NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Life Before The World End - ก่อนโลกบรรลัยขอใส่ไม่ยั้ง [ปิดรับสมัครตัวละคร]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1 : การรวมตัวของเพื่อนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 67


    “อืม..”

    ในเช้าวันต่อมา ตัวของจินตื่นขึ้นมา และสำรวจตัวเองว่าเราตายไปหรือยัง และไม่นานนัก เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเขา

    “ก๊อกๆๆๆ” 

    จินงัวเงียลุกขึ้นมาจากเตียง พร้อมกันนั้นก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักและเอาปืนลูกโม่ของเขาออกมา จากนั้นก็ค่อยๆเปิดประตูออกมา

    “เฮ้ นึกว่าจะหลับยาวแล้วซะอีก” 

    “อ้อ เธอเหรอ นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย??” จินถามไป จนสการ์เล็ตต้องตบหน้าเขาไปหนึ่งที ทำเอาจินถึงกับตื่น

    “ไง ตายยังหล่ะ รีบไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวเพื่อนฉันจะมารับแล้ว” พูดขึ้น จินพยักหน้าแล้วปิดประตู ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในห้องน้ำ ทำธุระอะไรไปจนเสร็จ จากนั้นเขาก็แต่งตัวและออกมาข้างนอก ซึ่งตัวของสการ์เล็ตก็เอานมในตู้เย็นของจินออกมาเตรียมไว้ด้วย และเมื่อจินออกมาไม่ได้

    “ปริ๊นๆ!!” เสียงแตรรถคันหนึ่งดังมาจากหน้าบ้านของจิน จินเองรีบเอากุญแจไปเปิดประตูบ้านในทันที และเมื่อเขาเปิดประตูออกมา เขาก็พบกับรถ SUV 7 ที่นั่ง 2 คันมาจอดรอเขาที่หน้าบ้าน ซึ่งตัวของสการ์เล็ตก็มารอด้วย และไม่นานนัก คนบนรถ SUV ก็ลงมาจากรถในทันที

    “เฮ้ พวกนาย!!” สการ์เล็ตรีบทักทายกับคนที่ลงมาจากรถในทันที

    “ไง สการ์เล็ตแม่สาวน้อย บ้านใหม่เธอเหรอ??” สาวใหญ่ผิวสีร่างใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น ท่ามกลางคนอื่นๆที่ทยอยลงมาจากรถ หนึ่งในนั้นคือชายชุดแจ๊กเก็ตดำที่มีรอยแผลเป็นที่แก้มซ้าย ชายคนนั้นเห็นหน้าจินแล้วเอามือขวาทุบที่หัวใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะชี้สองนิ้วใส่จิน ตัวของจินเองแปลกใจเล็กน้อย

    “เฮ้ หมอนั่นชอบนายมากเลยนะ ที่นายช่วยลุงเลปเขาไว้หน่ะ” สการ์เล็ตอธิบายจิน ตัวของจินเองก็ยิ้มแหยะๆตอบกลับไป

    “เฮ้ ไหนหล่ะปืนของนาย??” หญิงสาวผมขาวยาวเกือบประบ่าคนหนึ่งหันมามาถามจิน ตอนนั้นตัวของจินก็หยิบเอาปืนลูกโม่ที่เขาพกไว้ออกมาให้กับหญิงสาวคนนั้นได้ดู

    “แค่เนี้ย??” หญิงสาวคนนั้นถามกลับไป จากนั้นเธอก็หยิบเอากระเป๋ายาวอะไรบางอย่างที่เธอสะพายมาด้วยออกมา จากนั้น เธอก็เปิดมันให้จินดู ด้านในมันมีปืนไรเฟิลจู่โจม G36C อยู่ในกระเป๋า ทำเอาจินแอบตกใจเล็กน้อย

    “เฮ้ย นี่จะมาเปิดสงครามที่ไหนเนี่ย??” จินพูดขึ้นมา

    “เอาน่า มันมีหลายคนที่จะออกมาป่วนก่อนโลกแตก ต้องมีของช่วยให้อุ่นใจหน่ะ” สการ์เล็ตตอบไป

    “เออ แล้วจะให้หมอนี่นั่งตรงไหนหล่ะ สการ์เล็ต??” 

    “ให้นั่งกับฉันข้างหลังก็ได้นี่” สการ์เล็ตตอบ

    “หิวชะมัดเลยค้าบพี่ๆ!!” ชายหนุ่มชุดฮู้ดสีเทาสวมหูฟังห้อยคอใบใหญ่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

    “เอาน่า มีร้านตามสั่งข้างหน้าเดี๋ยวค่อยไปนั่งกิน” 

    “แถวนี้ไม่มีใครอยู่เหรอ??” วัยรุ่นสวมชุดแจ๊กเก็ตหนังสีขาวดำหันไปถามจิน

    “ก็ สงสัยช่วงนี้คนออกไปเที่ยวกันหมดหน่ะ” จินตอบกลับ

    “ก็นะ เดี๋ยวก็ออกไปแย่งกันกินแย่งกันใช้” สาวผมบลอนด้เสื้อเชิ้ตลายสก็อตพูดขึ้น

    “แล้วนี่ เราจะไปนอนโรงแรมเดิมที่เราคุยกันหรือเปล่าคะ??” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้น

    “ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นเด็กๆ” หญิงสาวผิวคล้ำร่างใหญ่คนเดิมตอบกลับ

    “โอเค เราเข้าไปคุยกันในบ้านก่อนดีกว่า” สการ์เล็ตพูดขึ้น

    “อ่า งั้นเข้ามาก่อนเลย” จินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เปิดประตูบ้านให้กับทุกคนได้เข้าไป แม้ว่าโซฟาในบ้านจะมีไม่พอสำหรับทุกคน แต่งบางคนก็นั่งลงกับพื้นไป ส่วนตัวของจินก็เดินไปเอาเก้าอี้ในห้องทานอาหารมาเสริมด้วย จนเก้าอี้พอจะนั่งสำหรับทุกคน

    “เอาหล่ะจิน พวกนี้เป็นพรรคพวกฉันในกลุ่มลับหน่ะ เรามีกลุ่มแยกของเรา แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน มาเจอกันบ้างนิดหน่อย ฉันเริ่มแนะนำก่อนเลยนะ คนแรกเหมือนผู้นำกลายๆเลย ชื่อครูปริศนา เรียกครูหนาก็ได้ เคยเป็นครูมาก่อนหน่ะ” สการ์เล็ตแนะนำเธอให้จินได้รู้จัก

    “หล่อกว่าในรูปอีกนะเนี่ยเรา” ครูหนาบอกกับจิน

    “ฉันชื่ออิชมาเอล ฉันเป็นทหารรับจ้าง มาพักผ่อนเมืองไทยหน่ะ ส่วนหมอนั่นก็ เรียกว่าซิกส์แล้วกัน หมอนี่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ อย่าถือสาหมอนั่นเลย หมอนั่นเจออะไรมาหนักหน่ะ” หญิงสาวผมขาวพูดขึ้น และชายใส่ชุดแจ๊คเก็ตตดำที่เคยยกนิ้วให้จินก็ยกมือทักทายเขา

    “เจ้านั่นชื่อโอ้ จอมกวนประสาท แต่มันเก่งคอมมากเลยนะ” สการ์เล็ตชี้ตัวชายหนุ่มชุดฮู้ดเทาให้กับจินได้รู้จัก

    “แหม่ๆๆๆ นิดๆหน่อยเองคร้าบ เนอะ” นายโอ้พูดขึ้นและมองหน้าไปที่นายซิกส์ แต่เหมือนว่าซิกส์จะไม่เล่นด้วย โอ้เลยหน้าจ๋อยไป

    “ส่วนหมอนี่ชื่อมายด์ มันเป็นเด็กส่งของส่งข่าวประจำกลุ่มหน่ะ” สการ์เล็ตแนะนำชายเสื้อแจ็คเก็ตหนังขาวดำ

    “หวัดดีพี่ชาย!!” มายด์กล่าวทักทายจิน

    “ส่วนแม่นี่ ชื่อจันทร์ เอ้ย ชิดจันทร์หน่ะ” สการ์เล็ตแนะนำต่อ

    “แหม่พี่ ชอบแซวน้องนะ แต่น้องไม่โกรธ!!” ชิดจันทร์คนนั้นตอบสการ์เล็ตพลางส่งจูบตอบกลับด้วย

    “เฮ้อ นั่นไอรีน เธอเป็นอดีตนักแม่นปืนทีมชาติหน่ะ” สการ์เล็ตชี้ไปยังหญิงสาวเสื้อลายสก็อตคนนั้น

    “อ้อ คุณไอรีน ศัสตรากุลเหรอ ผมเคยได้ยินชื่อคุณนะ??” จินถามเธอไป

    “อืม ขอบใจนะที่ยังจำฉันได้” ไอรีนตอบ 

    “ส่วนนั่น ลุงบุญช่วย แกเคยเป็นยาม แต่โดนนายจ้างใส่ร้าย เลยออกมา อิชมาเอลช่วยลุงแกมาชกมวยใต้ดิน แกเคยเป็นนักมวยหน่ะ” สการ์เล็ตพูดต่อ

    “สวัสดีพ่อหนุ่ม” ลุงบุญช่วยตอบ

    “ส่วนคนสุดท้าย เคนตะ ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น หมอนี่ต่อสู้เก่งมากๆ” สการ์เล็ตแนะนำตัวสมาชิกคนสุดท้าย

    “หวัดดีพวก” เคนตะทักทายจิน

    “โอเค ผมขอทำความเข้าใจก่อนนะ อย่างแรก เรื่องกลุ่มลับ พอจะมีใครอธิบายผมได้หรือเปล่า??” จินยิงคำถามขึ้นมา หลังจากที่ทุกคนแนะนำตัวกันหมดแล้ว 

    “อืม จะว่ายังไงดีหล่ะ ครูหนา ครูเป็นสมาชิกในกลุ่มนี้มานานกว่าพวกเรา ครูพอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าคะ??” สการ์เล็ตถามไป

    “ฉันเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก รู้แค่ว่ามันทำนายเหตุการณ์ต่างๆได้แม่นยำ แค่นั้นหล่ะ” ครูหนาตอบ

    “เอาน่าพี่ชาย ก็ใช้ชีวิตให้สนุกไปเฉยๆสิพี่!!” มายด์พูดขึ้น

    “นี่ๆๆ อย่าเหมารวมว่าฉันจะเชื่อไปด้วยนะ” ชิดจันทร์ตอบ

    “แต่เอาจริงๆ ฉันว่าตอนนี้โลกมันก็เหมือนจะแตกไปแล้วหล่ะ” โอ้พูดต่อ

    “เออ แล้วพวกคุณไม่คิดบ้างเหรอ ว่ามันอาจจะมีคนปั่น เพื่อให้เรื่องนี้เกิดขึ้นก็ได้??” จินตั้งสมมติฐานขึ้นมา

    “มันก็เป็นไปได้ แต่สมาชิกในกลุ่มที่เชื่อก็มีมาก แถมบางส่วนก็มีกองกำลัง มีอิทธิพลของตัวเองด้วย” อิชมาเอลพูดต่อ

    “เอาเป็นว่า ตอนนี้ไม่มีใครหยุดพวกนั้นได้แล้วหล่ะ” สการ์เล็ตพูดต่อ ในขณะที่ซิกส์เองก็ดูเหมือนจะโนสนโนแคร์

    “ตอนนี้ เท่าที่เปิดเผยในกลุ่มลับของกลุ่ม มีกองกำลังติดอาวุธที่พร้อมจะก่อการเป็นสิบๆกลุ่มหล่ะ” ไอรีนพูดขึ้น

    “ฆ่าพวกแม่งให้หมด” ซิกส์พูดขึ้นมาสั้นๆ 

    “เอ็งได้ฆ่าแน่ไอ้หนุ่ม แน่เราต้องไม่ตายก่อน” ลุงบุญช่วยพูดต่อ

    “อีกไม่นานไอ้พวกเวรนี่จะออกมาซ่าส์แน่ๆ ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้” เคนตะพูดเสริม

    “โอเค จะเอางั้นก็ได้ ว่าแต่ พวกเรา เอ้ย พวกนายจะทำอะไรกันต่อหล่ะ หรือจะแค่เร่ร่อนไปเรื่อย??” จินถามทุกคนไป

    “เอาไว้ค่อยมาดูกันหน้างานแล้วกัน แต่ฉันว่า อีกไม่นานก็คงจะเริ่มวุ่นวายกันแล้วหล่ะ สมาชิกกลุ่มลับในไทยมีเป็นแสนคนเลย” สการ์เล็ตพูดต่อ

    “อืม แล้วเธอหล่ะ ทั้งบ้านมีแค่ปืนลูกโม่เหรอ??” ครูหนาถามจิน

    “ก็มีแค่นี้หล่ะครับ” จินตอบ

    “เฮ้ เอา MP5 เหลือกระบอกนึงของเราไปใช้ก็ได้นะ” อิชมาเอลพูดขึ้น

    “โห อะไรกัน ต้องให้ปืนเขาด้วยเหรอคะ??” ชิดจันทร์ถามแบบเซงๆ

    “เอาน่า ยังไงจินเขาก็จะไปกับพวกเราแล้วนี่” ไอรีนตอบ

    “ผมต้องยกโน้ตบุ๊คไปทำงานด้วยหน่ะสิ” จินพูดขึ้น

    “โธ่พี่ ไม่ต้องห่วงงานแล้วหล่ะ” โอ้พูดขึ้น

    “อ้าว หรือนายจะเลี้ยงพี่เขาหล่ะ??” มายด์ถามกลับไป

    “ได้ยินว่าตึกที่นายทำงานโดนระเบิด เสียใจด้วยนะ” ลุงบุญช่วยพูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไปเอาคอมผมมาก่อนนะ” จินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินกลับขึ้นไปที่ชั้น 2 เขาหยิบเอากระเป๋าโน้ตบุ๊คออกมา เอาโน้ตบุ๊คใส่กระเป๋า จากนั้นตัวของเขาก็เอากระเป๋าที่เขาเก็บไว้แล้วลงมาข้างล่างในทันที

    “โอเค มาหล่ะ” จินพูดขึ้น

    “จิน นายมีเงินเท่าไหร่??” สการ์เล็ตถามจิน

    “ทั้งหมดก็ 8 หมื่น เงินเก็บทั้งชีวิตเลย” จินตอบ

    “เอาน่า ยังไงเดี๋ยวก็ไม่ได้ใช้อีกแล้ว” สการ์เล็ตตอบ จินถอนหายใจเล็กน้อย 

    “โอเค งั้นไปกันดีกว่า นายจะนั่งไหนหล่ะ??” อิชมาเอลถามจินไป

    “ให้หมอนี่นั่งกับฉันก็ได้” สการ์เล็ตตอบ

    “งื้อ พี่สการ์เล็ตอ่ะ!!” ชิดจันทร์พูดและงอนราวกับเด็ก

    “เอาน่า เราก็นั่งกับสการ์เล็ตอยู่แล้วนี่” ไอรีนพูดปราม

    “ชักจะหิวแล้วสิ” ซิกส์พูดขึ้น

    “เออ ฉันก็หิวเหมือนกันพวก” มายด์พูดกับซิกส์

    “จะว่าไป ร้านข้าวแถวบ้านพี่เปิดยังอ่ะ??” โอ้ถามจินไป

    “อ้อ เปิดแล้วหล่ะ ร้านนั้นอร่อยมาก ฉันไปฝากท้องทุกวัน” จินตอบ

    “อืม ถ้าอย่างงั้นเราไปหาอะไรกันกันก่อนก็ได้” ครูหนาพูดขึ้น

    “นั่นสิ ลุง ตรงนั้นมีที่จอดรถหรือเปล่า??” เคนตะถามลุงบุญช่วยไป

    “อืม พอจะหาได้อยู่” ลุงบุญช่วยตอบ

    “อืม ถ้าอย่างงั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่า” สการ์เล็ตพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก ทุกคนก็รีบพากันออกจากบ้านไปก่อน ส่วนตัวของจินก็ถอนหายใจเล็กน้อย 

    “เฮ้อ พ่อครับ แม่ครับ ถ้ามีโอกาสจะกลับมานะครับ” จินพูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะลากเอากระเป๋าเดินทางของเขาไปเก็บไว้ที่รถ SUV คันหนึ่ง ที่เขาจะต้องนั่งกับสการ์เล็ต แต่ยังไม่ทันที่เขาจะขึ้นรถ ชิดจันทร์ก็มายืนตรงหน้าเขา จากนั้นก็ชี้หน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

    “นี่ อย่าคิดจะอะไรกับพี่สการ์เล็ตเลยนะ” ชิดจันทร์พูดขึ้น จินเองได้แต่ถอนหายใจและพยักหน้าตอบ จากนั้นไม่นานนัก จินก็เดินไปล็อคประตูบ้านในทันที หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตัวของจินก็ขึ้นไปที่ด้านหลังสุดของรถ SUV ซึ่งสการ์เล็ตกำลังรออยู่แล้ว จินรีบขึ้นไปทันที จากนั้นไม่นานนัก รถก็ขับออกไปจากหน้าบ้านของจิน

     

    ต่อมาไม่นาน กลุ่มของจินก็เข้ามาอยู่ในร้านอาหารตามสั่งที่เคนนี่มานั่งกินประจำ ตอนนี้อาหารมาวางไว้ที่หน้าของพวกเขา พวกเขานั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

    “อืม ร้านนี้อร่อยจริงๆแหะ” สการ์เล็ตพูดขึ้น

    “ใช่มั้ยหล่ะ ฉันมาร้านนี้บ่อยมาก” จินตอบ

    “อยากได้อะไรเพิ่มมั้ย??” แม่ค้าของร้านถามจินไป

    “อ้อ ไม่แล้วครับ ขอบคุณครับ” จินตอบกลับไป

    “ดูนายจะสนิทกับเจ้าของร้านนี้นะ” สการ์เล็ตบอกกับจิน

    “ก็นิดหน่อยหน่ะ กินมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นหล่ะ” จินตอบ

    “ถ้าไปที่นั่นจะกินอาหารทะเลให้ฉ่ำเลย” โอ้พูดขึ้น

    “เออ ฉันจะแย่งนายกินด้วย” มายด์ตอบกลับ

    “เฮ้ เป็นยังไงบ้าง พอกินได้นะ??” อิชมาเอลเห็นซิกส์ที่กินค่อนข้างช้าเลยถามไป แต่ซิกส์ก็พยักหน้าตอบ

    “วันนี้รถติดนรกแน่ๆ” ลุงบุญช่วยพูดขึ้น

    “ก็เป็นไปได้ แต่ถึงยังไงเราก็หยุดยาวนะ” ครูหนาพูดต่อ

    “เฮ้อ เกลียดรถติดที่สุดเลย” ชิดจันทร์พูดขึ้น

    “เกลียดยังไงแต่ก็ต้องเจออ่ะนะ” ไอรีนตอบชิดจันทร์

    “ความจริงน่าจะทำทางเพิ่มนะ” เคนตะพูดต่อ

    “แต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้วอ่ะนะ” สการ์เล็ตพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนัก ทุกคนก็กินกันเสร็จจนได้ จินเองก็เรียกให้แม่ค้ามาเก็บเงินในทันที และทุกคนก็จ่ายเงินกันไป

    “โอเคจ้ะ จิน ยังไงๆช่วงนี้ก็ระวังนะ เมื่อวานได้ยินมาว่าตึกในกรุงเทพระเบิดด้วย” แม่ค้าพูดขึ้นกับจินหลังจากที่รับเงินเสร็จ นั่นทำเอาจินถึงกับนิ่งไปเลย

    “เฮ้ โอเคนะ??” สการ์เล็ตหันไปถามจิน

    “อ้อ ฉันโอเค ไม่เป็นไรหรอก” จินตอบ

    “เอาหล่ะเด็กๆ เราไปกันดีกว่า ไม่อย่างงั้นกว่าจะไปถึงพัทยาก็เย็นแน่ๆ” ครูหนาพูดขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วกลับไปที่รถในทันที ส่วนตัวของจินก็นั่งที่เดิมของเขา และเมื่อรถขับออกไป ตัวของจินก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็เปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลาย

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งในเมือง ในวันเสาร์ ซึ่งผู้คนก็ออกมาเดินข้างนอกเพื่อใช้ชีวิตกันตามปกติ รถราก็วิ่งกันขวักไขว่ เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างบางสวมแว่นคนหนึ่ง เธอกำลังเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ ตามปกติ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่นั้น ตาของเธอก็เหลือบไปเจอกับแม่ลูกขอทานคู่หนึ่ง ซึ่งตัวของลูกสาวตัวเล็กกำลังนอนบนตักแม่อย่างน่าเวทนา 

    “ช่วยด้วยค่ะ ลูกฉันป่วยค่ะ” หญิงผู้เป็นแม่พยายามพูดขอร้องคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่แทบไม่ค่อยจะมีใครสนใจ แต่หญิงสาวคนนั้นก็เดินเข้าไปคุยกับผู้เป็นแม่คนนั้น

    “ลูกคุณเป็นอะไรคะ??”

    “ลูกฉันตัวร้อนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ” หญิงผู้เป็นแม่คนนั้นตอบ ตัวของเธอไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดกระเป๋าของเธอออกมา ซึ่งด้านในมีอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมาย เธอรีบใช้มันเพื่อตรวจอาการของเด็กที่กำลังนอนป่วย เธอใช้เวลาตรวจไม่นาน เธอก็พูดขึ้น

    “เป็นไข้ธรรมดาเฉยๆค่ะป้า ให้ลูกกินยานี่นะคะ” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น ก่อนที่เธอจะหยิบยาพาราแพงหนึ่งให้กับแม่ของเด็ก

    “กินหลังอาหารนะคะ” หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ

    “ขอบคุณมากนะคะหมอ” ผู้เป็นแม่คนนั้นพูดขึ้นด้วยความรู้สึกขอบคุณหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างมาก 

    “ฉันเป็นแค่พยาบาลค่ะ ฉันชื่อมุก ยังไงก็อย่าให้ลูกโดนแดดมากไปนะคะ” คุณพยาบาลมุกตอบกลับแม่คนนั้น

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งของกรุงเทพ ซึ่งรถราขับกันให้วุ่นตามปกติ เช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ซึ่งขี่ฝ่ารถตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยอย่างช่ำชอง ราวกับว่าเขานั้นเป็นเซียนรถมอเตอร์ไซค์ กระเป๋าที่คิดไว้ด้านหลังพร้อมตราสัญลักษณ์บริษัทขนส่งอาหารชื่อดัง รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นขับมาจอดที่หน้าร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็มีหญิงสาวพนักงานร้านสะดวกซื้อกำลังยืนรออยู่ และเธอก็เดินเข้าไปหาไรเดอร์คนนั้น

    “มาสายไป 1 นาทีนะ โฮป”  

    “สายที่ไหนหล่ะดีดี้ แกล้งฉันอีกหล่ะ” ไรเดอร์ที่ชื่อโฮปคนนั้นตอบ ก่อนที่เขาจะเอาอาหารที่อยู่ด้านหลังรถเอาให้กับพนักงานร้านสะดวกซื้อคนนั้นในทันที

    “เอานี่ ได้หล่ะ”

    “อืม ขอบใจ แล้วนี่ น้องเทียนนายสบายดีนะ??”

    “อ้อ ก็ดีหน่ะ” โฮปตอบ

    “เฮ้ นายไม่น่าลาออกจากมหาลัยเลย ถามจริง นายเชื่อที่เจ้าเอ็ดพูดด้วยเหรอ??” ดีดี้คนนั้นถามโฮม

    “คนอย่างเอ็ดมันเป็นได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่คนโกหก ฉันรู้จักหมอนั่นดี” โฮมตอบ 

    “เอาเถอะ แบบนี้พ่อแม่นายไม่ด่าตายเลยเหรอ??”

    “เฮ้อ ถึงจะด่าแต่ก็ยังไงได้หล่ะ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะจบแล้ว ฉันขอทำอะไรที่อยากทำแล้วกัน” โฮมตอบ

    “อืมๆ หวังว่านายจะไม่จบแบบเจ้าเอ็ดแล้วกัน”

    “ไม่หรอก ฉันรับรอง” โฮมตอบ ก่อนที่ตัวของเขาจะกลับไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ของเขา จากนั้นก็เร่งเครื่องออกไปในทันที

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในพัทยา ซอยเล็กๆซอยหนึ่ง

    “ตุ๊บ!!”

    ชายใส่ชุดแจ๊กเก็ตดำคนหนึ่งต่อยหน้าวัยรุ่นในพื้นที่จนกระเด็นไป ในขณะที่วัยรุ่นอีกหลายคนตอนนี้กำลังนอนกองอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด

    “ไอ้ระยำเอ้ย!!” วัยรุ่นคนหนึ่งตะโกนออกมา และจะต่อยชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็รับหมัดของวัยรุ่นคนนั้นไว้ได้

    “ปล่อยกู!!”

    “ไม่ปล่อยเว้ย” ชายคนนั้นตอบ ก่อนที่จะซัดหน้าวัยรุ่นคนนั้นจนกระเด็นออกไป

    “ตุ๊บ!!”

    “ไม่มีใครได้เรื่องเลยซักตัวเลยไงวะ??” ชายคนนั้นสบถออกมา และในขณะเดียวกัน วัยรุ่นคนหนึ่งก็เพิ่งจะได้สติ และชักเอามีดพกของมันออกมา จากนั้นก็วิ่งเข้าใส่ชายคนนั้น

    “ย้าก!!”

    “หมับ!!”

    “ทำได้แค่นี้เองเหรอวะ นี่ฉันกำลังอยากตายอยู่นะเนี่ย ฟังฉันให้ดีนะ ฉัน ชิริว ปีศาจแห่งฟุกุโอกะ ถ้าแกอยากท้าทายฉัน ไปฝึกฝนมาซะใหม่” ชิริวคนนั้นพูดจบก็ต่อยเข้าที่ลำคอของวัยรุ่นคนนั้นอย่างแรง

     

    ณ คาเฟ่ร้านหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งในวันเสาร์นี้ก็มีผู้คนมากมายพากันเข้ามาใช้บริการ เช่นเดียวกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเธอได้เดินเข้ามาในร้าน ด้วยสีหน้าที่บอกบุญไม่รับเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม ซึ่งบาริสต้ากำลังยืนรอต้อนรับอยู่

    “สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ??” 

    “ขออเมริกาโน่เข้มๆเลยค่ะ” หญิงสาวคนนั้นตอบ ก่อนที่ไม่นานนัก โทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้น เธอหยิบมันแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เธอก็รับสาย

    “ฮัลโหล??”

    “พี่น้ำฝนคะ มาถึงยังคะ??” เสียงของหญิงสาวอีกคนถามเธอ

    “กำลังซื้อกาแฟอยู่หน่ะ อีก 10 นาทีฉันจะไปถึง ไม่ต้องห่วง รายการจะเริ่มอีก 30 นาที ยังไงก็ทัน ว่าแต่เช็ททุกอย่างไว้หรือยัง??” น้ำฝนถามกลับอย่างยาวเหยียด

    “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

    “ดี แล้วเดี๋ยวฉันไป” น้ำฝนตอบ

    “เออ พี่ฝนคะ พี่จะลาออกจริงๆเหรอคะ??”

    “แนะ พี่บอกแล้วใช่หรือเปล่า เอาไว้ไปคุยกันที่กองแล้วกัน” น้ำฝนพูดจบก็วางสายไป และไม่นานนักกาแฟของเธอก็มาพอดี น้ำฝนรีบควักเงินจ่ายให้พนักงานไป

     

    ณ พัทยา จังหวัดท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองไทย และเมื่อมันเป็นวันเสาร์ติดกับหยุดยาว แน่นอนว่ารถที่จะเข้ามาพัทยาก็ต้องติดตามระเบียบ และที่ชานเมืองพัทยา ที่ตึกสำนักงานหลังหนึ่ง ซึ่งดูภายนอกเหมือนตึกสำนักงานทั่วไป แต่ในวันนี้ หญิงสาวในชุดสูทสีเขียวก็เดินเข้ามาในสำนักงาน โดยที่มีพนักงานคนไทยกำลังรอต้อนรับอยู่

    “คุณอดาเลน ไม่คิดเลยว่าจะมาเอง” พนักงานต้อนรับกล่าวทักทายเธอ ในขณะที่ตัวของอดาเลนเองก็มองป้ายชื่อตึกสำนักงานของเธอด้วย

    “มูลนิธิ AFW (Asclepius For World)”

    “ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่ฉันไม่อยู่เนี่ย??” 

    “ก็ดีค่ะ วันนี้เราได้ยอดบริจาคจากไทยเพิ่มด้วย 2 ล้านบาทค่ะ” พนักงานตอบ

    “อืม เข้าใจ คนไทยใจดีอ่ะนะ แล้วนี่ มีใครที่เมืองไทยติดต่อฉันมาบ้างหรือเปล่า??” อดาเลนถามไป

    “เออ คือว่า คุณสมเกียรติ นักการเมืองท้องถิ่นเขาจะมาขอพบค่ะ”

    “อ้อ สมเกียรติงั้นเหรอ ถ้าอย่างงั้นนัดวันเวลกับเขามาเลย” อดาเลนตอบ 

    “เออ คือว่าคุณสมเกียรติ เขาอยากรู้เรื่อง ไอ้ ข่าวลือวันสิ้นโลกอะไรนี่ด้วยหน่ะค่ะ” พนักงานพูดกับอดาเลน

    “อ้อ งั้นเหรอ เอาไว้เจอกับเขาฉันจะพูดกับเขาเอง” อดาเลนพูดขึ้น ก่อนที่เธอจะเดินผ่านพนักงานและเข้าไปในออฟฟิศของเธอ

     

    ณ โบสถ์เก่งๆแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนของประเทศไทย โบสถ์แห่งนี้ถึงแม้ว่ามันจะเก่า แต่มันก็ยังถูกบำรุงซ่อมแซมอยู่เสมอ ด้านในโบสถ์เองก็มีบาทหลวงมากมายอยู่ในนั้น แต่บาทหลวงของที่นี่ ดูจะไม่เหมือนกับบาทหลวงของที่อื่น บาทหลวงของที่นี่สวมผ้าคลุมฮู้ดสีดำ รวมถึงมีผ้าปิดปากสีดำด้วย แถมบาทหลวงพวกนี้ก็ถืออาวุธกันครบมือด้วย และที่ด้านในโบสถ์ ห้องพักของหัวหน้าบาทหลวง บาทหลวงผมขาวสวมแว่นดำคนหนึ่งกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้อง ในขณะเดียวกัน

    “ก๊อกๆๆ!!” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น บาทหลวงแว่นดำคนนั้นเลิกสวดมนต์ และเดินมาเปิดประตูในทันที ซึ่งมีบาทหลวงถือปืน AK คนหนึ่งกำลังยืนรออยู่หน้าห้อง

    “ท่านคาลลาฮานขอรับ”

    “มีอะไรล่ะ??” คาลลาฮานถามกลับไป

    “ตอนนี้ท่านวลาเดียสกำลังรออยู่ในสายแล้วครับ”

    “อย่างงั้นเหรอ พาฉันไปที” คาลลาฮานตอบ

    บาทหลวงรีบพาตัวของคาลลาฮานลงไปที่ชั้นล่าง ผ่านกลุ่มบาทหลวงที่กำลังยืนถืออาวุธเดินลาดตระเวนไปมา บาทหลวงพาคาลลาฮานเข้ามาในห้องๆหนึ่ง ซึ่งมีจอโปรเจ็กเตอร์กำลังตั้งเอาไว้อยู่ รวมถึงเครื่องฉายและคอมพิวเตอร์ ซึ่งบาทหลวงคนหนึ่งกำลังนั่งทำคอมพิวเตอร์อยู่ก็กดอะไรบางอย่าง จากนั้นโปรเจ็กเตอร์ก็ปรากฎภาพของชายผมยาวคนหนึ่ง ซึ่งสวมผ้าคลุมดำ กำลังยืนอยู่หน้ากล้อง คาลลาฮานรีบก้มลงและทำความเคารพเขา

    “ท่านวลาเดียส”

    “คาลลาฮาน ตอนนี้เวลาของพวกเรามาถึงแล้ว”

    “เวลาของพวกเรา คืออะไรครับ??” คาลลาฮานถามไป

    “ตอนนี้ สถานการณ์ในดินแดนตะวันออกกลางของพวกมุสลิม พวกมันกำลังถูกกำจัดตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่พวกมันก็ยังคงดื้อด้านและต่อต้านเรา และพวกมัน กำลังจะใช้อาวุธของพวกปีศาจ เพื่อทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา” 

    “แต่ว่า ทางยุโรปเองก็กำลังจัดการสถานการณ์นี้อยู่นี่ครับ” คาลลาฮานพูดขึ้น

    “พวกนั้นอ่อนแอเกินไป พวกเราต้องจัดการกันเอง ตอนนี้เราส่งคนของเราไปจัดการแล้ว และในประเทศที่เจ้าอยู่เป็นยังไงบ้าง??” วลาเดียสถามไป

    “ตอนนี้เราเผยแผ่คำสอนของเราออกไปแล้ว แต่ข่าวลือเรื่องวันสิ้นโลกของพวกมัน ก็เริ่มจะแดงมากขึ้นทุกทีขอรับ” คาลลาฮานพูดต่อ

    “เฮ้อ ไม่จบไม่สิ้นเสียจริง เจ้าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง??” วลาเดียสถามไป

    “ตอนนี้คนของเราเริ่มแฝงตัวเข้าไปในกรุงเทพแล้ว เรากำลังสืบหาต้นตอของเรื่องนี้อยู่ขอรับ” คาลลาฮานตอบ

    “อืม ยังไงก็จัดการด้วยแล้วกัน แล้วฉันจะติดต่อมาเป็นระยะๆ”

    “รับทราบขอรับ” คาลลาฮานตอบ ก่อนที่สัญยาณภาพของทางวลาเดียสจะตัดไป ส่วนตัวของคาลลาฮานเองก็เดินกลับออกมาจากห้องนั้น

     

    ณ ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ ประเทศที่ตอนนี้กำลังเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่างฝ่ายต่อต้านและฝ่ายรัฐบาล แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมือนเดิมแล้ว

    “บรื้น!!”

    เสียงรถคันหนึ่งขับเข้ามาในเมือง โดยที่รอบข้างทั้งสองฝั่งถนน มีกองกำลังปริศนากำลังเดินลาดตระเวนกันอย่างแข็งขัน รถคันนั้นขับเข้าไปจอดที่ตึกของที่ทำการเมือง ซึ่งกองกำลังปริศนากลุ่มหนึ่งได้ตั้งกำลังรอเอาไว้แล้ว และเมื่อรถจอด ทหารติดอาวุธคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาเปิดประตูรถด้านหลัง และหญิงสาวคนหนึ่งในชุดทหารก็ลงจากรถมา ทหารคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปหาเธอ และทำความเคารพเธอ

    “ท่านคิวชู!!”

    “สถานการณ์เป็นยังไงบ้างหล่ะ ทหาร??” คิวชูคนนั้นถามทหารของเธอ

    “ตอนนี้เรากำลังตามไล่ล่ากองกำลังติดอาวุธที่เหลือ เรากำลังจะยึดพื้นที่ไปจนถึงสามเหลี่ยมทองคำแล้วครับ” 

    “ดี ตั้งกำลังเอาไว้ เผื่อว่ากองกำลังเมียนมาร์จะกลับมาตีคืน” คิวชูออกคำสั่ง

    “ว่าแต่ ทางดินแดนลาวกับไทยนี่ จะเอายังไงต่อครับ??” ทหารของคิวชูถามต่อ

    “อนุญาตให้จัดการทางลาวได้ แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งไปล้ำเส้นฝั่งไทย พวกนั้นกำลังเข้มแข็ง กับทางไทย เราต้องใช้แผนเดิม” คิวชูตอบ

    “รับทราบครับ แต่ถ้าทางนั้นจะบุกข้ามมาหล่ะครับ??”

    “ฉันอนุญาตให้พวกคุณปกป้องตัวเองได้” คิวชูตอบ ก่อนที่ไม่นานนัก ตัวของเธอก็เดินขึ้นไปที่ว่าการของเมืองในทันที ซึ่งด้านบนตอนนี้ มีซากศพทหารเมียนมาร์ที่เพิ่งตายนอนเกลื่อน พร้อมกับข้าราชการส่วนหนึ่งที่ถูกจับเป็นตัวประกัน

    “เก็บพวกเขาเอาไว้ก่อน แล้วก็จัดการศพด้วยหล่ะ” คิวชูออกคำสั่งกับลูกน้องของเธอ

     

    ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งบริเวณชานเมือง จังหวัดนนทบุรี ในบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอกำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง รวมถึงนั่งจิบไวน์อยู่บนโต๊ะห้องทำงานของเธอ ในระหว่างที่เธอกำลังอ่านเอกสาร ชายคนหนึ่งในชุดกาวน์แบบนักวิทยาศาสตร์ ก็เดินเข้ามาหาเธอ

    “คุณลี่หยางครับ”

    “อืม ดอกไม้ฝันล็อตใหม่เรียบร้อยยัง??” ลี่หยางถามไป

    “ครับผม อ่า แล้วผมมีอีกเรื่องที่จะแจ้งครับ”

    “อืม ว่าไงหล่ะ??” ลี่หยางถามไป

    “ตอนนี้กองกำลังของคุณคิวชูได้เข้ายึดพื้นที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ได้แล้วครับ”

    “อ้อ เร็วกว่าที่คิดแหะ” ลี่หยางพูดขึ้น

    “เออ แล้วเราจะบอกพวกเราที่ลาว จะเอายังไงต่อหล่ะครับ??” นักวิทยาศาสตร์ถามไป

    “ไม่ต้องห่วง เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน ติดต่อคิวชูด้วย ว่าฉันอยากคุยกับเธอหน่อย” ลี่หยางตอบ

    “แล้วเราจะไม่กลับไปที่มั่นก่อนเหรอครับ??”

    “ยังก่อน งานที่นี่ฉันยังไม่เสร็จเลย ถึงยังไงพวกทางการก็ไม่มายุ่งกับเราอยู่ดี ก็จ่ายไปตั้งเยอะแล้วนี่นะ จะให้มากกว่านี้ก็ได้” ลี่หยางตอบนักวิทยาศาสตร์คนนั้นไป

     

    ณ คฤหาสน์หรูแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพ เตียงคิงส์ไซส์ในห้องที่ประดับไปด้วยเครื่องตกแต่งมากมายดูหรูหรา ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายได้ตื่นขึ้นมาก่อน จากนั้นตัวของเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆที่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่ เพื่อไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งมีน้ำในกระติกเก็บความเย็นหรูหรา เขาหยิบมันมาเทใส่แก้ว จากนั้นก็ดื่มมันในทันที และไม่นานนัก หญิงที่นอนร่วมเตียงของเขาก็ตื่นตามเขามาด้วย

    “ตื่นแล้วเหรอคะที่รัก??”

    โรส ผมลืมไปเลย วันนี้ผมต้องไปเจอกับ สส. ติวัฒน์ที่โรงแรมหน่ะ” ชายคนนั้นตอบ

    “จริงด้วย ถ้าอย่างงั้นฉันจะไปเตรียมตัวนะคะ” โรสพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์เครื่องหนึ่งก็ดังขึ้น ชายคนนั้นรีบเดินไปที่โทรศัพท์ในทันที

    “ฮัลโหล??”

    “คุณไม้คะ รถพร้อมแล้วค่ะ” 

    “อ้อๆ รอเดี๋ยว” ไม้พูดจบก็วางสายไป จากนั้นไม่นานนัก ตัวของเขาก็เดินตามโรสเข้าไปในห้องน้ำด้วย ซึ่งตัวของเขาก็กำลังเจอโรสที่กำลังนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างอาบน้ำอยู่ 

    “มาอาบด้วยกันสิคะ”

    “เรามีเวลาแค่ 10 นาทีนะ” ไม้บอกกับภรรยาของเขา

    “เอาน่า แป๊ปเดียวเองค่ะ ฉันจะขัดตัวให้เองค่ะ” โรสตอบ รู้ตัวอีกที ไม้เองก็ไปอยู่ในอ่างพร้อมกับโรสแล้ว ซึ่งตัวของโรสเองก็คอยขัดถูตัวให้กับไม้ด้วย

    “ช่วงนี้กิจการของเรากำลังไปได้ดี อีกไม่นานโลกก็จะแตกแล้ว ฉันจะกุมอำนาจทุกอย่าง ก่อนที่มันจะไม่เหลืออะไร” ไม้พูดขึ้นมา

    “อืม คุณคิดว่าคำทำนายนั่นจะถูกเหรอคะ??” โรสถามสามีของเธอ

    “แน่นอน คุณก็รู้นี่ ว่ามันไม่มีเคยพลาดเลย” ไม้ตอบ

    “ค่ะ แล้วนี่ต้องบอกลูกเราหรือเปล่าคะ??” โรสถามไป

    “เฮ้อ ติดต่อเจ้าโซ่มันหน่อย แล้วก็ให้ไปดูเจ้าคอปเปอร์มันด้วย วันนี้มันจะไปพัทยากับเพื่อนมัน ไม่รู้ว่ามันจะก่อเรื่องอะไรอีก” ไม้ตอบ

    “เดี๋ยวฉันให้คนของฉันติดต่อเองค่ะ” โรสตอบ

    “งานนี้สำคัญ ของล็อตใหญ่กำลังจะมา เราต้องรีบจัดการ เพราะงานนี้เราจะได้เป็นร้อยล้านเลย” ไม้พูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะลุกขึ้นจากอ่างน้ำ

    “โอเค แค่นี้ก่อน เราต้องรีบกันแล้วหล่ะ” ไม้พูดขึ้น ส่วนตัวของโรสเองก็ลุกขึ้นตามด้วย

    “ล้างตัวอีกหน่อยดีกว่านะคะ” โรสพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เปิดฝักบัวในห้อง แล้วก็ล้างตัวของเธอ และสามีของเธอด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากห้องน้ำ และรีบแต่งตัวเพื่อไปพบกับแขกคนสำคัญ ตัวของไม้เลือกสูทตัวหนึ่งในตู้เสื้อผ้า 

    “เลือกตัวเก่งเลยนะคะ” โรสพูดกับไม้

    “เผื่อว่าต้องเจออะไรหน่ะ” ไม้ตอบ

    “คงไม่หรอกมั้งคะ คนของเราก็ออกจะเยอะ??” โรสถามไป

    “อีกไม่นาน คนที่รู้ถึงความลับวันสิ้นโลกจะออกมาปล่อยผีกันแน่นอน ยังไงเราก็ต้องระวังไว้ก่อน” ไม้ตอบ

    “เฮ้อ เข้าใจค่ะ” โรสตอบ หลังจากที่เธอแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอก็รีบเดินไปเลือกกระเป๋าหรูของเธอในทันที

     

    ณ สถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ สถานีย่านใจกลางเมืองหรู คนเข้าออกกันตามปกติ ในขณะเดียวกัน ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งในชุดแจ๊กเก็ตดำก็เดินออกมาจากสถานี โดยที่ลูกน้องของเขา ที่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเหมือนกัน กำลังยืนรออยู่ที่สถานี

    “ผู้กองครับ!!”

    “อืม ตอนนี้ฉันเคลียร์กับสารวัตรในนั้นเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทางกองปราบเป็นยังไงบ้าง??” ชายคนนั้นถามไป

    “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรครับ”

    “โอเค” ผู้กองคนนั้นตอบ และในขณะเดียวกัน โทรศัพท์ของผู้กองคนนั้นก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเดินไปโทรศัพท์ทางอื่น

    โซ่ อยู่หรือเปล่าลูก??” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งในสายพูดกับเขา

    “แม่ มีอะไรครับ??”

    “ช่วงนี้ลูกไปดูน้องที่พัทยาหน่อยได้มั้ยลูก??”

    “เจ้าคอปเปอร์งั้นเหรอ มันก่อเรื่องอะไรอีกครับแม่??”

    “เปล่าหรอก แค่ให้ไปดูก่อนหน่ะจ้ะ”

    “ถ้าว่างผมจะไปครับ” โซ่ตอบก่อนที่จะวางสายไป เขาส่ายหน้าอยู่ซักพัก จากนั้นก็จะเดินไปหาลูกน้องของเขา

    “เฮ้ เราจะไปพัทยากัน” ผู้กองโซ่พูดกับลูกน้องของเขา

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งจะเดินทางไปยังภาคตะวันออกของประเทศ รถรามากมายพากันติดแน่นขนัดเนื่องจากว่าเป็นวันหยุดยาว เช่นเดียวกับรถแต่งคันหนึ่ง ซึ่งวัยรุ่นชายคนหนึ่งกำลังนั่งบังคับพวงมาลัย ส่วนวัยรุ่นชายอีกคนกำลังนั่งสูบบุหรี่และพ่นออกมานอกรถอย่างสบายใจ

    “รถติดชิบหายเลย คอปเปอร์” คนขับรถพูดขึ้น

    “นั่นดิ เซงชิบหาย ว่าแต่ พวกเราที่ออกไปธนาคารเป็นยังไงกันบ้าง??” คอปเปอร์ถามไป

    “เดี๋ยวก็คงจะถึงเองหล่ะ”

    “เฮ้ย คอปเปอร์ จะให้พวกเราไปทำงั้นทำไมวะ พ่อแกก็มีเงินตั้งเยอะ??”

    “เฮ้ย แบบนั้นมันไม่สะใจฉันหว่ะ เสียดายที่แองจี้ไม่ได้มาด้วย เซงชิบหาย” คอปเปอร์พูดขึ้น

    “เอาน่าพี่ ที่พัทยามีให้เราล่าเยอะแยะ” ชายอีกคนในรถของคอปเปอร์พูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถ้ารถแม่งไม่ขับออกไป กูจะยิงพวกแม่งแล้วนะ” คอปเปอร์พูดขึ้น

    “ใจเย็น ไม่งั้นเราได้ติดยาวแน่ๆ” คนขับรถพูดขึ้น ในขณะที่รถบนถนนก็เคลื่อนตัวแทบไม่ได้เลย

    “เออ คอปเปอร์ ถ้าพวกนั้นโดนจับหล่ะ??” คนขับถามคอปเปอร์ไป

    “เอาน่าไอ้ตี๋ ถึงโดนจับ พี่กูก็เคลียร์ทุกอย่างให้ได้” คอปเปอร์ตอบ

    “จริงด้วย พี่ลูกพี่เป็นตำรวจกองปราบนี่” 

    “เออ คอปเปอร์ นายเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่กำลังระบาดในเน็ตหรือเปล่าวะ??” เพื่อนของคอปเปอร์ถามเขาไป

    “เชื่อทำไมวะ ก็แค่เรื่องไร้สาระ ให้คนออกมากระทืบกัน แต่ก็ดี กูจะได้มีอะไรสนุกๆทำ” คอปเปอร์ตอบ 

    “หวังว่าข้างหน้าจะไม่มีด่านนะ พวกเราพกปืนมาเพียบเลย” นายตี๋ คนขับรถพูดขึ้น

    “เอาน่า ยิงแม่งซักศพสองศพจะเป็นไรไปวะ??” คอปเปอร์ถามกลับไป ก่อนที่เขาจะอัดบุหรี่เข้าปอดอีกรอบ

     

    ณ ร้านอาหารร้านหนึ่งในพัทยา ร้านอาหารซึ่งมีแต่คนรวยๆเท่านั้นที่มาเที่ยว และที่ห้องอาหารห้องหนึ่ง ด้านหน้ามีเวทีสำหรับให้คนขึ้นมาพูด หรือมาทำการแสดง เช่นเดียวกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนอยู่บนเวที ตัวของเธอกำลังถือไมค์ยืนประกาศอะไรบางอย่างบนเวที

    “สวัสดีค่ะทุกคน ทุกท่านคงจะสังเกตว่ามีแก้วใบหนึ่งอยู่ข้างหน้าพวกคุณใช่หรือเปล่าคะ ฉันอยากให้คุณเอาอะไรก็ได้ใส่ลงไปในแก้วใบนั้น แล้วคว่ำมันลงค่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น ก่อนที่บรรดาแขกในงานจะพากันใส่ของมีค่าเอาไว้ในแก้วแล้วคว่ำลงไป 

    “ค่ะ คิดว่าทุกท่านคงใส่ลงไปแล้วนะคะ ในระหว่างที่เรากำลังคุยกันนี้ ของในแก้วของทุกท่านตอนนี้ก็หายไปแล้วค่ะ” หญิงสาวคนนั้นตอบ เหล่าแขกในงานตกใจแล้วก็รีบเปิดแก้วดูในทันที

    “ฟิ้บ!!”

    ปรากฏว่าในแก้วเปล่านั้นไม่มีอะไรเลย ทำเอาแขกในงานถึงกับตกใจมาก

    “ใจเย็นๆนะคะทุกท่าน ทุกท่านลองดูในกระเป๋าของทุกท่านดูค่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ และเหล่าแขกในงานก็พากันหาของในกระเป๋า ไม่นานนัก ทุกคนก็พบว่าของที่หายไปมันอยู่ในกระเป๋าของพวกเขาจริงๆด้วย

    “แปะๆๆๆ” เสียงปรบมือให้หญิงสาวคนนั้นดังเกรียวกราว และในขณะเดียวกัน พนักงานของโรงแรมคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาหาหญิงสาวคนนั้น

    “คุณแฮปปี้คะ เหลือเวลาอีก 10 นาทีค่ะ” พนักงานโรงแรมบอกกับเธอ แฮปปี้คนนั้นก็พยักหน้าตอบ 

     

    ณ ซอยเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ 

    “ตุ๊บ!!”

    เสียงเท้าของชายร่างสูงคนหนึ่งเตะเข้าที่ชายโครงเด็กแก๊งวัยรุ่นไทยคนหนึ่ง ท่ามกลางวัยรุ่นคนอื่นๆที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น นอนร้องโอดโอยน่าเวทนา 

    “ตุ๊บ!!” 

    หลังจากที่เตะมันลงไปนอนกองแล้ว ชายร่างสูงคนนั้นดึงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็จ้องหน้าเขา

    “ไอ้หรั่งเหี้ยเอ้ย มึงจะเอาอะไรวะ??” วัยรุ่นคนหนึ่งถามชายผิวขาวร่างสูงที่เพิ่งจะเตะเขาไป

    “ก็ไม่ได้อยากจะเอา พวกมึงอยากจะเอาเองหว่ะ” ชายร่างสูงคนนั้นตอบ ก่อนที่เขาจะหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นมีดที่กองทัพใช้กัน

    “เฮ้ยๆๆ มึงจะทำอะไรกู??” วัยรุ่นคนนั้นถามไป

    “คิดว่าจะทำอะไรหล่ะ ก็กำจัดขยะสังคมแบบพวกมึงไง” ชายร่างสูงคนนั้นตอบ ก่อนที่จะค่อยๆแทงมีดเข้าไปในร่างของวัยรุ่นคนนั้น

    “ไอ้สัส!!” วัยรุ่นคนหนึ่งที่เห็นเพื่อนกำลังโดนแทงก็รีบคว้าไม้และวิ่งเข้าใส่ชายผิวขาวคนนั้น แต่ชายผิวขาวคนนั้นก็เอาคนที่เขาเพิ่งจะแทงมากันไม้เอาไว้ ก่อนที่เขาจะถีบมันออกไป

    “ตุ๊บ!!”

    “ดิ้นเอกสุดท้ายได้กระจอกดีหว่ะ” ชายร่างสูงคนนั้นตอบ ก่อนที่ตรงนั้นจะไม่มีอะไรนอกจากเสียงร้องโหยหวน ชายร่างสูงคนนั้นเดินออกมาในสภาพที่มีเลือดติดตัวมาเล็กน้อย 

    “ไม่มีใครมานะ ไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่า อเล็กซ์” ชายคนนั้นพูดกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งในจังหวัดอยุธยา รถยนต์ Mazda คันงามคันหนึ่ง พวกเธอขับไปตามพื้นที่ของวัดวาอาราม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศไทย รถคันนั้นขับมาจอดที่เจดีย์โบราณสถานที่หนึ่ง ซึ่งบริเวณนั้นมีร้านขายน้ำผลไม้ รวมถึงขายของทั่วไป 

    “จอดตรงนี้หล่ะทีน” หญิงสาวผมสั้นในเสื้อฮู้ดดำแดงคนหนึ่ง บอกกับเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งเสื้อแจ็คเก็ตดำใส่เสื้อโชว์หน้าท้อง ที่เป็นคนขับรถ

    “หิวน้ำเหรอริน??” ทีนถามกลับไป

    “จริงๆฉันก็หิวเหมือนกัน” เด็กสาวผมหางม้าที่นั่งข้างคนขับพูดห้วนๆขึ้นมา

    “จะเอาน้ำอะไรมั้ยหล่ะเอม เดี๋ยวฉันไปซื้อให้??” รินถามขึ้น

    “ฉันเอาเหมือนเดิม” เอมพูดขึ้น

    “ฉันเหรอ ขอน้ำมะม่วงปั่น ขอโยเกิร์ตเยอะๆนะ” ทีนพูดขึ้น ตัวของเอมพยักหน้าตอบ จากนั้นเธอก็ลงจากรถ และไปที่ร้านขายน้ำในทันที ซึ่งแม่ค้าก็กำลังยืนรออยู่

    “เอาอะไรดีจ้ะ??”

    “ขอสตอเบอรี่โยเกิร์ต 2 มะม่วงโยเกิร์ต 1 ค่ะ” รินตอบ และในระหว่างที่แม่ค้ากำลังทำน้ำให้ริน จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็ถือปืนและเดินเข้ามาในร้าน และเล็งไปที่แม่ค้า

    “เฮ้ย หยุด ส่งเงินมา!!”

    “เดี๋ยวๆๆๆ อย่าๆๆๆ อยากได้อะไรเอาไปเลยจ้ะ!!”

    “เฮ้ย มึงอ่ะ ส่งเงินมาด้วย!!” มันพูดและเล็งปืนไปใส่ริน แต่ตัวของรินเองก็ยกมือขึ้น จากนั้นเธอก็ค่อยๆถอยออกไป 

    “เงินฉันอยู่ในรถหน่ะ คันนั้น” รินบอกกับโจรคนนั้น 

    “แม่งเอ้ย ไปเอามา มึงก็เอาเงินมากองไว้!!” โจรคนนั้นตะโกนบอกแม่ค้า จากนั้นเธอก็รีบเดินไปที่รถ โดยที่โจรก็ตามมา รินพาโจรมาที่ที่นั่งข้างคนขับ

    “เฮ้ย แล้วเงินมึงอยู่ไหน??” โจรถามรินไป 

    “ผลัก!!”

    เอมดันประตูออกไปและโดนมันจนล้ม มันลุกขึ้นมาและจะเล็งปืนใส่เอม แต่รินก็เตะปืนของมันจนร่วง

    “ตุ๊บ!!”

    รินเตะปืนของโจรออกไป ส่วนเอมก็วิ่งเข้ามาและเตะเข้าที่หน้าโจรคนนั้นจนร่วง

    “ตุ๊บ!!”

    “บ้าเอ้ย เป็นอะไรมั้ยริน??” เอมถามขึ้น

    “ไม่เป็นไร” รินตอบ และในตอนนั้น ทีนก็ลงมาจากรถ จากนั้นก็หยิบปืนของมันขึ้นมาดูในทันที

    “โธ่เอ้ย ปืนเด็กเล่นนี่หว่า” ทีนพูดขึ้นและคว้างปืนทิ้งไปในทันที

    “เฮ้อ แล้วก็ให้ตกใจอยู่ตั้งนาน ฉันจะไปซื้อน้ำต่อนะ ฝากดูมันด้วย” รินบอกกับเอม จากนั้นเธอก็กลับไปที่ร้านขายน้ำเพื่อกลับไปเอาน้ำที่เธอสั่งไว้กับแม่ค้า

    “เออ น้ำพวกเราได้ยังคะ??” รินถามแม่ค้า

    “ได้จ้ะๆ รอเดี๋ยวนะ ขอบใจมากนะ” แม่ค้าตอบริน และรีบกุลีกุจอทำน้ำให้กับริน ไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย รินรีบให้เงินแม่ค้าไปในทันที

     

    ตัวของจินและสมาชิกใหม่หมาดๆของเขานั่งอยู่ในรถ กำลังเดินทางออกจากกรุงเทพ เพื่อไปเที่ยวที่พัทยา จริงๆแล้วเขาก็อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ก่อนที่เขาจะต้องตายด้วย ตัวของจินนั่งเกร็งเล็กน้อยอยู่ที่เบาะหลังสุดของรถ SUV โดยที่สการ์เล็ตนั่งอยู่กับเขาด้วย สการ์เล็ตเห็นจินกำลังนั่งใส่หูฟัง เธอเลยไปสะกิดเขา

    “เฮ้ จิน ฟังเพลงอะไรอยู่อ่ะ??”

    “อ่า คือ เพลงมันเก่าไปนิดนึงนะ” จินตอบด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย

    “เก่าแค่ไหนหล่ะ??” สการ์เล็ตถามไปพลางเอามือของเธอหยิบหูฟังของจินมาใส่ด้วยข้างหนึ่ง ซึ่งเพลงที่สการ์เล็ตได้ยิน มันคือเพลง “รักแท้มีอยู่จริง” ของบี้ สุกฤษฎิ์นั่นเอง

    “ซ่อนตัวเองมานานเท่าไร

    จะไปกลัวทำไมความรัก

    สิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักเลยสักครั้ง

    หากเธอลองมองมาให้ดี

    ฉันมีเธอในใจเท่านั้น

    แค่เพียงเธอเข้ามาใกล้กันก็จะเข้าใจ

    อาจไม่ดีราวกับเจ้าชาย

    อาจไม่คล้ายกับคนในฝัน

    แต่ก็พร้อมร้อนหนาวแทนเธอได้เสมอ

    จะกุมมือเวลาร้องไห้

    เช็ดน้ำตานี้ให้กับเธอ

    อยู่ปลอบใจไม่ยอมห่างไกลให้เธอได้รู้

    รักแท้ยังมีอยู่จริง

    หนึ่งดวงใจของฉันอาจดูว่าไม่เท่าไร

    ถึงแม้ว่ามันไม่ยิ่งใหญ่พอก็เชื่อในรัก

    หนึ่งดวงใจดวงเดียวจากฉันขอทำให้เธอรู้จัก

    เพียงเธอจะเชื่อเหมือนกันกับฉัน

    รักแท้ยังมีอยู่จริง...”

    สการ์เล็ตที่รู้ภาษาไทยก็พอจะแกะความหมายของเพลงได้ เธอเองถอดหูฟังออกมา แล้วเธอก็ถอดของจินออกด้วย ทำเอาจินถึงกับต้องหันมองหน้าเธอ

    “เอ๊ะ อะไรกันเนี่ย??” จินถามอย่างตกใจ

    “นี่ ฉันถามอะไรนายจริงๆจังๆหน่อยสิ”

    “อืม ไม่ต้องจริงจังก็ได้นะ” จินตอบรับ

    “นายยังเชื่อเรื่อความรักอีกเหรอ??” สการ์เล็ตถามจินไป

    “เชื่อสิ ตลอดไปด้วย มันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ฉันรู้ ว่าหลายคนอาจจะเจอเรื่องเลวร้ายมา จนทำให้ความคิดเปลี่ยนไป แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าคนเราหน่ะ เจ็บครั้งเดียว แล้วมันจะส่งผลไปทั้งชีวิต บางทีความเจ็บ มันก็เป็นบททดสอบ ว่าเรายังมั่นคงหรือเปล่า” จินตอบสการ์เล็ตยาว

    “นายนี่เชื่ออะไรโบราณดีแหะ” สการ์เล็ตพูดขึ้น

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้น แต่มันก็ทำให้ผมมั่นคงกับความคิดของผม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องความรัก” จินตอบ

    “อืม อิจฉาแฟนนายนะ” สการ์เล็ตพูดขึ้น

    “ผมมีแฟนที่ไหนหล่ะ” จินตอบกลับ

    “ไม่อยากเชื่อ อย่างนายเนี่ยนะ ฉันว่า นายดูจะโรแมนติกดี??” สการ์เล็ตถามไป

    “ก็ฉันทำงานหน่ะ จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟนหล่ะ แต่เอาเถอะ ผมยังมีอีกหลายเพลงให้คุณฟังนะ ถ้าคุณสนใจ” จินบอกกับสการ์เล็ต ตัวของสการ์เล็ตรู้ตัวอีกที เธอก็มานั่งฟังเพลงร่วมกับจินแล้ว ตัวของชิดจันทร์ที่เหลือบไปเห็นก็แทบจะทนไม่ได้ และซักพัก พวกเขาก็ขับเข้ามาในเขตพื้นที่บางนา และจะเดินทางต่อไปยังเส้นตะวันออก 

    “ปังๆๆๆ!!”

    เสียงปืนดังขึ้นมาจากพื้นที่ที่ไม่ห่างจากที่พวกเขาอยู่ ทุกคนตกใจกันมาก โดยเฉพาะตัวของจิน

    “อะไรกันวะเนี่ย??” จินสบถออกมาเล็กน้อย และบริเวณธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่ที่พวกเขาอยู่นัก ภาพที่พวกเขาเห็นก็ถือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังถืออาวุธ และยิงกราดเข้าไปในธนาคารอย่างดุเดือด พร้อมกับถือกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย

    “พี่ หนูกลัว” ชิดจันทร์รีบไปอ้อนสการ์เล็ตในทันที สการ์เล็ตเองก็โอบเธอเอาไว้

    “อะไรเนี่ย ปล้นธนาคารเหรอ??” สการ์เล็ตถามไป และในตอนนั้น ลุงบุญช่วยก็เปิดวอสื่อสารในรถ เพื่อสื่อสารกับรถของพวกเขาอีกคัน

    “ดูจากลักษณะ พวกมันน่าจะไม่ใช่มืออาชีพ น่าจะทำเอาสนุก” อิชมาเอลพูดขึ้น

    “เราจะบวกมันเลยมั้ย??” ซิกส์ถามไป

    “เดี๋ยวสิพวก เดี๋ยวเราก็ตายกันหมดหรอก” โอ้ตอบ

    “ตำรวจไปไหนหมดวะเนี่ย??” เสียงของเคนตะที่อยู่ในรถอีกคันถามไป

    “สงสัยจะไปยุ่งที่อื่นกันหล่ะนะ” ครูหนาตอบ

    “กระจกนี่กันกระสุน ไม่ต้องห่วงนะ” ลุงบุญช่วยพูดขึ้น

    “เราจะไปก่อนมั้ยครับ??” มายด์ถามไป

    “เดี๋ยว อย่าทำให้พวกมันสังเกต พวกมันยิงเราแน่” ไอรีนตอบ แต่ตอนนั้นเธอก็เตรียมปืนเอาไว้แล้ว ในตอนนั้นจินดันเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนร้องไห้เพราะความกลัวอยู่แถวนั้น เด็กคนนั้นดูเหมือนจะวิ่งไม่ออก แม่ของเด็กที่หลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้านอาหารตามสั่งก็ได้แต่ตะโกนเรียกลูกของเธอ

    “หนีมาลูก!!” คนเป็นแม่ตะโกนเรียกลูก แต่ลูกของเธอนั้นขยับขาไม่ออกเลย คนเป็นแม่เลยรีบวิ่งไปเอาตัวลูกมา แต่มันคนหนึ่งเห็นพวกเขาเข้า และเล็งปืนใส่แม่ลูกคู่นั้น

    “ระยำเอ้ย” จินสบถออกมา เขารวบรวมความกล้าของเขา หยิบปืนลูกโม่ออกมา จากนั้นก็ลงจากรถ แล้วยิงใส่มัน

    “ปัง!!”

    พวกมันทุกคนหันมองจินเป็นตาเดียว พวกนั้นรีบเล็งปืนใส่จินในทันที

    “บ้าเอ้ย” สการ์เล็ตและทุกคนรีบชักปืนออกมา จากนั้นก็เปิดกระจกแล้วยิงสวนกับพวกมัน

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกัน แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายของมันจะทำอะไรไม่ถูก พวกมันรีบไปหาที่หลบก่อนในทันที เพื่อป้องกันตัวเอง

    ==================================================================

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมกันเน้อ 

    ตอนแรกเป็ยังไงเม้นท์มาได้เน้อ

    ตัวละครตัวไหนไม่ครบบอกกันได้เน้อ

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย 

    ให้ของขวัญเป็นกำลังใจกันได้ครัช ไหว้หล่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×