NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Until Last Dying Breath - ตราบลมหายใจสุดท้าย [ปิดรับสมัครตัวละครชั่วคราว]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 2 : เดินทางขึ้นเหนือ

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 66


    กลุ่มของวินรีบเข้ามาสมทบกับเมตที่เพิ่งจะช่วยไนอาลากับเวย์ที่เพิ่งจะหนีจากการตามล่ามาได้ พวกเขาได้อาวุธจากพวกมันมากมาย รวมถึงชุดเกราะที่ยังไม่เสียหายด้วย

    “โอเค เราได้อาวุธกับเสื้อเกราะของพวกมันมาด้วยเยอะแยะเลย” ฟรีพูดอย่างตื่นเต้น

    “ยังไงก็ต้องใช้ปืนของพวกมันไปก่อนหล่ะนะ” รินพูดขึ้นพลางหยิบปืนกล AR ของพวกมันมาดู

    “เออ ไม่ทราบว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ??” เมตถามเวย์ไป แต่ในตอนนั้น เขาก็เจอแผลเล็กน้อยที่แขนของเวย์ เขารีบเดินเข้าไปในโซนยาของร้านสะดวกซื้อ จากนั้นก็หยิบเอายามาทาให้กับเวย์ในทันที

    “ขอบคุณนะคะ” เวย์บอกกับเมตไป

    “ว่าแต่ พวกคุณเป็นใคร มาจากไหนครับเนี่ย??” วินถามไนอาลาไป

    “ไม่เป็นไรหรอก ความจริงฉันเอาตัวรอดได้” ไนอาลาพูดขึ้น

    “เอ๊ะนี่ ดูพูดเข้าสิ นี่พวกเราอุตส่าห์ช่วยนะเนี่ย!!” รินพูดขึ้น

    “นั่นสิ โคตรใจร้ายเลย” โรสพูดเสริม

    “เอาน่า ใจเย็นครับ ผมว่าปลอดภัยกันก็ดีแล้ว” วินห้ามทั้งคู่ไป

    “เย้ วันนี้โคตรดีเลย ได้ผ่ากบาลพวกมันด้วย!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้น

    “นี่ นายหน่ะเงียบๆเถอะ เดี๋ยวพวกมันมาได้ยินอีก” ซูหยินพูดขึ้นพลางส่ายหน้าไปด้วย

    “ว่าแต่ ไอ้พวกนั้นเป็นใครกัน??” แอนนาถามไป 

    “อ่า เท่าที่ผมเห็นชุดของมัน เท่าที่ดู น่าจะเป็นพวกของไอ้สาลิกาครับ” เมตพูดขึ้น

    “ห่ะ สาลิกา ไอ้แก่บ้านั่นอีกแล้วเหรอ แล้วทำไมมันถึงต้องตามพวกคุณด้วย??” ฟรีถามไป

    “ผมว่า พวกนั้นอาจจะมองเธอเป็นพวกต่างชาติก็ได้นะครับ” วินพูดขึ้น

    “ใช่ ดูอย่างพวกนายแล้ว พวกนายไม่มีทางเข้าใกล้พื้นที่ของพวกมันได้หรอก มีหน้าฝรั่งแบบนี้ไปด้วยยังไงก็ไม่รอด” ไนอาลาพูดขึ้น

    “เฮ้อ แต่แล้วยังไง ฉันก็จะสับหัวพวกมันให้หมดเลย ไอ้พวกหัวรุนแรงนี่!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้น

    “โธ่ นายไม่รุนแรงเลยนะนายหมูบ้า” ซูหยินพูดขึ้น 

    “เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ต้องผ่านไปที่นั่น ไม่ใช่เหรอ??” แอนนาถามไป

    “พวกเราอาจจะเป็นอันตรายกว่าที่พวกนายคิดนะ” เวย์พูดขึ้น

    “แหม่ จะอันตรายแค่ไหนเชียว ใครกลัวกัน??” รินถามไป

    “เอาเถอะ แต่ยังไงก็ไม่ควรประมาทพวกมันเด็ดขาด” โรสพูดเสริม และไม่นานนัก เมตเองก็ทำแผลให้กับเวย์เรียบร้อยแล้ว

    “นี่ ถ้าพวกเธอไม่รังเกียจ พวกเธอไปกับเราก็ได้นะ” วินพูดขึ้นและมองไปในตาของไนอาลาอย่างซื่อๆ ทำเอาตอนนั้นเธอพูดไม่ออกเท่าไหร่นัก

    “เออ จะดีเหรอคะ พวกเรา..” เวย์พยายามพูดแต่เมตก็ขัดไว้ก่อน

    “ไม่ต้องห่วงครับ พวกคุณเองก็ต้องขึ้นเหนือแน่ๆ พวกเราจะช่วยคุณเองครับ” เมตบอกกับเวย์ไป 

    “เฮ้ ฉันว่านายเมตโดนเข้าแล้วหล่ะ” ซูหยินสะกิดบอกฟรี

    “ผมสงสัยตั้งแต่บอกว่าจะไปช่วยผู้หญิงหล่ะ” ฟรีพูดขึ้น

    “ใช่ พวกเธออย่าดูถูกความสามารถของพวกเราก็แล้วกัน พวกเธอก็เห็นแล้ว!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้น

    “แหม่ รู้แล้ว แต่เบาๆหน่อยเถอะ” รินพูดขึ้น

    “เออ ถ้างั้น ฉันถามหน่อย พวกนายจะไปไหนกัน??” ไนอาลาที่เงียบก็พูดออกมา

    “เห็นนายวินบอกว่าจะไปเชียงใหม่หน่ะ” โรสตอบไป

    “ใช่ แต่ถ้าระหว่างนี้พวกเธอจะไปไหนก็บอกแล้วกัน??” แอนนาถามขึ้น

    “อืม พวกเราจะขึ้นเหนือหน่ะ พวกเรามีงานต้องทำนิดหน่อย” ไนอาลาพูดขึ้น

    “อ้อ ถ้าอย่างงั้นก็มากับพวกเราสิ” วินบอกกับไนอาลาด้วยแววตาใส่ซื่ออีกครั้ง 

    “เอาเถอะ แต่เราต้องมีแผนนะ เราต้องรู้ว่าเราต้องเจอกับอะไร” แอนนาพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง เมตเองก็เห็นแท็บเล็ตของเวย์ เวย์เองรีบเอามันมาในทันที จากนั้นก็ทำอะไรบางอย่าง

    “นี่ นาย ทำอะไรของนายเนี่ย??” เวย์ถามไป แต่ในตอนนั้น เมตเองก็สามารถค้นข้อมูลอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็บอกกับทุกคนอย่างตื่นเต้น

    “โห นี่นายเป็นแฮ็กเกอร์เหรอเนี่ย??” ซูหยินถามไป

    “อาชีพเสริมหน่ะครับ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขตภาคกลางเองกำลังวุ่นวาย ไม่ใช่แค่พวกไอ้สาลิกานะ มันยังมีกองกำลังชุมโจรอีกหลายก๊กที่กระจายตัวกันอยู่ เราอาจจะต้องปะทะกับพวกมันหน่อย” เมตพูดขึ้น

    “โห อะไรกันอีกวะเนี่ย ต้องสู้กับไอ้พวกโจรอีกเหรอ??” รินถามไป

    “เอาน่า พวกเราก็มีปืนนี่” โรสตอบกลับไป

    “ถ้าฉันยังมีพวกอยู่ รับรองว่าจัดการพวกมันได้แน่” ฟรีพูดขึ้น

    “แต่ฉันบอกแล้วไง ฉันคนเดียวจัดการพวกมันได้หมดเลย!!” ไอ้หมูป่าตะโกนออกมา ก่อนที่ในตอนนั้น ไนอาลาเองจะเข้ามาใกล้กับเมต จากนั้นก็บอกเขา

    “นี่ นายพอจะหาตำแหน่งของวัตถุนี้ได้หรือเปล่า??” ไนอาลาถามจากนั้นก็เอารูปอะไรบางอย่างให้เขาดู มันเป็นรูปคริสตัลสีฟ้าประหลาด เมตเองรีบหาข้อมูลในทันที แต่เขาก็ตอบกลับมา

    “เออ ทางเหนือของอุตรดิตถ์ ผมลองแฮ็กดาวเทียมดูแล้ว มันมีคลื่นประลาดอะไรบางอย่างอยู่ตรงนี้ครับ” เมตพูดขึ้นจากนั้นก็เอาให้ไนอาลาดู ไนอาลาเห็นตอนนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเอาไว้ในทันที

    “โอเค ฉันพร้อมไปกับพวกนายแล้ว ฉันจะไปจังหวัดนั้น” ไนอาลาพูดขึ้น

    “อ้อ ก็ดีนะ พอแวะไปได้อยู่” ฟรีพูดขึ้น

    “ว่าแต่ เจ้านั่นมันคืออะไรเหรอ??” วินถามไนอาลาไป

    “มันเป็นของอันตรายมาก เอาไว้ตอนเดินทางจะบอกเพิ่มแล้วกัน” ไนอาลาพูดขึ้น

    “มันก็แค่คริสตัล แร่นี่ มันมีค่ามากเหรอ??” ซูหยินถามไป

    “มันไม่ได้มีค่าอย่างที่พวกนายคิด และอย่าแม้แต่จะคิดดีกว่า” ไนอาลาพูดขึ้นเสียง

    “นี่ๆๆ ใจเย็นหน่อยสิ โวยวายไปได้” โรสพูดขึ้น

    “เอาเถอะ แต่ถึงยังไง เราก็ต้องฝ่าไอ้พวกนั้นไปก่อน” รินพูดขึ้น

    “ฉันจะพาพวกเราไปเอง ไม่ต้องห่วงน่า!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้น

    “โอเค ดูเหมือนว่าถนนเส้นหลัก พวกมันคงปิดกันหมดแล้ว เราคงต้องเลี่ยง พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุด” แอนนาพูดขึ้น

    “ยังไงก็ได้ครับ แต่ผมว่าเราพักกันก่อนดีกว่านะครับ ว่าแต่ ผมยังไม่รู้ชื่อพวกคุณสองคนเลย??” วินถามไป

    “อ้อ ฉันไนอาลา ส่วนนี่เวย์ เธอเป็นเพื่อนร่วมงานฉันหน่ะ”

    “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” วินบอกกับไนอาลาไป ไนอาลาเองก็แอบยิ้มเล็กน้อยให้เขา

     

    ณ ทำเนียบรัฐบาลไทย ซึ่งตอนนี้อยู่ในความควบคุมร่วมกันของ VSC, Black Reaper of Genesis และกองกำลังฟื้นฟูไทยของชยาชาญ ในตอนนี้ทั้ง 3 ฝ่ายได้เดินทางมาถึงและเข้าประชุมร่วมกันที่ห้องๆหนึ่ง ชาญเดินมาแล้วก็พบกับกุนนาร์และกฤตที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องประชุม ทั้ง 3 คนเจอกันก็จับมือทักทายกันในทันที

    “สวัสดีครับคุณกฤต คุณกุนนาร์”

    “คุณชาญ ในที่สุดคุณก็มาซะทีนะ” กฤตพูดขึ้น

    “โอเค เราไม่พิธีรีตองอะไรมาก เรามารีบคถยกันดีกว่า” กุนนาร์พูดขึ้น จากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสามก็พากันไปนั่งที่นั่งที่เตรียมเอาไว้ จากนั้นก็พูดคุยกันในทันที

    “เอาหล่ะค่ะ เรามาเริ่มกันเลย ทุกคนก็น่าจะรู้สถานการณ์สงครามของเราตอนนี้นะคะ” กุนนาร์พูดขึ้น

    “เรื่องนั้นผมเองก็พอทราบครับ เราอาจจะยึดอยุธยาได้ แต่ตั้งแต่นั้นขึ้นไป กองกำลังของคุณสาลิกาเข้มแข็งมากครับ” ชยาชาญพูดขึ้น

    “คุณกฤต ถ้าเราต้องรบกับพวกนั้นแบบเต็มกำลัง เรามีโอกาสชนะแค่ไหน??” กุนนาร์ถามไป

    “อืม ถ้าเรารบกับพวกนั้นตรงๆ ก็มีโอกาสได้ แต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจะมีใครตลบหลังเราบ้าง??” กฤตพูดขึ้น

    “ภาคตะวันออกตอนนี้ คุณจินเยว่เป็นคนควบคุมอยู่ ผมอาจจะคุยกับเธอได้ แต่ทางใต้ตอนนี้ คุณการิน ผมไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่” ชยาชาญพูดขึ้น

    “เรือเอกการินตอนนี้ควบคุมกองเรือในอ่าวไทย และควบคุมพื้นที่ภาคใต้ เราอาจจะเสียเปรียบถ้าเขาไปเข้าร่วมกับนายสาลิกาด้วย” กฤตพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เรื่องคุณจินเยว่ ฉันคงต้องฝากคุณด้วย คุณชาญ” กุนนาร์พูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก เฮลล่าลูกน้องของกุนนาร์ก็เดินเข้ามาหาเธอ จากนั้นก็เดินเข้ามารายงานอะไรบางอย่างกับเธอ

    “คุณกุนนาร์คะ ตอนนี้เราควบคุมสถานการณ์ได้เกือบหมดแล้ว ตอนนี้พวกมันถอยไปที่หนองจอกค่ะ”

    “งั้นเหรอ ถ้าอย่างงั้นคงต้องส่งกำลังไปจัดการหล่ะ” กุนนาร์พูดขึ้น

    “ค่ะ แล้วอีกเรื่อง เราเห็นกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามเดินทางขึ้นเหนือ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปไหนกัน??”

    “ต้องเป็นพวกข้าราชการรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่อยากจะไปทำงานกับสาลิกาแน่นอนครับ” กฤตพูดขึ้น

    “โห พวกนั้นจะลำบากฝ่าดงกระสุนไปทำไมกัน??” กุนนาร์ถามไป

    “พวกเขาอยากทำงานสบายๆหน่ะครับ” ชยาชาญตอบไป

    “เอาเถอะครับ ถ้าพวกนั้นอยากไปก็คงต้องให้ไป ตอนนี้เรามีอะไรให้ต้องจัดการอีกเยอะเลย” กฤตพูดขึ้น

    “เฮลล่า เธอไปจัดการพวกมันที่เหลือที่หนองจอกแล้วกัน เราต้องรักษาความสงบและคุมพื้นที่ให้ได้” กุนนาร์ออกคำสั่งไป

    “รับทราบค่ะ” เฮลล่าพูดจบก็เดินออกไป

    “ตอนนี้เราคงต้องเตรียมรับมือทางเหนือแล้วหล่ะ ผมจะให้หน่วยของผมช่วยสนับสนุนแล้วกัน” กฤตพูดขึ้น 

    “ส่วนทางด้านตะวันออก ผมขอเจรจากับจินเยว่เองครับ” ชยาชาญพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นฉันฝากด้วยแล้วกันนะคะ” กุนนาร์พูดจบ จากนั้นชยาชาญก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    “คุณกฤต ตอนนี้ VOC9 เป็นยังไงบ้างคะ??” กุนนาร์ถามไป

    “ตอนนี้คนของผมติดต่อมาแล้ว พวกเขากำลังปล่อยมันออกไปทั่วเขตกรุงเทพและปริมณฑลแล้ว แต่ถ้าจะให้ปล่อยออกไปทั่วประเทศ เราคงต้องเดินทางไปยังใจกลางประเทศ อีกอย่าง ผมหวังว่าสมกัมมันตรังสีลูกใหญ่จากยุโรปกับจีน คงจะไม่พัดลงมาถึงเราครับ” 

    “ก็หวังไว้แบบนั้นค่ะ” กุนนาร์พูดไป

     

    ณ ค่ายทหารชั่วคราวของกองกำลัง Black Reaper ในวันนี้กายเองได้รับข้อความอะไรบางอย่างจากคุณกฤต ตัวของเขารีบเอามันไปอ่านให้พรรคพวกของเขาที่กำลังจัดการเครื่องมือปรับปรุงสภาพกัมมันตรังสีอยู่

    “เฮ้พวก คุณกฤตเขาบอกมา เขาบอกว่าเราต้องติดตั้งเครื่องนี้ไว้ที่ภาคกลางของประเทศ มันถึงจะปรับสภาพรังสีประเทศนี้ได้ทั้งหมด” กาบบอกกับทั้งคู่

    “อืม ถ้าอย่างงั้น ฉันจะลองปรับแต่งเครื่องดู แต่มันต้องใช้เวลาหน่อย” ศิลป์พูดขึ้นจากนั้นก็ลองตรวจสอบเครื่องไป

    “ใช่ แล้วใช่ว่าหัวเชื้อมันจะสามารถครอบคลุมไปได้ไกลขนาดนั้น คงต้องทดสอบกันอีกเยอะเลย” เติร์กพูดเสริม

    “เอาเถอะ ฉันเชื่อว่าพวกนายทำได้อยู่แล้ว” กายพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบเดินออกไปในทันที

    “เฮ้ย จะไปไหนเนี่ย??” เติร์กถามกายไป

    “ฉันมีงานใหม่ ตอนนี้ต้องนำหน่วยจู่โจมพิเศษไปหนองจอก มีข่าวว่าตอนนี้พวกกบฏบางส่วนถอยไปที่เขตนั้นแล้ว” กายพูดขึ้น

    “เออ แถวนั้นมีแต่นาข้าวกับทุ่งหญ้า ระวังด้วยแล้วกัน” ศิลป์พูดขึ้น

    “เป็นห่วงเหรอเพื่อน??” กายพูดแซวไป ทำเอาศิลป์ถึงกับส่ายหน้าเล็กน้อย

    “เออๆ จะเอาคนไปเท่าไหร่หล่ะ??” เติร์กถามไป

    “ก็ประมาณ 100 คนได้หน่ะ แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราจัดการมันได้อยู่แล้ว เจอกันนะพวก” กายพูดขึ้น ในขณะที่คนของเขาเองก็เอาชุดเกราะและอาวุธมาให้กับกาย

     

    และอีกด้านหนึ่ง บริเวณทุ่งหนองจอก กองกำลังติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ภายใต้การนำของนายพลพงศ์ในชุดสนามที่พวกเขาพอจะหาได้ตามมีตามเกิด รวมถึงชุดเกราะธรรมดาๆ เดินทางมาถึงทุ่งแห่งนี้ บรรยากาศในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติมากนัก แต่พงศ์เองใช้กล้องส่องทางไกลมองดูพื้นที่อย่างตั้งใจ

    “เหมือนจะไม่มีอะไรเลยนะครับ” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น

    “แบบนั้นหล่ะน่ากลัว ไม่รู้เลยว่ามันจะมีแผนอะไรหรือเปล่า” พงศ์ตอบไป ก่อนที่ในตอนนั้น

    “ปัง!!” 

    เสียงปืนดังขึ้นมาจากทุ่งและเฉียดกระจกรถของพงศ์ไปนิดเดียว จากนั้นพวกเขาก็รีบหมอบลงในทันที

    “บ้าเอ้ย หมอบก่อน แล้วก็หาตัวมันให้ได้!!” พงศ์ตะโกนออกมา ก่อนที่สไนเปอร์ในหน่วยของเขาจะเจอเป้าหมาย และยิงใส่มันในทันที

    “ปัง!!”

    “ข้าศึกร่วงแล้ว..” แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ตอนนั้นห่าฝนกระสุนก็ยิงถล่มใส่พวกเขา ทำเอาพวกเขาต้องรีบหมอบกันต่อ ตัวของพงศ์เองก็หาที่หลบก่อนเพื่อความปลอดภัย

    “ท่านครับ พวกมันยิงไม่หยุดเลยครับ!!”

    “ผมว่า เรายิงปืนครกเถอะครับ!!”

    “เดี๋ยว เราจะไม่เสี่ยงทำให้พื้นที่เสียหาย หาทางกระหนาบข้างพวกมันก่อน!!” พงศ์ตะโกนออกมา จากนั้นหน่วยของเขาเองก็รีบไปจัดการในทันที

    “บ้าเอ้ย ระวังด้วย อย่าปะทะโดยไม่จำเป็นหล่ะ!!” พงศ์ตะโกนออกมา

     

    กลับมายังเขตภาคอีสาน เขตของกลุ่ม Cops Eater ในวันนี้คามิเองนั่งพักผ่อนและตรวจงานในบ้านของเขา ซึ่งตอนนี้โรสกำลังวิจัยสารชนิดใหม่สำหรับปรับค่ากัมมันตรังสีในพื้นที่ โดยที่คามิกับจอห์นได้มาดูการทำงานของมันอย่างตื่นเต้น

    “ตอนนี้ VOC9 ที่เราปรับแต่งกำลังได้ผลดี แต่ดูเหมือนว่าระยะมันมีจำกัดแค่รัศมี 100 กิโลเมตร เราต้องปล่อยมันกระจายตามพื้นที่ค่ะ” โรสพูดขึ้น

    “อืม ถ้าเป็นแบบนั้น พื้นที่ของเราก็คงจะปลอดภัยแล้วหล่ะ” จอห์นพูดขึ้นในขณะที่กำลังลูบหัวหมาตัวหนึ่งที่ยืนข้างๆเขา และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของคามิก็ดังขึ้น คามิรับสายและเปิดลำโพงให้ทุกคนฟัง 

    “คุณคามิคะ..” จันทร์เป็นคนติดต่อมา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ ตะวันก็โทรมาด้วย คามิเลยต้องเปิดประชุมสายในทันที

    “อ่า คุณคามิ คุยได้นะครับ??”

    “เออ พวกนายสองคนมีอะไรก็ว่ามาเลย??” คามิถามไป

    “ตอนนี้กองกำลังของพวกไอ้สาลิกามันเริ่มโจมตีหมู่บ้านชายแดนของเราแล้ว ได้ยินว่าผู้นำมันคือไอ้ยานกร” จันทร์พูดขึ้น

    “อ้อ ไอ้ยานกรเหรอครับ มิน่าหล่ะตอนนี้เขตที่ผมกำลังตรึงไว้ก็สุ่มเสี่ยงเหมือนกัน” ตะวันพูดไป

    “แบบนี้แย่แน่ๆ เราคงต้องกลับมาวางแผนกันแล้วหล่ะค่ะ” โรสพูดขึ้น

    “เดี๋ยวๆๆๆ ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ??” จอห์นถามไป

    “ไอ้ยานกรถึงมันจะบ้าคลั่ง แต่มันก็มีสมอง เก่งเรื่องกลยุทธ์ งานนี้เราคงต้องกลับมาวางแผนกันก่อน” คามิพูดขึ้น

    “แล้วพวกชาวบ้านที่หมู่บ้านชายแดนจะเอายังไงครับ??” ตะวันถามไป

    “ให้พวกนั้นถอยกลับมาอยู่ในเขตที่เราคุมได้ก่อน” คามิพูดไป

    “ตอนนี้ฉันอพยพแล้ว แล้วฉันจะกลับไป” จันทร์พูดขึ้น

    “กองกำลังของมันมีหลายหมื่น บางสายข่าวบอกว่ามีเป็นแสนด้วย ได้ข่าวว่าพวกทหารและข้าราชการเก่าๆไปทำงานกับพวกมันทั้งนั้น” โรสพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถ้าการค้าที่เขมรของฉันไปได้ดี ฉันน่าจะหาเงินซื้ออาวุธให้พวกนายได้” จอห์นพูดขึ้น

    “ผมว่า ถ้าเราไปที่เขมรได้ ทางใต้ของเวียดนามก็น่าจะสำคัญ เพราะผมได้ยินมาว่าตอนนี้การค้าอาวุธที่เวียดนามตอนใต้กำลังดีเลย” คามิพูดขึ้น

    “ได้ เรื่องนั้นผมจะจัดการเอง” จอห์นพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นผมจะรีบอพยพคนมาเลย ตะวันเลิกกัน” ตะวันพูดจบก็วางสายไป

    “ฉันจะยันพวกมันไปให้ถึงที่สุดแล้วกัน” จันทร์พูดจบก็วางสายตามไปบ้าง

    “เราคงต้องระดมคนเตรียมรับมือมากขึ้นแล้วค่ะ” โรสพูดไป

    “แน่นอน ฉันจะรีบจัดการเลย” คามิพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก ชายคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหาคามิ และรายงานอะไรบางอย่างกับเขา

    “นายครับ มีคนอพยพมาจากฝั่งลาวเยอะมากเลยครับ”

    “หือ จริงเหรอ แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนกันหล่ะ??” คามิถามไป

    “ตอนนี้พวกเขากำลังกระจัดกระจายตัวอยู่ตามเขตอีสานครับ”

    “อืม พาพวกนั้นมาให้ได้มากที่สุด เราต้องปลดปล่อยพวกนั้นจากความทุกข์นี่” คามิพูดไป

    “ครับนาย” ลูกน้องของเขาพูดจบก็เดินออกไป

     

    ณ ค่ายของกลุ่มก่อการร้ายเดิมบริเวณชายแดนพม่า ซึ่งกองกำลัง MAG เดินทัพเข้าจัดการค่ายของพวกมันที่เหลือ แต่ตอนนั้นพวกมันก็ตั้งรับอยู่หลังรั้วไม้และยิงตอบโต้พวกเขากลับไป ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องรีบหาที่หลบ

    “พร เอาเลย!!” จ่าพลพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก รถหุ้มเกราะคันหนึ่งก็ขับเข้ามานำร่อง และไล่ยิงพวกมันอย่างดุเดือด มันคนหนึ่งจะใช้ RPG ยิงตอบโต้ แต่จ่ารงค์ก็ยิงมันจนตาย

    “ปัง!!”

    และเมื่อรถหุ้มเกราะนำร่องไปเรื่อยๆ จนพวกมันก็เริ่มถอยไปแล้ว ก่อนที่ไม่นานนัก จ่ารงค์ก็วิ่งเข้าไปที่ริมกำแพง จากนั้นก็ติดตั้ง C4 ในทันที และรีบวิ่งออกมากดระเบิด

    “ตู้ม!!”

    ระเบิดนั้นทำลายรั้วไม้จนสิ้นซาก ก่อนที่ไม่นานนัก กองกำลังของพวกเขาก็บุกเข้าไปด้านในทันที ในระหว่างนั้นเอง จ่านนท์ก็วิ่งมาทางพวกของจ่าพล ราวกับว่าเขามีอะไรบางอย่าง

    “อ้าว อะไรของนายเนี่ย ว่าไง??” จ่าพรที่เพิ่งจะลงมาจากรถหุ้มเกราะถามไป

    “มีกองกำลังปริศนาข้ามเขตชายแดนของเรามา ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนครับ” จ่านนท์พูดไป

    “จริงเหรอ พวกนั้นเป็นใครกันเนี่ย??” จ่าพลถามไป

    “เราไม่ตอบโต้พวกมันไปก่อนหล่ะครับ??” จ่ารงค์ถามไป

    “ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีอาวุธอะไรรอรับเราหรือเปล่านะ” จ่าพรพูดขึ้น

    “เอายังไงต่อดีครับ??” จ่านนท์ถามไป

    “จัดการพวกมันที่นี่ให้หมดก่อน แล้วเราจะไปตามล่ามันเอง” จ่าพลออกคำสั่งไป

     

    ณ ศาลากลางเชียงใหม่ กองกำลังยูนนานของเหมยฮวาตอนนี้กำลังเดินหน้าโจมตีเชียงราย และจังหวัดอื่นใกล้เคียง แต่กองกำลังของเธอเน้นไปทางใต้ด้วย ซึ่งติดอยู่กับเขตจักรวรรดิไทยของสาลิกา ในขณะที่เหมยฮวากำลังนั่งทำเอกสาร ทหารจีนคนหนึ่งก็รีบมารายงานอะไรบางอย่างกับเธอ

    “ท่านครับ มีข่าวจากทางใต้ครับ!!”

    “มีอะไรหล่ะ??” เหมยฮวาถามไป

    “ตอนนี้กองกำลังจักรวรรดิไทยกำลังบุกขึ้นเหนือมา ตอนนี้เริ่มปะทะกันที่ลำปางแล้วครับ”

    “อืม เราใช้พื้นที่ที่เป็นต่อของเราตั้งรับมันได้ ว่าแต่ที่เชียงรายเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” เหมยฮวาถามไป

    “ตอนนี้เราใกล้จะยึดได้ทั้งหมดแล้วครับ แต่พวกเจ้าพ่อท้องที่ยังต่อต้านเราอยู่”

    “จัดการพวกมันให้หมด ไอ้พวกนี้ด้วย ไม่แน่พวกมันอาจจะมีส่วนในเรื่องยาเสพติดที่เริ่มทะลักเข้ามาในเขตของฉันก็ได้” เหมยฮวาพูดขึ้น

    “ครับ ตอนนี้เรากำลังตรวจด่านอย่างเข้มข้นเลยครับ”

    “อืม เอาเจ้าหน้าที่ของเราไปร่วมตั้งด่านด้วย ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจคนในพื้นที่ อาจจะมีการติดสินบนกันก็ได้” เหมยฮวาพูดขึ้น

    “รับทราบครับ”

    “ตอนนี้ที่เมืองจีนกำลังวุ่นวาย สงครามก็ดำเนินต่อไม่สิ้นสุด ฉันเริ่มติดต่อสายข่าวของฉันที่ปักกิ่งไม่ได้แล้ว” เหมยฮวาพูดขึ้น

    “ผมหวังว่าวันนึงเราจะได้กลับไปนะครับ” ทหารของเธอบอกกับเธอไป

     

    ณ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เขตจักรวรรดิไทยของสาลิกา ในวันนี้ตัวของเขาเดินทางมาพูดเพื่อปลุกใจผู้คนที่สถานีกระจายเสียงแห่งหนึ่ง และเมื่อทุกอย่างพร้อม สาลิกาก็พูดขึ้นในทันที

    “พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่าน วันนี้ ผมมาบอกกล่าวกับท่านด้วยน้ำตา กลุ่มโจรระยำกำลังสมคบคิดกับพวกต่างชาติสร้างความวุ่นวาย ปล้นฆ่าราษฎรของเราเป็นผักปลา พวกมันหวังจะทำให้เราแตกแยกกัน แต่ผมจะทำให้พวกมันรู้ ว่าพวกมันจะไม่มีวันทำลายจิตใจและความเป้นหนึ่งเดียวกับพวกเรา วันนี้ ผมมาขอให้พวกคุณทุกคน จับอาวุธ ฆ่าพวกนอกรีต พวกต่างชาติ และพวกระยำทุกคนที่คิดจะต่อต้านจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของเรา เราจะต้องชนะพวกมัน!!” สาลิกาพูดอย่างใส่อารมณ์ บางช่วงก็บีบน้ำตาออกมาด้วย ไม่นานนัก ทหารคนหนึ่งก็เดินมารอเขาที่หน้าห้อง สาลิกาออกมาจากห้อง จากนั้นก็มาคุยกับทหารในทันที

    “มีอะไรว่ามา??”

    “ครับท่าน ตอนนี้กองกำลังของเราใกล้เข้าเขตอีสานได้แล้วครับ”

    “เฮ้ย ยังฝ่าพวกมันไปไม่ได้อีกเหรอ??” สาลิกาถามไป

    “พวกมันเริ่มหนีแล้วครับ เราจับเชลยมาได้บางส่วนด้วยครับ”

    “อืม ความจริงฉันมันก็คนมีเมตตาด้วย บอกพวกมันว่าพวกมันมีโอกาสมารับใช้เรา ถ้าไม่ ก็ให้พวกมันตายซะ” สาลิกาสั่งทหารไป

    และอีกด้านหนึ่ง บริเวณเขตชายแดนอีสาน ซึ่งตอนนี้กองกำลังชุดดำของจักรวรรดิไทย นำโดยนายพลยานกร ได้กวาดล้างกองกำลังต่อต้านในพื้นที่ พวกเขาจับเชลยมาได้บางส่วน ในขณะที่ยานกรเองก็เดินไปยังกลุ่มเชลยที่ถูกจับพวกนั้น จากนั้นก็พูดขึ้น

    “ไอ้ปรสิตที่ราบสูงอย่างพวกแก ไม่สมควรมีชีวิตภายใต้ร่มธงอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา แต่พวกเราจะให้โอกาสพวกแก ให้พวกแกมาช่วยเราต่อสู้ นี่ถือเป็นเกียรติอันสูงส่งที่ฉันจะมอบให้พวกแก!!” ยานกรตะโกนบอกกับเหล่าเชลยพวกนั้น และไม่นานนัก ทหารคนหนึ่งก็รีบวิ่งมารายงานสถานการณ์กับเขา

    “ท่านครับ ตอนนี้พวกมันหนีขึ้นเขากันหมดแล้วครับ!!”

    “เออ ไม่เป็นไร เราจัดการได้อยู่แล้ว” ยานกรพูดขึ้น

    “ครับ ทางเหนือตอนนี้ เราปะทะกับพวกเจ๊กที่ลำปางแล้วครับ”

    “เออ ระวังด้วย พวกมันต้องใช้ชัยภูมิป่าเขาตั้งรับเรา พยายามล้อมพวกมันเอาไว้ให้ได้” ยานกรพูดขึ้น

    “ครับท่าน แล้วผมมีอีกเรื่อง ทางใต้ตอนนี้ กองกำลังของพวกมันใกล้จะถึงอ่างทองแล้วครับ”

    “เออ ไอ้พวกต่างชาติ และไอ้จัญไรบางคนที่ไปเข้ากับพวกมัน ส่งกำลังของเราไปตั้งรับด้านล่างไว้ด้วย พวกมันมีกำลังไม่พอจัดการเราหรอก” ยานกรพูดขึ้น

    “ครับ เราใช้ปืน ปตอ. ของเรายิงฮอของมันตกที่ชายแดนอ่างทอง แต่พวกมันหนีไปได้ครับ”

    “เออ ตรวจค้นหรือยังว่าเจออะไรมั้ย??” ยานกรถามไป

    “ไม่เจอครับ แต่เราพยายามไล่ตามคนในฮออยู่ครับ”

    “เออ ถ้าตามไม่ได้ก็ช่างมัน ตอนนี้ฉันสนเรื่องจัดการไอ้พวกปรสิตจัญไรพวกนี้ดีกว่า” ยานกรพูดขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ เป็นเสียงปืนที่ทหารคนหนึ่งกราดยิงครอบครัวหนึ่งจนตายกันหมด

    “สมควรหล่ะ ไอ้พวกชั้นต่ำพวกนี้” ยานกรพูดขึ้นจากนั้นก็เดินไปทางอื่น

     

    ณ ป่าที่ไหนซักแห่งในกลุ่มภาคกลาง ซึ่งมันถูกดัดแปลงให้เป็นชุมโจรเล็กๆ มีกระท่อมมากมายตั้งไว้ที่นั่น พร้อมกันนั้น รถคันหนึ่งก็ขับเข้ามาในชุม ซึ่งกลุ่มโจรพวกนั้นก็รีบไปรับรถคันนั้นในทันที และชายที่อยู่ในรถคือนายทศที่เป็นหัวหน้าชุมโจรนั่นเอง

    “เฮ้พี่ กลับมาแล้วเหรอครับ??”

    “เออดิ ว่าแต่ที่นี่เป็นงไงบ้างวะ??” ทศถามไป

    “ตอนนี้ยังไม่มีใครตามเรามาพี่” ลูกน้องของเขาตอบไป และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว

    “ลูกพี่ แย่แล้ว คนชองเราตอนนี้โดนซุ่มโจมตีพี่!!”

    “ซุ่มโจมตี พวกไหนวะ พวกทหารหรือเปล่า??” ทศถามไป

    “ผมไม่แน่ใจ แต่พวกมันมีอาวุธน้อยเกินไปครับ”

    “ห่ะ อาอวุธน้อยแต่พวกมึงสู้ไม่ได้เนี่ยนะ??” ทศถามไป

    “พวกมันโจมตีเราแบบกองโจรครับ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้พวกจักรวรรดิไทยมันจับพวกเราบางคนไปด้วยครับ”

    “ก็คงจะเป็นพวกมันนั่นแหละที่เล่นงานเรา ไอ้สาลิกา มึงคิดว่ามึงโหดเป็นคนเดียวเหรอ เราจะเล่นสงครามกองโจรกับพวกมันบ้าง เราจะเอาพวกมันมาทรมานและโชว์ให้พวกมันได้เห็นเลย” ทศพูดขึ้น

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในจังหวัดอ่างทอง หลังจากที่โซฮานจัดการพวกโจรและเดินลงใต้เพื่อหลีกหนีจากพวกมัน รวมถึงกองกำลังจักรวรรดิไทยที่อาจจะเจอเขาด้วย

    “เฮ้อ วิทยุก็พัง กระสุนก็เหลือน้อยแล้ว ไม่รู้คุณการินจะทำยังไงต่อเนี่ย” โซฮานพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากด้านหลังเขา เขารีบหลบเข้าไปในป่าข้างทางในทันที จากนั้นก็ชักปืนออกมา และในตอนนั้น เขาก็เห็นรถจิ๊บติดปืนกลคันหนึ่ง ติดธงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิไทยด้วย 

    “พวกมันจะไปไหนวะ??” โซฮานคิดในใจพลางเกาหัว และไม่นานเขาก็พบว่ามีรถบรรทุกทหารตามมาด้วยประมาณ 3 คัน และไม่นานเมื่อขบวนรถผ่านไปหมดแล้ว ตัวของเขาก็ออกจากป่าในทันที

    “สงสัยคงต้องเดินข้างป่าหล่ะมั้ง??”

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งซึ่งเดินทางไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา เขตภาคตะวันออก เขตของจินเยว่ รถประจำตัวของจินเยว่พร้อมทหารคุ้มกันเดินทางขึ้นเหนือไปเพื่อเตรียมควบคุมสถานการณ์ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ในขณะเดียวกันนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็ติดต่อเข้ามาหาเธอ เธอรีบรับสายในทันที

    “ฮัลโหล??”

    “คุณจินเยว่คะ มีคนติดต่อเข้ามา เขาบอกว่าอยากคุยกับคุณ คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าเขาเป็นใครค่ะ”

    “หือ ใครกันหล่ะ??” จินเยว่ถามไป

    “คุณชยาชาญค่ะ”

    “เฮ้ย นี่ฉันไม่ได้หูฝาดใช่หรือเปล่า??” จินเยว่ถามอย่างแปลกใจ

    “แน่นอนค่ะ คุณวิยสุทธิ์ เพื่อนของเขาติดต่อมาเองค่ะ”

    “นี่วิยสุทธิ์ก็ยังไม่ตายเหรอ นึกว่าไปฝรั่งเศสตั้งนานแล้วซะอีก แล้วพวกนั้นต้องการอะไร??” จินเยว่ถามไป

    “พวกเขาต้องการเจรจาเรื่องความร่วมมือหน่ะค่ะ”

    “อ้อ ดูท่านจะเป็นเรื่องสงครามด้วยสินะ บอกพวกเขาว่าจะนัดคุยเมื่อไหร่ก็เอาเลย” จินเยว่ตอบไป

    “ค่ะ แล้วอีกเรื่อง ตอนนี้มีกลุ่มผู้อพยพจากทางอีสานบางส่วนเดินทางเข้ามาในเขตเราค่ะ”

    “อืม ถ้าอย่างงั้นช่วยเหลือพวกนั้นตามสมควรก็แล้วกัน” จินเยว่พูดไป

     

    ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในเขตภาคกลาง ท่ามกลางป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แต่เป็นความสมบูรณ์ที่ปกคลุมไปด้วยกัมมันตรังสี กลุ่มต่อต้านที่นำโดยนายพรที่เรียกกันว่า Scavs หลังจากที่ช่วยเชลยที่ถูกจับมาได้ พวกเขาแยกย้ายกันหนีเข้าป่า ซึ่งกลุ่มของเขาได้แจกอาหารให้กับกลุ่มเชลยเท่าที่มี ตอนนั้นนายพรเองก็มองด้วยสายตาที่ค่อนข้างกังวล

    “เป็นอะไรไปพี่??” ลูกน้องของเขาถามไป

    “ดูอาหารที่เรามีตอนนี้สิ น้อยลงทุกวัน ไม่รู้จะมีพอให้พวกเขาหรือเปล่า” นายพรพูดขึ้น

    “เราคงต้องออกปล้นอีกทีแล้วหล่ะพี่”

    “เราจะปล้นที่ไหนได้อีกหล่ะ??” นายพรถามไป

    “มีโกดังที่พวกเศรษฐีเอาเสบียงไปไว้ที่นั่นเพื่อขายต่อ อยู่ไม่ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่มากครับ มีข่าวมาว่าเป็นของนายชัยยันต์ที่เคยเป็นนัการเมืองด้วยครับ”

    “ชัยยันต์ อ้อ ฉันรู้ว่ามันเป็นใคร เตรียมพวกเราให้พร้อมแล้วกัน” นายพรพูดขึ้น

    “ได้เลยครับพี่” ลูกน้องของนายพรรีบวิ่งไปในทันที ส่วนตัวของนายพรเองก็เดินไปดูเหล่าเชลยที่ตัวของเขาเพิ่งจะช่วยเหลือมาได้

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในโคราช เขตชานเมือง บลูมที่ขี่มอเตอร์ไซค์หนีมาหลังจากที่งานของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเองรีบเร่งเครื่องเดินทางไปตามถนน จนกระทั่งมาจบที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งชายติดอาวุธกลุ่มหนึ่งกำลังเฝ้าที่หน้าบ้าน ในตอนนั้นเธอก็เรียกชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าบ้านมาหาเธอในทันที และเมื่อเขามาแล้ว เธอก็พูดกับเขา

    “งานเสร็จแล้ว”

    “อืม งั้นรอนี่” ชายคนนั้นพูดจบ จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่หลังนั้น ไม่นานนัก ชายคนเดิมก็เดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่หลังนั้น จากนั้นก็เอากระเป๋าใบใหญ่ใบหนึ่งให้บลูมไป

    “เอานี่ พอหรือเปล่า??” ชายคนนั้นถามไป ก่อนที่ไม่นานนัก เธอจะเปิดกระเป๋าดู มันเป็นเงินจำนวนหนึ่ง น้ำและอาหารกระป๋องมากมายในนั้น

    “เออ แค่นี้หล่ะ” บลูมพูดขึ้น

    “ช่วงนี้ยังไม่มีงานให้ทำ ไปหางานที่อื่นก่อนได้”

    “เออ เรื่องของฉันเถอะน่า” บลูมพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงปืนและระเบิดดังมาแต่ไกล

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ”

    “เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย??” ชายคนนั้นถามไป

    “สงสัยต้องมีเรื่องที่ชายแดนแน่ๆ รักษาตัวให้รอดแล้วกัน” บลูมพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปในทันที

     

    ณ เกาะแห่งหนึ่งบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย กองเรือของการินและบากาดอฟเดินทางมาพักที่เกาะนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา พวกเขาลงจากเรือใหญ่ และนั่งเรือเล็กเข้าไปในเกาะ พวกเขาทั้งคู่ขึ้นฝั่งและเดินไปยังศาลาว่าการเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดรวมพลและโรงอาหาร การินและบากาดอฟไปตักอาหารที่มีไม่มาก จากนั้นก็ไปนั่งกินด้วยกัน

    “ดูเหมือนอาหารบนเกาะนี้น้อยลงทุกวันนะเนี่ย” การินพูดขึ้น

    “แต่ยังไงซะ เกาะนี้ก็มีน้ำดื่มน้ำสะอาดที่ไม่ปนเปื้อนอยู่ บนแผ่นดินใหญ่คงอดอยากไม่ต่างกัน” บากาดอฟพูดขึ้น

    “นั่นหล่ะคือสิ่งที่ผมกำลังจะแก้ไขมัน” การินพูดขึ้น

    “คุณคงต้องสู้กับคนหลายฝ่ายเลยหล่ะ”

    “ต่อให้ต้องสู้มากแค่ไหน ผมก็ยอม ถ้ามันจะช่วยประเทศนี้ได้” การินพูดขึ้น

    “แล้วคุณจะไม่ลอมเจรจาดูหน่อยเหรอ??” บากาดอฟถามไป

    “จะให้เจรจากับพวกฝรั่งงั้นเหรอ คิดว่าพวกนั้นจะยอมเหรอครับ??” การินถามไปบ้าง

    “ก็ไม่รู้สิ ว่าแต่คุณมีแผนจะทำอะไรต่อหล่ะ??” บากาดอฟถามไป

    “เราจะยกพลขึ้นบกที่กรุงเทพเลย ตอนนี้กำลังของจินเยว่น่าจะมีมากกว่า ในกรุงเทพวุ่นวาย เราน่าจะบุกได้” การินพูดขึ้น

    “แต่เรารู้ศักยภาพของพวกเขาแล้วเหรอคะ??” บากาดอฟถามไป

    “ผมส่งสายไปแล้ว กำลังรอพวกเขารายงานกลับมาครับ” การินพูดขึ้น

    “แล้วเรื่องโซฮาน คุณจะเอายังไงต่อคะ??” บากาดอฟถามไป

    “ถ้าเขายังอยู่ในกรุงเทพก็ดีหน่ะสิ แต่ถ้าเข้าเขตไอ้สาลิกาแล้ว ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ” การินพูดขึ้นพลางตักอาหารเข้าปากไป

    “หวังว่าหมอนั่จะปลอดภัยนะคะ” บากาดอฟพูดจบก็ตักอาหารเข้าปากไปบ้าง

     

    ณ ชายแดงจังหวัดอ่างทอง หลังจากที่ไนซ์ขโมยมอเตอร์ไซค์หนีออกมาจากการปะทะได้ ตัวของเขาขี่รถไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาแจนรี่ ภรรยาของเขา ซึ่งเขาได้ข่าวมาว่าเธอทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอ่างทอง ตัวของเขาเดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงด่านตรวจด่านหนึ่ง ซึ่งกองกำลังจักรวรรดิไทยคุมถนนไว้แล้ว เขารีบจอดรถที่หน้าด่าน ทหารพวกนั้นก็รีบมาดูในทันที

    “ขออนุญาตครับ ขอตรวจหน่อยครับ!!”

    “ครับ ว่าไงครับ??” ไนซ์ถามไป

    “ขออนุญาตตรวจบัตรประชาชนหน่อยครับ” ทหารพูดขึ้น 

    “อ่า ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้เอามา แต่ผมเป็นคนไทยนะครับ” ไนซ์พูดขึ้น

    “จริงหรือเปล่า ร้องเพลงชาติให้ฟังหน่อย” ทหารคนนั้นถามไป 

    “ครับ ประเทศ..” ไนซ์ยังไม่ทันจะร้อง ในตอนนั้นเอง

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    ทหารพวกนั้นรีบไปเข้าที่กำบังในทันที ส่วนตัวของไนซ์เองก็ยังคงใจเย็นอยู่ แต่ไม่นานนัก จู่ๆ กลุ่มคนปริศนาก็โผล่ออกมาจากป่าข้างทาง จากนั้นก็เล่นงานทหารพวกนั้น

    “ปังๆๆๆๆๆๆ!!”

    ทหารพวกนั้นพยายามยิงสกัด แต่พวกนั้นซัดหอกไม้ไผ่ทำมือใส่ รวมถึงพวกนั้นก็มีจำนวนมากกว่า ไนซ์เองไม่รู้จะทำยังไงเลยรีบขี่มอไซค์หนีไปในทันที

    “บรึ้น!!”

    มันคนหนึ่งเห็นไนซ์กำลังจะหนีไป มันขว้างหอกใส่เขา แต่เขาก็หลบได้ จากนั้นก็รีบประคองรถหนีออกไปในทันที

    “เวรเอ้ย เกือบไปแล้ว” ไนซ์สบถออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะรีบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    กลับมายังโรงพยาบาลในจังหวัดอ่างทองที่แจนรี่ไปทำงานอยู่ วันนี้ตัวของเธอก็ออกเวรพอดี หลังจากที่รับคนไข้มานาน เธอรีบใส่หมวกและใส่หน้ากากกรองอากาศในทันที เพื่อหายใจสะดวกและปกปิดตัวเองด้วย แจนรี่รีบเดินไปข้างนอกโรงพยาบาลในทันที ก่อนกลับเธอแวะที่ร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปซื้ออะไรบางอย่าง

    “อืม ปลากระป๋อง ผักกระป๋อง น่าจะมีอยู่นะ”

    ตัวของเธอพูดขึ้นพลางหาซื้อนั่นนี่ไปเรื่อยๆ แต่ในตอนนั้นเอง เธอก็เจอกับชายใส่สูทสองคนเดินเข้ามาในร้าน จากนั้นพวกเขาสองคนก็คุยกัน

    “มึงคิดว่ามันอยู่ที่นี่แน่เหรอ??”

    “ไม่รู้ดิ สายบอกมาแบบนั้นหน่ะ”

    “สายพวกนั้นเชื่ออะไรได้บ้างวะ กูว่าแม่งน่าจะรายงานมาผิดหว่ะ”

    แจนรี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย เธอรีบแอบให้พ้นสายตาจากชายสองคนนั้น พวกมันสองคนไปหยิบยาชูกำลังมา จากนั้นก็เอาไปคิดเงิน

    “เรียบร้อยค่ะ” พนักงานพูดขึ้นพลางยื่นถุงของให้ชายสองคนนั้น จากนั้นพวกมันก็เดินออกไปจากร้านในทันที แจนรี่เองก็รีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ในทันทีเพื่อจ่ายเงิน จากนั้นก็รีบเดินออกจากร้านหนีกลับไปยังที่พักของเธอ

     

    กลับมายังคฤหาสน์ของแดเนียล ในวันนี้ตัวของเขากำลังนั่งรอใครบางคนอยู่ในห้อง รวมถึงดื่มเหล้าไปด้วย ไม่นานนัก ลูกน้องของเขาคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาเขาในทันที

    “ขออนุญาตครับ เขามาแล้วครับ”

    “เออ ดี ให้เข้ามาเลย” แดเนียลพูดไป จากนั้นไม่นานนัก ชายอ้วนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาในห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งที่เก้าอี้รับรอง

    “สวัสดีคุณหมัก”

    “สวัสดี ในที่สุดก็ได้เจอคุณ”

    “ครับ ผมได้ข่าวว่าตอนน้ารค้าที่เวียดนามตอนใต้และกัมพูชากำลังดีเลย ผมเองก็อยากทำธุรกิจที่นั่น” แดเนียลพูดขึ้น

    “เอ้ย ว่าแต่ คุณมีอะไรดีถึงคู่ควรหล่ะ??”

    “คุณอยากดูสินค้าของผมหรือเปล่าหล่ะ??” แดเนียลถามไป ก่อนที่ไม่นาน เขาจะเอาสารเคมีอะไรบางอย่างมาไว้ที่โต๊ะของเขา จากนั้นก็พูดขึ้น

    “ผมรู้ว่าคุณกำลังผลิตอะไรอยู่ นี่เป็นวัตถุดิบชั้นดีครับ”

    “งั้นเหรอ??” ชายคนนั้นถามไป ก่อนที่เขาจะลองจิ้มมันและเอาเข้าปาก จากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเคลิ้มกับฤทธิ์ของมัน

    “อ่า ใช้ได้นี่หว่า”

    “ผมสามารถผลิตของพวกนี้ได้ ขายถูกกว่าเจ้าที่คุณซื้อแน่นอน” แดเนียลพูดขึ้น

    “เออ แล้วมีของพร้อมขายเมื่อไหร่??”

    “ทั้งหมด 500 กิโล ราคาเริ่มต้นกิโลละ 5 แสนครับ” แดเนียลพูดขึ้น

    “4 แสนก่อน ถ้าของดีพอ ฉันให้ 6 แสนต่อโลเลย”

    “อืม ก็ได้ครับ ถ้างั้นผมขายให้ 10 โลก่อน โลละ 4 แสนครับ” แดเนียลพูดขึ้น
    “ได้เลย เอาไว้อั๊วจะติดต่อมาแล้วกัน ให้คนของลื้อเอาของไปส่งเลย” ชาย้วนคนนั้นพูดขึ้นจากนั้นก็โทรหาลูกน้องของเขา ให้ลูกน้องของเขาเอาเงินมาวางกองไว้ให้กับแดเนียล

     

    ณ อพาร์ทเม้นท์เดิมที่โคลเวอร์ใช้มันในการหลบซ่อนตัวชั่วคราว ตัวของเธอทำธุระอะไรบางอย่างของเธอไปเรื่อยๆ และในขณะนั้นเอง ตัวของเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ ตัวของเธอรีบปิดประตูจากนั้นก็เล็งปืนใส่ประตูนั่น แต่ในตอนนั้นเอง

    “เฮ้ย อะไรวะ??”

    “ฉึกๆๆๆๆๆ!!”

    ตัวของเธอได้ยินแค่เสียงปะทะด้านนอก แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก และในตอนนั้นเอง เธอก็ออกไปดูสถานการณ์ และไม่นานนัก เขาก็เห็นชายตาบอดกำลังถือดาบยืนอยู่แถวนั้น ทำเอาโคลเวอร์ถึงกับเล็งปืนใส่เขา

    “นี่ อย่าเล็งปืนใส่คนตาบอกสิ!!”

    “เอ้า ก็ป้องกันตัวนี่ แล้วอีกอย่าง ถ้าลุงตาบอดทำไมถึงจัดการพวกนี้ได้หล่ะ??” โคลเวอร์ถามไป

    “นี่หนู ฉันตาบอดไม่ได้แปลว่าหูหนวก อีกอย่า งฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น เรียกพี่ก็พอ ว่าแต่ ขอเข้าไปพักหน่อยได้หรือเปล่า??” โคลเวอร์ถามไป ด้วยความที่เห้นว่าเขาตาบอด โคลเวอร์เลยพาชายคนนั้นเข้าไปในห้องในทันที จากนั้นก็ปิดห้องไป

    “แล้วลุงเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหนเนี่ย??”

    “ฉันชื่ออาคุมุ ฉันเป็นตำรวจ อีกอย่างอย่าเรียกฉันลุง แม่หนู ฟังจากเสียงเธอ เดาว่ายังไม่ถึง 18 แน่นอน” อาคุมุพูดขึ้น

    “เอาเถอะ หนูชื่อโคลเวอร์ หนูหนีมาจากในเมือง ตามสบายแล้วกันนะลุง” โคลเวอร์พูดขึ้น ในขณะที่เธอก็นั่งกอดเข่าอยู่อีกด้านของห้อง ในขณะที่อาคุมุเองก็เอนหลังนอนงีบไปแถวๆนั้น

     

    ณ เขตชายแดนจังหวัดอยุธยา อ่างทอง ในตอนนี้กองกำลังของเจ้าพ่อท้องถิ่นที่โดนกองกำลัง VSC ผสมกับหน่วยต่างๆ ไล่ต้อนจนต้องหนีข้ามชายแดนไปยังจังหวัดอื่น อีกด้านหนึ่ง ไมนฮาร์ทที่เดินทางขึ้นเหนือก็แอบดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปด้วย ในตอนนี้กองกำลังชุดดำของจักรวรรดิไทยได้เดินทางมาถึงชายแดนแล้ว ในขณะที่กลุ่มมาเฟียพวกนั่นก็รีบทิ้งอาวุธในทันที

    “ยอมแล้วครับ!!”

    “พวกแกวางอาวุธลงให้หมด และเดินตามพวกเรามา!!” เสียงประกาศออกมาจากโทรโข่งฝั่งจักรวรรดิไทย พวกนั้นเองรีบหนีข้ามฝั่งไปในทันที ก่อนที่ไม่นานนัก กองกำลัง VSC ก็ไล่ตามมาติดๆ จากนั้นก็ยิงใส่ฝั่งจักรวรรดิไทยไป

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    “แม่โว้ย เล่นกันแล้วโว้ย” ไมนฮาร์ทพูดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการปะทะจะค่อยๆผ่อนลง ก่อนที่ฝ่าย VSc จะค่อยๆถอยมาก่อนและตรึงพื้นที่เอาไว้ ส่วนพวกจักรวรรดิไทยเองก็รีบนำกำลังเชลยเข้าไปในพื้นที่ของตัวเองในทันที

    “เฮ้อ จะไปไหนไอ้พวกนี้”

    ไมนฮาร์ทพูดจบจากนั้นก็รีบไปที่มอเตอร์ไซค์ของเขา จากนั้นก็รีบบึ้งรถข้ามไปยังฝั่งของกองกำลังจักวรรดิไทยในทันที ในจังหวะที่พวกนั้นกำลังสาละวนกับการถอยทัพ

     

    กลับมายังจังหวัดอ่างทอง หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของฮานา ซึ่งเป้นหมู่บ้านสำหรับชาวบ้านที่มารวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเอง ในตอนนั้นฮานาเองเอาสัตว์ทั้งหมดที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสี มาใส่ลงในบ่อน้ำอะไรบางอย่าง สัตว์พวกนั้นเมื่อได้ลงน้ำก็ถึงกับดิ้นไปเล็กน้อย และไม่นานพวกมันก็นิ่งไป 

    “โอเค เปิดมาเลย” ฮานาพูดขึ้น จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เห็นสัตว์พวกนั้นลอยขึ้นมา พวกเขารีบเอามันในทันที

    “เอามันไปล้างอีกรอบ ให้สะอาดเลยนะ แล้วห้ามทำดิบเด็ดขาด” ฮานาพูดขึ้น

    “เออ มันจะกินได้เหรอครับ??”

    “เราใช้สารเคมีพิเศษล้างกัมมันตรังสีให้มัน ถึงมันจะปนเปื้อนก็กินๆไปเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าอดตายหล่ะนะ” ฮานาพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง คนของฮานาคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาเธออย่างรวดเร็ว

    “ฮานา ตอนนี้ที่อ่างทองเรากำลังแย่แล้ว”

    “ทำไมกัน มีอะไรเหรอ??” ฮานาถามไป

    “ตอนนี้พวกไอ้สาลิกามันโจมตีเราเต็มที่แล้ว พวกนั้นหวังจะกวาดล้างคนต่างชาติทั้งหมด มีข่าวว่าไอ้นายพลยานกรเป็นคนนำด้วย”

    “เออ ฉันไม่สนหรอกว่ามันเป็นใคร ให้มันมาเลย” ฮานาพูดไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตชายแดนจังหวัดแพร่ กลุ่มของทิพย์รีบหนีจากกองกำลังยูนนานที่ตามกวาดล้างพวกเธฮเพื่อเตรียมหนีไปตั้งที่มั่นใหม่ในจังหวัดน่าน ตัวของเธอนั่งรถจิ๊บคันหนึ่ง โดยที่เธอก็ได้คุยกับที่ปรึกษาของเธอไปด้วย

    “ที่จังหวัดน่านมีโรงงานเก่าอยู่ น่าจะเป็นโรงงานที่พอให้เราใช้ผลิตยาเสพติดได้ครับ”

    “อืม เราต้องจัดการเคลียร์พื้นที่ด้วย ฉันไม่อยากให้มีปัญหา” ทิพย์พูดขึ้น

    “ครับ ตอนนี้ผมให้คนไปจัดการแล้วครับ”

    “เออ รีบจัดการแล้วกัน” ทิพย์พูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก โทรศัพท์สายหนึ่งจะโทรหาที่ปรึกษาของเธอ และเขาก็รีบรับสายในทันที

    “ฮัลโหล อ้อ โอเคๆ” เขาพูดจบจากนั้นก็วางสายไป

    “คุณทิพย์ครับ ตอนนี้พวกเจ๊กนั่นมันกำลังจะยึดเชียงรายได้หมดแล้วครับ”

    “เฮ้ย เร็วขนาดนี้เลยเหรอ??” ทิพย์ถามไป

    “พวกมันเคยเป็นทหาร น่าจะพอมีศักยภาพครับ”

    “เออ เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็เก็บอุปกรณ์และวัตถุดิบของเราหนีมาได้ก่อนหล่ะนะ” ทิพย์บอกไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบริเวณตอนล่างของจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่การินขโมยนั่นขโมยนี่เพื่อประทังชีวิต รวมถึงหนีจากการตามล่าไปเรื่อยๆ เขาเองปั่นจักรยานคันหนึ่งที่เจอมาพยายามลงใต้ ท่ามกลางเสียงยิงปืนปะทะกันอย่างดุเดือด

    “ปังๆๆๆๆๆๆ”

    “เฮ้อ ยิงกันอะไรนักหนา ไม่เคยยิงปืนกันไง??” การินคิดในใจพลางฮัมเพลงไปด้วย

    “อืม อากาศดีงจังเลยแหะ” การินคิดในใจ ก่อนที่ในตอนนั้น รถจิ๊บทหารคนันหนึ่งจะขับผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาการินตกใจมาก

    “เอ้ย จะรีบไปไหนเนี่ย??” การินได้แต่มองรถ ทำเอาจักรยานของเขาเผลอไปชนกับรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าบ้านคน

    “โคร้ม!!”

    ตัวของการินเซไปเล็กน้อย แต่ยังประคองรถได้อยู่ แต่ในตอนนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากด้านล่าง

    “ชิบหาย!!” การินพูดขึ้น จากนั้นก็รีบปั่นจักรยานโกยแนบในทันที ส่วนเจ้าของรถที่ออกมาจากบ้านก็ถือปืนมาด้วย จากนั้นก็พยายามยิงการิน

    “ไอ้ระยำเอ้ย มึงชนรถกูเหรอ??”

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    การินรีบปั่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต เจ้าของรถคนนั้นเองก็ได้แต่เจ็บใจไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบริเวณชายแดนกาญจนบุรี กองกำลังของอัลดริชเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยไร้การต่อต้านใดๆ เนื่องจากทหารไทยส่วนใหญ่ถอนกำลังไปหมดแล้ว พวกเขาเดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงค่ายทหารแห่งหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้างเอาไว้ แต่มีกองกำลังบางส่วนของเขาไปจัดการสร้างค่ายเอาไว้แล้ว รถของอัลดริชจอดที่หน้าค่าย จากนั้นพวกเขาก็ลงจากรถในทันที

    “ไม่นึกเลยว่าจะเข้าประเทศไทยได้ง่ายขนาดนี้” อัลดริชพูดขึ้น

    “ครับ กองทหารส่วนใหญ่ถอนกำลังไปหมดแล้ว ทิ้งของบางอย่างไว้ด้วยครับ” มาติเยอตอบไป

    “ถ้าอย่างงั้น ผมจะตั้งศูนย์บัญชาการที่นี่” อัลดริชพูดขึ้น

    “ผมเห็นด้วยครับ ที่นี่เป็นค่ายทหารเก่า แถมป้องกันก็ง่าย เราเอาเรือเหาะของเรามาซ่อมบำรุงที่นี่ก็ได้ครับ” ฟิลิปพูดขึ้น

    “ดี ถ้าอย่างงั้น มาติเยอ นายจัดการเรื่องการส่งคนของเราออกไปเผยแผ่คำสอนของเรา” 

    “รับทราบครับ” มาติเยอรับคำสั่งไป

    “ฟิลิป นายจัดการเรื่องวางกำลังแนวรบของเรา”

    “รับทราบครับ” ฟิลิปรับคำสั่งไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในป่าเขตภาคกลาง ตัวของนาตาชาหลบออกจากสมรภูมิกลางเมืองมาได้อย่างโชกโชน จากนั้นเธอก็พยายามเดินทางไปยังที่ไหนซักแห่งเพื่อทำภารกิจ แต่ในตอนนั้น เธอเองก็หยุดนิ่ง ราวกับว่ามีอะไรสั่งให้เธอหยุด จากนั้นเธอก็พูดขึ้น

    ท่านนักบวชมาร..”

    “ข้าได้ยินและน้อยรับคำสั่งท่าน...” นาตาชาพูดกับใครบางคน ทั้งๆที่ในความจริง ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นซักคน ก่อนที่ไม่นานนัก ทหารลาดตระเวนของกองกำลังจักรวรรดิไทยที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะมาเจอเธอเข้า

    “เฮ้ย ยัยนี่หัวทอง ฝรั่งแน่ๆ!!”

    “เฮ้ย อยู่เฉยๆ!!” ทหารคนนั้นพูดขึ้น แต่นาตาชาเองไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย

    “ฆ่าพวกนอกรีต..”

    “เฮ้ย หูหนวกหรือไงวะ??” ทหารคนหนึ่งตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้นเอง นาตาชาก็กระโดดไปด้านข้าง จากนั้นก็ชักปืนพกออกมายิงใส่มัน

    “ปังๆๆ!!”

    พวกมันสองคนโดนยิงจนนอนลงกับพื้น มันพยายามจะลุกขึ้นมา แต่นาตาชาเองก็เดินไปหามันพร้อมกับชักมีดออกมา

    “เฮ้ย อย่านะเว้ย!!” 

    “ฉึก!!” นาตาชาไม่รอช้าปักมีดเข้าที่คอมันในทันทีจนมันแน่นิ่งไป ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    กลับมายังห้างสรรพสินค้าของป๋าเจมส์ ในวันนี้ตัวของเขาก็ยังคงเดินสำรวจห้างเพื่อดูความเรียบร้อยอะไรของเขาไปเรื่อย ในตอนนั้นพนักงานของร้านคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าพนักงานก็เดินมาคุยกับเขาด้วย

    “ป๋า ของเราขายดีมากเลย แต่ก็ใกล้จะหมดแล้วครับ”

    “เออ ว่าแต่ เราพอมีของขายถึงแค่ไหนหล่ะ??” เจมส์ถามไป

    “เท่าที่ดูตาเปล่า น่าจะไม่เกิน 2 อาทิตย์ครับป๋า”

    “เออ แล้วพวกเราที่ส่งไปหาของเพิ่มหล่ะเป็นยังไงบ้าง??” เจมส์ถามไป

    “กำลังรอดูวันพรุ่งนี้อยู่ครับ ถ้าไม่มีอะไรพลาด” 

    “อืม ยังไงก้ต้องลองดู ตอนนี้ทางกรุงเทพกับพวก MAG ก็ต้องการเสบียงกับของจำเป็นอื่นๆเพิ่ม โรงงานเปิดใหม่ก็มีไม่กี่แห่ง” เจมส์พูดไป

    “นั่นสิครับป๋า แถมเราต้องเก็บหน้ากากกรองฝุ่นเอาไว้เผื่อฉุกเฉินด้วยครับ”

    “นั่นสิ ฉันเองเบื่อที่ต้องใส่หน้ากากบ้านี่แล้วเนี่ย” เจมส์พูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยในร้านเพิ่มเติม

    “อยากเกษียณแบบสบายๆแท้ๆ” เจมส์พูดเบาๆออกมา

     

    ณ ถนนเส้นเดิมในอ่างทอง รถของซาซ่าขับผ่านด่านมาเรื่อยๆ เพื่อเดินทางลงใต้ และในระหว่างนั้น ตัวของเธอก็ขับรถมาจอดที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เป็นปั๊มน้ำมันที่มีคนอยู่ พวกเขายังคงเดินทางมาเติมน้ำมันกัน ตัวของเธอปิดแมสก์และใช้ผ้าคลุมหัวด้วย จากนั้นก็ขับรถไปที่หัวจ่ายน้ำมัน เด็กปั๊มคนหนึ่งเดินมาหาเธอในทันที 

    “เติมอะไร..” เด็กปั๊มคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ เด็กปั๊มคนนั้นก็เห็นนัยน์ตาของซาซ่าเข้า เขาเองรู้ว่าซาซ่าเป็นฝรั่ง

    “เอานี่ไป เติม 95 เต็มถัง” ซาซ่าพูดเป็นภาษาไทย จากนั้นเธอก็ยื่นเงินรวมถึงทองคำแท่งหนึ่งให้ เด็กปั๊มคนนั้นรีบหยิบมันมาจากนั้นก็เติมน้ำมันให้ซาซ่าในทันที

    “เฮ้อ เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ” ซาซ่าสบถออกมาเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เธอก็เห็นรถจิ๊บทหารคันหนึ่งขับเข้ามาในปั๊มน้ำมัน ทำเอาเธอถึงกับรีบหลบในทันที จากนั้นเธอก็รีบชักปืนออกมา และไม่นานนัก เด็กปั๊มคนนั้นก็เอาหัวจ่ายออกในทันที

    “เสร็จแล้วค่ะ”

    “อ้อ ค่ะ ขอบใจมากนะ” ซาซ่าพูดขึ้น

    “คุณรีบหนีไปซะ ไม่งั้นคุณตายแน่” เด็กปั๊มคนนั้นพูดเป็นภาษาอังกฤษ ซาซ่าไม่รอช้ารีบบึ้งรถหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนรถจิ๊บทหารคันนั้นก็ได้แต่สงสัยว่ารถคันนั้นทำไมถึงรีบร้อน

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตภาคอีสานตอนกลาง ในตอนนี้องค์หญิงกับโทรุรีบเดินทางลงใต้เพื่อหลบหนีจากเขตผู้มีอิทธิพล หลังจากที่เธอฝ่าหนีพวกมันมาได้ ไม่นานนัก พวกเธอสองคนก็ขับมาจอดที่กระท่อมหลังหนึ่ง จากนั้นพวกเธอก็รีบสำรวจตัวเองในทันที

    “นี่ เราเหลือน้ำมันเยอะหรือเปล่า??” องค์หญิงถามโทรุเป็นภาษามือ โทรุรีบดูในทันที

    “ครึ่งถังค่ะ เราหาปั๊มน้ำมันดีกว่าองค์หญิง” โทรุพูดขึ้น

    “แต่แถวนี้มีปั๊มด้วยเหรอ??” องค์หญิงถามไป

    “พอจะหาได้ค่ะ” โทรุพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก องค์หญิงก็เอาขนมปังที่อยู่ท้ายรถมาให้กับโทรุ จากนั้นก็ใช้ภาษามือกับเธอ

    “กินหน่อยสิ”

    “อ่า ฉันยังไม่หิวค่ะ” โทรุพูดขึ้น แต่องค์หญิงก็พูดต่อ

    “อย่าดื้อสิ” โทรุเมื่อองค์หญิงบอกแบบนั้นก็รีบหยิบขนมปังมาในทันที จากนั้นก็กัดมันกิน

    “เฮ้อ เราคงต้องหาเสบียงเพิ่มแล้วนะคะ” โทรุพูดขึ้น

    “อืม ไม่ต้องห่วง เข้าเมืองได้เราก็คงหามันได้หล่ะนะ” องค์หญิงตอบไป จากนั้นพวกเธอทั้งคู่ก็พากันกินขนมปังที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเตรียมอออกเดินทาง

     

    กลับมายังปั๊มน้ำมันแห่งเดิม ซึ่งกลุ่มของวินไปพักอยู่ด้านใน พวกเขาเองพูดคุยแลกเปลี่ยนประวัติของตัวเองกันไปเล็กน้อยเพื่อทำความคุ้นเคยกันในกลุ่มด้วย

    “เอาหล่ะทุกคน ผมว่าเราลองมาเล่าเรื่องของตัวเองกันหน่อยดีกว่า” วินบอกกับทุกคนไป 

    “โอเค ฉันเริ่มก่อนแล้วกัน ฉันเคยเป็นนักเรียนหมอ เรียนจนเกือบจะจบหล่ะ แต่ฉันจะโดนจับแต่งงานกับคนอื่นหน่ะ ฉันอยากมีอิสระ ฉันอยากมีชีวิตของฉัน ฉันเลยหนีออกจากบ้านมา แล้วมาทำเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์หน่ะ” ฟรีพูดขึ้นก่อน

    “โห เคยได้ยินแต่จับผู้หญิงไปคลุมถุงชนแหะ” วินพูดขึ้น

    “อ้าว นายก็เป็นหมอเหรอ ฉันก็ด้วย ฉันก็แค่นักเรียนหมอธรรมดา จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หน่วยของคุณไนอาลาช่วยฉันไว้” เวย์เกิดพูดขึ้นมา 

    “อ้าว มีหน่วยงานด้วยเหรอ??” วินถามไนอาลาไป

    “อ่า ก็เป็นหน่วยงานกู้ภัยธรรมดาๆนี่หล่ะ” ไนอาลาพูดแบบลนๆ 

    “ฉันเองเป็นนักเรียน ฉันมาสอบเข้ามหาลัย ฉันอยากกลับบ้านที่เชียงใหม่หน่ะ” ซูหยินพูดขึ้น

    “ส่วนฉันหน่ะเหรอ อ่า คือ ฉันนึกไม่ออกอ่ะ รู้แค่ว่ามีไอ้พวกบ้าชุดขาวมันพยายามจะคุมตัวฉัน แล้วฉันก็หนีออกมาได้” ไอ้หมูป่าพูดแบบห้าวๆในตอนแรก แต่จู่ๆ ก็จ๋อยและนิ่งไป

    “โอเคๆๆ ฉันพอรู้แล้วหล่ะ” ไนทาลาพูดตัดบทเขาไป

    “ฉันเองก็มีบ้านอยู่ที่นั่น แต่ความจริงพ่อแม่ฉันอยู่ต่างประเทศ ฉันอยากกลับไปที่นั่น อย่างน้อยก็ตายที่บ้านหล่ะนะ” รินพูดขึ้น

    “เอ้ย แต่ของฉันมาทำงานในไทย ตอนนี้พ่อแม่ฉันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ฉันอยากเจอพวกเขาจัง” โรสพูดขึ้น

    “อืม ฉันเป็นมือสังหาร รับงานมาเมืองไทยหน่ะ ฉันประทับใจในตัวพวกนายมากเลย บอกตรงๆ” แอนนาพูดขึ้น

    “ครับ ผมเองเป็นครูภาษาไทย แต่ทำงานแฮ็กเกอร์เป็นงานเสริมครับ” เมตพูดขึ้น

    “ฉันว่านายน่าจะทำแฮ็กเกอร์เป็นอาชีพหลักดีกว่า ได้เงินเยอะดีนะ” ไนอาลาพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก พวกเขาทุกคนก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากด้านนอก พวกเขารีบเข้าไปหลบกันในทันที 

    “เวรเอ้ย เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแน่ๆ” ไนอาลาพูดขึ้น

    “ถ้างั้นเรารีบไปจากที่นี่ก็ได้นะครับ” วินบอกกับไนอาลาไป 

    ====================================================================

    การเดินทางของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า 

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×