คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 4 : แร่เหล็กอุกกาบาต
คณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์เดินทางออกจากอโยธยา ขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ เพื่อไปยังเมืองพระพิษณุโลก และเมืองอื่นๆที่ยังจะพอมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆเหลือรอดอยู่บ้าง และเมื่อเขาเดินทางมาได้ซักพัก พวกเขาก็เจอกับสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งมีฮวงซุ้ยและที่ฝังศพมากมายสำหรับหลายศาสนา บรรยากาศดูน่ากลัวสำหรับผู้คนทั่วไป แต่สำหรับพวกเขา ตอนนี้พวกเขาดูไม่หวั่นเกรงอะไรแล้ว
“เมรัยที่รัก พี่อยากจะกอดรักเจ้าเอย..” ลุงคงตะโกนโหวกเหวกโวยวายกลางสุสาน ทำเอาคนอื่นๆถึงกับต้องพยายามทนไว้ แต่พวกเขาไม่กล้าทิ้งแกไปไหนเพราะกลัวว่าแกจะเป็นอันตราย
“เฮ้อ เราไม่ชีวาวายเพราะพวกภูติผี ก็คงเพราะตาลุงนี่หล่ะ” วารีพูดอย่างโมโห
“นั่นสิ ไม่ติดว่ามีฝีมือข้าคงปาดคอเขาถึงไปแล้วหล่ะ” เมรีพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ว่าแต่ ที่เมืองพระพิษณุโลกมีอันใดรอพวกเราอยู่หล่ะ??” คาวีถามอย่างสงสัย
“ที่ข้าไปเยือนมาล่าสุด เมืองก็ยังเป็นปกติสุขอยู่นะท่าน” ธิดาพูดขึ้น
“อืม ข้าได้ยินมาว่า เมืองพิษณุโลกมีของอะไรบางอย่างที่สถานีการค้าของเราหน่ะ” มาร์คัสพูดขึ้น
“หือ นี่พี่ก็เคยได้ยินเรื่องนั้นด้วยเหรอพี่??” อเล็กซถามไป
“ช่างมันก่อนเถิด ตอนนี้อาวุธในมือเราสำคัญที่สุด” ชิงเสียนพูดขึ้นจากนั้นก็หยิบปืนของเธอขึ้นมาดูต่อ
“พี่อินทร์ ข้าชักจะหวั่นใจเหลือเกิน ว่าหนทางข้างหน้าคงจะมิราบเรียบเสียแล้ว” นาราพูดขึ้น
“มิต้องห่วง ข้าจักต้องสืบเสาะเรื่องนี้เพื่อช่วยเมืองแลชาวบ้านให้ได้” ทองอินทร์พูดขึ้น
“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าจักช่วยเจ้าอีกแรง แต่ว่า เจ้าเมืองพระพิษณุโลกป้องกันเมืองได้จริงหรือ??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็ใคร่ทราบ ข้าหวังว่าพวกนั้นจักปลอดภัย” แสนคำสมิงพูดเสริม
“ข้าว่า ต่อให้พวกเขาจะยันพวกมันไว้ได้ แต่ก็คงจะน่วมพอควรเลยหล่ะ” ฉางหลงพูดขึ้น
“เจ้านี่พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลยนะ!!” มายะพูดปรามฉางหลงไป
“จุดหมายของพวกเราจะไปสิ้นสุดที่ไหน ไม่มีใครรู้เลยนะ ว่าไหม??” ออเรเลียถามอองโม่โยไป
“นั่นสิ ถึงไปพระพิษณุโลก สุดท้ายก็ต้องไปที่อื่นอีก ความจริงข้าอยากกลับไปเยี่ยมอังวะอีกซักครา” อองโม่โยพูดขึ้น
“จบเรื่องนี้เจ้าค่อยกลับไปก็ได้นี่ มิต้องกลัวหรอก” เทเรซ่าพูดไป
“เออนี่ อนาเลีย เจ้าเป็นอะไรไป ข้าสังเกตว่าเจ้าดูแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว??” รีปเปอร์เห็นอาการของอนาเลียเลยถามเธอไป
“ข้าว่า ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอะไรบางอย่าง ยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ” อนาเลียพูดขึ้น
“พวกมันก็มีพลังรุนแรงทุกที่นั่นแหละ อย่าห่วงเลย ข้ารับมือมันได้” แม็กซิมพูดขึ้น
“สุสานนี่มีความเป็นมาเยี่ยงไร ข้ามิเคยรู้มาก่อนเลย??” เวียงพิงค์ถามอย่างสงสัย
“เป็นสุสานเก่าหน่ะ ครั้งหนึ่งเคยมีโรคห่าลงในภูมิภาคนี้ พื้นที่นี้ถูกใช้เป็นที่ฝังศพหน่ะ” มาเรียน่าพูดขึ้น
“แต่ข้าสัมผัสแล้ว ดูเหมือนว่าวิญญาณดูดไปหมดแล้ว เหลือแต่ซากศพพวกนี้” กุมารเทพพูดขึ้น
“แสดงว่า พวกมันจะต้องดูดเอาพลังวิญญาณไปใช้กับพวกผีร้ายที่อื่นสินะ” หลี่เจาพูดขึ้น
“พวกมันต้องการพลังวิญญาณเยอะขนาดนั้นไปเพื่ออันใดกัน??” โชถามอย่างสงสัย
“ดูเหมือนพวกมันจะเอาไปสร้างผีร้ายชนิดอื่นด้วยหล่ะ” อิริยะพูดขึ้น
“พวกท่านสองคนดูเหมือนจะมีความรู้เรื่องพวกมันเยอะเลยนะ??” ไวโอเล็ตถามอย่างสงสัย
“อืม ข้าลองวิเคราะห์ฤกษ์ยามแล้ว เราคงอยู่ที่นี่ได้ไม่เกินพลบค่ำหน่ะ” สมบาติพูดขึ้นหลังจากที่เขียนกระดานชนวนเสร็จ
“ข้าเห็นด้วย ข้าเองก็ชักจะไม่ไว้ใจที่แห่งนี้เช่นกัน” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าสุสานแห่งนี้มีของสำคัญของคนตายด้วย น่าจักมีค่าอยู่” วาทินพูดขึ้น
“ถ้าท่านกล้าขุดท่านก็ขุดไปเลยนะ” ทูตเบลล์พูดอย่างอารมณ์เสีย และในไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็มาเจอกับพวกปีศาจขุดศพกลุ่มเดิม ซึ่งดูเหมือนพวกมันกำลังขุดหาอะไรบางอย่าง แต่เมื่อพวกมันมาเจอเข้ากับคณะเดินทาง พวกมันก็เตรียมพร้อมเข้าจู่โจมในทันที
“พวกเจ้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร ลุยเลย!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็วิ่งเข้าไปลุยกับปีศาจกลุ่มนั้นในทันที
พวกเขาปะทะกับกลุ่มปีศาจขุดศพนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงปะทะดังไปทั่วสุสาน พวกเขาต่อสู้กับผีดิบกลุ่มนั้นอย่างดุเดือด แต่ก็ต้องสู้อย่างระวังเพราะพวกมันค่อนข้างมีฝีมือพอตัว
“ทุกคน หลบการโจมตีของมันแล้วสวนกลับเลย!!” คาวีพูดขึ้น จากนั้นเขาก็หลบจอบของมันที่ฟาดมาแล้วก็แทงพวกมันเข้าที่ด้านหลังในทันที
“ทุกคน หลอกล่อมันให้ข้าที ข้าจะจัดการเอง!!” เมรีพูดขึ้น จากนั้นเธอก็พึมพำคาถาอะไรบางอย่างและยิงธนูใส่พวกมันจนพวกมันล้มลงไปในทันที
“เข้ามาเลย ไอ้พวกผีนรก!!” วารีพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้ดาบคาตะนะของเขาฟันเข้าที่กลางท้องของมัน
“อย่าให้พวกมันเข้าใกล้เกวียนเด็ดขาด” ธิดาตะโกนบอกกับทุกคนไป แต่ในตอนนั้นเอง มันตัวหนึ่งก็โจมตีเข้ามาใกล้เกวียนของพวกเขา แต่เวียงพิงค์ก็ใช้หน้าไม้ยิงเข้าที่หัวมันจนมันเซไป
“เข้ามาเลย ไอ้พวกนรก!!” เวียงพิงค์ตะโกนขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง มันอีกตัวก็ใช้จอบฟันเข้าที่เกวียนเพื่อทำลายเกวียน และมันก็จะเล่นงานเอื้องเหนือด้วย
“ใครก็ได้ช่วยด้วย!!” เอื้องเหนือตะโกนขึ้นจากนั้นก็ชักมีดของเธอออกมาจะแทงมัน แต่ในตอนนั้นเอง ลุงคงก็จับร่างจองมัน จากนั้นก็เหยียบเข้าที่หัวของมันจนหัวแบะ
“ฉับ!!”
“อ๊าค เจ็บ แง๊!!” ในตอนนั้นมันอีกตัวหนึ่งก็ฟันเข้าที่กลางหลังของลุงคง ตอนนั้นแสนคำสมิงก็มาผลักมันออกไปและฟันจนมันหัวหลุด จากนั้นก็ประคองลุงคงไว้ในทันที
“ลุง ใครก็ได้ ช่วยทำแผลให้เขาหน่อย!!” แสนคำสมิงพูดขึ้น จากนั้นธิดาและคนอื่นๆก็มาดูแผลให้กับลุงคงในทันที
“คุ้มกันเกวียน อย่าให้พวกมันเข้ามาได้!!” อองโม่โยพูดขึ้นจากนั้นก็ใช้โล่ตีเข้าที่หน้ามันและแทงมันไป
“มีคนเจ็บด้วย พวกเจ้า ยิงคุ้มกันเขาที” ออเรเลียตะโกนขึ้นในขณะที่ปะทะกับพวกมัน คนอื่นๆก็รีบยิงสกัดพวกมันไม่ให้เข้ามาใกล้เกวียน
“ปังๆๆๆ”
“พวกมันหลบกระสุนได้ ต้องมีคนคอยหลอกล่อพวกมัน!!” สมบาติพูดขึ้นพลางยื่นปืนให้กับมาเรียน่าไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าจัดการเอง ฉางหลง ไปกับข้า!!” มายะชักดาบออกมาและวิ่งออกไปกับฉางหลง จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พยายามหลอกล่อให้พวกมันเผลอ เพื่อให้คนอื่นๆยิงใส่มันได้สะดวก
“เข้ามาเลย ไอ้พวกระยำ!!” ฉางหลงพูดขึ้นจากนั้นก็หลบจอบของมัน จากนั้นก็เตะเข้าไปที่หน้าของมัน
“พวกมันมีเยอะเหลือเกิน พวกท่านต้องระวังหน่อย!!” ไวโอเล็ตพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นปืนให้กับชิงเสียนหลังจากที่ใส่กระสุนเสร็จ
“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ารู้ต้องยิงพวกมันทางไหน!!” ชิงเสียนตะโกนขึ้น จากนั้นเธอก็ยิงเข้าที่ขาของมันจนมันล้มลง และคนอื่นๆก็ยิงเข้าที่หัวซ้ำจนตายคาที่
“อเล็กซ เจ้ายิงตัวที่มันเข้ามาใกล้เกวียนเรา” มาร์คัสพูดขึ้นในขณะที่กำลังยิงปะทะกับมันอย่างดุเดือด
“ได้เลยพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก” อเล็กซพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ชักปืนพกเล็กของเธอออกมาและยิงกับมันในทันที
“เข้ามาเลย ไอ้พวกระยำเอ้ย!!” เทเรซ่ากำดาบของเธอไว้แน่น จากนั้นก็ฟันจอบของพวกมันจนหักและถีบมันออกไป และในตอนนั้น อนาเลียก็ใช้มนต์ของเธอดูดพลังของมันมา แล้วเอามาทำลายในชามน้ำมนต์ในทันที
“หวังว่าเจ้าคงจะเอาน้ำมนต์มาเยอะๆนะ” อนาเลียพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง ข้าเอามาเป็นถังเลย!!” รีปเปอร์พูดขึ้น จากนั้นก็ฟันเข้าที่ขาของปีศาจตัวหนึ่ง และแม็กซิมก็ตัดหัวมันซ้ำไป
“พวกมันใกล้จะหมดแล้ว ฆ่าพวกมันให้หมดเลย!!” แม็กซิมตะโกนออกมา
“นี่เจ้า รีบไปช่วยลุงคนนั้นหน่อยสิ” กุมารเทพบอกกับทูตเบลล์ไป
“ได้ๆ พวกเจ้าคุ้มกันข้าที” ทูตเบลล์พูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบไปช่วยลุงคงในทันที และในตอนนั้นเอง มันตัวหนึ่งก็ถือกระดาษอะไรบางอย่าง และมันกำลังจะหนีจากพวกเขาไป
“นี่ ไอ้ตัวนั้นมันกำลังจะหนีไปแล้ว!!” นาราตะโกนขึ้นและชี้ไปยังผีดิบตัวนั้น
“ข้าจัดการเอง!!” วาทินวิ่งไล่ตามผีดิบตัวนั้นไปอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งไปหลบแท่งหินสุสานนั้นจากนั้นก็ปามีดใส่มันจนล้มลง จากนั้นเขาก็กระโดดลงมาแล้วฟันหัวมันจนขาดกระเด็น
“ฉับ!!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่ามัน!!” นรสิงห์ตะโกนออกมาจากนั้นก็ฟาดฟันพวกมันจนถอยออกไป
“อ้ายพวกน่ารังเกียจเอ้ย!!” หลี่เจาแทงมันตัวหนึ่งด้วยทวน จากนั้นก็เหวี่ยงมันจนกระเด็นไปไกล และในตอนนั้นอิริยะก็ใช้มีดสั้นของเธอปาใส่หัวมันจนเละ
“พวกมันตายกันหมดแล้ว รีบช่วยคนเจ็บเร็ว!!” อิริยะพูดขึ้น
“ไอ้ระยำเอ้ย แกจะหนีไปไหน??” โชตะโกนขึ้นตอนที่เห็นมันตัวหนึ่งกำลังคลานหนีพวกเขา โชใช้ดาบของเขาปักที่หัวของมันในทันที
“โคตรเหนื่อยเลย มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า??” มาเรียน่าตะโกนถามไป
“ลุงคงโดนพวกมันฟันเข้าทีหลัง ไปดูเขาเถิด” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ไปช่วยกันดูอาการของลุงคงในทันที และในตอนนั้นทูตเบลล์ก็คอยใช้เวทย์มนต์ของเธอคอยรักษาเขาอย่างใกล้ชิด
“โชคดีเหลือเกินที่แผลของเขาไม่เป็นไรมาก” เบลล์พูดขึ้น
“แง๊ๆๆๆ ข้าอยากดื่มเมรัย!!” ลุงคงตะโกนขึ้น และในตอนนั้นเอง เมรีก็ยื่นเหล้าให้กับลุงคงไป
“เอ้านี่ เผื่อลุงจักได้คลายเจ็บได้บ้าง” เมรีพูดขึ้น จากนั้นลุงคงก็ดื่มเหล้าด้วยความยินดี และในตอนนั้นเอง วาทินก็ได้กลับมาพร้อมกับกระดาษอะไรบางอย่างในมือของเขา เขาเอากระดาษแผ่นนั้นไปให้กับคนอื่นๆในทันที
“มันกำกระดาษนี้ไว้ในมือ ข้ามิรู้ว่ามันคืออันใด พวกเจ้าช่วยดูหน่อย!!” วาทินพูดขึ้น จากนั้นคนอื่นๆก็เอากระดาษแผ่นนั้นมาดูในทันที คาวีอ่านกระดาษนั้นแล้วพูดให้ทุกคนได้ฟัง
“อืม แร่เหล็กอุกกาบาตดำ เป็นแร่เหล็กโบราณที่หายสาบสูญ หากผู้ใดได้มา จักช่วยให้อาวุธมีพลังแก่กล้ามากขึ้น” คาวีพูดขึ้น
“ข้าเคยได้ยินตำนานนี้ เมื่อหลายปีก่อน มีอุกกาบาตตกในภูมิภาคนี้ แต่มิมีผู้ใดขุดเจอเลย” หลี่เจาพูดขึ้น
“เฮ้อ นิทานมันก็แค่นิทาน จะใส่ใจอันใดกัน??” ชิงเสียนถามอย่างสงสัย
“แต่มันก็น่าลองอยู่นะ ถ้ามันมีจริงหน่ะ” วารีพูดขึ้น
“ไอ้พวกนี้ ที่มันขุดสุสาน มันคงจะหาตำรานี่สินะ” นาราพูดขึ้น
“ข้าจำมิได้แล้วว่าอุกกาบาตมันตกที่ใดกัน” อองโม่โยพูดขึ้น
“ได้ข้าได้ยินมาว่า ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองอ่างทองพยายามเสาะหาแร่เหล็กในเมืองของท่าน แต่ก็ไม่พบเลย” อิริยะพูดขึ้น
“แต่ว่า อีกไม่กี่เพลา เราก็จะเข้าใกล้เขตอ่างทองแล้วนี่ ข้าเองก็เคยไปที่เมืองอ่างทองนะ” ฉางหลงพูดขึ้น
“อืม ถ้ามันมีอยู่จริงก็น่าจะลองไปดูด้วยตาหน่อย” นรสิงห์พูดขึ้น
“แต่ว่า แร่เหล็กพวกนั้นจักมีซักแค่ไหนเชียว??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า อุกกาบาตพวกนั้นมีพอให้ทำอาวุธได้ทั้งกองทัพเลยนะพวกท่าน” กุมารเทพพูดขึ้น
“แต่ว่า เราจักต้องเดินทางไปยังอ่างทอง ข้าว่าพวกมันต้องวางกำลังรอพวกเราเป็นแน่” ธิดาพูดขึ้น
“ข้าเห็นพ้องด้วย พวกท่านคงต้องระวังตนให้จงหนักหล่ะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ข้ามิกลัวพวกมันดอก ข้าคงต้องไปให้เห็นกับตา” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“แต่ทว่า หากหาแร่พบแล้ว เราคงต้องหาวิธีหลอมมันหน่ะสิ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“คงหลอมไม่ยากหรอก ถ้ามีเตาหลอมซักเตา รับรองว่าข้าทำได้แน่ๆ” มาเรียน่าพูดขึ้น
“ข้าเองก็อยากปรับปรุงปืนของข้าเช่นกัน เจ้าว่าหรือเปล่า??” มาร์คัสถามไป
“นั่นสิท่านพี่ หากมันจักช่วยให้อาวุธแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” อเล็กซพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ไวโอเล็ตก็หยิบลูกแก้วอะไรบางอย่างของเธอขึ้นมา จากนั้นก็เพ็งมองไปยังลูกแก้วของเธออย่างใจจดใจจ่อ
“ถ้าพวกเจ้าจะไปยังเมืองอ่างทอง พวกเจ้าจักต้องเจอกับชายคนหนึ่ง” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“หือ เจ้าเองก็ทำนายได้ด้วยหรือ เจ้าทำนายเหมือนกับข้าเลย” สมบาติพูดขึ้น
“อ้อ นางเคยเป็นหมอดูหน่ะ นางดูไม่เคยพลาดเลยนะ” มายะพูดขึ้น
“ข้าว่า ชายผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงพลังมืดของเขา” อนาเลียพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้านะ อนาเลีย” รีปเปอร์พูดขึ้น
“รีปเปอร์ นี่เจ้าจะกลับไปใช้ศาสตร์มืดเช่นนั้นหรือ??” เทเรซ่าพูดกันท่าเขาไป
“นี่ ท่านเทเรซ่า ใจเย็นไว้ก่อนเถิด” ออเรเลียพูดขึ้น
“แต่ทว่า นี่ก็ใกล้จักค่ำแล้ว เราคงต้องหาที่ค้างแรมก่อนหล่ะ” แม็กซิมพูดขึ้น
“นั่นสิ แถวนี้คงไม่เหมาะกับการค้างแรมหรอก” โชพูดเสริม
“เจ้ากุมาร แถวนี้จักมีที่ค้างแรมให้พวกเราหรือไม่??” ทองอินทร์ถามกุมารเทพไป
“ไปอีกมิกี่อึดใจ จะมีหมู่บ้านร้างริมแม่น้ำอยู่ ปราศจากพวกปีศาจ พวกเราจักค้างที่นั่นได้” กุมารเทพพูดขึ้น
“ได้ ถ้าเช่นนั้น พวกเราเดินทางกันต่อเถิด ก่อนที่จักมืดค่ำเสียก่อน” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบออกเดินทางกันต่อในทันที เพื่อไปยังที่พักที่กุมารเทพได้บอกเอาไว้ ก่อนที่จะมืดค่ำเสียก่อน
เมื่อพลบค่ำ พวกเขาเดินทางกันมาได้ซักพัก พวกเขาก็มาเจอกับหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งสภาพของหมู่บ้านมิได้ถูกทำลายไปมากนัก บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังพอจักใช้พักผ่อนได้ ในตอนนั้นพวกเขาก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างของหมู่บ้านกัน เพื่อประชุมกันเพิ่มเติมก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
“เอาหล่ะ ดูเหมือนว่าที่นี่จักปลอดภัยจากพวกมัน พวกเราจักช่วยกันเฝ้าระวังภัยด้วย เผื่อพวกมันจะมาที่นี่ เอาหล่ะ ไปพักผ่อนกันเถิด!!” ทองอินทร์พูดกับทุกคนไป และในตอนนั้น แต่ละกลุ่มก็รีบไปจับจองบ้านแต่ละหลังเพื่อใช้ในการพักผ่อนกันต่อไป
ในกระท่อมของทองอินทร์ ซึ่งในตอนนั้นพวกเขาก็อยู่กับกลุ่มของเขาทั้งคาวี วารี และคนอื่นๆบางส่วน พวกเขามานั่งคุยกันถึงเรื่องเก่าๆไป แต่ในตอนนั้นเอง ทองอินทร์ก็เอาสร้อยเส้นหนึ่งที่อาจารย์ของเขาได้ให้มา เอามาให้คนอื่นได้ดูในทันที
“ทองอินทร์ สร้อยเส้นนั่นของครูมิใช่หรือ??” คาวีถามอย่างสงสัย
“ใช่ ครูท่านหวงสร้อยเส้นนี้มากสมัยก่อน แต่ท่านบอกว่าเป็นของท่านพ่อข้า” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ว่าแต่ พ่อพี่เป็นใครงั้นหรือ??” กุมารเทพถามอย่างสงสัย
“เท่าที่ข้าจำความได้ ครูท่านเล่าให้ฟังว่าพ่อข้าเคยเป็นทหาร แต่ถูกอ้ายแม่ทัพทรยศจนได้ ส่วนแม่ข้าก็ถูกขายเป็นทาส ข้าหนีมาได้ ครูท่านชุบเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ทุกคนมีปัญหาส่วนตัวทั้งนั้นแหละท่านพี่ ครูท่านสอนข้าแต่ข้าคงไม่เก่งเท่าพี่หน่ะ” วารีพูดขึ้น
“นี่ เจ้าคิดอะไรเช่นนั้นหล่ะ เจ้าต้องเชื่อในตนเองสิ” ธิดาพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง นาราก็เดินเข้ามาด้านในบ้านของทองอินทร์ จากนั้นก็เธอก็มานั่งคุยกับพวกเขาด้วย
“พี่อินทร์ ข้าขอมาอยู่ด้วยนะท่าน!!”
“ได้สิ เจ้านอนตรงนั้นกับธิดาก็ได้” ทองอินทร์พูดขึ้น
“นี่ ทุกท่าน เกี่ยวกับเรื่องอุกกาบาต ข้าว่าอาจจะมีอันตรายรอเราอยู่ก็ได้” กุมารเทพพูดขึ้น
“แต่เราก็หันหลังกลับไม่ได้แล้วนี่ ยังไงเราก็ต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้ว เพื่อไปเมืองพระพิษณุโลกหน่ะ” คาวีพูดขึ้น
“ข้าเองก็อยากจักซ่อมดาบเล่มนี้เช่นกัน ข้าศึกมาจากพ่อค้าญี่ปุ่นมานานมาก” วารีพูดขึ้นพลางโชว์ดาบให้คนอื่นๆได้ดูไป
“ตอนนี้ดาบของข้าก็เริ่มบิ่นแล้ว แต่ข้าชอบใช้หมัดมวยมากกว่า” นาราพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ว่าแต่ผู้ใดจักเฝ้ายามให้พวกเราหล่ะ??” ธิดาถามอย่างสงสัย
“มิต้องห่วงหรอก แม่นางอนาเลียคงช่วยเราได้หน่ะ” ทองอินทร์พูดขึ้น
“นั่นสิ แม่นางมีเวทย์มนต์แก่กล้า แต่ดูเหมือนแม่นางเทเรซ่าจะไม่ชอบนะ” นาราพูดขึ้น
“ก็พวกคริสต์นี่ไม่ชอบแม่มดอยู๋แล้วนี่” วารีพูดขึ้น
“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมพวกนั้นต้องเกลียดกันด้วยหล่ะ??” ธิดาถามอย่างสงสัย
“ก็เฉกเช่นเดียวกับที่พวกเราเกลียดผีดิบพวกนั้นกระมัง” คาวีตอบไป
และที่กระท่อมของแสนคำสมิง ในตอนนั้นชาวล้านนาก็ไปพักที่นั่น โดยที่ธิดากับเวียงพิงค์ก็นอนด้วยกัน ส่วนนรสิงห์และแสนคำสมิงก็คอยอยู่เฝ้าพวกเธอด้วย
“คืนนี้พวกข้าสองคนคงต้องรบกวนพวกท่านหล่ะ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“มิต้องห่วง พวกเจ้าพักผ่อนให้สบายเถิด” นรสิงห์พูดขึ้น
“ว่าแต่ พี่สิงห์ ข้าขอถามอะไรพี่อย่างหนึ่งสิ ข้าสังเกตว่าท่านกับพี่ทองอินทร์นั่นจะดูคุ้นเคยกันนะ??” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“นั่นสิ ข้าเองก็สังเกตได้เช่นกัน เหมือนกับว่าเจ้ารู้จักเขา” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าจำไม่ได้ นับแต่ข้าเจออุบัติเหตุ ข้าก็จำอันใดในอดีตมิได้” นรสิงห์พูดขึ้น
“เฮ้อ บางครั้งคนเรา ถ้าจำอะไรไม่ได้มันก็ยังดีซะกว่านะพี่” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“แบบนั้นมันเป็นการหนีปัญหาหน่ะสิ ข้าไม่ชอบหรอก” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“ว่าแต่ ท่านกับเอื้องเหนือมาเจอกันได้เยี่ยงไร??” เวียงพิงค์ถามอย่างสงสัย
“ข้ากับเอื้องเหนือเราหนีเภทภัยมาจากเมืองเชียงแสน พวกมันยึดทั้งเมืองไปหมดเลย” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“เมืองเชียงแสนมีทหารที่เก่งกาจ ข้าว่าไม่น่าจะเป็นเยี่ยงนั้นเลย” นรสิงห์พูดขึ้น
“ช่างมันเถิด ข้าขอนอนก่อนนะ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“นั่นสิ ข้าเองก็เหนื่อยเช่นกัน” เวียงพิงค์พูดขึ้นแล้วก็นอนตามเธอไปด้วย
ที่กระท่อมของมาเรียน่า ซึ่งเป็นกระท่อมของช่างตีเหล็กเก่า มาเรียน่าไปพักที่นั่นพร้อมกับสมาชิกบางส่วน มาเรียน่าลองไปตรวจสอบดูที่หลอมเหล็กในหมู่บ้านทันทีเพื่อดูว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะใช้การไม่ได้เลย
“ที่หลอมเหล็กนี่ใช้การมิได้ แถมมิมีเชื้อเพลิงด้วย” มาเรียน่าพูดขึ้น
“เออใช่ พวกเจ้าคิดเยี่ยงไรเรื่องแร่เหล็กนั่นหน่ะ??” อองโม่โยถามอย่างสงสัย
“ข้าว่า เราน่าจักลองเสี่ยงดู อาจจะมีของให้เราก็ได้” เมรีพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง สมบาติก็เดินออกมาจากกระท่อมของมาเรียน่า จากนั้นก็มาคุยกับคนอื่นๆที่อยู่แถวนั้นในทันที
“ข้าลองวิเคราะห์ดวงดาวดูแล้ว เหมือนว่าจะมีคนกำลังจับจ้องเราอยู่” สมบาติพูดขึ้น
“นี่ท่านพูดจริงหรือ หรือหมอดูคู่หมอเดา??” เมรีถามอย่างสงสัย
“นี่ เจ้าก็เห็นที่เขาทำนายแล้วนี่” อองโม่โยพูดปรามเธอไป
“ว่าแต่ มันเป็นใครถึงกล้ามาจับตาพวกเราหล่ะ??” มาเรียน่าถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่ทราบ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังตัวไว้หน่อย” สมบาติพูดขึ้น
“หากเจอเหล็กอุกกาบาตนั่น ข้าว่าจะหลอมมันแล้วมาซ่อมอาวุธให้กับพวกเจ้า” มาเรียน่าพูดขึ้น
“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านหน่อย ข้าจะไปนอนหล่ะ หากใครกล้าแตะข้า ข้าจะเฉือนมันทิ้งซะ!!” เมรีพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อม ทำเอาสมบาติกับอองโม่โยถึงกับมองหน้ากัน
“นางเป็นอะไรของนางกัน??” อองโม่โยถามอย่างสงสัย
“ช่างมันเถิด เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับนางมากก็แล้วกัน” สมบาติพูดขึ้น ส่วนมาเรียน่าก็ได้แต่เกาหัวแกร่กๆ
และที่กระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งเทเรซ่าใช้มันเป็นที่พักผ่อน ในตอนนั้นมีชาวคริสต์มารวมตัวกับเธอด้วยเพื่อพักผ่อน
“เฮ้อ ไม่ได้นอนที่นี่มีหลังคาคุ้มหัวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย??” มาร์คัสถามไป
“โธ่พี่ เราคงไม่ได้นอนแบบนี้บ่อยๆหรอก” อเล็กซพูดขึ้น
“แม็กซิม รีปเปอร์ไปไหนหล่ะ??” เทเรซ่าถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้ สงสัยจะไปเดินเล่นด้านอกหล่ะมั้ง??” แม็กซิมพูดไป
“เอาเถิด เขาคงไม่เป็นอันใดหรอก ว่าแต่ พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกับอนาเลียต่อ??” ออเรเลียถามอย่างสงสัย
“ข้าจะจับตาดูนางก่อน ตอนนี้นางยังไม่ทำอะไรก็ดีแล้ว” เทเรซ่าพูดขึ้น
“แต่ข้าว่า นางมิได้คิดร้ายกับเราเลยนะ!!” ทูตเบลล์พูดแทรกขึ้นมา
“นั่นสิ ข้าว่านางก็ไม่ได้ประสงค์ร้ายกับเรา” แม็กซิมพูดขึ้น
“อเล็กซ เธอว่าที่เมืองพิษณุโลกจะมีของที่เราตามหาหรือเปล่า??” มาร์คัสถามเธอไป
“ไม่รู้สิ แต่หวังว่าคงจะยังไม่มีใครเอาไปนะพี่” อเล็กซพูดขึ้น
“พวกเจ้ากำลังตามหาอะไรกันอยู่งั้นหรือ??” ออเรเลียถามอย่างสงสัย
“มีข่าวมาว่ามีของสำคัญเก็บไว้ที่สถานีการค้าร้างของเรา มันเป็นของสำคัญมาก” มาร์คัสพูดขึ้น
“ใช่ แต่เราไม่รู้ว่ามันมีจริงหรือเปล่า??” อเล็กซถามไป
“ถ้าไปถึงที่นั่น พวกเจ้าก็ลองไปดูสิ ไม่แน่อาจจะเจอก็ได้” เทเรซ่าพูดขึ้น
“อืม ว่าแต่ท่านไม่ลองใช้ปืนแบบคนอื่นงั้นหรือ??” ทูตเบลล์ถามแม็กซิมไป
“ข้าว่า ใช้ดาบมันได้เป็นการให้เกียรติพระเจ้าหน่ะ” แม็กซิมพูดขึ้น
และกระท่อมของอนาเลีย ในวันนั้นเธอก็นั่งร่ายมนต์อะไรบางอย่างในกระท่อมของเธอ เพื่อเป็นการปกป้องทุกคนที่อยู่ในบริเวณหมู่บ้าน โดยที่คนอื่นๆก็อยู่กับเธอเพื่อเป็นการคุ้มกันเธอด้วย
“ข้าขอบใจพวกเจ้ามานะที่มาคอยคุ้มกันข้า!!” อนาเลียพูดขึ้น
“โอ้ย ไม่เป็นไรหรอก ไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรหรอก” ชิงเสียนพูดขึ้น
“ก็นะ ว่าแต่ ท่านใช้มนต์อะไรอย่างงั้นหรือ??” วาทินถามอย่างสงสัย
“ข้าร่ายมนต์ปกป้องที่นี่หน่ะ ถ้ามีปีศาจตัวไหนเข้าใกล้ ข้าจะรู้ทันที” อนาเลียพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆรีปเปอร์ก็เดินมาหาพวกของอนาเลียในทันที
“อืม พวกเจ้า ทำอะไรกันอยู่งั้นเหรอ??” รีปเปอร์ถามไป
“อ้าว ท่านรีปเปอร์ มาที่นี่ด้วยเหรอ??” วาทินถามอย่างสงสัย
“ข้ามาหาอนาเลียหน่ะ จะมาทักทายเธอหน่อย” รีปเปอร์พูดขึ้น
“อะไรกัน นี่ พวกเจ้าสองคนรู้จักกันงั้นเหรอ??” ชิงเสียนถามอย่างสงสัย
“นี่ เทเรซ่ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ามาที่นี่??” อนาเลียถามไป
“ไม่หรอก ข้าแอบออกมาหน่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” รีปเปอร์พูดขึ้น
“อ่า นี่พวกเรารบกวนหรือเปล่าเนี่ย??” วาทินถามอย่างสงสัย
“เอาเป็นว่าเงียบๆก่อนดีกว่า พวกเขาจะทักทายกัน” ชิงเสียนพูดขึ้น จากนั้นเธอก็กระดกน้ำแล้วดื่มไป
ณ กระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งหลี่เจาและอิริยะก็ได้อยู่ด้วยกันในกระท่อม หลี่เจาในตอนนั้นก็ถอดเกราะของเขาออกมาและให้อิริยะช่วยทำความสะอาดหลังให้กับเขา เมื่อทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“นี่ ท่านหลี่เจา เราจะบอกความจริงกับพวกเขาหรือไม่??” อิริยะถามไป
“ยังไม่ถึงเวลา เจ้าเงียบไว้ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งเผยว่าเราเป็นใคร” หลี่เจาพูดขึ้น
“เรื่องแร่เหล็กอุกกาบาตนั่น ข้าว่า พวกปีศาจต้องได้มันไปแล้วแน่ๆ” อิริยะพูดขึ้นและถูหลังให้เขาอย่างเบามือ
“ข้ารู้ แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่กระนามือเขาหรอก ข้ารู้ดี” หลี่เจาพูดขึ้น
“แล้วกุมารเทพนั่นเล่า ท่านจะเอาเยี่ยงไรต่อ ข้าว่าเขาต้องรู้แน่ว่าพวกเราเป็นใคร??” อิริยะถามไป
“มิต้องห่วง พ่อกุมารไม่บอกพวกนั้นหรอก” หลี่เจาพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ไปนอนที่เตียงของเขาในทันที ส่วนอิริยะก็ไปนอนเคียงข้างกับเขาด้วย
“แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดีนั่นหล่ะ” อิริยะพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง ถ้าถึงเวลานั้น ข้าจะจัดการเอง” หลี่เจาพูดขึ้นและกอดอิริยะไป
และที่ด้านนอก เหล่าสมาชิกใหม่ที่เหลืออยู่ 4 คนก็มานั่งผิงไฟอยู่ด้านนอก ในตอนนั้นพวกเขาก็ช่วยกันหาเชื้อเพลิงให้กองไฟไปด้วย และเมื่อเปลวเพลิงได้ที่ พวกเขาทั้งสี่คนก็มานั่งเล่นเครื่องดนตรีที่พวกเขาเตรียมกันในทันที ในตอนนั้นเพลงบรรเลงขึ้น ลุงคงก็เกิดสนุกเอาไหเหล้าขึ้นมากอด จากนั้นก็ร้องรำทำเพลงไปด้วยในทันที
“อ่ะโอละเห่ อะโอละชาย…..”
ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็เล่นไปเรื่อยๆ และวาทินในตอนนั้นก็เดินถือเครื่องดนตรีของเขาออกมาด้วย จากนั้นก็พูดขึ้น
“ข้าขอเล่นด้วยคน!!”
พวกเขาทั้งหมดรวมกันเป็น 5 คนก็ได้เล่นดนตรีคละเคล้าไปกับสายลม โดยที่ลุงคงก็ยังร้องรำทำเพลงโดยที่ไม่สนอะไร จนซักพัก พวกเขาก็หยุดเล่นในทันที แล้วก็มานั่งคุยกันด้วย
“นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เล่นกันแบบนี้หล่ะนะ” มายะพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ลุงคงก็ไปนั่งกับพวกเขาด้วย จากนั้นก็ยกไหเหล้าดื่มไป
“อ่า พวกเจ้า เล่นเพลงให้ข้าฟังที!!”
“นี่ลุง ข้าอยากรู้ ลุงเป็นใครมาจากไหนกัน??” ฉางหลงถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็จำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร ข้ารู้แค่ชื่อของข้า จากนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” ลุงคงพูดขึ้น
“เฮ้อ ว่าแต่ บ้านลุงอยู่ที่ไหนหล่ะ ลุงรู้หรือเปล่า??” ไวโอเล็ตถามอย่างสงสัย
“ข้าไม่รู้ ข้าเร่ร่อนไปเรื่อย ข้าอยากดื่มเหล้า…” ลุงคงพูดขึ้น จากนั้นก็ยกไหเหล้ากระดกต่ออย่างไม่สนอะไร
“เฮ้อ น่าสงสารลุงแกจริงๆนะ พวกนายว่าหรือเปล่า??” มายะถามไป
“นั่นสิ ลุงเขาก็เป็นเหมือนกัน ทุกวันนี้ฉันก็แทบจำตัวเองไม่ได้” โชพูดขึ้น
“ฉันว่า อดีตมันไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่าวันนี้พวกเราทำอะไรไปบ้าง” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“นั่นสิ วาทิน เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่??” มายะถามอย่างสงสัย
“พวกข้าต้องเดินทางไปจัดการพวกปีศาจที่มันกำลังออกอาละวาดหน่ะ ข้าจะไปเฝ้ายามให้แม่นางอนาเลียก่อน” วาทินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อมของอนาเลียในทันที
“ปีศาจพวกนั้นมันมาจากไหนกันนะ ข้าอยากรู้จริงๆ??” ฉางหลงถามอย่างสงสัย
“ข้าว่า พวกมันคงไม่ได้อยู่ดีๆก็โผล่มาหรอก มันต้องมาจากที่อื่น” โชพูดขึ้น
“ตอนนี้พวกเราก็ร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว ก็คงต้องไปให้สุดหล่ะนะ” มายะพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ลุงคงก็ตะโกนอะไรบางอย่างออกมา ทำเอาทุกคนถึงกับตกใจ
“เจ็บรวด ปวดร้าววววว…..”
“ข้าว่า เราคงต้องรักษาการติดสุราของเขาเถิด ขนาดข้ายังดื่มไม่ได้เท่ากับเขาเลย” ฉางหลงพูดอย่างหัวเสีย
“แล้วนี่ เราจะเอายังไงกับเขาต่อหล่ะ??” ไวโอเล็ตถามอย่างสงสัย
“ฉันว่า ให้ลุงแกนอนที่นี่เถอะ ลุงแกมีฝีมือขนาดนั้น ไม่มีใครทำอะไรลุงแกได้หรอก” โชพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นจากแค้มป์ไฟ แล้วก็กลับเข้าไปในที่พักของพวกเขาในทันที ปล่อยให้ลุงคงนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ริมกองไฟนั้นไปคนเดียว
ณ วัดหินโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางเหนือของภูมิภาคนั้น ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด และเศษซากของวัดที่เสียหายจากสงคราม ทำให้ดูภายนอกเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่เลยมานานนับหลายปี แต่ด้านใน แสงเทียนลางๆก็ยังคงลุกโชน ชายผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำซึ่งกำลังนั่นแทะอะไรบางอย่าง ซึ่งดูคล้ายกับกระดูกติดเนื้อ ในระหว่างที่เขากำลังนั่งกินเนื้ออย่างสบายใจ ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีแสงสีดำอะไรบางอย่างลอยเข้ามาใกล้เขา ชายคนนั้นถึงกับหยุดกินแล้วก็พูดขึ้นในทันที
“อย่าเข้ามาใกล้ข้ามากกว่านี้ ไม่อย่างงั้นเจ้าไม่ตายดีแน่!!”
“ในที่สุดข้าก็เจอกับเจ้า เจ้าคือเดอเวส หนึ่งใน 6 กาลกิณีแห่งโลกนี้ใช่หรือไม่??” แสงสีดำนั้นพูดขึ้น
“เจ้าต้องการอะไรจากข้า ว่ามา??”
“เจ้าทราบเรื่องคณะเดินทางที่กำลังเดินทางไปยังพิษณุโลกแล้วหรือยังหล่ะ??” แสงสีดำนั้นถามไป
“ข้ารู้ แต่มันเกี่ยวอะไรกับข้า??”
“ข้ามีงานให้เจ้าทำ ท่านพระยาพลเทพมอบพลังนี้ให้กับเจ้า ให้เจ้าจัดการกับพวกมัน” แสงสีดำนั่นพูดขึ้น จากนั้นมันก็ปล่อยลูกอะไรบางอย่าง เป็นทรงกลมสีดำ ด้านในดูเหมือนว่าจะมีเปลวเพลิงน้อยๆลุกโชนด้านใน
“มันเป็นพลังอะไร บอกข้ามา??” เดอเวสถามไป
“เจ้าลองกินดูแล้วจะรู้เอง รับมันไว้ซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจเอาไปให้กับปีศาจตนอื่นแทน!!” แสงสีดำนั้นพูดต่อ
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นข้าหล่ะ??” เดอเวสถามไป
“เจ้ามันเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก รับพลังนั่นไป จัดการกับพวกมัน อย่าให้พวกมันเดินทางได้สำเร็จ รับมันไปซะ!!” แสงสีดำนั้นพูดขึ้น จากนั้นตัวมันก็ค่อยๆจางหายไปตามสายลม ส่วนตัวของเดอเวสในตอนนั้นก็หยิบเม็ดยานั้นขึ้นมาในทันที จากนั้นเขาก็กินมันเข้าไป แต่ในตอนนั้นซักพักหนึ่ง ตัวเขาก็ร้อนรุ่มราวดังไฟ
“อ๊าคคค!!”
เดอเวสดิ้นทุรนทุรายไปซักพักหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่รอด แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง เดอเวสก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับนัยน์ตาสีแดงเพลิง พร้อมกับพลังที่มากขึ้น จากนั้นเขาก็แผดร้องออกมาเสียงดังมาก
“ย้ากกกกก!!”
เช้าวันต่อมา หลังจากที่กลุ่มของทองอินทร์ได้พักผ่อนกันเต็มที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างของหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบดูว่าใครพร้อมกันบ้าง และเมื่อพวกเขามารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มาคุยกันในทันที แต่สิ่งที่พวกเขาสงสัยก็คือลุงคงหายไปไหน
“เออนี่ ตาแก่คงหายไปไหนกัน มีใครเห็นแกหรือเปล่า??” เมรีถามอย่างสงสัย
“หรือว่า แกอาจจะออกไปเดินเล่นที่นอกหมู่บ้านแล้วหล่ะ??” แม็กซิมถามอย่างสงสัย
“ไม่นะ ไม่มีใครผ่านกำบังของข้าได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ต้องรู้สิ??” อนาเลียถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง พวกเขาก็เห็นลุงคงอุ้มไหเหล้าเดินเข้ามาสองไห จากนั้นก็ร้องรำทำเพลงไม่เป็นภาษา ทำเอาทุกคนรู้เลยว่าใครมา
“ดาด๊า โดนเต๋!!”
“เฮ้อ ตายยากจริงๆตาลุงนี่ ข้าล่ะนับถือเขาจริงๆ พวกเจ้าว่างั้นหรือไม่??” คาวีถามไป
“นั่นสิ ว่าแต่ ทางข้างหน้าที่พวกเราจะต้องไปนี่มันที่ไหนกัน??” เทเรซ่าถามอย่างสงสัย
“ตามที่ข้ารู้มา เราจะต้องผ่านเมืองอ่างทอง แล้วไปต่อสิงห์บุรี นครสวรรค์ เข้าพิษณุโลกหน่ะ” สมบาติพูดขึ้น
“สิงห์บุรีเหรอ ข้าอยากจักไปบ้านระจันซักครั้ง ข้าอยากไปเห็นวีรกรรมของพวกเขา” วารีพูดขึ้น
“ว่าแต่ จะมีหินอุกกาบาตดำในเมืองอ่างทองจริงงั้นหรือ?? พวกเจ้าว่ามีหรือ??” ชิงเสียนถามไป
“ก็ต้องลองดูก่อนสิ ยังไงเราก็ต้องผ่านที่นั่นอยู่แล้วนี่” มาเรียน่าพูดขึ้น
“ท่านกุมาร พวกปีศาจที่เราจะต้องเจอนี่มันน่ากลัวเท่าใดกันในอ่างทองหน่ะ??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“ก็เป็นปีศาจทั่วไป แต่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ผิดปกติ เหมือนว่าพวกมันเป็นปีศาจในยุคดึกดำบรรพ์หน่ะ” กุมารเทพพูดขึ้น
“อืม จะว่าไป เหมือนข้าเคยได้ยินเรื่องนี้ที่ไหนนะ ข้าขอนึกดูก่อนก็แล้วกัน” ทูตเบลล์พูดขึ้น
“หากไปต่อเรื่อยๆ อาจจักต้องเจอระดับจอมมารก็ได้” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“แต่โชคยังดีที่เรามิต้องกังวลเรื่องเสบียง แต่อาวุธของเราต้องทำเพิ่มหน่ะสิ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“หวังว่าเมืองอู่ทองนั่นจะมีโรงตีเหล็กกับดินปืนหลงเหลืออยู่นะ” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“ข้าว่า คงโดนเหล่าอังวะปล้นเอาไปตอนตีเมืองแล้วหน่ะสิ” วาทินพูดและหันมองไปทางอองโม่โย
“เฮ้ย นี่เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้นสิ ข้ามิได้ฆ่าฟันพวกเขาเสียหน่อย” อองโม่โยพูดขึ้น
“ข้าว่า อาจจะเหลือของที่พวกชาวเมืองซุกซ่อนเอาไว้ก็ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้นะ” ฉางหลงพูดขึ้นพลางกอดอกไป
“อ่า ข้านึกอะไรบางอย่างออก ตอนที่ข้าเดินทางมาค้าขาย ตอนเข้าเมืองอ่างทอง เห็นมีการขุดดินเพื่อหาอะไรบางอย่างกันด้วย” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ข้าว่า พวกเขาจักต้องหาแร่เหล็กกันแน่” ธิดาพูดขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ป่านนี้พวกนั้นมิได้แร่เหล็กไปแล้วอย่างงั้นหรือ??” รีปเปอร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าว่าไม่หรอก ถ้าไม่อย่างงั้น พวกนั้นจะลำบากมาหาแผนที่ไปทำไมกันหล่ะ??” มาร์คัสถามอย่างสงสัย
“ข้าว่า พวกปีศาจอาจจะกำลังเดินทางไปยังเมืองอู่ทองก็ได้ ตอนนี้พวกมันคงมีมากประมาณ” อเล็กซออกความเห็นไป
“ข้าเห็นด้วย หากพวกปีศาจได้แร่เหล็กไป พวกปีศาจอาจจะเอามันไปทำอาวุธร้ายแรงเสียก็ได้” หลี่เจาพูดขึ้น
“แล้วนี่ เราจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะไปเมืองอ่างทองทันหล่ะ??” มายะถามอย่างสงสัย
“ดูจากการเดินทางแล้ว ข้าว่าคงมิเกินเย็นดอก เพราะตอนนี้เหล่าเทพบนสวรรค์คงช่วยพวกเราอยู่” อิริยะพูดขึ้น
“ก็ขอให้ช่วยหน่อยเถิด มิเช่นนั้นพวกเราลงนรกกันหมดแน่” โชพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ตอนนี้พวกเราก็เตรียมออกเดินทางกันต่อเถิด” ออเรเลียพูดขึ้น
“พี่อินทร์ ข้าว่าทางข้างหน้าพวกมันต้องวางกำลังรอเราอยู่แน่ เราต้องระวังตัวให้จงหนัก” นาราพูดขึ้น
“มิต้องห่วง ต่อให้ต้องเผชิญกับขุมนรก ข้าก็จักเผชิญกับมัน พวกเราเดินทางกันเถิด!!” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เก็บข้าวของที่จำเป็นทั้งหมดขึ้นไปบนเกวียน จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อในทันที โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจดจ้องมายังพวกเขาอย่างใจเย็น
“โอ้ เรื่องคณะเดินทางนี่เป็นเรื่องจริงสินะ?? ท่านหลี่เจาก็มาด้วยงั้นหรือ เช่นนี้ข้าคงต้องไปสนุกด้วยหล่ะ!!”
===============================================================
การเดินทางจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ตัวละครคุณเชอรี่ อาจจะออกมาตอนหน้าเน้อ แหะๆ
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
ความคิดเห็น