ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {exo} Cute widower l chanbaek

    ลำดับตอนที่ #21 : พ่อม่ายชานยอล l ตอนที่ 19 {120p.}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 450
      22
      20 มิ.ย. 64

    SNAP





    พ่อม่ายชานยอล | ตอนที่ 19
    :: การตัดสินใจของแบคฮยอน ::




    baekhyun's
     

    บรรยากาศหลังเวทีค่อนข้างวุ่นวายเป็นพิเศษในช่วงเย็นของวันแสดง สต๊าฟรุ่นพี่ที่ได้รับคิวคุมงานในวันนี้เดินเข้าออกห้องแต่งตัวจนดูชุลมุนไปหมด ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างโดคยองซูผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ที่กำลังยืนให้ฝ่ายคอสตูมช่วยกันเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อมสำหรับการแสดงของเขาที่จะมีขึ้นในอีก 10 นาทีข้างหน้า แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นแทนเพื่อนขึ้นมาแปลกๆ พอหันไปอีกฝั่งก็เห็นคิมซอกจินกำลังถูกสต๊าฟรุ่นพี่พาไปแต่งตัวเช่นกัน ส่วนที่นั่งอยู่ข้างกันก็คงหนีไม่พ้นคิมจงแด เพื่อนสาวในรุ่นกำลังช่วยกันเติมหน้าเติมปากให้ว่าที่นักร้องหนุ่มเสียงใสอยู่อย่างขะมักเขม้น 

     

    ตารางแสดงโดยคร่าวๆของวันนี้ จะเริ่มเปิดด้วยการแสดงเพลงโซโล่ของแต่ละคน ซึ่งมีเวลาให้โชว์ละสิบนาที เริ่มจากคยองซู จงแด และผมตามลำดับ จากนั้นจะต่อด้วยโชว์เมดเลย์สองเพลง ที่มาพร้อมกับการแสดงเปียโนของซอกจิน และปิดท้ายด้วยการร้องเพลงประจำเอกร่วมกันทั้งชั้นปี ซึ่งผมคาดว่าใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงงานก็คงเสร็จ 

     

    ความรู้สึกกังวลก่อเกิดขึ้นในใจ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่ามันเกิดจากความตื่นเต้นในการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตที่ถูกจัดเหมือนงานคอนเสิร์ตของเหล่านักร้องชื่อดัง หรือมาจากเครื่องมือสื่อสารผิวเย็นเฉียบในมือนี่กันแน่ ให้ตายเถอะ รู้สึกปั่นป่วนไปหมดแล้ว 

     

    ทันทีที่นิ้วโป้งเรียววางทาบลงบนปุ่มโฮมเพื่อปลดล็อก หน้าต่างแชทที่เปิดค้างไว้ก็เด้งขึ้นมาแทนที่วอลเปเปอร์รูปเกลียวคลื่นทันที ประโยคสั้นๆถูกพิมพ์ค้างไว้แต่ไม่ได้กดส่งเหมือนอย่างเคย เดจาวู เหมือนตอนงานละครเวทีไม่มีผิด 

     

    ' งานเริ่มห้าโมงเย็นนะครับ '  จะกดส่งไปดีไหม? 

     

    สุดท้ายก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกหนักๆอย่างคนคิดไม่ตก ก่อนกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงอีกครั้ง ตลอดสองวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้คิดไปเองหรอก ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังหลบหน้าผมอยู่ 


    ไม่รู้สิ ช่วงนี้เขาทำตัวยุ่งแปลกๆ ดูมีนู่นมีนี่ให้คิดให้ทำอยู่ตลอดเวลา ส่งสองแฝดเสร็จตอนเช้าก็หายออกไปทั้งวัน กว่าจะกลับมาก็ตอนรับสองแฝดกลับบ้าน แล้วออกไปทำงานอีกครั้งตอนหนึ่งทุ่ม ดีแค่ไหนที่ผมต้องออกมาซ้อมที่คณะบ้าง ไม่งั้นคงเอาแต่นั่งคอตก รอเขาอยู่ที่บ้านทั้งวันแน่

    อีกฝ่ายทำตัวห่างเหินขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมสังเกตได้ 

    เขาจะไม่พูดคุยหรือต่อบทสนทนากับผมมากเกินความจำเป็นเหมือนเมื่อก่อน จนอดคิดไม่ได้เลยว่าเขาโกรธหรือไม่พอใจอะไรผมรึเปล่า เคยตัดสินใจลองถามไปตรงๆ และคำตอบที่ได้กลับมา คือ แววตาเรียบเฉย มาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยแค่ว่า 'ไม่มีอะไร ฉันก็แค่เหนื่อย ' 

    เพราะคำตอบของเขานี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องกลับมาจัดการความรู้สึกตัวเอง และละความสนใจไปในที่สุด แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทุกอย่างที่เขาทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมามันคืออะไร เขารู้สึกดีกับผมบ้างรึเปล่า หรือมันมีแค่ผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว? 


    เวลาที่เหลือเพียงแค่สี่วัน มันคงน้อยเกินไปสำหรับการหาคำตอบ ผมยอมรับเลยตรงนี้ ว่ารู้สึกแย่อยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ชัดเจน ส่วนตัวผมก็ยังไม่พร้อมที่จะตัดสินใจ ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรักให้นานที่สุดก็เท่านั้น 

     

    "เสร็จแล้วจ่ะ" เสียงหวานของพี่กาฮีดังเข้ามาในโสตประสาทแทนที่ความคิดในหัวที่ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ผมมองตัวเองในชุดเสื้อคอเต่าสีดำกับสูทนอกสีขาวสะอาด ซึ่งเป็นชุดสำหรับโชว์เมดเล่ย์ที่ผมต้องใส่ไว้ล่วงหน้า เพราะคงไม่มีโอกาสได้ลงจากเวทีมาเปลี่ยนเสื้อเหมือนคนอื่นๆ เนื่องจากขึ้นโชว์เป็นคิวสุดท้าย แว่นกรอบหนาถูกแทนที่ด้วยคอนแทคเลนส์สีใส ผมเผ้าสีน้ำตาลเข้มที่เซตเปิดหน้าผากในตอนนี้กำลังสร้างความแปลกตาให้กับผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อย

     

    "ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย" เธอยิ้มกว้างพอใจในผลงานก่อนจะตบบ่าผมเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ

     

    "ทำให้เต็มที่ล่ะแบคฮยอน มั่นใจในตัวเองเข้าไว้!" 

     

    "ขอบคุณครับพี่กาฮี" ผมยิ้มบางๆก่อนจะโค้งหัวขอบคุณเธอตามมารยาท พี่กาฮียิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วจึงหันไปเช็คผมเผ้าให้จงแดที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ 

     

    "อีกห้านาที คิวแรกสแตนบายเลยนะครับ!" เสียงของรุ่นพี่ชางมินดังแว่วมาจากหลังเวที คยองซูเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนตื่นเต้น ก่อนจะขานรับอย่างแน่วแน่ เพื่อนตัวเล็กกำลังหลับตาลงเพื่อตั้งสติให้พร้อมสำหรับการแสดง เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปให้กำลังใจสักหน่อย 

     

    "ตื่นเต้นหรอ?" ทั้งที่รู้คำตอบในใจดีอยู่แล้ว แต่ผมกลับเลือกที่จะถามมันออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตื่นเต้นสิแปลก ขนาดผมที่ขึ้นคิวสุดท้ายยังใจกระตุกที่ได้ยินประโยคเรียกสแตนบายนั่นเหมือนกัน 

     

    "แน่สิ หัวใจเต้นจนจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ให้ตายเถอะ!" เพื่อนตัวเล็กอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับโค้ทกระดุมใหญ่ลายสก็อตสีน้ำตาลตัวโคร่ง ผมสีดำสนิทถูกจัดให้อยู่ทรงกว่าปกติ เมคอัพเบาๆบนใบหน้ากำลังเสริมให้เขาดูดีมากสำหรับโชว์เดี่ยวในวันนี้ 


    "พยายามเข้าล่ะคยองซู นายต้องทำมันออกมาได้ดีแน่ๆ" ผมยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนตัวเล็กเบาๆ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเองเข้าไว้
     

    "ขอให้เป็นแบบที่นายพูดเถอะนะ.."

    "ฉันกับจุนมยอนเอาใจช่วยอยู่เสมอ ไม่ต้องกลัวเลย ตั้งสติเข้าไว้ล่ะ ไฟท์ติ้ง!"
     

    "อื้ม! ฉันต้องไปแล้ว นายเองก็สู้ๆ ไว้เจอกันข้างบนนะ
     

    พูดจบเพื่อนตัวเล็กก็รีบวิ่งไปยืนสแตนบายหลังเวทีอย่างรวดเร็ว ผมก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแสดงออกซึ่งสีหน้าแบบไหน กว่าจะรู้ตัวอีกที ใครคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมเสียแล้ว 


    "ทำหน้ามุ่ยตอนจ้องโทรศัพท์อีกแล้ว" น้ำเสียงสบายๆของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นดาวเด่นของรุ่นกำลังเอ่ยขึ้นเรียบๆ ผมเงียบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปราวๆหนึ่งช่วงแขน ทั้งที่อยู่ในชุดเมดเล่ย์กับทรงผมแบบเดียวกันแท้ๆ แต่คิมซอกจินกลับดูดีมีออร่ากว่าผมเป็นไหนๆ โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ 

    "ดูอยู่นานแล้วสินะ" 
     

    "อืม..เป็นอะไรรึเปล่า กังวลหรอ?"
     

    "ถ้าตอบแบบไม่โกหกก็คงใช่" ทั้งกังวลว่าตัวเองจะทำมันออกมาได้ดีตามที่คาดหวังไว้รึเปล่า และกังวลว่าปาร์คชานยอลอาจจะไม่ได้มาในวันนี้ ซอกจินยิ้มบางๆก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของผมแล้วออกแรงขยี้มันเบาๆเพื่อไม่ให้เสียทรง

    "นายต้องทำออกมาได้ดีแน่ ฉันเชื่อแบบนั้น แค่ทำให้เต็มที่เท่าที่อยากทำก็พอ"
     

    "..."
     

    "แบคฮยอนที่ฉันรู้จัก เขาไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆเลยนะรู้ไหม?" สายตาที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นจนทำให้รู้สึกตื้นตันอยู่ไม่น้อย รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ผมยิ้มตอบก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ 

    "อีกสามนาที.. คิมซอกจิน!" เสียงของพี่ชางมินดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเหตุให้คนตรงหน้าต้องผละมือออกไปอย่างช่วยไม่ได้ 
     

    "กำลังไปครับ!..เจอกันข้างบนนะ" ประโยคหลังซอกจินหันมาพูดกับผม เราสบตากันอยู่พักนึง ก่อนที่เขาจะตัดบทรีบวิ่งไปสแตนบายหลังเวที 

    เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งนาทีแล้ว แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่คิดจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน  คำพูดของคิมซอกจินกำลังทำให้ผมต้องกลับมาตัดสินใจอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันให้สมองได้ประมวลผลอะไรมากนัก แรงสั่นครืดในมือก็เรียกความสนใจจากผมไปเสียก่อน

     

    Rrrr..Rrrrr..

    ' พี่อี้ฟาน ' 

     

    "ครับ?"
     

    ' ของเราคิวไหนแบคฮยอน ใกล้ขึ้นเวทีรึยัง? ' เสียงทุ้มปนหอบที่แทรกออกมาจากปลายสาย สร้างความประหลาดใจให้ผมอยู่ไม่น้อย
     

    "ผมขึ้นหลังจงแดน่ะ คิวสุดท้ายเลย"
     

    ' ดีครับ คิดว่าจะไม่ทันซะแล้ว.. '

    "ทำไมเสียงหอบขนาดนั้นล่ะครับ?"
     

    ' อาจารย์คิมเรียกพี่ไปคุยเรื่องวิทยานิพนธ์ที่คณะ พอดีพี่ติดรถมาพร้อมแกน่ะ ไม่คิดว่าจะนาน.. แค่เห็นเวลาพี่ก็ไม่กลัวเหนื่อยแล้ว แต่กลัวจะไปดูเราแสดงไม่ทันมากกว่า..' อีกฝ่ายหอบหายใจหนัก ถ้าจะให้พูดถึงระยะทางจากคณะผมมายังยิมส่วนกลางของมหาลัย มันก็ไกลเอาเรื่อง ถ้าตัดสินใจรอบัสมหาลัย คงมาไม่ทันจริงๆแบบที่พี่อี้ฟานว่า

    ' ทำให้เต็มที่นะคนเก่ง..อย่ากดดันตัวเอง เข้าใจใช่ไหม? สู้ๆครับ แล้วพี่จะรอดูนะ ' ประโยคดังกล่าวทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง ความกังวลในใจถูกปัดเป่าไปได้บางส่วนเพียงเพราะกำลังใจจากคนตัวสูงเหมือนอย่างเคย
     

    "ขอบคุณนะครับพี่ ผมจะทำให้เต็มที่เลย" พี่ปีสี่กดตัดสายไปในที่สุด เสียงปรบมือในยิมถูกแทนที่ด้วยเสียงเปียโนที่มาพร้อมกับเนื้อเสียงใสฟังดูคุ้นหู อ่า โชว์ของคยองซูเริ่มแล้วสินะ 

    ผมผ่อนลมหายใจออกเบาหวิว สายตากลับมาจดจ่อกับสมาร์ทโฟนในมืออีกครั้ง ไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน ที่ผมเอาแต่จ้องมองช่องแชทถูกพิมพ์ด้วยประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้าย ก็กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง เคอเซอร์สีดำกระพริบเป็นจังหวะราวกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลัง

    "แบคฮยอน อีกสามนาทีสแตนบายได้เลยนะ!" 

     

    เออ เอาก็เอาวะ.. ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย 

    สามนาทีสุดท้าย ผมตัดสินใจรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์อีกครั้งอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดส่งแล้วปิดหน้าจอทันที เมื่อเห็นว่าข้อความถูกส่งไปยังปลายทางแล้ว เอาเถอะ ยังไงผมเองก็คงทำได้แค่รอ และยอมรับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น 

     

    'ผมจะขึ้นแสดงแล้ว'

    'แรงบันดาลใจของเพลงนี้ คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณ' 

    'ผมรออยู่นะครับชานยอล' 

     


    รองเท้าหนังแก้วสีดำก้าวมาหยุดอยู่บนจุดมาร์คกลางเวที เสียงของเอ็มซีคั่นรายการดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมเห็นจงแดเดินสวนกลับเข้ามาแล้ว เขายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะขยับปากให้กำลังใจแบบไม่ออกเสียง ผมพยักหน้ารับ แล้วหันไปสบตาคิมซอกจินที่นั่งอยู่บนแท่นกับเปียโนหลังใหญ่

    แสงไฟสลัวในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ผมเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายน้อยลงแต่อย่างใด เราพยักหน้าให้กันอีกครั้ง ผมหันกลับมาอยู่กับตัวเอง เปลือกตาสีอ่อนปิดลงแล้ว พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อระงับความตื่นเต้น ใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก เมื่อม่านกำมะหยี่สีแดงถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ 

    "สวัสดีครับ ผมบยอนแบคฮยอน นักศึกษาชั้นปีที่สาม เอกขับร้อง คะแนนรวม 95.26% สูงเป็นอันดับสองของรุ่นครับ.." เสียงฮือฮาของผู้ชมในโรงยิมกำลังทำให้ผมรู้สึกประหม่า จนเผลอเลียริมฝีปากอย่างเคยตัว
     

    "สำหรับเพลงที่จะร้องต่อไปนี้ มีชื่อว่า beautiful ซึ่งผมได้แรงบันดาลใจในการเขียนมาจากผู้ชายคนนึง.. เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้โชคดีเรื่องความรักเหมือนคนอื่นๆ แต่ในสายตาผม เขาเป็นคนที่เข้มแข็งแล้วก็สุภาพมากครับ ถึงจะเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจไปหน่อย แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของเขาล่ะ.." 

    ผมกวาดสายมองไปรอบๆโดยอาศัยคอนแทคเลนส์สีใสช่วยในการมองเห็น แม้แสงสปอร์ตไลท์จะแยงตาไปบ้าง แต่ผมก็ยังอยากพยายาม สายตาทอดมองไปยังบานประตูหน้าทางเข้าเป็นระยะ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้มันเปิดออกเหมือนอย่างคราวก่อนตอนงานละครเวที
     

    เขาอาจจะแค่มาสายเหมือนเดิมก็ได้ 


    "และเพราะเสน่ห์ในตัวเขานี่แหละ ที่ทำให้ผมตกหลุมรัก และตัดสินใจที่จะเขียนเพลงเพลงนี้ขึ้นมา..เชิญรับชมและรับฟังได้เลยครับ" เมื่อเสียงเปียโนบรรเลงท่อนอินโทรดังขึ้น ผมก็ยกไมค์ลอยขึ้นจ่อระดับปาก ก่อนจะค่อยๆกรอกเสียงลงไป

    안녕 내게 다가와
    สวัสดีครับ คุณก้าวตามผมมาสิ

    수줍은 향기를 안겨 주던 
    ส่งกลิ่นหอมปนเขินอายมาให้กัน
     

    희미한  속에서
    ในความฝันเลือนลางของผม
     

    눈이 부시도록 반짝였어
    คุณส่องแสงสดใสสะดุดใจ


    สายตายังคงกวาดหาใครบางคนอยู่ตลอดเวลา ผมไม่สนใจแล้วว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนบนจอโปรเจคเตอร์นั่น.. การสารภาพรักท่ามกลางผู้คนมากมายคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอย่างผม นาทีนี้ ผมได้แต่ภาวนาให้เขายืนอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงยิมที่ผมแค่มองไม่เห็น 

    설레임에 나도 모르게
    ด้วยหัวใจที่เต้นรัว โดยไม่รู้ตัว

    한발 두발 네게 다가가
    ผมเดินเข้าไปใกล้คุณ ทีละก้าว

    너의 곁에 남아
    แล้วผมก็ได้อยู่ข้างกายคุณ

    너의 미소에  마음이 녹아내려
    รอยยิ้มของคุณทำหัวใจของผมละลาย
     

    눈이 마주쳤을 
    ยามเราสบสายตา
     

    두근거려
    หัวใจของผมเต้นแรง

     

    ความรู้สึกของผมที่ถูกเรียงร้อยออกมาผ่านบทเพลง หากเขาได้ฟังมันอีกครั้ง จะต้องเข้าใจได้แน่ สำหรับการแอบรักข้างเดียวมาตลอด ผมคงไม่กล้าหวังอะไรเกินตัว แค่เขารับฟังความในใจทั้งหมดของผมตอนนี้ มันก็มากเกินพอแล้ว 


    oh  너의 가슴에  미소를 기억해줘
    ใช้ใจของคุณจดจำรอยยิ้มของผมเอาไว้นะ
     

    하루에도 몇번씩 생각해줘
    นึกถึงมันวันละหลายๆครั้งด้วยนะครับ
      

    oh 너에게 하고 싶은  
    คำพูดที่ผมอยากบอกกับคุณก็คือ
     

    you’re beautiful
    คุณช่างงดงามจริงๆ

     



    06.00 pm.  @ Seoul Garden Hotel


    ติ๊ง!

    ประตูสีเงินเปิดออกทันทีที่ลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นเป้าหมาย ผมเดินออกมาพร้อมกับชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสูททางการสีครีมและชุดราตรียาวสีชมพูอ่อน คัชชูหนังสีดำก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจพลางทอดสายตามองไปยังซุ้มดอกไม้หน้าประตูทางเข้า

    ‘ ลีจองชิน ♡ อิมจินอา ’

     

    อ่า ดูเหมือนจะเป็นที่นี่สินะ..

    บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนงานแต่งตามโรงแรมทั่วๆไป ชายหญิงมากหน้าหลายตาอยู่ในชุดสูทและชุดราตรีโดยส่วนใหญ่ แสงไฟสีส้มรับกับธีมงานสีอ่อนได้เป็นอย่างดี ผมกวาดสายตาไปรอบๆก่อนจะสะดุดเข้ากับรูปถ่ายพรีเวดดิ้งของบ่าวสาวที่วางเรียงอยู่บนฉากตั้งตามจุดต่างๆของงาน

    ภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ในทุ่งหญ้าสีน้ำตาลทองที่รายล้อมไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่ กำลังจับมือประสานกันแน่นแล้วส่งยิ้มกว้างมาทางนี้

    ผมไล่สายตาไปยังชายหนุ่มร่างสูงในภาพถ่าย ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเปื้อนยิ้ม ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายขี้เล่นไปโดยปริยาย กายสูงกำยำสวมใส่สูททางการสีขาวดูภูมิฐาน ผมสีน้ำตาลทองยาวประบ่าถูกรวบเก็บไว้พอเป็นพิธี ในขณะที่หญิงสาวข้างๆ เธออยู่ในชุดเดรสสั้นเกาะอกลายลูกไม้สีขาว บนหัวมีผ้าคลุมตาข่ายแบบบางที่มาพร้อมมงกุฏดอกไม้แห้ง มือเรียวอีกข้างถือกุหลาบช่อเล็กเอาไว้ รอยยิ้มของคนทั้งคู่ ทำให้บรรยากาศในภาพอบอวลไปด้วยความสุข จนคนมองหลุดยิ้มตามได้ง่ายๆ

    รอยยิ้มที่เคยวาดฝันว่าอยากจะเห็นมันไปตลอดทั้งชีวิต จนอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าผมได้ครอบครองรอยยิ้มพิมพ์ใจนี้ จะกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีมากแค่ไหนหากเราได้มีโอกาสเคียงคู่กัน แต่ก็นั่นแหละครับ ในเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว 'ลีจองชิน' จึงกลายเป็นผู้โชคดีคนนั้น.. และที่ผมตัดสินใจมาในวันนี้ ก็แค่ตั้งใจจะมาแสดงความยินดีกับเธอเท่านั้น

    เสียงเปียโนบรรเลงเพลง A thousand years ของ Christina Perri ดังก้องไปทั่วห้องจัดงาน ช่วยเสริมให้บรรยากาศรอบข้างอบอวลไปด้วยความโรแมนติก ผมละสายตาจากภาพถ่ายแล้วผ่อนลมหายใจออกเบาๆ จัดการกระชับสูทสีดำตัวนอกเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แล้วสาวเท้าไปยังโต๊ะยาวหน้าทางเข้างาน เพื่อเขียนคำอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว โดยไม่ลืมที่จะหย่อนซองเงินลงในกล่องไม้อัดสีขาวด้วยเช่นกัน ทันทีที่หันหลังกลับไป สายตาก็ดันสบประสานเข้ากับหญิงสาวที่เป็นเหมือนรักแรกพบครั้งที่สองโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง

     

    อ่า..คงจะจริงอย่างที่ใครเขาบอกว่า ' วันแต่งงาน เป็นวันที่ผู้หญิงสวยที่สุด '

    ใช่ครับ วันนี้เธอสวยมากจริงๆ


    ครูสาวอยู่ในชุดสุ่มยาวเปิดไหล่สีขาวสะอาด มวยผมสีน้ำตาลเข้มถูกประดับด้วยดอกไม้แห้งเล็กๆที่ดูเข้ากันกับชุดที่ใส่ได้เป็นอย่างดี และที่ยืนอยู่ข้างๆคงจะเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจากเจ้าบ่าวร่างสูงในชุดทักซิโดสีขาว ผมยิ้มก่อนจะโค้งทักทายคนทั้งสองตามมารยาท ซึ่งคู่บ่าวสาวเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
     

    "จองชินคะ นี่คุณปาร์คชานยอล เป็นผู้ปกครองของเด็กแฝดห้องที่ฉันประจำอยู่ค่ะ.." เธอหันไปพูดแนะนำผมกับแฟนหนุ่มพอเป็นพิธี ชายหนุ่มในชุดทักซิโดหันมาโค้งหัวให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ดูท่าเขาจะอายุน้อยกว่าอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
     

    "สวัสดีครับ ผมลีจองชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
     

    "เช่นกันครับ ผมปาร์คชานยอล"
     

    "ไหนๆก็มาแล้ว เรามาถ่ายรูปกันดีกว่าครับ"
     

    "อ่า ดีเลยครับ" ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างว่าง่าย บ่าวสาวยืนขนาบข้างผมทันทีอย่างรู้งาน และเรียกตากล้องส่วนตัวมาประจำที่ ผมเลียปากคลายความประหม่าเล็กน้อยที่ต้องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคู่รัก ซึ่งผมเองเคยคิดไม่ซื่อกับแฟนสาวของเขามาก่อน

    ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆให้กล้องโปรที่กำลังหันมาทางนี้ เพื่อเก็บภาพความทรงจำร่วมกับคู่บ่าวสาว แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนมุมในช็อตที่สอง โทรศัพท์เจ้ากรรมของเจ้าบ่าวก็ดังขึ้นเสียก่อน
     

    "เดี๋ยวผมมานะคุณ.." เจ้าบ่าวหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว ก่อนจะชี้ไปยังสมาร์ทโฟนที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า ดูท่าคงเป็นสายสำคัญ เขาถึงได้รีบร้อนที่จะรับมันเพื่อไม่ให้เสียมารยาท ซึ่งครูสาวเองก็พยักหน้าเข้าใจอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมอีกครั้งทันทีที่แฟนหนุ่มของเธอปลีกตัวไป

    "ว่าแต่นี่มาคนเดียวหรอคะ?"

    "ใช่ครับ..พวกเขาไม่เคยออกงานสังคมมาก่อน ผมกลัวว่าพามาด้วยแล้วจะงอแง ทำเสียงดังเปล่าๆ เลยฝากญาติที่ร้านกาแฟช่วยดูให้ก่อน แล้วค่อยไปรับกลับน่ะครับ" เธอลากเสียงยาวก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและส่งยิ้มให้อีกครั้ง
     

    ให้ตายเถอะ รอยยิ้มแบบนี้ มันพอจะทำให้นึกออกเลยว่าปาร์คชานยอลคนเก่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหน หากได้เห็นมันในระยะประชิด แต่คงไม่ใช่กับปาร์คชานยอลคนปัจจุบันอีกแล้ว

    "ยังไงก็ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ"
     

    "ขอบคุณที่มาเช่นกันค่ะ"

     



    baekhyun's


    07.20 pm.

    งานจบลงภายในเวลาชั่วโมงครึ่งอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ถ้าจะมีบางอย่างที่ผิด ก็คงจะเป็นโลเคชั่นของตัวผมในตอนนี้มากกว่า ไม่รู้เลยว่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่งานเลิก

    บรรยากาศรอบตัวแย่กว่าที่คิด บวกกับสภาพอากาศในช่วงค่ำของฤดูหนาว ที่ยิ่งทำให้ทุกอย่างแม่งดูแย่เข้าไปอีก ทั้งที่ควรจะออกไปฉลองงานจบกับเพื่อนในเอกแท้ๆ แต่ผมกลับเลือกที่จะโกหกคำโต อ้างว่าติดธุระด่วนเลยต้องรีบกลับ แล้วปลีกวิเวกออกมานั่งคอตกอยู่หน้าเวทีในยิมส่วนกลางนี่แทน แต่เรื่องแบบนี้ก็คงโทษใครไม่ได้ นอกจากความบ้าบอของตัวเอง

    เลิกหลอกตัวเองเถอะน่าแบคฮยอน.. เขาไม่มาแล้วล่ะ

         


    กรึ่ก แอ๊ดด..

     

    ประตูโรงยิมถูกเปิดขึ้นอีกครั้งโดยฝีมือของผู้มาใหม่ ไฟเพดานที่ไม่ได้ถูกเปิด จึงทำให้ผมมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย มือเรียวดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เลยทำได้แค่อาศัยแสงไฟจากสปอร์ตไลท์นอกตัวอาคารเท่านั้นที่ช่วยในการมองเห็น เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำเอาใจดวงน้อยเริ่มกระตุกแรงจนเสียจังหวะ

    และทันทีที่ใบหน้าคมเงยขึ้นรับกับแสงไฟบางส่วนที่ลอดผ่านเข้ามาจากภายนอก มือเรียวก็กำเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ก้อนสะอึกตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับน้ำสีใสที่เอ่อคลออยู่ในเบ้า ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บไปหมด

    "หาตั้งนาน มาแอบอยู่นี่เอง"
     

    "..."

    "เป็นอะไ.."

     

    คนตัวสูงเซถอยหลังไปเล็กน้อย หลังโดนผมพุ่งเข้าใส่อย่างจัง สองแขนเล็กโอบกอดคนตรงหน้าราวกับว่าเขาคือที่พึ่งสุดท้ายแล้วในตอนนี้ ก่อนจะปล่อยให้ความอ่อนแอที่กัดกินอยู่ในใจมาตลอดสองวัน ไหลผ่านดวงตาคู่สวยออกมาอย่างไม่อาย

    "ฮึก เขาไม่มาแล้ว เขาไม่มา.." พี่อี้ฟานรวบตัวผมเข้ามากอดแน่นอย่างไม่ลังเล มือหนายกขี้นมาลูบศีรษะทุยเบาๆเป็นการปลอบประโลม

    "พี่รู้..ถึงได้มาหาเรานี่ไง"


    ราวกับกำแพงแห่งความอดกลั้นพังทลายลงไม่เป็นท่า จนถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์คชานยอล มันเกิดจากความจริงใจ หรือเป็นแค่การให้ความหวังลมๆแล้งๆกันแน่ ทุกสัมผัสที่เคยมอบให้ ผมยังจำมันได้ดี แต่มันคงไม่เคยมีความหมายอะไรสำหรับผู้ชายคนนั้นเลยใช่ไหม?

    อาจจะผิดที่ผมดันเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ว่าเขาก็คงรู้สึกเหมือนกัน  ทั้งที่คิดว่าให้ใจใครไป แล้วจะได้กลับมาแท้ๆ แต่มันคงไม่ง่ายอย่างนั้น.. แค่คิดว่าเรื่องของเรามันมีแค่ผมที่จริงจังไปเองฝ่ายเดียว น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมาง่ายๆโดยไม่ต้องบีบ

    "ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมา พี่จะอยู่ตรงนี้จนกว่าเราจะพอใจ" เสียงของพี่อี้ฟานเป็นเหมือนชนวนระเบิดที่จุดให้ความอ่อนแอของผมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผมปล่อยโฮ แล้วสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกภายใต้อกซ้ายมันปวดหนึบไปหมด

    การเป็นฝ่ายรู้สึกมากกว่ามันทรมานได้ขนาดนี้เลยหรือไง?


    โลกใบนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอ แต่กลับมีพื้นที่ให้ความผิดหวังมากมายนับไม่ถ้วน ความรักทำให้ผมเรียนรู้ถึงความอ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สอนให้ผมเข้มแข็งขึ้นด้วย หลังจากพยายามปลอบใจตัวเองอยู่พักใหญ่ ผมก็ค่อยๆผละตัวออกจากคนตรงหน้าช้าๆ เสื้อยืดตัวในของพี่อี้ฟานเปียกชื้นเป็นวงน้ำตา ผมยืนมองมันนิ่งๆ ในขณะที่สมองกำลังประมวลผลให้ตัดสินใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเสียที

    ผมรู้ว่าปาร์คชานยอลเป็นคนมีเหตุผล แม้จะไม่รู้เลยว่าเหตุผลที่ทำให้เขาตีตัวออกห่างไปนั้นคืออะไร แต่การที่ผมพยายามจะเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายเพื่อความเห็นแก่ตัว มันก็คงจะไม่เข้าท่าเหมือนกัน ผมไม่อยากให้เขาต้องมารู้สึกอึดอัดเพราะผมอีกแล้ว

    "พรุ่งนี้ผมจะกลับปารีส.."
     

    "..."
     

    "พี่พาผมไปเก็บของหน่อยได้ไหม?"



    50%



     20.10 pm.

    เร็กซ์ตันคู่ใจกำลังทะยานอยู่บนท้องถนนกว้างด้วยอัตราเร็วคงที่ ผมได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสีย ที่ดันลืมของสำคัญอย่างอุปกรณ์เบเกอรี่ที่ป้าฮโยจินฝากซื้อจากซุปเปอร์เมื่อวันก่อน จนทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางจากคอฟฟี่ดีไลท์มาเป็นบ้านแสนสุขแทน ทั้งที่ถนนเส้นนี้สามารถขับลัดจากโรงแรมไปที่ร้านได้เลยแท้ๆ

    ไม่น่าสะเพร่าเลยกู เสียเวลาชิบหาย


    แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าป้าฮโยจินไม่โทรมาเตือนว่าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ผมคงจะขอผลัดวันออกไปก่อนแบบไม่ต้องสืบ แม่ง เสือกรีบจนลืมเอง โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น..


    ผมขับรถมาจอดหน้าสวนหย่อมระแวกบ้านที่ตั้งอยู่เยื้องออกไปราวๆห้าร้อยเมตร เนื่องจากมีรถหรูเวรตะไลมาจอดขวางหน้าบ้านผมไว้อีกแล้ว ให้ตายเถอะว่ะ เห็นทีจะต้องเอาป้ายห้ามจอดมาวางเข้าสักวันให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังบ้านเดี่ยวรั้วสีน้ำตาล ก่อนจะชะงักไปเพียงครู่ เมื่อสายตาดันสบประสานเข้ากับใครบางคนที่ยืนถือกล่องกระดาษใบใหญ่อยู่หน้าประตูบ้านบานนั้น

    ใครบางคนที่ผมเลือกจะให้บทเรียนเขา โดยการหลบหน้ามาตลอดสองวันที่ผ่านมา..

     

    "..."
     

    "..."

    ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งไอฝรั่งเดินตามมาสมทบพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมคลายข้อสงสัยเรื่องกล่องกระดาษในมือคนตัวเล็กไปได้ สมองเริ่มประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้ทันที เขาคงตัดสินใจแล้วสินะ..

    แบคฮยอนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างๆให้พอได้ยินกันแค่สองคน ก่อนไอเด็กหัวทองนั่นจะพยักหน้ารับ แล้วช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางใบโตเดินสวนหน้าผมออกไปโดยไม่พูดอะไร สายตาที่มองมานั้นแม้จะเรียบเฉยแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมละความสนใจกลับมายังเด็กเฉิ่มในสังกัดอีกครั้ง เขาอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด แววตาหม่นๆภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะกำลังจ้องมองมาทางนี้ ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

     

    "..."
     

    "แต่งตัวหล่อขนาดนี้ คงไม่ได้ไปดูงานแสดงที่มหาลัยหรอกใช่ไหมครับ?"
     

    "อืม"
     

    "..."
     

    "ฉันไปงานแต่งครูนานะมา"
     

    "อ๋า งานแต่ง..นั่นสินะ" อีกฝ่ายแค่นยิ้มออกมาอย่างเต็มกลืน ราวกับกำลังรู้สึกสมเพชเวทนาตัวเองกับเรื่องที่ได้ฟัง
     

    "ขนของจะกลับกังนัมรึไง?"
     

    "เปล่าหรอก.."
     

    "..."
     

    "พรุ่งนี้ผมจะบินไปปารีส"
     

    "..."
     

    "ขอโทษนะครับที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า..แต่ผมตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่ที่นู่นเลย ยังไงก็ฝากบอกสองแฝดด้วยนะครับ..ฝากขอโทษพวกเขา"
     

    "อืม"
     

    "ผมอยากขอบคุณ สำหรับช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมา ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เด็กไม่รู้จักความรักอย่างผมได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน..และผมก็ดีใจที่คนคนนั้นคือคุณครับชานยอล"
     

    "..."

    "ขอบคุณโชคชะตาที่พาเรามาเจอกัน ถึงมันจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้คุณ ผมไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเรียกว่าอะไร คุณรู้สึกดีกับผมบ้างรึเปล่า และถ้าคุณตอบว่าไม่ ก็ไม่เป็นไรครับ..แต่ผมขออย่างเดียวได้ไหม?"
     

    "..."

    "อย่ารังเกียจความรู้สึกของผมเลยนะ"


    ประโยคดังกล่าวมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทำเอาผมพูดไม่ออก อยากรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบแล้วกระซิบบอกใจแทบขาด ว่าผมไม่เคยรังเกียจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทุกอย่างที่แสดงออกกลับตรงข้ามทั้งหมด สมองกับหัวใจกำลังออกคำสั่งสวนทางกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา คือใบหน้าเรียบเฉยที่มาพร้อมกับสายตาเย็นชาเท่านั้น แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะดันกรอบแว่นให้ดูเข้าที่เข้าทางมากกว่าเก่า
     

    "ผมไม่อยู่ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ อย่าอู้งานบ่อย แล้วก็ไปทำงานให้ตรงเวลาด้วย.."
     

    "..."
     

    "..คุณมีอะไรอยากพูดกับผมบ้างไหม?"
     

    "..." 

    ที่เงียบไป ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่มันมีมากจนเรียบเรียงออกมาเป็นรูปประโยคไม่ได้เลยต่างหาก

     

    "อ่า..เข้าใจแล้วครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ" แอบสังเกตเห็นมือเล็กที่กำลังบีบกล่องกระดาษในมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ รอยยิ้มที่ส่งมามันเต็มไปด้วยความผิดหวัง เด็กเฉิ่มโค้งศีรษะให้ผมเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะเดินสวนออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
     

    "แบคฮยอน.."
     

    เจ้าของชื่อเดินห่างออกไปไกลแค่ไหนแล้วผมเองก็ไม่อาจทราบได้  แต่หลังจากประโยคดังกล่าว เสียงฝีเท้าที่เคยได้ยินก็หยุดลง อีกฝ่ายไม่ได้ขานรับ หรือหันกลับมายังต้นเสียง ซึ่งผมเองก็เช่นกัน บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เรายืนหันหลังให้กัน ความอึดอัดที่โรยอยู่รอบตัว กำลังบีบบังคับให้ผมตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ประโยคที่เอ่ยขึ้นเบาหวิวคลอไปกับสายลมหนาว แต่ผมเชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะได้ยินและรับรู้มันอย่างชัดเจน
     

    "โชคดีนะ"

     


     

    09.00 pm. @ Coffee Delight

     

    รองเท้าหนังสีดำก้าวมาหยุดภายในร้าน ผมยังคงอยู่ในชุดสูททางการเหมือนอย่างเคย หากแต่สิ่งที่ต่างออกไปในตอนนี้ คือความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจ ‘มันช่างว่างเปล่า แต่ก็เต็มไปด้วยความกังวล’


    บรรยากาศร้านในช่วงค่ำของฤดูหนาวยังคงดำเนินไปเหมือนทุกวัน กลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตกลางคืน ยังคงนั่งอยู่ตามจุดต่างๆของร้าน เวทีเล็กถูกจับจองโดยมือกีต้าร์รุ่นน้องที่ป้าฮโยจินมักจะเรียกตัวเขามาบ่อยๆ เพื่อทำพาร์ทไทม์ในวันที่ผมลาหยุด ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน ผมทักมาบอกป้าฮโยจินตั้งแต่ช่วงสายแล้วว่าตอนเย็นติดอีเว้นจ์ และจะฝากป้าแกช่วยดูแลสองแฝดให้ก่อนจะมารับกลับในช่วงค่ำ


    ก็อก ก็อก


    เคาะเบาๆพอเป็นมารยาท ก่อนจะเปิดประตูห้องรับรองเข้าไปอย่างถือวิสาสะ เล่นเอาบุคคลทั้งสามมองการกลับมาของผมแทบจะเป็นตาเดียว

     

    "เยยย่ ป๋าจ๋ามาแล้ววว!!"
     

    "ไงครับตัวแสบ ดื้อกับคุณป้ารึเปล่า หื้ม?" ผมวางถุงผ้าที่ข้างในมีอุปกรณ์เบเกอร์รี่จากซุปเปอร์ไว้บนเคาเตอร์ยาวลายหินอ่อน แล้วรับตัวแฝดคนน้องที่วิ่งเข้ามากอดไว้แนบอก ลูกชายคนเล็กส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะโดนผมหอมแก้มฟอดใหญ่เป็นรางวัล คนพี่ยังคงสนใจกับการกินป็อปคอร์นถุงในมือ สายตายังไม่ลดละจากหน้าจอสมาร์ททีวีเครื่องใหญ่ที่กำลังฉายการ์ตูนแมวไร้หูเรื่องโปรด


    "คิดว่าจะช้ากว่านี้ซะอีก" ป้าฮโยจินลุกขึ้นเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อเช็ครายการสินค้าในถุงผ้าที่ฝากซื้อ
     

    "ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้กะจะอยู่จนจบงานอยู่แล้ว อันที่จริง แค่อยากแวะไปแสดงความยินดีมากกว่า"
     

    "แล้วเป็นไงล่ะ เจอเขาใช่ไหม?"

    "เจอครับ ผมไปเลทนิดหน่อยแต่โชคดีที่เธอยังยืนรับแขกอยู่หน้างาน ไม่งั้นคงหาโอกาสเจอกันยาก"
     

    "ครูนานะสวยไหมฮะ?" ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างแฝดคนพี่ ทั้งที่ยังมีเจ้าตัวเล็กอีกคนนั่งอยู่บนตัก
     

    "หนูอยากเป็นเจ้าหญิงแบบครูนานะบ้าง"
     

    "เรียกว่าเจ้าสาวครับคนเก่ง"
     

    "เจ้าสาวคืออะไรอะ?"
     

    "เจ้าสาวก็คือ..ผู้หญิงคนนึงที่โชคดีมากๆ ที่จะได้รับความรักจากผู้ชายที่เธอรักไปตลอดชีวิตไงล่ะครับ ส่วนผู้ชายเขาเรียกว่าเจ้าบ่าว"

    "อืมมม..หนูกับแดเนียลอยากเป็นเหมือนเจ้าสาวบ้าง แล้วให้ป๋าจ๋าเป็นเจ้าบ่าว..จะได้รับความรักจากป๋าไปตลอดชีวิต!" ผมหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้าฮโยจินเองก็หัวเราะชอบใจใหญ่กับความไร้เดียงสาของเด็กชายวัยห้าขวบ
     

    "ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลยลูก ยังไงป๋าก็รักพวกหนูอยู่ดีอะ จริงไหม?" ผมยิ้มพลางลูบหัวเด็กทั้งสองอย่างเบามือ แต่แล้วรอยยิ้มที่เคยปรากฏก็เลือนหายไปในพริบตา เมื่อลูกชายคนโตกล่าวถึงใครอีกคนในช่วงเวลานี้
     

    "งั้นให้แบคยอนเป็นเจ้าสาวแทนนะฮะ หนูก็อยากให้แบคยอนได้รับความรักจากป๋าเหมือนกัน!"
     

    "..."

    "จริงด้วยยย แบคยอนทั้งใจดี น่ารัก หนูเลยอยากให้ป๋าจ๋ารักแบคยอนเหมือนที่พวกหนูรักบ้าง!”

     

    ‘ไร้เดียงสา’ คำพูดคำจาที่ไร้เดียงสาเหมือนผ้าขาวนั้น กำลังกัดกินความรู้สึกในใจผมไปทีละน้อยความกังวลที่หายไปได้เพียงครู่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ข่าวร้ายเรื่องการจากลาของพี่เลี้ยงคนสนิทของลูกชาย ทำเอาผมคิดไม่ตกมาเป็นชั่วโมง คำโกหกรวมถึงข้ออ้างสารพัดสิ่งถูกเรียบเรียงขึ้นในหัว ทั้งที่ตั้งใจจะปิดไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแท้ๆ แต่เอาเถอะ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ว่าเร็วหรือช้า ยังไงพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้เข้าสักวัน

     

    "คงเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ.." ผมช้อนสายตาขึ้นมองลูกชายทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเหลือบมองไปทางป้าฮโยจินที่ดูเหมือนจะประติดประต่อเรื่องราวได้บ้างแล้วหลังจากเห็นสีหน้าของผม เธอพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมพูดต่อ
     

    "ง่ะ ป๋าทำหน้าบึ้งๆอีกแล้ว <(^′)> "
     

    "ถ้าป๋าไม่ชอบให้หนูแซวเล่น หนูไม่แซวแล้วก็ไ.."
     

    "แบคยอนไปแล้วครับ" เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริงๆที่ผมพูดแทรกเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอย่างเสียมารยาท

    "ไปไหนฮะ แบคยอนไปไหน?"

    "แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่อะ?"
     

    "ต่างประเทศ แบบไม่มีกำหนดกลับ" ตอบคำถามแบบรวดเดียวจบ คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ ล่าสุดที่เห็นลูกชายทำหน้าแบบนี้ ก็ตอนที่ทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้เท่านั้นแหละ
     

    "..."
     

    "รอบนี้ป๋าไม่ได้ล้อเล่นนะครับ เขาจะไม่กลับมาแล้วจริงๆ"
     

    "แบคยอนหายไปกับเครื่องบิน..ใช่ไหมฮะ?" น้ำเสียงของแดเนียลปาร์คสั่นเครืออย่างปิดไม่มิด ผมลอบถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าตอบช้าๆ คงเพราะเมื่อสองวันก่อนที่เขาเล่าให้ผมฟังตอนไปส่งที่โรงเรียน ว่าพี่เลี้ยงคนสนิทเคยบอกเล่าเรื่องเครื่องบินกับจรวดให้ฟังว่ายังไง
     

    ทางไกลกับเครื่องบินก็เป็นของคู่กันเหมือนช้อนกับส้อมนั่นแหละ

     

    สุดท้ายน้ำตาของเด็กน้อยที่คิดว่าคงห้ามไว้ไม่ได้ ก็ไหลออกมาในที่สุด ผมรวบตัวลูกชายทั้งสองคนเข้ามากอดไว้แนบอก สองมือใหญ่ลูบศีรษะทุยเบาๆเป็นการปลอบประโลม

     

    "แบคยอนโกหกอะ ไหนบอกว่าอีกนานมากกว่าจะไป"
     

    "ฮึก แบคยอนสัญญา ว่าคืนนี้จะร้องเพลงที่แต่งให้หนูฟัง.."
     

    "อืม เขาเลยฝากป๋ามาขอโทษพวกหนูนี่ไง"

      

    ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้น น้ำเสียงอู้อี้ปนสะอื้นของเด็กทั้งสองที่ดังอยู่ข้างหู ทำเอาหัวใจคนเป็นพ่อเหมือนถูกบีบ นอกเหนือจากป้าฮโยจินกับเพื่อนสนิททั้งสองคนแล้ว สองแฝดก็ไม่เคยผูกพันกับใครเหมือนเป็นคนในครอบครัวอีก ผมเข้าใจความรู้สึกของการถูกบอกลาจากคนที่รักและผูกพันเป็นอย่างดีว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน ไม่อยากทนเห็นลูกต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับผมเมื่อห้าปีก่อน แต่เรื่องที่ผมกลัวที่สุด มันกำลังเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้

    นี่คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมกังวลมาตลอดกับการตัดสินใจจ้างพี่เลี้ยงเด็กสักคน ผมรู้ว่าผมไม่สามารถจ้างเขาไปได้ตลอด วันนึงที่สองแฝดโตขึ้นพอจะดูแลตัวเองได้ ผมก็คงตัดใจเลิกจ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับดูผิดแผนที่วางไว้ไปเสียหมด.. เข้าใจว่าการจากลามันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับสองแฝดแล้ว ผมว่ามันคงกะทันหันเกินไป

     

    ' ผมมั่นใจครับ ว่าผมดูแลพวกเขาได้ '

    ' เรียกคุณว่าป๋ามันจะทำให้สนิทกันเร็วขึ้น.. '
     

    ' ก็ครึ่งชีวิตของผมอยู่ในนั้น.. '

    ' อย่างน้อยผู้ปกครองก็ควรทราบนะครับ ถ้าผมไปโดยไม่บอกก็โดนดุอีก ป๋าน่ะ ขี้ดุจะตาย '

    ' แอบตามผมมาหรอครับ? '

    ' เดี๋ยวไข้คงลดแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะครับ ทานยาตามที่จัดให้ด้วย '

    ' ผมทำโจ๊กมาให้ ทานซะหน่อยนะครับ '

    ' งื่อออ โกรธค้าววหรอออ? '

    ' ผมไปไม่ทัน พอใจรึยังครับ?! '

    ' ป๋า นี่เวลางานผมนะ ให้ความร่วมมือหน่อยสิครับ '

    ' ไม่งอนนะครับ นะๆๆ ผมกลับไม่ดึกอะสัญญาเลย '

    ' ป๋ารีบเข้างานนะ วันนี้ห้ามไปสายอีก เข้าใจที่ผมพูดไหม? '

    ' สุขสันต์วันเกิดครับ '

    ' นอนแบบนี้เดี๋ยวก็เมื่อยหรอก..'

    '..ป๋าได้ฟังเป็นคนแรกเลยนะ'

    ' เพราะเสน่ห์ในตัวเขานี่แหละ ที่ทำให้ผมตกหลุมรัก และตัดสินใจที่จะเขียนเพลงเพลงนี้ขึ้นมา.. '

    ' อย่ารังเกียจความรู้สึกของผมเลยนะครับ '

     

    ใช่.. มันผิดตั้งแต่คนคนนั้นคือ 'บยอนแบคฮยอน' แล้ว




    baekhyun's


    หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนหน้าบ้านของพ่อม่าย พี่อี้ฟานก็ตัดสินใจพาผมไปนั่งรถเล่นท่องราตรีในตัวเมืองแทนการไปส่งที่อพาร์ทเมนต์หรูย่านกังนัมอย่างที่ควร โดยเขาให้เหตุผลว่า 'เวลาเศร้า อย่างน้อยก็ควรมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ'


    มาเซราติราคาเหยียบสิบล้านกำลังแล่นไปบนถนนสายหลักใจกลางเมืองเกาหลีใต้ ผมเหม่อมองวิวภายนอกที่ถูกประดับประดาด้วยแสงไฟสวยงามทั้งที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด คนตัวสูงไม่ได้เปิดบทสนทนาขึ้นมาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่เปิดเพลงจากเพลย์ลิสต์โปรดในมือถือคลอเบาๆ แล้วนั่งเงียบเป็นเพื่อนผมเท่านั้น

    เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังให้เขาฟัง ถึงแม้คู่สนทนาจะดูไม่ค่อยสบอารมณ์กับเรื่องของปาร์คชานยอลนัก แต่เขาก็เลือกจะเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า อีกฝ่ายให้ผมระบายความอัดอั้นออกมาจนพอใจ แล้วพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป

    'ถ้าเรารักตัวเองมากพอ พี่เชื่อว่าสักวันนึงคงมีความรักที่ดีกว่ารอเราอยู่เหมือนกัน'

    นั่นสินะ ถึงเวลาต้องกลับมารักตัวเองแล้วแบคฮยอน

     

    หลังจากกลับมาถึงบ้าน ผมก็ตัดสินใจยกหูโทรทางไกลไปหาแม่ตามข้อตกลงที่วางกันไว้ ถือสายรอไม่นาน ไฟล์ตั๋วเครื่องบินออนไลน์ รวมถึงไฟล์เอกสารต่างๆก็ถูกส่งมาทางช่องแชท ก่อนเสียงจากปลายสายจะดังแทรกเข้ามาอีกครั้ง

    'ฉันโทรไปทำเรื่องให้แล้ว ส่วนแกก็แค่เข้าไปเซ็นใบลาออกตอนเช้า จัดเวลาให้ดีล่ะ อย่าไปสายจนให้ผู้ใหญ่ต้องรออีก'

     

    สำหรับตระกูลบยอน ‘เส้นสาย’ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และการที่แม่ผมจะรู้จักกับคณบดีเป็นการส่วนตัวนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

     

    'ครับ..'

     

    'เรื่องบ้านที่กังนัมเดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่วนเอกสารทุกอย่างที่แกต้องใช้ ฉันก็เตรียมให้หมดแล้ว พรุ่งนี้เครื่องออกสิบโมง ถึงเมื่อไหร่ก็ทักบอก ฉันจะได้ส่งรถไปรับ'


    'ทราบแล้ว ไว้เจอกันนะครับแม่'

     
     

    เรื่องราวต่างๆประดังประเดเข้ามาให้ได้คิดตลอดทั้งคืนจนสมองแทบไม่ได้หยุดพัก ผมพลิกตัวไปมาบนคิงไซส์ขนาดหกฟุตเพื่อหาท่านอนที่สบายแล้วพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเลยต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟเพดานจนสว่างโร่ แล้วไล่เก็บกวาดห้องแทน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหมดถูกจัดลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกใบอย่างเป็นระเบียบ จริงอยู่ที่ผมเก็บมันมาแล้วรอบนึงตอนออกจากบ้านของปาร์คชานยอล แต่นั่นมันก็แค่สองส่วนสี่ของทั้งหมดเท่านั้น กว่าจะจัดของเสร็จก็ลากยาวไปเกือบตีสาม ความเหนื่อยล้าคืบคลานเข้ามาจนหนังตาหนักอึ้ง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
     

    เสียงนาฬิกาจากสมาร์ทโฟนเครื่องบาง ปลุกเด็กหนุ่มขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาสู้กับโลกความจริงอีกครั้ง กับเวลานอนแค่สามชั่วโมงเศษๆ คงไม่ทำให้ผมอยู่ในสภาพที่ดีนัก ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง สารถีจำเป็นในวันนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพี่อี้ฟานที่ออกอาสาจะไปส่งผมที่สนามบินด้วยตัวเอง แถมพ่วงมากับเพื่อนสนิททั้งสองอย่างคิมจุนมยอน และโดคยองซู ที่เพิ่งรู้ข่าว เลยขอติดสอยห้อยตามออกมาด้วย


    บรรยากาศในช่วงเช้าของคณะค่อนข้างเงียบ และนั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับผม ที่ไม่ต้องเจอคนรู้จักแล้วไล่ตอบคำถามให้วุ่นวาย หลังจากเซ็นใบลาออกเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ลานจอดรถทันที สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนพิงเสาอิฐแดงอยู่ไม่ไกล

     

    "ไง มาทำอะไรแต่เช้าล่ะ?" ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อนเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเรา หลังจากยืนจ้องหน้ากันอยู่นานเกือบครึ่งนาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร
     

    "อาจารย์ที่ปรึกษานัดฉันมาคุยเรื่องหัวข้อวิจัยน่ะ"
     

    "..."

    "ว่าแต่นายเถอะ ใส่ชุดนักศึกษามาทำอะไรก่อน..คงไม่ได้มาเรียนคาบเช้าเพราะลืมหรอกใช่ไหม?" ว่าที่นักศึกษาปีสี่เอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆทั้งที่ยังยืนพิงเสาอยู่แบบนั้น
     

    "ฉันมาทำเรื่องลาออกน่ะ"
     

    "..."
     

    "ขอโทษนะ เมื่อวานก็ไม่ได้ไปฉลองด้วยกัน"
     

    "ที่บอกว่าติดธุระต้องกลับเร็วก็เพราะเรื่องนี้สินะ" ถึงจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ผมกลับเลือกที่จะพยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนคำตอบ
     

    "ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?"
     

    "เอาสิ"
     

    "ที่นายบอกว่าหลังจบปีสี่ค่อยว่ากันน่ะ ฉันเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นวันนี้แทน" ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อน ช่วงโดนทำโทษให้ดูแลสวนหย่อมหลังโถงกลางคณะนั่นแหละ ที่ทำให้ผมกับคิมซอกจินสนิทใจกันมากขึ้น จนแทบจะพูดกันได้เกือบทุกเรื่อง และนั่นคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะรู้เรื่องการเข้าเรียนมหาลัยในเกาหลีของผม
     

    "ฉันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับแม่..เรื่องเลยออกมากะทันหันแบบนี้"
     

    "มันเกี่ยวกับคนที่นายแต่งเพลงให้รึเปล่า?"
     

    "..." ผมพยักหน้าตอบช้าๆ ไม่ได้รู้สึกตกใจกับคำถามที่ได้ยิน แม้มันจะเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่เคยเอ่ยปากพูดกับคิมซอกจินเลยก็ตาม
     

    "กะอยู่แล้วเชียว ว่าเด็กดีอย่างนายคงไม่ได้ทำเรื่องพิเรนทร์ร้ายแรงอะไรให้พ่อแม่ผิดหวัง.."
     

    "..."
     

    "ที่แท้ก็แค่มีความรัก?"
     

    "อืม"
     

    "อ่า นี่ฉันคงอกหักอย่างเป็นทางการแล้วสินะ.."
     

    "จะโกรธก็ได้นะ ที่ชอบทำตัวเหมือนให้ความหวังอะ"
     

    เพื่อนหน้าหล่อหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนคอนเวิร์สสีดำจะก้าวพาร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม การแต่งกายลุคเบสิคด้วยเสื้อยืดโง่ๆกับกางเกงยีนส์ขาดเข่า ไม่ได้ทำให้ออร่าความหล่อของเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด ใช่ มันกลับกันโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ

     

    "คนที่ชอบยืนทำหน้างออยู่ตรงหน้าแบบนี้ เป็นใครจะไปโกรธลงอะถามหน่อย"
     

    "อกหักจริงปะเนี่ย ไม่โกรธ ไม่เสียใจเลยสักนิด?"

    "เรื่องเสียใจน่ะมันแน่อยู่แล้ว..ก็แค่ต้องยอมรับให้ได้ป้ะว่าจีบนายไม่ติด แค่นั้นเอง"
     

    “พูดง่ายทำยาก”
     

    "เอาน่า..ถ้ามันแลกมากับความสุขของนายตอนได้รักเขา ต่อให้เสียใจกว่านี้ก็ถือว่าคุ้มนะ นายน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มที่สุด เคยรู้ตัวบ้างมั้ย?" อีกฝ่ายยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะออกแรงขยี้กลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เลยได้แต่ยืนนิ่งแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นมันตามอำเภอใจเท่านั้น
     

    "พระเอกสุด!”

    "ไม่แซวดิ แล้วเป็นไง สารภาพรักออกสื่อไปขนาดนั้น เขาว่าไงบ้างอะ?"
     

    "จะว่าไงล่ะ เขาไม่ได้มาฟังมันด้วยซ้ำ..”

    “...”
     

    “ฉันเองก็อกหักเหมือนนายนั่นแหละ"
     

    "อืม..งั้นถือว่าเจ๊ากันเนอะ" คิมซอกจินยื่นนิ้วมาดีดหน้าผากผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้ ผมมุ่ยหน้าใส่คนตัวสูงกว่า ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นชกแขนอีกฝ่ายหนึ่งทีเป็นการเอาคืน
     

    "แบบนี้ต่างหาก ถึงจะเรียกว่าเจ๊า!"

     

    ความอึดอัดที่เคยเกิดขึ้นตอนแรกพลันหายไปในพริบตา เพียงเพราะเรากำลังเล่นตีกันเหมือนเด็กๆอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาสองคู่ประสานกันเพื่อลองเชิงอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ อยู่ในโหมดจริงจังได้แค่เวลางานจริงๆสินะ

     

    "งั้นก็เริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกันนะ แบคฮยอน"
     

    "อื้ม!"


    จะว่าไป แบบนี้ก็แฟร์ดีเหมือนกัน ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างไม่มีใครสมหวังในความรัก ซึ่งนั่นก็แปลว่า จะไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบกับความรู้สึกในครั้งนี้ ไม่เจอเองกับตัวก็คงจะพูดยาก แต่ความรู้สึกของคิมซอกจินในตอนนี้เป็นอย่างไร ผมว่าผมเองก็พอจะเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี


    เราจะเริ่มต้นใหม่กับความไม่เจ็บปวดไปพร้อมกัน โดยให้เวลากับระยะทางเป็นเครื่องเยียวยาความรู้สึก



    "เดินทางปลอดภัยนะครับจูเลียต คิดถึงกันบ้างล่ะ ไปอยู่ทางนู้นก็ดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมยิ้มเยอะๆนะเข้าใจไหม?" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน ร่างทั้งร่างของผมถูกอีกฝ่ายรวบเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว สรรพนามแปลกๆที่คุ้นหูอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ผมขมวดคิ้วสงสัยที่ได้ยินมันแต่อย่างใด จุดเริ่มต้นระหว่างผมกับคนตรงหน้าเกิดขึ้นตอนไหน ผมยังจำมันได้ดี


    ผมยกมือขึ้นกอดตอบ ก่อนจะเกยหน้าไว้บนลาดไหล่กว้างของเพื่อนพระเอกตัวสูง

     

    "เช่นกันนะโรมิโอ"

     



    09.20 am. @ Incheon International Airport

     

    “พร้อมไหม เอกสารครบรึเปล่า?” คยองซูเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงจุดนัดพบ หลังจากทำเรื่องเช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ ก่อนจะชูเอกสารสำคัญสามสี่อย่างในมือให้ดูเป็นหลักฐาน ตอนนี้ผมอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดา ซึ่งมันคงจะสะดวกกว่าเครื่องแบบนักศึกษาเป็นไหนๆ สำหรับการนั่งนานติดต่อกันหลายชั่วโมง

     

    “อีกครึ่งชั่วโมงเอง เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ” จุนมยอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะต้องเบ้หน้าเมื่อโดนผมเอาพาสปอร์ตในมือตีหัวเข้าให้เบาๆ
     

    “ดูพูดเข้า.. ฉันแค่กลับบ้านนะ ไม่ได้หายไปจากโลกซะหน่อย”
     

    “กับการไม่เห็นนายในเกาหลีใต้ มันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
     

    “จะได้คิดถึงกันบ่อยๆไง ไม่ดีหรอ?”
     

    “เวลาผมเป็นเงินเป็นทองนะคุณ มัวแต่จะให้คิดถึงน่ะ คิดค่าบริการนะรู้เปล่า?”
     

    “งั้นขอเหมาจ่ายล่วงหน้าเลยเป็นไ..” พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนอีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามากอดไว้เสียแล้ว มือเล็กลูบศีรษะทุยของอีกฝ่ายเบาๆเป็นการปลอบประโลม จุนมยอนน่ะเซ้นซิทีฟเรื่องเพื่อนเป็นที่สุด เรื่องนี้ผมกับคยองซูรู้ดี
     

    “ไว้จะเฟสไทม์มาหาบ่อยๆ รับสายฉันด้วยล่ะ พวกนายทั้งคู่เลย!”

    "เป็นใคร ทำไมกล้าสั่ง?" คยองซูแกล้งถามเสียงเรียบ ทั้งที่ปากรูปหัวใจนั่นกำลังอมยิ้ม
     

    "เพื่อนหัวแก้วหัวแหวนยังไงล่ะ" จุนมยอนผละตัวออกทันทีที่ได้ยินคำตอบ เพื่อนตัวขาวเบ้หน้าอีกครั้งอย่างสุดจะทน ก่อนจะปาดน้ำตาออกลวกๆจนผมต้องหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด รอจนสงบลง คยองซูถึงได้ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่จากร้านหรูในห้างดังมาให้ ผมรับมันมาถือไว้ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

    "ข้างในเป็นหมวกไหมพรม คาดิแกน แล้วก็ผ้าพันคอ ตอนซื้อ ฉันกับจุนมยอนตกลงกันว่าจะเอาให้นายติดตัวไว้ตอนไปอยู่ที่นู่น.."
     

    "..."
     

    "แต่ถ้านายตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ ของพวกนี้ก็จะถูกใช้เป็นของขวัญวันเกิดในปีหน้าของนายแทน"
     

    "ถูกต้อง!"
     

    "พวกเราตั้งใจเลือกมากเลยนะ หวังว่าคงจะชอบ"
     

    "..."
     

    "จริงๆแค่อยากให้ของไว้ดูต่างหน้าเท่านั้นแหละ อย่างน้อยๆตอนใส่ นายก็จะได้นึกออกว่าได้มันมายังไง"


    ไม่บ่อยนักหรอกครับ ที่ผมกับเพื่อนจะพูดจาชวนซึ้งกันเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ผมก้มมองของกลางดังกล่าวที่นอนแน่นิ่งอยู่ในถุง ก่อนมือเรียวจะล้วงลงไปหยิบหมวกไหมพรมสีดำขึ้นมาสวมใส่

     

    "งั้นก็ใส่ไว้ตลอดเวลาเลยดีไหม?" ผม
     

    "ให้ตายเถอะ ขี้เว่อร์ชะมัด!" จุนมยอน

    "ไม่หรอก แบบนี้เขาเรียกขี้เห่อต่างหาก" -- คยองซู

     

    เราสามคนหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนเพื่อนตัวเล็กทั้งสองจะถูกผมรั้งตัวเข้ามากอด จะว่าไปก็แอบใจหายอยู่เหมือนกันกับมิตรภาพอันแสนยาวนานของผมกับเพื่อนรักทั้งสอง อะไรๆมันคงยากกว่านี้ถ้าไม่มีพวกเขาคอยซับพอร์ต ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นสามปีในรั้วมหาลัยกับจุนมยอน หรือหกปีในรั้วโรงเรียนกับคยองซู.. คงถึงเวลาแยกย้ายกันไปเติบโตแล้วจริงๆแล้วสินะ


    "ขอบคุณนะ ขอบคุณพวกนายสำหรับทุกอย่างเลย" ผม
     

    "ด้วยความยินดี.. อย่าคิดมากนักล่ะ กับทุกเรื่องเลย ว่างเมื่อไหร่ก็กลับมาเที่ยวบ้าง ฉันจะรอรับสายทางไกล" คยองซู
     

    "ถ้าที่บ้านปล่อยไฟเขียวเมื่อไหร่ พวกนายก็เคลียร์คิวรอไว้ได้เลย" ผม
     

    "จัดไปซิ!" คยองซู
     

    "ขอให้นายเจอเพื่อนดีๆที่นั่นเยอะๆ" จุนมยอน
     

    "ขอให้พวกนายสู้ๆกับวิจัยจบเหมือนกัน" ผมผละตัวออกช้าๆ จัดการยีหัวเพื่อนรักไปคนละทีสองทีให้หายคิดถึง หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจแบบนี้อีกแล้ว

     

    เสียงกระแอมของรุ่นพี่ตัวสูงที่ยืนอยู่ระแวกเดียวกันดังขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต จุนมยอนทำหน้าเหลอหลา แต่สุดท้ายก็โดนคยองซูลากออกไปจากตรงนี้จนได้ คนตัวสูงเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าผม ระยะห่างกะคร่าวๆราวหนึ่งช่วงแขน พี่อี้ฟานดูเหมือนกำลังประหม่าอยู่ไม่น้อย สังเกตได้จากการยกมือขึ้นมาถูจมูกเบาๆแบบที่เจ้าตัวชอบทำ
     

    เอาล่ะ ถึงคิวของพี่ประธานแล้ว

     

    "พี่คงส่งเราได้แค่ตรงนี้"
     

    "..."
     

    "ไปอยู่ทางนู้น ก็ดูแลตัวเองดีๆนะครับ"
     

    "อื้อ"
     

    "อย่าป่วยบ่อย แล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆด้วย เข้าใจไหม?"
     

    "เข้าใจแล้วครับ" คนตัวสูงชั่งใจอยู่ครู่นึง ก่อนจะรวบตัวผมเข้าไปกอด และด้วยขนาดตัวที่ต่างกันอยู่พอควร จึงทำให้ผมแทบจะจมหายเข้าไปในอ้อมอกแข็งแรงของอีกฝ่าย
     

    "พี่คงตามไปดูแลเราไม่ได้แล้ว"
     

    "..."
     

    "ยังไงก็ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะครับตัวเล็ก"
     

    "ผมมากกว่าที่ควรจะพูดแบบนั้น" ผมยกมือขึ้นกอดตอบคนตัวสูง แล้วเงยหน้าขึ้นเกยบนไหล่กว้าง
     

    "ถ้าจะขอบคุณ พี่ก็ไม่ว่า แต่ไม่ต้องขอโทษพี่ได้ไหม?"

     

    "ไม่ครับ ขนาดพี่ไม่ผิดอะไร พี่ยังขอโทษผมเลยอะ"
     

    "แล้วใครบอกล่ะว่าพี่ไม่ผิด.."
     

    "..."
     

    "อย่างน้อยพี่ก็เคยทำอะไรให้เราไม่พอใจอยู่บ้างแหละ"
     

    "เช่นอะไรครับ?"
     

    "ให้แต่งหญิงงานละครคณะไง"
     

    "โห เรื่องแค่นั้นผมไม่เก็บมานับหรอกนะ" คนตัวสูงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างพอใจ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
     

    "พูดมาก่อนสิว่าให้อภัย แล้วพี่จะไม่พูดคำว่าขอโทษอีก"
     

    "ค้าบๆๆ ผมให้อภัยพี่แล้ว"
     

    "เด็กดี..ถ้าเหงาก็ทักหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะครับ"

     

    เรายังคงกอดกันอยู่อย่างนั้น กลิ่นหอมประจำตัวของคนตรงหน้าที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และอบอุ่นแบบนี้ มันคล้ายกับกลิ่นของปาร์คชานยอลไม่มีผิด จะต่างก็ตรงที่ผมกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้นมากกว่า เหอะ แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังจะนึกถึงแต่เขาอีกงั้นหรอ ให้ตายเถอะแบคฮยอน ใช้ไม่ได้เลย..

     

    "เวลาห่างกันตั้ง 7 ชั่วโมง พี่นั่นแหละจะต้องเหงาตายจนเป็นฝ่ายทักมาหาผมก่อน" ผมกดเสียงขู่ แต่คนฟังกลับหัวเราะร่าออกมาเสียอย่างนั้น มือหนายกขึ้นลูบหัวผมผ่านหมวกไหมพรมเบาๆ
     

    "ค้าบๆ ถ้าไม่อยากให้พี่เหงาตายก็รอตอบแชทได้เลย"
     

    "พี่อี้ฟาน”
     

    “หื้ม?”
     

    “ก่อนไป ผมขออะไรอย่างนึงได้ไหม แต่ผมไม่อยากให้พี่ปฏิเสธนะ”
     

    “ขอยากแน่เลย ไหนว่ามาซิ” ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่ ถึงได้พูดประโยคนี้ออกมาอย่างสบายๆ
     

    “คงอีกนานกว่าผมจะกลับมา และจนกว่าจะถึงตอนนั้น..” ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ทั้งที่เตรียมตัวและเรียบเรียงคำพูดในหัวมาตั้งแต่เช้าแล้วแท้ๆ แต่พอรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไปตรงๆ กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นแบบบอกไม่ถูก
     

    "..."
     

    "พี่ไม่ต้องรอผมแล้วได้ไหม?"
     

    "ถ้าเรายังกอดพี่อยู่แบบนี้ พี่จะไม่รับปากอะไรทั้งนั้นนะ" สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ย ผมก็ค่อยๆผละตัวออกช้าๆ คำว่า ‘ไม่ต้องรอ’ ในความหมายของผม คนฟังเข้าใจมันดีอยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไร สีหน้าของพี่อี้ฟานตอนนี้ไม่ได้เรียบเฉยเหมือนน้ำเสียงที่พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มอย่างพอใจเสียมากกว่า

      

    “กะแล้วว่าเราต้องพูดเรื่องนี้.. พี่ทำใจมาทั้งคืนเลยนะรู้ไหม?”
     

    “...”
     

    "ตัวก็แค่นี้ กล้าดียังไงมาหักอกพี่ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอแบคฮยอน?"
     

    "เอาจริง ผมใจร้ายได้มากกว่านี้อีกนะ พี่อยากลองไหมล่ะ?” ผมแกล้งพูดติดตลก เพื่อให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลง ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายกำลังระเบิดหัวเราะออกมา มือหนาเอื้อมขึ้นมาบีบจมูกรั้นเบาๆให้หายหมั่นเขี้ยว
     

    “ตัวแสบ.. ถ้าเกิดว่าเราตกเครื่องน่ะนะ พี่จะถือว่าคำขอทั้งหมดเป็นโมฆะ” พี่อี้ฟานยกนาฬิกาข้อมือแบบเข็มขึ้นมาชี้ทำท่าประกอบ ผมส่ายหน้าพรืดก่อนจะก้มลงมองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ถืออยู่ในมือกำลังบอกว่าเวลาได้ล่วงเลยไปกว่าสิบห้านาทีแล้ว และผมเหลือเวลาอีกแค่ราวๆยี่สิบนาทีเท่านั้นก่อนที่เครื่องจะออก
     

    “งั้นผมไปก่อนนะ” ประโยคเพิ่งจบได้หมาดๆ เพื่อนสนิททั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีราวกับมีคนปล่อยคิวให้ ในมือถือแก้วกาแฟจากร้านดังติดไม้ติดมือมาคนละหนึ่ง และนั่นถือเป็นโอกาสดีสำหรับผม ที่จะได้เอ่ยปากลาคนทั้งสามพร้อมกันอีกเป็นครั้งสุดท้าย
     

    "Safe flight ครับคนเก่ง พี่รอดูความสำเร็จของเราอยู่นะ"
     

    "เดินทางปลอดภัยล่ะแบคฮยอน ขอให้โชคดี!"
     

    “อื้ม ไว้จะติดต่อกลับมานะ!”


    ผมโบกมือลา ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสองของอาคารผู้โดยสารทันทีเพื่อทำการตรวจหนังสือเดินทาง เอกสารต่างๆ รวมถึงสแกนสัมภาระ หลังจากหลุดด่านประตูตรวจจับโลหะมาได้ ก็แทบจะวิ่งสี่คูณร้อยไปยังเกตเป้าหมาย

     

    ' ประกาศครั้งสุดท้ายจากสายการบิน Korean air เที่ยวบินที่ TG932 ซึ่งจะออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติปารีส - ชาร์ล เดอ โกล ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้เครื่องพร้อมแล้ว ณ ประตูทางออกหมายเลข 22 .. '

     

    เสียงประกาศที่ดังแว่วมาแต่ไกลนั้นไม่ได้ทำให้ผมได้หยุดพักแต่อย่างใด กว่าจะถ่อสังขารมาถึงบนเครื่องได้ก็เล่นเอาแทบจะหมดลม ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามหมายเลขที่นั่งของตนเองโดยไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนแล้วกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับเพิ่งไปวิ่งหนีซอมบี้ในเมืองร้างมาก็ไม่ปาน

    ผมหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องบางขึ้นมาเปิดโหมดเครื่องบิน ก่อนจะยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม การบินตรงจากโซลไปปารีสคงใช้เวลาราวๆสิบสองชั่วโมงเห็นจะได้ ดังนั้นถ้าผมจะนอนหลับแบบยิงยาวไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก็แหงล่ะ อาการนอนดึกตื่นเช้ามันกำเริบ แต่ทันทีที่หลับตาลง ภาพความทรงจำมากมายในเกาหลีก็แฟลชแบ็คกลับมาโดยอัตโนมัติ และคงไม่ปฏิเสธเลยว่าหนึ่งในนั้นก็มีความทรงจำระหว่างผมกับปาร์คชานยอลอยู่เช่นกัน

    ผมลืมตาขึ้นสู้กับความเป็นจริงอีกครั้ง คิดไปคิดมาก็บ้าบอสิ้นดี ที่เรื่องราวมันดำเนินมาจนถึงจุดนี้ได้ ความเจ็บปวดทรมานนี้ยังคงใหม่มากสำหรับผม เพียงแค่นึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมาได้ง่ายๆ ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่ความอ่อนแอ คงไม่ดีแน่ถ้าจะร้องไห้ออกมาทั้งที่อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้

    แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอนาคตข้างหน้านั่น จะมีโอกาสได้เจอเขาอีกรึเปล่า ได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่ตลอด ว่าถึงไม่เจอจริงๆก็คงจะไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยๆ ผมก็ได้พูดและแสดงออกทุกความรู้สึกในใจไปจนหมดแล้ว และคงไม่มานึกเสียดายทีหลัง
     

    การกลับปารีสรอบนี้ คงทำให้มุมมองหลายๆอย่างของผมที่มีต่อสรรพสิ่งบนโลกเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย ทั้งเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ที่แตกต่างไปจากเกาหลีบ้านเกิดโดยสิ้นเชิง คาดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวกันยาวๆ เหมือนทุกอย่างกำลังกดปุ่มรีเซ็ตให้กลับไปเริ่มใหม่ ณ จุดเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นที่ไม่มีปาร์คชานยอล ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้อย่างดีเท่านั้นแหละ


    บางที คนบางคน.. ก็อาจเข้ามาแค่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเท่านั้น

    'โชคดีนะ'


    ลาก่อนครับชานยอล แล้วก็.. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง

     


     

    1 อาทิตย์ต่อมา

    11.40 pm. @ Coffee Delight

     

    เป็นอันรู้กันว่าทุกวันศุกร์ต้นเดือน จะมีกิจกรรม Random mood ที่ถูกจัดขึ้นพิเศษเพื่อให้ลูกค้าในร้าน ได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับการแสดงโชว์บนเวทีของผม ซึ่งแน่นอนว่ากิจกรรมนี้สามารถตีตลาดกลุ่มนักเรียน และวัยรุ่นได้อย่างไม่ยาก
     

    ซึ่งเงื่อนไขในการเข้าร่วมก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่เขียนอารมณ์ของบทเพลงที่อยากฟังใส่ฉลากพร้อมทั้งเขียนชื่อกำกับ และนำมาหย่อนลงในกล่องกระดาษเล็กๆหน้าเวที โดยผู้โชคดีที่ผมสุ่มหยิบฉลากได้นั้น นอกจากจะได้ฟังเพลงตรงตามมู้ดที่ขอแล้ว ทางร้านจะมอบ gift voucher จำนวนสองหมื่นวอน ให้สามารถจับจ่ายทุกเมนูภายในร้านได้ฟรีเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ซึ่งผมจะทำการจับฉลากเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นกับช่วงท้ายเท่านั้น และแน่นอนว่ากลยุทธ์นี้สามารถเจาะตลาดคนวัยทำงานได้ดีเช่นกัน


    สำหรับฉลากใบแรกที่ถูกจับได้ คือ มู้ดเพลง 'รักหวานซึ้ง' ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรสำหรับนักดนตรีอาชีพ ที่มีคลังเพลงอยู่ในหัวจนแทบนับไม่ถ้วน ผมเปิดด้วยเพลง let me love you ของ junggigo เพลงรักดนตรีเข้าหู ความหมายอบอุ่น ที่ทำเอาสาวเล็กสาวใหญ่เสียอาการอยู่ไม่น้อย ประหนึ่งโดนผมใช้เพลงแทนใจ ในการสารภาพความในใจกับพวกเธอ


    เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงท้ายของกิจกรรมอย่างรวดเร็ว กล่องกระดาษถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ผมโปรยยิ้มพิมพ์ใจให้สาวๆที่นั่งอยู่หน้าเวทีตามประสา ก่อนมือหนาจะล้วงลงไปสุ่มหยิบฉลากใบสุดท้ายขึ้นมา กระดาษใบเล็กในมือถูกคลี่ออกช้าๆ ข้อความยุกยิกจากลายมือไก่เขี่ยนั่น ทำเอาผมรู้สึกหน้าชาวาบขึ้นมาอย่างประหลาด
     

    ' เฮิร์ทหนักๆ คิมมินซอก '

     

    เหอะ ถ้ามึงจะเฮิร์ทขนาดนั้น ไปเข้าร้านหาเหล้าแดกให้มันจบๆไหมล่ะห่า จะมานั่งร้านกาแฟเพื่อ? ที่พูดไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือผมก็อยากไปเหมือนกัน แต่เสือกทำไม่ได้นี่แหละ! ให้ตายเถอะว่ะ ร้อยวันพันปี จับไม่เคยได้ฉลากเพลงมู้ดนี้มาก่อน แต่ถ้าหวยมันเสร่อมาออกงวดนี้เองแม่งก็ช่วยไม่ได้

     

    “คิมมินซอก มารับ gift voucher หน้าเวทีได้เลยครับ”
     

    เด็กหนุ่มหน้าตี๋ลุคคุณชายเย็นชา กำลังลุกจากโต๊ะบาร์ตัวยาวแล้วเดินตรงมาทางนี้ ผมยื่นกระดาษเนื้อแข็งแผ่นเล็กให้คนตรงหน้า เด็กหนุ่มรับมันมาถือไว้ในครอบครองก่อนจะโค้งศีรษะขอบคุณตามมารยาท ชุดนักเรียนที่สวมใส่อยู่ทำให้ผมถึงบางอ้อ ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้เลือกมาอยู่ที่นี่แทนร้านเหล้าอย่างที่ควรจะเป็น
     

    “ขอแบบเศร้าๆ พีคๆเลยนะพี่”

    จัดไปไอน้อง มึงกับกูได้น้ำตาไหลถึงตีนแน่

     

    ผมพยักหน้าตอบส่งๆ ก่อนมือหนาจะหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆบนเวทีขึ้นมากระดกดื่ม มือหนาอีกข้างหยิบกีต้าร์คู่ใจขึ้นมาประจำที่ทันที ผมลอบถอนหายใจเบาหวิว ก่อนเปลือกตาหนาจะปิดลงอีกครั้งเพื่อเรียกสมาธิ เอาวะ ในเมื่อเลี่ยงที่จะพูดถึงไม่ได้ ก็ขอเผชิญหน้ากับมันแบบแมนๆเลยแล้วกัน นิ้วเรียวเคาะหัวไมค์เบาๆ แอบได้ยินเสียงกรี๊ดจากกลุ่มเด็กสาวหน้าเวทีดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมส่งยิ้มให้พวกเธอบางๆ แล้วจึงกรอกเสียงทุ้มละลายใจลงไป

    "ผมเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้ คงเคยผิดหวังในเรื่องของความรักมาบ้างแล้ว.. ไม่ว่าจะด้วยอุปสรรคหรือสาเหตุใดก็ตาม ที่ทำให้เราต้องจบความสัมพันธ์กับคนคนนึง โดยให้เวลากับระยะทางมาเป็นตัวกำหนด" บรรยากาศรอบข้างเงียบลงโดยอัตโนมัติ ขณะที่ผมกำลังพูดเกริ่นนำเพื่อเข้าสู่บทเพลง
     

    "มันไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ กับการตัดใครสักคนออกจากชีวิต ทั้งที่เรายังรู้สึกกับเขาเต็มหัวใจ.."
     

    "แต่บางครั้ง การพยายามลืมเพื่อเริ่มต้นใหม่ ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด..ถึงจะยากไปบ้าง แต่เรามาพยายามด้วยกันนะครับ" ผมพูดเสียงเรียบทั้งที่มุมปากยังคงยิ้มอยู่ ทุกอย่างที่แสดงออกมันขัดแย้งกับความรู้สึกภายในโดยสิ้นเชิง
     

    เสียงปรบมือดังขึ้นประปราย ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวเกาคอร์ดกีต้าร์อย่างตั้งใจ ไม่บ่อยนักหรอกครับที่ผมจะรู้สึกอินไปกับเพลงที่ตัวเองเล่น ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นเพลงนี้ แต่ไม่รู้สิ คงเพราะเนื้อหาบางอย่างในเพลงมันทำให้นึกถึงใครบางคนเข้าล่ะมั้ง (https://youtu.be/kphZmDb7bSo)


    이젠 아무렇지 않아
    ตอนนี้ผม..ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ

    너와 눈을 맞춰도
    ถึงแม้จะได้สบสายตาคู่นั้นของคุณ
     

    이젠 아무렇지 않아
    ตอนนี้ผม..ไม่รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ
     

    너와 함께 있는 사진을 봐도
    แม้กระทั่งตอนที่ผมมองรูปที่เราถ่ายด้วยกัน

     

    ตลอดเจ็ดวันมานี้ ผมกับลูกชายพยายามปรับตัวให้กลับสู่สภาวะปกติก่อนมีบยอนแบคฮยอนอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ยากเย็นอะไรมากมาย แต่ก็คงไม่ปฏิเสธว่าผมรู้สึกคุ้นเคยกับการมีเด็กนั่นมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในกรอบสายตามากกว่า

    การโทรไประบายความอัดอั้นกับเพื่อนสนิทอย่างคิมจงอิน ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นซะทีเดียว แต่มันก็ยังดีกว่าการจมอยู่กับความคิดถึงเพียงลำพัง ผมใช้เวลาอยู่กับนายแบบคิวทองมาตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ ตอนพยายามหลบหน้าเด็กคนนั้น ก็ไปสิงอยู่คอนโดมันนี่แหละไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเกรงว่าการกลับบ้านมาเจอบยอนแบคฮยอน จะทำให้ผมใจอ่อนและเลือกทำตรงข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้

     

    오늘은 가지 오늘은 가지
    วันนี้..อย่าไปเลยนะ แค่วันนี้ อย่าเพิ่งไปเลย

    오늘만 옆에 있어주면 잊을 있어
    แค่วันนี้ถ้าคุณอยู่ล่ะก็ ผมลืมคุณได้แน่นอน
     

    오늘은 가지 제발떠 나지
    วันนี้..อย่าไปเลยนะ ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งไปเลย
     

    오늘만 옆에 있어주면 노력해 불게
    แค่วันนี้ถ้าคุณอยู่ล่ะก็ ผมจะพยายามลืมให้ได้

     

    การปล่อยให้แบคฮยอนเข้าใจผิดว่าผมไม่มีใจนั้น คงไม่ใช่เรื่องแย่นัก หากเทียบกับผลลัพธ์ที่ตามมา ยิ่งเขาปรับตัวและทำความเข้าใจได้เร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเดินไปตามเส้นทางของตัวเองได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น แม้มันจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นทางออกที่เหมาะสมและยุติธรรมสำหรับอนาคตของเขา ยังมีอะไรอีกมากมายที่สำคัญมากกว่ารอเขาอยู่ข้างหน้า ทั้งที่ใจอยากจะรั้งเอาไว้ แต่วินาทีนั้นก็ทำได้แค่กัดฟันยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง และปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไป


    แบคฮยอนรักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ ความฝันของเขาคือการได้เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงระดับโลก ฟังแล้วอาจดูเกินตัวไปหน่อย แต่เชื่อเถอะ ว่าเด็กที่แน่วแน่และมีความพยายามแบบเขา จะสามารถทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ เพียงแค่ลงมือทำเท่านั้น

     

    아무렇지 않을 줄만 알았어
    ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่ามันไม่สำคัญ
     

    니가 없는 하룰 보내도
    ผมผ่านวันนี้ไป โดยที่ไม่มีคุณได้อยู่แล้ว
     

    근데 왜자꾸 눙물이 나는 걸까
    แต่ทำไมน้ำตาของผม มันถึงยังไหลอยู่กันนะ

     

     

    ' ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เด็กไม่รู้จักความรักอย่างผมได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน..และผมดีใจที่คนคนนั้นคือคุณครับชานยอล '

     

    오늘은 가지 오늘은 가지
    วันนี้..อย่าไปเลยนะ แค่วันนี้ อย่าเพิ่งไปเลย

    오늘만 옆에 있어주면 잊을 있어
    แค่วันนี้ถ้าคุณอยู่ล่ะก็ ผมลืมคุณได้แน่นอน
     

    오늘은 가지 제발떠 나지
    วันนี้..อย่าไปเลยนะ ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งไปเลย
     

    오늘만 옆에 있어주면 노력해 불게
    แค่วันนี้ถ้าคุณอยู่ล่ะก็ ผมจะพยายามลืมให้ได้

     

    ความเสียใจของผม มันเทียบไม่ได้เลยกับความสำเร็จของบยอนแบคฮยอน ผมเลือกที่จะมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เรียกว่า 'ความหวังดี' ให้ เพื่อตอบแทนความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม และเป็นการแสดงออกซึ่งความรักในแบบที่ผมมีต่อเขาอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

     

    오늘은 가지
    วันนี้..อย่าเพิ่งไปเลยนะ

     





      120%

    TBC

    .

    .

    .


    - . -. - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . -


    ครบแว้ววว  ยาวสุดตั้งแต่แต่งมาเลยมั้งตอนนี้
    ปิดท้ายการจากลาแบบครบจบทุกประเด็น จากกันด้วยดี เว้นแต่คู่พระนางนี่แหละค่ะ 555555
    ปล. ลิ้งค์เพลงที่แปะเปิดฟังคลอได้นะคะ เพราะนี่เปิดคลอตอนแต่งเหมือนกัน เสียงตาพี่บีบหัวใจได้อยู่หมัด

    ตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของชีวิตหลังจากแยกย้ายกันไปเติบโตทั้งของพ่อม่าย และคุณพี่เลี้ยงเลย
    อาจจะมาต่อให้ช้ามากๆ (หน่วยเป็นปีเหมือนเดิม ถือซะว่าเราทิ้งระยะห่างไปพร้อมๆกับตัวละครละกัน
    แหะๆ พอดีเค้าต้องเตรียมตัวฝึกงานอะแหละ แงๆ U_U)
    แต่ถ้าว่างหรือสะดวกช่วงไหน อาจจะมาลงให้อ่านเร็วกว่ากำหนด ยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ

    ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามชีวิตพ่อม่ายมาจนถึงตอนนี้นะคะ 
    เข้ามาอ่านคอมเมนต์ว่ามีคนยังรอแล้วโคตรชื่นใจ  
    แม้เค้าจะหายไปนานมากๆๆก็ตาม 

    มีกำลังใจในการเขียนขึ้นมากเลย ขอบคุณที่ยังไม่เบื่อกันนะคะ *ปาดน้ามตา*  Y_Y
    เนื้อหา หรือข้อมูลตรงส่วนไหนผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
    สุดท้ายก็ขอให้มีความสุขกับการอ่าน เอนจอยรีดดิ้งง
    อย่าลืมรักษาสุขภาพและล้างมือบ่อยๆด้วยนะคะ เราจะต้องผ่านมันไปได้!




    - . - . -. - . 
    - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . -


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×