คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 4 : งานชิ้นแรก
หลังจากที่นาวินเพิ่งจะใช้หนี้ให้กับครอบครัวของเขาเสร็จ เขาก็พานอร์ดี้ไปส่งที่บ้านในทันที เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็พานอร์ดี้กลับไปหาแม่ของเธอในทันที ส่วนตัวนาวินก็เดินไปหาแม่ของเขาด้วย
“กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นยังไงบ้างหล่ะ??”แม่ของเขาถามไป
“ก็ดีครับแม่ แม่ครับ ผมใช้หนี้ให้แม่หมดแล้วนะครับ”นาวินพูดขึ้น
“นี่ลูกไปหาเงินมาจากไหน??”แม่ของเขาถามไป
“ไม่ต้องห่วงครับแม่ รับรองว่าถูกกฎหมายแน่นอนครับ แม่ครับ แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อแล้วนะครับ ผมจัดการแล้ว”นาวินพูดขึ้น
“นี่ลูกพูดอะไรของลูกเนี่ย??เกิดอะไรขึ้นกับพ่อเหรอ??”แม่ของเขาถามนาวินไป แต่นาวินไม่อยากจะบอกตรงๆ เลยตอบไปว่า
“พ่อเกิดอุบัติเหตุ แต่แม่ไม่ต้องห่วง ผมไปคุยกับเจ้านายพ่อแล้ว เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้แล้วครับ ต่อไปนี้คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะครับ”นาวินพูดขึ้น
“งั้นเหรอลูก เงินนั้นก็เอาไปใช้หนี้ซะนะลูก ต่อไปนี้แม่กับนอร์ดี้จะได้ไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆซะที”แม่ของเขาพูดขึ้น
“เชื่อผมนะแม่ ต่อไปนี้ผมจะให้แม่อยู่สุขสบาย แม่จะได้ไม่ลำบาก ผมรับรอง” นาวินพูดขึ้น
“หนูเชื่อพี่นะคะ ไม่ว่าพี่จะเป็นยังไง หนูก็รักพี่นะคะ”นอร์ดี้พูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะครับแม่ ผมจะรีบหาบ้านใหม่ให้เราสองคน ผมจะหาร้านใหม่ให้แม่ด้วยครับ”นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็กอดแม่และนอร์ดี้ไว้ แต่ในใจของเขาตอนนี้ เขาคงต้องรีบทำงานและสร้างตัวเพื่อให้แม่และน้องของเขาได้อยู่สบายซะที
3 วันต่อมา ณ โกดังร้างแห่งหนึ่งในย่านอุตสาหกรรม
“ตุ๊บๆๆๆ”
นาวินกำลังต่อยหน้าชายคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจะจับตัวมาได้ เขาต่อยหมอนั่นเพื่อที่จะเค้นความลับอะไรบางอย่างจากมัน
“บอกมา แกรับผงมาจากใครวะ??”นาวินถามมันไป
“ผมไม่รู้ชื่อ แต่ได้ยินว่ามันมีบาร์เล็กๆชื่อไลโคร ผมรู้แค่นี้จริงๆ”ชายคนนั้นตอบไป
“ได้เลย เอาตัวรอดเองแล้วกัน!!”นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็ต่อยหมอนั่นจนสลบ แล้วก็แก้มัดหมอนั่นออกมา แล้วทิ้งร่างชายคนนั้นไว้ในโกดัง ส่วนตัวของนาวินก็เดินออกมาจากโกดัง โดยที่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทอร์รินก็ขับรถมารับเขาที่ด้านหน้า
“รีบไปเร็ว ตำรวจจะมากันแล้ว!!”
นาวินรีบขึ้นรถ จากนั้นรถคันนั้นก็รีบบึ้งออกไปจากโกดังในทันที ก่อนที่รถตำรวจสองคันจะมาค้นในพื้นที่
“ใครมันไปแจ้งตำรวจมากันเนี่ย??”นาวินถามอย่างสงสัย
“คงจะเป็นคนแถวนี้แหละ นายนี่เก็บงานไม่ค่อยจะเนียนเลยนะ”ทาเนียพูดขึ้น
“อ้อ มันบอกว่ามันรู้แค่ที่อยู่ของดีลเลอร์รายใหญ่อยู่ที่บาร์ไลโครในเมืองครับ”นาวินพูดขึ้น
“จริงเหรอ ฉันไปสอบไอ้กุ๊ยตัวนึงมาเมื่อสองวันก่อน มันก็บอกแบบนี้เหมือนกัน” แอ็กเซลพูดขึ้น
“ถ้างั้นพวกมันคงต้องอยู่ที่บาร์นั่นแน่ๆ ฉันว่าเราไปดูลาดเลาและแจ้งข่าวให้คุณเควินดีกว่า นี่คนขับ พาเราไปที่บาร์นั่นที!!”ทอร์รินบอกคนขับไป จากนั้นคนขับก็ค่อยๆพาพวกเขาเดินทางไปยังบาร์แห่งนั้นในทันที
“นอร์วิน นายรู้เรื่องไอ้อ้วนโคลินหรือยัง??”ทอร์รินถามเขาอย่างสงสัย
“คุณโคลิน เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ??”นาวินถามเขาไป
“ไอ้อ้วนนั่นมันโดนเก็บแล้วหน่ะสิ แต่ตายซะได้ก็ดี!!”แอ็กเซลพูดขึ้น
“ใช่ เพราะถ้ามันไม่ตาย เราคงไม่รู้ว่ามันก็แอบลักลอบขายผงด้วย”ทาเนียพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น ใครจะคุมท่าเรือกับโกดังในเขตนั้นต่อหล่ะครับ??”นาวินถามไป
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้คุณเควินคงรักษาการณ์ไปก่อน จนกว่าจะหาคนที่เหมาะสมได้หล่ะนะ”ทอร์รินพูดขึ้น นาวินจำใจต้องเออออห่อหมกไปด้วยเพราะไม่อยากให้ใครรู้ และในขณะเดียวกันนั้นเอง รถของพวกเขาก็มาถึงบาร์ไลโครซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมือง สภาพหน้าร้านดูค่อนข้างโทรมไม่ค่อยน่าเข้า แต่ก็ยังมีลูกค้าบางคนเดินเข้ามาแวะเวียนไม่เคยขาด พวกเขาสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
“ทำไมคนเข้าร้านมีแต่พวกกุ๊ยทั้งนั้นเลย??”ทาเนียถามอย่างสงสัย
“มันอาจจะรับผงมาปล่อยต่อก็ได้”แอ็กเซลพูดขึ้น
“ถ้าสาวถึงด้านใน ไม่แน่อาจจะมีแท่นผลิตเองเลยก็ได้”นาวินพูดขึ้น
“เห็นด้วย ถ้างั้นฉันจะโทรหาคุณเควินก่อน รอนี่นะ!!”ทอร์รินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะในทันที และเมื่อเขาต่อสาย เขาก็คุยกับเควินในทันที
“คุณเควิน เราสืบเรื่องการปล่อยผงในเขตของเราได้แล้วครับ เราคาดว่าต้นเหตุน่าจะมาจากบาร์ในเมืองที่ชื่อไลโครครับ เราสอบถามไอ้พวกเด็กเดินยาแถวนั้น พวกมันตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยครับ”
“งั้นเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับคุณแจ็คสัน แล้วจะติดต่อไป”เควินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องของแจ็คสัน ซึ่งในตอนนั้นเองปิแอร์ก็อยู่ในห้องด้วย
“แจ็คสัน เราสืบมาแล้ว แหล่งข่าวบอกมาว่าต้นกำเนิดมาจากบาร์แห่งหนึ่งในเมืองครับ ตอนนี้พวกของทอร์รินกำลังสังเกตการณ์อยู่ครับ”เควินพูดขึ้น
“เย็นไว้ก่อน นั่นอาจจะเป็นกับดักก็ได้”แจ็คสันพูดขึ้น
“เห็นด้วย พวกมันบอกเป็นเสียงเดียวกัน อาจจะบอกให้เราไปที่นั่นก็ได้”ปิแอร์พูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น บอกพวกของเราให้หาทางเข้าไปแบบเงียบๆ ถ้าพวกมันมีเครื่องผลิตยาตามที่ว่า ทำลายทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือ หรือถ้าให้ดี เค้นความลับพวกมันด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลัง ฉันอยากรู้ว่าพวกไหนมันบังอาจมาลูบคมฉัน”แจ็คสันพูดขึ้น
“ได้เลย เดี๋ยวผมจะดูให้”เควินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็รีบเดินกลับไปยังโทรศัพท์ แล้วคุยกับทอร์รินในทันที
“ทอร์ริน บอกพวกพ้องของนาย เตรียมตัวให้พร้อม พวกนายต้องเข้าไปในนั้นแบบเงียบๆ ถ้าเจอเครื่องผลิตยาเมื่อไหร่ จัดการทำลายให้หมด แต่ถ้ามีการปะทะ ตัดสินใจแก้ปัญหาเอาเองดู” เควินพูดขึ้น
“ได้ครับคุณเควิน!!”จากนั้นเควินก็วางสายไป แล้วก็รีบกลับไปขึ้นรถที่พวกของนาวินนั่งรออยู่
“ได้เรื่องยังไงบ้างครับคุณเควิน??”นาวินถามอย่างสงสัย
“คืนนี้ เราจะบุกเข้าไปด้านในแบบเงียบๆ ค้นหาและทำลายเครื่องผลิตยาให้หมด”เควินพูดขึ้น ในขณะที่เสียงวิทยุก็รายงานข่าวมาว่า อังกฤษและฝรั่งเศสเตรียมประกาศสงครามกับเยอรมันเพื่อปกป้องโปแลนด์ พวกเขาในตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“สงสัยที่คาร์ลกับโซเฟียกลับไปก็เพราะสาเหตุนี้สินะ??”แอ็กเซลพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก สองคนนั้นรู้ดีว่าต้องทำยังไง คืนนี้เราเตรียมลุยดีกว่า ใช้อาวุธเก็บเสียงกันนะทุกคน”ทาเนียพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นปืนกลสั้นเก็บเสียงหนึ่งกระบอกให้กับนาวินใช้ลุยในคืนนี้
ที่บาร์ลึกลับแห่งเดิมของแก๊งค์ Black Hoodอีวาและแซนเดอร์ได้จัดการวางแผนการกระจายสินค้าของพวกเขาไปยังห้างร้านต่างๆเพื่อหาตัวแทนจำหน่ายให้ โดยที่เธอได้ส่งโอลิเวียและอิซาเบลไปตรวจสอบด้วยว่าการซื้อขายเป็นไปได้ด้วยดีหรือเปล่า หลังจากที่พวกเขาดำเนินการได้ประมาณสองวัน ทั้งสองคนก็กลับมายังบาร์ของBlack Hoodแล้วรายงานผลให้อีวารู้ในทันที
“อ้าว ทั้งสองคนหน่ะ คนของเราเอาของไปลงแล้ว เป็นยังไงบ้าง??”แซนเดอร์ถามทั้งสองคนไป
“ก็เริ่มมีคนซื้อบ้างแล้วค่ะพี่ แต่ก็ยังไม่มาก แต่โดยรวมไม่มีปัญหาค่ะพี่” อิซาเบลตอบไป
“ดีแล้วหล่ะ เราต้องดำเนินการแบบเงียบๆ ส่งข่าวไปให้เด็กของเราด้วย ให้พวกเขากระจายข่าวไป”อีวาพูดขึ้น
“เดี๋ยวจัดการให้เลยค่ะพี่”โอลิเวียพูดขึ้น
“เออพี่คะ มีเด็กใหม่สองคนมาทำงานที่ห้างของเราด้วย ยัคก้าเป็นคนแนะนำมาค่ะ”อิซาเบลบอกอีวาไป
“ใช่ค่ะ ท่าทางสองคนนี้จะไม่ธรรมดาเลยนะคะ??”โอลิเวียพูดขึ้น
“ปกติคนอย่างยัคก้าจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ แสดงว่าเธอสองคนนี้ต้องพอตัวเลยหล่ะ”แซนเดอร์พูดขึ้น
“จับตาดูไว้แล้วกัน ถ้าเป็นสายให้ทางการ พาตัวมาให้ฉัน”อีวาพูดขึ้น
“สองคนนั้นดูไม่น่าจะเป็นสายหรอกนะคะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าพี่ต้องการเดี๋ยวหนูจัดให้”อิซาเบลพูดไป
“เธอสองคนอย่าประมาทแล้วกัน ไม่งั้นเราอาจเจอดีก็ได้” แซนเดอร์พูดขึ้นจากนั้นก็ให้ทั้งสองคนกลับไปทำงานกันต่อ
ที่คาสิโนดูแรนด์ หลังจากที่เธอเรียกประชุมเหล่าUnderboosและCapoของเธอเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้นเธอก็เรียกรถเพื่อเดินทางออกไปเคารพหลุมศพของคุณปู่ของเธอ โดยที่เธอให้โทไบอัสและคนอื่นๆช่วยคุ้มกันเธอด้วย เพราะเธอไม่รู้ว่าออเรียสกำลังคิดจะทำอะไรกับเธอ และเมื่อเธอขึ้นรถ เธอก็ออกเดินทางในทันที ระหว่างทางเธอก็คุยกับคนอื่นๆในรถด้วย
“เฮ้อ ใจหายเหมือนกันตอนที่คุณปู่เสียไปหน่ะ”ไลท์นิ่งพูดขึ้น
“ยังจำได้เลย ในตอนนั้นเหลือแค่ออเรียสกับพี่ไอรีนที่จะต้องได้ตำแหน่ง แต่คุณปู่ยกให้พี่หน่ะ”สตีฟตอบไป
“ถ้าเลือกได้ ฉันขอให้คุณปู่กลับมาดีกว่า”ไอรีนตอบพวกเขาไป
“แต่ก็ดีนะที่พี่ไอรีนได้ ถ้าออเรียสมันได้ไปหล่ะเขตเราต้องป่วนแน่ๆ”ฮันเตอร์พูดขึ้น และเมื่อพวกเธอมาถึงสุสานประจำตระกูลที่ตั้งอยู่ในสวนนอกเมือง พวกเธอก็วางดอกไม้ไว้เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับปู่ของเธอ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังเคารพหลุมศพปู่ของเธอ จู่ๆโทไบอัสก็ได้ข่าวอะไรบางอย่างมา จากนั้นเขาก็รีบไปกระซิบข้างหูเธอในทันที
“คุณไอรีนครับ เราตามเรื่องของชายหนุ่มที่คุณถามได้แล้วครับ”
“หือ นี่มันก็ผ่านมา 4 เดือนกว่าแล้วนะ แล้วเป็นยังไงหล่ะ??”ไอรีนถามอย่างสงสัย
“เขาเจอกับแม่ของเขาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ เขาทำงานให้กับพวกThe Crowครับ”
“หือ งั้นเหรอ ก็ไม่แปลกใจหรอก”ไอรีนพูดขึ้น
“จะให้เราจัดการเขาเลยหรือเปล่าครับ??”โทไบอัสถามไป
“อย่าเพิ่ง เราไม่อยากรบกับพวกเขาตอนนี้ รอดูไปก่อนก็แล้วกัน”ไอรีนพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินกลับไปขึ้นรถของเธอ แล้วก็เดินทางกลับคาสิโนของเธอในทันที
ที่สำนักงานของโลเปซ ในขณะที่เขากำลังนั่งทำงานไปตามปกติ โดยที่เขาได้นับเงินที่เขาเพิ่งจะได้มาด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขายิ้มออกเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันนั้นเอง เลขาของเขาก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วมารายงานอะไรบางอย่างกับเขาในทันที
“ท่านคะ มีข่าวมาจากเขตแซงเดอนีค่ะ!!”
“มีอะไรงั้นเหรอ ว่ามาเลย??”โลเปซถามไป
“ในเขตที่เรากำลังจะขาย ตอนนี้มีกลุ่มกุ๊ยข้างถนนมายึดไปแล้วค่ะ พวกนั้นมีอาวุธและไม่สนด้วยว่าใครเป็นใคร”เลขาพูดขึ้น
“จริงเหรอ สืบให้ได้ว่ามันเป็นพวกไหน ต้องเล่นงานพวกมันให้สาสม” โลเปซพูดขึ้น
“รับทราบค่ะ จะให้ฉันตามคนของคุณมาหรือเปล่าคะ??”เลขาของเขาถามไป
“ได้ เรียกมาเลย แล้วก็สืบมาด้วยว่าพวกมันเป็นใคร”
“รับทราบค่ะ!!”เลขาของเธอพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินออกไป ส่วนตัวเขาก็เปิดลิ้นชักโต๊ะของเขา แล้วก็หยิบปืนพกขึ้นมากระบอกหนึ่ง จากนั้นก็ใส่กระสุนไปเพื่อเตรียมจัดการพวกกุ๊ยที่มาป่วนในเขตของเขา
ณ ย่านๆหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตเวียตนามนัก ร้านเหล้าร้านหนึ่ง ซึ่งชาร์ลีในตอนนั้นก็ยืนอยู่ริมต้นไม้หน้าร้าน จนกระทั่งโจอี้และคนอีก 5 คนก็เดินมาหาเขา โจอี้ในตอนนั้นก็รีบทักทายชาร์ลีในทันที
“เฮ้ย โทษทีที่มาช้าหว่ะ!!”
“เออ ตรงเวลาดีนี่วันนี้”ชาร์ลีพูดขึ้น
“ร้านนี้ใช่หรือเปล่าวะที่นายใหญ่บอกหน่ะ??”โจอี้ถามไป
“ใช่ ร้านนี้แหละ ถ้าพร้อมก็ลุยเลย!!”
ชาร์ลีพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ควงไม้กระบองสั้นเดินเข้าไปในร้าน จากนั้นก็เข้าปะทะกับนักเลงในร้าน ชาร์ลีไล่ยำพวกมันจนมันล้ม จากนั้นคนอื่นๆก็ค่อยๆพังขวดเหล้าแถวนั้นไปด้วยเพื่อเป็นการสั่งสอนพวกมัน
“ต่อไปนี้อย่าเสือกมายุ่งกับเขตนี้อีกนะเว้ย!!”ชาร์ลีตะโกนไป และในตอนนั้นเอง โจอี้ก็ไปค้นที่เก็บเงินของพวกมัน และเอาเงินของมันมาบ้างส่วนด้วย
“นี่ถือเป็นค่าคุ้มครองนะเว้ย!!”โจอี้ตะโกนไป และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงหวอตำรวจดังมาแต่ไกล
“รีบไปเร็ว ตำรวจมา!!”ชาร์ลีพูดขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปทางหลังร้านในทันที ก่อนที่ตำรวจฝรั่งเศสจะตามมารวบตัวพวกเขา
ดันท์ซิช ประเทศโปแลนด์ ในขณะนั้นฟริตซ์และคนของเขาก็เดินทางมาจากเยอรมันอย่างรวดเร็ว เพื่อมาสำรวจพื้นที่ในเขตนั้นเพื่อใช้ในการทำธุรกิจของเขา โดยที่เขาได้นายทหารSS คนหนึ่งซึ่งเป็นคนของไรน์ฮาร์ด ได้มาเป็นไกด์ในการตรวจสอบพื้นที่ไปด้วย
“พื้นที่ในเขตนี้เราจะใช้เป็นเขตค่ายกักกัน เนื่องจากในเขตนี้มีทางรถไฟผ่านด้วย เราคงต้องสร้างสถานีใหม่ที่นั่นหน่ะครับ” นายทหารSS คนหนึ่งบอกกับฟริตซ์ไป
“อืม เยี่ยม ถ้าเราเกณฑ์เชลยชาวยิวมาได้ เราจะสามารถสร้างฐานการผลิตได้ดีเลยหล่ะ” ฟริตซ์พูดขึ้น
“ส่วนเรื่องพวกนักโทษชาวยิว พวกคุณจะทำยังไงหล่ะ??”
“ผมจะให้พี่ผมเป็นคนจัดการเอง” ฟริตซ์พูดขึ้น
“แล้วการขนส่งเครื่องจักรนี่จะทำยังไงกันหล่ะ??” วาลถามอย่างสงสัย
“เราจะส่งทางรถไฟ รอจนกว่าจะสร้างค่ายกักกันเสร็จเรียบร้อย แล้วเราจะเอาเครื่องมือมาติดตั้งเลย” ฟริตซ์พูดขึ้น
“ความคิดดีนี่ ถ้าเราผลิตของได้เยอะ เราจะส่งมันไปทุกที่เลย” วาลพูดขึ้น
“วาล เรื่องนั้นฉันต้องพึ่งเธอแล้วหล่ะ ให้ช่วยหาตลาดหน่ะ” ฟริตซ์พูดขึ้น
“แน่นอน ตอนนี้ฉันเตรียมการไว้แล้วหล่ะ” วาลพูดขึ้น
“ตอนนี้ฝรั่งเศสกับอังกฤษก็ประกาศสงครามกับเราแล้ว อีกไม่นานพวกนั้นคงต้องมาที่นี่แน่ๆ” ฟริตซ์พูดขึ้น
“แล้วเราจะเอายังไงหล่ะ พวกนั้นก็ใช่ว่าจะสู้ง่ายๆนะ??” วาลถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้องห่วงหรอก พวกฝรั่งเศสไม่ได้เข้มแข็งแบบเมื่อก่อนแล้ว คราวนี้หล่ะ พวกฝรั่งเศสจะได้รู้ซึ้ง” ฟริตซ์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆ ในพื้นที่แถบนั้น
เขตเยอรมัน 38 กิโลเมตรห่างจากกรุงวอร์ซอร์ มิลเลอร์ได้เดินทางไปพบกับผู้บังคับบัญชาของเขาที่กำลังรออยู่ในค่าย มิลเลอร์เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเขามาถึง เขาก็จับมือกับผู้บังคับบัญชาของเขา และเริ่มการสนทนาในทันที
“สวัสดีมิลเลอร์ ผมได้ยินข่าวที่หมู่บ้านแล้ว ทำได้ดีมากเลยวันนี้!!”
“ครับท่าน เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ” มิลเลอร์พูดขึ้น
“ท่านฮิมม์เลอร์ทราบเรื่องดีแล้ว ท่านเลยแต่งตั้งให้คุณเป็นร้อยเอก ร้อยเอก!!” นายพลคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็มอบเหรียญสดุดีให้กับเขาไป มิลเลอร์ในตอนนั้นก็วันทยหัตถ์เขาในทันที
“ขอบคุณมากครับท่าน!!”
“ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมบุกเข้าไปในวอร์ซอร์แล้ว งานนี้เดิมพันสูงมากๆเลยหล่ะผู้กอง ผมต้องการมือดีที่จะบุกโจมตีเข้าไป โดยมีการสูญเสียน้อยที่สุด” นายพลของเขาพูดขึ้น
“ถ้าเรื่องนั้นผมพอจะมีวิธีอยู่ครับท่าน” มิลเลอร์พูดขึ้น
“อืม ผมชอบคนหนุ่มแบบคุณจริงๆ เอาเป็นว่า งานนี้คุณจะทำยังไงก็ได้ให้เราบุกโปแลนด์โดยเร็วที่สุด โดยปะทะกับกลุ่มต่อต้านในพื้นที่ให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะพวกเจ้าพ่อในเขตนั้น เพราะท่านผู้นำของเรากำลังร้อนใจเลยในเรื่องนี้”
“รับทราบครับท่าน ผมจะรีบบุกวอร์ซอร์ในอึดใจ แบบไม่ให้พวกมันตั้งตัวเลย” มิลเลอร์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็วันทยหัตถ์ท่านนายพลแล้วเดินจากไป
อีกด้านหนึ่ง คาร์ลและลูเซียที่เพิ่งจะถูกเรียกตัวกลับไปยังเบอร์ลิน พวกเขาทั้งคู่ถูกเรียกให้รายงานตัว เรื่องที่พวกเขาทั้งคู่ได้รับมอบหมายก็คือ ในตอนนี้เขาต้องเตรียมตัวเพื่อตอบโต้อังกฤษและฝรั่งเศส และในตอนนี้ พวกเขาทั้งคู่ถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปยังฝรั่งเศสด้วย และเมื่อพวกเขาทั้งคู่ได้รบมอบหมายงาน พวกเขาก็มาปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที
“อีกไม่นานก็คงต้องบุกฝรั่งเศสแล้วสินะ??”ลูเซียถามคาร์ลไป
“ก็ใช่หน่ะสิ งานนี้คงต้องรีบแจ้งเตือนพี่แจ๊คสันหน่ะ”คาร์ลตอบไป
“ว่าแต่จะทำยังไงหล่ะ เราถูกปิดกั้นการสื่อสารอยู่นะ??”ลูเซียถามอย่างสงสัย
“ฉันรู้จักคนส่งข่าวคนหนึ่ง รับรองว่าเขาส่งไปได้แน่ๆ” คาร์ลพูดขึ้น
“ก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะ ไม่งั้นพวกเขาจะรับมือไม่ทันแน่ๆ”ลูเซียพูดขึ้น
“ฉันรู้น่าว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องห่วงหรอก”คาร์ลตอบไป จากนั้นพวกเขาสองคนก็ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในสำนักงานศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งนั้น แล้วเดินทางอออกไปในทันที
กลับมายังฝรั่งเศส โบสถ์ใหญ่ประจำเมืองของเวเวอร์ ในตอนนั้นเองเวเวอร์ก็ได้คุยกับชายใส่ชุดสูทสองคนที่เดินมาคุยกับเขา พวกเขาคุยกันอยู่ซักพัก จากนั้นชายสองคนนั้นก็เดินกลับไปในทันที เกรย์และอเดลล่าที่เพิ่งจะมาเห็นก็เดินมาคุยกับเวเวอร์ในทันที
“สองคนนั้นมีอะไรรหรือเปล่าคะ??”เกรย์ถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่มาพูดเรื่องสงครามหน่ะ”เวเวอร์พูดขึ้น
“ได้ยินว่าตอนนี้ทางเราและอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วนี่นะ”อเดลล่าพูดขึ้น
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก งานนี้พวกเยอรมันเข้มแข็งกว่าแต่ก่อน งานนี้เราอาจจะแพ้พวกมันแน่ๆ”เวเวอร์พูดขึ้น ทำเอาคนอื่นๆถึงกับพูดไม่ออก และในขณะเดียวกัน หญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามาในโบสถ์อย่างใจเย็น อเดลล่าออกไปเดินต้อนรับในทันที แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนก็ทักทายอเดลล่าไปก่อน
“ซิสเตอร์คะ สบายดีนะคะ??”
“อ้าว พวกเธอสองคนนี่ อ่า...”
“หนูเอลต้าค่ะ แล้วนี่ก็แจนยังไงคะ”เอลต้าพูดขึ้น
“อ้อ จริงด้วย นี่เราก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนะเนี่ย??”อเดลล่าพูดกับทั้งสองคน
“ว่าแต่ พวกเธอสองคนมีอะไรหรือเปล่า??”เวเวอร์ถามอย่างสงสัย
“พวกเรามาส่งข่าวหน่ะค่ะ”แจนพูดขึ้น
“ส่งข่าว ข่าวอะไรกันหล่ะคะ??”เกรย์ถามพวกเธอสองคนไป
“ตอนนี้เราสองคนทำงานให้Black Hoodแล้ว เราพยายามจะหาข่าวเกี่ยวกับคุณอีวาอยู่หน่ะค่ะ”เอลต้าพูดขึ้น
“จริงเหรอ เธอไม่รู้เหรอว่าอีวาอยู่ที่ไหน??”อเดลล่าถามไป
“ก็อย่างที่บอกหล่ะค่ะ เธอไม่ค่อยได้ออกสื่อ เธอเคลื่อนไหวในเชิงลับค่ะ” แจนตอบไป
“คงต้องใกล้ชิดกับเธอจริงๆหล่ะ ถึงจะรู้ได้”เวเวอร์พูดขึ้น
“แต่ถ้าเกิดพวกนั้นรู้ เธอไม่ฆ่าพวกพี่สองคนตายเหรอคะ??”เกรย์ถามอย่างสงสัย
“ไม่หรอก ฉันรู้จักเธอดี เธอไม่ทำแบบนั้นหรอก”อเดลล่าพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นหนูขอตัวนะคะ ถ้ามีอะไรจะมาที่นี่อีกครั้งนะคะ”เอลต้าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินออกจากโบสถ์ไป
“ไว้วันหลังจะมาสารภาพบาปนะคะ”แจนพูดไป จากนั้นเธอก็เดินตามเอลต้าไปด้วย ส่วนเวเวอร์ในตอนนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องของเขาเพื่อพักผ่อนต่อในทันที
กลับมายังเพนเฮ้าส์ของมีอา ในวันนี้เธอต้องออกไปด้านนอกบ้านเพื่อไปนัดเจรจาธุรกิจตามที่พ่อของเธอสั่ง ซึ่งเอาจริงๆเธอไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ เพราะเธอไม่ค่อยอยากไปพูดหวานๆกับใครที่เธอไม่ชอบ เมื่อรถของเธอมาถึงยังคอนโดหรูแห่งหนึ่งในเขตเมือง เธอเดินเข้าไปยังห้องรับรองแขกในทันที โดยที่มีชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งสูบซิก้าร์อยู่บนเก้าอี้สุดหรู มีอาไปนั่งตรงข้ามกับเขาในทันที
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะส่งหนูมาคุยหน่ะ”
“ค่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่านะคะ พ่อดิฉันต้องการหุ้นในคอนโดนี้ ให้คุณเสนอราคามาเลยค่ะ”มีอาพูดขึ้น
“ใจเย็นๆก่อนสิ ดื่มอะไรให้ชื่นใจก่อน”ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเด็กเสิร์ฟ และเด็กเสิร์ฟคนนั้นก็เอาไวน์มาให้กับมีอาในทันที
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะคะ แต่หนูไม่ค่อยชอบไวน์หน่ะ”มีอาพูดขึ้น
“อะไรกัน แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังเอาน้ำส้มมาให้แล้วกันนะ”
“ค่ะ เอาเป็นว่า คุณมีราคาที่อยากจะเสนอหรือเปล่าคะ??”มีอาถามเขาไป
“500000 ฟรังก์ พ่อหนูสู้ไหวหรือเปล่าหล่ะ??”ชายแก่คนนั้นบอกมีอาไป จากนั้นมีอาก็เซ็นเช็คฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และยื่นเช็คให้กับเขาไป
“ตอนแรกคิดว่าจะเยอะกว่านี้ซะอีกนะเนี่ย??”มีอายื่นเช็คนั่นให้เขาไป
“อืม ท่าทางที่ว่าหนูเป็นพวกสายเปย์นี่ท่าจะจริงนะ แต่เอาเถอะ นี่คือสัญญาหุ้น เอาไปสิ!!”
ชายคนนั้นไม่ได้ยื่นเอกสารให้ แต่วางปืนไว้บนโต๊ะของเธอ ทำเอาลูกน้องคนอื่นๆของเธอจะชักปืนออกมา แต่มีอาในตอนนั้นเธอก็ไม่กลัวอะไร เธอหยิบไดนาไมท์ที่พกมาด้วยวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เตรียมจุดชนวนระเบิดในทันที
“แหม่ๆๆๆ แค่ล้อเล่นน่า ทำเป็นเครียดไปได้”ชายคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็เก็บปืนแล้วเอาเอกสารให้ มีอาเซ็นเอกสารให้ทั้งสองฉบับ จากนั้นก็เก็บไว้หนึ่งฉบับ ส่วนอีกฉบับก็ยื่นให้ชายคนนั้นไป
“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยนะ”ชายคนนั้นพูดขึ้นจากนั้นก็ยกแก้วไวน์ดื่มให้กับมีอาไป
ณ สำนักงานแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ที่ทำงานของเอลเซ่ ซึ่งในวันนี้เธอเองก็มาทำงานตามปกติ แต่สิ่งที่เธอเห็นแล้วแปลกตาในวันนี้ก็คือพนักงานระดับหัวหน้าชาวเยอรมันหลายคนได้ทยอยเดินทางออกจากฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ค่อยสนใจและไปนั่งประจำโต๊ะของเธอ และในตอนนั้นเอง เพื่อนของเธอก็มาคุยกับเธอไปด้วย
“เอลเซ่ ได้ยินข่าววันนี้หรือเปล่า คุณโรเบิร์ตจะกลับไปเยอรมันแล้วนะ!!”
“หือ จริงเหรอ คุณโรเบิร์ตจะไปแล้วเหรอ??”เอลเซ่ถามไป
“ได้ยินว่าเขาไปถึงสนามบินแล้ว ตั้งแต่ที่เราประกาศสงครามกับเบอรมันหน่ะ”
“เฮ้อ ยังไม่ทันได้บอกลาเขาเลยนะเนี่ย”เอลเซ่พูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก ดูเขาไม่ค่อยยี่หร่าเท่าไหร่ตอนที่จะไปหน่ะ เออนี่ แล้วนี่หัวหน้าเขาฝากมาบอกเธอด้วยนะ”เพื่อนของเธอบอกกับเธอไป
“หือ มีอะไรงั้นเหรอ??”
“เขาให้เธอทำงานส่วนของคนที่ออกไปหน่อยหน่ะ ช่วงนี้ฉันกับเธอน่าจะเหนื่อยเลยหล่ะ แล้วเจอกันนะ”เพื่อนของเธอบอกไป ส่วนเอลเซ่ก็นั่งพิมพ์เอกสารของเธอไปเรื่อยๆ
ณ คอนโดแห่งหนึ่งใจกลางกรุงปารีส ชินาอิที่เพิ่งจะเก็บตัวเนื่องจากเขาได้ลงมือเก็บเป้าหมายคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ชินาอิก็พักผ่อนอยู่ในห้องอย่างสบายใจ แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีคนมาเคาะประตูที่หน้าห้องของเขา ชินาอิเห็นในตอนนั้นก็ไปเปิดประตูต้อนรับในทันที
“เอกสารหน่ะ!!”เด็กคนหนึ่งยื่นให้เขาโดยไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ชินาอิก็รับมาแล้วปิดประตูห้องในทันที จากนั้นก็ไปนั่งบนโต๊ะ แล้วเปิดมันอ่านดูในทันที แล้วในตอนนั้นเองเขาก็เห็นรูปของชายคนหนึ่ง
“ชาร์ล คาลอส”
ชินาอิอ่านประวัติของชายคนนั้น ก็พบว่าเขาเป็นนักการเมืองฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส ซึ่งเขาต่อต้านนาซีอย่างเปิดเผย งานนี้ชินาอิจะได้เงินไปถึง 100000 ฟรังก์ แต่ขอให้เขาเก็บงานนี้แบบเงียบๆ จากนั้นเขาก็วางเอกสารแล้วไปอาบน้ำในทันที ก่อนที่เขาจะดำเนินงานของเขาต่อไป
ณ ธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเมือง หญิงสาวในชุดพนักงานธนาคารคนหนึ่งกำลังนั่งตำนวณเลขบัญชีที่อยู่บนโต๊ะของเธอที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เดินมาที่เคาน์เตอร์ของเธอ เธอรีบพูดต้อนรับเขาไปในทันที
“สวัสดีค่ะ ลิริ เมดิชี ยินดีรับใช้ค่ะ!!”
“ฝากเงินเข้าบัญชีสวิส เหมือนเดิม จากBlack Hoodหน่ะ”ชายคนนั้นตอบไป
“วางเงินไว้เลยค่ะ!!”
เมื่อเธอพูดจบ ชายคนนั้นก็วางเงินในกระเป๋าใหญ่ไว้ตรงหน้าเธอ จากนั้นเธอก็ยื่นใบนำฝากเงินให้กับเขาใบหนึ่ง
“เขียนด้วยหล่ะ!!”ลิริพูดขึ้น และเมื่อชายคนนั้นเขียนจบ เธอก็กดกริ่งเรียกชายสองคนให้เดินมาที่เคาน์เตอร์ของเธอ
“ฝากที่แบงค์สวิส นี่ใบนำฝาก!!”
ลิริยื่นใบนำฝากให้ชายสองคนนั้น จากนั้นชายสองคนนั้นก็หยิบกระเป๋าเงินแล้วเดินออกไปด้านนอกในทันที
“เงินคุณถึงแบงค์สวิสแน่ๆ ไม่ต้องห่วง”ลิริพูดขึ้น จากนั้นชายผู้นำฝากเงินก็เดินออกไปจากธนาคารในทันที
ตกเย็น ในเขตดาวน์ทาวน์ของกรุงปารีส ในวันนั้นเองเกลนนิสก็เดินทางกลับบ้านของตัวเองหลังจากที่สืบข่าวตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อย ในระหว่างที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้าน จู่ๆเธอก็ไปเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งเขา เธอพยายามประคองหญิงสาวคนนั้นไว้ แต่เมื่อหมวกของเธอร่วง เกลนนิสก็รู้ในทันทีว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร
“คุณการ์เน็ตต้า!!”
การ์เน็ตต้าพยายามจะเดินหนี แต่เกลนนิสใส่หมวกให้เธอแล้วจูงมือเธอเข้าไปในซอยแห่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ใครรู้
“ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะตะโกนว่าคุณจะปล้นฉัน!!”การ์เน็ตต้าพูดขึ้น
“ทายาทสาวคนดังของอังกฤษมาทำอะไรที่ฝรั่งเศสหล่ะคะ??”เกลนนิสถามไป
“คุณไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก”การ์เน็ตต้าพูดขึ้น
“นี่ ตอนนี้ทางอังกฤษพยายามตามหาตัวคุณอยู่ คุณต้องหาที่ปลอดภัยกว่านี้อยู่นะ”เกลนนิสพูดขึ้น
“ฉันปลอดภัยอยู่แล้ว คุณไม่ต้องยุ่งหรอก”การ์เน็ตต้าพูดขึ้น
“เอาแบบนี้ คุณไปที่บ้านฉัน รับรองว่าไม่มีใครเจอคุณแน่ มาเดินโทงๆแบบนี้คุณโดนเจอตัวแน่”เกลนนิสพูดขึ้น จากนั้นก็พยายามจูงเธอเดินไปทางอื่น เพื่อไม่ใครสังเกตว่าเธอมาแถวนี้
ณ ค่ายทหารแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ซึ่งทหารฝรั่งเศสหลายนายกำลังฝึกฝนตัวเองครั้งใหม่เพื่อเตรียมรับศึกกองทัพเยอรมัน ในตอนนั้นเองริชาร์ดและอลิซก็มาคุยกันในบาร์ทหารแห่งหนึ่งเพื่อคุยกันเกี่ยวกับเรื่องกองกำลังของพวกเขา ว่าจะสามารถจัดการกับกองทัพเยอรมันได้หรือเปล่า
“ริชาร์ด ตอนนี้กองทัพอากาศของนายเป็นยังไงบ้างหล่ะ??”อลิซถามในขณะที่ดื่มเหล้าไปด้วย
“ตอนนี้กำลังระดมกำลังอยู่ ว่าแต่กองเรือของเธอเป็นยังไงบ้างหล่ะ??”ริชาร์ดถามกลับบ้าง
“ได้ยินว่ากองเรือของเราเตรียมจะไปปิดเส้นทางลำเลียงของพวกนั้นในนอร์เวย์หน่ะ งานนี้งานฉันเยอะแน่ๆ”อลิซพูดขึ้น
“ก็ดีนะ อีกไม่นานเครื่องบินทิ้งระเบิดเราต้องบุกเข้าเยอรมันอีกเนี่ย”ริชาร์ดพูดขึ้น
“เครื่องบินทิ้งระเบิดของนายจะมีพอเหรอ??”อลิซถามไป
“ไม่รู้สิ แต่ถ้ารวมกับของอังกฤษได้จะดีมากเลยหล่ะ”ริชาร์ดพูดขึ้น
“ได้ยินว่าคุณรอสกับคุณอัลเบิร์ตจะต้องกลับอังกฤษอีก ไม่รู้จะได้เจอเขาเมื่อไหร่หล่ะนะ??”อลิซพูดขึ้น
“อีกไม่นานคงได้เจอแน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก”ริชาร์ดพูดขึ้น ในขณะที่เขาก็กระดกเหล้าไปด้วยแก้วหนึ่ง
ณ สนามบินกองทัพแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส รอสและอัลเฟรดก็เดินทางมาขึ้นเครื่องบินทหารของอังกฤษเพื่อกลับไปรายงานตัวเพื่อรับภารกิจใหม่ พวกเขาทั้งคู่เดินขึ้นเครื่องและมองมองท้องฟ้าในยามเย็นไปด้วยอย่างใจเย็น
“อีกไม่นานเราคงได้กลับมา ใช่หรือเปล่าหล่ะ??”อัลเฟรดถามไป
“แน่นอน ถึงยังไงฝรั่งเศสก็ต้องรบกับเยอรมันอยู่แล้ว”รอสพูดขึ้น
“ไม่รู้ว่าทางลอนดอนจะหัวเสียแค่ไหนนะเนี่ยที่เจอแบบนี้??”อัลเฟรดพูดไป
“ไม่ต้องห่วง ถึงยังไงเราก็ต้องชนะพวกมันได้”รอสพูดขึ้น
“มันไม่มีทางทำสำเร็จแน่นอน ถ้าอเมริกาช่วยนะ”อัลเฟรดพูดขึ้น
“แล้วนี่ทางอเมริกายังไม่มีท่าทีกับเรื่องนี้เลยเหรอ??”รอสถามอย่างสงสัย
“พวกเขาต้องเป็นกลางไว้ก่อนแต่เอาเถอะ ไว้รอดูสถานการณ์ต่อไปแล้วกัน”อัลเฟรดพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ยกย้ายกันไปนั่งในแต่ละที่ จากนั้นเครื่องๆก็ค่อยๆเทคออฟขึ้นบินแล้วเดินทางต่อไปยังกรุงลอนดอนในทันที
ณ บ้านพักแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของฝรั่งเศส ท่ามกลางความเงียบสงบของเขตป่าแถวนั้น รถคันหนึ่งได้ขับมาจอดที่ประตูรั้วหน้าบ้าน จากนั้นก็มีคนมาเปิดประตูให้รถคันนั้น รถคันนั้นมาจอดที่หน้าบ้าน และชายผู้ขับรถ ซึ่งนั่นก็คือไวท์แฟรงค์ เขาเดินเข้าไปในบ้าน ไปเจอกับชายคนหนึ่งในทันที
“ท่านครับ เราได้ข่าวมาว่าอังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วครับ”ไวท์แฟรงค์บอกกับชายคนนั้นไป ซึ่งชายคนนั้นเป็นนักการเมืองฝ่ายซ้ายของเยอรมันที่ลี้ภัยการเมืองมาที่ฝรั่งเศส
“งั้นเหรอ แบบนี้ก็ดีสิ จะได้มีคนหยุดฮิตเลอร์แล้ว”นักการเมืองคนนั้นพูดขึ้น
“ครับ แต่ผมว่างานนี้ฝรั่งเศสอาจจะต้านไม่อยู่ เราควรจะไปอังกฤษครับ”ไวท์แฟรงค์พูดขึ้น
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เราน่าจะให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ช่วยคุ้มครองเราได้”
“แต่ว่า แก๊งค์ที่อยู่ในเมืองตอนนี้มีเยอะแยะมากมายเลยนะครับ เราจะติดต่อกลุ่มไหนหล่ะ??”ไวท์แฟรงค์ถามไป
“เท่าที่รู้มา กลุ่มThe Crowยิ่งใหญ่ที่สุด น่าจะให้พวกเขาช่วยได้”
“แล้วเราจะติดต่อเขาผ่านทางใครกันหล่ะ??”ไวท์แฟรงค์ถามไป
“เอาเป็นว่าคุณไปช่วยสืบมาก็แล้วกัน”นักการเมืองคนนั้นบอกกับไวท์แฟรงค์ไป
กลับมายังบาร์ซึ่งพวกของนาวินต้องเข้าไปสำรวจด้านใน พวกเขาทั้งสี่คนถืออาวุธเดินไปที่ด้านหลังของร้าน โดยที่แอ็กเซลก็ได้สะเดาะกลอนประตูเข้าไปด้านใน และเมื่อประตูเปิด พวกเขาก็ปิดหน้าปิดตาตัวเองแล้วลุยเข้าไปด้านใน และสิ่งที่พวกเขาเห็นเมื่อเดินไปได้ซักพัก พวกเขาก็เห็นเครื่องจักรซึ่งใช้ผลิตผงขาวปรพมาณ 4 เครื่อง และคนงานที่กำลังใส่หน้ากากอยู่นับสิบคน และคนงานเหล่านั้นก็มองพวกของนาวินเป็นตาเดียวเลย
"มีคนบุกรุก!!"
พวกคนงานพยายามจะหยิบปืนขึ้นมา แต่พวกของนาวินไวกว่ากระหน่ำยิงใส่คนงานติดอาวุธพวกนั้น เหล่าคนงานด้านในตายไปมากมาย แต่ในตอนนั้นเอง มีคนงานคนหนึ่งพยายามจะหนีไปด้านบนเพื่อไปเตือนคนอื่นๆ
"รีบตามมันไปเร็ว!!" ทอร์รินพูดขึ้น จากนั้นทาเนียก็วิ่งไล่ตามชายคนนั้นและกระชากเขาลงมาจากบันได จากนั้นก็ยิงหัวเขาทิ้ง แล้วกลับมารวมตัวกับคนอื่นๆที่อยู่ด้านล่าง
"โห นี่มันผลิตได้เยอะเลยนี่หว่า" แอ็กเซลพูดขึ้น
"แล้วเราจะทำยังไงกับผงพวกนี้หล่ะ??" ทาเนียถามอย่างสงสัย
"ก็กวาดให้สะอาดเลย ส่วนเครื่องจักร เผามันทุกเครื่องเลย!!" นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ไปรวบรวมผงขาวทุกห่อแล้วเอามารวมกันในอ่างล้างมือ แล้วเขาก็เอาน้ำยาล้างห้องน้ำมาจัดการทำลายผงขาวพวกนั้น ส่วนคนอื่นๆก็ไปหาน้ำมันมาเพื่อจุดใส่เครื่องจักรพวกนั้น พวกเขาต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาก่อนที่พวกมันจะเรียกคนมาเสริม และในตอนนั้นเอง ทอร์รินก็ดันไปเห็นตู้เซฟตู้หนึ่งซึ่งเขาก็สามารถเปิดอย่าง่ายดายโดยใช้ระเบิดของเขา และเมื่อเปิดมา พวกเขาก็พบกับเงินสดมากมาย ทำเอาทอร์รินถึงกับเรียกทุกคนมาในทันที
"อยากได้เท่าไหร่เอาไปเลย!!"
พวกของนาวินรีบเก็บเงินกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็มารวมตัวกันที่ประตูทางออกด้านหลัง จากนั้นนาวินก็เอาไฟแช็คขึ้นมาจุดในทันที
"มอดไหม้ไปซะ!!" นาวินพูดขึ้นแล้วโยนไฟแช็คไป ประกายไฟที่ติดกับน้ำมันก็ก่อตัวกลายเป็นเพลิงไหม้ลุกโชน เผาผลาญทุกสิ่งที่อย่างด้านใน ส่วนแอ็กเซลในตอนนั้นเองก็วางนามบัตรไว้ที่หน้าประตูทางเข้าด้านหลัง ซึ่งนั่นเป็นนามบัตรรูปอีกา จากนั้นพวกเขาก็กลับมาที่รถในทันที
"รีบกลับดีกว่า ก่อนตำรวจจะมา!!"
ทอร์รินพูดขึ้น จากนั้นแอ็กเซลก็รีบขับรถกลับไปในทันที ก่อนที่ตำรวจปารีสนับสิบนายจะมาตรวจสอบดูที่เกิดเหตุที่กำลังมอดไหม้
=============================================================
งานแรกของนาวินเป็นไปได้ด้วยดี และชีวิตของเขาจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลหนูด้วย
ความคิดเห็น