คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : พ่อม่ายชานยอล l ตอนที่ 19 {120p.}
พ่อม่ายชานยอล
| ตอนที่ 19
:: การตัดสินใจของแบคฮยอน ::
baekhyun's
บรรยากาศหลังเวทีค่อนข้างวุ่นวายเป็นพิเศษในช่วงเย็นของวันแสดง สต๊าฟรุ่นพี่ที่ได้รับคิวคุมงานในวันนี้เดินเข้าออกห้องแต่งตัวจนดูชุลมุนไปหมด ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทอย่างโดคยองซูผ่านกระจกเงาบานใหญ่
ที่กำลังยืนให้ฝ่ายคอสตูมช่วยกันเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อมสำหรับการแสดงของเขาที่จะมีขึ้นในอีก 10 นาทีข้างหน้า แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นแทนเพื่อนขึ้นมาแปลกๆ พอหันไปอีกฝั่งก็เห็นคิมซอกจินกำลังถูกสต๊าฟรุ่นพี่พาไปแต่งตัวเช่นกัน ส่วนที่นั่งอยู่ข้างกันก็คงหนีไม่พ้นคิมจงแด เพื่อนสาวในรุ่นกำลังช่วยกันเติมหน้าเติมปากให้ว่าที่นักร้องหนุ่มเสียงใสอยู่อย่างขะมักเขม้น
ตารางแสดงโดยคร่าวๆของวันนี้ จะเริ่มเปิดด้วยการแสดงเพลงโซโล่ของแต่ละคน ซึ่งมีเวลาให้โชว์ละสิบนาที เริ่มจากคยองซู จงแด และผมตามลำดับ จากนั้นจะต่อด้วยโชว์เมดเลย์สองเพลง ที่มาพร้อมกับการแสดงเปียโนของซอกจิน และปิดท้ายด้วยการร้องเพลงประจำเอกร่วมกันทั้งชั้นปี ซึ่งผมคาดว่าใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงงานก็คงเสร็จ
ความรู้สึกกังวลก่อเกิดขึ้นในใจ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่ามันเกิดจากความตื่นเต้นในการแสดงเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตที่ถูกจัดเหมือนงานคอนเสิร์ตของเหล่านักร้องชื่อดัง หรือมาจากเครื่องมือสื่อสารผิวเย็นเฉียบในมือนี่กันแน่ ให้ตายเถอะ รู้สึกปั่นป่วนไปหมดแล้ว
ทันทีที่นิ้วโป้งเรียววางทาบลงบนปุ่มโฮมเพื่อปลดล็อก หน้าต่างแชทที่เปิดค้างไว้ก็เด้งขึ้นมาแทนที่วอลเปเปอร์รูปเกลียวคลื่นทันที ประโยคสั้นๆถูกพิมพ์ค้างไว้แต่ไม่ได้กดส่งเหมือนอย่างเคย เดจาวู เหมือนตอนงานละครเวทีไม่มีผิด
' งานเริ่มห้าโมงเย็นนะครับ ' จะกดส่งไปดีไหม?
สุดท้ายก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกหนักๆอย่างคนคิดไม่ตก ก่อนกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงอีกครั้ง ตลอดสองวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้คิดไปเองหรอก ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังหลบหน้าผมอยู่
ไม่รู้สิ ช่วงนี้เขาทำตัวยุ่งแปลกๆ ดูมีนู่นมีนี่ให้คิดให้ทำอยู่ตลอดเวลา ส่งสองแฝดเสร็จตอนเช้าก็หายออกไปทั้งวัน กว่าจะกลับมาก็ตอนรับสองแฝดกลับบ้าน แล้วออกไปทำงานอีกครั้งตอนหนึ่งทุ่ม ดีแค่ไหนที่ผมต้องออกมาซ้อมที่คณะบ้าง ไม่งั้นคงเอาแต่นั่งคอตก รอเขาอยู่ที่บ้านทั้งวันแน่
อีกฝ่ายทำตัวห่างเหินขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมสังเกตได้
เขาจะไม่พูดคุยหรือต่อบทสนทนากับผมมากเกินความจำเป็นเหมือนเมื่อก่อน จนอดคิดไม่ได้เลยว่าเขาโกรธหรือไม่พอใจอะไรผมรึเปล่า เคยตัดสินใจลองถามไปตรงๆ และคำตอบที่ได้กลับมา คือ แววตาเรียบเฉย มาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยแค่ว่า 'ไม่มีอะไร ฉันก็แค่เหนื่อย '
เพราะคำตอบของเขานี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องกลับมาจัดการความรู้สึกตัวเอง และละความสนใจไปในที่สุด แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทุกอย่างที่เขาทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมามันคืออะไร เขารู้สึกดีกับผมบ้างรึเปล่า หรือมันมีแค่ผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว?
เวลาที่เหลือเพียงแค่สี่วัน มันคงน้อยเกินไปสำหรับการหาคำตอบ ผมยอมรับเลยตรงนี้ ว่ารู้สึกแย่อยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ชัดเจน ส่วนตัวผมก็ยังไม่พร้อมที่จะตัดสินใจ ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรักให้นานที่สุดก็เท่านั้น
"เสร็จแล้วจ่ะ" เสียงหวานของพี่กาฮีดังเข้ามาในโสตประสาทแทนที่ความคิดในหัวที่ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ผมมองตัวเองในชุดเสื้อคอเต่าสีดำกับสูทนอกสีขาวสะอาด
ซึ่งเป็นชุดสำหรับโชว์เมดเล่ย์ที่ผมต้องใส่ไว้ล่วงหน้า เพราะคงไม่มีโอกาสได้ลงจากเวทีมาเปลี่ยนเสื้อเหมือนคนอื่นๆ เนื่องจากขึ้นโชว์เป็นคิวสุดท้าย แว่นกรอบหนาถูกแทนที่ด้วยคอนแทคเลนส์สีใส ผมเผ้าสีน้ำตาลเข้มที่เซตเปิดหน้าผากในตอนนี้กำลังสร้างความแปลกตาให้กับผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อย
"ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย"
เธอยิ้มกว้างพอใจในผลงานก่อนจะตบบ่าผมเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ
"ทำให้เต็มที่ล่ะแบคฮยอน มั่นใจในตัวเองเข้าไว้!"
"ขอบคุณครับพี่กาฮี"
ผมยิ้มบางๆก่อนจะโค้งหัวขอบคุณเธอตามมารยาท พี่กาฮียิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วจึงหันไปเช็คผมเผ้าให้จงแดที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ
"อีกห้านาที คิวแรกสแตนบายเลยนะครับ!"
เสียงของรุ่นพี่ชางมินดังแว่วมาจากหลังเวที คยองซูเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนตื่นเต้น ก่อนจะขานรับอย่างแน่วแน่ เพื่อนตัวเล็กกำลังหลับตาลงเพื่อตั้งสติให้พร้อมสำหรับการแสดง เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปให้กำลังใจสักหน่อย
"ตื่นเต้นหรอ?" ทั้งที่รู้คำตอบในใจดีอยู่แล้ว แต่ผมกลับเลือกที่จะถามมันออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตื่นเต้นสิแปลก ขนาดผมที่ขึ้นคิวสุดท้ายยังใจกระตุกที่ได้ยินประโยคเรียกสแตนบายนั่นเหมือนกัน
"แน่สิ หัวใจเต้นจนจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ให้ตายเถอะ!" เพื่อนตัวเล็กอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับโค้ทกระดุมใหญ่ลายสก็อตสีน้ำตาลตัวโคร่ง ผมสีดำสนิทถูกจัดให้อยู่ทรงกว่าปกติ เมคอัพเบาๆบนใบหน้ากำลังเสริมให้เขาดูดีมากสำหรับโชว์เดี่ยวในวันนี้
"พยายามเข้าล่ะคยองซู นายต้องทำมันออกมาได้ดีแน่ๆ"
ผมยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนตัวเล็กเบาๆ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเองเข้าไว้
"ขอให้เป็นแบบที่นายพูดเถอะนะ.."
"ฉันกับจุนมยอนเอาใจช่วยอยู่เสมอ ไม่ต้องกลัวเลย ตั้งสติเข้าไว้ล่ะ ไฟท์ติ้ง!"
"อื้ม! ฉันต้องไปแล้ว นายเองก็สู้ๆ ไว้เจอกันข้างบนนะ"
พูดจบเพื่อนตัวเล็กก็รีบวิ่งไปยืนสแตนบายหลังเวทีอย่างรวดเร็ว ผมก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
จนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแสดงออกซึ่งสีหน้าแบบไหน กว่าจะรู้ตัวอีกที ใครคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมเสียแล้ว
"ทำหน้ามุ่ยตอนจ้องโทรศัพท์อีกแล้ว"
น้ำเสียงสบายๆของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นดาวเด่นของรุ่นกำลังเอ่ยขึ้นเรียบๆ ผมเงียบ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปราวๆหนึ่งช่วงแขน ทั้งที่อยู่ในชุดเมดเล่ย์กับทรงผมแบบเดียวกันแท้ๆ แต่คิมซอกจินกลับดูดีมีออร่ากว่าผมเป็นไหนๆ โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
"ดูอยู่นานแล้วสินะ"
"อืม..เป็นอะไรรึเปล่า กังวลหรอ?"
"ถ้าตอบแบบไม่โกหกก็คงใช่"
ทั้งกังวลว่าตัวเองจะทำมันออกมาได้ดีตามที่คาดหวังไว้รึเปล่า และกังวลว่าปาร์คชานยอลอาจจะไม่ได้มาในวันนี้ ซอกจินยิ้มบางๆก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของผมแล้วออกแรงขยี้มันเบาๆเพื่อไม่ให้เสียทรง
"นายต้องทำออกมาได้ดีแน่ ฉันเชื่อแบบนั้น แค่ทำให้เต็มที่เท่าที่อยากทำก็พอ"
"..."
"แบคฮยอนที่ฉันรู้จัก เขาไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆเลยนะรู้ไหม?"
สายตาที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นจนทำให้รู้สึกตื้นตันอยู่ไม่น้อย รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ผมยิ้มตอบก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ
"อีกสามนาที.. คิมซอกจิน!" เสียงของพี่ชางมินดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเหตุให้คนตรงหน้าต้องผละมือออกไปอย่างช่วยไม่ได้
"กำลังไปครับ!..เจอกันข้างบนนะ" ประโยคหลังซอกจินหันมาพูดกับผม เราสบตากันอยู่พักนึง ก่อนที่เขาจะตัดบทรีบวิ่งไปสแตนบายหลังเวที
เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งนาทีแล้ว แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม โดยไม่คิดจะเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน คำพูดของคิมซอกจินกำลังทำให้ผมต้องกลับมาตัดสินใจอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันให้สมองได้ประมวลผลอะไรมากนัก แรงสั่นครืดในมือก็เรียกความสนใจจากผมไปเสียก่อน
Rrrr..Rrrrr..
' พี่อี้ฟาน '
"ครับ?"
' ของเราคิวไหนแบคฮยอน ใกล้ขึ้นเวทีรึยัง? ' เสียงทุ้มปนหอบที่แทรกออกมาจากปลายสาย สร้างความประหลาดใจให้ผมอยู่ไม่น้อย
"ผมขึ้นหลังจงแดน่ะ คิวสุดท้ายเลย"
' ดีครับ คิดว่าจะไม่ทันซะแล้ว.. '
"ทำไมเสียงหอบขนาดนั้นล่ะครับ?"
' อาจารย์คิมเรียกพี่ไปคุยเรื่องวิทยานิพนธ์ที่คณะ พอดีพี่ติดรถมาพร้อมแกน่ะ ไม่คิดว่าจะนาน.. แค่เห็นเวลาพี่ก็ไม่กลัวเหนื่อยแล้ว แต่กลัวจะไปดูเราแสดงไม่ทันมากกว่า..' อีกฝ่ายหอบหายใจหนัก ถ้าจะให้พูดถึงระยะทางจากคณะผมมายังยิมส่วนกลางของมหาลัย มันก็ไกลเอาเรื่อง ถ้าตัดสินใจรอบัสมหาลัย คงมาไม่ทันจริงๆแบบที่พี่อี้ฟานว่า
' ทำให้เต็มที่นะคนเก่ง..อย่ากดดันตัวเอง เข้าใจใช่ไหม? สู้ๆครับ แล้วพี่จะรอดูนะ ' ประโยคดังกล่าวทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง ความกังวลในใจถูกปัดเป่าไปได้บางส่วนเพียงเพราะกำลังใจจากคนตัวสูงเหมือนอย่างเคย
"ขอบคุณนะครับพี่ ผมจะทำให้เต็มที่เลย" พี่ปีสี่กดตัดสายไปในที่สุด เสียงปรบมือในยิมถูกแทนที่ด้วยเสียงเปียโนที่มาพร้อมกับเนื้อเสียงใสฟังดูคุ้นหู อ่า โชว์ของคยองซูเริ่มแล้วสินะ
ผมผ่อนลมหายใจออกเบาหวิว สายตากลับมาจดจ่อกับสมาร์ทโฟนในมืออีกครั้ง ไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน ที่ผมเอาแต่จ้องมองช่องแชทถูกพิมพ์ด้วยประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้าย
ก็กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง เคอเซอร์สีดำกระพริบเป็นจังหวะราวกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลัง
"แบคฮยอน อีกสามนาทีสแตนบายได้เลยนะ!"
เออ เอาก็เอาวะ.. ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
สามนาทีสุดท้าย
ผมตัดสินใจรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์อีกครั้งอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดส่งแล้วปิดหน้าจอทันที เมื่อเห็นว่าข้อความถูกส่งไปยังปลายทางแล้ว
เอาเถอะ ยังไงผมเองก็คงทำได้แค่รอ และยอมรับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น
'ผมจะขึ้นแสดงแล้ว'
'แรงบันดาลใจของเพลงนี้ คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณ'
'ผมรออยู่นะครับชานยอล'
รองเท้าหนังแก้วสีดำก้าวมาหยุดอยู่บนจุดมาร์คกลางเวที เสียงของเอ็มซีคั่นรายการดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมเห็นจงแดเดินสวนกลับเข้ามาแล้ว เขายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะขยับปากให้กำลังใจแบบไม่ออกเสียง ผมพยักหน้ารับ แล้วหันไปสบตาคิมซอกจินที่นั่งอยู่บนแท่นกับเปียโนหลังใหญ่
แสงไฟสลัวในตอนนี้
ไม่ได้ทำให้ผมเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายน้อยลงแต่อย่างใด เราพยักหน้าให้กันอีกครั้ง ผมหันกลับมาอยู่กับตัวเอง เปลือกตาสีอ่อนปิดลงแล้ว พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อระงับความตื่นเต้น ใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก เมื่อม่านกำมะหยี่สีแดงถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
"สวัสดีครับ ผมบยอนแบคฮยอน นักศึกษาชั้นปีที่สาม เอกขับร้อง คะแนนรวม 95.26% สูงเป็นอันดับสองของรุ่นครับ.."
เสียงฮือฮาของผู้ชมในโรงยิมกำลังทำให้ผมรู้สึกประหม่า จนเผลอเลียริมฝีปากอย่างเคยตัว
"สำหรับเพลงที่จะร้องต่อไปนี้ มีชื่อว่า
beautiful ซึ่งผมได้แรงบันดาลใจในการเขียนมาจากผู้ชายคนนึง.. เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้โชคดีเรื่องความรักเหมือนคนอื่นๆ แต่ในสายตาผม เขาเป็นคนที่เข้มแข็งแล้วก็สุภาพมากครับ ถึงจะเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจไปหน่อย แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของเขาล่ะ.."
ผมกวาดสายมองไปรอบๆโดยอาศัยคอนแทคเลนส์สีใสช่วยในการมองเห็น แม้แสงสปอร์ตไลท์จะแยงตาไปบ้าง แต่ผมก็ยังอยากพยายาม สายตาทอดมองไปยังบานประตูหน้าทางเข้าเป็นระยะ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้มันเปิดออกเหมือนอย่างคราวก่อนตอนงานละครเวที
เขาอาจจะแค่มาสายเหมือนเดิมก็ได้
"และเพราะเสน่ห์ในตัวเขานี่แหละ ที่ทำให้ผมตกหลุมรัก และตัดสินใจที่จะเขียนเพลงเพลงนี้ขึ้นมา..เชิญรับชมและรับฟังได้เลยครับ" เมื่อเสียงเปียโนบรรเลงท่อนอินโทรดังขึ้น ผมก็ยกไมค์ลอยขึ้นจ่อระดับปาก ก่อนจะค่อยๆกรอกเสียงลงไป
안녕 내게 다가와
สวัสดีครับ คุณก้าวตามผมมาสิ
수줍은 향기를 안겨 주던 너
ส่งกลิ่นหอมปนเขินอายมาให้กัน
희미한 꿈 속에서
ในความฝันเลือนลางของผม
눈이 부시도록 반짝였어
คุณส่องแสงสดใสสะดุดใจ
สายตายังคงกวาดหาใครบางคนอยู่ตลอดเวลา ผมไม่สนใจแล้วว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนบนจอโปรเจคเตอร์นั่น.. การสารภาพรักท่ามกลางผู้คนมากมายคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอย่างผม นาทีนี้ ผมได้แต่ภาวนาให้เขายืนอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงยิมที่ผมแค่มองไม่เห็น
설레임에 나도 모르게
ด้วยหัวใจที่เต้นรัว โดยไม่รู้ตัว
한발 두발 네게 다가가
ผมเดินเข้าไปใกล้คุณ ทีละก้าว
너의 곁에 남아
แล้วผมก็ได้อยู่ข้างกายคุณ
너의 미소에 내 마음이 녹아내려
รอยยิ้มของคุณทำหัวใจของผมละลาย
눈이 마주쳤을 땐
ยามเราสบสายตา
두근거려
หัวใจของผมเต้นแรง
ความรู้สึกของผมที่ถูกเรียงร้อยออกมาผ่านบทเพลง
หากเขาได้ฟังมันอีกครั้ง จะต้องเข้าใจได้แน่ สำหรับการแอบรักข้างเดียวมาตลอด ผมคงไม่กล้าหวังอะไรเกินตัว แค่เขารับฟังความในใจทั้งหมดของผมตอนนี้ มันก็มากเกินพอแล้ว
oh 너의 가슴에 내 미소를 기억해줘
ใช้ใจของคุณจดจำรอยยิ้มของผมเอาไว้นะ
하루에도 몇번씩 생각해줘
นึกถึงมันวันละหลายๆครั้งด้วยนะครับ
oh 너에게 하고 싶은 그 말
คำพูดที่ผมอยากบอกกับคุณก็คือ
you’re
beautiful
คุณช่างงดงามจริงๆ
06.00 pm.
@ Seoul Garden Hotel
ติ๊ง!
ประตูสีเงินเปิดออกทันทีที่ลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นเป้าหมาย
ผมเดินออกมาพร้อมกับชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสูททางการสีครีมและชุดราตรียาวสีชมพูอ่อน
คัชชูหนังสีดำก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจพลางทอดสายตามองไปยังซุ้มดอกไม้หน้าประตูทางเข้า
‘ ลีจองชิน ♡
อิมจินอา ’
อ่า ดูเหมือนจะเป็นที่นี่สินะ..
บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนงานแต่งตามโรงแรมทั่วๆไป
ชายหญิงมากหน้าหลายตาอยู่ในชุดสูทและชุดราตรีโดยส่วนใหญ่
แสงไฟสีส้มรับกับธีมงานสีอ่อนได้เป็นอย่างดี
ผมกวาดสายตาไปรอบๆก่อนจะสะดุดเข้ากับรูปถ่ายพรีเวดดิ้งของบ่าวสาวที่วางเรียงอยู่บนฉากตั้งตามจุดต่างๆของงาน
ภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง
ในทุ่งหญ้าสีน้ำตาลทองที่รายล้อมไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่
กำลังจับมือประสานกันแน่นแล้วส่งยิ้มกว้างมาทางนี้
ผมไล่สายตาไปยังชายหนุ่มร่างสูงในภาพถ่าย
ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเปื้อนยิ้ม ทำให้เขากลายเป็นผู้ชายขี้เล่นไปโดยปริยาย
กายสูงกำยำสวมใส่สูททางการสีขาวดูภูมิฐาน
ผมสีน้ำตาลทองยาวประบ่าถูกรวบเก็บไว้พอเป็นพิธี ในขณะที่หญิงสาวข้างๆ
เธออยู่ในชุดเดรสสั้นเกาะอกลายลูกไม้สีขาว บนหัวมีผ้าคลุมตาข่ายแบบบางที่มาพร้อมมงกุฏดอกไม้แห้ง
มือเรียวอีกข้างถือกุหลาบช่อเล็กเอาไว้ รอยยิ้มของคนทั้งคู่ ทำให้บรรยากาศในภาพอบอวลไปด้วยความสุข
จนคนมองหลุดยิ้มตามได้ง่ายๆ
รอยยิ้มที่เคยวาดฝันว่าอยากจะเห็นมันไปตลอดทั้งชีวิต
จนอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าผมได้ครอบครองรอยยิ้มพิมพ์ใจนี้ จะกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีมากแค่ไหนหากเราได้มีโอกาสเคียงคู่กัน
แต่ก็นั่นแหละครับ ในเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว 'ลีจองชิน'
จึงกลายเป็นผู้โชคดีคนนั้น.. และที่ผมตัดสินใจมาในวันนี้
ก็แค่ตั้งใจจะมาแสดงความยินดีกับเธอเท่านั้น
เสียงเปียโนบรรเลงเพลง A thousand years ของ Christina Perri ดังก้องไปทั่วห้องจัดงาน ช่วยเสริมให้บรรยากาศรอบข้างอบอวลไปด้วยความโรแมนติก ผมละสายตาจากภาพถ่ายแล้วผ่อนลมหายใจออกเบาๆ จัดการกระชับสูทสีดำตัวนอกเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง แล้วสาวเท้าไปยังโต๊ะยาวหน้าทางเข้างาน เพื่อเขียนคำอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว โดยไม่ลืมที่จะหย่อนซองเงินลงในกล่องไม้อัดสีขาวด้วยเช่นกัน ทันทีที่หันหลังกลับไป สายตาก็ดันสบประสานเข้ากับหญิงสาวที่เป็นเหมือนรักแรกพบครั้งที่สองโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
อ่า..คงจะจริงอย่างที่ใครเขาบอกว่า
' วันแต่งงาน เป็นวันที่ผู้หญิงสวยที่สุด '
ใช่ครับ
วันนี้เธอสวยมากจริงๆ
ครูสาวอยู่ในชุดสุ่มยาวเปิดไหล่สีขาวสะอาด
มวยผมสีน้ำตาลเข้มถูกประดับด้วยดอกไม้แห้งเล็กๆที่ดูเข้ากันกับชุดที่ใส่ได้เป็นอย่างดี
และที่ยืนอยู่ข้างๆคงจะเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจากเจ้าบ่าวร่างสูงในชุดทักซิโดสีขาว
ผมยิ้มก่อนจะโค้งทักทายคนทั้งสองตามมารยาท ซึ่งคู่บ่าวสาวเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
"จองชินคะ
นี่คุณปาร์คชานยอล เป็นผู้ปกครองของเด็กแฝดห้องที่ฉันประจำอยู่ค่ะ.."
เธอหันไปพูดแนะนำผมกับแฟนหนุ่มพอเป็นพิธี
ชายหนุ่มในชุดทักซิโดหันมาโค้งหัวให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ดูท่าเขาจะอายุน้อยกว่าอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
"สวัสดีครับ
ผมลีจองชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"เช่นกันครับ
ผมปาร์คชานยอล"
"ไหนๆก็มาแล้ว
เรามาถ่ายรูปกันดีกว่าครับ"
"อ่า
ดีเลยครับ" ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างว่าง่าย บ่าวสาวยืนขนาบข้างผมทันทีอย่างรู้งาน
และเรียกตากล้องส่วนตัวมาประจำที่ ผมเลียปากคลายความประหม่าเล็กน้อยที่ต้องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคู่รัก
ซึ่งผมเองเคยคิดไม่ซื่อกับแฟนสาวของเขามาก่อน
ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางๆให้กล้องโปรที่กำลังหันมาทางนี้
เพื่อเก็บภาพความทรงจำร่วมกับคู่บ่าวสาว แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนมุมในช็อตที่สอง
โทรศัพท์เจ้ากรรมของเจ้าบ่าวก็ดังขึ้นเสียก่อน
"เดี๋ยวผมมานะคุณ.."
เจ้าบ่าวหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว ก่อนจะชี้ไปยังสมาร์ทโฟนที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า
ดูท่าคงเป็นสายสำคัญ เขาถึงได้รีบร้อนที่จะรับมันเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
ซึ่งครูสาวเองก็พยักหน้าเข้าใจอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมอีกครั้งทันทีที่แฟนหนุ่มของเธอปลีกตัวไป
"ว่าแต่นี่มาคนเดียวหรอคะ?"
"ใช่ครับ..พวกเขาไม่เคยออกงานสังคมมาก่อน
ผมกลัวว่าพามาด้วยแล้วจะงอแง ทำเสียงดังเปล่าๆ เลยฝากญาติที่ร้านกาแฟช่วยดูให้ก่อน
แล้วค่อยไปรับกลับน่ะครับ"
เธอลากเสียงยาวก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและส่งยิ้มให้อีกครั้ง
ให้ตายเถอะ
รอยยิ้มแบบนี้ มันพอจะทำให้นึกออกเลยว่าปาร์คชานยอลคนเก่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
หากได้เห็นมันในระยะประชิด แต่คงไม่ใช่กับปาร์คชานยอลคนปัจจุบันอีกแล้ว
"ยังไงก็ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ"
"ขอบคุณที่มาเช่นกันค่ะ"
baekhyun's
07.20 pm.
งานจบลงภายในเวลาชั่วโมงครึ่งอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
ถ้าจะมีบางอย่างที่ผิด ก็คงจะเป็นโลเคชั่นของตัวผมในตอนนี้มากกว่า
ไม่รู้เลยว่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่งานเลิก
บรรยากาศรอบตัวแย่กว่าที่คิด
บวกกับสภาพอากาศในช่วงค่ำของฤดูหนาว ที่ยิ่งทำให้ทุกอย่างแม่งดูแย่เข้าไปอีก
ทั้งที่ควรจะออกไปฉลองงานจบกับเพื่อนในเอกแท้ๆ แต่ผมกลับเลือกที่จะโกหกคำโต
อ้างว่าติดธุระด่วนเลยต้องรีบกลับ
แล้วปลีกวิเวกออกมานั่งคอตกอยู่หน้าเวทีในยิมส่วนกลางนี่แทน แต่เรื่องแบบนี้ก็คงโทษใครไม่ได้
นอกจากความบ้าบอของตัวเอง
เลิกหลอกตัวเองเถอะน่าแบคฮยอน..
เขาไม่มาแล้วล่ะ
กรึ่ก
แอ๊ดด..
ประตูโรงยิมถูกเปิดขึ้นอีกครั้งโดยฝีมือของผู้มาใหม่
ไฟเพดานที่ไม่ได้ถูกเปิด จึงทำให้ผมมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย มือเรียวดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้เลยทำได้แค่อาศัยแสงไฟจากสปอร์ตไลท์นอกตัวอาคารเท่านั้นที่ช่วยในการมองเห็น
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำเอาใจดวงน้อยเริ่มกระตุกแรงจนเสียจังหวะ
และทันทีที่ใบหน้าคมเงยขึ้นรับกับแสงไฟบางส่วนที่ลอดผ่านเข้ามาจากภายนอก
มือเรียวก็กำเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์
ก้อนสะอึกตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับน้ำสีใสที่เอ่อคลออยู่ในเบ้า
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บไปหมด
"หาตั้งนาน
มาแอบอยู่นี่เอง"
"..."
"เป็นอะไ.."
คนตัวสูงเซถอยหลังไปเล็กน้อย
หลังโดนผมพุ่งเข้าใส่อย่างจัง
สองแขนเล็กโอบกอดคนตรงหน้าราวกับว่าเขาคือที่พึ่งสุดท้ายแล้วในตอนนี้
ก่อนจะปล่อยให้ความอ่อนแอที่กัดกินอยู่ในใจมาตลอดสองวัน
ไหลผ่านดวงตาคู่สวยออกมาอย่างไม่อาย
"ฮึก
เขาไม่มาแล้ว เขาไม่มา.." พี่อี้ฟานรวบตัวผมเข้ามากอดแน่นอย่างไม่ลังเล
มือหนายกขี้นมาลูบศีรษะทุยเบาๆเป็นการปลอบประโลม
"พี่รู้..ถึงได้มาหาเรานี่ไง"
ราวกับกำแพงแห่งความอดกลั้นพังทลายลงไม่เป็นท่า
จนถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์คชานยอล มันเกิดจากความจริงใจ
หรือเป็นแค่การให้ความหวังลมๆแล้งๆกันแน่ ทุกสัมผัสที่เคยมอบให้ ผมยังจำมันได้ดี
แต่มันคงไม่เคยมีความหมายอะไรสำหรับผู้ชายคนนั้นเลยใช่ไหม?
อาจจะผิดที่ผมดันเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
ว่าเขาก็คงรู้สึกเหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าให้ใจใครไป แล้วจะได้กลับมาแท้ๆ
แต่มันคงไม่ง่ายอย่างนั้น..
แค่คิดว่าเรื่องของเรามันมีแค่ผมที่จริงจังไปเองฝ่ายเดียว
น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมาง่ายๆโดยไม่ต้องบีบ
"ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมา
พี่จะอยู่ตรงนี้จนกว่าเราจะพอใจ" เสียงของพี่อี้ฟานเป็นเหมือนชนวนระเบิดที่จุดให้ความอ่อนแอของผมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ผมปล่อยโฮ แล้วสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกภายใต้อกซ้ายมันปวดหนึบไปหมด
การเป็นฝ่ายรู้สึกมากกว่ามันทรมานได้ขนาดนี้เลยหรือไง?
โลกใบนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอ
แต่กลับมีพื้นที่ให้ความผิดหวังมากมายนับไม่ถ้วน
ความรักทำให้ผมเรียนรู้ถึงความอ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สอนให้ผมเข้มแข็งขึ้นด้วย
หลังจากพยายามปลอบใจตัวเองอยู่พักใหญ่ ผมก็ค่อยๆผละตัวออกจากคนตรงหน้าช้าๆ เสื้อยืดตัวในของพี่อี้ฟานเปียกชื้นเป็นวงน้ำตา
ผมยืนมองมันนิ่งๆ ในขณะที่สมองกำลังประมวลผลให้ตัดสินใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเสียที
ผมรู้ว่าปาร์คชานยอลเป็นคนมีเหตุผล
แม้จะไม่รู้เลยว่าเหตุผลที่ทำให้เขาตีตัวออกห่างไปนั้นคืออะไร
แต่การที่ผมพยายามจะเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายเพื่อความเห็นแก่ตัว
มันก็คงจะไม่เข้าท่าเหมือนกัน ผมไม่อยากให้เขาต้องมารู้สึกอึดอัดเพราะผมอีกแล้ว
"พรุ่งนี้ผมจะกลับปารีส.."
"..."
"พี่พาผมไปเก็บของหน่อยได้ไหม?"
50%
เร็กซ์ตันคู่ใจกำลังทะยานอยู่บนท้องถนนกว้างด้วยอัตราเร็วคงที่
ผมได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสีย
ที่ดันลืมของสำคัญอย่างอุปกรณ์เบเกอรี่ที่ป้าฮโยจินฝากซื้อจากซุปเปอร์เมื่อวันก่อน
จนทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางจากคอฟฟี่ดีไลท์มาเป็นบ้านแสนสุขแทน
ทั้งที่ถนนเส้นนี้สามารถขับลัดจากโรงแรมไปที่ร้านได้เลยแท้ๆ
ไม่น่าสะเพร่าเลยกู
เสียเวลาชิบหาย
แต่ก็นั่นแหละครับ
ถ้าป้าฮโยจินไม่โทรมาเตือนว่าจำเป็นต้องใช้จริงๆ
ผมคงจะขอผลัดวันออกไปก่อนแบบไม่ต้องสืบ แม่ง เสือกรีบจนลืมเอง
โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น..
ผมขับรถมาจอดหน้าสวนหย่อมระแวกบ้านที่ตั้งอยู่เยื้องออกไปราวๆห้าร้อยเมตร
เนื่องจากมีรถหรูเวรตะไลมาจอดขวางหน้าบ้านผมไว้อีกแล้ว ให้ตายเถอะว่ะ
เห็นทีจะต้องเอาป้ายห้ามจอดมาวางเข้าสักวันให้รู้แล้วรู้รอดกันไป
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังบ้านเดี่ยวรั้วสีน้ำตาล ก่อนจะชะงักไปเพียงครู่
เมื่อสายตาดันสบประสานเข้ากับใครบางคนที่ยืนถือกล่องกระดาษใบใหญ่อยู่หน้าประตูบ้านบานนั้น
ใครบางคนที่ผมเลือกจะให้บทเรียนเขา
โดยการหลบหน้ามาตลอดสองวันที่ผ่านมา..
"..."
"..."
ไม่มีใครพูดอะไร
จนกระทั่งไอฝรั่งเดินตามมาสมทบพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมคลายข้อสงสัยเรื่องกล่องกระดาษในมือคนตัวเล็กไปได้
สมองเริ่มประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้ทันที เขาคงตัดสินใจแล้วสินะ..
แบคฮยอนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างๆให้พอได้ยินกันแค่สองคน ก่อนไอเด็กหัวทองนั่นจะพยักหน้ารับ แล้วช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางใบโตเดินสวนหน้าผมออกไปโดยไม่พูดอะไร สายตาที่มองมานั้นแม้จะเรียบเฉยแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมละความสนใจกลับมายังเด็กเฉิ่มในสังกัดอีกครั้ง เขาอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด แววตาหม่นๆภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะกำลังจ้องมองมาทางนี้ ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
"..."
"แต่งตัวหล่อขนาดนี้
คงไม่ได้ไปดูงานแสดงที่มหาลัยหรอกใช่ไหมครับ?"
"อืม"
"..."
"ฉันไปงานแต่งครูนานะมา"
"อ๋า งานแต่ง..นั่นสินะ"
อีกฝ่ายแค่นยิ้มออกมาอย่างเต็มกลืน
ราวกับกำลังรู้สึกสมเพชเวทนาตัวเองกับเรื่องที่ได้ฟัง
"ขนของจะกลับกังนัมรึไง?"
"เปล่าหรอก.."
"..."
"พรุ่งนี้ผมจะบินไปปารีส"
"..."
"ขอโทษนะครับที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า..แต่ผมตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่ที่นู่นเลย
ยังไงก็ฝากบอกสองแฝดด้วยนะครับ..ฝากขอโทษพวกเขา"
"อืม"
"ผมอยากขอบคุณ
สำหรับช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมา
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เด็กไม่รู้จักความรักอย่างผมได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน..และผมก็ดีใจที่คนคนนั้นคือคุณครับชานยอล"
"..."
"ขอบคุณโชคชะตาที่พาเรามาเจอกัน
ถึงมันจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้คุณ
ผมไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเรียกว่าอะไร คุณรู้สึกดีกับผมบ้างรึเปล่า
และถ้าคุณตอบว่าไม่ ก็ไม่เป็นไรครับ..แต่ผมขออย่างเดียวได้ไหม?"
"..."
"อย่ารังเกียจความรู้สึกของผมเลยนะ"
ประโยคดังกล่าวมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
ทำเอาผมพูดไม่ออก อยากรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบแล้วกระซิบบอกใจแทบขาด ว่าผมไม่เคยรังเกียจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ทุกอย่างที่แสดงออกกลับตรงข้ามทั้งหมด
สมองกับหัวใจกำลังออกคำสั่งสวนทางกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้าย
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา คือใบหน้าเรียบเฉยที่มาพร้อมกับสายตาเย็นชาเท่านั้น
แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะดันกรอบแว่นให้ดูเข้าที่เข้าทางมากกว่าเก่า
"ผมไม่อยู่
ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ อย่าอู้งานบ่อย แล้วก็ไปทำงานให้ตรงเวลาด้วย.."
"..."
"..คุณมีอะไรอยากพูดกับผมบ้างไหม?"
"..."
ที่เงียบไป ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่มันมีมากจนเรียบเรียงออกมาเป็นรูปประโยคไม่ได้เลยต่างหาก
"อ่า..เข้าใจแล้วครับ
งั้นผมขอตัวก่อนนะ"
แอบสังเกตเห็นมือเล็กที่กำลังบีบกล่องกระดาษในมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์
รอยยิ้มที่ส่งมามันเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เด็กเฉิ่มโค้งศีรษะให้ผมเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะเดินสวนออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
"แบคฮยอน.."
เจ้าของชื่อเดินห่างออกไปไกลแค่ไหนแล้วผมเองก็ไม่อาจทราบได้
แต่หลังจากประโยคดังกล่าว เสียงฝีเท้าที่เคยได้ยินก็หยุดลง อีกฝ่ายไม่ได้ขานรับ
หรือหันกลับมายังต้นเสียง ซึ่งผมเองก็เช่นกัน
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เรายืนหันหลังให้กัน
ความอึดอัดที่โรยอยู่รอบตัว กำลังบีบบังคับให้ผมตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
ประโยคที่เอ่ยขึ้นเบาหวิวคลอไปกับสายลมหนาว
แต่ผมเชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะได้ยินและรับรู้มันอย่างชัดเจน
"โชคดีนะ"
09.00 pm. @ Coffee Delight
รองเท้าหนังสีดำก้าวมาหยุดภายในร้าน
ผมยังคงอยู่ในชุดสูททางการเหมือนอย่างเคย หากแต่สิ่งที่ต่างออกไปในตอนนี้
คือความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจ ‘มันช่างว่างเปล่า แต่ก็เต็มไปด้วยความกังวล’
บรรยากาศร้านในช่วงค่ำของฤดูหนาวยังคงดำเนินไปเหมือนทุกวัน
กลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตกลางคืน ยังคงนั่งอยู่ตามจุดต่างๆของร้าน เวทีเล็กถูกจับจองโดยมือกีต้าร์รุ่นน้องที่ป้าฮโยจินมักจะเรียกตัวเขามาบ่อยๆ
เพื่อทำพาร์ทไทม์ในวันที่ผมลาหยุด ซึ่งวันนี้เองก็เช่นกัน
ผมทักมาบอกป้าฮโยจินตั้งแต่ช่วงสายแล้วว่าตอนเย็นติดอีเว้นจ์ และจะฝากป้าแกช่วยดูแลสองแฝดให้ก่อนจะมารับกลับในช่วงค่ำ
ก็อก
ก็อก
เคาะเบาๆพอเป็นมารยาท
ก่อนจะเปิดประตูห้องรับรองเข้าไปอย่างถือวิสาสะ
เล่นเอาบุคคลทั้งสามมองการกลับมาของผมแทบจะเป็นตาเดียว
"เยยย่ ป๋าจ๋ามาแล้ววว!!"
"ไงครับตัวแสบ
ดื้อกับคุณป้ารึเปล่า หื้ม?"
ผมวางถุงผ้าที่ข้างในมีอุปกรณ์เบเกอร์รี่จากซุปเปอร์ไว้บนเคาเตอร์ยาวลายหินอ่อน
แล้วรับตัวแฝดคนน้องที่วิ่งเข้ามากอดไว้แนบอก
ลูกชายคนเล็กส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะโดนผมหอมแก้มฟอดใหญ่เป็นรางวัล
คนพี่ยังคงสนใจกับการกินป็อปคอร์นถุงในมือ
สายตายังไม่ลดละจากหน้าจอสมาร์ททีวีเครื่องใหญ่ที่กำลังฉายการ์ตูนแมวไร้หูเรื่องโปรด
"คิดว่าจะช้ากว่านี้ซะอีก"
ป้าฮโยจินลุกขึ้นเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อเช็ครายการสินค้าในถุงผ้าที่ฝากซื้อ
"ไม่หรอกครับ
ผมไม่ได้กะจะอยู่จนจบงานอยู่แล้ว อันที่จริง
แค่อยากแวะไปแสดงความยินดีมากกว่า"
"แล้วเป็นไงล่ะ
เจอเขาใช่ไหม?"
"เจอครับ
ผมไปเลทนิดหน่อยแต่โชคดีที่เธอยังยืนรับแขกอยู่หน้างาน
ไม่งั้นคงหาโอกาสเจอกันยาก"
"ครูนานะสวยไหมฮะ?"
ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างแฝดคนพี่
ทั้งที่ยังมีเจ้าตัวเล็กอีกคนนั่งอยู่บนตัก
"หนูอยากเป็นเจ้าหญิงแบบครูนานะบ้าง"
"เรียกว่าเจ้าสาวครับคนเก่ง"
"เจ้าสาวคืออะไรอะ?"
"เจ้าสาวก็คือ..ผู้หญิงคนนึงที่โชคดีมากๆ
ที่จะได้รับความรักจากผู้ชายที่เธอรักไปตลอดชีวิตไงล่ะครับ ส่วนผู้ชายเขาเรียกว่าเจ้าบ่าว"
"อืมมม..หนูกับแดเนียลอยากเป็นเหมือนเจ้าสาวบ้าง
แล้วให้ป๋าจ๋าเป็นเจ้าบ่าว..จะได้รับความรักจากป๋าไปตลอดชีวิต!" ผมหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
ป้าฮโยจินเองก็หัวเราะชอบใจใหญ่กับความไร้เดียงสาของเด็กชายวัยห้าขวบ
"ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลยลูก
ยังไงป๋าก็รักพวกหนูอยู่ดีอะ จริงไหม?"
ผมยิ้มพลางลูบหัวเด็กทั้งสองอย่างเบามือ แต่แล้วรอยยิ้มที่เคยปรากฏก็เลือนหายไปในพริบตา
เมื่อลูกชายคนโตกล่าวถึงใครอีกคนในช่วงเวลานี้
"งั้นให้แบคยอนเป็นเจ้าสาวแทนนะฮะ
หนูก็อยากให้แบคยอนได้รับความรักจากป๋าเหมือนกัน!"
"..."
"จริงด้วยยย
แบคยอนทั้งใจดี น่ารัก หนูเลยอยากให้ป๋าจ๋ารักแบคยอนเหมือนที่พวกหนูรักบ้าง!”
‘ไร้เดียงสา’ คำพูดคำจาที่ไร้เดียงสาเหมือนผ้าขาวนั้น กำลังกัดกินความรู้สึกในใจผมไปทีละน้อยความกังวลที่หายไปได้เพียงครู่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ข่าวร้ายเรื่องการจากลาของพี่เลี้ยงคนสนิทของลูกชาย ทำเอาผมคิดไม่ตกมาเป็นชั่วโมง คำโกหกรวมถึงข้ออ้างสารพัดสิ่งถูกเรียบเรียงขึ้นในหัว ทั้งที่ตั้งใจจะปิดไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแท้ๆ แต่เอาเถอะ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ว่าเร็วหรือช้า ยังไงพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้เข้าสักวัน
"คงเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ.."
ผมช้อนสายตาขึ้นมองลูกชายทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเหลือบมองไปทางป้าฮโยจินที่ดูเหมือนจะประติดประต่อเรื่องราวได้บ้างแล้วหลังจากเห็นสีหน้าของผม
เธอพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมพูดต่อ
"ง่ะ ป๋าทำหน้าบึ้งๆอีกแล้ว
<(‵^′)> "
"ถ้าป๋าไม่ชอบให้หนูแซวเล่น
หนูไม่แซวแล้วก็ไ.."
"แบคยอนไปแล้วครับ"
เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริงๆที่ผมพูดแทรกเจ้าตัวเล็กขึ้นมาอย่างเสียมารยาท
"ไปไหนฮะ
แบคยอนไปไหน?"
"แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่อะ?"
"ต่างประเทศ
แบบไม่มีกำหนดกลับ" ตอบคำถามแบบรวดเดียวจบ
คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ ล่าสุดที่เห็นลูกชายทำหน้าแบบนี้ ก็ตอนที่ทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้เท่านั้นแหละ
"..."
"รอบนี้ป๋าไม่ได้ล้อเล่นนะครับ
เขาจะไม่กลับมาแล้วจริงๆ"
"แบคยอนหายไปกับเครื่องบิน..ใช่ไหมฮะ?"
น้ำเสียงของแดเนียลปาร์คสั่นเครืออย่างปิดไม่มิด
ผมลอบถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าตอบช้าๆ คงเพราะเมื่อสองวันก่อนที่เขาเล่าให้ผมฟังตอนไปส่งที่โรงเรียน
ว่าพี่เลี้ยงคนสนิทเคยบอกเล่าเรื่องเครื่องบินกับจรวดให้ฟังว่ายังไง
ทางไกลกับเครื่องบินก็เป็นของคู่กันเหมือนช้อนกับส้อมนั่นแหละ
สุดท้ายน้ำตาของเด็กน้อยที่คิดว่าคงห้ามไว้ไม่ได้
ก็ไหลออกมาในที่สุด ผมรวบตัวลูกชายทั้งสองคนเข้ามากอดไว้แนบอก
สองมือใหญ่ลูบศีรษะทุยเบาๆเป็นการปลอบประโลม
"แบคยอนโกหกอะ
ไหนบอกว่าอีกนานมากกว่าจะไป"
"ฮึก
แบคยอนสัญญา ว่าคืนนี้จะร้องเพลงที่แต่งให้หนูฟัง.."
"อืม
เขาเลยฝากป๋ามาขอโทษพวกหนูนี่ไง"
ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้น
น้ำเสียงอู้อี้ปนสะอื้นของเด็กทั้งสองที่ดังอยู่ข้างหู
ทำเอาหัวใจคนเป็นพ่อเหมือนถูกบีบ นอกเหนือจากป้าฮโยจินกับเพื่อนสนิททั้งสองคนแล้ว
สองแฝดก็ไม่เคยผูกพันกับใครเหมือนเป็นคนในครอบครัวอีก
ผมเข้าใจความรู้สึกของการถูกบอกลาจากคนที่รักและผูกพันเป็นอย่างดีว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน
ไม่อยากทนเห็นลูกต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับผมเมื่อห้าปีก่อน
แต่เรื่องที่ผมกลัวที่สุด มันกำลังเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้
นี่คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมกังวลมาตลอดกับการตัดสินใจจ้างพี่เลี้ยงเด็กสักคน ผมรู้ว่าผมไม่สามารถจ้างเขาไปได้ตลอด วันนึงที่สองแฝดโตขึ้นพอจะดูแลตัวเองได้ ผมก็คงตัดใจเลิกจ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับดูผิดแผนที่วางไว้ไปเสียหมด.. เข้าใจว่าการจากลามันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับสองแฝดแล้ว ผมว่ามันคงกะทันหันเกินไป
' ผมมั่นใจครับ
ว่าผมดูแลพวกเขาได้ '
' เรียกคุณว่าป๋ามันจะทำให้สนิทกันเร็วขึ้น..
'
' ก็ครึ่งชีวิตของผมอยู่ในนั้น..
'
' อย่างน้อยผู้ปกครองก็ควรทราบนะครับ
ถ้าผมไปโดยไม่บอกก็โดนดุอีก ป๋าน่ะ ขี้ดุจะตาย '
' แอบตามผมมาหรอครับ?
'
' เดี๋ยวไข้คงลดแล้ว
พักผ่อนเยอะๆนะครับ ทานยาตามที่จัดให้ด้วย '
' ผมทำโจ๊กมาให้
ทานซะหน่อยนะครับ '
' งื่อออ
โกรธค้าววหรอออ? '
' ผมไปไม่ทัน
พอใจรึยังครับ?! '
' ป๋า
นี่เวลางานผมนะ ให้ความร่วมมือหน่อยสิครับ '
' ไม่งอนนะครับ
นะๆๆ ผมกลับไม่ดึกอะสัญญาเลย '
' ป๋ารีบเข้างานนะ
วันนี้ห้ามไปสายอีก เข้าใจที่ผมพูดไหม? '
' สุขสันต์วันเกิดครับ
'
' นอนแบบนี้เดี๋ยวก็เมื่อยหรอก..'
'..ป๋าได้ฟังเป็นคนแรกเลยนะ'
' เพราะเสน่ห์ในตัวเขานี่แหละ
ที่ทำให้ผมตกหลุมรัก และตัดสินใจที่จะเขียนเพลงเพลงนี้ขึ้นมา.. '
' อย่ารังเกียจความรู้สึกของผมเลยนะครับ
'
ใช่.. มันผิดตั้งแต่คนคนนั้นคือ
'บยอนแบคฮยอน' แล้ว
baekhyun's
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนหน้าบ้านของพ่อม่าย
พี่อี้ฟานก็ตัดสินใจพาผมไปนั่งรถเล่นท่องราตรีในตัวเมืองแทนการไปส่งที่อพาร์ทเมนต์หรูย่านกังนัมอย่างที่ควร
โดยเขาให้เหตุผลว่า 'เวลาเศร้า อย่างน้อยก็ควรมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ'
มาเซราติราคาเหยียบสิบล้านกำลังแล่นไปบนถนนสายหลักใจกลางเมืองเกาหลีใต้
ผมเหม่อมองวิวภายนอกที่ถูกประดับประดาด้วยแสงไฟสวยงามทั้งที่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด
คนตัวสูงไม่ได้เปิดบทสนทนาขึ้นมาแต่อย่างใด
เขาเพียงแค่เปิดเพลงจากเพลย์ลิสต์โปรดในมือถือคลอเบาๆ
แล้วนั่งเงียบเป็นเพื่อนผมเท่านั้น
เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง
จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังให้เขาฟัง
ถึงแม้คู่สนทนาจะดูไม่ค่อยสบอารมณ์กับเรื่องของปาร์คชานยอลนัก
แต่เขาก็เลือกจะเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า อีกฝ่ายให้ผมระบายความอัดอั้นออกมาจนพอใจ แล้วพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป
'ถ้าเรารักตัวเองมากพอ
พี่เชื่อว่าสักวันนึงคงมีความรักที่ดีกว่ารอเราอยู่เหมือนกัน'
นั่นสินะ ถึงเวลาต้องกลับมารักตัวเองแล้วแบคฮยอน
หลังจากกลับมาถึงบ้าน
ผมก็ตัดสินใจยกหูโทรทางไกลไปหาแม่ตามข้อตกลงที่วางกันไว้ ถือสายรอไม่นาน
ไฟล์ตั๋วเครื่องบินออนไลน์ รวมถึงไฟล์เอกสารต่างๆก็ถูกส่งมาทางช่องแชท ก่อนเสียงจากปลายสายจะดังแทรกเข้ามาอีกครั้ง
'ฉันโทรไปทำเรื่องให้แล้ว ส่วนแกก็แค่เข้าไปเซ็นใบลาออกตอนเช้า จัดเวลาให้ดีล่ะ อย่าไปสายจนให้ผู้ใหญ่ต้องรออีก'
สำหรับตระกูลบยอน
‘เส้นสาย’ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
และการที่แม่ผมจะรู้จักกับคณบดีเป็นการส่วนตัวนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
'ครับ..'
'เรื่องบ้านที่กังนัมเดี๋ยวฉันจัดการเอง
ส่วนเอกสารทุกอย่างที่แกต้องใช้ ฉันก็เตรียมให้หมดแล้ว พรุ่งนี้เครื่องออกสิบโมง ถึงเมื่อไหร่ก็ทักบอก
ฉันจะได้ส่งรถไปรับ'
'ทราบแล้ว
ไว้เจอกันนะครับแม่'
เรื่องราวต่างๆประดังประเดเข้ามาให้ได้คิดตลอดทั้งคืนจนสมองแทบไม่ได้หยุดพัก
ผมพลิกตัวไปมาบนคิงไซส์ขนาดหกฟุตเพื่อหาท่านอนที่สบายแล้วพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
สุดท้ายเลยต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟเพดานจนสว่างโร่ แล้วไล่เก็บกวาดห้องแทน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งหมดถูกจัดลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกใบอย่างเป็นระเบียบ
จริงอยู่ที่ผมเก็บมันมาแล้วรอบนึงตอนออกจากบ้านของปาร์คชานยอล แต่นั่นมันก็แค่สองส่วนสี่ของทั้งหมดเท่านั้น
กว่าจะจัดของเสร็จก็ลากยาวไปเกือบตีสาม ความเหนื่อยล้าคืบคลานเข้ามาจนหนังตาหนักอึ้ง
สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
เสียงนาฬิกาจากสมาร์ทโฟนเครื่องบาง
ปลุกเด็กหนุ่มขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาสู้กับโลกความจริงอีกครั้ง กับเวลานอนแค่สามชั่วโมงเศษๆ
คงไม่ทำให้ผมอยู่ในสภาพที่ดีนัก ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง
สารถีจำเป็นในวันนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพี่อี้ฟานที่ออกอาสาจะไปส่งผมที่สนามบินด้วยตัวเอง
แถมพ่วงมากับเพื่อนสนิททั้งสองอย่างคิมจุนมยอน และโดคยองซู ที่เพิ่งรู้ข่าว เลยขอติดสอยห้อยตามออกมาด้วย
บรรยากาศในช่วงเช้าของคณะค่อนข้างเงียบ
และนั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับผม ที่ไม่ต้องเจอคนรู้จักแล้วไล่ตอบคำถามให้วุ่นวาย
หลังจากเซ็นใบลาออกเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ลานจอดรถทันที สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะหยุดชะงัก
เมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนพิงเสาอิฐแดงอยู่ไม่ไกล
"ไง
มาทำอะไรแต่เช้าล่ะ?"
ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อนเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเรา หลังจากยืนจ้องหน้ากันอยู่นานเกือบครึ่งนาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร
"อาจารย์ที่ปรึกษานัดฉันมาคุยเรื่องหัวข้อวิจัยน่ะ"
"..."
"ว่าแต่นายเถอะ
ใส่ชุดนักศึกษามาทำอะไรก่อน..คงไม่ได้มาเรียนคาบเช้าเพราะลืมหรอกใช่ไหม?"
ว่าที่นักศึกษาปีสี่เอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆทั้งที่ยังยืนพิงเสาอยู่แบบนั้น
"ฉันมาทำเรื่องลาออกน่ะ"
"..."
"ขอโทษนะ
เมื่อวานก็ไม่ได้ไปฉลองด้วยกัน"
"ที่บอกว่าติดธุระต้องกลับเร็วก็เพราะเรื่องนี้สินะ"
ถึงจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ผมกลับเลือกที่จะพยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนคำตอบ
"ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?"
"เอาสิ"
"ที่นายบอกว่าหลังจบปีสี่ค่อยว่ากันน่ะ
ฉันเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นวันนี้แทน" ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อน
ช่วงโดนทำโทษให้ดูแลสวนหย่อมหลังโถงกลางคณะนั่นแหละ ที่ทำให้ผมกับคิมซอกจินสนิทใจกันมากขึ้น
จนแทบจะพูดกันได้เกือบทุกเรื่อง
และนั่นคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะรู้เรื่องการเข้าเรียนมหาลัยในเกาหลีของผม
"ฉันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับแม่..เรื่องเลยออกมากะทันหันแบบนี้"
"มันเกี่ยวกับคนที่นายแต่งเพลงให้รึเปล่า?"
"..."
ผมพยักหน้าตอบช้าๆ ไม่ได้รู้สึกตกใจกับคำถามที่ได้ยิน
แม้มันจะเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่เคยเอ่ยปากพูดกับคิมซอกจินเลยก็ตาม
"กะอยู่แล้วเชียว
ว่าเด็กดีอย่างนายคงไม่ได้ทำเรื่องพิเรนทร์ร้ายแรงอะไรให้พ่อแม่ผิดหวัง.."
"..."
"ที่แท้ก็แค่มีความรัก?"
"อืม"
"อ่า
นี่ฉันคงอกหักอย่างเป็นทางการแล้วสินะ.."
"จะโกรธก็ได้นะ
ที่ชอบทำตัวเหมือนให้ความหวังอะ"
เพื่อนหน้าหล่อหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ก่อนคอนเวิร์สสีดำจะก้าวพาร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม การแต่งกายลุคเบสิคด้วยเสื้อยืดโง่ๆกับกางเกงยีนส์ขาดเข่า
ไม่ได้ทำให้ออร่าความหล่อของเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด ใช่ มันกลับกันโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ
"คนที่ชอบยืนทำหน้างออยู่ตรงหน้าแบบนี้
เป็นใครจะไปโกรธลงอะถามหน่อย"
"อกหักจริงปะเนี่ย
ไม่โกรธ ไม่เสียใจเลยสักนิด?"
"เรื่องเสียใจน่ะมันแน่อยู่แล้ว..ก็แค่ต้องยอมรับให้ได้ป้ะว่าจีบนายไม่ติด
แค่นั้นเอง"
“พูดง่ายทำยาก”
"เอาน่า..ถ้ามันแลกมากับความสุขของนายตอนได้รักเขา
ต่อให้เสียใจกว่านี้ก็ถือว่าคุ้มนะ นายน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มที่สุด
เคยรู้ตัวบ้างมั้ย?" อีกฝ่ายยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
ก่อนจะออกแรงขยี้กลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
เลยได้แต่ยืนนิ่งแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเล่นมันตามอำเภอใจเท่านั้น
"พระเอกสุด!”
"ไม่แซวดิ แล้วเป็นไง
สารภาพรักออกสื่อไปขนาดนั้น เขาว่าไงบ้างอะ?"
"จะว่าไงล่ะ
เขาไม่ได้มาฟังมันด้วยซ้ำ..”
“...”
“ฉันเองก็อกหักเหมือนนายนั่นแหละ"
"อืม..งั้นถือว่าเจ๊ากันเนอะ"
คิมซอกจินยื่นนิ้วมาดีดหน้าผากผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้ ผมมุ่ยหน้าใส่คนตัวสูงกว่า
ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นชกแขนอีกฝ่ายหนึ่งทีเป็นการเอาคืน
"แบบนี้ต่างหาก
ถึงจะเรียกว่าเจ๊า!"
ความอึดอัดที่เคยเกิดขึ้นตอนแรกพลันหายไปในพริบตา
เพียงเพราะเรากำลังเล่นตีกันเหมือนเด็กๆอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาสองคู่ประสานกันเพื่อลองเชิงอีกฝ่าย
แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ อยู่ในโหมดจริงจังได้แค่เวลางานจริงๆสินะ
"งั้นก็เริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกันนะ แบคฮยอน"
"อื้ม!"
จะว่าไป
แบบนี้ก็แฟร์ดีเหมือนกัน ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างไม่มีใครสมหวังในความรัก
ซึ่งนั่นก็แปลว่า จะไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบกับความรู้สึกในครั้งนี้
ไม่เจอเองกับตัวก็คงจะพูดยาก แต่ความรู้สึกของคิมซอกจินในตอนนี้เป็นอย่างไร
ผมว่าผมเองก็พอจะเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี
เราจะเริ่มต้นใหม่กับความไม่เจ็บปวดไปพร้อมกัน
โดยให้เวลากับระยะทางเป็นเครื่องเยียวยาความรู้สึก
"เดินทางปลอดภัยนะครับจูเลียต คิดถึงกันบ้างล่ะ ไปอยู่ทางนู้นก็ดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมยิ้มเยอะๆนะเข้าใจไหม?" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน ร่างทั้งร่างของผมถูกอีกฝ่ายรวบเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว สรรพนามแปลกๆที่คุ้นหูอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ผมขมวดคิ้วสงสัยที่ได้ยินมันแต่อย่างใด จุดเริ่มต้นระหว่างผมกับคนตรงหน้าเกิดขึ้นตอนไหน ผมยังจำมันได้ดี
ผมยกมือขึ้นกอดตอบ
ก่อนจะเกยหน้าไว้บนลาดไหล่กว้างของเพื่อนพระเอกตัวสูง
"เช่นกันนะโรมิโอ"
09.20 am. @ Incheon International
Airport
“พร้อมไหม เอกสารครบรึเปล่า?” คยองซูเอ่ยถามทันทีที่ผมเดินมาถึงจุดนัดพบ
หลังจากทำเรื่องเช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ
ก่อนจะชูเอกสารสำคัญสามสี่อย่างในมือให้ดูเป็นหลักฐาน ตอนนี้ผมอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดา
ซึ่งมันคงจะสะดวกกว่าเครื่องแบบนักศึกษาเป็นไหนๆ สำหรับการนั่งนานติดต่อกันหลายชั่วโมง
“อีกครึ่งชั่วโมงเอง เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ”
จุนมยอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะต้องเบ้หน้าเมื่อโดนผมเอาพาสปอร์ตในมือตีหัวเข้าให้เบาๆ
“ดูพูดเข้า.. ฉันแค่กลับบ้านนะ
ไม่ได้หายไปจากโลกซะหน่อย”
“กับการไม่เห็นนายในเกาหลีใต้ มันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
“จะได้คิดถึงกันบ่อยๆไง ไม่ดีหรอ?”
“เวลาผมเป็นเงินเป็นทองนะคุณ
มัวแต่จะให้คิดถึงน่ะ คิดค่าบริการนะรู้เปล่า?”
“งั้นขอเหมาจ่ายล่วงหน้าเลยเป็นไ..”
พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนอีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามากอดไว้เสียแล้ว มือเล็กลูบศีรษะทุยของอีกฝ่ายเบาๆเป็นการปลอบประโลม
จุนมยอนน่ะเซ้นซิทีฟเรื่องเพื่อนเป็นที่สุด เรื่องนี้ผมกับคยองซูรู้ดี
“ไว้จะเฟสไทม์มาหาบ่อยๆ รับสายฉันด้วยล่ะ พวกนายทั้งคู่เลย!”
"เป็นใคร ทำไมกล้าสั่ง?"
คยองซูแกล้งถามเสียงเรียบ ทั้งที่ปากรูปหัวใจนั่นกำลังอมยิ้ม
"เพื่อนหัวแก้วหัวแหวนยังไงล่ะ"
จุนมยอนผละตัวออกทันทีที่ได้ยินคำตอบ เพื่อนตัวขาวเบ้หน้าอีกครั้งอย่างสุดจะทน
ก่อนจะปาดน้ำตาออกลวกๆจนผมต้องหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด รอจนสงบลง คยองซูถึงได้ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่จากร้านหรูในห้างดังมาให้
ผมรับมันมาถือไว้ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"ข้างในเป็นหมวกไหมพรม คาดิแกน
แล้วก็ผ้าพันคอ ตอนซื้อ
ฉันกับจุนมยอนตกลงกันว่าจะเอาให้นายติดตัวไว้ตอนไปอยู่ที่นู่น.."
"..."
"แต่ถ้านายตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ
ของพวกนี้ก็จะถูกใช้เป็นของขวัญวันเกิดในปีหน้าของนายแทน"
"ถูกต้อง!"
"พวกเราตั้งใจเลือกมากเลยนะ
หวังว่าคงจะชอบ"
"..."
"จริงๆแค่อยากให้ของไว้ดูต่างหน้าเท่านั้นแหละ
อย่างน้อยๆตอนใส่ นายก็จะได้นึกออกว่าได้มันมายังไง"
ไม่บ่อยนักหรอกครับ
ที่ผมกับเพื่อนจะพูดจาชวนซึ้งกันเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมก้มมองของกลางดังกล่าวที่นอนแน่นิ่งอยู่ในถุง
ก่อนมือเรียวจะล้วงลงไปหยิบหมวกไหมพรมสีดำขึ้นมาสวมใส่
"งั้นก็ใส่ไว้ตลอดเวลาเลยดีไหม?" – ผม
"ให้ตายเถอะ ขี้เว่อร์ชะมัด!" – จุนมยอน
"ไม่หรอก
แบบนี้เขาเรียกขี้เห่อต่างหาก" -- คยองซู
เราสามคนหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ก่อนเพื่อนตัวเล็กทั้งสองจะถูกผมรั้งตัวเข้ามากอด
จะว่าไปก็แอบใจหายอยู่เหมือนกันกับมิตรภาพอันแสนยาวนานของผมกับเพื่อนรักทั้งสอง
อะไรๆมันคงยากกว่านี้ถ้าไม่มีพวกเขาคอยซับพอร์ต ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ
ไม่ว่าจะเป็นสามปีในรั้วมหาลัยกับจุนมยอน หรือหกปีในรั้วโรงเรียนกับคยองซู.. คงถึงเวลาแยกย้ายกันไปเติบโตแล้วจริงๆแล้วสินะ
"ขอบคุณนะ ขอบคุณพวกนายสำหรับทุกอย่างเลย"
– ผม
"ด้วยความยินดี.. อย่าคิดมากนักล่ะ
กับทุกเรื่องเลย ว่างเมื่อไหร่ก็กลับมาเที่ยวบ้าง ฉันจะรอรับสายทางไกล" – คยองซู
"ถ้าที่บ้านปล่อยไฟเขียวเมื่อไหร่
พวกนายก็เคลียร์คิวรอไว้ได้เลย" – ผม
"จัดไปซิ!" – คยองซู
"ขอให้นายเจอเพื่อนดีๆที่นั่นเยอะๆ" – จุนมยอน
"ขอให้พวกนายสู้ๆกับวิจัยจบเหมือนกัน"
ผมผละตัวออกช้าๆ จัดการยีหัวเพื่อนรักไปคนละทีสองทีให้หายคิดถึง หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจแบบนี้อีกแล้ว
เสียงกระแอมของรุ่นพี่ตัวสูงที่ยืนอยู่ระแวกเดียวกันดังขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต
จุนมยอนทำหน้าเหลอหลา แต่สุดท้ายก็โดนคยองซูลากออกไปจากตรงนี้จนได้
คนตัวสูงเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าผม ระยะห่างกะคร่าวๆราวหนึ่งช่วงแขน
พี่อี้ฟานดูเหมือนกำลังประหม่าอยู่ไม่น้อย
สังเกตได้จากการยกมือขึ้นมาถูจมูกเบาๆแบบที่เจ้าตัวชอบทำ
เอาล่ะ ถึงคิวของพี่ประธานแล้ว
"พี่คงส่งเราได้แค่ตรงนี้"
"..."
"ไปอยู่ทางนู้น ก็ดูแลตัวเองดีๆนะครับ"
"อื้อ"
"อย่าป่วยบ่อย แล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆด้วย
เข้าใจไหม?"
"เข้าใจแล้วครับ"
คนตัวสูงชั่งใจอยู่ครู่นึง ก่อนจะรวบตัวผมเข้าไปกอด
และด้วยขนาดตัวที่ต่างกันอยู่พอควร จึงทำให้ผมแทบจะจมหายเข้าไปในอ้อมอกแข็งแรงของอีกฝ่าย
"พี่คงตามไปดูแลเราไม่ได้แล้ว"
"..."
"ยังไงก็ขอโทษ
แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะครับตัวเล็ก"
"ผมมากกว่าที่ควรจะพูดแบบนั้น" ผมยกมือขึ้นกอดตอบคนตัวสูง
แล้วเงยหน้าขึ้นเกยบนไหล่กว้าง
"ถ้าจะขอบคุณ พี่ก็ไม่ว่า
แต่ไม่ต้องขอโทษพี่ได้ไหม?"
"ไม่ครับ ขนาดพี่ไม่ผิดอะไร
พี่ยังขอโทษผมเลยอะ"
"แล้วใครบอกล่ะว่าพี่ไม่ผิด.."
"..."
"อย่างน้อยพี่ก็เคยทำอะไรให้เราไม่พอใจอยู่บ้างแหละ"
"เช่นอะไรครับ?"
"ให้แต่งหญิงงานละครคณะไง"
"โห
เรื่องแค่นั้นผมไม่เก็บมานับหรอกนะ" คนตัวสูงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างพอใจ
ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
"พูดมาก่อนสิว่าให้อภัย แล้วพี่จะไม่พูดคำว่าขอโทษอีก"
"ค้าบๆๆ ผมให้อภัยพี่แล้ว"
"เด็กดี..ถ้าเหงาก็ทักหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะครับ"
เรายังคงกอดกันอยู่อย่างนั้น กลิ่นหอมประจำตัวของคนตรงหน้าที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
และอบอุ่นแบบนี้ มันคล้ายกับกลิ่นของปาร์คชานยอลไม่มีผิด จะต่างก็ตรงที่ผมกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้นมากกว่า เหอะ
แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังจะนึกถึงแต่เขาอีกงั้นหรอ ให้ตายเถอะแบคฮยอน ใช้ไม่ได้เลย..
"เวลาห่างกันตั้ง 7 ชั่วโมง
พี่นั่นแหละจะต้องเหงาตายจนเป็นฝ่ายทักมาหาผมก่อน" ผมกดเสียงขู่ แต่คนฟังกลับหัวเราะร่าออกมาเสียอย่างนั้น
มือหนายกขึ้นลูบหัวผมผ่านหมวกไหมพรมเบาๆ
"ค้าบๆ
ถ้าไม่อยากให้พี่เหงาตายก็รอตอบแชทได้เลย"
"พี่อี้ฟาน”
“หื้ม?”
“ก่อนไป ผมขออะไรอย่างนึงได้ไหม แต่ผมไม่อยากให้พี่ปฏิเสธนะ”
“ขอยากแน่เลย ไหนว่ามาซิ” ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่
ถึงได้พูดประโยคนี้ออกมาอย่างสบายๆ
“คงอีกนานกว่าผมจะกลับมา
และจนกว่าจะถึงตอนนั้น..” ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก
ทั้งที่เตรียมตัวและเรียบเรียงคำพูดในหัวมาตั้งแต่เช้าแล้วแท้ๆ
แต่พอรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไปตรงๆ กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นแบบบอกไม่ถูก
"..."
"พี่ไม่ต้องรอผมแล้วได้ไหม?"
"ถ้าเรายังกอดพี่อยู่แบบนี้
พี่จะไม่รับปากอะไรทั้งนั้นนะ" สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ย ผมก็ค่อยๆผละตัวออกช้าๆ คำว่า
‘ไม่ต้องรอ’ ในความหมายของผม คนฟังเข้าใจมันดีอยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไร สีหน้าของพี่อี้ฟานตอนนี้ไม่ได้เรียบเฉยเหมือนน้ำเสียงที่พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย
กลับกัน มันดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มอย่างพอใจเสียมากกว่า
“กะแล้วว่าเราต้องพูดเรื่องนี้..
พี่ทำใจมาทั้งคืนเลยนะรู้ไหม?”
“...”
"ตัวก็แค่นี้ กล้าดียังไงมาหักอกพี่ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอแบคฮยอน?"
"เอาจริง ผมใจร้ายได้มากกว่านี้อีกนะ
พี่อยากลองไหมล่ะ?” ผมแกล้งพูดติดตลก เพื่อให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลง
ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายกำลังระเบิดหัวเราะออกมา
มือหนาเอื้อมขึ้นมาบีบจมูกรั้นเบาๆให้หายหมั่นเขี้ยว
“ตัวแสบ.. ถ้าเกิดว่าเราตกเครื่องน่ะนะ
พี่จะถือว่าคำขอทั้งหมดเป็นโมฆะ”
พี่อี้ฟานยกนาฬิกาข้อมือแบบเข็มขึ้นมาชี้ทำท่าประกอบ
ผมส่ายหน้าพรืดก่อนจะก้มลงมองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ถืออยู่ในมือกำลังบอกว่าเวลาได้ล่วงเลยไปกว่าสิบห้านาทีแล้ว
และผมเหลือเวลาอีกแค่ราวๆยี่สิบนาทีเท่านั้นก่อนที่เครื่องจะออก
“งั้นผมไปก่อนนะ” ประโยคเพิ่งจบได้หมาดๆ
เพื่อนสนิททั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีราวกับมีคนปล่อยคิวให้
ในมือถือแก้วกาแฟจากร้านดังติดไม้ติดมือมาคนละหนึ่ง และนั่นถือเป็นโอกาสดีสำหรับผม
ที่จะได้เอ่ยปากลาคนทั้งสามพร้อมกันอีกเป็นครั้งสุดท้าย
"Safe flight ครับคนเก่ง
พี่รอดูความสำเร็จของเราอยู่นะ"
"เดินทางปลอดภัยล่ะแบคฮยอน ขอให้โชคดี!"
“อื้ม ไว้จะติดต่อกลับมานะ!”
ผมโบกมือลา
ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสองของอาคารผู้โดยสารทันทีเพื่อทำการตรวจหนังสือเดินทาง
เอกสารต่างๆ รวมถึงสแกนสัมภาระ หลังจากหลุดด่านประตูตรวจจับโลหะมาได้
ก็แทบจะวิ่งสี่คูณร้อยไปยังเกตเป้าหมาย
' ประกาศครั้งสุดท้ายจากสายการบิน Korean
air เที่ยวบินที่ TG932
ซึ่งจะออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติปารีส
- ชาร์ล เดอ โกล ประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้เครื่องพร้อมแล้ว ณ ประตูทางออกหมายเลข 22
.. '
เสียงประกาศที่ดังแว่วมาแต่ไกลนั้นไม่ได้ทำให้ผมได้หยุดพักแต่อย่างใด
กว่าจะถ่อสังขารมาถึงบนเครื่องได้ก็เล่นเอาแทบจะหมดลม ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามหมายเลขที่นั่งของตนเองโดยไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนแล้วกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย
ราวกับเพิ่งไปวิ่งหนีซอมบี้ในเมืองร้างมาก็ไม่ปาน
ผมหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องบางขึ้นมาเปิดโหมดเครื่องบิน
ก่อนจะยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม
การบินตรงจากโซลไปปารีสคงใช้เวลาราวๆสิบสองชั่วโมงเห็นจะได้
ดังนั้นถ้าผมจะนอนหลับแบบยิงยาวไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก็แหงล่ะ อาการนอนดึกตื่นเช้ามันกำเริบ
แต่ทันทีที่หลับตาลง ภาพความทรงจำมากมายในเกาหลีก็แฟลชแบ็คกลับมาโดยอัตโนมัติ และคงไม่ปฏิเสธเลยว่าหนึ่งในนั้นก็มีความทรงจำระหว่างผมกับปาร์คชานยอลอยู่เช่นกัน
ผมลืมตาขึ้นสู้กับความเป็นจริงอีกครั้ง
คิดไปคิดมาก็บ้าบอสิ้นดี ที่เรื่องราวมันดำเนินมาจนถึงจุดนี้ได้
ความเจ็บปวดทรมานนี้ยังคงใหม่มากสำหรับผม เพียงแค่นึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา น้ำตามันก็พาลจะไหลออกมาได้ง่ายๆ
ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ๆเพื่อขับไล่ความอ่อนแอ
คงไม่ดีแน่ถ้าจะร้องไห้ออกมาทั้งที่อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ
ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอนาคตข้างหน้านั่น จะมีโอกาสได้เจอเขาอีกรึเปล่า
ได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่ตลอด ว่าถึงไม่เจอจริงๆก็คงจะไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยๆ
ผมก็ได้พูดและแสดงออกทุกความรู้สึกในใจไปจนหมดแล้ว และคงไม่มานึกเสียดายทีหลัง
การกลับปารีสรอบนี้ คงทำให้มุมมองหลายๆอย่างของผมที่มีต่อสรรพสิ่งบนโลกเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
ทั้งเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ที่แตกต่างไปจากเกาหลีบ้านเกิดโดยสิ้นเชิง คาดว่าคงต้องใช้เวลาปรับตัวกันยาวๆ
เหมือนทุกอย่างกำลังกดปุ่มรีเซ็ตให้กลับไปเริ่มใหม่ ณ จุดเริ่มต้นอีกครั้ง จุดเริ่มต้นที่ไม่มีปาร์คชานยอล
ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้อย่างดีเท่านั้นแหละ
บางที คนบางคน.. ก็อาจเข้ามาแค่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเท่านั้น
'โชคดีนะ'
ลาก่อนครับชานยอล แล้วก็.. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
1 อาทิตย์ต่อมา
11.40 pm. @ Coffee Delight
เป็นอันรู้กันว่าทุกวันศุกร์ต้นเดือน
จะมีกิจกรรม Random mood ที่ถูกจัดขึ้นพิเศษเพื่อให้ลูกค้าในร้าน
ได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับการแสดงโชว์บนเวทีของผม
ซึ่งแน่นอนว่ากิจกรรมนี้สามารถตีตลาดกลุ่มนักเรียน และวัยรุ่นได้อย่างไม่ยาก
ซึ่งเงื่อนไขในการเข้าร่วมก็ง่ายนิดเดียว
เพียงแค่เขียนอารมณ์ของบทเพลงที่อยากฟังใส่ฉลากพร้อมทั้งเขียนชื่อกำกับ
และนำมาหย่อนลงในกล่องกระดาษเล็กๆหน้าเวที โดยผู้โชคดีที่ผมสุ่มหยิบฉลากได้นั้น
นอกจากจะได้ฟังเพลงตรงตามมู้ดที่ขอแล้ว ทางร้านจะมอบ gift
voucher จำนวนสองหมื่นวอน
ให้สามารถจับจ่ายทุกเมนูภายในร้านได้ฟรีเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ซึ่งผมจะทำการจับฉลากเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นกับช่วงท้ายเท่านั้น
และแน่นอนว่ากลยุทธ์นี้สามารถเจาะตลาดคนวัยทำงานได้ดีเช่นกัน
สำหรับฉลากใบแรกที่ถูกจับได้ คือ มู้ดเพลง
'รักหวานซึ้ง' ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรสำหรับนักดนตรีอาชีพ ที่มีคลังเพลงอยู่ในหัวจนแทบนับไม่ถ้วน
ผมเปิดด้วยเพลง let me love you ของ junggigo เพลงรักดนตรีเข้าหู ความหมายอบอุ่น
ที่ทำเอาสาวเล็กสาวใหญ่เสียอาการอยู่ไม่น้อย ประหนึ่งโดนผมใช้เพลงแทนใจ
ในการสารภาพความในใจกับพวกเธอ
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงท้ายของกิจกรรมอย่างรวดเร็ว
กล่องกระดาษถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง
ผมโปรยยิ้มพิมพ์ใจให้สาวๆที่นั่งอยู่หน้าเวทีตามประสา
ก่อนมือหนาจะล้วงลงไปสุ่มหยิบฉลากใบสุดท้ายขึ้นมา กระดาษใบเล็กในมือถูกคลี่ออกช้าๆ
ข้อความยุกยิกจากลายมือไก่เขี่ยนั่น ทำเอาผมรู้สึกหน้าชาวาบขึ้นมาอย่างประหลาด
' เฮิร์ทหนักๆ – คิมมินซอก '
เหอะ ถ้ามึงจะเฮิร์ทขนาดนั้น ไปเข้าร้านหาเหล้าแดกให้มันจบๆไหมล่ะห่า
จะมานั่งร้านกาแฟเพื่อ? ที่พูดไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือผมก็อยากไปเหมือนกัน
แต่เสือกทำไม่ได้นี่แหละ! ให้ตายเถอะว่ะ ร้อยวันพันปี
จับไม่เคยได้ฉลากเพลงมู้ดนี้มาก่อน แต่ถ้าหวยมันเสร่อมาออกงวดนี้เองแม่งก็ช่วยไม่ได้
“คิมมินซอก มารับ gift
voucher หน้าเวทีได้เลยครับ”
เด็กหนุ่มหน้าตี๋ลุคคุณชายเย็นชา
กำลังลุกจากโต๊ะบาร์ตัวยาวแล้วเดินตรงมาทางนี้
ผมยื่นกระดาษเนื้อแข็งแผ่นเล็กให้คนตรงหน้า
เด็กหนุ่มรับมันมาถือไว้ในครอบครองก่อนจะโค้งศีรษะขอบคุณตามมารยาท
ชุดนักเรียนที่สวมใส่อยู่ทำให้ผมถึงบางอ้อ
ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้เลือกมาอยู่ที่นี่แทนร้านเหล้าอย่างที่ควรจะเป็น
“ขอแบบเศร้าๆ พีคๆเลยนะพี่”
จัดไปไอน้อง มึงกับกูได้น้ำตาไหลถึงตีนแน่
ผมพยักหน้าตอบส่งๆ
ก่อนมือหนาจะหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆบนเวทีขึ้นมากระดกดื่ม
มือหนาอีกข้างหยิบกีต้าร์คู่ใจขึ้นมาประจำที่ทันที ผมลอบถอนหายใจเบาหวิว
ก่อนเปลือกตาหนาจะปิดลงอีกครั้งเพื่อเรียกสมาธิ เอาวะ
ในเมื่อเลี่ยงที่จะพูดถึงไม่ได้ ก็ขอเผชิญหน้ากับมันแบบแมนๆเลยแล้วกัน
นิ้วเรียวเคาะหัวไมค์เบาๆ แอบได้ยินเสียงกรี๊ดจากกลุ่มเด็กสาวหน้าเวทีดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
ผมส่งยิ้มให้พวกเธอบางๆ แล้วจึงกรอกเสียงทุ้มละลายใจลงไป
"ผมเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้
คงเคยผิดหวังในเรื่องของความรักมาบ้างแล้ว.. ไม่ว่าจะด้วยอุปสรรคหรือสาเหตุใดก็ตาม
ที่ทำให้เราต้องจบความสัมพันธ์กับคนคนนึง โดยให้เวลากับระยะทางมาเป็นตัวกำหนด"
บรรยากาศรอบข้างเงียบลงโดยอัตโนมัติ ขณะที่ผมกำลังพูดเกริ่นนำเพื่อเข้าสู่บทเพลง
"มันไม่ง่ายเลยใช่ไหมครับ
กับการตัดใครสักคนออกจากชีวิต ทั้งที่เรายังรู้สึกกับเขาเต็มหัวใจ.."
"แต่บางครั้ง การพยายามลืมเพื่อเริ่มต้นใหม่
ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด..ถึงจะยากไปบ้าง แต่เรามาพยายามด้วยกันนะครับ"
ผมพูดเสียงเรียบทั้งที่มุมปากยังคงยิ้มอยู่ ทุกอย่างที่แสดงออกมันขัดแย้งกับความรู้สึกภายในโดยสิ้นเชิง
เสียงปรบมือดังขึ้นประปราย ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวเกาคอร์ดกีต้าร์อย่างตั้งใจ ไม่บ่อยนักหรอกครับที่ผมจะรู้สึกอินไปกับเพลงที่ตัวเองเล่น ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นเพลงนี้ แต่ไม่รู้สิ คงเพราะเนื้อหาบางอย่างในเพลงมันทำให้นึกถึงใครบางคนเข้าล่ะมั้ง (https://youtu.be/kphZmDb7bSo)
ตลอดเจ็ดวันมานี้ ผมกับลูกชายพยายามปรับตัวให้กลับสู่สภาวะปกติก่อนมีบยอนแบคฮยอนอีกครั้ง
ถึงแม้จะไม่ยากเย็นอะไรมากมาย แต่ก็คงไม่ปฏิเสธว่าผมรู้สึกคุ้นเคยกับการมีเด็กนั่นมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในกรอบสายตามากกว่า
การโทรไประบายความอัดอั้นกับเพื่อนสนิทอย่างคิมจงอิน
ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นซะทีเดียว
แต่มันก็ยังดีกว่าการจมอยู่กับความคิดถึงเพียงลำพัง ผมใช้เวลาอยู่กับนายแบบคิวทองมาตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์
ตอนพยายามหลบหน้าเด็กคนนั้น ก็ไปสิงอยู่คอนโดมันนี่แหละไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเกรงว่าการกลับบ้านมาเจอบยอนแบคฮยอน
จะทำให้ผมใจอ่อนและเลือกทำตรงข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
การปล่อยให้แบคฮยอนเข้าใจผิดว่าผมไม่มีใจนั้น
คงไม่ใช่เรื่องแย่นัก หากเทียบกับผลลัพธ์ที่ตามมา
แบคฮยอนรักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ ความฝันของเขาคือการได้เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงระดับโลก ฟังแล้วอาจดูเกินตัวไปหน่อย แต่เชื่อเถอะ ว่าเด็กที่แน่วแน่และมีความพยายามแบบเขา จะสามารถทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ เพียงแค่ลงมือทำเท่านั้น
'
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เด็กไม่รู้จักความรักอย่างผมได้เรียนรู้ที่จะรักใครสักคน..และผมดีใจที่คนคนนั้นคือคุณครับชานยอล
'
ความเสียใจของผม
มันเทียบไม่ได้เลยกับความสำเร็จของบยอนแบคฮยอน
ผมเลือกที่จะมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เรียกว่า 'ความหวังดี' ให้ เพื่อตอบแทนความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม
และเป็นการแสดงออกซึ่งความรักในแบบที่ผมมีต่อเขาอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
120%
TBC
.
.
.
ครบแว้ววว ยาวสุดตั้งแต่แต่งมาเลยมั้งตอนนี้
ปิดท้ายการจากลาแบบครบจบทุกประเด็น จากกันด้วยดี เว้นแต่คู่พระนางนี่แหละค่ะ 555555
ปล. ลิ้งค์เพลงที่แปะเปิดฟังคลอได้นะคะ เพราะนี่เปิดคลอตอนแต่งเหมือนกัน เสียงตาพี่บีบหัวใจได้อยู่หมัด
ตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของชีวิตหลังจากแยกย้ายกันไปเติบโตทั้งของพ่อม่าย และคุณพี่เลี้ยงเลย
อาจจะมาต่อให้ช้ามากๆ (หน่วยเป็นปีเหมือนเดิม ถือซะว่าเราทิ้งระยะห่างไปพร้อมๆกับตัวละครละกัน
แหะๆ พอดีเค้าต้องเตรียมตัวฝึกงานอะแหละ แงๆ U_U)
แต่ถ้าว่างหรือสะดวกช่วงไหน อาจจะมาลงให้อ่านเร็วกว่ากำหนด ยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามชีวิตพ่อม่ายมาจนถึงตอนนี้นะคะ
เข้ามาอ่านคอมเมนต์ว่ามีคนยังรอแล้วโคตรชื่นใจ แม้เค้าจะหายไปนานมากๆๆก็ตาม
เนื้อหา หรือข้อมูลตรงส่วนไหนผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
สุดท้ายก็ขอให้มีความสุขกับการอ่าน เอนจอยรีดดิ้งง
อย่าลืมรักษาสุขภาพและล้างมือบ่อยๆด้วยนะคะ เราจะต้องผ่านมันไปได้!
- . - . -. - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . - . -
ความคิดเห็น