ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อินาบาระ เมริน ::Tsuki Dorm::

    ลำดับตอนที่ #6 : ยัยหมวย ปิศาจและตาแว่น

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 54


    (พ.ค.) ------------------------------- (วันจันทร์)



                  ณ ดินแดนอันกว้างไกลที่รายล้อมไปด้วยป่าไม้และสายหมอก พร้อมกับบรรยากาศที่ชวนให้มีอะไรแปลก ๆ ออกมา ได้มีเด็กสาวผมแดงคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเธอคือเมรินนั่นเอง แล้วทำไมอยู่ ๆ เธอถึงมาโผล่ที่นี่กันล่ะ เรื่องนั้นช่างมันก่อนแล้วกัน เพราะตอนนี้ข้างหน้าเธอนั้นได้ปรากฏเงาปริศนาขึ้นมา เมรินไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาเงานั้นทันที เมื่อมาถึงแล้วก็ได้เห็นเจ้าของเงาอย่างชัดเจน ซึ่งเจ้าของเงานั้นเป็นชายหนุ่มผิวสีขาว ใส่แว่น ผมสีเงิน สูงประมาณ
    173 เซนติเมตร ที่ยืนมองไปยังหมู่ดาวเหมือนกับว่ากำลังหาทิศทางอยู่

    “เอ่อ ขอโทษที่มารบกวนนะ เราขอถามอะไรหน่อยได้รึเปล่า” เมรินเข้าไปถามชายหนุ่มคนนั้น เมื่อเขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตเธอก็ถามในสิ่งที่สงสัยทันที “ที่นี่คือที่ไหน แล้วนายคือใครทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

     “ที่นี่คือที่ไหนนั้นผมเองก็ไม่รู้ เพราะตั้งแต่ผมลืมตามาผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ทั้งที่ตอนแรกผมยังจำได้ว่ายังนอนอยู่บนเตียงนะ ส่วนชื่อตามมารยาทแล้วคนที่ถามต้องแนะนำตัวเองก่อนไม่ใช่หรอกหรือ แต่ไม่เป็นไรงั้นผมจะบอกคุณก่อนก็แล้วกันผมชื่อเซไค ชิโมทสึกิ เซไค” หนุ่มแว่นหรือชายที่ชื่อว่าเซไคตอบ

    อีตาแว่นบ้านี่มันหลอกด่าชั้นว่าไม่มีมารยาทนี่หว่า เมรินคิดเคืองในใจ แต่ก็แนะนำตัวกลับไปอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาท ชั้นชื่อเมริน อินาบาระ เมรินค่ะ ดูท่าว่าเราสองคนจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนะคะ เพราะว่าชั้นเองก็มาอยู่ที่นี่หลังจากที่ชั้นนอนแล้วเหมือนกัน”

                ‘วิ้ง ๆ ๆ ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั่นเอง ที่เหนือหัวของพวกเขาก็ได้ปรากฏดวงแสงสีทองดวงเล็ก ๆ ขึ้นมา และเมื่อแสงนั้นได้จางหายไปก็ได้มีหญิงสาวผมยาวสีม่วง อายุก็น่าจะพอ ๆ กับเธอแต่ที่ทำให้เมรินรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเธอคนนั้นมีหางโผล่ออกมาน่ะสิ เมรินหันไปหาเซไคทันทีเพื่อจะปรึกษาเรื่องคนตรงหน้า แต่เจ้ากรรมสวรรค์ดันไม่เข้าข้าง เมื่อคนที่คาดว่าน่าจะพึ่งพาได้ดันไม่อยู่แล้วซะนี่

    “อีตาแว่นนี่ หายไปไหนของเค้านะ” เมรินบ่นอุบหลังจากตัวช่วยตัวสุดท้ายได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สาวน้อยตรงหน้าจึงตอบแทน “คงถึงเวลาแล้วมั้งคะ”

    “เวลา เวลาอะไรหรอ อ้อ จริงสิชั้นชื่ออินาบาระ เมริน เรียกว่าเมรินก็ได้ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เมรินแนะนำตัวเอง สาวน้อยตรงหน้าเมื่อไม่เห็นว่าเมรินจะหวาดกลัวในตัวเธอ แถมยังแนะนำตัวกันอย่างเป็นมิตร เธอจึงแนะนำตัวกลับพร้อมกับรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ชะ..ชั้นชื่อ..อึก..โมมิจิ โยวมุค่ะ เรียกชั้นว่าโยวมุก็ได้นะคะ..อึก..ยะ..ยินดีที่ได้รู้จัก..อึก..เช่นกันค่ะ” สาวน้อยผมม่วงหรือโยวมุแนะนำตัวกลับ

    “เอ่อ จ้ะ งั้นที่นี่คือที่ไหนหรอ แล้วเวลาที่เธอพูดถึงหมายความว่ายังไง และเธอจะร้องไห้ทำไมล่ะเนี่ย” เมรินถามพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดน้ำตาให้กับโยวมุ

    “ขอบคุณนะคะ ที่นี่ก็คือป่าสายหมอกเป็นที่ที่ชั้นถูกผนึกเอาไว่น่ะค่ะ ส่วนเวลาที่ชั้นพูดไปนั้นก็หมายถึงเวลาที่จะต้องออกไปจากที่นี่ยังไงล่ะคะ” โยวมุตอบด้วยสีหน้าที่เศร้า ๆ

    “ถ้าตาแว่นนั่นออกไปได้ งั้นแสดงว่าชั้นก็ออกไปได้ด้วย และถ้าชั้นออกไปแล้วเธอก็ต้องอยู่คนเดียวล่ะสิ” เมรินถามพร้อมกับมองโยวมุอย่างสงสาร

    “ค่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะว่าชั้นก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอดอยู่แล้ว” โยวมุตอบพร้อมกับน้ำตาที่กำลังจะไหลอีกครั้ง เมรินจึงเข้าไปโอบกอดเพื่อปลอบโยนพร้อมกับถามว่า “โอ๋ ๆ อย่าร้องไห้เลยนะ แล้วไม่มีวิธีที่จะช่วยเธอออกไปจากที่นี่หรอกเหรอ”

    “ก็มีอยู่หรอกค่ะเพียงแต่คุณเมรินจะยอมทำมันหรอคะ” โยวมุถาม เมรินจึงคลายอ้อมแขน แล้วตอบเธอกลับไป “ถ้าช่วยเธอได้ล่ะก็ต่อให้ยากแค่ไหนชั้นก็ทำนะ”

    “เอ่อ วิธีปลดปล่อยชั้นก็ไม่ยากหรอกค่ะ แต่มันจะยากตรงที่ชั้นจะต้องติดตามคุณไปตลอดหลังจากนั้นน่ะค่ะ มันอาจจะทำให้คุณเมรินรู้สึกรำคาญมากเลยนะคะ” โยวมุตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมีความหวัง

                “เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องห่วงชั้นไม่เป็นอะไรหรอก แต่การปลดปล่อยต้องทำอย่างไรบ้างล่ะ” เมรินถามกลับ ทันใดนั้นเองตัวของเมรินก็มีแสงกระพริบแล้วร่างกายของเธอก็ค่อย ๆ เริ่มจางลง เมรินรู้ได้ทันทีเลยว่าคงถึงเวลาของเธอแล้ว

    “เพียงแค่จับมือของชั้นเอาไว้ในตอนที่คุณกำลังจะหายไปก็พอค่ะ” โยวมุตอบกลับไป เมรินได้ยินดังนั้นจึงยื่นมือของเธอออกไปหาโยวมุ “งั้นจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ ส่งมือมาสิ ชั้นจะปลดปล่อยเธอเอง”

    “ขอบคุณค่ะ” คำพูดสั้น ๆ แต่สร้างความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ให้กับตัวเธอ โยวมุส่งมือไปให้เมรินพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแล้วสดใสที่สุดเท่าที่จะเคยเห็นมา หลังจากมือทั้งสองได้สัมผัสกันพริบตานั้นก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมา เมรินจึงยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดบังแสงเอาไว้ แล้วสติก็ดับวูบไป

    “อืม เช้าแล้วหรอเนี่ย” เมรินตื่นขึ้นมาพร้อมกับบิดขี้เกียจ แล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วเธอก็เดินมาที่ตู้เพื่อที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็ได้มีเสียงดังมาขัดจังหวะเสียก่อน เสียงนั้นไม่ชาเสียงใครที่ไหนเสียงของสึสึเนะ ไอยูริหรือไอจังนั่นเอง “เดทเหรอออออออ”

    ตึง ๆ ๆ เสียงบันไดดังขึ้นหลังจากถูกเมรินที่รีบวิ่งลงมาเหยียบอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งไปยังห้องครัวซึ่งเป็นที่ที่เธอคาดว่าเสียงน่าจะมาจากห้องนี้ เมื่อเข้าไปก็พบกับทาคาโตะผู้ดูแลหอจันทราที่กำลังทำข้าวกล่องอยู่และไอจังสาวผมทองเจ้าของเสียงที่เธอได้ยิน เมรินที่มีสีหน้าตกอกตกใจเพราะเสียงที่ได้ยินนั้นมันดังมากนั่นเอง จึงถามคนตรงหน้าทันที “มีอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”

    “นี่ ๆ เมจังคุณพ่อบ้านเขาจ้ะไปเดทล่ะจ้ะ” ไอจังพูดพร้อมกับเดินเข้ามาเกาะแขน เมรินที่ได้ยินดังนั้นก็ถามกลับไปยังผู้ดูแลของหอ “เดท ทาคาโตจะไปเดทกับใครหรอ”

    “คุณสึสึเนะ ผมบอกให้เหยียบไว้ไง เฮ้อ” ทาคาโตะหันมาพูดกับไอจังที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเธอ ไอจังจึงกล่าวขอโทษคนตรงหน้าแต่ท่าทางนั้นตื่นเต้นเหมือนกับคนที่ได้ของเล่นใหม่ “ไอขอโทษจ้ะคุณพ่อบ้าน ก็ไอตกใจนี่ คุณพ่อบ้านจะไปเดท แล้วจะไปเดทที่ไหนเหรอคะ ไอขอตามไปด้วยได้มั้ยคะ เมจังไปด้วยกันไหม”

    “ไม่ได้ครับ เด็กห้ามไป นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ครับ” ทาคาโตะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเหมือนดุ แต่ใบหน้านั้นก็ยังคงไว้ด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ไอจังได้ยินดังนั้นก็ทำแก้มป่อง ๆ ใส่ทาคาโตะที่กำลังขำในท่าทีของเธอ “เชอะ ไม่ไปก็ได้ น่าเบื่อชะมัดเลยอะ”

    “จริงสิจ๊ะ วันนี้ไอจะไปปีนเขานะจ๊ะ” ไอจังกล่าวและเดินขึ้นไปบนห้อง เมรินมองตามด้วยสายตาที่เป็นห่วงพร้อมคิดในใจ ไปปีนเขาคนเดียวหรอน่าเป็นห่วงแฮะ หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ

    “ไอไปก่อนนะจ๊ะ” ไอจังพูดขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับทาคาโตะที่กำลังเตรียมตัวจะไปเดทกับแฟนที่นัดไว้ เมรินมองตามทั้งสองคนจนลับสายตาแล้วจึงเดินกลับเข้าไปยังห้องครัวเพื่อที่จะได้ทำอาหารเช้า

    “ลา ลา ล้า วันนี้จะทำอะไรกินดีน้า” เมรินฮัมเพลงพร้อมกับเปิดตู้เย็นเลือกวัตถุดิบในการประกอบอาหาร เธอหยิบเนื้อไก่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบเครื่องเทศและเครื่องปรุงต่าง ๆ มา และจึงเริ่มการทำอาหาร “มีไก่ มีไก่ งั้นวันนี้ทำแกงกะหรี่ไก่ดีกว่า แกงกะหรี่ไก่ แกงกะหรี่ไก่ ชั้นจะกินแกงกะหรี่ไก่ ลา ลา ล้า”

    เวลาผ่านไปได้สักพักน้ำแกงที่ทำเอาไว้ก็ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา เมรินตักแกงใส่จานข้าวสวยที่เตรียมเอาไว้ และในขณะที่กำลังจะกินอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงปริศนาที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้น “กลิ่นนี้มันแกงกะหรี่นี่ หอมจังเลยค่า”

    “ว้าย ใครอะ อ้าว โยวมุเองหรอกเหรอ มากินข้าวด้วยกันมั้ย” เมรินที่หันกลับไปมองต้องร้องเสียงหลงเพราะอยู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวผมสีม่วงขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าเป็นโยวมุจึงชวนเธอมากินอาหารเช้าด้วยกัน โยวมุที่ได้รับชวนก็ลอยไปยกจานข้าวมาให้เมริน “ขอรบกวนด้วยค่า”

    หลังจากนั้นทั้งสองก็กินมื้อเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อยผลาญข้าวไปหลายจานกันเลยทีเดียว และเมื่อกินเสร็จแล้วเมรินจึงยกถ้วยจานไปล้างโดยมีโยวมุคอยช่วย ขณะที่กำลังล้างจานเมรินก็ได้ถามถึงสถานที่ที่เธอได้ไปช่วยปลดปล่อยโยวมุออกมา “นี่โยวมุ ชั้นไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองเข้าไปในป่าสายหมอกนั่นได้ยังไง แล้วเธอล่ะรู้หรือเปล่า”

    “ก็รู้อยู่นิดเดียวเองค่ะ คือคนที่จะเข้าไปได้นั้นต้องมีคุณสมบัติและทำตามเงื่อนไขบางอย่างค่ะ แต่ว่าต้องมีคุณสมบัติหรือเงื่อนไขอะไรบ้างนั้นชั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ชั้นไม่รู้อะไรเลย” โยวมุตอบพลางก้มหน้าอย่างสำนึกผิด

    “จะขอโทษชั้นทำไมล่ะ ก็ตอนนี้น่ะชั้นช่วยปลดปล่อยเธอออกมาแล้วนี่นา” เมรินพูดพร้อมลูบหัวปลอบใจ และจากนั้นก็พูดบางอย่างออกไป “เอาอย่างนี้ดีมั้ยไหน ๆ เธอก็ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว และชั้นก็พึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ ชั้นว่าเราสองคนออกไปสำรวจเมืองกันเถอะนะ”

    “สำรวจเมือง..เหรอคะ ดีค่ะงั้นเราไปกันเลยนะคะ ชั้นอยากเห็นแล้วสิว่าโลกข้างนอกเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว” โยวมุตอบกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ตื่นเต้น เมรินจึงเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อเตรียมของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเป้ แล้วจึงเดินลงมา “โยวมุ ไปกันเถอะ”

    “ค่า” โยวมุตอบพร้อมกับลอยออกมา เมรินที่สงสัยบางอย่างจึงถามออกไป “นี่โยวมุ เธอลอยไปลอยมาอย่างนี้แล้วไม่มีใครเห็นหรอกเหรอ” โยวมุได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับไป “ไม่มีทางเห็นหรอกค่า นอกจากว่าจะเป็นคนที่มีสัมผัสทางวิญญาณสูงจริง ๆ ถึงจะสามารถมองเห็นตัวโยวมุได้ค่า”

    “ก็ดีนะ ชั้นจะได้ไม่ต้องมากลัวว่าจะมีคนแตกตื่นเพราะเห็นเธอลอยได้” เมรินกล่าวพร้อมกับเดินออกไปตามทางที่ทอดยาวเข้าสู่เมือง

    “โห มีตึกเต็มไปหมดเลย ตรงนั้นก็มีคนใส่ชุดแปลก ๆ ด้วย” โยวมุตะโกนออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้เลย เมรินจึงพาเธอเดินไปรอบ ๆ เมืองเพื่อให้โยวมุนั้นได้เปิดหูเปิดตา เดี๋ยวเข้าร้านนั้นบ้าง ซุ้มนี้บ้าง ทั้งสองเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง

    “เอ่อ คุณเมรินคะ นี่ร้านอะไรหรอคะ” โยวมุถามเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เมรินยิ้มพลางพาเดินเข้าไปข้างใน “นี่คือร้านราเมง เป็นร้านของลุงเราเอง เข้าไปกันเถอะ” โยวมุตอบรับและลอยตามเข้าไปข้างในร้าน “ค่า”

    “ยินดีต้อนรับสู่ร้านของเราค่ะ ไม่ทราบว่า... อ้าวเมรินมาได้ยังไงเนี่ย มา ๆ คุณพ่อเค้าอยากเจอเธอจะแย่อยู่แล้ว” สาวน้อยผมสีดำ ในชุดกี่เพ้าสีขาวทักทายเมรินก่อนจะพาเธอเข้าไปในห้องทำราเมงที่อยู่หลังร้าน

    “สวัสดีค่ะคุณลุง สบายดีมั้ยคะ” เมรินกล่าวทักทายลุงของเธอ ลุงจึงตอบกลับไปว่า“เออก็สบายดีแล้วนี่จะมาทำงานเลยหรือ”

    “ค่ะ” เมรินตอบ ก่อนที่จะเดินเข้าไปเปลี่ยนชุด เมื่อเปลี่ยนเสร็จแล้วจึงเดินออกมาคุยกับลุงและเด็กสาว “ไหน ๆ วันนี้ก็ว่างแล้วก็เลยจะมาหาเงินใช้สักหน่อย แล้วหลินกับมานานแล้วหรือยัง”

    “ก็พึ่งกลับมาเมื่อวานแหละ อ้อ จริงสิตอนนี้เธออยู่อาศัยอยู่ที่หอสินะ” เด็กสาวผมดำหรือหลินถาม เมรินก็ตอบกลับไป “อืม ตอนนี้อยู่ที่หอจันทราน่ะ ว่าง ๆ แวะไปหาบ้างสิ” หลินจึงกล่าวตอบ “อืม ได้สิ ไว้ว่าง ๆ เดี๋ยวจะแวะไปหา”

    ขณะที่ทั้งสองคุยกันอยู่ลุงก็ส่งราเมงไปให้หนึ่งชาม “ชามนี้โต๊ะแปด” เมรินจึงรับมาแล้วเดินไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า “โชยุราเมงที่สั่งเอาไว้ได้แล้วค่ะ” เมรินวางชามราเมงไว้บนโต๊ะก่อนที่จะเงยหน้าถามลูกค้า “จะรับอะไรเพิ่มมั้ยคะ”

                “ไม่ล่ะ ขอบใจ” เสียงของผู้ชายที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้น เมรินจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกับชายคนนั้นที่หันหน้ามาเพราะว่าได้ยินเสียงที่ฟังดูคุ้นหูเหมือนกัน เมื่อทั้งสองสบตากันต่างคนต่างก็จำอีกฝ่ายได้ทันทีแล้วชี้หน้าใส่อีกฝ่าย “ตาแว่น/ยัยหมวย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×