อนด้วย” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“นี่ท่าน อย่าพูดเช่นนั้นสิ!!” เอื้องเหนือพูดปรามไป
“แต่สิ่งที่ข้าสงสัยก็คือ เหตุไฉนซากศพของทหารถึงมีน้อยเกินไป??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“นั่นสิ หากมีการรบพุ่งกันจริง ซากศพมีน้อยเกินไป” ชิงเสียนพูดขึ้น
“นี่ เจ้านี่ก็คิดอันใด เจ้าอยากเห็นคนตายเพิ่งงั้นหรือ??” ฉางหลงถามไป
“แต่ข้าเห็นพ้องด้วยกับนาง มันประหลาดเกินไป” โชพูดขึ้นในขณะที่นอนอยู่บนเกวียน
“หรือว่า พวกปีศาจจะขโมยศพไปดูดไอวิญญาณหล่ะ??” ซื่ออ้ายถามไป
“แต่ข้าเองก็ตรองอยู่ ผีดิบที่เป็นทหารนั่น อาจจะกำลังรอเราอยู่” เมรีพูดขึ้น
“แต่พวกมันใช้ปืนไฟและใช้ธนูได้ด้วย คงต้องระวังหน่อย” ไวโอเล็ตพูดไป
“ข้าว่า คงมิต่างจากพวกสุนัขในเท่าไหร่หรอก” เชอร์รี่พูดขึ้น
“แต่ว่ามันสามารถใช้ร่างกายครึ่งท่อนของมันต่อสู้ได้ต่อนะ” ออเรเลียพูดขึ้น
“แรงอาฆาตของทหารพวกนี้มีมาก เพราะพวกเขาไม่ได้รับการทำศพที่ถูกต้องหน่ะ” ทูตเบลล์พูดไป
“ถ้าเช่นนั้น เราจะฝังพวกมันเอง” มาเรียน่าพูดขึ้น
“อ่ะก๊ะๆๆๆๆ” ลุงคงพูดไม่เป็นภาษาคนออกมาแล้วก็ร้องรำทำเพลงไปด้วย
“ลุง เงียบเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินเสียงหรอก!!” ทองอินทร์ตะโกนบอกลุงคง แต่ในตอนนั้นเอง
“ปัง!!”
พวกเขาได้ยินเสียงปืนดังมาแต่ไกล ลูกปืนนั้นไปโดนคาวี แต่คาวีมีอาคมอยู่จึงทำให้กระสุนยิงไม่เข้า
“บ้าเอ้ย มันยิงมาจากที่ใด??” สมบาติตะโกนออกมา และในตอนนั้นเอง ชิงเสียนก็เห็นแสงจากกระบอกปืน เธอเลยยิงสวนกลับไปในทันที
“ปัง!!”
ปืนที่ถูกทำใหม่ของเธอยิงปีศาจตัวนั้นได้แม่นเหมือนจับวาง ทำเอาร่างของปีศาจตัวนั้นร่วงลงจากต้นไม้ในทันที
“พวกมันซุ่มโจมตี ระวังด้วย!!” ไวโอเล็ตตะโกนออกมา และในตอนนั้น กองกำลังผีดิบซึ่งใส่เสื้อผ้า บางตัวก็สวมเสื้อเกราะ ถือดาบแลหอกเดินเข้ามาโจมตีพวกของทองอินทร์อย่างต่อเนื่อง
“ฆ่ามันให้หมด!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็บุกเข้าไปจัดการกับผีดิบพวกนั้นในทันที นาราวิ่งและกระโดดเข่าลอยใส่มันตัวหนึ่งจนหอกหักครึ่ง
“ระวังด้วย อ้ายพวกนี้มันฤทธิ์เยอะยิ่งนัก!!” นาราตะโกนออกมา
“เจอดาบใหม่ของข้าหน่อย อ้ายพวกผีร้าย!!” วารีตะโกนออกมา จากนั้นก็ฟันร่างของมันจนขาดครึ่ง และฟันหัวของมันออกมาอย่างง่ายดาย
“คิดว่าโล่เจ้าจะกันได้เช่นนั้นหรือ??” คาวีฟันโล่เหล็กของมันตัวหนึ่งจนขาด จากนั้นก็ถีบมันกระเด็น
“ตายซะไอ้พวกผีเอ๋ย!!” นรสิงห์พูดขึ้น จากนั้นก็ใช้ดาบของเขาฟาดฟันพวกมันเข้าไป
“ตายซะ!!” แสนคำสมิงใช้ดาบแทงมันตัวหนึ่ง และยกมันขึ้นมาทุ่มลงกับพื้น
“พวกมันมีปืนแลธนู ยิงสกัดมันด้วย!!” เวียงพิงค์พูดขึ้นในขณะที่ยิงหน้าไม้สกัดพวกมัน
“อเล็กซ ปืนนี่ใช้ดีแท้!!” มาร์คัสพูดและยิงสกัดพวกมันด้วยปืนที่ทำขึ้นใหม่
“นั่นสิท่านพี่ ปืนพวกนี้ใช้ดีแท้!!” อเล็กซพูดขึ้นจากนั้นก็ยิงกับพวกมันต่อ
“ว้าย อย่าเข้ามานะ!!” เอื้องเหนือตะโกนขึ้น จากนั้นก็ชักมีดหมอของเธอออกมาจะแทงมัน แต่ออเรเลียในตอนนั้นก็ใช้หอกแทงมันและเหวี่ยงมันจนกระเด็น
“ระวังหน่อยสิ พวกมันมีเยอะ!!” ออเรเลียพูดขึ้น และในตอนนั้น โล่เหล็กใหม่ของอองโม่โยก็กันกระสุนของพวกปีศาจได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
“เข้ามาเลย ไอ้พวกระยำ!!” อองโม่โยพูดและใช้โล่กระแทกมันจนกระเด็นไป
“แม็กซิม รีปเปอร์ ตัดที่หัวของมัน!!” เทเรซ่าพูดขึ้น จากนั้นก็บุกไปฟาดฟันกับพวกมัน
“ได้เลย เข้ามาเลยไอ้พวกนี้!!” รีปเปอร์ตัดหัวมันตัวหนึ่งจนขาด
“มาเลย กูจะฝังมึงเอง!!” แม็กซิมตะโกนออกมา จากนั้นก็แทงเข้าที่หัวของมันตัวหนึ่ง
“กินปืนใหญ่หน่อยไอ้พวกนี้!!” มาเรียน่าเอาปืนใหญ่มือแล้วยิงพวกมันจนกระเด็นไปคนละทาง
“โห อาวุธจากเหล็กนี่ช่างดีแท้” เอื้องเหนือพูดอย่างตะลึง และในตอนนั้นเอง มายะกับฉางหลงก็พยายามช่วยคุ้มกันขบวนเพื่อไม่ให้พวกมันทำลายขบวนได้
“โธ่เอ้ย พวกมันจะเยอะไปไหนเนี่ย??” มายะถามในขณะที่ฟาดฟันกับพวกมัน
“แต่สนับมือเหล็กนี่ดีแท้!!” ฉางหลงพูดขึ้นและใช้มันต่อยพวกผีดิบจนกระเด็น และในตอนนั้นเอง โชก็ฝืนตัวเองหยิบดาบและลุกขึ้นมาสู้กับพวกมันในทันที
“เดี๋ยวท่าน ท่านยังไม่หายดีเลย!!” ธิดาพยายามตะโกนห้ามไป แต่โชก็ชักดาบออกมาฟาดฟันกับพวกมันต่อ มันตัวหนึ่งจะใช้หอกแทงข้างหลัง แต่ซื่ออ้ายใช้เข็มพิษของเธอปักเข้าที่หน้ามันจนร่วง
“นี่ ท่านยังไม่หายดีเลยนะ!!” ซื่ออ้ายพูดกับโชไป
“ข้ารบไหวน่า เจ้ามิต้องกังวลดอก” โชตอบไป
“ไอ้พวกผีนรกเอ้ย!!” เชอร์รี่พูดขึ้น จากนั้นเธอก็ใช้ระเบิดมือที่เธอทำขึ้น จุดชนวนและขว้างใส่มันในทันที
“ตู้ม!!”
“ไอ้พวกผีร้ายเอ้ย ตายไปซะ!!” หลี่เจาเหวี่ยงทวนใส่พวกมันจนกระเด็นออก ส่วนอนาเลียก็พยายามดูดพลังของพวกมันมา แต่พลังอาฆาตของพวกมันมีมากเกินไป ทำให้เธอทำอะไรได้ไม่มากนัก
“บ้าเอ้ย ไอ้ตัวนี้คงต้องใช้น้ำมนต์เยอะหน่อยหล่ะ” อนาเลียพูดขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะขนาดนั้นหรอก” อิริยะพูดขึ้น จากนั้นก็ใช้ห่วงเหล็กขว้างใส่พวกมันไป
“ไอ้พวกผีร้ายเอ้ย!!” กุมารเทพพูดขึ้นและเหาะผ่านร่างของพวกมันจนร่างของพวกมันทะลุ
“แน่จริงก็เข้ามาเลย!!” ฮิเดกิตะโกนออกมา จากนั้นก็ไล่ฟาดฟันพวกมันด้วยดาบคู่
“กินลูกปืนซะ!!” ชิงเสียนตะโกนออกมา จากนั้นก็ยิงพวกมันจนตายไปมากมาย และในตอนนั้น ลุงคงก็จับร่างของมันมาฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยสนับมือเหล็ก และเหยียบมันจนแหลกเละ
“พวกมันจะตายกันหมดแล้ว!!” ทูตเบลล์ตะโกนออกมา
“จะหนีไปไหน ห่ะ??” เมรียิงธนูใหม่ของเธอใส่พวกมันในขณะที่พวกมันกำลังจะหนี
“ตายซะ ไอ้พวกระยำ!!” ทองอินทร์ใช้ดาบสองมือฟันพวกมันที่เหลือจนพวกมันแตกกระจาย ในตอนนี้พวกมันก็เริ่มถอยหนีกลับไปแล้ว แต่พลยิงคนอื่นๆในกลุ่มก็ไม่ปล่อยให้พวกมันหนี จัดการยิงไล่หลังพวกมันจนตายเรียบ
“เอาหล่ะ ทุกคน มันถอยไปหมดแล้ว เยี่ยมไปเลย!!” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ท่านพี่ ข้าว่าเราออกเดินทางกันต่อเถิด” กุมารเทพพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วย นี่ก็ใกล้จะพลบค่ำแล้ว เราต้องหาที่ค้างแรมกันด้วย” ทองอินทร์บอกกับคนอื่นๆในกลุ่มไป
ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตพิษณุโลก เดอเวสและปีศาจสาวตัวนั้นก็เดินทางออกจากพิษณุโลกและเดินทางลงใต้ไป เป้าหมายคือเตรียมจัดการคณะเดินทางให้สิ้นซาก แม้ว่าปีศาจสาวตัวนั้นจะแปลงกายเป็นหญิงงาม แต่เดเวสก็ยังไม่กล้าเดินใกล้กับเธอเท่าไหร่นัก
“แหม่ เจ้ายังรังเกียจรังงอนข้าอยู่งั้นหรือ??”
“ข้าไม่ไว้ใจเจ้า ความกระหายของเจ้ามันไม่มีที่สิ้นสุด” เดอเวสพูดไป
“แหม่ๆๆ พูดอย่างกับท่านไม่กระหายอยากได้ข้า กระนั่น!!”
“ข้าไม่เหมือนเจ้า อย่ามาพูดกับข้าแบบนี้” เดอเวสตอบไป
“แหม่ๆๆ ไม่ว่าเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าคงมิพ้นกระหายตัณหาราคะเป็นแน่!!” ปีศาจตัวนั้นพูดและเดินมาใกล้เดอเวส
“นี่เจ้าเป็นใครกันแน่??” เดอเวสถามอย่างสงสัย
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ บัดนี้ข้าได้พลังอันไร้ขีดจำกัด ข้าจะกำจัดพวกมันทุกตัวที่ขวางทางข้า”
“เจ้าพอจะบอกชื่อของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือเปล่า??” เดอเวสถามอย่างสงสัย
“ท่านตั้งให้ข้าสิ!!” ปีศาจสาวตัวนั้นพูดขึ้นจากนั้นก็พยายามยั่วยวนเดอเวสไปด้วย
“นี่ ถ้าเจ้าบังอาจแตะต้องข้า...”
“แหม่ๆๆๆ ปล่อยใจของท่านให้เป็นอิสระหน่อยเถิด อย่าหยิ่งทระนงให้มากนักเลย!!” ปีศาจตัวนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ใช้มือของเธอค่อยๆลูบไล้ไปบนตัวของเดอเวสด้วย
“เฮ้อ ข้าจะเรียกเจ้าว่า ราคีก็แล้วกัน!!” เดอเวสพูดขึ้น จากนั้นก็ผลักตัวเธอลงกับพื้น และนอนกดเธอลงไปในทันที
“แหม่ๆๆ ค่อยๆสิท่าน เรามีเวลาทั้งวันนะท่าน..” นางราคีบอกเขาไป
ณ ค่ายของปิ่นทอง ซึ่งในตอนนี้ตัวเขาได้เตรียมจัดกำลังผีดิบของเขาเพื่อรับมือกับพวกคณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ากำลังของพวกเขามีมากประมาณ แต่ปราสาทที่พวกเขาอยู่ก็ถูกทำลายไปมากจากสงคราม ทำให้ปิ่นทองถึงกับต้องมาดูด้วยตัวเองว่าจะเอาอย่างไรต่อ
“ท่านขอรับ กองกำลังของเราเตรียมพร้อมจะรับมือพวกมัน แต่กำแพงของเราเสียหายอย่างมากในการรบ โดยเฉพาะช่องกำแพงในส่วนนี้ หากจะซ่อมแซม ต้องใช้เวลานานมากเลยครับ!!” ลูกน้องของปิ่นทองพูดขึ้น
“อืม ข้ารู้ แล้วมีส่วนอื่นที่เสียหายหรือไม่??” ปิ่นทองถามไป
“ไม่มีขอรับ!!”
“อืม มีซากศพบางศพที่ใช้ไม่ได้แล้ว เอาซากศพเหล่านั้นมาปิดกำแพงซะ” ปิ่นทองพูดขึ้น
“รับทราบขอรับท่าน!!” ลูกน้องของเขารับคำไป
“ท่านขอรับ เหตุไฉนพวกนั้นถึงไม่ให้เราไปรวมกับกำลังที่พิษณุโลกเล่า??” สมุนอีกตัวของเขาถามไป
“พวกนั้นคงอยากให้เราตัดกำลังพวกมัน แต่พวกมันหารู้พลังของข้าไม่” ปิ่นทองพูดขึ้น
“นั่นสิขอรับ แต่ว่า อ้ายปีศาจตัวนั้นที่มาท้าทายท่าน มันเป็นผู้ใดขอรับ??”
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าก็ยังหาคำตอบอยู่” ปิ่นทองพูดขึ้น และในตอนนั้น จู่ๆ แสงสีดำประหลาดก็ลอยเข้ามาหาปิ่นทองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มาพูดอะไรบางอย่างกับเขาในทันที
“เจ้าปิ่นทอง หวังว่าเจ้าจะเพลิดเพลินกับปราสาทแห่งนี้นะ!!”
“นี่ท่าน ท่านให้ข้าทิ้งเมืองเก่าของข้า แล้วมาอยู่รูหนูแบบเนี่ย หวังว่าท่านจะยังจำข้อตกลงได้นะ” ปิ่นทองถามไป
“แน่นอน ท่านบอกกับข้าว่า จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม หากทำสำเร็จ!!” เงาดำนั่นพูดขึ้น
“ขอให้จริงดังคำท่าน แล้วรับรองว่าข้าจะดูดเลือดพวกมันให้สิ้น!!” ปิ่นทองตอบไป
“เฮ้อๆๆๆ ข้าจับตาดูเจ้าอยู่ อย่าทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด มิเช่นนั่น เจ้าคงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” เงาดำนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆหายไป ท่ามกลางสายตาของเหล่าปีศาจที่ยังจ้องมองอยู่
ณ เมืองพิษณุโลก ซึ่งกองกำลังปีศาจนับร้อยกำลังตั้งค่ายเพื่อรอรับการมาของคณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกำลังเดินทางมายังเมืองพิษณุโลก ในตอนนั้นอาชิซะก็เดินทางมาถึงค่ายที่กลุ่มปีศาจตั้งกำลังอยู่ ในตอนนั้นเขารีบไปคุยกับพวกปีศาจกลุ่มนั้นในทันที
“พวกเจ้ากำลังทำอันใดกันอยู่??”
“พวกเราก็กำลังรอให้ไอ้พวกคณะเดินทางนั้นเดินทางมาถึงหน่ะสิ” ปีศาจตัวหนึ่งตอบไป
“แค่นี้มิพอดอก เจ้าต้องเอามามากกว่านี้” อาชิซะพูดขึ้น และอีกด้านหนึ่ง เฟยหลิงซึ่งกำลังเหาะเล่นอยู่ด้านบนก็พบกับกองทัพปีศาจกลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังเตรียมรับมือกับคณะเดินทาง เธอเหลือบลงไปมองด้านล่างอย่างตื่นเต้น
“ดูอ้ายพวกนี้สิ กระตือรือร้นกันนักเชียว!!”
แต่ยังไม่ทันที่เฟยหลิงจะพูดจบ จู่ๆ อาชิซะก็สัมผัสได้ถึงพลังเทพอะไรบางอย่าง เขาเลยเหาะขึ้นมาขวางทางของเฟยหลิงเอาไว้ ทำเอาเธอถึงกับตกใจ แล้วก็หยุดต่อหน้าอาชิซะในทันที
“ไอ้พวกเทพสวะ มาทำอะไรที่นี่??” อาชิซะถามไป
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกเกรย์โอลด์วันชั้นต่ำอย่างเจ้าจะหลุดจากการผนึกมาได้!!” เฟยหลิงพูดขึ้น
“เจ้าเป็นเทพจีนงั้นหรือ ไอ้เอ้อหลางเสิน ไอ้นาจา มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ข้าอยากชำระความกับมัน??” อาชิซะถามไป
“เฮ้อ อย่างเจ้าเนี่ยนะจะไปประมือกับท่านเอ้อหลาง ไม่เจียมกะลาหัวบ้างเลย กะจะเอาคืนตอนเหตุการณ์มหาสงครามสินะ!!” เฟยหลิงพูดขึ้น
“เฮ้อ เทพอสูรชั้นต่ำอย่างเจ้า กล้าดียังไงมาว่าข้า??” อาชิซะพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ชักดาบออกมา จากนั้นก็จู่โจมเฟยหลิงในทันที เฟยหลิงก็ชักดาบโซ่ของเธอออกมา จากนั้นก็เหวี่ยงใส่เขา พวกเขาประมือกันไปมา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่กลับกลายเป็นอาชิซะที่เตะเข้าที่ชายโครงของเธอ จากนั้นก็แทงเธอกลับไป ยังดีที่เฟยหลิงใช้ดาบกันไว้ได้
“เฮ้อ มีดีแค่นี้เองเหรอ??” เฟยหลิงถามไป
“นั่นแค่การเตือน วรยุทธ์เจ้าเทียบข้าไม่ได้ เทพหลี่จิ้งข้าก็เกือบบั่นคอมันมาแล้ว!!” อาชิซะพูดขึ้น
“ข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ” เฟยหลิงพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ใช้มนต์ของเธอร่ายใส่อาชิซะ อาชิซะหลับตาแล้วก้พูดขึ้น
“มนต์จิตใจของเจ้าทำอันใดข้ามิได้ดอก!!” อาชิซะถามขึ้น และในตอนนั้นเอง เฟยหลิงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำเอาอาชิซะถึงกับแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เฟยหลิง ถ้าข้าเจอเจ้าอีก อย่าหวังว่าจะรอดเงื้อมมือข้า!!”
กลับมายังพวกของทองอินทร์ คณะเดินทางของเขายังคงเดินทางต่อมาเรื่อยๆ ระหว่างทางพวกเขาก็ได้จัดการฆ่าฟันกลุ่มผีดิบนักรบไประหว่างทางด้วย ซากศพของเหล่าผีดิบนอนตายเกลื่อนระหว่างทาง และเมื่อพวกมันบางส่วนตายกันหมด พวกเขาก็คุยกันไปด้วยระหว่างทางที่เดินไปด้วย
“ข้าเดินจนขาเกือบลาก ยังไม่เจอมนุษย์ซักคนเลยเนี่ย!!” คาวีพูดพลางหอบแหกๆไปด้วย
“โธ่ ถ้ามีมนุษย์ก็แปลกแล้วหล่ะสหาย!!” วารีตะโกนกลับไป
“ท่านกุมาร ท่านพอสัมผัสได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดรอเราอยู่??” ทองอินทร์ถามกุมารเทพไป
“ข้าก็มิอาจสัมผัสได้เช่นกันท่านพี่” กุมารเทพพูดขึ้น
“ประตูสวรรค์ปิดไปแล้วนี่ จะมีผู้ใดรอเราอยู่เล่า??” แสนคำสมิงถามไป
“ไม่แน่นะท่าน ขนาดเทพจอมซนนั่นยังออกมาได้เลย” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“น่าจะยิงหน้ายัยนั่นให้หน้าแหกไปเลย!!” เมรีพูดขึ้น
“ดีแล้วหล่ะ ขันติไว้เถิดท่านเมรี!!” ธิดาพูดไป
“นั่นสิ ไม่แน่อาจจะเป็นเจ้านะที่หน้าแหก นางเป็นเทพนะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“เอาเถิด ป่านนี้เทพซุสคงกำลังตั้งกำแพงสวรรค์กันให้วุ่น” ออเรเลียพูดขึ้น
“ข้าเคยได้ยินมาว่า เทพของชาวกรีกเสพสมกับมนุษย์ไปทั่ว ใช่หรือไม่??” อองโม่โยถามอย่างสงสัย
“ใช่ เป็นเช่นนั้น มีลูกครึ่งเทพมากมายบนโลก ตอนนี้คงกำลังประมือกับพวกปีศาจอยู่” มาร์คัสพูดขึ้น
“ข้าไม่สนพวกเทพหรอก ถ้าพวกมันไม่มาช่วยข้าก็ไม่สน” วาทินพูดขึ้น
“ข้าเห็นพ้องด้วย ท่านหลี่เจาอย่าว่ากันก็แล้วกัน ตอนนี้เหมือนว่าพวกเขาจะทิ้งท่านแล้วนะ” นรสิงห์พูดเสริม
“นี่ พวกเจ้ากำลังหมิ่นเทพเจ้าอยู่นะ!!” อิริยะตะโกนขึ้นมา
“เอาเถิดๆ ตอนนี้พวกเจ้าคงจะยังไม่เชื่อ ข้าเข้าใจ” หลี่เจาพูดขึ้น
“ข้าว่า เจ้ามีอคติอะไรกับพวกเทพอยู่นะ ชีวิตในวัยเด็กของเจ้าต้องเจออะไรมาแน่ๆ” เทเรซ่าพูดไป
“เทเรซ่า ไม่เอาน่า อย่าทำให้เรือเสียสิ” แม็กซิมห้ามเธอไป
“เฮ้อ เราคงจะตายก่อนไปถึงพิษณุโลกแน่ๆ” รีปเปอร์พูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็มองไปยังลุงคงที่ร่ำสุราและร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนานโดยไม่สนสิ่งรอบข้างใดๆ
“บางทีข้าก็อยากเป็นแบบเขา ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่มีอะไรต้องคิดมาก” มายะพูดไป
“นั่นสิ บางครั้งเกิดเป็นคนบ้าใบ้ ก็ดีกว่าเกิดเป็นฮ่องเต้โดยแท้” ชิงเสียนพูดขึ้น
“นี่ เจ้ามีเครื่องดนตรีอะไรบรรเลงให้เราฟังบ้าง??” สมบาติถามไวโอเล็ตไป
“ข้าก็อยากจะบรรเลง แต่ดูบรรยากาศในยามนี้สิท่าน” ไวโอเล็ตตอบไป
“นี่ ท่านโช แผลของท่านหายดีแล้วหรือไม่??” ซื่ออ้ายถามเขาไป
“ตราบใดที่ข้ายังสู้ได้ เรื่องบาดแผลมันไร้ความหมายสำหรับข้า!!” โชพูดพลางทุบหน้าอกตัวเองเล็กน้อย
“นี่ๆๆ อย่าปากเก่งให้มากเพื่อนเอ๋ย” ฉางหลงพูดปรามเขาไป
“ข้าเคยมีขลุ่ยไม้อยู่ที่บ้าน แต่ข้ามิได้หยิบมาตอนเกิดเรื่อง” ฮิเดกิพูดขึ้น
“ขลุ่ยเหรอ ข้าอยากฟังท่านเล่นขลุ่ยให้ข้าฟัง” อเล็กซพูดขึ้น
“อืม แบบนี้ก็ดีนะ คึกคักกันหน่อย ลดความตึงเครียด” เชอร์รี่พูดแซวขึ้นมา ทำเอาคนอื่นๆถึงกับหัวเราะกันทั้งขบวน
“ข้าอยากหัวเราะแบบนี้มานานแล้ว” อนาเลียพูดขึ้น
“ท่านก็ลองปล่อยให้จิตใจของท่านเป็นอิสระซักวันเสียสิ” นาราพูดขึ้น
“ข้าเองอยากเจอเทพเจ้าแดนตะวันออกมานานแล้ว” ทูตเบลล์พูดขึ้น
“ข้าเองก็อยากเจอเช่นกัน ได้ยินแต่คนเขาร่ำลือกันมานาน” มาเรียน่าพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆพวกเขาก็ได้เจอกับผีดิบทหารตัวหนึ่ง แต่ลักษณะของมัน ร่างกายเป็นสีเขียวคล้ำ ประกอบกับกลิ่นของมันดูน่าสะพรึง มาพร้อมกับผีดิบตัวอื่น ทำเอาพวกเขาถึงกับตกใจกันยกใหญ่
“ท่าทางมันจักเป็นหัวหน้า ฆ่ามันเลย!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็ระดมยิงใส่ผีดิบพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในตอนนั้นเอง ก็ดูเหมือนกับว่าตัวหัวหน้าของมันจะไม่เต็มใจสู้เท่าไหร่นัก มันพยายามยั้งตัวเองไว้ไม่ทำร้ายคนอื่นๆในขบวน ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องหยุดโจมตีก่อน
“กุมาร มันมิยอมขยับอันใดเลย เกิดอันใดขึ้น??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าดูแล้ว เหมือนว่ามันเคยเป็นขุนพลทหารเก่า แลดูเหมือนว่ามันจักโดนควบคุม ช่วยปลดปล่อยเขาเถิดท่านพี่!!” กุมารเทพพูดขึ้น ทองอินทร์เลยร่ายมนต์ใส่ดาบของเขา จากนั้นก็ตัดหัวของผีดิบตัวนั้นจนหัวกระเด็นหลุดจากบ่า และไม่นานนัก ร่างของมันก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นร่างเดิม พร้อมด้วยไอปีศาจที่ลอยแผ่ออกมา อนาเลียเก็บพลังนั้นเอาไว้เพื่ออะไรบางอย่าง
“อนาเลีย นี่เจ้าเก็บพลังของมันกระนั้นหรือ??” เทเรซ่าถามไป
“ข้าจัดการได้ มิเช่นนั้นหากใครโดนเข้า ก็คงต้องสวดภาวนากันหล่ะ” อนาเลียพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆอองโม่โยก็รีบไปดูร่างๆนั้นในทันทีเพราะว่าเขาคุ้นเคยกับชายคนนั้น
“อองโม่โย ผู้นี้เป็นใครกันหรือ??” ออเรเลียถามอย่างสงสัย
“นี่ท่านอะเมี้ยนหวุ่น เป็นหนึ่งในนายกองทัพอังวะหน่ะ” อองโม่โยพูดขึ้น
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุไฉนละแวกนี้ถึงมีแต่พวกอังวะเล่า??” แม็กซิมถามอย่างสงสัย
“ก็พวกอังวะบุกโจมตีอโยธยาและเสียรี้พลไปมากยังไงเล่า” สมบาติพูดขึ้น
“เหมือนว่า พวกมันจักใช้แต่ระดับแม่ทัพนายกองมาเป็นบริวารนะ” คาวีพูดไป
“ก็ใช่หน่ะสิ พวกนี้มีพลังในการรบสูงหน่ะ ส่วนพวกทหารเลวก็เป็นมือเป็นเท้าไป” วารีพูดไป
“เฮ้อ น่าสงสารพวกอังวะจริงๆ ที่ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้!!” เมรีพูดพลางกอดอก
“นี่ แม่เมรี จักรื้อฟื้นให้ได้อันขึ้นมาเล่า??” ธิดาถามไป
“แต่เหตุไฉน ใยถึงมิมีแม่ทัพนายกองฝั่งอโยธยาเล่า??” เวียงพิงค์ถามอย่างสงสัย
“นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” วาทินถามเสริม
“ข้าว่า พวกมันอาจจะใช้พวกนายทัพเหล่านั้นเพื่อการอันใดบางอย่าง” นรสิงห์พูดขึ้น
“เฮ้อ ข้าว่างานนี้อาจจักไม่ง่ายเยี่ยงที่เราคิดก็ได้” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“พวกแม่ทัพนายกองอโยธยา ค่อนข้างมีฝีมือ ข้าว่าพวกนั้นอาจจะใช้ไปรุกรานสวรรค์ก็ได้” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“เพลานี้สวรรค์ยังต้านทานไว้ได้ แต่อาจจะได้อีกมิกี่เพลา เราคงต้องเร่งมือกันหน่อย” หลี่เจาพูดไป
“แต่เรามิรู้ว่า เมื่อไปถึงพิษณุโลก เราจะต้องเจอกับอะไร” รีปเปอร์พูดขึ้น
“เอาเถิด ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร เราต้องสู้สิ” อิริยะพูดไป
“แต่ว่า พวกเราจักต้องยกพลไปช่วยบนสวรรค์หรือไม่??” ชิงเสียนถามอย่างสงสัย
“ข้าว่ามิต้องหรอก ที่นั่นมีทหารสวรรค์เยอะจะตาย” ฉางหลงพูดไป
“หากทหารสวรรค์มีเยอะจริง คงมิต้องปิดประตูสวรรค์ดอก” นาราพูดไป
“เรายังไม่รู้แน่ชัด อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ” มายะพูดไป
“แล้วไหนหล่ะ ผู้ที่จะรอพบเรา ข้ายังไม่เห็นแม้เงา??” โชถามอย่างสงสัย
“ข้าไม่รู้ ไปถามท่านหลี่เจาสิ” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“กระสุนของเราจะหมดแล้ว เราคงต้องทำเพิ่มแล้วหล่ะ” มาร์คัสพูดขึ้น
“นั่นสิพี่ ข้าใช้เยอะกว่าที่คิดแหะ” อเล็กซพูดเสริม
“ข้าไม่ได้ใช้เหล็กแร่อุกกาบาตทำกระสุน เพราะมันเปลืองหน่ะ” มาเรียน่าพูดไป
“ดีแล้วหล่ะ เก็บไว้ใช้ทำอาวุธเถิด” เชอร์รี่พูดไป
“หวังว่าที่เมืองข้างหน้าคงจะมีดินดำให้พวกเรานะ” ฮิเดกิตอบไป
“ถึงมีแต่ก็คงต้องประหยัดหน่อย ไม่งั้นปืนไฟก็ไร้ประโยชน์” ซื่ออ้ายตอบไป
“แต่เดี๋ยวนะ ข้ารู้สึกถึงอะไรบางออย่าง” จู่ๆทูตเบลล์ก็พูดขึ้นและให้ทุกคนเงียบไว้
“อ่ะก๊ะๆๆๆ??” ลุงคงก็ยังพูดไม่รู้เรื่อง แต่จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาในหัว พร้อมกับมีงูเห่ามากมายอยู่รายล้อมรอบตัวเขา
“เจ้าคือคณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์สินะ หากเจ้าต้องการจะผ่านไปด้านหน้า พวกเจ้าต้องไปหยิบตราที่อยู่ตรงนั้น โดยห้ามฆ่าสัตว์แม้แต่ตัวเดียว!!” เสียงนั้นทำเอาทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่ เจ้าเป็นใครกันวะ??” ทองอินทร์ตะโกนถามไป
“เฮ้ยนี่ ท่านหลี่เจา อิริยะ กับกุมารเทพไปไหนหล่ะ??” เมรีตะโกนถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง งูเห่าตัวหนึ่งก็มาฉกลุงคง ถึงแม้ว่าลุงจะตัวใหญ่ แต่พิษของงูก็ทำเอาแกเดินไม่ได้
“ลุง ทำใจดีๆไว้นะ!!” ธิดาตะโกนออกมา
“ยิงพวกมันเลย!!” ชิงเสียนตะโกนออกไปแล้วยิงไปที่งูพวกนั้น แต่ก็ดูเหมือนงูพวกนั้นจะไม่เป็นอะไรเลย และตรานั้นก็ลอยห่างออกไปทุกที
“ทุกคน ยิงเราฆ่างูพวกนั้น ตรานั่นจะลอยห่างออกไป และทางเดียวคือเราต้องไปหยิบตรานั้นให้ได้!!” สมบาติตะโกนออกมา แต่งูตัวหนึ่งก็กระโจนมาฉกที่หน้าเขา
“ท่านสมบาติ ทำใจดีๆไว้!!” ไวโอเล็ตพยายามช่วย แต่ก็โดนไปอีกคน
“บ้าเอ้ย รีบวิ่งไปหยิบตรานั่นเถอะ!!” คาวีพูดขึ้น และพวกเขาก็พากันวิ่งฝ่างูพวกนั้นเพื่อไปหยิบเอาตรา แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกงูฉกเอาจนร่างกายชาไปทั้งตัว
“บ้าเอ้ย ข้าขยับไม่ได้เลย!!” ฮิเดกิพูดขึ้น
“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย ข้าปวดเหลือเกิน!!” วารีร้องออกมาราวกับคนที่โดนไฟเผาทั้งตัว
“ถ้าไม่รีบไปเอา พวกเราตายหมดแน่!!” เทเรซ่าตะโกนออกมา ในตอนนั้นเอง อนาเลียก็พยายามใช้มนต์ควบคุมงูเหล่านั้น เพื่อให้พวกมันนิ่ง แต่ตัวเธอก็โดนงูพวกนั้นฉกเอาด้วย
“รีบไป เร็ว!!” อนาเลียตะโกนออกมา และในตอนนั้น วาทินก็เสียสละโดยการใช้ร่างของเขาหลอกล่องูพวกนั้นด้วย
“เข้ามาเลย!!” วาทินตะโกนออกมา
“รีปเปอร์ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” แม็กซิมพูดออกมาในขณะที่เขากำลังคลานไป
“นี่เรากำลังจะตายเหรอเนี่ย??” รีปเปอร์ถามไป
“ไอ้งูบ้าเอ้ย ต้องมีใครซักคนวิ่งฝ่ามันไป!!” นรสิงห์พูดขึ้น
“นั่นสิ มิเช่นนั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่” แสนคำสมิงพูดในขณะที่โดนฉกที่เท้า
“เช่นนั้นข้าไปเอง!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นก็วิ่งฝ่างูพวกนั้นไป พร้อมกับร่ายอาคมของเขาเพื่อป้องกันตัวไปด้วย
“ทุกคน คุ้มกันพี่ทองอินทร์!!” นาราตะโกนอออกมา จากนั้นคนอื่นๆก็วิ่งไปหลอกล่องูพวกนั้นเพื่อให้พวกมันไม่ไปฉกทองอินทร์
“ทางนี้โว้ย ไอ้พวกระยำ!!” ฉางหลงตะโกนออกมาและเอาร่างไปรับแทนทองอินทร์
“ข้าไม่ไหวแล้ว...” โชพูดขึ้นและพยายามคลานเข้าไปหาคนอื่นๆ
“ข้ารู้สึกราวกับกำลังจะตาย..” มายะตะโกนเพ้อออกมา
“บ้าเอ้ย ข้าเกลียดงู!!” มาร์คัสตะโกนในขณะที่งูกลุ่มหนึ่งอยู่รายล้อมเขา
“ท่านกลัวงูเหรอ ข้าก็เพิ่งรู้นะเนี่ย” อเล็กซพูดแซว ในขณะที่ตัวเองกำลังโดนฉกที่คอ
“เราได้มอดม้วยกันหมดแน่...” เอื้องเหนือพูดออกมาและหมดสติไป
“นี่ข้าต้องตายเหรอเนี่ย ข้าไม่ยอม!!” เวียงพิงค์คลานไปหาคนอื่นๆในขณะที่งูกำลังรุมฉกเธอ
“งูบ้าเอ้ย ข้าไม่ไหวแล้ว!!” อองโม่โยโดนรุมฉกอย่างหนัก
“ทำใจดีๆไว้!!” ออเรเลียตะโกนออกมา ในขณะที่เธอโดนฉกจนตกลงจากม้า
“ซื่ออ้าย อย่าให้มันเข้าถึงทองอินทร์...” เชอร์รี่พูดขึ้นในขณะที่เธอคลานอย่างเวทนา
“ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าขยับไม่ได้เลย” ซื่ออ้ายพูดไป
“พระเจ้า ได้โปรดช่วยเราด้วย!!” มาเรียน่าตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวด ในขณะที่คนอื่นๆโดนเล่นงานจนหมด ตัวทองอินทร์พยายามจะวิ่งไปทั้งๆที่ถูกงูฉกไปทั้งร่าง
“ไอ้บัดซบเอ้ย!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นก็กระโดดไปคว้าตรานั่นในทันที
“พรึ่บ!!”
ในไม่กี่อึดใจ จู่ๆพวกเขาก็ได้สติและกลับมาอยู่จุดเดิม โดยที่พวกเขาแต่ละคนได้ถือตราอะไรบางอย่างไว้ด้วย ทำเอาพวกคนในคณะงงเป็นไก่ตาแตก และยังไม่ทันที่พวกเขาจะพูดอะไร จู่ๆก็มีเซียนองค์หนึ่งมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา แล้วก็พูดกับพวกเขาในทันที
“ในที่สุดพวกเจ้าก็ผ่านการทดสอบแล้วสินะ ข้าเป็นเซียนที่ได้รับคำสั่งมาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า”
“ท่านหลี่เจา กุมารน้อย??” ทองอินทร์ถามอย่างุนงง
“ขออภัยด้วย ข้ามิได้รับอนุญาตให้ทำการทดสอบนี่ เพราะข้าเป็นเทพ” หลี่เจาพูดไป
“ใช่ แต่ข้ายินดีด้วยที่พวกเจ้าผ่านการทดสอบได้” อิริยะพูดเสริม
“ตราที่พวกเจ้าถือ มันจักช่วยให้พวกเจ้าแคล้วคลาดจากไอปีศาจทั้งหลาย พวกเจ้าได้สังเกตหรือไม่ เพลาที่พวกเจ้าฆ่าปีศาจ ไอปีศาจของพวกมันก็จักซึมซับเข้าที่ตัวเจ้า และอาจจะแปรเปลี่ยนตัวเจ้าให้กลายเป็นปีศาจเข้าซักวัน เจ้าจึงต้องมีดวงตราแห่งคุณธรรมเพื่อป้องกัน และทางสวรรค์ยังส่งมองวิชาที่จะช่วยให้พวกเจ้ากำราบปีศาจพวกนั้นได้”
“ทองอินทร์ เจ้าจะได้วิชาดาบอาทมาฏเหล็กไหล!!”
“นารา เจ้าจะได้วิชาหมัดเหล็กกล้า”
“คาวี เจ้าจะได้วิชาดาบผ่าสุริยัน!!”
“วารี เจ้าได้วิชาดาบวารีพิฆาต”
“เอื้องเหนือ ธิดา พวกเจ้าทั้งคู่จะได้วิชาฝ่ามืออโรคา สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด”
“เมรี เจ้าได้วิชาศรเพลิงนารายณ์”
“นรสิงห์ เจ้าจะได้วิชาดาบสะท้านภูผา”
“แสนคำสมิง เจ้าจะได้วิชาดาบแหวกพายุ”
“เวียงพิงค์ เจ้าจะได้วิชาศรเหล็กจักรวายุ”
“มาร์คัส อเล็กซ ชิงเสียน และผู้ที่ใช้ปืนไฟ พวกเจ้าจะได้วิชากระสุนคดเหล็กไหล”
“เทเรซ่า แม็กซิม รีปเปอร์ พวกเจ้าจะได้วิชาดาบกางเขนเหล็กเพลิง”
“อองโม่โย เจ้าจะได้วิชาโล่ปราณระฆังทอง”
“ออเรเลีย เจ้าจะได้วิชาทวนเจ็ดเพชรฆาต”
“สมบาติ ไวโอเล็ต พวกเจ้าจะได้วิชาศาสตร์ทำนายจักรวาล!!”
“ตาแก่คงนี่ เจ้าเอาวิชากำปั้นสะท้านภูผาไป”
“วาทิน เจ้าจะได้วิชาเงามัจจุราชสังหาร”
“อนาเลีย เจ้าจะได้คัมภีร์มนต์พระแม่กาลีไปใช้”
“มาเรียน่า เจ้าจะได้คัมภีร์พระวิษณุ”
“มายะ เจ้าจะได้วิชาดาบมังกรเพลิง”
“โช เจ้าได้วิชาดาบวารีพิฆาตมาร”
“ฉางหลง เจ้าจะได้วิชาฝ่ามือปราบมังกร”
“เชอร์รี่ เจ้าจะได้วิชาดาบเพลิงพระเจ้า!!”
“ซื่ออ้าย เจ้าจะได้วิชาพัดเหล็กอสรพิษ”
“ฮิเดกิ เจ้าจะได้วิชาดาบคู่เพลิงอสูร”
“พวกเจ้าต้องหมั่นฝึกฝนวิชาของพวกเจ้าบ่อยๆ ภารกิจของพวกเจ้า คือเดินทางไปยังพิษณุโลก เพื่อแก้ไขปริศนาปีศาจ และกอบกู้สรวงสวรรค์ไว้ และกำลังของเราจะมากอบกู้พื้นพิภพนี้ ข้าขอส่งพวกเจ้าเท่านี้ ท่านหลี่เจา ข้าขอฝากท่านด้วย!!” เซียนองค์นั้นพูดจบ จากนั้นตัวเซียนก็เหาะขึ้นสวรรค์ไปอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้พวกเขาก็ได้พลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้น รวมถึงเคล็ดวิชาในการต่อกรกับกลุ่มมารร้าย และในตอนนั้น พวกเขาก็คุยกันในทันทีหลังจากที่พวกเขาได้พลังมา
“โห นี่เราจะมีพลังเทียบเท่ากับเทพเจ้าแล้วงั้นหรือ??” คาวีถามอย่างสงสัย
“แบบนี้ก็ดีเลย ถ้าข้าปะนังเทพนั่น ข้าจะยิงให้นางหน้าแหกเลย” เมรีพูดไป
“เฮ้อๆๆ ข้าว่าเจ้าใจเย็นไว้ดีกว่า” วารีพูดปรามไป
“นี่ กระสุนของข้าจักยิงได้ไม่มีวันหมดเหรอเนี่ย??” มาร์คัสถามไป
“ถ้าแบบนี้ ข้าจักยิงพวกมันให้สนุกมือไปเลย” อเล็กซพูดขึ้น
“นี่สินะ สาเหตุที่ท่านหลี่เจาไม่ได้ตามพวกเรามาหน่ะ” นรสิงห์พูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ พวกเจ้าเก่งมาก ที่ผ่านการทดสอบมาได้ หลังจากนี้ พวกเจ้าจะต้องใช้พลังเพื่อช่วยพื้นพิภพนี้” หลี่เจาพูดขึ้น
“เฮ้อ ข้าจะทำยิ่งกว่ากอบกู้พิภพนี้อีก” วาทินพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรักษาผู้อื่นได้โดยใช้มือเปล่างั้นหรือ??” เอื้องเหนือถามอย่างสงสัย
“ถ้าเช่นนั้น เราก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องหยูกยาแล้วหล่ะ” ธิดาพูดขึ้น
“ความจริงควรจักให้พวกเราเดินทางไปถึงเลยดีกว่า” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“ตอนนี้บนสวรรค์กำลังวุ่นวายหนัก คงช่วยอันใดมิได้มากดอก” อิริยะพูดขึ้น
“แต่เอาเถิด ข้าว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วหล่ะ” ออเรเลียพูดขึ้น
“นั่นสิ ต่อแต่นี้โล่ของข้าจักกันศาสตราวุธได้ทุกชนิดแล้วสิ” อองโม่โยพูดขึ้น
“พระเจ้าคงกำลังคุ้มครองพวกเราอยู่ ข้าบอกแล้ว!!” เทเรซ่าพูดขึ้น
“อืม เวทย์มนต์ของชาวตะวันออกนี่น่าสนใจดี” อนาเลียเอาคัมภีร์นั่นมาอ่านด้วย
“ข้าเห็นด้วยซิลลินเรีย เจ้าจักได้มีพลัง!!” เสียงประหลาดเข้ามาในหัวของเธออีกแล้ว
“คอยดู ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดทั้งทัพ” แม็กซิมพูดขึ้น
“ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าผู้ใดจักขวางทางเรา เราจะจักการพวกมัน” รีปเปอร์พูดขึ้น
“คัมภีร์นี่จะช่วยให้ข้าทำอาวุธได้หลายชนิดงั้นหรือ ดีสิ ข้าจักได้สร้างปืนใหญ่ใหม่” มาเรียน่าพูดขึ้น
“เช่นนั้นข้าขอลองหน่อย!!” เวียงพิงค์พูดขึ้น จากนั้นเธอก็ยิงหน้าไม้ไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ตู้ม!!” ต้นไม้ต้นนั้นแหลกและกระจายเป็นผุยผง ทำเอาเธอถึงกับอึ้งในพลังของเธอ
“ข้าว่า ข้าสัมผัสได้ถึงหมู่ดาวที่กำลังรายล้อมพวกเราอยู่!!” สมบาติพูดขึ้นพลางเขียนกระดานชนวนของเขาไปด้วย
“ตามคำทำนายของเขา ทำนายว่าเหล่าเทพบนสวรรค์กำลังจดจ้องมายังพวกเราอยู่ เราคงเป็นความหวังเดียว” ไวโอเล็ตพูดไป
“ข้าจะยิงไอ้ชั่วทุกตัวที่ขวางหน้าให้เหี้ยน คอยดูสิ!!” ชิงเสียนพูดไป
“พลังนี่เหล่าเทพมอบให้กับพวกเรา พวกเราจักต้องใช้มันในทางที่ดีหล่ะ” ฮิเดกิพูดขึ้น
“สาธุ เรื่องนั้นพวกเรารู้อยู่แล้วน่า มิต้องกังวลไป” ฉางหลงพูดไป
“ข้ารู้สึกว่าดาบของข้าเบายิ่งนัก จับได้ถนัดมือดีแหะ” โชพูดขึ้นพลางกวัดแกว่งดาบไปมา
“ดูพัดของข้าสิ พัดของข้าเปลี่ยนสีได้ด้วย!!” ซื่ออ้ายพูดอย่างตื่นเต้น
“นี่ ข้าว่าเจ้าทำใจเย็นๆไว้ดีกว่าน่า” เชอร์รี่พูดไป
“อ่ะก๊ะๆๆๆๆๆ” ลุงคงในตอนนั้นก็เริงร่ากับสนับมือเหล็กใหม่ของเขาไป
“ดูพวกเจ้าจักตื่นเต้นเหลือเกินนะ” มายะพูดปรามทุกคนไป
“ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกท่านคือความหวังเดียวที่จะกอบกู้ทุกอย่างจากพวกปีศาจร้าย” ทูตเบลล์พูดขึ้น
“นั่นสิท่านพี่ องค์พระอิศวรก็ให้พรกับพวกพี่ท่าน ให้มีร่างกายที่ทนทานด้วย” กุมารเทพพูดขึ้น
“พี่อินทร์ ข้าว่าศึกนี้ เราคงมิต้องสู้ตามลำพังแล้วหล่ะ” นาราพูดไป
“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นก็ดีแล้วหล่ะ เอาเป็นว่า เราออกเดินทางกันต่อเถิด หนทางข้างหน้ายังคงอีกยาวไกลนัก!!” ทองอินทร์พูดกับคนในกลุ่ม จากนั้นพวกเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางต่อในทันที
==============================================================
กลุ่มของทองอินทร์ได้รับพรจากเทพบนสวรรค์แล้ว การเดินทางของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้านะครัช
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย!!
ประกาศๆ หลังจากที่เรื่องโซโรวาจบ ผมจะเขียนเรื่องใหม่เน้อ แหะๆ เป็นแนวการต่อสู้ยุคโบราณ เนื้อเรื่องคือพระเอกย้อนอดีตไปเป็นพระราชาหน่ะ แหะๆ (เรื่องนี้อาจจะต้องใช้ตัวละครเยอะเลย 555)
ความคิดเห็น