คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 8 : สังหารหมู่ที่เบลารุส
เวลา 14.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงเบอร์ลิน
เยอรมนี นายพลฟอนเบิร์ก ผู้รักษาการณ์ผู้นำประเทศชั่วคราวได้มีมติในที่ประชุม
ให้ทำการตอบโต้กับศัตรูที่บังอาจลอบสังหารท่านผู้นำ
พวกเขาเตรียมการตอบโต้ชาวเบลารุสในกรุงมินส์ ข่าวลงไปทั่วโลกว่าในขณะนี้กองทัพ SS เตรียมการกวาดล้างครั้งใหญ่ในกรุงมินส์
และไม่กี่อึดใจ 15.29 น. วันแห่งการสังหารหมู่ก็เริ่มขึ้น
“ปังๆๆๆ”
เสียงปืนของทหาร SS กราดยิงใส่ประชาชนกรุงมินส์อย่างไม่ใยดี
ผู้หญิงและเด็กก็ไม่ถูกละเว้นใดๆเลยจากการสังหารโหดครั้งนี้
“อย่าทำลูกฉัน
ปล่อยเขาไป”
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะเว้ย”
“อย่าฆ่าพวกเราเลย
เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
เสียงร้องขอชีวิตจากเหล่าพลเรือนบริสุทธิ์ไม่มีความหมายสำหรับพวก
SS ที่โกรธแค้น
บ้านเรือนที่สวยงามถูกกองทัพ SS เผาทำลายในพริบตา
พวกเขาค้นทุกซอกทุกมุมของตึกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตทุกคน
จากนั้นพวกเขาก็ลากออกมาจากตึก แล้วยิงสังหารทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
บางส่วนก็มีการค้นทรัพย์สินของพลเรือนเหล่านั้น แล้วยึดมาเป็นของตัวเอง
หลังจากสิ้นสุดชั่วโมงการสั่งหารหมู่เหล่านั้น
ทางการเยอรมันปล่อยข่าวและแพร่ภาพออกไปทั่วโลก
เพื่อเตือนว่าพวกเขาจะเจออะไรหากต่อต้านพวกเขา
เช้าวันต่อมา เวลา 07.45 ตามเวลาของสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งอีกวันหนึ่งจะเป็นวันที่พวกเขาจะต้องเตรียมเข้ารับการศึกษาในคาบแรก นนท์
ฟรองเกอร์และซานะดูจะตื่นเต้นมากๆกับการเรียน แต่ในขณะเดียวกัน
ในขณะที่นนท์กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้อง
ฟรองเกอร์ก็เปิดประตูเข้ามาเรียกนนท์ด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด
“นนท์
นายต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฟรองเกอร์พานนท์ลงไปชั้นล่าง
ซึ่งเหล่าเด็กๆกำลังยืนดูทีวีกันอย่างเนื่องแน่น
“มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย” นนท์ถามอย่างสงสัย
“พวกนาซีมันสังหารหมู่ชาวบ้านกรุงมินส์เกลี้ยงเลยหว่ะ” นนท์แปลกใจมากจึงดูรายงานข่าวในทันที
“เมื่อเวลาประมาณ
15.29 นาที ตามเวลาท้องถิ่นของเบลารุสเซีย เจ้าหน้าที่ SS ประมาณ
1000 คนได้ทำการสังหารและปล้นชิงบ้านเรือนทรัพย์สินของชาวมินส์ พวก SS กระทำการอย่างโหดเหี้ยม
พวกเขาฆ่าไม่เว้นกระทั่งเด็ก ภาพนี้ถูกถ่ายโดยช่างภาพอิสระของเรา”
ทางสถานีได้เผยแพร่ภาพที่ทหาร SS ลากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจากอ้อมอกของพ่อแม่
ลากมายิงให้ตายต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ เป็นภาพที่ดูแล้วน่าหดหู่สิ้นดี
“ไอ้พวกระยำเอ้ย” ฟรองเกอร์อุทานในใจ
“แบบนี้ไม่ดีแน่หว่ะพวก” นนท์พูดขึ้น
จากนั้นฟรองเกอร์ก็ลากนนท์ออกไปจากที่เกิดเหตุก่อน
“ฉันทนดูไม่ได้หว่ะ
ไอ้พวกนาซีระยำ”
“ฉันรู้
แต่เราจะทำอะไรได้หล่ะตอนนี้” นนท์พยายามพูดให้ฟรองเกอร์ใจเย็น แต่ในขณะเดียวกัน
ซานะที่กำลังตามหานนท์อยู่เธอก็เดินมาหาเขาในทันที
“นนท์ๆ
ได้ดูข่าวตอนเช้าหรือยังหล่ะ”
“ดูแล้ว
น่าเศร้าจังเลยนะ”
“นั่นดิ
พวกนาซีระยำมันฆ่าไม่เหลือเลยเนี่ย” ฟรองเกอร์พูดอย่างโมโห และในขณะเดียวกัน
ลินน์รีดและพรรคพวกที่มาดูข่าวในมหาวิทยาลัยก็มาเจอกับนนท์เข้าโดยบังเอิญอีกครั้ง
“อ้าว
นนท์ มาดูข่าวที่นี่ด้วยเหรอ” ลินน์รีดถามนนท์ในทันที
“ใช่
น่าเศร้ามากเลยนะ”
“มันไม่ใช่น่าเศร้า
มันคือโศกนาฏกรรม พวกมันจะต้องชดใข้” ลินน์รีดพูดอย่างโมโห
“ใช่ ไม่จบแค่นี้แน่นอน
ฉันบอกได้เลย” อลาวดี้พูดเสริม
“ใจเย็นๆสิพวกเธอ
ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้หรอกนะ” ซานะพูดขึ้น
“นี่
คุณผู้หญิง พวกคุณไม่รู้ซะแล้วพวกเราเป็นใคร” ดันเต้พูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก
พวกเราจะเอาคืนแน่นอน” ลินน์รีดพูดขึ้น
“ดี ฉันอยากจะเอาด้วยเหมือนกัน” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ว่าแต่
พรุ่งนี้พวกนายจะเข้าเรียนหรือเปล่าอ่ะ” อลาวดี้ถามกลุ่มของนนท์
“แน่นอนสิ
ก็ต้องเรียนอยู่แล้วนี่” นนท์ตอบไป
“ใช่
แล้วพวกนายไม่เข้าเรียนกันเหรอ” ซานะถามอย่างแปลกใจ
“เข้าสิ
พวกฉันก็เรียนเหมือนกันนะ”
ลินน์รีดตอบไป
“เออใช่
ตอนนี้ทางญี่ปุ่นมีข่าวอะไรคืบหน้าบ้างหล่ะ” อลาวดี้ถามอย่างสงสัย
“นายจะรู้ไปทำไมหล่ะ
ก็มีแต่ข่าวที่เรียกประชุมนายทหารระดับสูงแค่นั้นแหละ” ซานะตอบไป
“ก็นั่นแหละที่น่าสงสัย
ทำไมถึงได้เรียกปุปปับแบบนั้น” ลินน์รีดถามอย่างสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
เหมือนพวกเขาจะเตรียมตัวอะไรซักอย่างหน่ะ” นนท์พูดขึ้น
“น่าเป็นห่วงนะ
แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายรบกัน ได้ตายกันเป็นล้านแน่ๆ” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“อืม
ว่าแต่วันนี้พวกนายไปหาหมอคิมอีกมั้ยหล่ะ” ลินน์รีดถามอย่างสงสัย
“ไม่อ่ะ
จะว่าไปช่วงนี้ฉันไม่ค่อยปวดหัวแล้วนะ” นนท์พูดขึ้น
“ก็ดีแล้วหล่ะ
หายดีก็ดีแล้วนี่” อลาวดี้พูดขึ้น
“เออใช่
พวกนายกินอะไรหรือยังเนี่ย”
ฟรองเกอร์ถามลินน์รีดและพวก
“ไม่เท่าไหร่หรอก
ถ้าอย่างงั้นฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกันนะ”
ลินน์รีดโบกมือลานนท์จากนั้นเธอและพรรคพวกก็เดินออกไป
“เฮ้อ
พวกนี้ดูท่าทางแปลกๆนะ ว่ามั้ย” ซานะถามอย่างสงสัย
“ทำไมล่ะ
เธอสงสัยอะไรพวกเขาเหรอ” ฟรองเกอร์ถามอย่างแปลกใจ
“ก็เปล่า
แค่พวกเขาถามอะไรแปลกๆอ่ะ”
“คงไม่มีอะไรหรอก
พวกเขาคงห่วงคนที่โดนสังหารหมู่หน่ะ” นนท์ตอบไป
“นั่นสิ
แต่ช่างมันเถอะ เราไปหาอะไรกินดีกว่า” ซานะพูดขึ้น
“นั่นดินนท์
หาไรกินกันเถอะ ฉันหิวแล้วเนี่ย” ฟรองเกอร์พูดกับนนท์ไป
“ได้สิ
ไปก็ไป”
นนท์ตามซานะไปยังโรงอาหารของมหาวิทยาลัยเพื่อหาอาหารเช้าทาน
เพื่อเตรียมตัวรับมือเหตุการณ์วันนี้
ณ อพาร์ทเม้นท์ลับแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของพวกลินน์รีด ชายคนหนึ่งเรียกคนของเขามาประชุมหารือกันเกี่ยวกับเรื่องการสังหารหมู่ที่กรุงมินส์
บรรดาชาวเบลารุสในอเมริกาไม่พอใจกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงมาชุมนุมกันเพื่อเตรียมการเอาคืนพวกนาซี
“เอาหล่ะพวกเราทุกคน
ทุกคนคงจะได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ว ทุกคนน่าจะรู้แล้วนะ
ว่าพวกมันโหดเหี้ยมแค่ไหน พลเรือนบริสุทธิ์ถูกฆ่าตายราวกับใบไม้ร่วง
บ้านเรือนถูกเผา ทรัพย์สินถูกแย่งชิง พวกเราจะไม่ยอมเราจะไม่ยอมพวกมันอีกต่อไปแล้ว
วันนี้เราจะตอบโต้พวกมัน เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย”
“เฮ้ย
ว่าแต่เรามีกำลังพอแล้วเหรอ” ชายคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“เราจะใช้คนน้อยสู้กับคนมาก
เริ่มจากสถานทูตเยอรมันเลย”
“ที่นั่นมีกำลังตำรวจเยอะมากเลยนะ
ไหนจะพวกนาซีหัวรุนแรงอีก”
ชายอีกคนหนึ่งท้วงไป
“ถ้าอย่างงั้นเราคงต้องเล่นใหญ่หน่อยแล้วหล่ะ
หาใครที่พอจะเป็นเยอรมัน ไปลอบวางระเบิดมันเลย” ในระหว่างที่ในที่ประชุมกำลังดุเดือด
คุณย่าออลเรียสก็พูดขึ้นก่อนในทันที
“ตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้
พวกเธอต้องใจเย็นกันก่อนนะ”
“คุณย่าออลเรียส
พวกใจเย็นมานานพอแล้วนะครับ”
“ใช่
แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังเข้มแข็ง ทำแบบนี้มันอาจจะให้พวกเราตายกันหมดก็ได้นะ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณย่า
งานนี้ผมขอรับผิดชอบคนเดียว ใครจะเอากับฉัน ตามฉันมาเลย”
ชายคนนั้นเดินออกจากห้องไป
และก็มีคนบางส่วนเดินตามเขาไปด้วย ออลเรียสทำได้แค่ถอนหายใจ
ณ สำนักงานใหญ่เคมเปนไต แคลิฟอร์เนีย
“เอาหล่ะ
วันนี้ที่ฉันเรียกพวกนายมาที่นี่ คือทางเยอรมันเขาขอให้พวกฉันจัดส่งกำลังตำรวจไปคุ้มกันงานไว้อาลัยฮิตเลอร์หน่ะ” ยามะดะเรียกลูกน้องของตัวเองมาคุยถึงคำสั่งที่ได้รับมาจากโตเกียว
“แต่ว่า
กำลังตำรวจเราอาจจะไม่พอนะครับ” ซาโต้ตอบไป
“ถ้าอย่างงั้นก็เกณฑ์อาสามาก็ได้” ยามะดะตอบไป
“ท่านคิดว่าจะมีมือที่สามมาป่วนในงานเหรอครับ”
“แน่นอน
แต่ว่าเราก็อย่าโดนเล่นงานซะเองก็พอ เราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ยามะดะตอบไป
“ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องเริ่มแล้วหล่ะครับ” ซาโต้ออกความคิดเห็น
“แน่นอน
ยังไงผมก็ต้องฝากคุณด้วยนะซาโต้”
ณ เขตเป็นกลาง เดนเวอร์ โคโลราโด
รถอเมริกันสีดำคันหนึ่งกำลังขับไปตามถนน
โดยที่เขากำลังจะขับไปจอดอยู่ที่ลานจอดรถของบ้าน แต่เขาเห็นอะไรบางอย่างผิดสังเกต
เขาจึงหยิบปืนบนรถของเขามาใส่กระสุน จากนั้นเขาก็ลงจากรถมาดูในทันที
“รู้สึกว่ามีใครจะมาที่นี่นะ”
ชายคนนั้นค่อยๆเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
มองไปทางซ้ายทีขวาที แต่จู่ๆก็มีมือมาจับปืนของเขาไว้
“เฮ้ย
ปล่อยฉันนะเว้ย”
มือนั้นกระชากปืนของเขาไป
จากนั้นเขาก็โดนถีบจนล้มลง
“คาเรน
กลาเดียนใช่หรอเปล่า”
“ใครส่งแกมาวะ”
โซลโยนปืนทิ้งอย่างหน้าตาเฉย
จากนั้นก็ชักมีดออกมา แล้วก็เดินเข้าไปใกล้ๆกับคาเรน
“ไอ้ระยำ
พวกญี่ปุ่นส่งแกมาใช่ไหม”
คาเรนคว้าโคมไฟแถวนั้นเขวี้ยงใส่โซล
แต่โซลก็ต่อยโคมไฟจนแตก จากนั้นโซลก็ไปเตะหน้าของคาเรนจนเลือดกบปาก
“ถ้าจะมาบอกให้ฉันพูด
ฉันไม่พูดหรอกเว้ย”
“แกแน่ใจเหรอ”
“แน่นอน
แกไม่มีวันได้อะไรจากฉัน”
“ถ้าอย่างงั้นเรามาดูกัน
ว่าผมจะได้อะไรบ้าง”
โซลเดินเข้าไปใกล้กับคาเรน
แต่คาเรนก็ขว้างของใส่โซล โซลจับแขนเขาหัก จนคาเรนร้องอย่างเจ็บปวด
“โอ้ย
ไอ้ระยำ ฉันไม่บอกแกหรอก”
“ได้”
โซลลากคาเรนเข้าไปในห้องน้ำ
พร้อมกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นเขาก็ค้นบ้านขอคาเรน
โดยที่เขาได้แบตเตอรี่รถยนต์และสายไฟจำนวนหนึ่ง พร้อมกับกาละมังเล็กๆเพื่อใช้ใส่น้ำ
โวลหาของเสร็จแล้วก็ปิดบ้านของคาเรนแบบไม่ให้ใครเข้ามาด้านในได้เลย
กลับมายังเขตเป็นกลาง มิชิแกน
ไวเวิร์นและโบซอลนำกำลังคนของเขามาสอดแนมการก่อสร้างกำแพงของพวกนาซีที่กำลังดำเนินการ
ซึ่งในตอนนั้นเองพวกเขาดำเนินการสร้างได้อย่างรวดเร็วมาก ทำเอาพวกเขาถึงกับอึ้ง
“โห
กำแพงนี่มันสร้างเร็วมากเลยเนี่ย” โบซอลพูดขึ้น
“นั่นดิ
วันเดียวก็ก่อสร้างไปได้เกือบครึ่งแล้วเนี่ย” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“เราลุยกับพวกมันเลยดีไหม”
“ไม่ได้หรอก
พวกมันมีมากกว่าเรา”
ในขณะเดียวกัน
เจนนี่ที่เพิ่งจะนำกำลังคนมาสมทบทีหลัง
เธอรีบมารายงานข่าวที่เธอได้ยินอย่างหน้าตาตื่น
“พวกนาย
แย่แล้ว งานนี้แย่แน่ๆ” เจนนี่พูดกับพวกเขา
“เจนนี่
ใจเย็นๆ มีอะไรหรือเปล่า”
โบซอลถามอย่างใจเย็น
“ที่เบลารุสมีการสังหารหมู่
พวก SS ฆ่าชาวเมืองทั้งหมดไม่มีเหลือเลย”
“เฮ้ย
จริงดิ พวกมันทำแบบนั้นจริงๆเหรอ” ไวเวิร์นถามอย่างแปลกใจ
“ใช่
มีรายงานมาว่ามีชาวเมืองนับแสนตายเกลี้ยงไม่เหลือเลย” เจนนี่ตอบไป
“บ้าเอ้ย
ไวเวิร์น เราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วหล่ะ” โบซอลพูดกับไวเวิร์น
“ตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้
นายเข้าใจไหม”
“แล้วเรื่องกำแพงตรงนี้
เราจะทำยังไงต่อหล่ะ” เจนนี่ถามไป
“สังเกตการณ์ต่อไป
กำแพงแค่นี้ขวางเราไม่ได้หรอก” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“กลับไปเราต้องหาทางตอบโต้พวกมันแล้วหล่ะนะ”
เจนนี่ออกความเห็น
“แน่นอน
ฉันรับรองว่ามันจะไม่จบแค่นี้แน่ๆ” ไวเวิร์นพูดขึ้น
และอีกฝากหนึ่ง
การก่อสร้างกำแพงของแองเจลล่าคืบหน้าไปมาก
เนื่องจากได้แรงงานอพยพมาช่วยงานเป็นจำนวนมาก
ทำให้กำแพงของเธอแทบจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว
“รายงานสถานการณ์ด้านตะวันออกให้ฉันฟังหน่อยสิ” แองเจลล่าพูดกับทหารนายหนึ่ง
“ครับ
ตอนนี้เราก่อสร้างกำแพงฐานรากได้หมดแล้ว กำลังต่อเติมส่วนที่เหลือครับ”
“อืม
เสร็จแล้วก็เอารั้วลวดหนามวางเสริมไว้ด้วยหล่ะ”
แองเจลล่าใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสถานการณ์รอบๆ
ในขณะเดียวกันเธอก็พบเห็นอะไรแปลกๆ แต่ก็ยังคงนิ่งอยู่ จนทหารสงสัยขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นครับผม”
“ดูเหมือนว่าเราจะมีแขกมาส่องเราอยู่หน่ะ”
“พวกมันมาเหรอครับ
เราจะโจมตีพวกมันเลยมั้ยครับ”
“ใจเย็น
อย่าเพิ่งให้พวกมันรู้ว่าเรามา นิ่งไว้ก่อน”
“ครับผม
ตอนนี้รถหุ้มเกราะกำลัง stand
by รอคำสั่งอยู่ครับ”
“ดีมาก
เราต้องรอให้กำแพงเสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
“ครับผม”
แองเจลล่าเก็บกล้องส่องทางไกลของเธอ
และยังคงควบคุมการก่อสร้างกำแพงชายแดนของเธอต่อไป
ณ ดีทรอยต์ มิชิแกน
เมืองอุตสาหกรรมหลักรถยนต์และอาวุธของเยอรมัน หน่วย SS และตำรวจเกสตาโป ทำการรักษาความสงบภายในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากงานไว้อาลัยฮิตเลอร์ต้องไม่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายสำหรับทุกคน
โดยมีนายพลสติฟท์คอยสั่งการอยู่ตลอดเวลา
“วันนี้คนมากันเยอะเลยนะ” นายพลสติฟท์พูดกับลูกน้องของเขา
“ใช่ครับท่าน
มากันทั้งเขตเลยครับ”
“ตอนนี้มีอะไรผิดสังเกตหรือเปล่า”
“ยังไม่มีครับท่าน” ลูกน้องของเขาตอบไป
“ดี
จับตาดูเอาไว้” นายพลสติฟท์บอกกับลูกน้องของเขา
แต่ทันใดนั้นเอง
“ปัง”
เสียงปืนดังมาแต่ไกล
กระสุนเฉี่ยวแขนสติฟท์ไปนิดเดียว จากนั้นลูกน้องของเขาก็มาคอยคุ้มกันเขาจากทุกด้าน
พลเรือนที่อยู่แถบนั้นต่างพากันหาที่หลบกันอย่างชุลมุน ทหาร SS แถวนั้นรีบพานายพลสติฟท์หนีไปหลบในที่ปลอดภัยในทันที
เมื่อเขาไปหลบอยู่ในตึกหลังหนึ่ง เขาก็รีบสั่งการลูกน้องของเขาทันที
“พวกมันเป็นใครกัน
ไปจับตัวมือปืนมาให้ได้ ฉันจะสอบสวนมันเอง”
“ครับท่าน
แล้วพลเรือนที่อยู่ด้านล่างหล่ะครับ”
“อพยพหนีไปก่อน
ให้พวกเขาไปจากบริเวณนี้ด่วนเลย”
ณ ชายแดนเขตปกครองตัวเองของรัสเซีย กระท่อมร้างแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของเรซนอร์ฟและคนอื่นๆ ในตอนนั้นเอง
เอลซาร์วนด์ก็พาเรซนอร์ฟและคนอื่นๆไปดูโทรทัศน์ในบ้าน
เพื่อดูข่าวสำคัญอะไรบางอย่าง
“คุณเรซนอร์ฟ
แย่แล้วครับ ดูนี่สิครับ”
เอลซาร์วินด์เปิดข่าวการสังหารหมู่พลเรือนบริสุทธิ์ที่เบลารุสเซีย
เรื่องนี้ทำเอาดาโกวิชที่มีเชื้อเบลารุสเซียถึงกับเลือดขึ้นหน้า
กลุ่มของเรซนอร์ฟในตอนนั้นถึงกับเดือดดาลกันทุกคน
“แม่งเอ้ย
พวกเรา ไปฆ่าพวกมันให้หมดเถอะ”
ดาโกวิชพยายามปลุกเร้าคนในกลุ่ม
แต่ในตอนนั้นเรซนอร์ฟก็พยายามห้ามพวกเขาเอาไว้
“จะไปให้พวกมันยิงตายงั้นเหรอ
ใจเย็นก่อนสิ”
“แต่พวกมันทำแบบนี้
มันต้องชดใช้นะครับ” ดาโกวิชพูดขึ้น
“พวกมันต้องชดใช้แน่
แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เชื่อผมสิ”
เอลซาร์วินด์พูดขึ้น
“ใช่
ป่านนี้พวกมันคงตรึงกำลังไว้ที่ชายแดนกันเยอะแล้วตอนนี้” เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงต่อหล่ะครับ
พวกเขาตายเพราะเรานะครับ”
ดาโกวิชพูดขึ้น
“อีกไม่นานพวกมันคงจะข้ามพรมแดนเรามาแน่นอน
ถึงตอนนั้นเราหันหลังกลับไม่ได้แล้ว” เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“แน่นอน
ผมสู้แน่ๆ ไม่ว่ายังไง พวกเราจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ใช่ไหม” ดาโกวิชพยายามปลุกเร้าคนในกลุ่ม
“ใช่
แน่นอนๆ”
“ตอนนี้เราคงต้องเตรียมรับมือกับพวกมันที่กำลัง
เอลซาร์วินด์ ไปติดต่อพวกเขาที่เขตสตาลินกราด
บอกว่าเตรียมพร้อมรับมือพวกมันได้แล้ว”
“ได้ครับ” เอลซาร์วินด์ตอบไป
“พวกมันจะต้องชดใช้เป็นร้อยเท่า
เพื่อชาวเบลารุสบริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยให้พวกมัน”
ณ ทะเลหลวงแห่งหนึ่ง ห่างจากทะเลอาณาเขตรัสเซีย
100 ไมล์ทะเล มิคาอิลที่เพิ่งจะออกเรือเพื่อออกเดินทางไปจีน ในขณะที่เรือของเขากำลังออกแล่นไปตามน่านน้ำสากล
จู่ๆลูกน้องของเขาก็วิ่งขึ้นมาบนเรือ เพื่อรายงานสถานการณ์อะไรบางอย่างกับเขา
“ท่านครับ
เรามีปัญหาแล้วครับ”
“มีอะไรหล่ะ
ว่ามาสิ”
“เราตรวจพบข้างหน้ามีเรืออูของเยอรมันกำลังลาดตระเวนอยู่ครับ”
“จริงเหรอ
ถ้าอย่างงั้น แล่นไปให้นิ่งที่สุด อย่าตกใจหล่ะ”
“ได้ครับ”
เรือของมิคาอิลค่อยๆแล่นลดความเร็วไปเรื่อยๆ
พวกเขาพยายามผ่านเรืออูที่กำลังลาดตระเวน ซึ่งถ้าพวกมันตรวจเจอพวกเขา
พวกมันอาจจะยิงเรือเขาจมโดยไม่ตั้งตัวก็ได้
“ท่านครับ
จะเอายังไงต่อครับ”
“ใจเย็นๆ
อย่าตกใจไปหล่ะ”
มิคาอิลสั่งให้เรืออ้อมไปอีกด้านหนึ่ง
โดยที่เขามองเรดาห์ของเรือที่ดัดแปลงใหม่ไปด้วย มิคาอิลมองอย่างตื่นเต้น
แต่สุดท้ายพวกเขาก็อ้อมหลบออกมาจากระยะยิงของเรือดำน้ำได้สำเร็จ
“โอเค
เราออกจากระยะเรดาห์มันได้แล้ว” ทุกคนในเรือโล่งใจกันมาก
บางคนก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“ครับ
แล้วแบบนี้เราจะเอายังไงต่อครับ” ลูกน้องของเขาถามไป
“ไปตามทางอีก
50 ไมล์ แล้วก็อ้อมเข้าเส้นทางหลักได้เลย”
“ครับท่าน”
กลับมายังโอเอซิสของออร์ลินด้า
ในตอนนั้นเองเธอกับลูกน้องของเธอกำลังจะหนีออกจากฐานที่มั่นเดิมเพื่อไปอยู่ที่ใหม่
เนื่องจากพวกเธอกลัวว่าพวกนาซีกลุ่มใหญ่กำลังจะตามตัวเธอเจอ และในที่สุด
บาโธรี่ก็เก็บของทุกอย่างไปจนหมด ตอนนี้พวกเธอเตรียมพร้อมที่จะหนีออกไปแล้ว
“คุณออร์ลินด้าคะ
เราพร้อมจะออกเดินทางแล้วค่ะ” บาโธรี่รายงานกับออร์ลินด้าไป
“ถ้าอย่างงั้นเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า”
พวกเธอและกองกำลังของเธอช่วยกันพาออกไปจากโอเอซิสที่มั่นของเธอ
แต่บาโธรี่ยังไม่ยอมตามขบวนไป เธอไปหลบอยู่หลังเนินทรายโดยที่ออร์ลินด้าสงสัย
ออร์ลินด้าจึงเข้าไปหาบาโธรี่ในทันที
“นี่เธอจะทำอะไรของเธอเนี่ย” ออร์ลินด้าถามอย่างสงสัย
“นั่นไงคะ
พวกมันมากันแล้วค่ะ”
พวกเธอทั้งสองคนใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังโอเอซิสของเธอ
ซึ่งในตอนนั้นหน่วยรบของนาซีก็พาชายคนหนึ่งมาด้วย จากนั้นพวกนาซีก็เข้าไปค้นด้านในจนทั่ว
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่เจออะไรเลย ซึ่งทหารนาซีวอมาบอกกับหัวหน้าของเขา
“สงสัยพวกเขาจะหนีไปที่อื่นแล้วครับ”
บาโธรี่เห็นว่าได้เวลาแล้ว เธอจึงกดรีโมทในทันที
“ตู้ม”
ระเบิดที่เธอติดตั้งในฐานลับของเธอทำงาน
ทำเอาทหารนาซีนับสิบนายโดนระเบิดตายอยู่ด้านใน เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทะเลทราย
“นี่คงซื้อเวลาให้เราได้ซักพักนึงค่ะ” บาโธรี่พูดขึ้น
“ดีมาก
ถ้างั้นพวกเราไปจากที่นี่กันดีกว่า”
พวกเธอทั้งคู่รีบขี่ม้าตามขบวนคาราวานของเธอไป
ก่อนที่พวกนาซีจะตามล่าพวกเธอต่อ
ณ บริษัทอาคะสึกิ คอปเปอร์เรชั่น
หลังจากเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เบลารุส
ยอดสั่งซื้ออาวุธจากอาคะสึกิก็พุ่งขึ้นมาก
เพราะกลุ่มต่อต้านทุกประเทศทั่วโลกต่างไม่พอใจกับเรื่องนี้ และในตอนนั้นเอง
มีสายโทรศัพท์ลึกลับยิงตรงเข้ามาหาอาคะสึกิอย่างประหลาด
เธอรับโทรศัพท์ในทันทีอย่างแปลกใจ
“สวัสดี
คุณรู้เบอร์ติดต่อนี้ได้ยังไง”
“รู้สิ
คุณนากะตะต้องการติด่อกับคุณ”
“นากะตะ
ผู้นำกลุ่มสาธารณรัฐญี่ปุ่นงั้นเหรอ ฉันรู้ว่าเขาติดคุกอยู่ที่โตเกียวซะอีก”
“ตอนนี้เขามากบดานที่ฮอกไกโดได้ซักพักแล้ว
คุยกับเขาสิ สายนี้ปลอดภัย”
จากนั้นไม่นาน
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาในทันที
“สวัสดีคุณอาคะสึกิ”
“อ้อ
นี่คุณยังไม่ตายเหรอ คุณติดต่อฉันมีอะไรหล่ะ”
“ผมต้องการอาวุธและเสบียง
อย่างมากเลยหล่ะ”
“งั้นเหรอ
แต่คงช้าหน่อยนะ ช่วงนี้ฉันโดนขึ้นบัญชีดำอยู่”
“อย่าใจร้ายกับผมสิอาคะสึกิ
เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนี่” ชายคนนั้นพูดอย่างใจเย็น
“นี่
ตกลงคุณจะมาคุยเรื่องเก่าของเรางั้นเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก
คุณพอจะหาของให้ผมได้หรือเปล่าล่ะ ผมจ่ายไม่อั้นเลย”
“เดี๋ยวฉันจะดูให้อีกทีก็แล้วกัน”
หลังจากที่คุยกันได้ซักพัก
อาคะสึกิก็วางสายไปในทันที
ณ ทะเลอาณาเขตสาธารณรัฐเม็กซิโก ห่างจากชายฝั่ง
50 ไมล์ทะเล นาโอมิและกองเรือของเธอก็กำลังเตรียมเข้าเทียบท่า
แต่ในขณะที่เธอกำลังตรวจสอบความปลอดภัยในการยกพลขึ้นบก
เธอก็พบกับอะไรบางอย่างที่ดูแปลกไป
“เอ๊ะ
บนชายฝั่งมันดูแปลกๆนะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ลูกน้องของเธอถามไป
“ปกติจะมีคนของเราคอยให้สัญญาณไปนี่หน่า”
“เหรอครับ
ให้ผมลงติดต่อดูหรือเปล่าครับ” ลูกน้องของเธอวิทยุบอกกับยามชายฝั่งในทันที
“นี่กองเรือที่
9 ติดต่อยามชายฝั่ง ในขณะนี้เรากำลังจะเทียบท่า กรุณาให้สัญญาณกับเราด้วย”
ลูกน้องของนาโอมิพยายามติดต่อเรียกยามทางชายฝั่ง
แต่ก็ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย
“ท่านครับ
ไม่มีการตอบสนองอะไรเลยครับ” นาโอมิใช้ความคิดของเธอซักพัก
จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“แย่หล่ะ
บอกคนของเราให้เตรียมพร้อม”
และไม่ทันไร จู่ๆก็มีปืนยิงมาจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นที่ยิงออกมาเป็นทั้งปืนใหญ่และปืนเล็ก
พวกนั้นพยายามยิงใส่กองเรือของนาโอมิ
“แย่แล้วครับ
เราถูกโจมตีแล้วครับ”
“บ้าเอ้ย
รีบถอยออกทะเลหลวง ยิงคุ้มกันให้ด้วย”
กองเรือของนาโอมิรีบหันหัวออกจากชายฝั่งทะเลออกไปโดยเร็ว
ก่อนที่พวกของเธอจะโดนถล่มจนละลายทั้งกอง
น่านน้ำสากลแห่งหนึ่ง
เรือสัญชาติอินเดียที่กำลังจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา ซวาตีรู้สึกเบื่อๆ จึงไปยืนคิดอะไรอยู่เรื่อยเปื่อยที่กราบเรือ
ท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆ และในตอนนั้นเอง
เธอก็ดันไปคิดถึงเรื่องที่เธอได้ยินจากชายแก่คนหนึ่งซึ่งเคยดูดวงให้เธอเอาไว้
“เธอจะเดินทางไปยังถิ่นไกลแสนไกลจากบ้าน
เธอจะไปพบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเขาจะจบสงครามและเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้ เธอต้องไปเจอกับเขา
แต่มันต้องแลกกับบางสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเธอ เธอจะยอมหรือเปล่า”
ในตอนแรกพ่อแม่ของเธอก็ไม่ค่อยอยากให้เธอจากบ้านไปอยู่ที่อเมริกา
แต่เธอก็ขอพ่อแม่ของเธอเอาไว้ แล้วเธอก็คิดว่าอยากไปหาชีวิตใหม่ที่นั่นด้วย
เธอเลยตัดสินใจมา ในระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
จู่ๆก็มีเรือตรวจการณ์ลำหนึ่งที่มีธงมหาราชอาณาจักรไทยโบกสะบัดเข้ามาใกล้เรือ
“ตอนนี้เรือของเรากำลังเข้าเขตอาณาจักรไทยแล้ว
ทุกคนไม่ต้องตกใจไปครับ”
เสียงประกาศตามสายนั้นบอกคนบนเรือ
ส่วนซวาตีตอนนั้นไม่รอช้าก็ลงไปยังห้องของเธอ
โดยที่ในตอนนั้นมีทหารจากไทยมาคอยตรวจตราความปลอดภัยให้คนบนเรือด้วย ทหารคนหนึ่งเดินไปหาซวาตีในทันทีเมื่อเจอเธอ
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง
ผมขอดูบัตรประจำตัวหน่อยครับ”
ซวาตียื่นพาสปอร์ตของเธอให้กับเขาดู
“คุณจะไปอเมริกาเหรอ
เหมือนเพื่อนผมเลย เพื่อนผมก็ไปอเมริกาเหมือนกัน คุณจะไปทำอะไรที่นั่นครับ”
“อ้อ ไปหางานทำหน่ะค่ะ”
“อ้อครับ
ยังไงก็ขอให้โชคดีนะครับ” ทหารคนนั้นประทับตราผ่านให้กับซวาตี
จากนั้นก็คืนพาสปอร์ตให้เธอแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เธอยืนโล่งใจอยู่ตรงนั้น
ณ พรมแดนสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน ซึ่งมาเรียน่าต้องนั่งรถผ่านเขตชายแดนเพื่อไปร่วมพิธีศพฮิตเลอร์
รถของเธอมาถึงเขตชายแดน โดยที่ทหารเยอรมันถือปืนคอยประจำการเพื่อป้องกันเขตชายแดน
รถของมาเรียน่ามาจอดที่ด่านตรวจ จากนั้นทหารเยอรมันคนหนึ่งก็มาตรวจในทันที
“สวัสดีครับ
ขอตรวจบัตรผ่านเขตแดนหน่อยครับ”
มาเรียน่าบัตรของเธอให้กับทหารเยอรมันคนนั้น
ทหารคนนั้นตรวจเอกสารจากนั้นก็พูดขึ้น
“สวัสดีครับคุณมาเรียน่า
คุณพ่อคุณคงจะรออยู่เลยนะครับ ให้ผมจัดคนนำขบวนมั้ยครับ”
“อ้อ
ไม่เป็นไรค่ะ” มาเรียน่าไป
“ครับผม
ทางไปเบอร์ลินจะอยู่ทางนั้นนะครับ ขอให้โชคดีนะครับ”
แต่ยังไม่ทันที่รถของมาเรียน่าจะออก
จู่ๆก็มีชายฉกรรจ์นับสิบถือปืนยิงเข้ามายังด่านตรวจ
ทหารเหล่านั้นต่างหาที่หลบแล้วยิงสกัดเอาไว้
“คุณมาเรียน่า
รีบหนีไปก่อนครับ”
รถของมาเรียน่ารีบเร่งเครื่องออกจากด่านไป
โดยที่มีทหารส่วนหนึ่งคุ้มกัน แต่จู่ๆพวกมันก็ยิงเข้ามาที่รถของมาเรียน่าจนยางแบน
รถของเธอถึงกับเสียหลักเข้าข้างเธอ
มาเรียน่าหลบอยู่ในรถเนื่องจากกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย แต่ในตอนนั้นเอง
มีชายคนหนึ่งมาเปิดประตูรถของเธอ แล้วเอาปืนจ่อไปที่เธอ
“เดี๋ยวๆ
อย่าทำอะไรฉันเลย อยากได้อะไรก็เอาไป” มาเรียน่าพยายามขอชีวิตกับเขา
“คุณมาเรียน่า
รบกวนมากับเราด้วย”
ยังไม่ทันที่มาเรียน่าจะออกจากรถ
ทหารเยอรมันก็ยิงชายคนนั้นล้มลงคารถ จากนั้นก็รีบวิ่งมาหาเธอในทันที
“คุณมาเรียน่าครับ
เป็นอะไรหรือเปล่าครับ รีบมาทางนี้เถอะครับ”
ทหารเยอรมันคนนั้นรีบพามาเรียน่าไปหลบที่อื่น
ส่วนกำลังเสริมของเยอรมันก็มาถึงแล้วไล่ยิงกลุ่มผู้ก่อการจนต้องถอยกลับไปในป่า
มาเรียน่าไปนั่งอยู่ริมต้นไม้ต้นหนึ่งโดยที่มีทหารเยอรมันคนหนึ่งคอยคุ้มกันเธอ
“คุณมาเรียน่าครับ
อยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะเรียกรถคุณไปส่งที่เบอร์ลิน ส่วนรถคุณผมจะให้คนเอาไปซ่อมให้ครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ณ เมืองแห่งหนึ่ง ในมองโกเลีย
ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนน จากนั้นเขาก็เดินมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง
โดยที่เมื่อเขาเข้ามาด้านใน เขาก็เจอกับกลุ่มชายหลายคนที่กำลังนั่งรอเขาอยู่
ชายคนนั้นรีบนั่งที่เก้าอี้ตัวที่ว่างในทันที
“เอาหล่ะ
ไหนๆทุกคนก็มาถึงที่นี่แล้ว ผมก็ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน พวกคุณคงได้ยินเรื่องที่เบลารุสเซียแล้วนะ
ตอนนี้เราควรจะตอบโต้พวกมันเป็นการด่วน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน บัลลังค์นาซีของพวกมันจะต้องสั่นคลอน
ไม่อยากงั้นประชาชนผู้บริสุทธิ์จะต้องตายอีกมากมาย”
“แต่ว่า
กำลังพลของเราจะพอรับมือแล้วเหรอครับ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง
เรามีชาวบ้านในพื้นที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือพวกเรา
ตอนนี้ผมรอแค่ไฟเขียวจากพวกคุณนั่นแหละ” สมาชิกที่อยู่ด้านในต่างมองหน้ากันเพื่อตัดสินใจ
จากนั้นพวกเขาก็พูดพร้อมกันว่า
“พวกเราพร้อมครับ”
“ขอบคุณมาก
ถ้าอย่างงั้น เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้เลย”
============================================================================================================
การสังหารหมู่ที่เบลารุสทำเอาทั่วโลกมีปฏิกิริยาต่อต้าน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ!!
ความคิดเห็น