NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Until Last Dying Breath - ตราบลมหายใจสุดท้าย [ปิดรับสมัครตัวละครชั่วคราว]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 66


    “ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ”

    “หมับ!!”

    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พร้อมกับเสียงชายคนหนึ่งได้ปิดเสียงนาฬิกาปลุกต่อ ก่อนที่เขาจะมองดูปฏิทินของเขา

    “12 มีนาคม...”

    “โอเค มันถึงเวลาแล้วสินะ” ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงพูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะลุกไปนั่งในห้องน้ำ ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยแกนลอนน้ำเปล่ามากมาย รวมถึงในถังน้ำใบใหญ่ใบหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ตัวของเขารีบถอดเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาในทันที

    “อาบน้ำหน่อยดีกว่า ก่อนที่จะออกเดินทาง” ชายคนนั้นพูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะรีบอาบน้ำในทันที เขาอาได้ไม่นาน เขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า รวมถึงหยิบกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งซึ่งเตรียมเอาไว้แล้ว พร้อมกันนั้นก็หยิบมีดสปาต้าเล่มหนึ่งซึ่งอยู่แถวนั้น 

    “เอ๊ะ อย่าลืมสิ หน้ากาก”

    ชายคนนั้นนึดขึ้นได้จากนั้นก็รีบไปหยิงหน้ากากกรองอากาศที่อยู่บนหัวเตียงในทันที ก่อนที่เขาจะรีบใส่มัน

    “คงจะสงสัยสินะว่าผมใส่หน้ากากทำไม หลังจากที่ไอ้พวกระยำนั่นยิงนิวเคลียร์ไปทั่วโลก ประเทศเราได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสีที่แผร่กระจายไปทั่วโลก ทุกอย่างตอนนี้ปนเปื้อนหมด ถึงในตอนนี้อากาศด้านนอกจะไม่เป็นอะไรมาก แตก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” 

    ชายคนนั้นรีบหยิบกระเป๋าเดินทาง สิ่งของทุกอย่าง ในระหว่างนั้นตัวของเขาก็กุมสร้อยคอเส้นหนึ่งของเขา มันเป็นจี้ที่ใส่อะไรบางอย่างด้านใน

    “แม่ครับ วินจะพาแม่ไปหาพ่อนะครับ” เขาพูดขึ้น ก่อนที่ตัวของเขาจะทำใจก่อนเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดประตูบ้าน อากาศยามเช้าที่ดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงยังมีการปนเปื้อนรังสีอยู่ ความจริงทุกอย่างในประเทศไทยตอนนี้มันปนเปื้อนหมด ไม่นานนัก วินก็ปิดบ้านของเขาในทันที

    “ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับมานะ” วินพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านอย่างมั่นใจ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กลัวอากาศปนเปื้อนที่อยู่ด้านนอกเลย เขารีบไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าบ้านของเขา พร้อมกับน้ำมันที่ไม่เต็มถังเท่าไหร่นัก เขาสตาร์ทรถและขี่มันออกไปในทันที

     

    บนถนนพหลโยธินอันกว้างใหญ่ วินขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางท่ามกลางซากรถยนต์ที่จอดเรียงรายเอาไว้เต็มไปหมด ดูเหมือนว่าประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่ล่มสลายไปแล้ว ผู้คนเดินไปมาตามถนนแต่ไม่มาก และดูเหมือนพวกเขาจะฝกล้ตายเต็มทีแล้วด้วย

    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าจะหนักขนาดนี้” วินคิดในใจ เขาเองก็ยังคงขี่มอเตอร์ไซค์เรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังไปมา แต่เขาก็ไม่สนใจมันเท่าไหร่ ราวกับว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก 

    “ไม่มีอะไรหรอก คงมีการยิงกับพวกตำรวจหน่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่อง เมืองนี้มันก็ไร้ขื่อแปโดยสิ้นเชิงเลย” วินพูดขึ้น ในระหว่างที่เขากำลังขี่มอเตอร์ไซค์ เขาก็มองเห็นป้ายบอกทางไปด้วย

    “อยุธยา..”

    “คงต้องไปหล่ะนะ ก่อนอื่นคงต้องหาปั๊มน้ำมันก่อน” วินพูดขึ้นในขณะที่ยังบิดรถมอเตอร์ไซค์ของเขาไปเรื่อยๆ ผ่านซากรถบางส่วนที่ดูเหมือนจะไม่เยอะมาก แต่ก็สร้างความวังเวงให้กับตัวของวิน และไม่นานนัก ตัวของเขาก็พบปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ข้างหน้า

    “เฮ้อ รอดแล้วเรา”

    วินพูดจบจากนั้นก็ขับเข้าไปในปั๊มน้ำมันอย่างรวดเร็ว บรรยากาศในปั๊มดูวังเวงยิ่งกว่าถนน ปั๊มที่มีทั้งห้องน้ำดีๆ ร้านสะดวกซื้อดีๆแบบนี้ มันควรจะมีคนเข้ามาบ้างสิ แต่ที่เขาสังเกตได้ก็คือ เด็กปั๊ม ซึ่งไม่เจอเลยซักคน

    “หายไปไหนหมดวะ??” วินสบถออกมา ก่อนที่เขาจะขี่รถไปยังจุดเติมน้ำมัน 91 สำหรับมอเตอร์ไซค์ เขารีบหยิบหัวจ่ายมาจากนั้นก็เติมมันในทันที

    “เวรเอ้ย ดูข่าวอะไรหน่อยดีกว่า” วินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ถึงแม้ว่าฝุ่นกัมมันตรังสีจะกระจายไปทั่วประเทศ แต่เสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ได้ถูกทำลาย เขาลองเปิดเน็ตอ่านข่าวนั่นข่าวนี่ไปเรื่อย

    “สงครามทะเลจีนใต้ยังคงดุเดือด…”

    “ประเทศไทยกำลังถูกบีบให้เลือกข้าง…”

    “มีแต่ข่าวอะไรวะเนี่ย??” วินสบถออกมา แต่เมื่อเขากำลังจะปิดฝาถังน้ำมัน ในตอนนั้นเอง เด็กปั๊มคนหนึ่งก็ถือปืนออกมายิงขึ้นฟ้า และเล็งใส่วิน

    “ปัง!!”

    “เฮ้ย มึงจะขโมยน้ำมันกูเหรอ??” เด็กปั๊มคนนั้นตะโกนออกมา แต่วินเองก็รีบยกมือขึ้นในทันที

    “เปล่าครับ ผมมาเติมน้ำมันเฉยๆครับ ผมมีเงินจ่ายนะครับ!!” วินตะโกนออกมา จากนั้นเขาก็รีบหยิบกระเป๋าตังค์ของเขาอย่างลนลาน แต่เด็กปั๊มคนนั้นยังคงเล็งปืนใส่เขา แต่ในตอนนั้นเอง วินเองก็เหลือบไปเห็นหมาตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่อย่างหนักใส่เด็กปั๊ม เด็กปั๊มรีบเล็งปืงใส่หมาตัวนั้น

    “เฮ้ย มาลี กลับไป!!”

    “แฮ่!!”

    มาลีตัวนั้นกระโจนใส่เด็กปั๊มอย่างรวดเร็วและดุเดือด มันกินเด็กปั๊มคนนั้นอย่างหิวโหย เด็กปั๊มคนนั้นโวยวายด้วยความหวาดกลัว

    “ช่วยด้วย!!”

    “ชิบหายแล้ว!!” วินตะโกนออกมา และกำลังจะขึ้นมอเตอร์ไซค์หนี แต่เขาคิดอะไรบางอย่างออก มีดนี่ เรามีมีดสปาต้าอยู่ น่าจะช่วยเขาได้ วินรีบชักมีดของเขาอออกมา จากนั้นก็วิ่งเข้าใส่หมาตัวนั้นในทันที

    “ย้าก!!”

    วินวิ่งเข้าไปฟันเข้าที่หัวหมาตัวนั้น หมาตัวนั้นถึงกับแน่นิ่งไป และนอนซมเจ็บราวกับจะขาดใจ เด็กปั๊มคนนั้นก็เหมือนกัน วินเองเดินไปที่หมาตัวนั้น เพื่อเช็คให้แน่ใจว่ามันจะตายสนิทหรือเปล่า 

    “ขอโทษนะหนู” วินไหว้หมาตัวนั้น ก่อนที่จะฟาดมันด้วยมีดซ้ำลงอีกแผล หมาตัวนั้นนอนแน่นิ่งไม่ฟื้นขึ้นมา และไม่นานนัก เขาก็รีบวิ่งไปหาเด็กปั๊มคนนั้นในทันที

    “ช่วย..ผม..”

    “ใจเย็นนะครับ ผมจะรีบเรียกรถโรงพยาบาลให้!!” วินตะโกนออกมาอย่างลนลาน ในขณะที่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขา และพยายามโทรไปยัง 191 แต่จนแล้วจนรอด ก็แทบไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรเลย

    “ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ไม่พอให้บริการ..”

    “เฮ้ย อะไรวะ ขนาดนี้แล้วเหรอ??” วินตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้น เด็กปั๊มคนนั้นก็กระอักเลือดอีกรอบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะขาดใจตายอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นวินช็อกมากและทำอะไรไม่ถูก แต่ในตอนนั้นเอง

    “หมับ!!”

    “เฮ้ย อะไรวะ??” วินตะโกนออกมาพร้อมกวัดดาบไปมา ก่อนที่เจ้าของมือปริศนาที่แตะไหล่เขาจะรีบหลบ

    “เฮ้ๆๆๆ จะฆ่ากันหรือไงพวก แค่มาดูเฉยๆเนี่ย??” 

    วินสังเกตเห็นชายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตหนังเหมือนแก๊งมอเตอร์ไซค์ แต่ยังใส่หน้ากากกรองฝุ่นยืนจ้องหน้าเขา วินเองแปลกใจมาก

    “นาย นายเป็นใครเนี่ย??” วินถามไป

    “ถามชื่อฉันเหรอ ฉันฟรี เรียกฉันแบบนั้นก็ได้” ฟรีเขาพูดขึ้นจากนั้นก็ยื่นมือให้กับวิน วินเองรีบจับมือเขาและลุกขึ้นมาในทันที 

    “ฉันวิน ฉันแค่มาเติมน้ำมัน แต่อยู่ๆ หมาบ้านั่นก็คลั่งและฆ่าเด็กปั๊มตายหน่ะ” วินพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก เขาจะสังเกตเห็นปืนของเด็กปั๊มที่ตกอยู่ เขารีบไปหยิบมันขึ้นมาในทันที 

    “เฮ้ยๆๆ เล่นปืนเลยเหรอ??” ฟรีถามอย่างแปลกใจ

    “ป้องกันตัวนิดหน่อยหน่ะ ว่าแต่ นายนี่ไปไงมาไงเนี่ย??” วินถามเขาไป

    “ฉันตั้งแก๊งมอเตอร์ไซค์หน่ะ แต่มีเรื่องให้คนในแก๊งฉันตายไปเรื่อยๆ ไม่ก็กระจัดกระจายกันไป ตอนนี้เหลือฉันคนเดียวหน่ะ”

    “อ้อๆ ผมเสียใจด้วยนะ” วินตอบไป

    “ว่าแต่นายเถอะ จะไปไหนเนี่ย??” ฟรีไม่ปล่อยให้วินถามคนเดียว

    “ฉันจะไปเชียงใหม่หน่ะ” วินตอบไป ก่อนที่ไม่นานนัก หญิงสาวผมฟ้าถือคันธนูคนหนึ่งที่มากับชายคนนั้นด้วยก็ทักขึ้น

    “เฮ้ย นายจะไปเชียงใหม่ด้วยเหรอ??” 

    “ใช่ๆ เธอจะไปทำไมเหรอ??” วินถามไป

    “ฉันจะกลับบ้านหน่ะ ฉันชื่อซูหยิน ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายฟรีเขาช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันเกือบจะโดนยิงในเมือง พวกเราทั้งคู่หนีมาได้” หญิงสาวคนนั้นพูดต่อ วินเองก็ยื่นมือไปจับมือเธอด้วย แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทำอะไรต่อ ในตอนนั้นพวกเขาก็เห็นฝูงหมาฝูงหนึ่งวิ่งเข้ามาหาพวกเขา มันแยกเขี้ยวใส่พวกเขาราวกับจะกินพวกเขาตรงนั้นทั้งหมด

    “เฮ้ยๆๆ อะไรวะเนี่ย ทำไมหมาพวกนี้มัน??” วินถามไป

    “มันอาจจะโดนกัมมันตรังสีจนกลายพันธุ์หล่ะมั้ง” ซูหยินพูดขึ้นพลางเล็งธนูใส่มัน ก่อนที่ฟรีเองจะชักดาบคาตะนะของเขาออกมา

    “เอาหว่ะ ต้องลุยกันหน่อย!!” ฟรีตะโกนออกมา จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็วิ่งกรูกันใส่พรรคพวกของวิน แต่ในตอนนั้น

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ”

    เสียงปืนปริศนาดังขึ้น พร้อมกันนั้นหมาบางส่วนก็ถึงกับล้มลง พวกมันหยุดนิ่งไปชั่วคราวราบกับว่ามันกลัวอะไร พร้อมกันนั้น ชายปริศนาคนหนึ่งซึ่งใส่หน้ากากหมูป่าคลุมหัวก็กระโจนออกมา จากนั้นก็ยิงปืนใส่หมาพวกนั้น

    “เฮ้ย ไอ้หมาบ้า มาทางนี้สิวะ!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมา ตอนนั้นมันเลยแบ่งตัวกันไปเล่นงานชายคนนั้นบ้าง ซูหยินเห็นเลยยิงธนูใส่จนมันแน่นิ่งไป ส่วนวินกับฟรีก็ไล่ฟันพวกมันไปเรื่อยๆ มันตัวหนึ่งจะกระโจนใส่ฟรี แต่วินก็ปามีดของเขาใส่มันจนมันกระเด็น มันตัวหนึ่งจะกระโจนใส่วินบ้าง แต่ในตอนนั้นเอง

    “ปัง!!”

    เสียงปืนปริศนาดังขึ้นจากร้านสะดวกซื้อ พลางปรากฎร่างของหญิงสาวถือปืน M4 คนหนึ่งยิงใส่หมาพวกนั้น หมาบางส่วนพยายามวิ่งกระโจนใส่เธอ แต่หญิงสาวชุดดำใส่แว่นอีกคนก็ยิงสกัดมันไว้ พร้อมกันนั้นสาวชุดดำอีกคนก็ช่วยยิงตอนที่มันกระโจรใส่พวกเธอด้วย ถึงแม้ว่าพวกมันจะเหลือน้อยลง แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ยอมถอยเลย

    “เวรเอ้ย ลุยแม่งเลย!!” วินตะโกนออกมา จากนั้นก็รีบวิ่งไปเอามีดออกจากร่างของหมาตัวนั้น จากนั้นก็เข้าตะลุมบอนกับพวกมันอย่างดุเดือด และไม่นานนัก หมาพวกนั้นก็ตายกันจนหมด ทำเอาทุกคนถึงกับหมดแรงกันไปข้าง และในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มในเชิ้ตขาวคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาทางพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยที่ด้านหลังมีหมา 3 ตัววิ่งไล่กวดเขามาด้วย

    “ช่วยผมด้วย!!”

    กลุ่มของวินตอนนั้นรีบเล็งปืนและลั่นใส่หมาพวกนั้นอย่างดุเดือด จนสุดท้ายพวกมันก็นอนแน่นิ่งกันจนหมด

    “บ้าเอ้ย โคตรสนุกเลยเว้ย!!” ชายในหน้ากากหมูป่าคนนั้นตะโกนออกมา จากนั้นก็เดินมาหากลุ่มของวิน หญิงสาวถือปืน M4 และสาวแว่นคนนั้นด้วย 

    “เฮ้ พวกนาย ฝีมือดีนี่” 

    “เออ แล้วพวกคุณเป็นใครกันเนี่ย??” วินถามอย่างแปลกใจ

    “ฉันหน่ะเหรอ คือไอ้หมูป่ามัจจุราช ใครมันบังอาจมาแหยม ฉันจะยิงให้เหี้ยนเลย!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน ทำเอาคนอื่นๆปวดหัวไปข้าง

    “โอ้ย ชื่อเรียกยาก เรียกนายหมูแล้วกัน แล้วคุณหล่ะคะ??” ซูหยินถามหญิงสาวคนนั้นไป

    “ฉันแอนนา ยินดีที่ได้รู้จักพวกนายนะ” 

    “หนูชื่อริน หนูกำลังหาของกินกับพี่แอนนาหน่ะ” 

    “ฉันชื่อโรส แต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับแม่นี่นะ”

    “ผมวิน คนนี้ฟรี คนนี้ซูหยิน” วินแนะนำตัวให้ทุกคนฟังไป และไม่นานนัก ชายเสื้อเชิ้ตคนนั้นก็เข้ามาใกล้กับพวกของวินด้วย

    “ขอบคุณนะครับที่ช่วย ผมชื่อเมต ผมหนีพวกมันมาจากทางนั้น อยู่ดีๆมันก็วิ่งไล่กวดผม” 

    “เอาเถอะครับ ปลอดภัยกันก็ดีแล้ว” วินพูดขึ้น

    “ว่าแต่ พวกนายจะเอายังไงกันต่อเนี่ย??” แอนนาถามไป

    “ผมจะไปเชียงใหม่ ไปทำธุระของผม จากนั้นผมก็ไม่คิดอะไรแล้วหล่ะ” วินพูดขึ้น

    “อ้าว นายก็จะไปด้วยเหรอ??” รินถามไป

    “แต่นายจะไปด้วยมอเตอร์ไซค์คันเดียวเนี่ยนะ เอาจริงดิ??” โรสถามไป

    “ทำไมหล่ะคะ มันเกิดอะไรขึ้นหล่ะ??” ซูหยินถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้เท่าที่ผมได้ข่าว ประเทศไทยตอนนี้กำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหลายฝ่าย ฉันบอกตรงนี้ก็ไม่หมดแล้ว แถมภาคกลางที่เราจะไป มันเป็นเขตของพวกจักรวรรดิไทย ของไอ้สาลิกาหน่ะ” เมตพูดขึ้น

    “สาลิกา อ้อ ไอ้แก่บ้าที่แพล่มในทีวีบ่อยๆเหรอ??” ฟรีถามพลางกอดอก

    “เฮ้อ แล้วไงหล่ะ ถ้ามันมาฉันจะยิงให้หมดเลย!!” ไอ้หมูป่าตะโกนออกมา

    “โอ้ย ใจเย็นดิ เป็นอะไรของนายเนี่ย กินม้ามาหรือไง??” ซูหยินตะโกนกลับไป

    “ช่างเถอะ แต่สิ่งที่พวกคุณต้องรู้อย่างนึงก็คือ พวกมันเกลียดคนต่างชาติมาก หน้าฝรั่งแบบพวกคุณ เข้าไปในเขตมัน รับรองว่าเละ” เมตพูดขึ้นพลางมองหน้าไปยังแอนนา โรสและริน

    “ช่างเถอะ ฉันไม่กลัวไอ้พวกบ้านั่นหรอก” รินพูดขึ้น

    “แต่ฉันว่ากลัวหน่อยก็ดีนะ” โรสพูดกวนบาทารินไป ทำเอารินถึงกับจ้องหน้าเธอ

    “เอาเถอะ พูดอย่างกับว่าพวกนายจะรอดด้วยงั้นแหละ” แอนนาพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น พวกเราก็ไปกันให้หมดสิ อย่างน้อยมีอะไรเราก็ช่วยเหลือกันได้นะ” วินพูดอย่างซื่อๆ 

    “จริงด้วย บ้านเมืองแบบนี้ อย่างน้อยมีหลายคนก็ดีกว่าคนเดียวนะ” ซูหยินพูดขึ้น

    “เฮ้อ ถึงฉันชอบลุยเดียว แต่ฉันไปด้วยแล้วกัน” ฟรีพูดขึ้น

    “เยี่ยม ฉันไปด้วย ฉันจะปกป้องพวกนายเอง!!” ไอ้หมูป่าตะโกนออกมา ทำเอาคนอื่นๆถึงกับปวดหัว 

    “เอาเถอะ ว่าแต่ เรามีรถเพิ่มหรือเปล่าหล่ะ??” วินถามไป และในตอนนั้น ไอ้หมูป่าก็รีบวิ่งไปยังห้องน้ำชายแถวๆนั้นในทันที

    “ไปไหนของหมอนั่นนะ สงสัยจะปวดท้อง??” โรสพูดขึ้น

    “นี่ อย่าเพิ่งมโนไปก่อนสิ” รินตอบกลับไป ก่อนที่ไม่นานนัก ไอ้หมูป่าจะเอารถ SUV สีดำคันหนึ่งขับมาทางพวกเขา จากนั้นก็มาจอดอยู่ตรงหน้าพวกของวินในทันที

    “เฮ้ ขึ้นมาได้เลย!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้น 

    “โอเค มีมอไซค์ 2 คัน ซูหยิน เธอไปกับฉัน ใครซักคนขึ้นรถวิน ที่เหลือขึ้นรถนี่” ฟรีพูดขึ้น

    “โอเค ถ้างั้นฉันไปกับนายเอง” แอนนาพูดขึ้น

    “นี่ ฉันไม่นั่งกับเธอนะ” รินบอกกับโรส

    “ฉันก็ไม่อยากนั่งกับเธอเหมือนกัน” โรสตอบกลับไป

    “เฮ้อ เอางี้ ใครคนนึงไปนั่งหน้า คนนึงนั่งหลัง จบนะ” เมตแนะนำวิธีไป

    “เฮ้อ สงสัยจะตายตั้งแต่ก่อนเริ่มหล่ะ” ซูหยินพูดพลางถอนหายใจไป

    “เอาเถอะครับ พวกเรารีบไปกันดีกว่า” วินบอกกับทุกคนไป จากนั้นทุกคนก็รีบไปขึ้นรถในทันทีเพื่อออกเดินทางกันต่อ

     

    ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร ความจริงในตึกนี้ไม่ควรจะมีใครอยู่แล้ว เนื่องจากว่าคณะรัฐบาลในตอนนี้ก็หนีไปกันหมดแล้ว แต่ตอนนี้มีกองกำลังติดอาวุธชุดขาวสลับดำเดินตรวจตรากันไปมา เจ้าหน้าที่บางคนที่ไม่ติดอาวุธต่างก็เดินเข้าออกราวกับพวกเขาทำงานที่นี่ และพวกเขาทุกคนติดป้ายสัญลักษณ์ชื่อ VSC กันทุกคน ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งมันเคยเป็นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี หญิงสาวคนนั้นทำความเคารพผู้บังคับบัญชาหญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งดูเอกสารบนโต๊ะอย่างตั้งใจ

    “คุณกุนนาร์คะ!!”

    “อ้าว เฮลล่างั้นเหรอ มีอะไรหล่ะ??” 

    “ค่ะ ตอนนี้เราควบคุมสถานการณ์ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลได้หมดแล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังจัดกรกองกำลังในพื้นที่เพิ่มเติม และปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดเพื่อปลูกอาหารค่ะ”

    “อืม ไม่น่าเชื่อตั้งแต่มาควบคุมความสงบในกรุงเทพฯ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ราบรื่นเลย ไหนจะเหล่าก๊กต่างๆที่แยกตัวกันเป็นเอกเทศอีก” กุนนาร์พูดขึ้น

    “ค่ะ ตอนนี้ไม่ว่าจะกลุ่มกองกำลังตะวันออก เขตภาคกลาง อีสาน เหนือ และอีกหลายๆที่ พวกนั้นอาจจะมาเล่นงานเราได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” เฮลล่าพูดอย่างเป็นกังวล

    “นั่นสิ บางทีฉันก็อาจคิดผิดที่ทำแบบนี้ แต่จะทำยังไงได้หล่ะ ไม่งั้นกรุงเทพได้กลายเป็นแดนเถื่อนแน่นอน ขนาดพวกเรามาช่วยยังมีคดีต่างๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ” กุนนาร์พูดขึ้น

    “ค่ะ แต่เรายังดีนะคะที่ยังมีข้าราชการ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่บางส่วนที่มาช่วยงานพวกเรา แต่เรากังวลเรื่องเงินและเสบียงที่จะให้พวกเขาค่ะ” 

    “อืม ถ้ามีพื้นที่ไหนที่ปลูกอาหารได้ ใช้ VOC-9 จัดการพื้นที่ก่อน แล้วค่อยเพาะปลูกหล่ะ ตอนนี้ที่นี่ทุกอย่างปนเปื้อนไปหมด” กุนนาร์พูดขึ้น

    “ค่ะ ถ้างั้นฉันจะไปบอกเจ้าหน้าที่ของเรานะคะ”

    “เออแล้วอีกอย่าง เธอไปรวบรวมข้อมูลของกองกำลังติดอาวุธที่พื้นที่ต่างๆ ที่เข้มแข็งให้ฉันหน่อยนะ” กุนนาร์สั่งไป

    “รับทราบค่ะ” เฮลล่าพูดจบจากนั้นก็เดินออกไป ในขณะที่กุนนาร์เองก็นั่งเอนหลัง จากนั้นก็ดูรูปของเธอที่ถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมงานของเธอ ความจริงแล้วบริษัท VSC ของเธอคือบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับสูง แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น บรรดาผู้นำรัฐบาลและเหล้าข้าราชการส่วนใหญ่ที่หนีออกนอกประเทศได้ก็หนีกันหมด ตัวของเธอเลยใช้จังหวะนี้นำกองกำลังของเธอเข้าควบคุมเขตกรุงเทพ ก่อนที่มันจะกลายเป็นแดนเถื่อนไป

    “เฮ้อ บางทีฉันน่าจะกลับไปศูนย์แม่นะ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย” กุนนาร์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาอดอล์ฟเพื่อรายงานอะไรบางอย่าง

    “ท่านครับ คุณกฤตพจน์มาครับ”

    “อืม เชิญเขาเข้ามา” อดอล์ฟพูดขึ้น จากนั้นไม่นานชายวัยทองคนหนึ่งในชุดสูทสีเทาก็เดินเข้ามาในทันที อดอล์ฟเองก็เดินออกไปรับเขา

    “คุณอดอล์ฟ”

    “คุณกฤต ดีที่คุณมา ตอนนี้คุณเองก็รู้สถานการณ์แล้วนะ??”

    “แน่นอน คนของผมกำลังจัดการอยู่ แต่ตอนนี้เราคงต้องเตรียมรับมือพวกไอ้สาลิกามันแล้วหล่ะ” กฤตพจน์พูดขึ้น

    “แน่นอนค่ะ หวังว่าพวกมันจะไม่เล่นงานเราก่อนนะคะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้พวกตำรวจนครบาลเดิมก็เริ่มก่อหวอดกันแล้วค่ะ” อดอล์ฟพูดขึ้น

    “เฮ้อ เป็นแบบนี้ทุกทีเลย ผมจะลองจัดการดูแล้วกัน” กฤตตอบไป

     

    ณ ค่ายทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งบัดนี้มันถูกดัดแปลงเป็นที่มั่นของกองกำลังอะไรบางอย่าง ทหารชุดเกราะกะโหลกลายสีแดงดูน่าเกรงขามต่างเดินลาดตระเวนกันอย่างแข็งขัน ในตอนนั้นเอง รถจิ๊บคันหนึ่งได้ขับเข้ามาในเขตค่ายทหาร ขับมาเรื่อยๆ จนถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอุปกรณ์อะไรบางอย่าง เหมือนเครื่องปล่อยควันตั้งอยู่ รถจิ๊บขับไปจอดแถวนั้น จากนั้นชายร่างยักษ์ที่ขับรถมาก็เดินไปหาชายสองคนที่กำลังยืนเฝ้าเครื่องในทันที

    “เฮ้ ศิลป์ เติร์ก เป็นยังไงบ้าง ยังซ่อมไอ้เครื่องนี่อีกเหรอ??” 

    “เฮ้ย อย่าพยายามดูถูกเจ้านี่ดีกว่าหว่ะพวก เติร์ก ยาของนายได้ผลแน่นะ??” 

    “แน่นอนศิลป์ ฉันดัดแปลงและพัฒนา VOC9 ให้มันกระจายไปตามอากาศได้แล้ว ระยะขอบข่ายมันน่าจะครอบคลุมทั่วกรุงเทพปริมณฑลเลย มันจะช่วยกำจัดการปนเปื้อนของรังสีได้” เติร์กในชุดกาวน์สีขาวแบบหมอตอบไป

    “ว่าแต่นายเถอะ ยังไงเนี่ย กาย??” ศิลป์ถามชายร่างยักษ์เพื่อนของเขา

    “ก็วุ่นวายอีกหล่ะ คราวนี้พวกตำรวจเหมือนจะควบคุมไม่ได้ ฉันเลยต้องไปลงมือเอง” กายตอบไป

    “เฮ้อ ตำรวจไทยนี่นะ แล้วนี่คุณกฤตยังไม่มาเหรอ??” เติร์กถามไป

    “เข้าเมืองไปพบกับคุณอดอล์ฟนิดหน่อยหน่ะ” กายตอบไป

    “เออใช่ กลับไปที่เต้นท์ต้องไปติดต่อหาไนอาลาอีก เติร์ก ฉันฝากดูเครื่องด้วยแล้วกัน” ศิลป์พูดขึ้นจากนั้นก็เดินออกไป ปล่อยให้กายถึงกับยืนงงอยู่แถวนั้น ส่วนเติร์กเองก็คอยช่วยศิลป์ควบคุมเครื่องมือในการกำจัดกัมมันตรังสีในเขตนั้น

     

    ณ บ้านพักหลังเล็กๆหลังหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังสวมชุดสูทอยู่ในบ้าน ซึ่งสูทของเขาไม่ค่อยแพงมากนัก แต่มันก็ดูดีเมื่อคนแบบเขาใส่ จากนั้นเขาก็เดินลงไปยังชั้นล่าง ซึ่งในตอนนั้นเอง ที่หน้าบ้านของเขาก็มีนายทหารคนหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ เขาเดินออกไปรับนายทหารคนนั้น โดยที่นายทหารคนนั้นก็ทำความเคารพเขา

    “คุณชาญครับ!!”

    “อ้าว คุณพงศ์ กินข้าวมาหรือยังหล่ะ??”

    “นิดหน่อยครับ แต่ผมว่าคุณชาญคงต้องอยากรู้เรื่องนี้” 

    “อืม ว่ามาได้เลยครับ??” ชาญถามไป

    “ตอนนี้มีข้าราชการบางคน รวมถึงตำรวจบางส่วนได้หนีออกไปจากกรุงเทพ ขึ้นไปทางเหนือ บางส่วนก็ตั้งตนเป็นกลุ่มโจร คอยปล้นพวกชาวบ้านครับ”

    “เฮ้อ คิดว่าพวกนั้นจะไปที่ไหนหล่ะ ก็คงไปอยู่กับนายสาลิกานี่หล่ะ” ชาญพูดขึ้น

    “ตอนนี้เราคงต้องเอาเรื่องนี้ไปคุยกับทาง VSC กับคุณกฤตด้วยนะครับ”

    “จริงด้วย ผมว่าคุณกฤตน่าจะรู้ว่าต้องทำยังไง ผมหวังว่าวันนี้เขาจะว่างนะ เอาไว้ผมกินข้าวก่อนแล้วกัน” ชาญบอกกับนายทหารของเขา จากนั้นก็กลับเข้าไปในบ้านเพื่อนั่งทานข้าวเช้าซักพัก 

     

    ณ น่านฟ้าที่ไหนซักแห่งเหนือจังหวัดอยุธยา เฮลิคอปเตอร์สีดำลำหนึ่งได้บินผ่านพื้นที่แถวนั้น ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย บนเครื่องมีหญิงสาว 2 คนกำลังมองดูการปะทะที่ด้านล่าง

    “คุณไนอาลาคะ นั่นพวก VSC นี่คะ!!” หญิงสาวในชุดกาวน์ขาวคนหนึ่งพูดขึ้น

    “นั่นสิเวย์ อีกไม่นานพวกนั้นคงจะยึดอยุธยาได้ทั้งหมด” หญิงสาวชุดคลุมดำคนหนึ่งพร้อมปืนสไนเปอร์แบบปรับแต่งตอบกลับ

    “ขออนุญาตครับ เราจะเข้าเขตของพวกจักรวรรดิไทยแล้วครับ!!” นักบินพูดขึ้นมา

    “ไม่อยากเจอไอ้พวกนี้เลยค่ะ” เวย์พูดขึ้น

    “เอาเถอะ ยังไงก็ต้อง..” ไนอาลาพูดยังไม่ทันจบ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงปืนดังขึ้น

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!” เสียงปืนดังมาจากด้านล่าง มันเป็นเสียงจากปืน ปตอ. กระบอกหนึ่ง ซึ่งมันยิงเข้าที่ด้านท้ายฮอของพวกเธออย่างจัง

    “เมย์เดย์ๆๆ เรากำลังเสียการควบคุม!!”

    “เวย์ หาที่ยึด เร็ว!!” ไนอาลาบอกกับเวย์ จากนั้นพวกเธอทั้งคู่ก็รีบหาอะไรยึดเอาไว้ ก่อนที่ฮอลำนั้นจะตกถึงพื้นอย่างรุนแรง เสียงกระทบดังไปทั่วบริเวณ 

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตภาคอีสาน พื้นที่ที่ในตอนนี้กัมมันตรังสีปกคลุมไปแทบทุกที่ แต่ชาวบ้านบางคนก็ยังใช้ชีวิตตามมีตามเกิด แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ กลุ่มชาวบ้านสวมหน้ากากได้พากันแบกร่างของชายหญิงซึ่งตายด้วยสาเหตุต่างๆ ขึ้นไปบนเกวียน จากนั้นก็ลากกันไปที่ไหนซักแห่ง และมันก็มาสิ้นสุดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธํส่วนหนึ่งคอยคุ้มกันพวกเขา พวกเขาเอาศพไปกองรวมกันไว้ โดยที่ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าไมค์ จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างออกมาให้กับทุกคนได้ฟัง

    “พ่อแม่พี่น้องครับ ผมรู้ว่ามันทำใจได้ยาก แต่ในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ เราคงเลือกกินอะไรไม่ได้หรอกนะครับ มนาย์เราสามารถกินได้ทุกอย่างเพื่อยังชีพ เรากินเพื่ออยู่ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะกินเหมือนพวกคุณ” ชายคนนั้นบอกกับทุกคนไป แต่ในระหว่างนั้นเอง หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำห้อยปืนพกคู่ดูก็เดินมาหาชายที่กำลังประกาศผ่านไมค์อย่างรวดเร็ว

    “มาแล้วเหรอจันทร์ ทางนี้เลย” ชายคนนั้นพาโรสเข้าไปด้านในบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นบ้านพักของเขา ซึ่งด้านในมีกลุ่มชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งรออยู่แล้ว

    “เฮ้ โรส กลับมาแล้วเหรอ??” ชายหนุ่มผ้าพันคอฟ้าคนหนึ่งทักทายเธอไป

    ตะวัน โรส คุณจอห์น ดีที่ได้พบกันอีกค่ะ ตอนนี้เขตภาคกลาง ไอ้สาลิกามันแทบจะครองทั้งหมดแล้ว มันเพิ่มกำลังคนกับอาวุธมากขึ้น กว่าฉันจะเข้าไปได้ก็เหนื่อยเลย” จันทร์ตอบไป

    “อ้อ ไอ้แก่บ้านั่นเหรอ น่าจะมีใครฆ่ามันตั้งนานแล้ว” โรสพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าพวกมันจะว่าจ้างมือดีที่ยังเหลืออยู่ แสดงว่า มันต้องขยายอิทธิพลเพิ่มขึ้นแน่นอน” จอห์นพูดขึ้น

    “ฉันว่าเห็นทีเราคงต้องรับศึกใหญ่แล้วหล่ะ คุณจอห์น ตอนนี้เรามีเงินเหลือแค่ไหนกัน??” 

    “ก็มีพอจะยื้อกับพวกมันอยู่หน่ะคุณคามิ แต่เราคงต้องหาคนเพิ่ม” จอห์นพูดกับชายผู้เป็นทั้งโฆษกและหัวหน้าของกลุ่ม

    “ถ้าเรื่องคน ผมกับพี่โรสจะลองไปหาเพิ่มก็ได้นะ” ตะวันพูดขึ้น

    “ตอนนี้ฉันเองก็กำลังพัฒนาสาร VOC-9 เพิ่มอยู่ ถ้าเราทำได้ เราจะสามารถเปลี่ยนพื้นที่กัมมันตรังสีเป็นพื้นที่เพาะปลูกได้” จันทร์พูดขึ้น

    “ตอนนี้ศพที่ชาวบ้านเอามา น่าจะพอให้พวกเราประทังชีวิตไปได้ชั่วคราว เราคงต้องหาอาหารแห้งเพิ่มด้วย” คามิพูดขึ้น 

    “จะว่าไป ตอนนี้ที่เขตภาคกลาง พวกไอ้สาลิกามันเริ่มขยายอิทธิพลมากขึ้น อีกไม่นาน พวกมันก็คงจะเข้าเขตของเราแล้ว” โรสพูดขึ้น

    “ผมขออาสานำคนไปต้านพวกมันเองครับ” ตะวันพูดขึ้น

    “แต่เราต้องมีอาวุธมากกว่านี้นะไอ้น้อง อาวุธที่เรามีก็พอได้แค่ป้องกันตัวเองหล่ะนะ” จอห์นพูดปรามเขาไป

    “หรือบางที เราอาจจะต้องปล้นอาวุธของพวกมันแล้วหล่ะ ใช้สงครามกองโจรกับมัน” โรสพูดขึ้น

    “จริงด้วย ถ้าอย่างงั้นดิฉันจะจัดการเรื่องอาวุธเองค่ะ” จันทร์พูดขึ้น

    “อืม ได้สิ ถ้าอย่างงั้น ตะวัน นายรับผิดชอบเรื่องคุ้มกันพื้นที่ของเราแล้วกัน” คามิบอกกับตะวันไป

    “เออ คุณจอห์น เรื่องการค้าใหม่ที่คุณกำลังทำอยู่นี่จะยังไง??” โรสถามเขาไป

    “ฉันไปได้ข่าวมาว่าที่เขมรตอนนี้กำลังเป็นพื้นที่ปลอดภัย ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ น่าจะช่วยเราได้” จอห์นพูดขึ้น

    “อืม ถ้าอย่างงั้น ฉันขอคนให้ฉันซัก 20 ได้หรือเปล่า??” จันทร์ถามคามิไป

    “ได้สิ เธอไปเลือกคนเองแล้วกัน” คามิพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก ชายสองคนก็มาเคาะประตูเรียกเขา จากนั้นก็เปิดประตูเข้ามาในทันที

    “ขออนุญาตครับท่าน อาหารมาแล้วครับ”

    “อืม เอาเข้ามาได้เลย” คามิบอกกับทุกคนไป จากนั้นไม่นานพวกเขาก็เอาเนื้อย่างที่เป็นเนื้อของซากศพพวกนั้นเอามาปรุงอาหารให้กับพวกเขาได้ทานในทันที พวกเขาวางมันไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

    “อืม วันนี้หอมดีนะครับเนี่ย” ตะวันพูดขึ้น

    “ฉันไม่อยากให้พวกเขาย่างเนื้อเลย มันต้องใช้ไฟ และมันก่อมลพิษอีก” จันทร์พูดขึ้น

    “เอาน่า ตอนนี้เราเลือกอะไรได้ไม่มากหรอกนะ” จอห์นพูดขึ้น จากนั้นก็จิ้มเนื้อนั้นและตักเข้าปากอย่างเรียบเฉย ราวกับว่ามันเป็นเนื้อมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็เอาเนื้อนั้นให้กับหมาที่นอนอยู่ข้างๆเขากินด้วย

    “เออนี่ เจ้าเหมียวของฉันอยู่ไหนเนี่ย??” จันทร์ถามไป 

    “เอาเถอะ คงเดินเล่นอยู่แถวนี้หล่ะมั้ง” คามิพูดจบจากนั้นก็จิ้มเนื้อตักเข้าปากในทันที

     

    ณ จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย ซึ่งมันควรจะสงบสุข แต่ตอนนี้ เสียงปืนเองก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ที่เขตชายแดนไทย ที่ค่ายแห่งหนึ่ง กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ราวกับว่าพวกเขากำลังทำสงครามกัน ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทหารคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเกราะสีดำในชุด Tactical ก็วิ่งไปยังแนวหลัง ซึ่งในตอนนั้นมีทหาร 4 คนกำลังนั่งดูสถานการณ์อยู่แถวนั้น เขาทำความเคารพทหารคนนั้นในทันที

    “ขอรายงานครับ ตอนนี้พวกโจรม้งกำลังถอยไปแล้วครับ!!” ทหารคนนั้นรายงานไปยังหัวหน้าของเขาทั้ง 4 คน โดยที่พวกเขาก็มีป้ายชื่อติดไว้

    “จ.ส.อ. ทศพล..”

    “จ.ส.ท. นรงค์...”

    “จ.ส.ต. พรศักธิ์..”

    “จ.ส.ต. ์..เขาทั้ง 4 คน โดยที่พวกเขาก็มีป้ายชื่อติดไว้

    ข้างๆเขากินด้วย

    างประตูเข้ามาในึ่งตายด้วยสาเหตุต่างๆ หนีออกนอกประเทศได้ก็เส.ต. นนท์..”

    “อืม เจอช่องเมื่อไหร่ เข้าตีได้เลย” จ่าที่ชื่อทศพล ซึ่งดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ออกคำสั่งไป

    “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าจะง่ายขนาดนี้นะครับ” จ่านนท์พูดขึ้นพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมา จากนั้นก็จุดมันสูบในทันที จากนั้นก็แบ่งให้จ่าพรไปด้วย

    “เออๆ ขอบใจมาก” จ่าพรพูดแบบอู้อี้ จากนั้นก็จุดบุหรี่สูบไปด้วย

    “แปลกแหะ วันนี้นายจุดบุหรี่สูบเองด้วย ทุกทีใช้คนจุดให้” จ่ารงค์พูดแซวเขาไป

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราคงจะเข้าใกล้ค่ายของพวกมันแล้ว จ่านนท์ ให้คนไปสังเกตการณ์ด้วยว่าพวกมันมีการป้องกันเป็นยังไงบ้าง” จ่าพลพูดขึ้น

    “ได้เลยครับ” จ่านนท์ตอบไป

    “อืม จะว่าไป สถานการณ์ที่อื่นเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” จ่าพรถามในขณะที่ปล่อยควันออกมาเฮือกใหญ่

    “นั่นสิ ตั้งแต่ที่พวกรัฐบาลหายหัวไป ประเทศเราก็เละเทะไปหมดเลย” จ่ารงค์พูดเสริม

    “เท่าที่ผมได้ข่าว ตอนนี้แต่ละก๊กก็มีอำนาจมากขึ้น อย่างพวกฝรั่งที่ตอนนี้ยึดกรุงเทพและปริมณฑล กองกำลังตะวันออก พวกไอ้สาลิกาที่ภาคกลาง กองกำลังทางอีสาน ไหนจะพวกจีนทางเหนืออีก” จ่านนท์พูดขึ้น

    “เออ ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะเนี่ย” จ่าพลพูดพลางถอนหายใจ

    “ก็คงต้องโทษไอ้พวกหัวขวดในสภานั่นหล่ะนะ เกิดเรื่องทีไรก็หนีทุกที” จ่ารงค์พูดขึ้น

    “แล้วเราจะทำยังไงต่อหล่ะครับ??” จ่านนท์ถามแบบซื่อๆ

    “เฮ้อ ความจริงเรายึดภาคตะวันตกไว้ สร้างฐานที่มั่นระดมพล รอกู้สถานการณ์ดีกว่า” จ่าพรพูดขึ้น

    “แต่ทำยังไงได้หล่ะ พวกมันตอนนี้ก็มีมากประมาณ ตอนนี้เราต้องจัดการพวกโจรตามชายแดนให้หมดก่อน เราอาจจะได้อาวุธและกระสุนมาเพิ่มด้วย” จ่าพลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็รีบหยิบปืนขึ้นมาในทันที

    “เอาหล่ะ นำกำลังของเรารุกไล่มันไปเรื่อยๆ จ่านนท์ ส่งคนไปสอดแนมค่ายของพวกมันด้วย”

    “รับทราบครับ!!” จ่านนท์รับคำสั่งไป

    “จ่าพร คุณเตรียมหน่วยหุ้มเกราะของเราให้พร้อม เราอาจจะต้องใช้มันโจมตีค่าย” 

    “รับทราบครับ” จ่าพรรับคำไป

    “จ่ารงค์ คุณมากับผม” 

    “รับทราบครับ” จ่ารงค์พูดขึ้น จากนั้นจ่าพลและจ่ารงค์ก็เดินไปยังแนวหน้าทั้งคู่ พร้อมด้วยอาวุธคู่ใจของเขา ในขณะที่การปะทะก็ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตภาคเหนือของประเทศไทย หมู่บ้านชายแดนซึ่งมันควรจะว่างเปล่าร้างผู้คน แต่ตอนนี้กลับมีชาวบ้านมากมายอาศัย พวกเขาใช้ชีวิตประจำวันราวกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน รถทหารคันหนึ่งได้ขับไปตามถนน จนมันไปสิ้นสุดที่ภัตตาคารจีนเล็กๆแห่งหนึ่ง ทหารที่ขับรถก็รีบลงจากรถและเข้าไปในร้าน เขาเดินเขาไปในห้องปิดห้องหนึ่ง แต่ก่อนจเข้าไป เขาก็ได้รับการชะล้างกัมมันตรังสีด้วยสารชนิดหนึ่ง เมื่อเรียบร้อย เขาก็เดินเข้าไปในห้อง ซึ่งหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งซดน้ำแกงอยู่ในห้อง

    “ท่านเหมยฮวา!!” ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางทำความเคารพเธอ

    “อืม มีเรื่องอะไรหล่ะ ทหาร??” เหมยฮวาถามในขณะที่ยังคงซดน้ำแกงของเธอ

    “มีข่าวมาว่ากองกำลังจักรวรรดิไทยกำลังเคลื่อนพลมายังพวกเราครับ!!”

    “อ้อ พวกนั้นเหรอ ได้ข่าวมาว่าพวกนั้นอ่อนแอ จะทำอะไรได้หล่ะ??” เหมยฮวาถามไป

    “อ่า แต่เท่าที่ทราบมา ดูเหมือนว่าพวกมันจะเอาคนมาเป็นหมื่นเลยนะครับ”

    “ฉันว่าไม่ถึงหรอก พวกมันคงต้องต่อสู้กับอีกหลายฝ่าย แต่ก็อย่าประมาทก็แล้วกัน ส่งกำลังของเราไปรับมือพวกมันที่ลำพูนก่อน แล้วจังหวัดแพร่กับน่านเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” เหมยฮวาถามไป

    “พวกเขาต้องการจะยอมแพ้กับท่าน แต่ตอนนี้กองกำลังจักรวรรดิไทยกำลังเข้าตีครับ”

    “งั้นก็ส่งทหารไปช่วยพวกเขา ตั้งรับพวกมันไว้ พื้นที่ของพวกเราเป็นต่อ พวกมันคงต้องรับมือลำบากแน่ๆ” เหมยฮวาพูดจบก็คีบเอาหมูแดงในจานมากินต่อ

     

    ณ จังหวัดพิษณุโลก บริเวณอำเภอเมือง ซึ่งในตอนนี้ประดับประดาไปด้วยธงมากมาย แต่นอกจากธงแล้ว มันยังมีสิ่งหนึ่งประดับไว้ด้วย มันคือศพของเหล่าชายหญิงที่ถูกแขวนคอมากมายอย่างน่าเวทนา พร้อมกันนั้นก็มีป้ายแขวนคอพวกเขา

    “ผมเป็นพวกขายชาติ!!”

    “ฉันมีเลือดเนื้อเชื้อไขเจ๊กกบฏ!!”

    “ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะรับใช้จักรวรรดิไทยอันยิ่งใหญ่!!”

    แต่ถึงกระนั้น ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงทหารมากมายก็คอยลาดตระเวนพื้นที่ และที่ทำการใหญ่ของจังหวัดพิษณุโลก ชายสูงวัยใส่แว่นหนึ่งกำลังนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะทำงาน วิทยุก็เปิดเพลงไทยเดิมบรรเลงไป ในตอนนั้นมีทหารชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาในห้องอย่างรวดเร็ว

    “ท่านครับ ขอรายงานครับ!!” ทหารคนนั้นพูดขึ้นพลางเหลือบไปมองป้ายชื่อที่ตั้งบนโต๊ะของเขา

    สาลิกา ชื่อไทยธรรม

    “เออ มีอะไรว่ามา??” ชายสูงวัยคนนั้นถามไป

    “ครับ ตอนนี้กองกำลังของเราเตรียมเข้าตีภาคเหนือแล้ว ส่วนภาคตะวันออก เราเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์แล้วครับ!!”

    “บ้าเอ้ย ไอ้เจ๊กกบฏพวกนั้น น่าจับพวกมันมาย่างทั้งเป็นยิ่งนัก!!” สาลิกาตะโกนออกมา

    “ครับ ตอนนี้ภาคอีสานเองก็เริ่มโจมตีเขตชายแดนของเราแล้วครับ”

    “ส่งคนไปฆ่าไอ้พวกชนบทจกปลาร้านี่ให้หมด ไอ้พวกกินปลาร้าพวกนี้มันต้องตัดลิ้นออกมาซะ แล้วสถานการณ์ที่กรุงเทพเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” สาลิกาถามไป

    “ตอนนี้กองกำลังปริศนากำลังเตรียมเข้ายึดอยุธยาแล้วครับ”

    “แม่งเอ้ย ประเทศนี้เป็นห่าอะไรหมดวะ ไอ้พวกต่างชาติ และพวกอ้ายอีไทยบางคนก็ไปร่วมกับพวกมัน ต้องไม่มีการไว้ชีวิตเด็ดขาด ให้ทอดพวกมันทั้งเป็นก็ต้องทำ อีกอย่าง เรียกยานกรมาพบฉันด้วย!!” สาลิกาตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่ลูกน้องของเขาจะเดินออกไป และไม่นานนัก นายทหารคนหนึ่งใส่ชุดเต็มยศก็เดินเข้ามาหาสาลิกาในห้อง จากนั้นก็ทำความเคารพเขา

    “จักรวรรดิไทยจงเจริญ!!” 

    “เออ อยากคุยพอดี คุณพอรู้สถานการณ์ของเราในตอนนี้หรือเปล่า??” สาลิกาถามไป

    “ทราบดีครับท่าน” ยานกรตอบกลับไป

    “เออ คุณคิดว่าพวกไหนที่เป็นปัญหาของเรามากที่สุดหล่ะ??” สาลิกาถามไป

    “ผมคิดว่ามี 3 ก๊กที่มีกำลังมากพอจะต่อต้านเรา ก๊กแรกคือพวกเจ๊กทางเหนือ ก๊กที่สองคือพวกแมลงสาบที่ราบสูงพวกนั้น ส่วนอีกพวกก็คือพวกเสือที่กระจัดกระจายตามภาคกลางครับ”

    “เออ คุณมีหน้าที่ทำยังไงก็ได้ เอาพวกมันไปลงนรกให้หมด โดยเฉพาะไอ้พวกเจ๊กกับไอ้พวกปลาร้าเน่าหนอนนั่น ฉันไม่สนว่าต้องใช้วิธีอะไร ถ้าพวกมันคิดต่อต้านจักรวรรดิไทยอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มันจะต้องไม่มีแผ่นดินกลบหน้า!!” สาลิกาพูดขึ้น

    “รับทราบครับท่าน ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”

    “ตอนนี้คนของเรามีอยู่แค่ไหนกันหล่ะ??” สาลิกาถามไป

    “กองกำลังของเราเต็มที่ประมาณ 4 หมื่น เราสามารถเกณฑ์ชาวบ้านพวกนั้นมารบได้ครับ”

    “ดี ถ้าเรื่องเกณฑ์คนมารบ ฉันจัดการเอง” สาลิกาบอกไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบริเวณภาคกลางของไทย หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเป็นหมู่บ้านธรรมดา แต่ที่นี่เหมือนว่าที่นี่กำลังเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ ชาวบ้านถูกจับมาและถูกกราดยิงอย่างดุเดือด พวกเขาเก็บเอาเสบียงมากมายที่หามาได้เก็บไว้ในรถบรรทุก และไม่นานนัก ชายคนหนึ่งซึ่งมีผ้าปิดหน้าถือ AK ได้เดินไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่แถวนั้น ซึ่งข้างในชายคนหนึ่งกำลังข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่งในรถอย่างเมามันส์

    “นายทศครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น แต่เขายกมือขึ้นไว้ก่อน และเมื่อเขาเสร็จกิจแล้ว เขาก็ถีบผู้หญิงคนนั้นลงจากรถอย่างไม่ใยดี จากนั้นก็ไปคุยกับลูกน้องของเขา

    “เออ ว่าไง??”

    “ตอนนี้เราได้เสบียงกับเชลยมาเพียบเลยครับ”

    “ดี ที่นี่เป็นที่ของพวกไอ้สาลิกา ทิ้งสัญลักษณ์ให้พวกมันดูหน่อย และประกาศให้ชาวบ้านรู้ด้วย ว่าถ้าไปเข้ากับไอ้สาลิกา มันต้องเจอแบบนี้!!” ทศตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

    “ครับนาย”

    “เออ อีนั่นหน่ะ พวกมึงเอาไปแบ่งกันกินเลย แล้วอีกอย่าง บ้านไหนมีถังเก็บน้ำบ้างวะ กูจะล้างตัวหน่อย??” ทศถามไป

    “ทางนี้ครับนาย” ลูกน้องของเขาพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพาทศที่ใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวไปยังบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังนี้ลูกน้องของทศได้ฆ่าพวกเขายกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่หมา มีศพยายแก่ขวางทางของทศ ทศเตะร่างนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำการล้างตัวต่อ

     

    อีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นเท่าไหร่นัก ในตอนนั้นกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามปล้นหมู่บ้านข้างเคียง แต่ในตอนนั้นเอง พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งท่าทางเบื่อๆ เหม่อๆ กำลังเดินเข้าหมู่บ้าน ทำเอาพวกโจรถึงกับแปลกใจ

    “เฮ้ย มึงเป็นใครวะ อยากตายหรือไง??” โจรคนหนึ่งตะโกนออกมา จากนั้นก็เล็งปืนใส่เขา แต่ในตอนนั้น 

    “ปัง!!” ชายคนนั้นชักปืนลูกโม่ที่เหน็บไว้ออกมายิงใส่โจรคนนั้นจนตายคาที่ ทำเอาพวกนั้นถึงกับเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานชายมีเคราคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็ไม่กลัว ซัดลูกโม่ใส่พวกนั้นต่อ

    “ปังๆๆๆ”

    พวกนั้นโดนยิงจนล้ม แต่ก็ยังพยายามจะเล่นงานชายคนนั้น ชายคนนั้นหาที่หลบและใส่กระสุนต่อ จากนั้นก็ยิงพวกมันต่อ

    “ปังๆๆๆๆๆ”

    กระสุนทุกนัดของเขายิงไม่พลาดเป้าเลย ทำเอาพวกนั้นถึงกับต้องหนีหลังจากที่เห็นท่าไม่ดี ชายคนนั้นรีบเดินออกจากหมู่บ้านในทันที

    “ไปดีกว่าโซฮาน ที่นี่เหมือนจะไม่ค่อยอยากต้อนรับเรานะ”

     

    ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี เมืองที่เคยเต็มไปด้วยสีสันและความสุข แต่ตอนนี้มันกลับวุ่นวายหลังจากเกิดเหตุการณ์นิวเคลียร์ และเหตุวุ่นวายที่ว่าก็คือ กองกำลังติดอาวุธกลุ่มหนึ่งได้นำตัวชายฉกรรจ์ชาวรัสเซียที่อยู่แถวนั้นมากมายออกมารวมตัวกัน ทุกคนถูกจับมัดเอาไว้ และทหารคนหนึ่งได้วิ่งไปยังรถจิ๊บกองทัพคันหนึ่ง ที่หญิงสาวในเครื่องแบบกำลังนั่งอยู่ในรถ เขารีบทำความเคารพทหารหญิงคนนั้นในทันที

    “ท่านครับ ตอนนี้เราจับพวกกบฏรัสเซียได้หมดแล้วครับ!!”

    “ดี ประหารไอ้พวกนี้ให้หมด ไอ้พวกหนักแผ่นดินนี่” หญิงสาวคนนั้นตอบไป 

    “ครับท่าน!!” ทหารคนนั้นรีบวิ่งออกไปในทันที และในขณะเดียวกัน ทหารหญิงอีกคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว

    “คุณจินเยว่คะ กองทัพของเรากำลังเตรียมบุกฉะเชิงเทราแล้วค่ะ”

    “งั้นเหรอ ที่นั่นมีใครคุมอยู่หล่ะ??” จินเยว่ถามไป

    “สายข่าวของเราบอกมาว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลเดิมที่ย้ายหนีไปที่นั่นค่ะ แต่พวกมันไม่เข้มแข็งมากค่ะ”

     “ดี แล้วตอนนี้พวกกรุงเทพมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า??” จินเยว่ถามไป

    “มีข่าวมาว่าพวกเขาเน้นไปทางด้านเหนือค่ะ”

    “อืม ดี แล้วทางอีสานเป็นยังไงบ้าง??” จินเยว่ถามไป

    “ทางอีสานตอนนี้กำลังวุ่นวาย พวกเจ้าพ่อในท้องที่กำลังฆ่ากันขนานใหญ่เพื่อแย่งชิงอำนาจเลยค่ะ มีข่าวมาว่าทางอีสานตอนใต้ยังเพาะปลูกได้ด้วยค่ะ”

    “อืม ถ้าอย่างงั้นก็นิ่งไว้ก่อน ปล่อยให้พวกมันตีกันให้เละไปก่อน แล้วเราค่อยจัดการพวกมันอีกที” จินเยว่พูดขึ้น

    “รับทราบค่ะ”

     

    และอีกด้านหนึ่งในภาคกลาง ถนนเส้นหนึ่งซึงในตอนนี้มีการขนเชลยให้เดินไปตามถนน พวกเขาถูกเชือกจับมัดเอาไว้เป็นทางยาว โดยที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์บ้าง ขี่ม้าบ้างคอยคุมพวกเชลย ถ้าเชลยพวกนั้นหมดแรงหรือเป็นอะไรก็จะลงจากรถและไปทำร้ายร่างกาย

    “เฮ้ย ลุกสิวะ!!” ผู้คุมเดินลงไปเตะหญิงแก่คนหนึ่งที่กำลังนอนหมดแรงบนถนน

    “พอเถอะค่ะ เธอไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วนะคะ” หญิงสาวที่ถูกจับมาด้วยพูดขึ้น

    “มึงเสือกอะไรด้วยวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกมา ก่อนที่เขาจะชักปืนและเล็งใส่เธอ โดยที่เด็กคนหนึ่งมาขวางทางเอาไว้

    “อย่าทำแม่หนูนะ!!”

    “ได้ งั้นมึงโดนก่อนแม่มึงแล้วกัน!!” มันตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้นเอง

    “ฉึก!!”

    หลาวไม้ไผ่ปริศนาพุ่งใส่หัวของชายคนนั้นจนแน่นิ่งตายคาที่ ทำเอาผู้คุมคนอื่นๆถึงกับเตือนภัยในทันที

    “เฮ้ย มีคนบุกรุก!!”

    “ฉึก!!” ลูกธนูอีกหลายดอกปักเข้าใส่กลุ่มผู้คุมพวกนั้น ก่อนที่ไม่นานนัก กลุ่มคนที่ซุ่มอยู่ข้างทางก็บุกเข้ามาชาร์จใส่พวกมันอย่างรวดเร็ว พวกผู้คุมไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยทิ้งอาวุธและหนีไปในทันที บางส่วนที่บาดเจ็บก็นอนอยู่ตรงนั้น ในระหว่างนั้น ชายสวมแจ๊กเก็ตทหารคนหนึ่งก็เดินออกมาจากป่า จากนั้นก็มาดูร่างของผู้คุมคนหนึ่งที่กำลังร่อแร่เต็มที

    “พี่พร จะเอายังไงต่อดีพี่??”

    “พวกชาวบ้านพาหนีไป ส่วนไอ้พวกเหี้ยนี่ ฆ่ามันให้หมด จะได้ไม่เปลืองข้าวสุก” ชายคนนั้นตอบไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในโคราช บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธคุ้มกันอยู่ และในบ้านมีชายคนหนึ่งกำลังนั่งกกอีหนูแกล้มเบียร์ แต่ในตอนนั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็กำลังเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว โดยที่ชายติดอาวุธคนหนึ่งเดินตามเธอ

    “เฮ้ยเดี๋ยวเธอ จะไปไหน!!” ชายคนนั้นตะโกนออกมา ทำเอาลูกน้องคนอื่นๆถึงกับหันมาดู แต่ในตอนนั้นเอง

    “ตู้ม!!”

    ระเบิดลูกหนึ่งดังขึ้นและทำลายชั้นสองของบ้านจนเรียบ กลุ่มกองกำลังที่อยู่ด้านล่างถึงกับตกใจมาก หญิงสาวคนนั้นเองก็ชักปืนที่เหน็บไว้ด้านล่างยิงใส่พวกนั้น

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    หญิงสาวคนนั้นรีบวิ่งหนีออกจากบ้าน เธอวิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่แถวนั้น จากนั้นก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปในทันที ก่อนที่เธอจะโทรหาใครบางคน 

    “เฮ้ นี่ฉันบลูมเอง งานฉันเสร็จแล้ว”

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในอ่าวไทย กองเรือรบกองหนึ่งได้แล่นไปตามทะเล คลื่นลมดูสงบ และที่เรือลำใหญ่ลำหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์เรือธงติดอยู่ และในห้องบังคับการเรือ นายทหารเรือคนหนึ่งกำลังยืนมองวิวจากบนนั้นอย่างตั้งใจ

    น.อ. การิน...”

    “ดูเหมือนช่วงนี้คลื่นลมจะดีนะเนี่ย” นายทหารเรือคนนั้นพูดขึ้น

    “รับท่าน แต่ก็คงไม่นานครับ ไม่รู้ว่ามรสุมจะมาเมื่อไหร่” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น

    “นั่นสิครับ อีกอย่าง ตั้งแต่เหตุการณ์นิวเคลียร์ เหมือนพายุมันจะมีเยอะขึ้น ทั้งๆที่หน้าร้อนด้วยครับ”

    “ก็ลมกัมมันตรังสีขนาดนั้น อากาศมันก็แปรปรวนหน่ะสิ ว่าแต่สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่เป็นยังไงบ้าง??” การินถามไป

    “ครับท่าน ตอนนี้กรุงเทพและปริมณฑลถูกควบคุมโดยองค์กร VSC พวกเขาควบคุมความสงบในพื้นที่ใกล้จะแล้วเสร็จแล้ว ส่วนภาคตะวันออก มีกองกำลังใหม่กำลังยึดครองพื้นที่ตะวันออกทั้งหมด เธอเป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังหน่ะครับ”

    “ฉันรู้ว่าแม่นั่นเป็นใคร ดูเหมือนว่าเธอจะคุมได้อยู่หมัด เราคงต้องเล่นงานกรุงเทพฯก่อน พวกต่างชาติกำลังยึดครองประเทศนี้ เราต้องให้พวกมันรู้สำนึก” การินพูดขึ้น

    “แล้วเราจะไม่ไปรวมตัวกับกองกำลังของคุณสาลิกาเหรอครับ??”

    “ไอ้แก่วิปลาสคนนั้นงั้นเหรอ ไม่เอาหรอก” การินตอบไป

    “แล้วถ้าเกิดรวมประเทศไทย ใครจะมาคุมทั้งหมดหล่ะครับ ตอนนี้คณะรัฐบาลทั้งหมดก็หนีออกไปแล้ว??”

    “อืม นั่นสิ ตอนนี้คงต้องขับไล่พวกมันออกไปให้ได้ก่อน ค่อยว่ากัน” การินตอบไป

    “แล้วทำไมท่านถึงไม่ขึ้นมานำประเทศนี้เลยหล่ะครับ??”

    “อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวใครจะมองว่าผมมักใหญ่ใฝ่สูงหน่ะ” การินตอบไป และในตอนนั้นเอง การินเองก็หยิบวอขึ้นมาและติดต่อกับใครบางคนไปด้วย

    “คุณบากาตอฟ ตอนนี้กองกำลังของคุณพร้อมหรือเปล่า??”

    “ฉันพร้อมอยู่แล้ว ว่าแต่คุณจะเอายังไงต่อเถอะ??” เธอถามกลับไป

    “กลับไปถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วฉันจะคุยเรื่องของโซฮานด้วย”

    “อ้อ คิดถึงเขานั่นพอดีเลยค่ะ” บากาตอฟตอบไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งของจังหวัดอยุธยา จังหวดท่องเที่ยวซึ่งในตอนนี้เป็นสถานที่ในการปะทะกันระหว่างกองกำลังของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นกองกำลังชุดขาวดำของ VSC ส่วนอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และแน่นอน กลุ่มผู้มีอิทธิพลพวกนั้นสู้อะไรไม่ได้เลย และต้องถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่มีการปะทะกัน ชายคนหนึ่งก็ค่อยๆออกมาจากที่ซ่อนซึ่งเป็นสวนสาธารณะแถวนั้น เขาค่อยๆหลบกระสุนไปเรื่อยๆ เดินออกจากสวน และในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งได้ขี่มอเตอร์ไซค์และถือปืนมาด้วยก็มาจอดแถวนั้น จากนั้นก็ตะโกน

    “รีบถอยก่อนเร็วโว้ย!!”

    เขาค่อยๆย่องเข้าใกล้มอเตอร์ไซค์เรื่อยๆ แต่ในตอนนั้นคนขับก็เห็นก่อน เขาเล็งปืนใส่ชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นวิ่งไปและกระโดดเตะมันจนร่วง

    “ตุ๊บ!!”

    ชายคนนั้นรีบวิ่งเข้าไปและกระหน่ำซัดหมัดใส่หน้ามัน จากนั้นก็ยึดปืนและรถของมันอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้น พวกมันอีกสองคนก็บังเอิญมาเจอเข้า จากนั้นก็ไล่ยิงชายคนนั้นในทันที

    “ปังๆๆๆๆๆๆ”

    เขารีบขี่มอเตอร์ไซค์หลบหนีไปในทันที เขาหนีไปตามถนนเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันในใจเขาก็คิดอะไรบางอย่างไปด้วย

    แจนรี่ รอผมก่อนนะ..”

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในจังหวัดลพบุรี โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่ก็รับผู้ป่วยเหมือนปกติ แต่ในคราวนี้มีผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อกัมมันตรังสีมารักษาด้วย แต่ดูเหมือนว่ายาจะไม่เพียงพิเท่าไหร่นัก พยาบาลสาวสวยคนหนึ่งที่เพิ่งจะตรวจคนไข้เสร็จ พยาบาลอีกคนก็เดินมาหาเธอในทันที

    แจน หมอเรียกพวกเราไปช่วยเคสนี้หน่อย”

    “หือ คนไข้เป็นอะไรหล่ะ??” แจนถามกลับไป

    “น่าจะแพ้รังสีขั้นรุนแรงเลยหล่ะ” เมื่อพูดจบ ทั้งคู่ก็เดินไปยังพื้นที่ห้องพยาบาลห้องหนึ่ง ซึ่งพวกเขาพาชายร่างท้วมคนหนึ่งนอนลงบนเตียง พวกเขารีบแก้ผ้าและเอาน้ำล้างรังสีออกในทันที

    “อาการเป็นยังไงบ้างคะหมอ??” แจนรีบถามไป

    “ดูแล้วคงอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือนแน่คุณแจน”

    “ดูท่าเขาจะแพ้รุนแรงมาก ค่ารังสีไม่มากแต่อาการเป็นขนาดนี้” แจนพูดขึ้น

    “อืม ตอนนี้ยาของเราเหลือเท่าไหร่กัน??” 

    “ไม่น่าจะพอรับคนไข้หรอกค่ะ” แจนตอบไป

    “เฮ้อ ถ้ายาหมดพวกเราก็จบกัน” หมอพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นานนัก ชายคนนั้นจะขาดใจตายไปดื้อๆ ทำเอาหมอคนนั้นถึงกับถอนหายใจออกมา

    “บ้าเอ้ย จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย??”

    “เราไม่มียา แถมประเทศยังมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก” แจนพูดขึ้น

    “เอาร่างเขาออกไป บอกญาติเขาด้วย” หมอพูดขึ้น ก่อนที่แจนกับเพื่อนของเธอจะเข็นเอาร่างของชายคนนั้นออกไปจากโรงพยาบาลในทันที ในขณะที่แจนเองก็ดูเป็นกังวลเล็กน้อย 

    “แจน มีอะไรหรือเปล่า??”

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก ฉันคิดถึงสามีฉันหน่ะ เขาคงจะตายแล้วหล่ะ” 

    “เอาน่า อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปสิ” เพื่อนของแจนปลอบใจเธอไป

     

    ณ วิลล่าแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย กัมพูชา ชายผิวขาวคนหนึ่งกำลังนั่งจิบไวน์เลิศรสที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ พลางมองชื่อที่อยู่บนป้ายตั้งโต๊ะของเขา

    แดเนียล กาเบรียล

    “อืม นี่ดีนะ ที่เราออกมาจากสหรัฐก่อน ไม่งั้นเราตายแน่” เขาพูดขึ้นจากนั้นก็จิบไวน์ต่อ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกน้องของเขาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาในห้อง

    “นายครับ”

    “เออ เป็นยังไงบ้าง??” แดเนียลถามไป

    “ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยครับ ไม่มีปัญหาแน่นอน”

    “เออ ดี ถ้าไม่อย่างงั้น ฉันโยนแกให้หมากินแน่ๆ แล้วอีกอย่าง เรื่องคนที่ฉันให้ตามสืบหน่ะ เป็นยังไงบ้าง??” แดเนียลถามไป

    “ผมไปตรวจสอบเรือนจำที่คุณบอกแล้ว หลังจากเหตุการณ์นิวเคลียร์ พวกนักโทษก็หนีหายกันไปหมดเลยครับ”

    “ถ้าอย่างงั้นไปสืบหาตัวพวกมัน ใช้เงินเท่าไหร่ไม่เดี่ยง เจอแล้วจับมันมาให้ฉัน” แดเนียลพูดขึ้น

    “ได้ครับนาย ผมจะรีบจัดการครับ”

    “เออ แล้วก็เอาเด็กๆมาให้ฉันด้วย” แดเนียลพูดทิ้งท้ายไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในอยุธยา การปะทะกันระหว่างกองกำลัง VSC และกลุ่มกบฏในพื้นที่จังหวัดอยุธยาก็เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าปะทะอย่างแข็งขัน แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มกบฏในพื้นที่กำลังถูกไล่ต้อนอย่างหนัก และที่โกดังแห่งหนึ่ง

    “ฉึก!!”

    ชายในชุดแจ๊กเก็ตทหารคนหนึ่งเพิ่งจะใช้มีดแทงชายคนนั้นจากนั้นก็ทิ้งร่างมันลงกับพื้น ในขณะที่เพื่อนมันพยายามจะคลานไปหยิบปืน แต่ชายคนนั้นรีบเดินไปหามันก่อน จากนั้นก็เหยียบร่างของมันไว้

    “โอ้ย ระยำเอ้ย ต้องการอะไรวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกมา

    “แค่มาหาอะไรกินหน่อยหว่ะ” ชายคนนั้นตอบไป จากนั้นก็เชือดคอหมอนั่นจนมันแน่นิ่งตายคาที่ จากนั้นก็ไปหยิบอาหารกระป๋องมากินในทันที 

    “รอดไปอีกมื้อแล้วหล่ะ ไมน์ฮาร์ทเอ้ย” ชายคนนั้นพูดขึ้นจากนั้นก็กินต่อ

     

    และอีกด้านหนึ่งของเมือง ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปในนั้น เธอสังเกตตรงนั้นทีตรงนี้ที พบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เธอเดินไปในห้องพักของพนักงานโรงแรม จากนั้นก็ปิดประตู และไปนั่งบนโซฟาอย่างสิ้นหวัง

    “ฮือๆๆๆ” เด็กสาวคนนั้นร้องไห้ออกมา แต่ก็ได้ไม่นาน เธอรู้สึกหิวเลยหยิบเอาขนมปังก้อนหนึ่งกับอาหารกระป๋องขึ้นมาเพื่อประทังความหิว

    “ปังๆๆๆๆๆๆ” เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่อง เด็กสาวคนนั้นหวาดกลัวเล็กน้อย เธอรีบชักปืนลูกโม่ที่เธอขโมยมาได้ออกมา ก่อนที่เธอจะรีบดันโต๊ะแถวนั้นมาปิดประตูเอาไว้ในทันที เพราะกลัวว่าจะมีใครเข้ามา

    “พ่อคะ แม่คะ กลับมาหาหนูเถอะค่ะ” เธอพูดขึ้นพลางนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น พร้อมกับร้องไห้ต่อ

    โคลเวอร์ หนูต้องเข้มแข็งนะ..”

    “แม่คะ หนูคิดถึงแม่..” เด็กสาวคนนั้นพูดขึ้น

     

    อีกด้านหนึ่งของสมรภูมิ สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กองกำลังมาเฟียท้องที่ได้ยึดสถานีเอาไว้แล้ว พวกนั้นฆ่าตำรวจทุกคนไม่มีเหลือ และกำลังหาของเพิ่มเติมสำหรับเอาชีวิตรอด พวกมันบางส่วนออกไปเดินสำรวจด้านนอก และในตอนนั้นเอง

    “ฉับ!!” ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตดำใส่ผ้าปิดตาดูน่าเกรงขามคนหนึ่งชับดาบออกมาฟันร่างของยามคนนั้นจนล้มลง มันอีกคนเห็นเข้าเลยเล็งปืนใส่

    “เฮ้ย หยุดนะ!!”

    “ฉึก!!” ชายคนนั้นปาดาบเข้าที่หัวของมัน จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหยิบดาบที่ปักหัวมันออกมา ก่อนที่ไม่นานนัก เขาจะรีบวิ่งเข้าไปที่สถานีตำรวจในทันที ในขณะที่พวกมันกำลังยุ่งๆ

    “เฮ้ย ใครวะ ฆ่ามันเลย!!”

    “ฉับๆๆๆๆๆ” ชายคนนั้นใช้ความรวดเร็วในการฟันดาบใส่พวกมันจนตายไปทีละคน พวกมันพยายามยิงสวนแต่ไม่ได้ผล หลังจากที่จัดการแล้ว ชายคนนั้นรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานตำรวจ จากนั้นก็เดินไปค้นตัวของสารวัตรผู้บังคับบัญชาของสถานีนั้น เขาหาอะไรบางอย่างไป แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เจออะไรเลย

    “บ้าเอ้ย คว้าน้ำเหลวอีกแล้ว อาคุมุเอ้ย” ชายคนนั้นพูดขึ้น ก่อนที่จะเดินออกมาจากสถานีตำรวจอย่างหัวเสีย ปล่อยให้ศพของพวกมันนอนแน่นิ่งตรงนั้นไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในภาคกลาง บริเวณทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ปนเปื้อนไปด้วยกัมมันตรังสีหมดแล้ว ไม่สามารถปลูกต้นข้าวได้เลย และแถวนั้นก็มีไก่เดินไปเดินมา แต่ไก่พวกนี้เองก็ถูกรังสีเข้าไป แม้จะเป็นปริมาณน้อย แต่มันไม่สามารถจับมากินได้เลย

    “พรึ่บ!!” 

    ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งใช้แหคลุมไก่ตัวนั้นไว้ ไก่ตัวนั้นพยายามขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง แต่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก ก่อนที่ไม่นาน หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งจะใช้สันปืนของเธอฟาดเข้าที่ไก่ตัวนั้น

    “ตุ๊บ!!”

    “ไอ้นี่มันร้ายจริงๆ เอามันไปล้างรังสีให้หมด” 

    “ไอ้ตัวนี้มันดุจริงๆนะ ฮานา ไม่น่าเชื่อเลย”

    “โดนรังสีไปจังเบอร์ขนาดนั้น มันก้ดุร้ายขนาดนี้แหละ” ฮานาตอบไป

    “แล้วเราต้องกินมันเหรอ??”

    “ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องกินกันเองแล้วหล่ะ อย่างน้อยก็มีชีวิตรอดไปได้อีกวันหล่ะนะ” ฮานาตอบไป ก่อนที่กลุ่มคนของเธอจะแบกร่างของไก่ตัวนั้นเอาไปใส่กรงไว้อย่างรวดเร็ว 

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย ป่าเขาสวยงามเหมาะกับการท่องเที่ยว แต่ในตอนนี้พื้นที่มีกัมมันตรังสีปกคลุม และบริเวณตีนเขาที่ไหนซักแห่ง ซึ่งตอนนี้มีรถบรรทุกจอดอยู่มากมาย คนแถวนั้นใส่หน้ากากกันแก๊สกันทุกคน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเช็ครถทุกที่เข้าออกไปมาแถวนั้น พร้อมกับคนของเธอที่ยืนอยู่ด้วย

    “ตอนนี้หาเส้นทางส่งสินค้าใหม่ได้หรือยัง??”

    “ครับคุณทิพย์ เราคงต้องผ่านพะเยาและลงไปครับ” 

    “อืม ตอนนี้เราต้องรีบหาเงินกับเสบียงเพิ่ม ส่งของได้ล็อตนี้ก็คงจะพอช่วยเราได้” ทิพย์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายขี่มอเตอร์ไซค์คนหนึ่งก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดตรงหน้าเธอ จากนั้นก็เดินมาหาเธออย่างรวดเร็ว

    “คุณทิพย์ครับ ตอนนี้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายกำลังเข้าตีเชียงรายครับ”

    “เฮ้อ พวกเจ๊กนั่นแน่ๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะเอาภาคเหนือทั้งหมด” ทิพย์พูดขึ้น

    “เราหนีจากเชียงใหม่มาแล้ว ยังต้องหนีพวกมันอีกเหรอเนี่ย??” 

    “บ้าเอ้ย ถ้าอย่างงั้นก็ส่งคนของเราไปต้านพวกมันไว้ก่อนสิ” ทิพย์พูดขึ้น

    “แต่ดูจากฝีมือของพวกมันแล้ว เราน่าจะต้านพวกมันไว้ได้ไม่นานนักครับ”

    “ผมเห็นด้วย ผมว่าเราควรจะย้ายที่มั่นของเราดีกว่านะครับ” ลูกน้องอีกคนของเธอพูดเสริม

    “แล้วเราจะไปไหนหล่ะ??” ทิพย์ถามไป

    “จังหวัดน่านครับ ที่นั่นเราน่าจะปลอดภัยครับ”

    “เออ จริงด้วย ได้ยินว่าที่นั่นอากาศดีด้วยนี่” ทิพย์พูดไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในตอนนี้กองกำลังจีนยูนนานกำลังบุกกวาดล้างกองกำลังในท้องที่อย่างดุเดือด ท่ามกลางความโกลาหลไปทั่ว ชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งเดินออกมาจากซอยแห่งหนึ่ง พร้อมกับถุงใบใหญ่ ก่อนที่ไม่นานนัก ชายถือ AK คนหนึ่งจะวิ่งไล่ตามเขามา

    “เฮ้ย ขโมย!!”

    “ปังๆๆๆๆๆ!!”

    ชายคนนั้นพยายามจะยิงหัวขโมยผมทองให้ได้ แต่ชายคนนั้นก็อาศัยจังหวะหนีออกไป มันพยายามไล่ตามแต่ไม่ทัน 

    “ระยำเอ้ย นั่นของพวกกูนะเว้ย!!” ชายถือ AK ตะโกนออกมา จากนั้นก็พยายามจะยิงต่อ แต่ในตอนนั้นเอง

    “ปัง!!”

    กองกำลังปริศนาคนหนึ่งได้ยิงชายคนนั้นจนล้มลง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป้าหมายมายังชายผมทองหัวขโมย เขารีบใช้จังหวะนั้นหนีออกไปในทันที ก่อนที่จะมาหลบอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งในอดีตมันเคยเป็นร้านของชำ ขากนั้นเขาก็นั่งลงพิงกำลังแถวนั้นและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    “รอดมาได้อีกวันแล้วนะ การิน” เขาคิดในใจไป


               ณ สนามบินร้างแห่งหนึ่งในพม่า พื้นที่ติดกับชายแดนไทย ซึ่งในตอนนี้เรือเหาะบรรทุกมากมายพากันบินลงจอดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อลงจอดแล้ว กองกำลังติดอาวุธในชุดขาวนวลก็ลงมาจากเครื่องบิน พร้อมกันนั้นก็รีบมาตั้งแถวอย่างรวดเร็ว จนไม่นานนัก เมื่อเรือเหาะลำหนึ่งลงจอดเรียบร้อยแล้ว ด้านล่างก็มีนายทหารในชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านข้างเรือเหาะลำนั้น และเมื่อประตูเรือเหาะเปิดออก ชายชุดสูทคนหนึ่งพร้อมกับนายทหารชุดขาวก็ลงจากเครื่องมา นายทหารคนนั้นรีบไปต้อนรับพวกเขาทั้งคู่ในทันที

    “ท่านอัลดริช คุณฟิลลิป ขอต้อนรับสู่พม่าครับ!!”

    “คุณมาติเยอ ยินดีที่คุณมาด้วยนะ” ชายที่ชื่ออัลดริชพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าเราคงต้องไปต่อกันนะ ที่ประเทศไทยหน่ะ” ฟิลิปพูดขึ้น

    “ใช่ครับ ที่เรามารวมกำลังที่นี่ เพราะที่พม่าปลอดภัย ตอนนี้ประเทศไทยกำลังวุ่นวายอย่างหนักเลยครับ” มาติเยอพูดขึ้น

    “อืม เดินไปคุยกันไปดีกว่า” อัลดริชพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบเดินไปตามเส้นทางที่มาติเยอเตรียมไว้ในทันที

    “ตอนนี้สถานการณ์ที่เมืองไทยเป็นยังไงบ้าง??” อัลดริชถามไป

    “ครับ จากที่ได้ข้อมูลมา ตอนนี้มีหลายฝ่ายกำลังต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันหนักมากครับ” ฟิลลิปพูดขึ้น

    “ก็นะครับ ตั้งแต่คณะรัฐบาลทอดทิ้งพวกเขา ที่นี่เลยกลายเป็นแดนเถื่อนไปเลย” มาติเยอพูดขึ้น

    “เพราะแบบนี้เราถึงมาที่นี่ไงหล่ะ แล้วเราจะต้องไปที่ไหนหล่ะ??” อัลดริชถามไป

     “เราจะต้องไปเขตภาคกลาง ซึ่งตอนนี้กำลังมีการปะทะกันหนัก แถมพลเมืองที่นั่นก็เยอะที่สุดครับ” ฟิลลิปพูดขึ้น

    “ไปสืบมาด้วย ว่าแถวนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของใคร รู้เขารู้เรา” อัลดริชพูดขึ้น ก่อนที่พวกเขา 3 คนจะเดินมาถึงรถคันหนึ่งที่ทหารของเขาเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว

    “เอาหล่ะ นำกำลังของเราข้ามพรมแดนได้เลย” อัลดริชออกคำสั่งไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตภาคกลาง ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิไทย ในตอนนี้กองกำลังชุดดำของจักรวรรดิไทยได้เดินหน้ากวาดล้างชุมโจรในพื้นที่มากมาย การปะทะเป็นไปอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายจักรวรรดิไทยจะเป็นต่อมากกว่า พวกเขาไล่ต้อนกลุ่มโจรพวกนั้นอย่างดุเดือด

    “ปังๆๆๆๆๆๆ!!”

    ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกัน แต่บริเวณนั้นมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองสมรภูมินั้นอย่างตั้งใจ สายตาของหญิงสาวคนนั้นซึ่งมีป้ายชื่อติดอยู่ที่ตัวของเธอ

    นาตาชา..”

    เธอใช้ไรเฟิลจู่โจมติดกล้องเล็งมองไปยังพื้นที่ เธอแทบไม่พูดอะไรซักคำ จากนั้นก็ลงจากต้นไม้ในทันที

    “สวบๆๆๆ”

    หญิงสาวคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้าใกล้เธอก็รีบลงจากต้นไม้ในทันที จากนั้นก็รีบไปหลบอยู่พุ่มไม้แถวนั้น ซึ่งในตอนนั้นชายสองคนใส่ชุดแจ๊กเก็ตถือปืนยาวได้เดินไปเดินมาแถวนั้น และยังไม่ทันที่พวกมันจะทำอะไร ในตอนนั้นเอง

    “ฉึก!!”

    นาตาชาโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ จากนั้นก็ใช้มีดปักเข้าที่คอของมัน มันอีกคนหันมาเจอเข้า แต่หญิงสาวคนนั้นก็ปาดคอมันไปอีกหนึ่งที

    “ฉึก!!”

    และเมื่อพวกมันตายกันหมด ตัวของเธอก็รีบลากศพของพวกมันทั้งคู่ไปซ่อนไว้ก่อนในทันที เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้

     

    ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดนนทบุรี ซึ่งตอนแรกดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะเปิดทำการแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเดินไปเดินมาเพื่อซื้อสินค้า บางส่วนเองก็มาตั้งแผงขายของด้วย ในห้องตอนนี้ก็ยังมีสินค้าอยู่มากมายตั้งอยู่ แต่ที่ต่างออกไปก็คือกองกำลังติดอาวุธซึ่งเป็นพนักงานของร้านถือปืนเฝ้า รวมถึงผู้คนก็เอาคริสตัลอะไรบางอย่างมาทำการแลกเปลี่ยนซื้อของ แต่ในตอนนั้นเอง

    “เฮ้ย นี่ของกู กูเจอก่อน!!”

    “ของกูต่างหากเว้ย!!”

    ชายสองคนกำลังทะเลาะกันแย่งของกันอยู่ พนักงานร้านพยายามไประงับเหตุ และในตอนนั้นเอง ชายแก่คนหนึ่งก็เดินเข้ามาระงับเหตุ ซึ่งพนักงานร้านก็รีบเดินไปหาเขา

    “ป๋าเจมส์ คนพวกนี้มันทะเลาะกันแย่งของครับ”

    “เฮ้ย ลื้อเป็นเถ้าแก่เหรอ ของร้านมึงมีไม่พอขายพวกเรานะเว้ย!!” ชายคนหนึ่งตะคอกออกมาใส่เจมส์

    “อ่า ใจเย็นนะครับ ตอนนี้สินค้าตัวสินกำลังมา ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้นะครับ” เจมส์พูดติดตลกไป

    “เฮ้ย แต่ผมเจอก่อนนะครับ!!”

    “ไม่ อั๊วเจอก่อน!!” ทั้งคู่แย่งของกันราวกับเป็นเด็กน้อย แต่ในตอนนั้นเจมส์พูดขึ้น

    “อ่าๆๆ เอางี้ ถ้างั้นก็วัดกันเลย เฮ้ย เอามีดให้พวกเขาคนละเล่ม ให้วัดกันเลย” เจมส์พูดขึ้น ก่อนที่พนักงานร้านจะยื่นมีดให้กับพวกเขาทั้งคู่ พวกนั้นดูแหยงๆไม่กล้ารับ จากนั้นก็พูดขึ้น

    “เออ เอาไว้วันหลังก็ได้ ฝากไว้ก่อนนะมึง!!” 

    “เออ เหมือนกัน!!” พวกเขาวางสินค้าไว้ที่เดิม ก่อนที่จะเดินไปทางอื่นอย่างหัวเสีย

    “ถุ๊ย!! นึกว่าจะแน่ เออนี่ ไปเอาของมาเติมด้วยนะ” เจมส์บอกกับพนักงานของเขา

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตภาคกลาง จังหวัดอ่างทอง รถคันหนึ่งได้ขับไปตามเส้นทางหลวงเรื่อยๆ ในช่วงนี้ตอนนี้ถนนก็ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเลย ตัวของคนขับรถมองธงที่ปักไปมาตามถนน ก็รู้เลยว่าเธอเข้าเขตของใคร ก่อนที่ไม่นานนัก เธอจะเจอด่านตรวจซึ่งมีชายใส่ชุดดำถืออาวุธประมาณ 3 คนเฝ้าอยู่

    “จอดหน่อยครับ!!”

    คนขับไม่จอดและขับแหกด่านไปอย่างรวดเร็ว พวกคนที่ด่านพากันตกใจและแยกย้ายกันไปคนละทาง ก่อนที่ไม่นาน พวกมันจะตั้งตัวได้และรีบขึ้นรถไล่ตามเธอไป 

    “เฮ้ย จับมันให้ได้!!”

    พวกมันขับรถไล่ตามเธออย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก พวกมันก็ขับขึ้นมาเทียบข้างรถเธอได้ ก่อนที่พวกมันจะมองเข้ามาที่รถของเธอ

    “เฮ้ย พวกฝรั่งนี่หว่า ฆ่ามัน!!” พวกมันตะโกนออกมา

    “มึงจะฆ่าใครวะ??” คนขับสวยสวยหน้าฝรั่งผมสีน้ำตาลคิดในใจก่อนที่จะเบียดรถของพวกมันลงข้างทางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รถของมันจะเสียหลัก

    “โคร้ม!!”

    รถของพวกมันพุ่งลงข้างทางอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวของเธอก็รีบขับหนีพวกมันต่อไปตามถนนใหญ่

    “เกือบไปแล้วซาซ่า” หญิงสาวคนนั้นคิดในใจไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบริเวณชายแดนลาว ไทย พื้นที่ซึ่งในตอนนี้มีผู้คนจากฝั่งลาวเดินทางอพยพลงมาทั้งเดินเท้าและใช้รถ แต่ส่วนใหญ่จะใช้รถมากกว่า และในตอนนั้น รถจิ๊บคันหนึ่งก็ค่อยๆขับผ่านกลุ่มผู้อพยพที่กำลังเดินเท้าข้ามฝั่งไทย แต่ที่เหมือนจะแปลกก็คือ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ตม. ที่ด่านเลยซักคนในตอนนี้

    “องค์หญิง ดูสิคะ ไม่มีเจ้าหน้าที่ซักคนเลย” หญิงสาวคนหนึ่งที่ขับรถให้พูดขึ้น 

    “ใช่แล้วหล่ะโทรุ พวกนั้นถ้าไม่หนีหายก็คงไปตั้งก๊กตั้งเหล่ากันเอง คิดว่านะ” คนที่ได้ชื่อว่าองค์หญิงใช้ภาษามือตอบโทรุกลับไป ก่อนที่ไม่นานนัก พวกเธอจะได้ยินเสียงรถคันหนึ่งขับมาทางเธอ พวกมันลงมาจากรถ จากนั้นพวกมันก็ลงจากรถและยิงปืนขึ้นฟ้า

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!” เสียงปืนพวกนั้นทำเอาชาวบ้านตกใจและวิ่งหนีไปคนละทาง บางส่วนก็คุกเข่าและร้องขอชีวิต

    “เขตนี้เป็นเขตของพวกเรา ถ้าอยากผ่านก็จ่ายมา!!” พวกมันตะโกนออกมา ก่อนที่ไม่นานนัก ตัวขององค์หญิงก็ทำภาษามืออะไรบางอย่างขึ้นมา โทรุเข้าใจเลยตอบไป

    “เอาจริงเหรอคะ??” โทรุถามอีกครั้ง คราวนี้องค์หญิงก็พยักหน้าให้

    “งั้นเกาะแน่นๆนะคะ” โทรุพูดขึ้นจากนั้นก็เร่งเครื่องในทันที จากนั้นก็พยายามฝ่าพวกมัน ในขณะที่ตัวขององค์หญิงก็โผล่ออกจากรถ และไล่ยิงพวกมัน

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    พวกมันตกใจรีบกระโดดหลบไปคนละทาง ส่วนโทรุเองก็ยังคงเร่งเครื่องและขับฝ่าพวกมันหนีไปก่อนที่พวกมันจะตั้งตัวได้

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งริมถนนพหลโยธิน กลุ่มของวินเดินทางมาตามถนนเรื่อยๆ จนตอนนี้พวกเขาก็เข้าเขตจังหวัดอยุธยาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาขับมาเรื่อยๆ เพื่อเดินทางเข้าจังหวัดต่อไป ก่อนที่ไม่นาน พวกเขาจะได้ยินเสียงปืนดังมาแต่ไกล ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องผ่อนเครื่องลดลง จากนั้นก็รีบขับรถเข้าไปในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เพื่อไปพักรถกันก่อน พวกเขาจอดรถที่หน้าร้านสะดวกซื้อและลงจากรถในทันที

    “เฮ้ เสียงปืนดังขึ้นตลอดเลย มันเกิดอะไรขึ้นหล่ะ??” ซูหยินถามไป

    “เออ เท่าที่ผมตามข่าว ตอนนี้กองกำลัง VSC กำลังเดินหน้าเข้าควบคุมความสงบในเขตต่างๆหน่ะ” เมตพูดขึ้น

    “อืม ดูเหมือนว่าพวกเราต้องป้องกันตัว เลี่ยงการปะทะแล้วหล่ะนะ” แอนนาพูดขึ้น ก่อนที่ไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

    “เฮ้ย มันเข้ามาใกล้เราแล้วนะ” โรสพูดขึ้น

    “นี่ ถ้าเธอกลัวก็ไปหลบในร้านนะ” รินบอกกับโรสไป

    “เฮ้ย พวกเธอไม่ต้องหลบเลย ให้พวกมันมาเลย!!” ไอ้หมูป่าพูดขึ้นพลางชักปืนออกมา

    “เฮ้ยวิน ฉันว่าเราไปหลบในร้านดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า” ฟรีพูดขึ้น

    “นั่นสิ ผมว่าเราหลบไปก่อนดีกว่า” วินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันเข้าไปหลบในร้านสะดวกซื้อในทันที ก่อนที่พวกเขาจะหยิบอาวุธขึ้นมา ก่อนที่ไม่นานนัก เขาจะเจอกับผู้หญิงสองคนที่กำลังวิ่งหนีกองกำลังชุดดำปริศนาที่ไล่ยิงพวกเธอ

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!” พวกเธอหลบไปอยู่หลังรถของวินและพรรคพวก พวกเธอพยายามจะขึ้นรถแต่ประตูก็ล็อค ในขณะที่พวกมันก็ล้อมเธอเอาไว้หมดแล้ว

    “ดูเหมือนมีผู้หญิงกำลังโดนล้อมฆ่านะเนี่ย” ซูหยินพูดขึ้น

    “เราต้องช่วยเธอนะคะ” โรสพูดขึ้น

    “เออ ครั้งนี้ฉันเห้นด้วยกับเธอหว่ะ” รินพูดเสริม

    “แต่เราไม่รู้นะว่าพวกมันมีแค่ไหน” ฟรีพูดปรามไป

    “เราก็กระจายตัวไปตามจุดและระดมยิงพวกมันสิ” แอนนาพูดขึ้น 

    “เออ ผมจะไปช่วยพวกเธอมาหลบก่อนแล้วกัน” เมตพูดขึ้น

    “โอเค ผมเห็นด้วย เราแยกกันไปดีกว่า” วินพูดขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะรีบแยกกันออกไปเพื่อช่วยเหลือพวกเธอสองคน ซึ่งพวกเธอคือไนอาลากับเวย์นั่นเอง พวกเธอสองคนเองหลบอยู่หลังรถ ในขณะที่พวกมันล้อมเธอเอาไว้

    “เราจะรอดมั้ยคะ??” เวย์พูดขึ้น

    “ไม่รู้สิ แต่เธออยู่กับฉัน..” แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ในตอนนั้นลูปืนปริศนาก็ยิงใส่กองกำลังชุดดำพวกนั้นในทันที

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ!!”

    พวกนั้นถูกยิงมาจากคนละทิศละทาง พวกมันรีบถอยอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นไอ้หมูป่าวิ่งเข้าไปและชักขวานออกมากระโจนจามเข้าที่หัวของมัน พวกมันเล็งใส่ไอ้หมูป่า แต่ซูหยินก็ยิงธนูใส่หัวของมันจนนิ่ง แอนนาเองก็ยิงช่วย ส่วนเมตเองรีบวิ่งออกจากร้านจากนั้นก็ไปหาพวกเธอทั้งคู่ ตัวของเมตรีบวิ่งไปหาเวย์ในทันที

    “อ่า ไปหลบในร้านก่อนดีกว่าครับ”

    ในตอนนั้นพวกมันก็เริ่มทำอะไรไม่ได้ ก่อนที่จะรีบหนีในทันที แต่ฟรีและวินรวมถึงคนอื่นๆก็พยายามไล่ตามมัน จนคนสุดท้ายกำลังจะหนี แต่แอนนาใช้ M4 ติดกล้องของเธอยิงมันจนล้ม

    “ปัง!!”

    ไม่นานนัก พวกมันหลายสิบก็นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นกันจนหมด พวกของวินเองรีบมาดูพื้นที่ในทันที

    “ผมว่าเราเก็บอาวุธของพวกมันดีกว่าครับ!!” วินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบเก็บอาวุธของพวกมันในทันที จากนั้นก็รีบไปสมทบกับเมตด้านใน 

    ====================================================================

    จบไปกับตอนแรก เป็นยังไงกันบ้าง เย้ๆ ตกหล่นตัวไหนไปก็บอกกันได้นะครับ

    เรื่องนี้อาจจะดำเนินเรื่องรวบรัดหน่อย เพราะเดิมทีเรื่องนี้ว่าจะเขียนประมาณ 20 ตอนกว่าๆจบจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×