ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nazi Mafia - เมืองนี้ข้าจอง

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 5 : เจรจา

    • อัปเดตล่าสุด 26 เม.ย. 63


    นาวินและกลุ่ม The Crow ขับรถหนีออกจากเมืองมาเรื่อยๆ ผ่านถนนเส้นนั้นเส้นนี้ที เพื่อเลี่ยงตำรวจที่อาจจะตั้งด่านสกัด เพราะถ้าเกิดว่าพวกตำรวจเจออาวุธพวกเขาที่อยู่ในรถ พวกเขาอาจจะถูกรวบตัวยกคัน พวกเขาขับรถมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคฤหาสน์ The Crow ซึ่งในตอนนั้นเองแจ็คสัน เควินและปิแอร์ก็รอพวกเขาอยู่แล้ว และเมื่อรถของเขาขับไปจอดที่ด้านหน้าคฤหาสน์ พวกเขาก็รีบไปหาแจ็คสันที่กำลังรออยู่ในทันที และพวกเขาก็ได้คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

    “ปลอดภัยกันนะ งานเป็นยังไงกันบ้างหล่ะ??”

    “เรียบร้อยครับคุณแจ็คสัน เราเผาเครื่องผลิตผงมันจนหมดเลยครับ”นาวินพูดขึ้น

    “แล้วพอรู้ตัวคนอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า??”ปิแอร์ถามพวกเขาไป

    “ไม่ทราบเลยครับ เราไม่เจอหลักฐานที่จะสาวไปถึงแก๊งค์อื่นครับ”ทอร์รินพูดขึ้น

    “ผมว่า พวกแก๊งค์กระจอกๆอาจจะตั้งเครื่องผลิตกันเองก็ได้ครับ”แอ็กเซลออกความเห็นไป

    “ไม่ๆๆ พวกมันต้องมีนายทุนบางคนหนุนหลัง ไม่อย่างงั้นพวกมันไม่กล้าหรอก”เควินพูดขึ้น

    “แล้วเราจะสืบยังไงต่อหล่ะคะ??”ทาเนียถามคนในกลุ่มไป

    “เครื่องผลิตของพวกมันโดยทำลายย่อยยับ พวกมันคงไม่อยู่เฉยแน่ นายทิ้งนามบัตรเราไว้หรือเปล่า??”แจ็คสันถามแอ็กเซลไป

    “ทิ้งเรียบร้อยครับผม”แอ็กเซลพูดขึ้น

    “ดี แล้วก็ดูท่าทีของแต่ละแก๊งค์ ถ้าพวกไหนโวยวายก็ให้สงสัยไว้ก่อน นาวิน นายพยายามตามติดลูกน้องของพวกมันที่เหลือ ดูว่ามันติดต่อใครบ้าง ฉันเชื่อว่าพวกมันไม่อยู่เฉยแน่”แจ็คสันพูดขึ้น

    “แล้วพวกกุ๊ยนั่นมันก็น่าจะรู้ว่าเราเป็นใคร ไม่น่าจะมีอะไรหรอก”ปิแอร์พูดขึ้น

    “ทอร์ริน ส่งลูกน้องเราตามข่าวไปด้วย ดูว่าพวกมันติดต่อใครได้ แล้วมาบอกฉัน”เควินสั่งเขาไป

    “ได้เลยครับ ผมจัดการเอง”ทอร์รินพูดขึ้น

    “แล้วถ้าเรารู้ว่าเป็นฝีมือแก๊งค์อื่นที่เรากำลังพิพาทอยู่หล่ะ??”ทาเนียถามอย่างสงสัย

    “ฉันจะส่งจดหมายคุยกับพวกมันเอง ฉันไม่ปล่อยมันไว้หรอก เอาเป็นว่า วันนี้พวกนายไปพักก่อน ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการเอง เควิน ให้ค่าเหนื่อยพวกเขาด้วยหล่ะ”แจ็คสันพูดขึ้น จากนั้นเควินก็แจกจ่ายเงินให้กับลูกน้องของเขาที่ออกไปทำภารกิจ หลังจากที่รับเงินเสร็จ นาวินก็เดินกลับออกมา และในตอนนั้นเอง ทอร์รินก็ตะโกนไล่หลังนาวินเพื่อเรียกเขาด้วย

    “นอร์วิน เดี๋ยวก่อน!!”

    “มีอะไรครับ??”นาวินถามอย่างสงสัย

    “นายจะไปตามข่าวที่ไหนกันหล่ะ ฉันมีงานอื่นให้นายช่วยด้วย”

    “ผมรู้ว่าไอ้กุ๊ยพวกนั้นมันจะติดต่อกับใคร ว่าแต่ คุณจะให้ผมทำงานอะไรกันหล่ะ??”นาวินถามอย่างสงสัย

    “งานง่ายๆหน่ะ เอาเป็นว่าถ้านายสนใจ นายติดต่อหาฉันแล้วกัน แล้วก็นี่ ส่วนแบ่งที่เราเก็บได้จากไอ้พวกนั้นหน่ะ”ทอร์รินพูดขึ้นพลางยื่นเงินประมาณ 5000 ฟรังก์ให้กับนาวิน นาวินก็รับมาในทันที

    “ขอบคุณครับ แล้วเจอกันนะครับ”

    นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ขึ้นรถของเขาขับกลับไปที่บ้านของเขา เพื่อไปหาแม่และน้องสาวที่กำลังรออยู่ เขาขับรถไปตามถนนเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาก็ขับมายังบ้านของแม่และนอร์ดี้ ซึ่งในตอนนั้นเอง ไฟบ้านของพวกเขาทั้งคู่ก็ยังเปิดอยู่ ในตอนนั้นเอง นาวินก็เปิดประตูเข้าไปในบ้าน แล้วไปหาแม่ของเขาในทันที ซึ่งแม่และน้องของเขากำลังนั่งฟังวิทยุอย่างใจจดใจจ่อ

    “แม่ครับ ทำอะไรกันอยู่ครับเนี่ย??”

    “นอร์วินลูก แม่กำลังฟังข่าวการรบอยู่ ได้ยินว่าโปแลนด์กำลังจะแตกแล้ว”แม่ของเขาพูดขึ้น

    “ดีนะที่เราไม่ได้ไปโปแลนด์ก่อนหน่ะพี่นอร์วิน”นอร์ดี้พูดเสริม

    “แม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปดูเรื่องบ้านใหม่ให้แม่นะครับ”นาวินบอกแม่เขาไป

    “เหรอลูก ลูกมีเงินแล้วเหรอ??”

    “หนูอยากเห็นบ้านใหม่จังเลยค่ะพี่”นอร์ดี้พูดขึ้น

    “ก็พี่จะไปดูให้อยู่ไง ผมจะลองไปดูก่อน แล้วจะพาแม่ไปดูว่าชอบหรือเปล่า”นาวินบอกแม่ของเขาไป

    “แล้วนี่ ลูกจะไม่มีมาอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ??”แม่ของเขาถามไป

    “เอาไว้ว่างๆผมจะมาเยี่ยมนะครับ แม่ไม่ต้องห่วง”นาวินตอบไป

    “แม่หวังว่าจะไม่มีตำรวจมาจับลูกนะลูก”แม่ของเขาพูดไป

    “ไม่ต้องห่วงครับแม่ ผมรับรองได้ ผมรักแม่นะครับ”นาวินพูดขึ้นพลางกอดแม่และนอร์ดี้ไป จากนั้นเขาก็กลับออกมาที่ด้านนอก แล้วดูเงินทั้งหมดที่ตัวเองมีจากการเล่นงานกลุ่มนักเลงที่เขาเล่นงานซึ่งเขามีเงินรวมในตอนนี้ 10000 ฟรังก์ แต่นั่นก็ยังไม่น่าจะพอสำหรับค่าที่อยู่ใหม่ของแม่และน้องของเขา

    “น่าจะไปทำงานกับคุณทอร์รินดูนะ”นาวินคิดในใจ

    และในประมาณ 3 วันต่อมา นาวินก็ได้รับคำสั่งให้เก็บชายคนหนึ่ง เจ้าของโรงงานเสื้อผ้าที่ชื่อ มอริส ซึ่งกลุ่ม The Crow จับได้ว่าเขาลักลอบขนของเถื่อนมาขายในเขตของ The Crow ซึ่งทอร์รินให้นาวินเก็บเขาแบบเงียบๆ และนาวินก็ได้เก็บเขาจริงๆ และได้ทิ้งศพไว้ไม่ให้ใครรู้

    หลังจากที่จบงาน เขาก็ได้เดินทางเข้ามาในย่านชานเมือง มาดูบ้านพักหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในย่านสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งจะดำเนินการสร้าง ชายคนหนึ่งพานาวินไปดูด้านในของบ้าน ซึ่งด้านในค่อนข้างกว้างสบาย และบ้านหลังนี้อยู่ติดกับแม่น้ำในเขตนั้นด้วย นาวินเห็นแล้วก็คิดว่าแม่และน้องของเขาต้องชอบบ้านหลังนี้แน่ๆ

    “อืม บ้านหลังนี้เช่าเดือนละเท่าไหร่ครับ??”นาวินถามคนขายไป

    “ครับ ปกติเราจะให้เช่า 2000 ฟรังก์ต่อเดือน แต่เราต้องการมัดจำด้วย 1000 ฟรังก์ครับ บ้านหลังนี้อยู่ติดถนนตัดสู่ย่าน Downtown ด้วยนะครับ ผมรับรองว่าคุ้มแน่นอนครับ”

    “อืม เดี๋ยวผมจะพาพวกเขามาดู ยังไงก็ขอบคุณมากที่มาแนะนำนะครับ”นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นทิปให้กับชายคนนั้นไป 100 ฟรังก์ แล้วนาวินก็ขึ้นรถคันนั้นแล้วกลับบ้านในทันที

    “ความจริง ฉันน่าจะหารถให้แม่ฉันด้วยนะ”นาวินคิดในใจไป

     

    กลับมายังบาร์ลึกลับแห่งเดิมของอีวา ซึ่งเธอได้บริหารจัดการการขายเหล้าเถื่อนของเธอตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมถึงบุหรี่เถื่อนด้วย ซึ่งผลประกอบการของเธอเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งในขณะเดียวกันนั้นเอง แซนเดอร์ก็เดินเข้ามาหาอีวา เพื่อรายงานข่าวกับเธอในทันที

    “คุณอีวาครับ มีข่าวจากร้านเหล้าในเมืองครับ!!”

    “เรื่องอะไรหล่ะ ว่ามาสิ”

    “มีข่าวว่าร้านเหล้านั่นเป็นโรงงานผลิตยาเสพติด แล้วพวก The Crow เป็นคนทำลายครับ”แซนเดอร์พูดขึ้น

    “หะ จริงเหรอ ทำไมถึงเป็นพวกมันได้หล่ะ??”

    “พวกมันทิ้งนามบัตรไว้ เราเลยคิดว่าเป็นพวกมันครับ”แซนเดอร์พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน โอลิเวียและอิซาเบลที่เพิ่งจะกลับมาจากการคุมห้างสรรพสินค้าก็กลับมาหาอีวาในทันทีเพื่อคุยถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

    “คุณอีวาคะ ตอนนี้กินการพวกเรากำลังอู่ฟู่เลยค่ะ”อิซาเบลพูดขึ้น

    “ใช่ค่ะ ทั้งเหล้าและบุหรี่เถื่อน ทำเงินได้มากเลยค่ะ”โอลิเวียพูดเสริม

    “เออ แล้วอีกอย่าง เราสืบเรื่องของเด็กใหม่สองคนนั่นแล้ว พบว่าพวกมันไม่ใช่สายของใครค่ะ”โอลิเวียบอกอีวาไป

    “แต่เราก็ยังคงตามตัวพวกเธอสองคนอยู่นะคะ”อิซาเบลพูดเสริม

    “ค่อยว่ากันแล้วกัน ตอนนี้พวกอีกามันทำลายร้านเหล้าที่ผลิตยาเสพติดหน่ะ โชคดีที่มันไม่ใช่ของเราโดยตรง”อีวาพูดขึ้น

    “ยังดีที่เราเก็บกวาดไม่ให้พวกมันสาวถึงเราได้”แซนเดอร์พูดขึ้น

    “แล้วไอ้พวกกุ๊ยที่ทำงานที่นั่นหล่ะ มันอาจจะมาหาเราก็ได้??”โอลิเวียถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ สงสัยคงต้องตัดตอนไม่ให้เหลือแล้วหล่ะ”อิซาเบลพูดขึ้น

    “ยังไงก็ฝากพวกเธอสองคนตัดตอนด้วยแล้วกัน อย่าให้มันสาวถึงตัวเราได้หล่ะ ไม่งั้นพวกอีกามันไม่อยู่เฉยแน่ๆ”อีวาพูดขึ้น

     

    กลับมายังคาสิโนของตระกูลดูแรนด์ หลังจากที่ข่าวการเผาที่ผลิตยาเสพติดแพร่สะพัดออกไปทั่ว พวกของไอรีนก็มาคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆวันนั้นออเรียสก็เดินทางมาพบกับไอรีนที่คาสิโนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นก็เดินเข้ามาหาไอรีนในทันที

    “ไอรีน เธอได้ข่าวที่เกิดขึ้นแล้วใช่หรือเปล่า??”ออเรียสถามเธอไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “ฉันก็เพิ่งรู้หน่ะพี่ ว่าแต่พี่มาที่นี่มีอะไร??”ไอรีนถามอย่างสงสัย

    “เรารู้แล้วว่ามันเป็นฝีมือของใคร ฝีมือพวก Crow ไงหล่ะ เราต้องตอบโต้มันแล้วหล่ะ”ออเรียสพูดขึ้น

    “ตอบโต้ทำไมกันหล่ะ นายเป็นเจ้าของที่นั่นเหรอ??”สตีฟถามอย่างสงสัย

    “นั่นดิ กฎของแก๊งค์เราคือห้ามค้ายาเสพติดนะ ลืมไปแล้วเหรอ??”ไลท์นิ่งพูดเสริม

    “ไม่ใช่ ฉันแค่หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านเหล้า แต่ฉันไม่รู้ว่ามันผลิตยาเสพติดด้วยนี่ แต่มันทำร้านเหล้าฉันพัง มันต้องชดใช้”ออเรียสพูดขึ้น

    “พี่ก็ไปเอาจากเพื่อนพี่สิ มันผิดสัญญานะ”ฮันเตอร์พูดไป

    “พี่ออเรียส ถ้าจะมายืมมือคนของฉันหล่ะก็ เสียใจด้วยนะ พี่ก็รู้กฎดีนี่ ถ้าพี่ไม่เกี่ยวข้องกับยาพวกนั้น พี่ก็ไม่ต้องเดือดร้อน ส่วนเรื่องค่าเสียหายจากการเปิดร้าน ฉันจะชดเชยให้ตามเห็นสมควร” ไอรีนพูดขึ้น

    “นี่เธอจะไม่ตอบโต้พวกมันหน่อยงั้นเหรอ??”

    “พี่ก็รู้นี่ว่าพวก Crow มีกฎว่ายังไง ถ้าพี่อยากจะรบก็รบไปคนเดียวเถอะ โทไบอัส ส่งแขกที แล้วเบิกเช็คให้เขาด้วย 3 แสน”

    “รับทราบครับ เชิญ!!”โทไบอัสเชิญออเรียสเดินออกไปจากคาสิโน เรื่องนี้ทำเอาออเรียสเสียหน้าเป็นอย่างมาก

     

    กลับมายังสำนักงานของโลเปซ ซึ่งเขาได้ประชุมเกี่ยวกับประกอบการของหมู่บ้านจัดสรรที่เขาเพิ่งจะเริ่มโครงการ และคุยกันถึงเรื่องที่เขาได้ไปเล่นงานกลุ่มที่มันมายึดพื้นที่ของเขาอย่างหน้าตาเฉย โดยที่การประชุมเป็นไปอย่างดุเดือด

    “นี่ พวกที่เราเล่นงานด้วยนี่มันพวกไหนกัน มีแต่คนดำทั้งนั้น??”โลเปซถามลูกน้องของเขาในที่ประชุม และเขาก็ยังได้นึกย้อนไปตอนที่พวกเขาบุกถล่มกลุ่มคนดำเมื่อสามวันก่อน

    “อ้อ เราสืบมาว่าเป็นพวกเฮติครับ”ลูกน้องของเขาตอบไป

    “พวกมันมายึดที่ฉันแบบนี้ ต้องมีใครหนุนหลังแน่ๆ”โลเปซพูดขึ้น

    “ครับ เรายังสืบถึงตัวหัวหน้ามันได้ด้วยครับ มันชื่อวัลฮาตู ฉายา ปีศาจสีดำครับ”

    “สืบมาให้ได้แล้วกัน ถ้าฉันรู้ตัวไอ้พวกที่อยู่เบื้องหลัง ฉันเอาคืนหนักแน่”โลเปซพูดขึ้น

    “ถ้าพวกชุมชนเฮติไม่พอใจแล้วรวมตัวกันขึ้นมาเราอาจจะแย่นะครับ??”ลูกน้องคนหนึ่งพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ แล้วพวกนั้นอาจจะขยายขอบเขตไปจนเราควบคุมไม่ได้นะครับ”ลูกน้องเขาอีกคนก็ออกความเห็น

    “เราจะคุยกับพวกมันดีๆก่อน ถ้าใครฟังรู้เรื่องก็ไว้ชีวิตพวกมัน”โลเปซพูดขึ้น

    “รับทราบครับผม!!”

    “ฉันว่า งานนี้ต้องมีเบื้องหลัง ต่อให้มันมาจากไหน ฉันจะเล่นพวกมันแบบไม่ให้เกิดเลย”โลเปซพูดขึ้น

     

    ณ เขตไซ่ง่อนเวียตนาม ปารีส วันนี้เป็นวันที่ชาร์ลีเพิ่งกลับมาจากมหาลัย เนื่องจากเป็นวันที่เขาเริ่มสอบปลายภาค เขาเดินออกมาจากมหาลัยเพื่อกลับไปที่บ้าน และในขณะเดียวกันนั้นเอง โจอี้ที่กำลังรอเขาอยู่ก็เดินมาหาเขาในทันทีเพื่อคุยด้วย

    “เฮ้ย ชาร์ลี สอบเป็นไงบ้างช่วงนี้??”

    “ก็เรื่อยๆหว่ะ มึงนี่น่าจะมาเรียมหาลัยด้วยนะเว้ย”ชาร์ลีถามเพื่อนเขาไป

    “ถ้ากูมีโอกาสก็ดีหน่ะสิ ไม่ต้องเสี่ยงมาหนีตำรวจแบบนี้หรอก แล้วมึงหล่ะ ถ้าเรียนจบไม่คิดจะล้างมือจากวงการหน่อยเหรอ??”โจอี้เพื่อนของเขาถามไป

    “ไม่หรอก อยู่ในแก๊งค์อย่างน้อยพวกคนขาวก็มารังแกไม่ได้”ชาร์ลีพูดขึ้น

    “เออนี่ นายใหญ่ให้ค่าจ้างมึงมา สำหรับงานพังร้านเหล้าหน่ะ” โจอี้พูดขึ้นพลางยื่นเงินให้กับชาร์ลี ชาร์ลีรับเงินมาในทันที

    “เออ ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยหน่อย!!”

    “ช่วงนี้มึงก็ระวังๆไว้นะเว้ย พวกแม่งคงออกตามล่าเราแน่” โจอี้พูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงหรอก มึงก็รู้ว่ากูเอาตัวรอดได้”ชาร์ลีตอบกลับ จากนั้นเขาก็รีบเดินกลับบ้านไปในทันที

     

    เขตดันท์ชิช ประเทศโปแลนด์ บ้านพักส่วนตัวของฟริตซ์ ซึ่งเขากำลังรอพี่ชายของเขา ไฮดริช มาเยี่ยมเยือนและคุยกันเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดจากแรงงานทาส และในไม่กี่อึดใจต่อมา ไฮดริชก็มาถึงบ้านของเขา ฟริตซ์สั่งให้วาลรินเหล้าให้เขาในทันที จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเจรจากันในทันที

    “ที่นายเรียกฉันมาเนี่ยก็คงจะเรื่องสร้างโรงงานสินะ??”ไฮดริชถามไป

    “แน่นอนพี่ ผมจะทำผงขาว ส่งไปขายในเขตโซเวียตหน่ะ”

    “นายก็รู้เรื่องยาเสพติดพวกนี้นี่ ท่านผู้นำไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นะ??”ไฮดริชถามไป

    “โธ่พี่ ผมไม่ขายให้คนเยอรมันด้วยกันหรอกน่า”ฟริตซ์ตอบไป

    “ยาเสพติดมันอันตราย นายก็รู้นี่”

    “เอาน่าพี่ มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่ใช้ยา ถ้ามันอยากตายขนาดนั้นผมจะช่วยมันเอง แถมยังได้เงินอีกนะพี่”ฟริตซ์พยายามหว่านล้อมเขา

    “แล้วนายจะส่งของไปยังไงหล่ะ??”ไฮดริชถามอีกครั้ง

    “เราแค่ต้องใช้เส้นสายของพี่ขนของไปยังโปแลนด์ เรามีพวกยูเครนรับไม้ต่ออยู่แล้ว”วาลพูดขึ้น

    “ใช่พี่ พวกยูเครนก็ไม่ชอบหน้าพวกรัสกี้เหมือนกัน ถ้าเอายาไปขายน่าจะได้ผลนะพี่”ฟริตซ์พูดขึ้น

    “ก็แล้วแต่ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันไม่รู้อะไรกับนายด้วยนะ” ไฮดริชพูดขึ้น

    “แน่นอนพี่ ผมรับรอง เราจะรวยกันอื้อซ่าก็คราวนี้หล่ะ” ฟริตซ์พูดทิ้งท้ายไว้

    “เรื่องกำไรและส่วนแบ่ง เราจะมาตกลงกันทีหลังค่ะ”วาลพูดเสริมเขาไป

     

    และอีกด้านหนึ่ง ชายแดนกรุงวอร์ซอร์ ร้อยเอกมิลเลอร์ที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงเขตการปะทะ มิลเลอร์มองไปด้านหน้าก็พบว่าทหารเยอรมันกำลังบุกเข้าจู่โจมโปแลนด์อย่างหนัก มิลเลอร์ในตอนนั้นก็เรียกลูกน้องของเขามาคุยถึงแผนการที่เขาจะโจมตีกรุงวอร์ซอร์ในทันที

    “ทหาร เราจะต้องเจาะแนวของพวกมันด้านนี้ ซึ่งพวกมันอ่อนกำลังมากที่สุด แล้วค่อยๆเล่นงานส่วนที่เหลือ”มิลเลอร์พูดขึ้น

    “แต่วา จะทำแบบนั้นได้ ต้องโจมตีมันสายฟ้าแลบเลยนะครับ” ทหารของเขาทัดทานไป

    “ใช่ แต่ว่าพวกเราทำได้อยู่แล้ว”มิลเลอร์พูดไป

    “แล้วเราจะเริ่มยังไงก่อนหล่ะครับ??”

    “ก่อนอื่นเราจะแอบโจมตีแนวรบพวกมันแบบเงียบๆ จากนั้นเมื่อแนวพวกมันเปิด เราก็โจมตีพวกมันอย่างรวดเร็ว”มิลเลอร์พูดขึ้น

    “หวังว่าพวกมันจะไม่รู้ตัวก่อนนะครับ”

    “แน่นอน พวกมันต้องป้องกันด่านหน้าซึ่งกำลังปะทะกันหนัก เราจะใช้จังหวะนี้เล่นงานพวกมันเลย”มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ เราตายกันหมดนะครับ”

    “ฉันรับรอง ถ้าเราเตรียมพร้อม รอจังหวะ แล้วบุกโจมตีมันให้ราบเลย” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “แล้วเราจะโจมตีตอนนี้เลยเหรอครับ??”

    “ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้พวกมันกระวนกระวายไปซักพัก พวกโปลมันไม่มีทางชนะเราหรอก”มิลเลอร์พูดขึ้น

    “แล้วทางอังกฤษกับฝรั่งเศสหล่ะครับ??”

    “มันก็แค่เสือกระดาษ โดยเฉพาะพวกฝรั่งเศส ถ้าเราบุกมันเมื่อไหร่ ฉันจะตอบแทนพวกมันให้สาสมเลย”มิลเลอร์พูดขึ้น ซึ่งแววตาของเขาดูเหมือนจะเคียดแค้นพวกฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

     

    ที่กรุงเบอร์ลิน คาร์ลและลูเซียมาพักที่บ้านพักที่แจ็คสันซื้อให้พวกเขาอยู่ไปซักพัก เพราะในตอนนี้ทางเยอรมันไม่อนุญาตให้ชาวเยอรมันเดินทางไปยังฝรั่งเศส แต่พวกเขาก็ยังคงติดต่อกับแจ็คสันอยู่เรื่อยๆเพื่อถามถึงสถานการณ์ในฝรั่งเศส และในว่างๆเขาก็คุยกับลูเซียไปด้วยถึงเรื่องที่เขารู้มา

    “นี่ ลูเซีย ที่ปารีสกำลังมีเรื่องกันเลย”

    “เกิดอะไรขึ้นอีกหล่ะ??” เธอถามคาร์ลไปจากนั้นก็สูบบุหรี่ไปด้วย

    “มีคนเอาผงมาปล่อยในเขตเรา แต่พวกคุณทอร์รินจัดการหล่ะ”

    “คงจะพวกกุ๊ยอีกหล่ะสิ”ลูเซียพูดขึ้น

    “แต่เขาลือกันว่าพวก Black Hood กับดูแรนด์จะมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”คาร์ลพูดขึ้น

    “จริงเหรอ ถ้าเกิดปะทะขึ้นมานี่ทั้งเมืองป่วนแน่ๆ”ลูเซียพูดขึ้น

    “นั่นดิ พวกดูแรนด์ไม่เท่าไหร่ แต่พวกหมวกดำนี่สิ คงจะได้เปิดศึกอีกครั้ง”คาร์ลพูดขึ้น

    “แต่เรามีหลักฐานพอหรือเปล่าหล่ะ??”ลูเซียถามไป

    “ได้ยินว่าทุกอย่างไหม้ไปหมดแล้ว แต่พวกนั้นกำลังสืบเพิ่มเติม”คาร์ลพูดขึ้น

    “เสียดายที่เรากลับไปไม่ได้ ไม่งั้นคงได้ลุยกับพวกมันหล่ะ”ลูเซียพูดขึ้น

    “ไม่หรอก คุณแจ็คสันจัดการได้อยู่แล้วน่า”คาร์ลพูดขึ้น จากนั้นเขาก็จุดบุหรี่สูบไปด้วย

     

    กลับมายังโบสถ์ใหญ่ในกรุงปารีส เวเวอร์ในตอนนั้นก็กำลังอ่านจดหมายอะไรบางอย่างบนโต๊ะของเขา โดยที่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เกรย์ที่ซึ่งเดินเข้ามาในห้องของเวเวอร์ ก็มาคุยกับเขาในทันที

    “พ่อคะ อ่านอะไรอยู่คะ??”

    “มีข้อความจากคนที่พ่อรู้จัก ใจความว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งอีกาจะเดินทางมาที่นี่”เวเวอร์พูดขึ้น

    “ผู้ยิ่งใหญ่ อีกา The Crow เหรอคะ??”เกรย์ถามไป

    “แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเธอมีอยู่จริงหรือเปล่า อย่าเพิ่งคิดไปเลย”เวเวอร์พูดขึ้น

    “พ่อพอจะเล่าให้หนูฟังได้หรือเปล่าคะ??”เกรย์ถามอย่างสงสัย

    “เท่าที่พ่อรู้มา เธอคือผู้สืบทอดแห่งทายาทไตรภาคี The Darkest เธอได้รับยศจักรพรรดินีแห่งอีกา สมัยนั้นถือว่าเป็นตัวอันตรายมาก ใครกล้ามายุ่งกับเธอ ส่วนใหญ่ไม่ตายดีทุกคน ถ้าเธอเดินทางมายังฝรั่งเศส แสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่อะไรแน่ๆ”เวเวอร์พูดขึ้น

    “แล้วพวก The Crow จะรู้หรือเปล่าคะ??”

    “ไม่รู้สิ มีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของเธอ พ่อเองก็ยังยืนยันไม่ได้เลย”เวเวอร์พูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องรอดูต่อไปหล่ะค่ะ”เกรย์ตอบไป

    และที่ด้านล่างของโบสถ์ อเดลล่านัดทั้งเอลต้าและแจนมาคุย และถามถึงงานของพวกเธอทั้งคู่ ว่าในตอนนี้เป้นยังไงกันบ้าง และได้ถามถึงอีวา กรีนวู้ดไปด้วย

    “เอลต้า แจน พวกเธอสองคนพอได้อะไรมาบ้างหล่ะ??”

    “ตอนนี้เราได้ทำงานแล้ว แต่ยังเข้าถึงตัวเธอไม่ได้เลยค่ะ”เอลต้าพูดขึ้น

    “ตอนนี้พวกเราเริ่มขายเหล้ากับบุหรี่เถื่อน เงินดีนะคะ เราต้องสอดส่องดูว่าใครเป็นสายหน่ะค่ะ”แจนพูดขึ้น

    “แล้วนี่ พวกเธอเข้าถึงตัวอีวาได้หรือยังหล่ะ??”อเดลล่าถามไป

    “เราพยายามอยู่ค่ะ แต่โฉงฉางไม่ได้ ไม่งั้นเราลงหลุมแน่”แจนพูดขึ้น

    “แต่ว่า มีสองพี่น้องคู่หนึ่งกำลังจับตาเราอยู่ หนูคาดว่าน่าจะเป็นคนของอีวาแน่ค่ะ”เอลต้าพูดขึ้น

    “จริงเหรอ แล้วเธอจะทำยังไงกับทั้งสองคนหล่ะ??”อเดลล่าถามไป

    “เราจะพยายามสนิทกับเธอสองคน เพื่อให้เข้าถึงตัวเธอค่ะ” แจนพูดขึ้น

    “หวังว่าเราคงจะไม่โดนพวกมันจับได้ก่อนนะคะ”เอลต้าพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน อเดลล่าก็ยื่นซองอะไรบางอย่างให้กับทั้งสองคนไป ซึ่งด้านในมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเธอสองคนรีบรับมาในทันที

    “เอานี่ ค่าเสียเวลาของพวกเธอ!!”

    “ขอบคุณมากค่ะ!!”เอลต้าพูดขึ้น

    “ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะรีบมาบอกนะคะ”แจนพูดขึ้น

    “ยังไงก็โชคดีหล่ะ”อเดลล่าพูดขึ้น จากนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็เดินออกจากโบสถ์ไปในทันที

     

    ณ เพนเฮ้าส์ของมีอา ในวันนั้นเธอไม่มีธุระที่จะออกไปไหน เธอจึงออกไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในบ้านของเธอ และในระหว่างที่เธอกำลังว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ ในตอนนั้นเองคนของเธอคนหนึ่งก็เดินมาหาเธอเพื่อมาคุยอะไรบางอย่าง มีอาขึ้นจากน้ำมาแล้วคุยในทันที

    “คุณมีอาครับ มีข่าวมาจากในเมืองครับ”

    “มีอะไรหล่ะ ว่ามาเลย??”มีอาถามไป

    “มีการเผาร้านเหล้าซึ่งเบื้องหลังผลิตยาเสพติดหน่ะครับ”มีอาพูดขึ้น

    “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉันหล่ะ??”มีอาถามอย่างสงสัย

    “ร้านเสื้อผ้าที่คุณมีอาเปิดอยู่ตั้งอยู่ละแวกนั้น และพวก Crow เป็นกลุ่มที่ทำลายเครื่องผลิตยาพวกนั้นครับ”ลูกน้องของเธอพูดขึ้น ทำเอามีอาถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก

    “แบบนี้พวกนั้นอาจจะเพ็งเล็งร้านของฉันหน่ะสิ”

    “มีสิทธิครับ พวกนั้นไปปล่อยยาในเขตของ The Crow ทำให้กลุ่มของเขาเพ็งเล็งร้านแถวนั้นทุกร้านเลยครับ”

    “บ้าเอ้ย ฉันอยากเจอคุณนอร์วินเดี๋ยวนี้เลย”มีอาพูดขึ้น

    “แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนนะครับ??”

    “ส่งคนไปดูตามเขตของพวกนั้น ถ้าเจอตัวเขาก็ให้ส่งข้อความถึงเขาเลย”มีอาพูดขึ้น

    “แล้วทำไมเราไม่ไปคุยกับหัวหน้าใหญ่ของแก๊งค์เลยหล่ะครับ??”

    “พวกนั้นถ้าเป็นระดับสูงๆเข้าถึงตัวได้ยากจะตาย เอาเป็นว่าไปจัดการตามนั้นแล้วกัน”มีอาสั่งลูกน้องของเธอไป

     

    กลับมายังบ้านของเอลเซ่ ซึ่งก็ดูจะปกติเหมือนกับทุกวัน แต่เมื่อเธอกลับมาที่บ้าน ในตอนนั้นเองเธอก็เห็นน้องชายของเธอกำลังใส่ชุดทหารอยู่ เอลเซ่รีบไปถามเขาในทันทีว่าเขาใส่ชุดทหารทำไมกัน

    “อาร์ตี้ นายใส่ชุดทหารทำไมเนี่ย??”

    “พี่ไม่รู้เหรอ เราประกาศสงครามกับเยอรมันแล้ว ทางฝรั่งเศสต้องเกณฑ์ทหารไปแนวหน้าหน่ะ”

    “แล้วนี่ พ่อแม่จะว่ายังไงหล่ะ??”เอลเซ่ถามไป

    “เราจะทำยังไงได้ล่ะ อาร์ตี้ต้องไปทำตามหน้าที่ อัลโก้ก็เพิ่งจะแต่งงานไป อาร์ตี้เลยต้องไปแทน”แม่ของเธอพูดขึ้น

    “เฮ้อ สงครามครั้งแรกเสียไปเท่าไหร่ นี่ยังจะมีครั้งที่สองอีก” พ่อของเขาพูดขึ้น จากนั้นเองอาร์ตี้ก็ถือกระเป๋าเดินออกจากบ้านไป และในตอนนั้นเอง เอลเซ่ก็เดินไปหาเขาก่อนที่เขาจะไปในทันที

    “อาร์ตี้ นายต้องกลับมาให้ได้นะ!!”

    “ขอบคุณครับพี่ แต่พี่ไม่ต้องห่วง ผมจะรีบกลับมา”

    “แล้วพวกเราจะรอนายนะ”เอลเซ่พูดไป

    “ขอบคุณมากครับพี่”อาร์ตี้พูดขึ้นจากนั้นก็กอดพี่สาวของเขา และในตอนนั้นเองก็มีรถบัสคันหนึ่งมารับตัวเขาไป เอลเซ่แอบร้องไห้อยู่ตรงนั้นจากนั้นก็กลับเข้าไปในบ้านทันที


    “พ่อคะ อาร์ตี้จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ??”เอลเซ่ถามอย่างสงสัย

    “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ขอพระเจ้าคุ้มครองเราทุกคนด้วย”พ่อของเอลเซ่พูดทิ้งท้ายไว้

     

    ณ บ้านพักหลังหนึ่งกลางปารีส ชายคนหนึ่งได้ขับรถเข้ามาที่บ้านหลังนั้น จากนั้นก็หิ้วผู้หญิงคนหนึ่งลงจากรถมาด้วย โดยที่ชายคนนั้นก็พาผู้หญิงเข้าไปในบ้าน และอีกด้านหนึ่ง ชินาอิก็เดินตามชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน ชินาอิสะเดาะกลอนประตูเข้าไปด้านใน และก็ชักปืนออกมาและเดินไปยังเตียงนอนซึ่งชายคนนั้นพาผู้หญิงขึ้นเตียง และเมื่อชินาอิเดินเข้าไป ชายคนนั้นก็ตกใจในทันที เขาพยายามจะไปคว้าปืนแต่ชินาอิได้เตะปืนของเขาจนร่วง จากั้นก็เอาปืนจ่อที่หัวเขา

    “ชาร์ลล คาลอสสินะ??”

    “ใครส่งแกมาวะ??”ชาร์ลลตะโกนถามไป

    “ไม่ต้องเสือกรู้หรอก”ชินาอิพูดขึ้นจากนั้นก็ยิงหัวชาร์ลลไป ส่วนหญิงสาวที่มากับเขาก็โดนเก็บไปด้วย

    “ปังๆๆๆ”

    ชินาอิในตอนนั้นหลังจากที่สังหารเป้าหมายเสร็จ เขาก็ไปหยิบเอาแกนลอนน้ำมันจากด้านล่างมา จากนั้นก็ราดไปจนทั่วห้องนอน จากนั้นก็จุดไฟเผาห้องไปในทันที

    “พรึ่บ!!”

    และเมื่อไฟเริ่มลุกโชน ชินาอิก็รีบหนีออกจากบ้านไปทางประตูหลัง โดยที่เขาใช้วิธีลัดเลาะผ่านป่าเพื่อไม่ให้ใครสงสัย หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ในทันที แต่บ้านของชาร์ลลก็ได้มอดไหม้ไปทั้งหลังแล้ว

     

    กลับมายังธนาคารใหญ่กลางกรุงปารีส ลิริก็กำลังทำบัญชีให้กลุ่มแก๊งค์ทุกคนในประเทศและส่งเงินไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพวกเขารับฝากเงินหมดไม่ว่าจะจากใคร หลังจากที่เธอทำบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เอาบัญชีให้กับลูกน้องของเธอที่เป็นคนขับรถขนเงินในทันที

    “เอานี่ เอาไปบันทึกที่ธนาคารเรา บันทึกให้หมดหล่ะ”

    “รับทราบครับ!!”ลูกน้องของเธอพูดไป

    “จะมีใครฝากเงินเพิ่มอีกหรือเปล่าหล่ะ??”ลิริถามไป

    “ก็ไม่มีแล้วนะครับวันนี้”ลูกน้องของเธอพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีคนมายื่นเช็คอะไรบางอย่างให้กับเธอ ซึ่งในตัวเช็คนั้นเป็นเช็คที่ไม่ระบุเงินมาด้วย

    “ขอถอนเงิน 50 ล้านฟรังก์ เงินสดครึ่งหนึ่ง ทองคำครึ่งหนึ่ง ขนเงินไปให้ตามที่อยู่ที่เราบอก”ชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำพูดขึ้น

    “คุณต้องมีลายเซ็นต์ของเจ้าของเงินด้วยนะ”ลิริพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เซ็นต์เช็คไป และยื่นให้ลิริ และในตอนนั้นเอง เธอก็ตรวจสอบเช็คใบนั้นในทันที ปรากฏว่าเป็นเช็คของจริง ทำเอาลิริถึงกับตกใจมาก

    “คุณจะถอน 50 ล้านเลยงั้นเหรอ??”

    “แน่นอน เงินสดและทองตามที่บอก”ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “ได้เลย มีค่าดำเนินการ 100000 ฟรังก์นะคะ”ลิริพูดขึ้น

    “ตกลง ผมจะช่วยเหลือเรื่องการขนเงินเอง”ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นลิริก็เข้าไปด้านในคลังเก็บเงิน แล้วเตรียมเบิกทั้งเงินและทองคำแท่งให้ชายคนนั้นในทันที

     

    สำนักงานกาชาดสากล กรุงปารีส หลังจากที่ทางฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับทางเยอรมันเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้นเองทางกาชาดสากลก็ได้ระดมเจ้าหน้าที่เป็นการด่วนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาด้านในสำนักงาน และมารายงานตัวกับหัวหน้าของเธอในทันที

    “วาลเดรีย แอสไฟน์ เรนาวอส ชื่ออ่านยากเหมือนกันนะ”

    “ค่ะท่าน เรียกฉันว่าวาลเดรียก็ได้ค่ะ”เธอตอบไป

    “อืม คุณเป็นเจ้าหน้าที่มือดี รายงานจากในตุรกีบอกว่าคุณช่วยทหารอังกฤษไว้หลายนายเลย”

    “ค่ะ ช่วงสงครามครั้งแรกค่ะ”วาลเดรียตอบไป

    “งานนี้อาจจะไม่ง่าย พวกนาซีเยอรมันคงไม่สนคุณธรรมอะไรหรอก”

    “ดิฉันทราบค่ะ แต่ดิฉันทำงานได้”

    “ดี ยินดีนะที่ได้คนแบบนี้มาร่วมงาน คนส่วนใหญ่เห็นแก่ชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น”

    “ดิฉันทราบค่ะ”วาลเดรียพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ตอนนี้คุณพักที่นี่ไปก่อน อีกไม่นานเราคงได้ทำงานหนักแน่ๆ”

    “รับทราบค่ะ!!”วาลเดรียตอบไป

     

    ณ คอนโดแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ซึ่งเป็นห้องสุดหรูสำหรับแขกที่มีเงินถุงเงินถัง ซึ่งเจ้าของห้องนั้นก็คือลาเกียครูซนั่นเอง เขานั่งจิบไวน์อยู่ในห้อง โดยมีเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเล่นให้เขาฟังด้วย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกน้องของเขาก็เดินมากระซิบที่ข้างหูเขาในทันที

    “คุณหนูครับ ทางฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วครับ!!”

    “หือ แล้วมันยังไงกันหล่ะ??”ลาเกียครูซถามไป

    “พวกเขาอาจจะตามจับคนยเอรมันที่อยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ”

    “จะให้ฉันกลับเหรอ ไม่อ่ะ อยู่ฝรั่งเศสก็สบายอยู่แล้ว อีกอย่างชื่อเจ้าของที่นี่ก็ไม่ใช่ชื่อเรา สบายอยู่แล้ว”ลาเกียครูซพูดขึ้น

    “แบบนี้ทางเยอรมันอาจคุ้มครองเราไม่ได้นะครับ??”

    “ช่างหัวมันดิ เยอรมันก็แค่ประเทศที่หาเงิน ถ้าไอ้พวกโง่มันจะรักประเทศบ้านเกิดที่มีผู้นำปัญญาอ่อนก็ช่างหัวมันดิ”ลาเกียครูซพูดอย่างไม่แยแส

    “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อหล่ะครับ??”

    “ไปหาเงินที่บ่อนสิ นายก็รู้นี่เรื่องพนันนี่ฉันไม่แพ้ใครอยู่แล้ว”ลาเกียครูซพูดขึ้น

    “แล้วจะไปที่บ่อนไหนหล่ะครับ??”

    “นายไปหามาแล้วกัน ที่เหลือฉันจัดการเอง”ลาเกียครูซสั่งลูกน้องของเขา จากนั้นตัวเขาก็นั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์ต่อไป

     

    ที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งในย่านปารีส ห้องเช่าของเกลนนิส ซึ่งเธอพาการ์เน็ตต้ามาอยู่ด้วยเพื่อพาการ์เน็ตต้าหนีจากการตามตัวของตระกูลของเธอ เพราะในตอนนั้นเองเกลนนิสรู้ว่าการ์เน็ตต้าเป็นใคร ในขณะเดียวกันนั้นเอง เกลนนิสก็กำลังสืบข่าวอะไรบางอย่างบนโต๊ะของเธอ การ์เน็ตต้าที่ชงกาแฟมาให้เธอก็เอาวางไว้ที่โต๊ะของเธอในทันที

    “นี่ กำลังทำอะไรอยู่เหรอ??”การ์เน็ตต้าถามอย่างสงสัย

    “อ้อ กำลังสืบเรื่ององค์กร Darkest ในอเมริกาอยู่หน่ะ ได้ยินว่าองค์จักรพรรดินีจะเดินทางมาฝรั่งเศสด้วย”

    “มันคือองค์กรอะไรกันเหรอ??”การ์เน็ตต้าถามไป

    “องค์กรลับนี่มีต้นกำเนิดในสหรัฐ มีมาเป็นร้อยปีแล้วนับแต่ช่วงก่อตั้งประเทศ พวกเขามีอิทธิพลในระดับโลก ในยุโรปก็มีสาขามากมาย แต่สาขาในเยอรมันก็ล่มสลายไปแล้ว ผู้ปกครองสูงสุดได้ยินว่าเป็นองค์จักรพรรดินีที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากคนเก่า แต่เราไม่รู้ว่าเธอมีตัวตนจริงหรือเปล่า??”เกลนนิสบอกไป

    “ฉันอยากทำงาน ฉันไม่อยากอยู่เปล่าๆแบบนี้หรอก”การ์เน็ตต้าพูดขึ้น

    “แล้วคุณจะไปทำงานอะไรหล่ะ??เอางี้ มาช่วยหาข่าวให้ฉันหรือเปล่าหล่ะ ฉันทำงานอยู่สำนักข่าวฟรังก้า อยากลองหรือเปล่าหล่ะ??”เกลนนิสถามไป

    “ยังไงก็ได้ ฉันไม่อยากอยู่แบบเปล่าๆยังไงหล่ะ”การ์เน็ตต้าพูดขึ้น

    “ก็ดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปพบกับใครคนหนึ่งหน่อยหน่ะ”เกลนนิสตอบเธอไป

     

    ท่าเรือกองทัพแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสอลิซที่เพิ่งจะกลับมาถึงในตอนนั้น เธอต้องช่วยกันกับทีมวิศวกรเพื่อต่อเรือในการโจมตีกองทัพเรือเยอรมันที่กำลังบุกโจมตีมา เธอเช็คการทำงานของเรือทุกซอกทุกมุมเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมีปัญหา

    “เราต้องเพิ่มอาวุธตรงนั้นหน่อยเพราะอาวุธมีน้อยมาก แล้วอีกอย่าง เรือเล็กไม่ต้องมีปืนใหญ่ขนาดนั้นหรอก”อลิซพูดขึ้นกับช่างคนอื่นๆ

    “คุณอลิซครับ เรือประจัญบานของเราตอนนี้กำลังรออะไหล่อยู่ ทำยังไงดีครับ??”เสียงช่างคนหนึ่งตะโกนถามเธอไป

    “ก็ดูแลไปพลางๆจนกว่าอะไหล่จะมาแล้วกัน”อลิซพูดขึ้น

    “หวังว่ากองเรือของพวกเยอรมันจะไม่เข้มแข็งนะครับ”ช่างคนหนึ่งบ่นกับเธอไป

    “เราไม่ควรประมาท เยอรมันพัฒนาอุตสาหกรรมดีกว่าเรามาก”อลิซพูดขึ้น

    “แล้วทางอังกฤษจะว่ายังไงหล่ะครับเนี่ย??”

    “พวกเขาไม่ทิ้งเราหรอก เลิกฟุ้งซ่านได้หล่ะ”อลิซพูดขึ้น จากนั้นก็คุมลูกน้องของตัวเองต่อ และอีกด้านหนึ่งของแนวรบ น่านฟ้าชายแดนฝรั่งเศส เยอรมัน ริชาร์ดและกองบินของเขาได้บินลาดตระเวนเหนือพื้นที่เพื่อดูความเคลื่อนไหวของกองทัพเยอรมัน แต่ในระหว่างที่เขากำลังบินอยู่ จู่ๆก็มีเครื่องบินของเยอรมันบินมาใกล้พวกเขา ทำเอาริชาร์ดถึงกับต้องถอยกลับมาในทันที

    “ลุฟวาฟใกล้เข้ามาแล้ว รีบสลัดมันให้หลุดและหนีกลับมา!!”

    ริชาร์ดวอบอกนักบินคนอื่นๆ จากนั้นเขาก็ขับวนกับเมฆบนท้องฟ้า พยายามจะสลัดตัวเองให้หลุดออกมา แต่ในตอนนั้นเองก็มีเครื่องของพวกมันไล่ตามริชาร์ดมา ริชาร์ดขับตีลังกาหลบมันจากนั้นก็ยิงเครื่องของมันจนตก เขามองลงไปด้านล่างเห็นเครื่องบินของมันร่วงลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว

    “ทำได้ดีมากริชาร์ด!!”

    “หน้าที่หน่ะ รีบกลับบ้านก่อนเร็ว!!”ริชาร์ดพูดขึ้น จากนั้นก็รีบขับเครื่องกลับฐานไปในทันทีก่อนที่พวกมันอีกฝูงจะตามมา

     

    ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รอสและอัลเฟรดที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาถึง ในตอนนั้นเองพวกเขาก็มีรถทหารมารอรับอยู่ที่สนามบิน โดยที่มีทหารคนหนึ่งกำลังรอพวกเขาสองคนอยู่พอดี

    “ขอต้อนรับกลับอังกฤษนะครับท่าน!!”

    ทหารคนนั้นเปิดประตูให้ทั้งสองคนเข้าไปในรถ และในตอนนั้นเอง ชายแก่คนหนึ่งก็กำลังรอพวกเขาทั้งคู่ในรถ และเมื่อพวกเขาทั้งคู่ขึ้นรถ รถก็เดินทางออกจากสนามบินในทันที

    “อากาศที่ฝรั่งเศสคงจะดีมากเลยนะ คุณรอส คุณอัลเฟรด??”

    “คุณมอนโกเมอรี่ ยินดีที่ได้พบคุณอีกนะ”รอสจับมือกับเขาไป

    “นั่นสิ ไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย??”อัลเฟรดพูดเสริม

    “ก็น่าจะนานแล้วสินะ เชมเบอเลนเพิ่งจะประกาศสงครามกับเยอรมันไป งานนี้ได้นองเลือดอีกแน่ๆ”มอนโกเมอรี่พูดขึ้น

    “ใช่ แถวพวกสวะบางตัวก็ยังแฝงตัวอยู่ในฝรั่งเศสด้วย ผมเกือบเอาตัวไม่รอด”รอสพูดขึ้น

    “นั่นสิ แล้วเรามีแผนจะตอบโต้พวกเขาหรือยัง หรือจะรอให้พวกเขายึดโปแลนด์ไปก่อน??”อัลเฟรดถามไป

    “ใจเย็นๆสิ ผมว่าเราไปคุยกันที่สำนักงานก่อนดีกว่า”มอนโกเมอรี่พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันต่อเพื่อไปยังศูนย์บัญชาการทหารของอังกฤษในทันที

     

    กลับมายังห้องนอนของนาวิน ในยามค่ำคืนนี้ เขาก็กลับมาพักผ่อนเพื่อเอาแรงไว้ อีกไม่กี่วันเขาจะพาแม่และน้องมาดูบ้านพักใหม่ของเขา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาในห้องของเขา นาวินได้ยินตอนนั้นก็รีบรับโทรศัพท์ในทันที

    "นอร์วิน นายทำอะไรอยู่??"

    "ผมกำลังพักผ่อนหน่ะ มีอะไรหรือเปล่าครับ??"

    "มาที่คาสิโนดูแรนด์ เอาปืนมาด้วย ฉันจะให้นายคุยกับใครคนหนึ่ง มาด่วนเลย!!"

    นาวินได้ยินดังนั้นก็แปลกใจและวางสายไป แต่เขาก็รีบแต่งตัวแล้วขับรถออกไปยังย่านดาวน์ทาวน์ คาสิโนตระกูลดูแรนด์ นาวินขับรถไปจอดที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในคาสิโนทันที ในตอนนั้นเอง ทอร์รินก็โบกมือให้สัญญาณกับนาวิน นาวินรีบไปนั่งที่โต๊ะส่วนตัวที่ทอร์รินจองไว้ ในตอนนั้นเองทอร์รินกำลังนั่งอยู่กับชายคนหนึ่ง นาวินไปนั่งแล้วก็ทักทายกับทอร์รินในทันที

    "นอร์วิน คนนี้คือคุณไวท์แฟรงค์ มือขวาของท่านนักการเมืองเยอรมันฝ่ายซ้ายที่หนีมาที่นี่หน่ะ" ทอร์รินพูดขึ้น จากนั้นนาวินก็จับมือกับเขาในทันที

    "คุณสินะ มือดีที่คุณทอร์รินว่า??" ไวท์แฟรงค์ถามเขาไป

    "ก็ใช่ครับ ว่าแต่ เรียกผมมาที่นี่ทำไมครับ??" นาวินหันไปถามทอร์ริน

    "คุณไวท์แฟรงค์ต้องการความช่วยเหลือของแก๊งค์เราหน่ะ แต่นี่หัวหน้าเรายังไม่รู้" ทอร์รินพูดขึ้น

    "แล้วพวกเราจะได้อะไรกันหล่ะ??" นาวินถามไป

    "ผมมีค่านายหน้าให้พวกคุณสองคนคนละ 5000 ฟรังก์ ถ้าคุณให้เราติดต่อกับหัวหน้าพวกคุณได้" ไวท์แฟรงค์พูดขึ้น

    "ว่าแต่ หัวหน้าจะไม่ว่าอะไรเหรอ??" นาวินถามพลางดื่มเหล้าไปด้วย

    "ไม่หรอก ไม่มีกฎห้ามไม่ให้คุ้มครองคนนอกที่ไหนกันหล่ะ แล้วอีกอย่าง ฉันลองสืบเรื่องของพวกดูแรนด์แล้วนะ ฉันได้ยินว่าพวกมันอาจจะมีส่วนในการปล่อยยาในเขตของเราก็ได้" ทอร์รินพูดขึ้น

    "คุณไอรีนเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอสั่งห้ามขายยาเสพติดในเขตของเธอนี่ หรือเธออาจจะมีฐาติหรือลูกน้องมาแอบอ้างก็ได่" นาวินออกความเห็นไป

    "ถ้าเป็นไปได้มากที่สุดก็คือออเรียส ดูแรนด์ พี่ชายห่างๆของเธอ หลังจากที่เขาชวดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์ เขาก็หายเข้ากลีบเมฆ แต่ไม่แน่นะ มันอาจจะอยู่เบื้องหลังก็ได้" ทอร์รินพูดขึ้น

    "ว่าแต่ คุณจะพาผมไปเจอหัวหน้าพวกคุณเมื่อไหร่กันหล่ะ??" ไวท์แฟรงค์ถามอย่างสงสัย

    "พรุ่งนี้เลยครับ นาวิน ถ้านายว่าง นายไปกับฉันเลย" ทอร์รินพูดขึ้น

    "ได้เลยครับผม" นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ชนแก้วเหล้าดื่มกันต่อ ซึ่งในขณะเดียวกัน จู่ๆชายสองคนแถวนั้นก็แอบมองพวกเขา และใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่อกับใครบางคนอย่างรวดเร็ว

    ===============================================================

    ดูเหมือนว่านาวินและทอร์รินกำลังโดนเพ่งเล็งอยู่ และความลับของกลุ่ม The Crow ยังมีอะไรที่ยังไม่เปิดเผยกันแน่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลหนูด้วย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×