คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 3 : พระนครศรีอโยธยา
คณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์เดินย่างกรายเข้ามาในประตูเมืองอโยธยา ท่ามกลางเศษซากของชุมชนที่ถูกเผาทำลายสิ้นไม่เหลือซาก แทบจะไม่เหลือเค้าโครงอะไรที่เคยบอกว่ามหานครอันยิ่งใหญ่นี้เคยมีอยู่ พวกเขาเดินมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะเดินทางไปยังบ้านพระยาพลเทพ เพื่อสืบหาต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด
“ทุกชีวิตที่ดับดิ้นไปจากการเผากรุงศรีนี่เหลือคณานับเลย” นาราพูดขึ้น
“แต่โชคยังดีที่ข้าถูกส่งไปประจำที่ธนบุรีเสียก่อน” อองโม่โยพูดขึ้น
“ผู้คนบางส่วนร่ำลือกันว่าพวกชาวบ้านปล้นและเผากันก่อนพวกอังวะจะมาเสียอีก อย่าถามว่าทำไมข้าถึงรู้ ก็ข้าเห็นมากับตา แต่ข้าไม่ปล้นชาวบ้านพวกนี้ดอก” วาทินพูดขึ้น
“อโยธยาสิ้นเพราะพวกคนทุรยศ มิเช่นนั้นก็คงมิมีวันนี้ดอก” สมบาติพูดขึ้น
“มิใช่ดอก เพราะอโยธยาบริหารผิดพลาดต่างหาก แถมชาวอโยธยาก็มิได้มีกะจิตกะใจจะรบแต่กาลก่อน” มาเรียน่าพูดเสริม
“ท่าทางเจ้าคงจะอยู่อโยธยานานมากสินะ” ธิดาพูดขึ้น
“ข้าเองก็เคยอยู่อโยธยามาก่อน การวางกลยุทธ์ที่ผิดพลาดก่อให้เกิดหายนะ แถมน้ำหลากก็มิช่วยอันใด” หลี่เจาพูดขึ้น
“ข้ายังจำตอนที่พวกอังวะสร้างแพล้อมอโยธยาได้อยู่เลย” อิริยะพูดเสริม
“เอาเป็นว่าช่างเรื่องอดีตเถิด แล้วอีกไกลหรือไม่กว่าจะถึง??” แสนคำสมิงถามไป
“ข้าว่ามิน่าไกลดอก เราคงใกล้จะถึงแล้ว” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ว่าแต่ กุมาร เจ้าคิดว่ามีอันใดอยู่ที่บ้านพระยาพลเทพเล่า??” ทองอินทร์ถามกุมารไป
“พระยาพลเทพเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เราต้องหาเบาะแสที่นั่นท่านพี่” กุมารเทพพูดขึ้น
“ข้าเองก็สัมผัสได้ถึงพลังอันชั่วร้ายนั่น” ทูตเบลล์พูดขึ้น
“หวังว่าข้างหน้าจะมีโบสถ์ให้พวกเรานะ เราต้องการน้ำมนต์เพิ่ม” เทเรซ่าพูดขึ้น
“ละแวกนี้มีโบสถ์คริสต์ ข้าว่าน่าจะไปหาได้ไม่ยาก” มาร์คัสพูดขึ้น
“แม็กซิม เจ้าว่าในโบสถ์จะเหลือไวน์ให้พวกเราหรือไม่??” รีปเปอร์ถามไป
“นี่พวกเจ้ายังจะมาห่วงดื่มอีกหรือ ไม่รู้หรือข้างหน้าอาจมีปีศาจรอเราก็ได้” อนาเลียพูดปรามพวกเขาไป
“เฮ้อ ถึงนางจะเป็นแม่มด แต่นางก็พูดถูกนะ” แม็กซิมพูดขึ้นพลางควงดาบไปด้วย
“ข้าอยากทำกระสุนเพิ่ม ต้องรีบไปโรงตีเหล็กแล้วหล่ะ” อเล็กซพูดขึ้น
“นั่นสิ ข้าไม่นึกเลยว่าพวกมันจะมีมากมายเช่นนี้” ชิงเสียนพูดขึ้น
“เอาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็มิหวั่นพวกมันดอก!!” เมรีพูดขึ้น แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเดินต่อไปถึงไหน จู่ๆก็มีชายแก่คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่แลมีกล้ามเหนือแข็งแรง เดินท่าทางเหมือนคนไม่ได้สติมาชนกับเกวียนของพวกเขา
“โคร้ม!!”
“แงๆๆ พวกเจ้ามาชนข้า!!” ชายแก่คนนั้นร้องราวกับเด็กทารก เสียงดังลั่นไปทั่วเมือง
“นี่ ยังมีผู้ที่รอดชีวิตด้วยหรือ??” นรสิงห์ถามไป
“นี่ ลุงหน่ะ มาจากที่ใด เป็นอันใดหรือเปล่า??” วารีตะโกนถามไป
“แง๊ ข้าอยากดื่มเมรัย!!” ลุงคนนั้นยังตะโกนไม่หยุด ทำเอาพวกเขาไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆพวกเขาก็เห็นกลุ่มปีศาจกลุ่มหนึ่งเดินมายังพวกเขา เพราะตามเสียงของตาแก่คนนั้นมา ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องชักอาวุธออกในทันที
“มันหาเรื่องมาให้เราแล้ว!!” ออเรเลียพูดขึ้น จากนั้นก็ชักหอกของเธอออกมา
“ดูท่าปีศาจพวกนี้จักไม่ธรรมดาเป็นแน่” เอื้องเหนือพูดขึ้นและมองไปทางซากศพซึ่งเปลือยกายแลถือจอบมาด้วย พร้อมด้วยผีดิบร่างอ้วนดูคล้ายจะตัวบวม และยังมีหนอนยักษ์ตัวเท่าสุนัขป่ามาร่วมด้วย
“พวกผีดิบถือจอบนั่น เกิดจากที่พวกลักลอบขุดหลุมฝังศพหาของมีค่าได้ดูดซึมพลังมาร พวกนี้มันมีฝีมือพอตัว ส่วนผีดิบร่างบวมนั่น มันกินซากศพจนขับพิษออกไม่ได้ ตัวเลยบวมและพร้อมจะระเบิดออก ส่วนเจ้าหนอนนั่น มันเป็นพวกหนอนที่กัดกินเนื้อพวกผีดิบเข้าไปจนร่างกายใหญ่โตหน่ะ” กุมารเทพพูดขึ้น
“เราจักสู้กับพวกมัน แล้วตาแก่นี่จะเอาเยี่ยงไรต่อเล่า??” คาวีชักดาบออกมาและถามทองอินทร์ไป
“ปล่อยมันไว้ที่นี่ก่อน ตอนนี้จัดการพวกมันก่อน ลุย!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็มุ่งตรงเข้าปะทะกับพวกผีร้ายนั่นในทันที
พวกของทองอินทร์วิ่งเข้าไปปะทะกับกลุ่มปีศาจที่บุกเข้ามาเพื่อจัดการพวกเขา การปะทะเป็นไปอย่างชุลมุน ทองอินทร์ไล่ฟาดฟันปีศาจที่ถือจอบอย่างรวดเร็ว แต่พวกนั้นก็สามารถปัดป้องได้อย่างคล่องแคล่ว ทำเอาทองอินทร์ถึงกับเหนื่อยแม้ว่าจะปะทะกับพวกมันไม่กี่ตัว
“บ้าเอ้ย ไอ้พวกนี้มันหลบไวมากเลย!!” ทองอินทร์พูดขึ้นในขณะที่กำดาบเอาไว้แน่น
“พวกนี้มันมีทักษะชั้นสูงท่านพี่ ต้องระวังด้วย!!” กุมารเทพพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังใส่พวกนั้นจนกระเด็นไป และในตอนนั้น มันตัวหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้ขบวน อเล็กซก็ชักปืนออกมายิงในทันที
“ปังๆๆๆ”
“ไอ้พวกนี้มันปัดป้องกระสุนเราได้ด้วย!!” อเล็กซพูดขึ้น และในตอนนั้นอองโม่โยก็ใช้โล่ผลักมัน และใช้ดาบแทงมันเข้าไปที่หน้าอกของมัน
“ต้องใช้จังหวะตอนมันเผลอ ไอ้พวกนี้มันเก่งกาจนัก” อองโม่โยพูดขึ้น
“พวกมันจะเข้ามาใกล้ขบวนแล้ว แล้วจะเอายังไงกับลุงนี่ต่อหล่ะ??” เวียงพิงค์ยิงหน้ามันใส่ผีดิบร่างอ้วนตัวหนึ่งเข้าที่หัว และในตอนนั้น จู่ๆตัวมันก็ระเบิดออกในทันที
“ตู้ม!!”
และเมื่อระเบิดออก ในตอนนั้นผีดิบถือจอบตัวหนึ่งก็พยายามจะวิ่งเข้ามาเพื่อเล่นงานตาแก่ขี้เมาที่กำลังนั่งอยู่หน้าขบวน ทำเอาในตอนนั้นพวกเขาต้องตะโกนเรียกลุงคนนั้นในทันที
“ลุง หาที่หลบเร็ว!!” เอื้องเหนือพูดขึ้น แต่ผีดิบถือจอบตัวนั้นก็เงื้อจอบจะฟันลุงคนนั้น แต่ในตอนนั้นเอง ตาแก่คนนั้นจับจอบของมันได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็หักจอบมันทิ้ง
“แง๊ๆๆ ข้าบอกให้เอาเมรัยมาให้ข้า!!” ตาแก่คนนั้นจับหัวผีดิบจอบตัวนั้นและเหยียบลงกับพื้นในทันที ในขณะที่คนอื่นๆก็ถึงกับตะลึงงัน แต่ก็ยังต้องต่อสู้กับพวกมันต่อ
“โห ตาแก่นั่นก็มีดีแหะ!!” วารีพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้ดาบฟาดฟันกับพวกมัน และในตอนนั้นเอง พวกหนอนยักษ์ก็ค่อยๆคลานมาเพื่อโจมตีพวกเขา
“กริ๊ด หนอน ข้าเกลียดหนอน อย่าให้มันมาใกล้ข้า!!” เทเรซ่าถือดาบและท่าทางเกรงๆ จนทำเอาแม็กซิมและรีปเปอร์ถึงกับต้องไปช่วยสู้กับมัน โดยที่พวกเขาทั้งคู่ใช้ดาบปักที่กลางหลังของมันจนมันแน่นิ่ง และก็กรีดมันจนร่างมันแหลกเหลวในทันที
“ท่านแม่ทัพ รีบไปสู้กับตัวอื่นเถิด ตรงนี้ข้าจัดการเอง!!” แม็กซิมพูดขึ้น
“อ้ายพวกนี้มันน่าเกลียดน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆแหะ” รีปเปอร์พูดขึ้น จากนั้นก็ไปลุยกับตัวอื่นต่อ ในขณะที่คนอื่นๆก็กำลังปะทะกับผีดิบอย่างดุเดือด คาวีในตอนนั้นก็จัดการเตะมันและตัวหัวผีดิบจอบตัวหนึ่ง แต่จู่ๆผีดิบอีกตัวก็จะมาฟันด้านหลังเขา แต่มาร์คัสก็ช่วยยิงสกัดไว้ให้
“ปัง!!”
“ขอบน้ำใจท่านมาก อ้ายพวกนี้มันหมาลอบกัดจริงๆ” คาวีพูดขึ้น
“พวกมันมีฝีมือ ต้องใช้จังหวะตอนมันเผลอ” มาร์คัสพูดขึ้น จากนั้นก็ยื่นปืนให้สมบาติใส่กระสุนไป
“กระสุนใกล้จะหมดแล้ว ยิงใช้อันใดก็ระวังหน่อยเถิด!!” สมบาติพูดขึ้น
“บ้าเอ้ย เห็นทีคงต้องใช้ดาบแล้วหล่ะ” เมรีพูดขึ้น จากนั้นก็ชักดาบออกมาและจู่โจมพวกมัน ในตอนนั้นนางได้ไปฟันเข้าที่ท้องของผีดิบร่างอ้วนตัวหนึ่ง ทำเอาน้ำหนองสีดำของมันปล่อยออกมาในทันที และตัวมันก็กำลังจะแตกตัวออกมา
“ระเบิด รีบหลบเร็ว!!” แสนคำสมิงดึงเมรีออกมา ก่อนที่ร่างของผีดิบนั่นจะระเบิดออก
“ตู้ม!!” ระเบิดพวกนั้นกระทบไปถึงผีดิบตัวอื่นๆ ทำเอาผีดิบพวกนั้นระเบิดกันเป็นทอดๆ พวกเขารีบถอยออกห่างจากมันก่อนที่จะโดนระเบิดไปด้วย
“บ้าเอ้ย ไอ้พวกนี้ต้องจัดการมันอย่างไรเนี่ย??” ธิดาถามไป
“อย่าให้มันเข้าใกล้เกวียนเด็ดขาด!!” หลี่เจาพูดขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงทวนของเขาและใช้ตัดหัวของมันออก ส่วนอิริยะก็ปามีดบินใส่หนอนยักษ์ตัวอื่นๆไปด้วย เพื่อไม่ให้มันเข้ามาใกล้
“เข้ามาเลยอ้ายพวกปีศาจ!!” อิริยะตะโกนออกมา
“เราต้องยิงพวกมันจากระยะไกล อย่าให้พวกมันเข้ามา!!” ชิงเสียนพูดขึ้น จากนั้นก็พยายามเล็งปืนใส่ผีดิบร่างอ้วนพวกนั้นในทันที
“เข้ามาเลยไอ้พวกนรก!!” ออเรเลียพูดขึ้น ในขณะที่ใช้โล่กันจอบของผีดิบจอบ และใส่หอกแทงมันกลับไป
“มันใกล้จะหมดแล้ว ทุกคนระวังด้วย!!” มาเรียน่าพูดขึ้น จากนั้นก็ยิงปืนยาวสกัดพวกมันไว้ และในตอนนั้นเอง อนาเลียก็ใช้มนต์ของเธอค่อยๆดูพลังของผีดิบร่างอ้วนพวกนั้น จนร่างของมันค่อยๆเหี่ยวเฉาไป จากนั้นก็รีบปล่อยใส่น้ำมนต์ที่แม็กซิมเตรียมไว้ให้ในทันที จนกระทั่งน้ำมนต์ได้แปรเปลี่ยนเป็นเป็นสีดำทะมึน
“พลังของพวกมันมหาศาลนัก เห็นทีคงต้องหาน้ำมนต์เพิ่มแล้ว!!” อนาเลียพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง พวกนั้นก็เห็นผีดิบอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาทางพวกเขา ทำเอาทูตเบลล์ถึงกับต้องตะโกนเตือนในทันที
“พวกมันมาอีกแล้ว พวกท่านทุกคน!!”
“บ้าเอ้ย พวกมันมาอีกแล้ว มันมากันทั้งเมืองเลยกระมัง??” วาทินพูดขึ้นจากนั้นก็เตรียมดาบของเขา
“แล้วกระไรเล่า ทุกคน เตรียมพร้อมเข้าปะทะ!!” นรสิงห์พูดขึ้น จากนั้นก็เตรียมดาบของเขา
“ระวังด้วย ปล่อยให้พวกมันเข้ามา ข้าพร้อมจะสู้กับมัน!!” นาราพูดขึ้นหลังจากที่เหยียบหน้าของผีดิบตัวหนึ่งตายไป พวกเขาเตรียมเข้าปะทะกับกลุ่มผีดิบระลอกใหม่ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเขา แต่ในตอนนั้นเอง
“ตู้มๆๆๆๆ”
จู่ๆก็มีระเบิดลูกใหญ่หลายลูกโยนมาใส่กลุ่มผีดิบกลุ่มนั้น ทำเอาพวกนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก และบางตัวก็ระเบิดร่างตัวเองออกมา ทำเอาผีดิบตัวอื่นบาดเจ็บไปมากมาย และในตอนนั้นก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาจัดการกับผีดิบพวกนั้นในทันทีอย่างดุเดือด
“พวกนั้นเป็นใครกันหรือ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย และเมื่อการปะทะจบลง กลุ่มคนพวกนั้นก็เห็นพวกของทองอินทร์ จากนั้นพวกนั้นก็เดินมาหากลุ่มของทองอินทร์ในทันที แต่ในตอนนั้น วาทินก็ทักทายกับคนพวกนั้นในทันทีราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน
“อ้าว พวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่ตาย!!”
“วาทิน นี่เจ้าจริงๆหรือเนี่ย เราคิดว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ทำเอาคนอื่นๆถึงกับสงสัยในทันที
“อ่า เจ้ารู้จักกับคนพวกนี้กระนั่นหรือ??” นรสิงห์ถามอย่างสงสัย
“เรารู้จักกับเขา ข้าชื่อมายะ นี่โช นี่ฉางหลง นี่ไวโอเล็ต พวกเราสี่คนแอบอยู่ในอโยธยาหลังกรุงแตก แต่จู่ๆไอ้พวกผีร้ายพวกนี้ก็มายึดเมืองแทนพวกอังวะไป” หญิงสาวที่ชื่อมายะพูดขึ้น จากนั้นคนอื่นๆของกลุ่มทองอินทร์ก็แนะนำตัวกับพวกเขาไป
“นี่เจ้า เจ้าก็มาจากต้าชิงกระนั่นหรือ??” ชิงเสียนถามชายที่ชื่อฉางหลงไป
“เจ้าก็เช่นกันหรือ ดูจากลักษณะเจ้าแล้ว คงไม่ใช่ชาวต้าชิงธรรมดาเป็นแน่” ฉางหลงตอบกลับไป
“ว่าแต่ พวกเจ้าจะไปที่ใดกันงั้นหรือ??” ไวโอเล็ตถามพวกเขาไป
“เราจะไปที่บ้านของพระยาพลเทพ ได้ยินว่าที่นั่นมีเบาะแสให้พวกเราหาหน่ะ” ออเรเลียพูดขึ้น
“ว่าแต่ ตาแก่คนนี้ ไม่แน่นำตัวหน่อยหรือ??” คาวีถามตาแก่ร่างยักษ์คนนั้นไป
“อ่า.. คง.. คง!!” ชายแก่คนนั้นพูดขึ้นและชี้ไปที่ตัวเขาเอง
“อ่า ลุงคงสินะ ยินดีที่ได้รู้จักท่าน ท่านเองก็มีฝีมือนี่” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“ข้าจะเก่งกว่านี้หากเอาเมรัยมาให้ข้า เอามาให้ข้าสิ!!” ลุงคงพูดขึ้น ทำเอาคนอื่นๆถึงกับต้องส่ายหน้าหนี
“จะว่าไป เราเองก็ผ่านที่บ้านของพระยาพลเทพมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าบ้านหลังนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็ไม่รู้” โชพูดขึ้น
“แต่ว่า พวกปีศาจต้องรอเราอยู่ที่นั่นเป็นแน่” วารีพูดขึ้น
“นั่นสิ เห็นทีเราคงต้องระวังตัวกันหน่อย” เทเรซ่าพูดขึ้น
“ข้าว่าไม่นะ ตอนที่พวกเราไปถึง ก็มิมีพวกปีศาจซักตัว” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกเราจะทำเยี่ยงไรต่อหล่ะ??” เมรีถามอย่างไม่ค่อบสบอารมณ์
“เราจะต้องไปที่นั่น ต่อให้มีอันใดขวางกั้น เราก็จักมิยอมแพ้ดอก” ทองอินทร์พูดขึ้น
“หวังว่าพวกมันจะไม่ดักรอเรานะ เพราะพวกเราจักต้องไปที่โรงตีเหล็กอีก” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“พอดีเลย ที่โรงตีเหล็กใหญ่ของอโยธยามีเหล็กมากมาย มีดินปืนด้วย” มายะพูดขึ้น
“ดีแล้วหล่ะ ตอนนี้พวกเราต้องทำกระสุนเพิ่ม ต้องทำเยอะๆเลย ไม่อย่างงั้นเราสู้ไม่ได้แน่ๆ” มาร์คัสพูดขึ้น
“นั่นสิพี่ กระสุนของเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว” อเล็กซพูดขึ้น
“แต่นี่ก็มืดค่ำแล้ว คงต้องระวังพวกมันดักโจมตีด้วย” แม็กซิมพูดขึ้น
“ข้าจะสัมผัสและหาตัวมันเอง ตอนกลางคืน มิมีพวกมันตัวไหนรอดสายตาข้าไปได้” อนาเลียพูดขึ้น
“เอาเถิด ข้าคำนวณดูเวลาแล้ว เราต้องออกจากเมืองนี้ก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้” สมบาติพูดขึ้น
“ก็นะ แต่เรายังมิได้พักผ่อนกันเลยหน่ะสิ” รีปเปอร์พูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ก็คงต้องรีบไปเรือนพระยาพลเทพแล้วหล่ะ” อองโม่โยพูดขึ้น
“ว่าแต่ พวกเจ้าอยากจะไปกับพวกเราด้วยหรือไม่??” เวียงพิงค์ถามคนพวกนั้นไป
“ได้สิ พวกเราก็ต้องการจะไปจากเมืองนี้เช่นกัน” มายะพูดขึ้น
“ใช่ เสบียงเมืองนี้หมดแล้ว คงอยู่ได้ไม่นาน” โชพูดเสริม
“หวังว่าที่นั่นจะมีดินปืนตามที่เจ้าบอกนะ ไม่อย่างงั้นเราเสียเที่ยวแน่” มาเรียน่าพูดขึ้น
“แน่นอน ดินปืนมีมากโขอยู่ เราน่าจะพอใช้ได้” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“อืม เราคงต้องเลี่ยงการไปที่เขตอื่น มิเช่นนั้นอาจจะเป็นการเรียกพวกมันออกมา” นาราพูดขึ้น
“พวกปีศาจเริ่มทวีความร้ายกาจขึ้น พวกเจ้าคงต้องฝึกปรือกันมากกว่านี้” หลี่เจาพูดขึ้น
“นั่นสิ ที่เราเจอวันนี้ก็เกือบไม่รอดแล้ว” อิริยะพูดเสริม
“เช่นนั้นเรารีบออกเดินทางกันเถิด ช้าไปจักเสียการเปล่า” ธิดาพูดขึ้น
“เอาหล่ะ กุมาร ช่วยคุ้มกันพวกเราด้วย!!” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อในทันที
พวกเขาออกเดินทางกันมาเรื่อยๆ แต่ในระหว่างทางตาแก่คงก็เอาแต่ร้องโหวกเหวกโวยวายไปตลอดทาง ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องกุมขมับ ไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อ
“ชะโอละเห่เอ้ย เมรัยของพี่!!”
“ตาแก่นี่โหวกเหวกมาตลอดทางเลยนะ!!” ทูตเบลล์พูดขึ้นพลางกอดอก
“ข้านี่หูก็จะพังอยู่แล้ว แล้วจะเอายังไงกับตาแก่นี่ต่อหล่ะ ท่านพี่??” กุมารเทพถามไป
“เราไม่รู้บ้านเกิดเมืองนอนแก ปล่อยไปแบบนั้นก็กระไรอยู่” ทองอินทร์พูดขึ้น ทั้งๆที่ตัวเขาก็รำคาญเหมือนกัน จนกระทั่งไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็มาถึงเรือนของพระยาพลเทพจนได้ ซึ่งเรือนนั้นไม่ได้ถูกเผาไหม้จากกองทัพอังวะ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ พื้นที่หน้าเรือนของเขากลับมีรอยแยกอะไรบางอย่าง ซึ่งดูเป็นรอยแยกไม่ใหญ่มาก แต่ว่ากุมารเทพก็สนใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันรอยอะไรกันเนี่ย น่าสงสัยยิ่งนัก??” กุมารเทพถามไป
“นี่เจ้าเป็นเทพยังมิรู้ แล้วผู้ใดจะรู้เล่า??” ทูตเบลล์ถามไป และในตอนนั้นเอง หลี่เจาก็รู้สึกร้อนรนเล็กน้อย ทำเอาอิริยะสังเกตอาการได้
“ท่านคิดเหมือนที่ข้าคิดหรือเปล่า??” อิริยะถามไป
“ใช่ แต่นิ่งไว้ก่อน พลังของข้ายังทำลายรอยแยกนี่ไม่ได้” หลี่เจากระซิบบอกอิริยะ ทำเอาคนอื่นๆถึงกับสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“เรามาถึงบ้านพระยาพลเทพแล้ว จะเอาเยี่ยงไรต่อพี่อินทร์??” นาราถามเขาไป
“ค้นเรือนของเขา หาทุกอย่างมาให้ได้ แล้วค่อยมาดูกันว่าเราได้อะไรมาบ้าง” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปในแต่ละส่วนของเรือนในทันทีเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม
ที่ด้านล่างของเรือน ซึ่งเป็นจุดที่พระยาพลเทพใช้เก็บของด้านล่าง กลุ่มของทองอินทร์บางส่วนก็ลองค้นหาของบางส่วนที่พระยาพลเทพเก็บไว้ ในตอนนั้นพวกเขาก็ดันไปเจอกับแผ่นไม้อะไรบางอย่าง ซึ่งสามารถเปิดออกมาได้ พวกเขาเปิดออกมาในทันทีเพื่อดูว่าด้านในมีอะไร แต่ในตอนนั้น พวกเขาก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังถือมีดและนั่งหลบอะไรบางอย่างอย่างหวาดกลัว
“มีคนอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคน!!” คาวีตะโกนออกมาบอกกับทุกคน
“แม่หญิง ท่านปลอดภัยแล้ว ออกมาเถิด” มาเรียน่าพูดขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆดึงเธอขึ้นมาในทันที แล้วก็คุยกับเธอไป
“พวกท่านมาจากที่ใดกัน??” หญิงสาวคนนั้นถามไป
“พวกเรามาจากธนบุรี เรามาตามล่าพวกผีร้ายนั่น แม่นางเป็นใครกันหล่ะ??” โชถามไป
“ข้าชื่อจัน ข้าเป็นหมอในอโยธยา ข้าหนีพวกผีร้ายมาอยู่ในนี้ กริ๊ด!!” จันพูดขึ้น แต่จู่ๆเธอก็กริ๊ดขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ด้านหลัง ทุกคนพบว่าเป็นลุงคงซึ่งถือไหเหล้าและทำหน้าทำตาน่ากลัว
“แบร่ เมรัยที่รักของข้า!!”
“โอ้ย ลุง ตกอกตกใจหมด ไปทางโน่นไป!!” เทเรซ่าตะโกนและชี้ไปทางอื่น ทำเอาลุงคงถึงกับเดินไปทางอื่นในทันที คนอื่นในกลุ่มถึงกับเบือนหน้าหนีไปเลย
“ขออภัยด้วยแม่หญิง เขามากับเราหน่ะ” รีปเปอร์พูดขึ้น
“มิเป็นไรหรอกท่าน ข้ารู้มาว่ายังมีชายผู้หนึ่งยังเหลือรอดอยู่ในเมืองนี้ โปรดช่วยเขาด้วย เขากำลังตกอยู่ในอันตราย” แม่หญิงจันพูดขึ้น
“ข้าจะลองตามหาเขาดู ท่านมิต้องเป็นห่วงไป” แม็กซิมพูดขึ้น
“ข้าว่า ท่านน่าจะไปที่ธนบุรีเถิด ที่นั่นท่านจะปลอดภัย” เอื้องเหนือพูดกับนาง
“ชายผู้นั้นชื่อเรือน พวกท่านโปรดช่วยเขาด้วย เขาเป็นคนรักของข้า!!” จันพูดขึ้น
“มิต้องกังวลไปนะ พวกข้าจักช่วยตามหาเขาเอง” ธิดาพยายามปลอบใจเธอไป
“ว่าแต่ ใครจะไปส่งนางหล่ะ??” มายะถามไปถามอย่างสงสัย
“ข้าพอรู้ทางไปธนบุรี แต่ข้าหวังว่าจักมิมีพวกผีร้ายระหว่างทางนะ” จันพูดขึ้น
“มิต้องห่วง พวกเราจัดการมันหมดแล้ว ท่านไปเถิด ทางนี้พวกเราจัดการเอง” ออเรเลียพูดขึ้น จากนั้นแม่หญิงคนนั้นก็เดินออกไป และในตอนนั้นเอง หลี่เจาก็เดินตามเธอไปด้วย จากนั้นเขาก็ยื่นเม็ดอะไรบางอย่างให้กับเธอไปในทันที
“นึกสถานที่ที่เจ้าอยากจะไป แล้วปามันลงพื้นเสีย มันจักพาเจ้าไป!!” หลี่เจาพูดขึ้น
“ใช่ แต่อย่าให้ผู้ใดเห็นหล่ะ ท่านรีบไปเถิด” อิริยะพูดเสริม แม่หญิงจันพยักหน้าให้ จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากเรือนของพระยาพลเทพในทันที
และที่ด้านบนบ้านของพระยาพลเทพ ในตอนนั้นคนที่เหลือก็พยายามตามหาของในบ้านของพระยาพลเทพในทันที พวกเขาค้นจนทั่วบ้าน จะกระทั่งมาถึงในห้องของพระยาพลเทพ พวกเขาก็มาพบกับคัมภีร์เล่มหนึ่งซึ่งวางไว้ที่พานเล่มหนึ่ง ในตอนนั้นทองอินทร์ก็เรียกคนอื่นให้มาหาในทันที แล้วก็หยิบคัมภีร์เล่มนั้นขึ้นมาในทันที
“นี่มันคัมภีร์อะไรกัน กุมาร??” นาราถามอย่างสงสัย
“ท่านก็ลองเปิดดูสิ ข้าว่ามันต้องมีอะไรเป็นแน่” ทูตเบลล์พูดขึ้น จากนั้นทองอินทร์ก็เปิดคัมภีร์นั้นดูในทันที พบว่ามันเป็นคัมภีร์ซึ่งใช้ในการเซ่นสังเวยปีศาจหมื่นปี มันบอกถึงวิธีการทุกอย่างไว้ทั้งหมด
“ข้าเข้าใจถูกจริงๆด้วย!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“เข้าใจถูกเรื่องอันใดกันหรือ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าว่าแล้ว ทำไมปีศาจหมื่นปีถึงหลุดออกจากพันธนาการมาได้ ก็เพราะมีผู้สังเวยดวงวิญญาณนี่เอง” กุมารเทพพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น พระยาพลเทพก็คงกลายเป็นเครื่องสังเวยไปแล้ว” นรสิงห์พูดขึ้น
“เขาจะทำแบบนั้นทำไม ถ้าขายวิญญาณให้ปีศาจ ยังไงก็ถูกปีศาจครอบงำอยู่ดี??” สมบาติถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขาคิดอันใดของเขากันแน่??" กุมารเทพถามอย่างสงสัย
“แต่ว่า เราจะไปปราบเขาได้ยังไง ถ้าเขามีพลังขนาดนั้น??” อเล็กซถามไป
“ท่านหวาดกลัวงั้นหรือ นี่หรือสาวกพระเจ้าหน่ะ??” เมรีถามไป
“เอ๊ะนี่ เจ้านี่ เจ้าหาเรื่องพวกข้ากระนั่นหรือ??” มาร์คัสถามอย่างหัวเสีย
“พอเถิด นี่มิใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันนะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ต่อให้มันจะเป็นนรกขุมไหน ข้าก็จักดั้นดนไปที่นั่น” ทองอินทร์พูดขึ้น
“เห็นด้วย ข้ามิกลัวปีศาจพวกนั้นดอก เรามีกุมารเทพนี่” วาทินพูดขึ้น
“แต่ว่า ข้าคิดเห็นว่า มันต้องมีอันใดเกี่ยวข้องกับรอยแยกด้านล่างแน่ๆ” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“นั่นสิ แล้วเจ้าคิดเช่นไรหล่ะ ชิงเสียน??” ฉางหลงถามไป
“ข้าว่า ข้าจักเดินทางต่อ ข้ามิกลัวปีศาจพวกนั้นดอก” ชิงเสียนพูดขึ้น
“อืม แต่เราต้องมีอาวุธเพิ่มเพื่อต่อกรกับพวกมัน” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“นั่นสิ แค่ที่สู้กับพวกมันเมื่อกี้ก็แทบจะไม่รอดแล้ว” อองโม่โยพูดขึ้น
“มิต้องห่วงดอก ถึงอย่างไรก็มีอยู่แล้ว มิต้องห่วงไป” วารีพูดปลอบใจทุกคนไป
“พวกท่านรีบเก็บของมีค่าแล้วไปกันเถิด ส่วนเรื่องคัมภีร์ ข้าจักพยายามหาตอบเองท่านพี่” กุมารเทพพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พยายามเก็บของทุกอย่างที่เอาไปได้ จากนั้นพวกเขาก็ลงไปที่ด้านล่างในทันที และในตอนนั้น พวกเขาก็พบกับอนาเลียที่กำลังนั่งสมาธิและพยายามจ้องมองลงไปที่รอยแยกนั่น ทองอินทร์เดินเข้าไปถามเธอในทันที
“ท่านแม่มด ท่านกำลังทำอันใดอยู่??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“อืม ข้าดูจากรอยแยกนี่ ข้าว่าต้องมีผู้ใช้มนต์ปิดผนึกมัน ซึ่งผู้นั้นต้องมีพลังสูงมากเป็นแน่ แล้วพวกเจ้าได้อันใดกลับมากันบ้างหล่ะ??” อนาเลียถามไป
“ก็ไม่มีอันใดมาก พวกข้าเจอดินปืนอยู่มากโข น่าจักเป็นประโยชน์ได้บ้าง” คาวีพูดขึ้น
“ใช่ ยังมีลูกศรที่ข้าต้องการอีก แล้วพวกเจ้าหล่ะ??” เมรีถามกลับไป
“พวกข้าเจอคัมภีร์ซึ่งมันบอกอะไรได้หลายอย่างเลยหล่ะ” นาราพูดขึ้น
“ใช่ พระยาพลเทพใช่มันในการปลดปล่อยปีศาจหน่ะ” นรสิงห์พูดขึ้น
“นี่แสดงว่า พวกเรากำลังสู้กับพญาปีศาจงั้นหรือ??” เทเรซ่าถามไป
“ข้าว่าใช่ ตอนนี้พวกเราควรเตรียมพร้อมไว้เถิด" แสนคำสมิงพูดขึ้น แล้วในตอนนั้นเอง จู่ๆลุงคงก็วิ่งมาด้วยอาการดีใจหน้าตาตื่นอีกครั้ง พร้อมกับยกไหเหล้ามาอีกประมาณสองสามไห พร้อมกับร้องรำทำเพลงไปด้วย
“โดนต๊ะโดนเต ชะโอละเห่…”
“ข้าจักผสมยาในไหเหล้าของเขา ให้เขาหลับไป พวกเจ้าจะว่าไง??” อนาเลียถามไป
“เรื่องนี้ข้าเห็นพ้องด้วยเจ้า ว่าแต่ เราจะไปที่ใดต่อ??” มาร์คัสถามไป
“ต่อไปเราต้องไปที่โรงตีเหล็ก เพื่อทำอาวุธเพิ่มหน่ะ” วารีพูดขึ้น
“แล้วนี่ โรงตีเหล็กอยู่อีกไกลแค่ไหนกัน??” ธิดาถามอย่างสงสัย
“โรงตีเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในอโยธยาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ข้าพาพวกเจ้าไปได้” สมบาติพูดขึ้น
“แล้วนี่ จุดหมายของพวกเราคือไปที่ใดกันต่อเล่า พวกเจ้าก็มาเรือนพระยาพลเทพแล้วนี่??” โชถามอย่างสงสัย
“ข้าว่า เราควรจะขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆหน่ะ” หลี่เจาพูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าท่านจะรู้อะไรเยอะจริงๆนะ” วาทินพูดกับหลี่เจาไป
“พวกข้าก็ไม่รู้อันใดมากหรอก เพียงแต่พวกเราไม่ควรจะหยุดแค่นี้” อิริยะพูดเสริม
“จะว่าไป แม่หญิงที่เราช่วยไว้ บอกเราว่าสามีของนางถูกจับไว้ละแวกนั้น เราน่าจะไปช่วยนางนะ” แม็กซิมพูดขึ้น
“นั่นสิ เราสัญญากับนางไว้แล้ว เราไม่ควรผิดคำพูด” รีปเปอร์พูดเสริม
“แต่นี่ก็จวนจะค่ำแล้ว เราควรหาที่พักด้วย” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“ใช่ พวกเราควรจะพักก่อน เพราะเราเหน็ดเหนื่อยกันมามาก” เวียงพิงค์พูดเสริม
“แต่เราจะนอนที่ใดเล่า อโยธยาตอนนี้เหลือแต่เถ้าถ่านแล้ว??” อองโม่โยถามอย่างสงสัย
“แถวนี้น่าจักมีลานพักให้พวกเรานะ เจ้าว่ามั้ย??” ชิงเสียนหันไปถามฉางหลงไป
“แถวนี้มีลานกว้างให้เราพักอยู่ ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจนะ” ฉางหลงพูดขึ้น
“อืม แล้วนี่ เราจักรู้หรือไม่ ว่าต้องไปช่วยชาวบ้านคนนั้นที่ใด??” ไวโอเล็ตถามไป
“ข้าว่า อยู่มิใกล้มิไกลจากโรงตีเหล็กหรอก” มาเรียน่าพูดเสริม
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ตราบใดที่ยังมีลูกปืน ข้าก็พอสู้ได้” อเล็กซพูดขึ้น
“เอาหล่ะ ตอนนี้เรารีบไปยังโรงตีเหล็กเถิด ก่อนจะเสียฤกษ์ตามที่เขาทำนาย” ออเรเลียอ้างคำพูดของสมบาติ
“ตอนนี้ก็เหลือทางเลือกเดียวสินะ” มายะพูดขึ้น
“นั่นสิคะ ตอนนี้เราก็ไม่มีทางเลือกเท่าไหร่นี่” ทูตเบลล์พูดพลางกอดอกไป
“ท่านพี่ เราออกเดินทางกันต่อเถิด มิเช่นนั้นอาจไม่ทันการ” กุมารเทพพูดกับทองอินทร์ไป
“ได้สิ พวกเรา ออกเดินทางกันต่อเถิด!!” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ
พวกเขาออกเดินทางมาได้ราวหนึ่งชั่วยาม หลังจากที่พวกเขาเดินผ่านเศษซากซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่นั้น พวกเขาก็พบกับลานกว้างซึ่งสามารถให้พวกเขาใช้เป็นที่หลับที่นอนได้ ในตอนนั้นพวกเขาก็รีบไปจับจองที่หลับที่นอนกันก่อนในทันที
“ท่านพี่ ดูเหมือนว่าโรงตีเหล็กจะอยู่ด้านหน้านี่เองนะ!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“เจ้าว่า ข้าควรจะแบ่งคนไปที่นั่นเพื่อทำอาวุธหรือไม่??” ทองสุกถามอย่างสงสัย
“ก็ดีนะท่านพี่ เราควรจะรีบก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้” กุมารเทพพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนเรียกพวกเขา จากนั้นก็ปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาพวกเขาถึงต้องไปจับอาวุธและไปคุยกับชายคนนั้นในทันที
“นี่ เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่แห่งนี้??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย
“ข้าชื่อเรือน ข้าเป็นชาวอโยธยา หลังกรุงแตก ข้าหลบซ่อนตัวที่นี่ ตอนนี้ข้ากำลังตามหาเมียของข้า!!”
“เมียของท่าน ชื่อจันใช่หรือเปล่า??” มายะถามไป
“ใช่ แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไร และนางอยู่ที่ไหน??”
“พวกข้าส่งนางไปธนบุรีแล้ว เจ้ารีบตามนางไปเถิด” คาวีพูดขึ้น
“ขอบน้ำใจพวกท่านมาก ว่าแต่ พวกปีศาจหล่ะ??” นายเรือนถามไป
“เราจัดการพวกปีศาจไปเรียบร้อยแล้วหล่ะ” วารีพูดขึ้น
“พวกท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาว่า ที่เมืองพระพิษณุโลกยังคงต้านทานพวกมันไว้ได้อยู่ พวกท่านควรจะไปช่วยที่นั่น” นายเรือนพูดขึ้น
“ข้าว่า ท่านรีบไปจากที่นี่เถิด ก่อนพวกมันจักกลับมา” นาราพูดขึ้น
“ได้ ขอบน้ำใจพวกท่านมาก ด้านหน้ามีโรงตีเหล็ก พวกท่านน่าจักใช้การมันได้ ที่นั่นมีแร่เหล็กทำอาวุธมากโข พวกท่านรีบไปเถิด” นายเรือนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เดินจากไปในทันที แต่ในตอนนั้นเอง หลี่เจาก็เดินตามเขาไป จากนั้นก็เอาอะไรบางอย่างยัดใส่มือเขาในทันที
“ไข่มุกนี่ ข้าเคยให้เมียของเจ้า คิดถึงที่ที่เจ้าจะไปแล้วปาลงพื้นซะ!!” หลี่เจาบอกกับเขาไป
“โอ้ ของวิเศษแบบนี้ ท่านต้องมิใช่คนธรรมดาแน่ๆ” นายเรือนพูดขึ้น
“ท่านรีบไปเถิด อย่าให้ใครเห็นหล่ะ” อิริยะบอกกับเขาไป จากนั้นตัวเขาก็รีบเดินออกไปในทันทีเพื่อตามหาเมียของเขาต่อ
“ข้าจักไปที่โรงตีเหล็ก ผู้ใดจักไปกับข้าบ้าง??” มาเรียน่าถามไป
“ข้าไปด้วย ข้าจักไปทำลูกปืนเพิ่ม” ชิงเสียนพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย ข้าจักไปทำของเพิ่ม” ฉางหลงพูดขึ้น
“เอาหล่ะ พวกเจ้าจะไม่แบ่งคนต้านทานพวกปีศาจที่นี่เหรอ??” เมรีถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้องห่วง พวกข้าจะคุ้มกันที่นี่เอง” เทเรซ่าบอกกับคนอื่นไป และในตอนนั้น ลุงคงก็ยังเต้นและร้องรำทำเพลงไปเรื่อยโดยไม่สนสายตาใครเลย ทำเอาทุกคนถึงกับส่ายหน้ากันเป็นแถว
“โอละเห่เอ้ย เตร่งๆๆ….”
“ถ้าไม่มีใครปิดปากเขา ข้าจะปิดปากเอง” รีปเปอร์พูดขึ้น
“อย่าเลย เจ้าก็เห็นฝีมือเขาแล้วนี่ แต่เขาก็พึ่งพาได้นะ” แม็กซิมพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง อนาเลียก็เอาเหล้าไหหนึ่งไปยื่นให้กับตาคง ตาคงหยิบเหล้ามาในทันทีจากนั้นก็ดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่จู่ๆ เขาก็เป็นลมและสลบไปในทันที ทำเอาคนอื่นๆถึงกับแปลกใจมาก
“นี่เจ้าทำได้อย่างไรกันนี่??” วาทินถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าผสมยาให้เขาหลับไหลหน่ะ มิต้องเป็นกังวลไป รุ่งเช้าเขาจะฟื้นเอง” อนาเลียพูดขึ้น
“เงียบๆไปก็ดี พวกปีศาจจะได้ไม่ตามเรามา” อเล็กซพูดขึ้น
“ข้าอยากจะถามเรื่องที่ชายคนนั้นบอกหน่อย เรื่องเมืองพระพิษณุโลกหน่ะ เราควรไปที่ไหนหรือไม่??” นรสิงห์ถามไป
“ข้าว่ามันก็คุ้มนะหากเราลองเสี่ยง” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“แต่ว่า เดินทางไกลขนาดนั้น ต้องใช้เพลานานโขอยู่นะ” ธิดาพูดขึ้น
“แต่ถึงกระนั่น พวกเราก็ยังมิต้องหิวโหยนี่ พวกเราอิ่มทิพย์อยู่นะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“ข้ามิรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จักยาวแค่ไหน แต่ข้าก็พร้อม” อองโม่โยพูดขึ้น
“แต่ว่า ข้าสังเกตมาซักระยะแล้ว เหตุไฉนเราถึงเดินทางได้เร็วปานลับนิ้วมือ ทั้งๆที่จากธนบุรีจักมาถึงอโยธยา ต้องใช้เพลาอย่างน้อย 2 วันนะ??” เอื้องเหนือถามไป
“ข้าว่า พวกเทพบนสวรรค์กำลังช่วยให้เราเดินทางเร็วขึ้นแน่” กุมารเทพพูดขึ้น
“มิน่าหล่ะ ข้าเองก็สังเกตได้เช่นกัน” ทูตเบลล์พูดขึ้น
“แต่ข้าไม่อยากสนเรื่องนั้นดอก ข้าอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” โชพูดขึ้น
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ได้ไปแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” ไวโอเล็ตพูดขึ้น
“ข้าจะคุ้มกันที่นี่ ข้ายังพอมีกระสุนเหลือ หวังว่าคืนนี้จะไม่มีการปะทะ” มาร์คัสพูดขึ้น
“นั่นสิ ข้าก็หวังไว้แบบนั้น วันนี้ข้าเหนื่อยยิ่งนัก” ออเรเลียพูดเสริม
“ไว้ข้าจักคำนวณฤกษ์ให้พวกเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน” สมบาติพูดขึ้น
“เอาหล่ะ เราคงต้องทำอาวุธเพิ่มก่อนจักออกเดินทางกันต่อ พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อยแล้วกัน” ทองอินทร์บอกกับทุกคนไป ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปในทันทีเพื่อเตรียมการตามที่วางแผนไว้
เช้าวันต่อมา หลังจากที่พรคพวกของทองอินทร์พักผ่อนหย่อนใจกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ตื่นเช้ากันเพื่อเตรียมออกเดินทางก่อนที่จะเที่ยงวัน ซึ่งเป็นฤกษ์ยามที่ดีสำหรับพวกเขา แต่ในตอนนั้น คนที่ตื่นคนแรกก็คือลุงคง ซึ่งเขาตื่นมาก็ไปปลุกคนอื่นเพื่อขอเหล้ากินในทันที
“ขอเมรัยให้ข้าเถิด ข้าอยากดื่ม ให้ข้าเถิด!!”
“โอ้ย ตาลุงนั่น ตื่นเช้าอะไรขนาดนั้นวะ ยังจะมาขอดื่มแต่เช้าอีก??” คาวีถามอย่างสงสัย
“ดูเหมือนว่ามนต์ของเจ้าจะไม่ค่อยได้ผลแล้วหล่ะ” เทเรซ่าพูดกับอนาเลีย จากนั้นก็เดินไปทางอื่นในทันที
“โห แข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย??” อนาเลียพูดพลางเกาหัวแกร่กๆ และในตอนนั้นเอง มาเรียน่าและคนอื่นๆที่ไปที่โรงตีเหล็กก็กลับมาหาคนอื่นๆที่กำลังรออยู่แล้ว ในตอนนั้นมาเรียน่าก็มาแจกจ่ายลูกปืนและลูกธนูให้กับคนอื่นๆในทันที
“นี่ ได้ลูกปืนมาแล้ว นั่งทำกันทั้งคืนเลย ได้มาเป็นพันๆนัดเลย” มาเรียน่าพูดขึ้น จากนั้นคนที่ใช้ปืนก็รีบมาแบ่งระสุนและแจกจ่ายให้กันในทันที ส่วนคนที่ใช้ลูกศรและลูกดอกก็เอาไปใช้บางส่วนด้วย ในตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว
“นี่ก็เช้าแล้ว แต่ทำไมเหมือนข้าไม่รู้สึกหิวเลย??” มายะถามอย่างสงสัย
“พวกเราทุกคนอิ่มทิพย์ ฝีมือเจ้ากุมารน้อยนั่นยังไงหล่ะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น
“เอาหล่ะ เพลานี้พวกเราต้องเดินทางไปพิษณุโลกกันก่อน เพื่อเสาะหาเบาะแสเพิ่มเติมหน่ะ” นรสิงห์พูดขึ้น
“แต่กว่าจะถึงพิษณุโลก ต้องผ่านหลายเมืองอีก คงใช้เพลานานเป็นแรมเดือนแน่ๆ” วารีพูดขึ้น
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เราเดินทางเร็วกว่าปกติ คงใช้เพลาไม่กี่วันดอก” ธิดาพูดขึ้น
“ดูราวกับสรวงสวรรค์จะเป็นใจให้กับเรานะ” เอื้องเหนือพูดขึ้น
“สวรรค์เป็นใจเหรอ ถ้าสวรรค์มีจริง ทำไมไม่ยกทัพมาปราบพวกมันหล่ะ??” วาทินถามอย่างสงสัย
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก สวรรค์ไม่ทอดทิ้งเจ้าหรอก” หลี่เจาพูดขึ้น
“ก็หวังไว้แบบนั้น ถ้าพวกเราไม่ตายก่อน” ชิงเสียนพูดขึ้น
“ข้าเชื่อว่าพระเจ้าอยู่กับเรา หากเราไม่ท้อไปซะก่อน” แม็กซิมพูดขึ้น
“เอาเถอะๆ ว่าแต่ เราจะเดินหน้าต่อ แล้วจุดหมายของเราจะสิ้นสุดที่ใดหล่ะ??” ไวโอเล็ตถามไป
“นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน พอบอกข้าได้หรือเปล่า??” ฉางหลงถามอย่างสงสัย
“บอกตรงๆ พวกเราในที่นี้มิมีผู้ใดรู้หรอก” อิริยะพูดขึ้น
“แต่ถึงยังไง พวกเราก็เอาชนะมันได้ ถ้าพวกเราไม่หมดกำลังใจซะก่อนนี่!!” อเล็กซพูดอย่างมั่นใจ
“ข้าเห็นด้วย ข้าจักไม่ยอมให้กับตายของท่านแม่ทัพ กับพี่น้องทหารของข้า ต้องเสียเปล่าดอก” อองโม่โยพูดขึ้น
“ก็นะ ต่อไปเราอาจต้องเจอกับพวกจอมมารแน่ๆ” ออเรเลียพูดขึ้น
“ข้าอยากจะเห็น ว่าจอมมารในแถบนี้จะเป็นอย่างไร ไม่รู้จะน่ากลัวแค่ไหน” โชถามในขณะที่ยืนดูดาบของเขา
“มันไม่น่ากลัวเช่นนั้นดอกท่าน ถ้าท่านปลุกใจพวกท่านให้สู้” เวียงพิงค์พูดขึ้น
“พี่อินทร์ พี่ว่าไอ้ปีศาจหมื่นปีนี่มันมีพลังกล้าแกร่งเช่นใดกัน??” นาราถามทองอินทร์ไป
“ถ้าจากที่กุมารพูด ข้าว่า มันต้องแข็งแกร่งมากถึงต่อกรกับพระอิศวรได้” ทองอินทร์พูดขึ้น
“ปีศาจที่บำเพ็ญตบะมานานหมื่นปี ถือเป็นยอดปีศาจ ยิ่งถ้าได้เซ่นเลือดผู้ที่มีจิตใจชั่วช้า จะยิ่งกล้าแกร่งเป็นทวี!!” กุมารเทพพูดขึ้น
“ว่าแต่ แล้วตอนนี้ กองทัพสวรรค์ของพวกเจ้ากำลังทำกระไรอยู่เล่า??” ทูตเบลล์ถามไป
“ตอนนี้พวกเขากำลังระดมพลปกป้องกำแพงสวรรค์อยู่หน่ะ” กุมารเทพพูดขึ้น
“หวังว่าสวรรค์ของพระองค์ท่านจะยังคงอยู่” รีปเปอร์พูดขึ้นจากนั้นก็จูบกางเขนของเขา
“ไม่ยุติธรรมเลย สุดท้ายก็หดหัวอยู่แต่ในกระดองของพวกเขา!!” เมรีพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ที่ท่านกุมารพูดก็ถูกนะ ถ้าหากสวรรค์ถูกพวกมันโจมตีจนแตก ทุกอย่างก็จบสิ้น นี่ก็ใกล้ฤกษ์แล้ว!!” สมบาติพูดขึ้น ในขณะที่เขาก็ยังเขียนกระดานชนวนของเขา
“เอาหล่ะ อย่าเสียเวลาเลย ได้เวลาออกเดินทางแล้วหล่ะ ปืนของฉันพร้อมแล้ว!!” มาร์คัสพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบเก็บสัมภาระกันอย่างรวดเร็ว เพราะนี้ก็ใกล้เวลาเข้าสู่ฤกษ์ยามตามที่สมบาติได้ทำนายเอาไว้แล้ว พวกเขารีบเดินเท้ากันออกจากประตูกรุงอโยธยาในทันที เพื่อเดินทางไปยังเมืองพระพิษณุโลกสองแคว
==============================================================
การเดินทางของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย!!
ความคิดเห็น