ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #HwangAndTheKwon [minhyunbin: h x m]

    ลำดับตอนที่ #50 : OS: You and I'll be safe and sound [BinMinWeekly: Week 6]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.29K
      42
      14 ธ.ค. 61

    #BinMinWeekly

    Week 6: Period (Europe)

    Paring: HxM (#มินฮยอนบิน)

    PS. Rewrite from KYUMIN version



    You and I'll be safe and sound

      

     

    Just close your eyes, the sun is going down

    You'll be alright, no one can hurt you now

    Come morning light, you and I'll be safe and sound

    Safe & Sound - Taylor Swift

     

     

           ในศตวรรษที่ 20 สงครามคือสิ่งเดียวที่จะป่าวประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าใครคือผู้กุมอำนาจเหนือนานาประเทศทั้งปวงขณะนั้น หลายพื้นที่พยายามปฏิเสธสความรุนแรงนี้ แต่ใช่ว่าเราจะทำแบบนั้นได้ทุกครั้งไป

     

           การก่อสงครามก็เหมือนการเล่นพนัน ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่า ณ เวลาที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบเราจะแพ้หรือชนะ

     

           ถ้าอยากอยู่บนยอดก็ต้องเป็นฝ่ายรอดไม่ว่าจะด้วยอะไรหรือวิธีใดก็ตาม –เมืองนีมส์ก็เช่นกัน...

     

     

     

           นีมส์เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนของทวีปยุโรป สถาปัตยกรรมจำพวกโบสถ์ พระราชวัง ปราสาท คฤหาสน์ อาคารหรือแม้กระทั่งถนนหนทางรวมไปถึงผังเมืองจึงได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาตี และเยอรมัน  

           สภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดปี มีหิมะตกสั้น ๆ ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม หลังจากนั้นจะเป็นฤดูหนาวที่มีเพียงลมกับฝนสลับกันเดือนต่อเดือน ทุกตารางนิ้วของเมืองนี้ไม่มีพื้นที่ใดที่แสงแดดส่องถึง

           ซึ่งนั่นถือเป็นข้อดีในการทำสงครามแต่กลับเป็นข้อเสียสำหรับคนในเมืองที่ต้องทนกับอากาศหนาวไปตลอดชีวิต

           นีมส์เป็นเมืองที่อยู่ในภาวะสงครามมานานนับศตวรรษ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร มียศมาจากไหน ถ้าทางการต้องการตัวไปร่วมรบนั่นถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของตระกูล

           เด็กผู้ชายหนึ่งคนจากทุกครอบครัวจะต้องถูกหมายเรียกตัวให้เข้าร่วมกองทัพเมื่อมีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์

          

           นั่นเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ 

     

     

     

     

           หิมะสีขาวโรยตัวลงมาช้า ๆ ก่อนจะตกกระทบพื้นด้านนอกเบา ๆ เด็กชายตัวกลมแนบหน้ากับบานกระจกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น ริมฝีปากสีอ่อนคลี่ยิ้มยินดียามเห็นเด็กอายุไล่เลี่ยกับตัวเองวิ่งไล่จับกันท่ามกลางหิมะ

           ในใจนึกอิจฉาที่คนเหล่านั้นสามารถทำอะไรได้อย่างใจนึก ต่างจากตัวเองที่ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย

           ประกายไฟที่กำลังลุกโชติช่วงในเตาผิงสีอิฐเพิ่มความอบอุ่นให้ห้องโถงใหญ่อบอุ่นมากขึ้น ที่ปากเตาผิงมีถุงเท้าหลายสีวางเรียงกันเอาไว้คล้ายราวตากผ้า ข้าง ๆ กันคือต้นสนสูงเกือบจรดเพดานประดับประดาไปด้วยลูกบอลหลากสีแขวนไว้จนเต็มต้น ส่วนตรงยอดสุดมีดวงดาวขนาดใหญ่เสียบอยู่ ใต้ต้นคริสต์มาสยักษ์มีกล่องของขวัญมากมายกองสุมกันอยู่เต็มไปหมด

     

           -คืนนี้เป็นคริสต์มาสอีฟปีที่หกของเมลีน ฮวัง

     

           ในเวลาที่บ้านเมืองกำลังพักฟื้นจากสงครามอันแสนยาวนาน

     

           ตระกูลฮวังแห่งเมืองนีมส์กำลังฉลองคริสต์มาสอีฟกันอย่างอิ่มเอมใจ

          

     

           ไม่ใช่เพราะว่านี่คือเทศกาลครอบครัวหรือเพราะศัตรูถอยร่นออกจากอาณาเขต แต่เพราะครั้งนี้สมาชิกของบ้านกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในรอบหลายปี

           เมลีนยึดตักของคุณปู่อย่างมาร์ติน ฮวัง ต่างหมอน เด็กน้อยหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขยามที่มือเหี่ยวย่นลูบผมนิ่มของตัวเองอย่างเบามือ รอยยิ้มเล็ก ๆ ของเจ้าตัวกลมประดับฉายอยู่เต็มใบหน้าแม้นว่าดวงตายังคงปิดอยู่

           แมทธิว ฮวัง มองภาพสองปู่หลานตรงหน้าอย่างมีความสุข สองปีมาแล้วที่เขาสูญเสียดวงใจอันเป็นที่รัก –แม่ผู้งดงามของเมลีน หลังจากการให้กำเนิดหัวใจอีกดวง

           เขากับมาร์ตินผู้เป็นพ่อช่วยกันเลี้ยงเมลีนกันอย่างยากลำบาก –ไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่เป็นเพราะร่างกายที่เกิดมาอ่อนแอของเทวดาตัวน้อยของพวกเขาต่างหาก

           ทั้งที่เกิดวันปีใหม่ในปีที่อากาศหนาวที่สุดแต่ร่างกายของเมลีนกลับไม่สามารถทนทานต่อความหนาวเลยสักนิด ไม่ว่าจะหาทางรักษาสักกี่ทาง หาหมอสักกี่คน ก็ไม่มีใครหรือวิธีการใดจะสามารถทุเลาอาการทรมานนี้ลงได้

     

           -เมลีนจึงเกิดมาเพื่อจะอยู่เพียงแต่ในบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนี้เพียงเท่านั้น-

     

           “คุณปู่กับคุณพ่อจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหมฮะ” เด็กน้อยขี้อ้อนเงยหน้าขึ้นมองคุณปู่ด้วยสายตาเว้าวอนก่อนจะหันหน้าไปขอคำตอบจากคนเป็นพ่อ

           ปู่มาร์ตินของเขาเพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านได้เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังสงครามสงบลงเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมลีนจำไม่ได้ว่าเจอปู่ครั้งสุดท้ายตอนไหนแต่เหมือนจะนานนับปี

           คุณปู่ถูกทางการเรียกตัวด่วนในช่วงก่อนสงครามจะเริ่มและก็ขาดการติดต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งเดือนแมทธิวพ่อของเขาก็ต้องไปเข้าร่วมกองทัพด้วยเช่นเดียวกัน

           เมลีนถูกห่อคลุมด้วยเสื้อขนสัตว์หลายชั้น อาศัยอยู่ในหลุมหลบภัยกับแนนนี่ตลอดระยะเวลาที่ปู่กับพ่อไม่อยู่บ้าน เด็กน้อยกลัวแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนร้องไห้เงียบ ๆ บนตักของพี่เลี้ยงสาว

           “ปู่ไม่ไปไหนแล้ว จะอยู่กับหนูไปตลอดเลยดีไหม หืม เจ้าตัวเล็ก”

           “แล้วคุณพ่อล่ะฮะ”

           “พ่อต้องไปทำงานแทนปู่ พ่อขอโทษนะคนดี” แมทธิวรับตัวลูกชายมากอดแนบอก

     

         ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากจากลูกไปนาน ๆ เหมือนกัน แมทธิวกลัวเหลือเกินว่าจะมีการเดินทางออกบ้านครั้งไหนไหมที่พรากเขาไปจากชีวิตลูกชายตลอดกาล

     

           “เข้าใจพ่อนะ” เมลีนซุกหน้าลงอกของพ่อ น้ำตาเจ้ากรรมที่พยายามกลั้นไว้ไหลลงอาบแก้มอิ่ม ริมฝีปากเล็กเม้มลงกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา

           แมทธิวกระชับร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จรดปลายจมูกลงบนเรือนผมสีดำสนิทของลูกชายซ้ำ ๆ ปลอบประโลมเด็กน้อยจนเจ้าตัวดีผล็อยหลับไป

     

     

     

           ขาสั้นป้อมหยุดชะงักลงหน้าประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ เสียงพูดคุยของด้านในดังเล็ดลอดออกมา  เบา ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ เมลีนแนบหูกับบานไม้หนาตรงหน้าพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของปู่กับพ่ออย่างสนใจ

           "พ่อเชื่อว่านี่จะเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของเมลีน"

           “มันคือ...”

           “ใช่มันคือสิ่งใหม่ที่ทางการยังไม่รู้”

           “หุ่นยนต์เหรอครับ?

         “พ่อเรียกเขาว่าไชลด์เมท ทั้งหน้าตา รูปร่าง ผิวหนัง เส้นผม ทุกองค์ประกอบไม่ผิดแผกจากมนุษย์อย่างเรา ๆ สามารถเติบโตได้จากความรักของเจ้าของ และสามารถเลียนแบบพฤติกรรมและอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงอย่างเดียวที่พ่อยังไม่สามารถทำให้เสถียรได้”

           “นั่นคือ...ความรู้สึก”

           “ซึ่งพ่อต้องทำให้มันสมบูรณ์ภายในสี่วันก่อนวันเกิดของเมลีน พ่ออยากให้เมลีนมีเพื่อน”

           “แมทธิว...พ่อขออะไรอย่างนึง ทำให้พ่อได้ไหม?

           “ทุกอย่างครับ”

           “ถ้าพ่อไม่มีแรงทำไชลด์เมทต่อแล้ว รับปากพ่อว่าลูกจะรับช่วงต่อ ที่สำคัญถ้าควีนรู้... ไม่สิพระนางต้องรู้แน่ไม่ช้าก็เร็ว ทางการจะต้องให้ลูกทำกองทัพไชลด์เมทหรืออะไรสักอย่างซึ่งลูกก็รู้ว่าเราไม่สามารถปฏิเสธพระนางได้”

           “จำเอาไว้ว่าลูกต้องอย่าลืมใส่ความรู้สึกให้พวกเขาด้วย พ่อไม่อยากให้เพื่อน ๆ ของเมลีนกลายเป็นอาวุธสงครามเต็มรูปแบบ เข้าใจพ่อใช่ไหม...”

           “ครับพ่อ”

           “ไปนอนได้แล้ว ป่านนี้เจ้าตัวยุ่งคงรอฟังนิทานอยู่”

           “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

     

           เมลีนออกตัววิ่งไปจนสุดทางเดินก่อนจะผลุบเข้าไปในห้องของตัวเอง สอดตัวเข้ากับกองผ้าห่มที่หนาเกินปกติ รีบหลับตาลงประจวบกับบานประตูที่เปิดกว้างเข้ามาพอดี

           แรงยวบของเตียงทำให้เมลีนรู้ว่าคุณพ่อกำลังนั่งมองเขาอยู่ เด็กตัวกลมขยับยุกยิกไปเกยตักคนเป็นพ่อทำทีเป็นละเมอ

           แมทธิวส่ายหน้าเบา ๆ กับอาการขี้อ้อนของลูกชายตัวแสบ จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนที่มีผมหน้าม้าปรกอยู่

           “ฝันดีนะ ลูกรัก”

     

           เด็กน้อยลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดหลังจากพ่อปิดประตูลง บทสนทนาที่ฟังไม่เข้าใจไหลกลับเข้ามาคล้ายกับม้วนเทปที่ถูกกรอกลับ

           เมลีนได้ยินปู่กับพ่อพูดถึงเขา –อะไรสักอย่างที่เหมือนหุ่นยนต์ ได้ยินคำว่าควีน อาวุธ ซึ่งเขาไม่เข้าใจคำนี้มากนัก

           แต่สิ่งที่ติดใจที่สุดก็คือคำว่า –ไชลด์เมท

     

           รอยยิ้มหวานระบายเต็มริมฝีปากเมื่อนึกถึงถ้อยคำของคุณปู่

     

           ของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของเมลีน’ และ ‘เพื่อน ๆ ของเมลีน

     

     

     

     

           เพื่อน...

     

           วันเกิดครบรอบเจ็ดขวบของเมลีน เขาจะมีเพื่อนคนแรก

           เพื่อนที่ชื่อ ‘ไชลด์เมท

          

     

     

     

           เมลีนตื่นเต้นเหลือนเกิน ทนรอให้ถึงวันที่ 1 มกราคม –ไม่ไหวแล้ว

     

     

     

           –เด็กผู้ชายหน้าหล่อเหลา ดวงตาเรียบนิ่งสนิท สันจมูกโด่งคม เชิงกรามได้รูป พร้อมทั้งรูปร่างสูงใหญ่เกินเด็กวัยเจ็ดขวบทั่วไปเล็กน้อยกำลังยืนประจันหน้ากับมาร์ตินในห้องทำงานชั้นใต้ดิน

           ชายชรากำลังประทับหมายเลขของสิ่งประดิษฐ์เสมือนคนตัวแรกด้วยความตั้งใจ                  –หมายเลข 0304 ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรอยจางบนผิวขาวซีด

     

           ไชลด์เมทตัวแรกของเขาถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างเป็นทางการแล้ว

     

           ตอนนี้สิ่งที่เหลือและต้องทำให้สำเร็จให้ได้ก็คือ –กล่องผลิตความรู้สึกของมนุษย์   

           มาร์ตินมองไชลด์เมทที่ยืนนิ่งอีกครั้งด้วยสายตาครุ่นคิด สำหรับตอนนี้ยากกว่าการทำให้ไชลด์เมทมีชีวิตคือการทำให้สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้มีหัวใจและความรู้สึก

     

           –หมายเลข 0304 เจ้าจะต้องเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดในชีวิตของเมลีน”

     

     

     

     

     

    1 มกราคม

     

           จมูกคมสันของคนแปลกหน้าคือสิ่งแรกที่เจ้าของห้องลืมตาตื่นขึ้นมาเจอ เมลีนผุดลุกจากเตียงด้วยความตกใจ จนร่างป้อม ๆ หล่นไปกองอยู่กับพื้นด้านล่าง

           ผู้บุกรุกวัยไล่เลี่ยกันที่ยึดเตียงอีกฝั่งเป็นของตัวเองชะโงกหน้าลงมามองคนที่นั่งแผ่ที่พื้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะคลี่ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงคล้ายจะส่งยิ้มมาให้

           เมลีนกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน สายตาเคลือบแคลงสงสัยส่งผ่านไปยังเด็กตัวสูงที่ยืนนิ่งอยู่อีกฝั่งของเตียง กำลังจะเอ่ยตะโกนขอความช่วยเหลือคุณปู่กับคุณพ่อก็เปิดประตูเข้ามาในห้องของเจ้าของวันเกิดพร้อมรอยยิ้มสดใส

           “สุขสันต์วันเกิดหลานรัก” เด็กน้อยวิ่งผ่านหน้าอีกคนเข้าหาอ้อมแขนของคนเป็นปู่ที่อ้ารอรับอยู่     

           กอดแรกของวันเกิดอายุครบเจ็ดปีของเมลีนเป็นของปู่มาร์ติน

     

           “สุขสันต์วันเกิดลูกรักของพ่อ” แมทธิวลูบหัวเมลีนอย่างเอ็นดู ลูกชายเขายังคงฝังตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของปู่คล้ายกับกลัวอะไรสักอย่าง

           นิ้วป้อมชี้ไปทางเตียงนอนสีขาวสะอาด เห็นอย่างนั้นทั้งแมทธิวและมาร์ตินจึงหันไปมองบ้าง

     

           เด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเมลีนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

     

           มาร์ตินส่งเมลีนให้คนเป็นพ่อก่อนจะเดินตรงไปหาคนแปลกหน้าของเจ้าตัวเล็ก

           “เมลีน นี่เพื่อนใหม่ของหลาน”

           “เพื่อนหรอฮะ ?

           “ใช่แล้ว เพื่อนของขวัญวันเกิดของหลานจากปู่”

           “อ๋า –ไชลด์เมท” เมลีนผละจากอ้อมแขนของคนเป็นพ่อวิ่งกลับไปหาเพื่อนใหม่ ร่างป้อมยืนจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาใคร่รู้ เท้าเล็กเขย่งขึ้นเพื่อให้ความสูงตัวเองอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

           เมลีนยิ้มเต็มแก้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามยิ้มตามแบบแปลก ๆ

           “ไชลด์เมทนี่ลูกแอบฟังที่ปู่กับพ่อคุยกันอีกแล้วใช่ไหม ฮึ เจ้าตัวยุ่ง”

           “เปล่านะฮะคุณพ่อ เมลีนแค่เดินผ่านแล้วเผลอได้ยิน”

            “เรานี่นะ จริง ๆ เลย”

            “เอาเถอะๆ ไม่เป็นไรหรอก นี่คือไชลด์เมทรุ่นแรกและตัวแรกที่ปู่สร้างขึ้นเหมือนคนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์”

           “เหมือนคนไชลด์เมทไม่ใช่คนเหรอฮะ?

           “ไชลด์เมทเป็นเพื่อน –เพื่อนที่ซื่อสัตย์กับเพื่อน

           “ไชลด์เมทมีชื่อหรือเปล่าฮะ คุณปู่”

           “มีสิ ตัวนี้ชื่อ –หมายเลข 0304 

           “ชื่อยาวจัง เมลีนกลัวจำไม่ได้”

           “เมลีนก็ตั้งให้เพื่อนใหม่สิ” แมทธิวลูบหัวลูกชายคนเดียวอย่างรักใคร่

           “ได้เหรอฮะคุณพ่อ คุณปู่ฮะที่คุณพ่อบอกทำได้เหรอฮะ”

           “ได้สิ หลานอยากมีเพื่อนชื่ออะไรล่ะ ฮึ”

           “เอ–ชื่ออะไรดีนะ นึกออกแล้ว ชื่อ–แพทริคดีไหมฮะ”

           “ถามเจ้าตัวสิ”

           แพทริค นายชอบชื่อนี้ไหม”

           “แพทริค?

           “ใช่ –แพทริค ชอบหรือเปล่า”

           “อื้ม”

           “ดีจังเราชื่อเมลีนนะ”

           “เมลีน?

           “ใช่ –เมลีน

           เมลีนกับแพทริค

           เด็กตัวกลมยิ้มโชว์ฟันกระต่ายให้เพื่อนใหม่ด้วยความตื่นเต้น วงแขนเล็กโอบรอบตัวคนสูงกว่าอย่างมีความสุข

           รอยยิ้มของเทวดาตัวน้อยประจำบ้านเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากผู้ใหญ่ทั้งสองที่มองอยู่ด้วยสายตาเอ็นดู

     

     

     

     

           เมลีนไม่เคยมีเพื่อน

           แพทริคคือเพื่อนคนแรกของเมลีน

     

     

     

     

     

    3 ปีต่อมา

     

           สงครามที่กินเวลายืดเยื้อมานานกว่าสิบปีตอนนี้เหมือนจะสงบลงแล้ว ชาวเมืองนีมส์จึงกล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ร้านรวงต่าง ๆ ที่เคยเปิดปิดกันเฉพาะเวลากลางวันกลับมาเปิดบริการตามเวลาที่ควรจะเป็น

           ทั้งร้านขายขนมปัง ร้านขายรองเท้า ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายหนังสือ และอีกมากมายหลายร้านที่ทยอยกันเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง 

     

           ใกล้เวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว แต่เด็กชายวัยสิบขวบสองคนกลับกำลังสนุกกับการเล่นชิงช้าใต้ต้นแอปเปิ้ลจนลืมเวลาอาหารเย็น

           แพทริคกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาให้ร่างขาวตรงหน้า ถอดผ้าพันคอของตัวเองออกพันทับให้คนตัวเล็กกว่าอีกชั้น เมลีนยิ้มเต็มแก้มให้เพื่อนรักที่กำลังจัดหมวกไหมพรมสีชมพูของเขาให้เข้าที่

           ถึงจะสามารถออกมาภายนอกได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะอาการเริ่มทุเลาลงเมื่อโตขึ้น แต่  แพทริคกลับไม่ยอมให้ผิวเนื้อของเมลีนโดนลมหนาวแม้สักครั้งนับตั้งแต่วันนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

           วันนั้นเป็นปลายเดือนมกราคมที่หนาวเหน็บ หิมะที่ควรจะหยุดตกตอนสิ้นเดือนกลับไม่มีทีท่าจะเป็นเช่นนั้น เด็กชายวัยแปดขวบจูงมือเพื่อนสนิทเดินลัดเลาะออกมาทางหลังบ้าน ดวงหน้าหวานคล้ายเด็กผู้หญิงคลี่รอยยิ้มซุกซนจนอีกคนได้แต่ส่ายหน้า 

           เมลีนพาแพทริคหนีออกมาเดินหาของขวัญวันเกิดครบรอบแปดสิบปีให้ปู่มาร์ติน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองทนอากาศหนาวไม่ได้แต่ใจของเด็กน้อยกลับลืมนึกถึงเรื่องนั้นไป

           ยังไม่ทันที่จะถึงทางเข้าตลาด ร่างเล็กที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์กลับทรุดฮวบลงต่อหน้าต่อตาแพทริค

           ใบหน้าที่เคยแต่งแต้มสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติซีดเผือดจนคนมองตกใจ ริมฝีปากบางสั่นระริกแห้งกรังจนเป็นสีขาวคล้ายคนเป็นไข้

           แพทริคหันรีหันขวางเรียกให้คนช่วยแต่กลับไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มตัวสูงตัดสินใจแบกร่างเล็กขึ้นหลังมุ่งหน้ากลับคฤหาสน์

           ดวงตาแน่วแน่จ้องมองทางเดินตรงหน้าผ่านสายหิมะที่ยังโปรยตัวลงมาไม่หยุดหย่อน แต่ละก้าวที่ย่ำลงพื้นพรมหนาสีขาว ในหัวของแพทริคมีแค่ประโยคเดิม ๆ ดังก้องอยู่ในนั้น

     

           เมลีนต้องไม่เป็นอะไร

           เมลีนต้องไม่เป็นอะไร

     

           และวินาทีนั้นเองที่ทำให้ร่างสูงคิดได้ว่า ...

           มีเพียงคนเดียวที่จะช่วยชีวิตคนที่อยู่บนหลังตัวเองตอนนี้ได้ –คน ๆ นั้นคือเขาเอง ...

     

     

     

           แพทริคคนนี้เท่านั้น

     

     

     

           เมลีนนอนซมอยู่บนเตียงสองสัปดาห์ พวกเขาสองคนถูกปู่มาร์ตินดุเสียยกใหญ่ ไหนจะคุณพ่อ แมทธิวที่กักบริเวณไม่ให้สองคนมาเจอกัน รวมไปถึงแนนนี่ที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายฟาดเมลีนกับแพทริคไปคนละที

     

           เพื่อนรักของเขาทนอากาศหนาวไม่ได้ –เรื่องนี้แพทริคเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง

     

           เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเล่นอยู่แต่ในบ้าน เขาจึงไม่เคยเอะใจกับความผิดปกติของคนตัวเล็ก

     

           ทั้ง ๆ ที่ใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนากว่าปกติแต่เมลีนก็ยังทนไม่ไหวเพราะขาดถุงมือ เมื่อละอองหิมะตกกระทบกับผิวเนื้อที่ไร้สิ่งปกคลุม กระแสความเย็นจึงเข้าเล่นงานจนเมลีนอาการทรุดหนักกว่าทุกครั้ง –กว่าจะหายสนิทก็กินเวลาเกือบสองเดือน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

           คิดถึงตอนนั้นแพทริคก็ได้แต่ส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้คนตรงหน้า เมลีนในตอนนี้ดูแข็งแรงกว่าเดิมมาก สามารถโดนละอองหิมะได้นิดหน่อยตราบใดที่ยังมีเครื่องกันหนาวครบทุกสิ่ง พอกลับถึงบ้านก็จะมีเพียงอาการคัดจมูกเท่านั้นที่เล่นงานเจ้าตัวได้

           "ถุงมือ"

           "เรียบร้อย" คนตัวเล็กกว่าชูมือที่มีไหมพรมสีขาวคลุมเอาไว้ให้ร่างสูงดู

           "ที่ครอบหู"

           "อยู่ดี" จับมืออีกคนมาลูบปุยนุ่ม ๆ ที่อยู่ข้างหูตัวเองเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน

           "หนาวไหม?" เมลีนส่งยิ้มให้แพทริคยืนยันคำตอบว่าไม่เป็นไร

     

           ในขณะที่เมลีนไม่ถูกกับอากาศหนาว –แพทริคกลับทนหนาวได้มากกว่าคนปกติหลายเท่า      ปู่มาร์ตินบอกว่าไชลด์เมทไม่มีวันตายมีแต่พัง–แล้วเราก็จะซ่อมถ้าถึงเวลานั้น

           แต่ปู่มาร์ตินไม่ได้บอกเอาไว้ว่าไชลด์เมทพังขนาดไหนถึงจะซ่อมไม่ได้

     

           แพทริคกระชับมือขาวซีดของตัวเองลงบนถุงมืออุ่นสีขาวก่อนจะสอดมันลงกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวเอง เมลีนเหลือบมองใบหน้าคมนิ่งด้วยประกายตาแห่งความสุข

           จากมุมนี้แล้วสันจมูกโด่งนั้นช่างน่ามองจนถอนสายตาไม่ได้ เมลีนอยากโตไปแล้วเป็นแบบนั้นบ้าง ทั้งความสูงและใบหน้าหล่อเหลาของแพทริค –เมลีนอยากได้มาสักครึ่งนึงก็ยังดี

     

     

     

           อาหารค่ำเลิศรสถูกลำเลียงออกมาห้องครัวโดยมีเมลีนเป็นทัพหน้า ขาสั้น ๆ ของคนตัวเล็กสับวุ่นตอนที่เห็นใครอีกคนก้าวแซงหน้าไป

           ในขณะที่แพทริคเดินเข้าออกระหว่างห้องครัวกับห้องทานอาหารได้สามรอบแล้ว เมลีนกลับเดินได้เพียงรอบครึ่ง ดวงหน้าหวานงอง้ำยามที่แนนนี่ตะโกนออกมาจากในห้องครัวว่าอาหารหมดแล้ว

           “เป็นอะไรเจ้าตัวยุ่ง หน้างอเชียว” มาร์ตินเอ่ยแซ็วคนตรงหน้า ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กงอนเด็กชายอีกคนที่ตอนนี้โตเกินวัยเด็กสิบขวบด้วยกัน

           เปล่านี่ฮะ”

           “ปากยื่นขนาดนั้น ไหนมาหาปู่นี่มา” เด็กชายตัวป้อมย้ายตัวเองไปนั่งบนตักคนเป็นปู่ ก่อนจะหันมาแลบลิ้นใส่อีกคนที่นั่งมองอย่างขำ ๆ

           “ขำอะไรแพทริค ไม่ตลกเลยนะ”

           ชู่ว– อย่าเสียงดังสิลูกไม่น่ารักเลย ขอโทษแพทริคเดี๋ยวนี้”

           “ไม่เป็นไรครับ”

           “ได้ยังไงกัน เมลีนทำเดี๋ยวนี้”

           “ขอโทษ” ปากเล็กเบะออกทันทีที่พ่อขึ้นเสียงดุ น้ำตาที่พยายามสะอื้นกลั้นไว้ไหลผ่านแก้มกลมจนคนมองนึกเอ็นดู มือน้อยปาดน้ำตาออกจากแก้มตัวเองป้อย ๆ ไม่ยอมสบตาคู่กรณี

           “เมลีนขอโทษ ก็เมลีนอยากตัวสูงเหมือนแพทริคนี่ อายุเท่ากันทำไมแพทริคสูงเอา ๆ ไม่เห็นเหมือนเราเลย”

           “เด็กน้อยเอ้ย” คนเป็นปู่ลูบหัวเด็กเจ้าน้ำตาเบาๆ พร้อมยิ้มขำ

           หลานน้อยของเขายังไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่สักที ทั้งที่สิบขวบแล้วแต่ก็ยังติดปู่ ติดพ่อแจ ไหนจะมีแนนนี่คอยให้ท้ายกับแพทริคผู้ที่ไม่เคยให้เมลีนต้องได้แตะอะไร

           เรื่องทั้งหมดมันผิดที่ตัวชายชราเอง เขาตามใจหลานชายจนเคยตัวแต่เพราะสงสารเด็กน้อยที่เกิดมากำพร้าแม่ อีกทั้งยังมามีโรคประจำตัวอีกจึงได้ประคบประหงมเจ้าตัวเล็กเป็นพิเศษ

           “ทำไมแพทริคถึงโตเร็วรู้ไหม?

           “เพราะเมลีนมอบความรักให้แพทริคมากกว่าคนอื่นไง เด็กดื้อ”

           “จำไว้นะ เมลีน…“

           ไชลด์เมท เติบโตได้เพราะความรักของเจ้าของ”

           “เมลีนเป็นเจ้าของแพทริค”

           “ถ้าไม่อยากให้แพทริคโต เมลีนต้องรักแพทริคให้น้อยลง ทำได้หรือเปล่าล่ะ ฮึ”

     

           เด็กน้อยปีนลงจากตักปู่เดินไปหาอีกคน น้ำตาที่เคยไหลตอนนี้หยุดลงแล้วแต่ยังมีร่องรอยบวมช้ำที่ดวงตากับคราบน้ำใสที่ข้างแก้ม

     

     

     

           ไม่เอา

           เมลีนไม่อยากรักแพทริคน้อยลง

     

     

     

           เมลีนโถมตัวเข้าหาแพทริคเต็มแรง แรงกอดรัดของคนบนตักเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่ม ก่อนจะกอดตอบอีกฝ่าย ฝ่ามือเย็นชืดลูบหัวคนขี้น้อยใจเบา ๆ

           “แพทริคโตกว่าเมลีนเยอะ ๆ เลยก็ได้ เราไม่โกรธแล้ว

     

     

     

           เมลีนไม่อยากรักแพทริคน้อยลง”

           “ไม่อยากให้เมลีนรักผมน้อยลงเหมือนกัน”

     

     

     

           เด็กตัวกลมในชุดนอนผ้าฝ้ายคลานขึ้นเตียงพร้อมกับตาที่แทบจะปิดอยู่รอมร่อ หัวถึงหมอนได้ไม่ถึงนาทีก็หลับปุ๋ยไปพร้อมกับรอยยิ้มบาง

           แพทริคในชุดนอนแบบเดียวกันแต่คนละสีสอดตัวลงในผ้าห่มผืนหนาข้าง ๆ คนที่ชิงหลับไปก่อน วงแขนแข็งแรงกว่าเด็กปกติทั่วไปดึงอีกคนเข้าสู่อ้อมกอด

           ใบหน้าหวานเอียงซุกเข้าอกอุ่นด้วยความเคยชิน แขนขาวพาดเอวสอบของอีกคนพร้อมยกขาขึ้นก่ายเพื่อนรักต่างหมอนข้าง

           ตั้งแต่มีแพทริคมานอนด้วยทุกคืน ไม่ว่าตุ๊กตาตัวโปรดหรือหมอนข้างเน่าที่เจ้าตัวติดตั้งแต่สมัยเด็กก็ถูกระเห็จไปนอนอยู่ในตู้แทนเตียงนอนอุ่นหลังนี้

           เด็กตัวสูงก้มลงมองแก้มกลม ๆ อย่างชั่งใจ ก่อนจะกดปลายจมูกลงเหมือนเช่นทุกคืน ความนุ่มหยุ่นพร้อมกลิ่นแป้งเด็กที่เจ้าตัวชอบใช้ยังหอมติดอยู่ที่ปลายจมูก

           ดวงตาคมปิดลงพร้อมกับระบบหัวใจที่ค่อย ๆ ลดอัตราการเต้นกลับมาที่ศูนย์แต่ลมหายใจยังคงมีลมเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนคนทั่วไป

     

     

     

           Good Night my Malyn

     

     

     

     

     

     

    6 ปีต่อมา

     

           คนที่นอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือลืมตาขึ้น กระพริบมันอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับให้ชินกับแสงที่แยงเข้ามากระทบซีกหน้าพอดี ใบหน้าอ่อนใสของเด็กหนุ่มวัยสิบหกเกิดรอยแดงเป็นปื้นจากการเผลอหลับทับกองดินสอสีไปเมื่อคืน

           เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่คนด้านนอกจะถือวิสาสะเปิดเข้ามาโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ทันได้เอ่ยปากอนุญาต เมลีนรีบกวาดกองกระดาษกับดินสอสีที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะไม้ลงในลิ้นชักก่อนที่อีกคนจะก้าวเข้ามาได้ทันเวลาพอดี

           “แนนนี่...ตกใจหมด”

           “ทำไมคะ นึกว่าเป็นแพทริคหรอ”

           “ก็ใช่น่ะสิครับ”

           “ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้แพทริคอยู่ห้องใต้ดินกับนายท่าน”

           “คุณปู่ตรวจแพทริคอยู่เหรอครับ”

           “คงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ คุณหนูรีบล้างหน้าล้างตาแล้วลงมาข้างล่างเถอะค่ะ นี่ก็สายมากแล้วเดี๋ยวคุณพ่อจะดุเอา”

           “ครับแนนนี่”

           เมลีนเลือกใส่เสื้อไหมพรมตัวหนาแทนการใส่เสื้อกันหนาวหลาย ๆ ชั้นเหมือนตอนเด็ก ๆ ริมฝีปากบางแย้มยิ้มให้ตัวเองหน้ากระจกยามที่นึกถึง –ของขวัญที่เจ้าตัวพยายามทำเองเพื่อให้ใครอีกคน

     

     

     

           มาร์ตินกำลังเช็คสภาพร่างกายของแพทริคเหมือนเช่นทุกปี เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่การตรวจปกติอย่างที่เคยทำมาตลอด

           เขากำลังใส่ –อะไรบางอย่างเข้าไปในไชลด์เมทต้นแบบตัวนี้

     

           ความเสียสละ ... สิ่งที่มนุษย์หลายคนพึงมี

     

           “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”

           “ครับ”

           “แพทริค ถ้าปู่เป็นอะไรไปฝากดูแลบ้านหลังนี้ด้วยนะ”

           “คุณปู่”

           “โดยเฉพาะเมลีน”

           “...”

           “แพทริค รับปากปู่สิ”

           “ครับ ผมสัญญา”

           “ดี ดีแล้ว”

           ชายชราหันหลับไปจดอะไรบางอย่างลงสมุดบันทึกที่กางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวยาว แพทริคมองประมุขของบ้านด้วยสายตาหม่นเศร้า

           ผมที่เคยแซมสีขาวกลายเป็นสีดอกเลาเต็มศีรษะแล้ว ร่างกายที่เคยอ้วนท้วนกลับผ่ายผอมจนน่าใจหายเพราะมีหลายโรครุมเร้า แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมไปหาหมอ คอยแต่กินยาที่เคยมีราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา

     

           ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่เจ้าตัวพยายามบอกคนอื่นสักนิด

     

     

     

           หิมะสีขาวที่โรยตัวลงมาผ่านหน้าต่างบานใสเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ จากเมลีนที่กำลังพักสายตาจากการอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ เตาผิง มีตักของเพื่อนสนิทต่างหมอน

           เมื่อเสียงคนเล่านิทานเงียบลง แพทริคจึงก้มลงมองด้วยความสงสัย แอบยกมุมปากยามเห็นใบหน้าอิ่มใสแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ

           หิมะที่ใครหลายคนว่าน่ามองนักหนา สำหรับเขาแล้วมันไม่น่ามองเท่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าเลยสักนิด

           “หิมะสวยจัง ว่าไหม?

           “อืม สวย”

     

     

     

            …สวยจริงๆ

           สวยกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้...

     

     

     

           “แพทริค แพทริค” มือเล็กปัดผ่านใบหน้าหล่อเหลาไปมาอยู่หลายครั้งกว่าอีกคนจะรู้สึกตัว เจ้าของร่างสูงยกยิ้มเป็นคำตอบรับ เห็นอย่างนั้นมือขาวจึงลูบเบา ๆ ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย 

           “เหม่ออะไร ปู่ไขอะไรผิดที่หรือเปล่า”

           “เปล่า วิวสวยดี”

           “...”

           “เลยจ้องนานไปหน่อย”

           “อ่อ อื้ม สวยเนอะ”

           ใบหน้าหวานขึ้นริ้วสีแดงยามสบเข้ากับดวงตาคมที่ทอดมองมายามเปล่งถ้อยคำเหล่านั้น

          

          

          

           แมทธิวกำลังคิดไม่ตกเรื่องอายุที่กำลังใกล้จะครบเกณฑ์ของเมลีน มือหนากำม้วนกระดาษสีน้ำตาลที่ประทับตราประจำพระองค์ไว้แน่น เนื้อความในสารนั้นคือการแจ้งเจตจำนงให้ทุกบ้านส่งรายชื่อของบุตรชายแต่ละตระกูลที่มีอายุจะครบสิบเจ็ดปีในปีหน้าเข้ารายงานตัวเป็นกองหนุนของกองทัพ

           ทั้งที่สงครามก็ดูสงบมาตลอดหลายปี แต่ทางการก็ยังต้องการพลร่วมเป็นเด็กหนุ่มเพื่อฝึกซ้อมเตรียมกองทัพอยู่ดี

          

           มาร์ตินนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงหนานุ่มในตอนที่ลูกชายเปิดประตูเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ม้วนกระดาษสีที่มีตราประทับคุ้นตาถูกยื่นมาตรงหน้าชายชราผมสีดอกเลา เขากวาดสายตาดูเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะส่งคืนแมทธิวที่ทิ้งตัวนั่งอย่างอ่อนแรงบนเก้าอี้ข้างเตียง

           “ถึงเวลาแล้วเหรอนี่”

           “พ่อครับ เราจะทำอย่างไรกันดี”

           “เราทำอะไรไม่ได้แมทธิว เราขัดพระบัญชาควีนไม่ได้”

           “แต่เมลีน...พ่อครับเมลีนไม่มีทางรอดแน่ถ้าออกไปอยู่ข้างนอกแบบนั้น”

           “พ่อรู้ พ่อรู้ จะให้พ่อทำอย่างไร ในเมื่อสวรรค์กำหนดมาให้เป็นแบบนี้”

     

           ร่างสูงใหญ่ที่ถือถาดซุปกับยาขึ้นมาให้เจ้าของห้องได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู บทสนทนาของด้านในที่เขาเพิ่งได้ยินมันช่างกรีดแทงหัวใจเขานัก

           ใบหน้าอ่อนใสที่มักจะมีรอยยิ้มเสมอผุดขึ้นมาแทบจะทันทีราวกับต้องการจะเอ่ยลา หัวใจช่องที่ใส่ความรู้สึกเอาไว้บีบแน่นจนเขาแทบหายใจไม่ออก

     

     

     

     

           เขาจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ –ต้องทำอะไรสักอย่าง

     

     

     

     

           ผมไม่อยากเสียลูกไปครับพ่อ”

     

           “ผมไปแทนเองครับ”

     

           “แพทริค!

           “ไม่ได้จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเจ้ามีตัวตนบนโลกใบนี้”

     

           “ขอร้องครับคุณปู่”

           “ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้แล้ว”

     

           “แพทริค”

     

     

     

     

     

    1 ปีต่อมา

     

           มาร์ติน ฮวังจากโลกนี้ไปได้หนึ่งเดือนแล้ว ช่างเป็นของขวัญต้อนรับวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปีของเมลีนที่เจ้าตัวเกลียดที่สุด บรรยากาศหดหู่แผ่คลุมไปทั่วคฤหาสน์หลังใหญ่ แมทธิวผู้เป็นพ่อเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องใต้ดินที่เคยเป็นห้องทำงานของมาร์ติน ส่วนตัวเมลีนเองก็ขลุกอยู่แต่ในห้องนอนเช่นกันจะมีก็แต่แพทริคกับแนนนี่ที่คอยดูแลคนในบ้าน

           สงครามที่คิดไว้ว่าจะสงบไปตลอดกาลกลับมาปะทุอีกครั้ง เมลีนเห็นเด็กผู้ชายหลายคนเดินเรียงแถวกันไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่มีเหล่าทหารมารอรับอยู่ทุกสัปดาห์ เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าหลังจากนี้คนเหล่านั้นจะไปไหนกัน รู้แต่เพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้กำลังเงียบเหงาลงทุกที

     

           แต่วันนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป กองทหารม้าที่ควรยืนรออยู่ตรงจุดเดิมกลับเดินตรงมายังคฤหาสน์หลังงามที่เมลีนอาศัยอยู่

     

           “คุณหนู” หญิงชราเปิดประตูไม้เนื้อหนาออกก่อนจะแทรกตัวเข้ามา ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลามีแววกังวลจนคนมองใจคอไม่ดี

           “พวกเขามาทำไมกันครับ”

           “คุณหนูอยู่ในนี้กับแนนนี่นะคะ เดี๋ยวคุณพ่อจะจัดการทุกอย่างเอง”

           “มันเรื่องอะไรกันครับ แล้วแพทริคล่ะ”

           “คือ...”

           “ผมจะไปหาแพทริค”

           “ไม่ได้นะคะ ทูนหัวของแนนนี่อย่าลงไปนะคะ”

           “แนนนี่ครับ เกิดอะไรขึ้น”

     

     

     

           แมทธิวกำลังยืนประจันหน้ากับหัวหน้ากองทหารม้าที่มารอรับบุตรชายเพื่อไปเข้าร่วมกองหนุน ในมือของชายคนนั้นมีม้วนกระดาษแบบเดียวกับที่เขาได้รับเมื่อปีที่แล้ว เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่มีดาวติดบ่าคลี่ม้วนกระดาษออกก่อนจะเอ่ยเนื้อหาด้านในที่แมทธิวจำได้ขึ้นใจ

           “บุตรชายตระกูลฮวัง เมลีน ฮวัง”

           “ขอรับ”

           “ไหนล่ะ”

     

           “ผมครับ ผมคือเมลีน ฮวัง”

     

           ร่างเล็กแทบจะไม่มีแรงยืนยามที่ใครคนนั้นเอ่ยชื่อของตัวเขาเองออกมา

     

           “ไปเก็บของเจ้ารอไว้ เราจะกลับมาอีกครั้งตอนพลบค่ำ”

     

           น้ำตาเม็ดโตไหลเปรอะเปื้อนแก้มขาวแต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาให้ได้ยิน

     

           “ขอรับ”

     

           หญิงชราร่างท้วมดึงคุณหนูของบ้านเข้ามากอดเหมือนตอนเจ้าตัวยังเป็นเด็ก ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบหลังเล็กเบา ๆ ปลอบประโลมเด็กน้อยของเธอ แรงสั่นน้อย ๆ ของคนในอ้อมกอดยิ่งทำให้คนที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น –คุณหนูของแนนนี่

     

     

     

           แมทธิวแหงนขึ้นมองบันไดที่มีร่างของคนสองคนกอดกันอยู่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

           ประมุขตระกูลฮวังไม่ได้อยากให้ใครมารับผิดชอบเรื่องนี้แทนเมลีน

     

           แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้จริง ๆ

     

           “แพทริค”

           “ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณมากจริง ๆ”

           คนที่สวมรอยเป็นบุตรชายตระกูลฮวังยกยิ้มให้แมทธิวก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปหยุดลงตรงหน้าเจ้าของชื่อตัวจริง

           ร่างสูงย่อตัวลงระดับเดียวกับคนที่ยังสะอื้นในอ้อมกอดของหญิงชรา ความเย็นผิดปกติทั่วไปของมือมนุษย์เรียกให้เมลีนแหงนหน้าขึ้นมาจากอกของพี่เลี้ยง

           รอยยิ้มอ่อนจางที่อีกฝ่ายมอบให้ตอนนี้ช่างดูใจร้ายกับเขาเหลือเกิน คนตัวเล็กกว่าโถมร่างเข้าหาอกแกร่งก่อนจะปล่อยโฮจนสุดกลั้น

     

     

     

           “ผมสัญญา”

           “ว่าจะกลับมา”

     

     

     

           เมลีนเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดอุ่น จรดริมฝีปากลงบนส่วนเดียวกันกับของอีกฝ่าย ส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่สะสมมานานให้คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้งรับรู้ เปลือกตาหนาปิดลงก่อนจะขยับตอบกลับสัมผัสอ่อนหวานนั้น

     

     

     

           ...เมลีน

           ...รอผมนะ...

     

     

     

     

     

    7 ปีต่อมา

     

           ถึงแพทริคที่รัก

     

     

           แพทริค...

     

     

           โคมไฟดวงเล็กถูกเปิดให้ส่องสว่างในห้องที่มีกระดาษกองสุมไว้ทุกที่ โต๊ะไม้ตัวยาวกินพื้นที่ไปเสียเกือบครึ่งวางอยู่ตรงกลาง ติดกับประตูคือโต๊ะทำงานที่เจ้าของห้องกำลังนั่งทำงานอยู่ ชั้นหนังสือวางเรียงรายเต็มผนังแต่ก็ยังเหลือพื้นที่ให้เตียงนอนหลังเล็กได้แทรกตัวอยู่ข้างกรอบหน้าต่างที่หิมะกำลังโรยตัวลงมา

           จดหมายที่ไม่เคยส่งถึงผู้รับถูกปลายปากกาหยุดลงเพียงเท่านี้เหมือนเช่นทุกครั้ง เมลีนในวัยยี่สิบห้าปีนั่งมองหน้ากระดาษที่มีตัวหนังสือเพียงบรรทัดเดียวด้วยสายตาว่างเปล่าแต่ไม่ใช่ไร้ความรู้สึก

     

     

     

           ใช่ –เมลีนรู้สึกถึงแพทริคเสมอไม่ว่าจะผ่านไปเจ็ดปีแล้วก็ตาม

     

     

     

           เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นปลุกให้เมลีนตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเปิดแง้มบานไม้ต้อนรับหญิงชราที่ยังคงร่างอ้วนท้วนไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

           "มีแขกมาค่ะคุณหนู"

           "ใครเหรอครับ"

           "เห็นบอกเป็นคนจากวังค่ะ แจ้งว่ามาส่งของที่เหลือของคุณพ่อ" เมลีนพยักหน้ารับคำ จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงรับแขกเล็ก ๆ ที่มีเตาผิงอิฐสีแดงส่งเสียงปะทุอยู่เบา ๆ

     

     

     

           "คุณแพทริคหรือเปล่าครับ"

           "ครับ"

     

     

     

           "ขอโทษนะครับที่เอาของมาส่งช้า ไม่คิดว่าจะย้ายออกจากคฤหาสน์มาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้"

           "พอคุณท่านเข้าวังไป คนดูแลบ้านอย่างพวกเราก็แยกย้ายกันไปน่ะครับ ช่วงสงครามใครก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน ขอบคุณนะครับที่เอาของมาให้"

           เมลีนยื่นมือไปรับกล่องไม้ใบเล็กที่เจ้าตัวจำได้ดีว่าเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่คุณพ่อเอาติดตัวไปด้วยในวันนั้น ส่งยิ้มขอบคุณเจ้าหน้าที่ก่อนจะปิดประตูไม้บานเก่าลง

           มือขาวสั่นน้อย ๆ ในตอนที่ตัดสินใจเปิดฝามันออก นาฬิกาพกเรือนสำคัญของคุณพ่อนอนแน่นิ่งอยู่ข้างกับแว่นตาที่เมลีนคุ้นเคย มีกระดาษแผ่นเล็กถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่ก้นกล่อง

     

     

     

    ลูกรัก...

     

     

    ความสุขมักจะจากจากเราไปเร็วเสมอ

    ต่างจากความทุกข์ที่มักจะตามติดเราเหมือนเป็นเงาไปเสียทุกที่

    แต่พ่อกลับชอบเวลาที่มีความทุกข์มากกว่า...

     

    อย่างตอนนี้พ่อทุกข์ที่จากลูกมาไกล

    แต่ในความทุกข์นั้นพ่อกลับค้นพบความสุขเล็ก ๆ ที่เรียกว่า...ความหวัง

     

    พ่อมีความสุขที่ได้นั่งคิดถึงลูกแบบนี้เพราะพ่อมีความหวัง

    หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน

    พ่อรอวันนั้นอยู่ พ่อรู้ว่าลูกก็รอเช่นกัน

     

     

    ด้วยรัก

    พ่อ

     

     

     

           เมลีนเห็นคำว่าพ่อรางเลือนเหลือเกินในตอนที่น้ำใส ๆ เอ่อล้นดวงตาแบบนี้ จดหมายฉบับเดียวของพ่อมาถึงมือเขาในวันที่พ่อไม่อยู่แล้ว มือขาวยกกระดาษขึ้นแนบอก ถ้อยคำของพ่อที่เคยพร่ำสอนยังคงก้องอยู่ในหู อุ่นไอจากอ้อมกอดสุดท้ายยังคงโอบล้อมเขาไว้แม้กระทั่งตอนนี้

     

           กอดนั้น –มันนานแค่ไหนกันแล้วนะ ห้าปีไม่สิหกปีแล้วต่างหาก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

           กลางดึกของคืนหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักเสียจนสูงท่วมประตูหน้าคฤหาสน์ อากาศด้านนอกหนาวเสียจนเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีต้องใส่เสื้อถึงสี่ชั้นก่อนจะสอดตัวลงผ้าห่มขนสัตว์เป็นสิ่งสุดท้าย เสียงเคาะประตูรัวเร็วดึงขึ้นถี่ ๆ จนคนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนสะดุ้งตกใจ

           เมลีนเปิดประตูออกมาพบสีหน้าหวั่นวิตกของพ่อ แมทธิวดึงลูกชายมากอดแนบอกจรดริมฝีปากลงกลุ่มผมนุ่มซ้ำ ๆ น้ำตาที่ไม่อยากให้ลูกได้เห็นพรั่งพรูอาบใบหน้าที่เริ่มมีร่องรอยของกาลเวลา

           "คุณพ่อ"

           "พ่อขอโทษนะ ลูกรัก"

           ร่างสูงโปร่งดึงตัวเองจากอ้อมกอดอุ่น ใบหน้าของพ่อที่เขาเห็นตอนนี้ช่างดูเจ็บปวด แววตาที่กังวลพร้อมความรู้สึกผิดฉายชัดออกมาจากดวงตารื้นน้ำ พ่ออยู่ในชุดที่แปลกตา เสื้อโค้ทสำหรับเดินทางพร้อมกล่องไม้ใบเล็กที่เจ้าตัวถือเอาไว้

           เขาไม่เข้าใจ พ่อกำลังจะออกไปไหนกลางดึกที่เหน็บหนาวเช่นนี้

           "ฟังพ่อนะ"

           "เดี๋ยวจะมีคนมาหาพ่อ พ่ออยากให้ลูกพาแนนนี่ไปอยู่ในหลุมหลบภัย"

           "แต่..."

           "เชื่อพ่อนะ เมลีน"

     

     

     

           เสียงเคาะประตูบานใหญ่ด้านนอกดังก้องทั่วคฤหาสน์ที่เงียบสนิท แมทธิวสูดลมหายใจจนเต็มปอด พยายามขับไล่ความกลัวที่กำลังเกาะกินไปทั่วร่างให้หายไป ก่อนจะเปิดประตูเชื้อเชิญผู้บุกรุกเข้ามาในบ้านของตัวเอง

           "ค้นให้ทั่ว หาเด็กหนุ่มเมลีน –ตัวจริง"

           "ส่วนคุณ –ศาสตราจารย์ฮวัง เรามีเรื่องต้องสะสางกัน"

     

           แมทธิวเดินนำร่างสูงใหญ่ของนายทหารยศสูงลงไปห้องใต้ดิน โต๊ะตัวยาวที่เคยเป็นโต๊ะทำงานที่สร้างสิ่งประดิษฐ์ของพ่อกลายเป็นตัวคั่นกลางระหว่างการสอบสวนความผิดของเขา

           "เอาล่ะ บอกมาคุณกับพ่อกำลังคิดจะทำอะไร"

           "ผมขอโทษที่ต้องหลอกลวง แต่มันจำเป็นจริง ๆ"

           "แก้ตัวเก่งจังนะ ศาสตราจารย์"

           "เอาอย่างนี้ส่งเมลีนมา แล้วเราจะไม่มายุ่งกับคุณอีก"

           "ไม่ครับ"

           "นี่คุณไม่กลัวเลยหรอ"

     

           "คุณมาช้าไป เมลีน –เขาไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว"

     

           เจ้าของชื่อพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดผ่านเพดานไม้ขึ้นไปชั้นบน

     

           เขาได้ยินทุกอย่างที่พ่อกับผู้ชายคนนั้นคุยกัน

           เขาช่างเป็นลูกที่แย่จริง ๆ

           ไม่สิ ไม่ใช่ลูกที่แย่ ...

           แต่เป็นคนที่ไม่น่าเกิดมาบนโลกนี้เลยต่างหาก

           ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปหมด

           เริ่มจากคุณแม่ มาจนคุณปู่ แล้วก็แพทริค

           ตอนนี้ก็คุณพ่ออีกคน

     

           "คุณทำอะไรกับแพทริค"

           "แพทริคสิ่งประดิษฐ์นั้นมีชื่อว่าแพทริคหรอ?"

           "..."

           "ไม่ต้องห่วงหรอก ‘มัน’ ยังอยู่ดี"

           ขอบคุณที่ไม่ทำอะไรเขา”

           “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการกำลังจะแยกชิ้นส่วนนี่ เท่ากับทำอะไรมันหรือเปล่า”

     

           คนตัวเล็กแข้งขาอ่อนแรงพับลงทันทีที่ผู้ชายคนนั้นเอ่ยวาจาร้ายกาจทำลายความหวังของเขา

           เมลีนไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อที่ยืนอยู่เหนือเพดานไม้กำลังทำสีหน้าอย่างไร แต่เขารู้ว่าความรู้สึกของเราสองคนคงไม่ต่างกัน

     

           “คุณทำอะไรนะ”

           “กำลังจะ ‘แยกชิ้นส่วน’ สิ่งประดิษฐ์ของศาสตราจารย์กับพ่อผู้ล่วงลับอย่างไรล่ะ”

           “ได้โปรด...”

           “ไปกับเรา แล้วเราจะไม่ทำอะไรมัน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

           นั่นคือวันสุดท้ายที่เมลีนได้เจอพ่อ

     

           วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจนทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด จากเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองตอนนี้ต่างกันราวกับอยู่คนละที่ ทุกคนต่างพากันซ่อนตัวจากความโหดร้ายของสงคราม ความกระหายอำนาจของคนที่ไม่เคยพอ

           เมื่อไหร่กันที่คืนวันอันแสดน่ากลัวพวกนี้จะหยุดลงแล้วคืนสิ่งที่เรารักมาเสียที

     

           เมื่อไหร่กัน

     

           "พ่อครับ ดีใจที่พ่อกลับมานะครับ"

     

     

     

           หมู่บ้านเชิงหุบเขาแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่หลังป่าผืนใหญ่ที่น้อยคนนักจะรู้จัก เมลีนตัดสินใจขายคฤหาสน์มาหลังจากพ่อเข้าวังไปได้หนึ่งปี

           เศรษฐกิจช่วงสงครามฝืดเคืองเสียจนเขาขายให้หญิงชราผู้มั่งคั่งในราคาถูแสนถูก เงินก้อนเดียวที่ได้มาพาเขากับแนนนี่มาถึงหมู่บ้านนี้ได้หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ความเงียบสงบกลายเป็นยารักษาใจที่ค่อนข้างดีเสียจนเมลีนยิ้มออกได้บ้าง –แต่ก็ไม่กว้างเช่นเดิมแล้ว

           นอกจากจะมีเขากับแนนนี่แล้ว ที่นี่ยังมีชาวบ้านที่พากันลี้ภัยสงครามมาซ่อนตัวกันกว่าสิบครัวเรือน ประชากรส่วนใหญ่จึงเป็นคนสูงอายุ ผู้หญิงและเด็ก มีผู้ชายวัยกลางคนไม่ถึงห้าคน และไม่น่าแปลกใจสักนิด –ที่ไม่มีเด็กหนุ่มรุ่นอย่างเขาในตอนนั้นสักคนเดียว

           ครอบครัวมี่เมลีนเลือกจะผูกมิตรด้วย มีเพียงครอบครัวของสองตายายที่ถูกพรากหลานชายและบุตรชายไปจากการเกณฑ์พลในคราวนั้น

     

           และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเมลีนอีกครั้ง

     

     

           “คุณหนูคะ คุณตาวิลกับคุณยายแคลร์พาสเวนมาหาค่ะ”

           “ให้เข้ามาเลยครับ”

          

           สเวนคือเด็กหนุ่มอายุสิบสองปีแต่กลับสูงเกินวัยที่ควรจะเป็น ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเค้าโครงจากใครบางคนที่ติดในความทรงจำส่งยิ้มกว้างมาให้เมลีนที่นั่งรออยู่ในห้อง

           “โตขึ้นเยอะเลยนะเรา ไหนพี่ขอดูหน่อยนะว่าเราแอบไปซนที่ไหนหรือเปล่า”

           “ผมช่วยตากับยายทำงานตลอดเลยนะครับพี่เมลีน ไม่เคยไปซนที่ไหนหรอก”

           “จริงหรอตรวจเสร็จแล้วพี่จะแอบถามคุณยาย”

           เมลีนเช็คทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว มือเล็กหยิบปากกามาจดลงกระดาษที่จัดเก็บอยู่ในแฟ้มเอกสาร ก่อนจะปล่อยให้สเวนออกไปนอกห้อง

           หญิงชราร่างผอมบางเปิดประตูเข้ามาพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้เจ้าของห้องผู้ใจดี

           “จังหวะการเต้นของหัวใจดวงแรกปกติ หัวใจดวงที่สองระบบการปล่อยอารมณ์ไม่มีปัญหาครับ”

           “ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม”

           “เขาโตเร็วนะครับ”

           “ใช่ โตเร็วมาก”

           “เพราะคุณยายรักเขามากครับ เขาเลยโตเร็ว”

           “ขอบคุณอีกครั้งนะจ๊ะ ที่คืนหลานยายกลับมา” ชายหนุ่มส่งยิ้มกลับไปให้หญิงชราที่เริ่มปาดน้ำตาออกจากใบหน้า

     

     

     

           เมลีนรู้ว่าการถูกพรากคนที่รักไปรู้สึกอย่างไร

           ความทรมานที่ได้แค่คิดถึงมันเจ็บปวดมากแค่ไหน...

           ...เมลีนเข้าใจดี...

     

     

     

           “ถึงจะไม่ใช่ตัวจริง ก็...ขอบคุณมากนะจ๊ะ”

     

     

     

           สงครามจบลงแล้วพร้อมด้วยความสูญเสียมหาศาล เด็กหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบกลับเหลือรอดมาไม่ถึงสิบ พวกเขาเหล่านั้นถูกปล่อยกลับบ้านทันทีที่หมดความหมาย มีเพียงกองกำลังพิเศษเท่านั้นที่ถูกกักตัวไว้เพื่อดูผลการทดลอง –ที่ดูท่าจะไปได้ดี

           ไชลด์เมทกว่าพันตัวกำลังยืนนิ่งเรียงกันราวกับไม่มีความรู้สึก ด้านหน้าปรากฏร่างสวยสง่าของผู้ครองเมือง 

           ควีนกวาดมองกองทัพที่มีบัญชาให้สร้างขึ้นด้วยสายตาพึงใจ—แต่ก็ใช่จะพอใจ จำนวนพลที่พระนางสั่งให้สร้างพวกมันนั้นเรือนแสน แต่สิ่งที่ได้กลับมามันไม่ถึงครึ่งที่สั่งการไปเสียด้วยซ้ำ

           ศาสตราจารย์ไลท์”

           “ฝ่าบาท”

           “เราไม่มีความสามารถจะทำพวกมันออกมาอีกเหรอ”

           “กระหม่อมจะลองทำอีกครั้ง”

           “ดี”

           “ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือปรับแต่งให้พวกมันไร้ความรู้สึก ใส่เพียงแต่ความกระหายสงครามเข้าไปแทนความรู้สึกที่ศาสตราจารย์ฮวังเคยทำไว้”

           “อ้อ ศาสตราจารย์ฮวัง หาลูกชายเขาเจอไหม”

           “ไม่กระหม่อม เด็กหนุ่มนั่นตายแล้ว”

           “อ้อ ช่างเถอะ ข้าอยากเห็นต้นแบบของไชลด์เมทเสียหน่อย”

           “เอ่อ คือ”

           “พูดมา”

           “มันหนีไปแล้วพะย่ะค่ะ”

           “หนีมาตรการการป้องกันของค่ายท่าจะหละหลวม”

           “ขอประทานอภัยกระหม่อม”

           “ช่างเถอะ เรามีกองทัพแล้ว มันไม่มีความสำคัญอะไรกับเราอีกต่อไป”

     

     

     

           แพทริคหนีออกจากค่ายมาได้สองวันแล้ว ตอนนี้เขากำลังซ่อนตัวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่านกลับสู่คฤหาสน์ เพราะเป็นไชลด์เมทเลยไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยแต่ตอนนี้ร่างกายที่ทรุดโทรมจากการสู้รบเป็นเวลานานกำลังทำให้เขาอ่อนกำลังลง

     

           แค่อ่อนกำลังแต่ไม่ถึงกับตาย

     

           กว่าจะเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฮวังที่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คนก็กินเวลาร่วมเดือน แพทริคพาร่างที่กำลังจะหมดแรงมายืนอยู่หน้าประตูที่คุ้นเคยในคืนคริสต์มาสอีฟพอดี

           แสงไฟที่ส่องสว่างด้านในพร้อมเสียงเพลงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องโถง เรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี

     

     

     

           เรากำลังจะได้เจอกันแล้วนะเมลีน

     

     

     

           บานประตูไม้หนาเปิดออกในจังหวะเดียวกันกับที่มือหนากำลังจะเคาะมัน เด็กหญิงตัวเล็กวัยห้าขวบแหงนหน้ามองผู้มาเยือน ก่อนจะปิดประตูใส่แล้ววิ่งกลับเข้าไปด้านใน

           แพทริคได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ประตูอีกครั้ง พร้อมการปรากฏตัวของหญิงสาวหน้าตาสะสวย

           “มาหาใครคะ”

           “ผมมาหาเจ้าของที่นี่ครับ”

           “รอสักครู่นะคะ”

           ร่างบางหายกลับเข้าไปด้านในไม่นานก็กลับมาพร้อมหญิงชราที่นั่งอยู่บนรถเข็น ในมือของเธอมีของบางอย่างถือติดมาด้วย เธอส่งยิ้มใจดีให้แพทริคที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

           “พ่อหนุ่มชื่อแพทริคใช่ไหม?

           “ครับ”

           “มีคนฝากนี่ไว้ให้”

           “ครับ?

           “พ่อหนุ่มเจ้าของที่นี่ เขาย้ายไปนานแล้ว”

     

           บานประตูปิดลงพร้อมความหวังที่ดับวูบ เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงตรงหน้า ความหวังที่มีมาตลอดเจ็ดปีเลือนหายไปในพริบตา 

     

     

     

           เขากลับมาช้าไป

     

     

     

           แพทริคมองของในมือที่เพิ่งได้รับมาจากเจ้าของคฤหาสน์คนใหม่ด้วยสายตาเลื่อนลอย แต่ละวินาทีที่แกะซองสีขาวนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน

           กระดาษขนาดเท่าโปสการ์ดซ่อนตัวอยู่ในนั้น

           เขาหยิบมันออกมา –ต้นคริสต์มาสสีเขียวที่เคยเป็นสีสดซีดจางไปตามกาลเวลา ปรากฏสู่สายตา     มือใหญ่ลูบไปตามรูปวาดนั้น รู้สึกได้ถึงร่องรอยความไม่เสมอกันของการลงสี ดูท่าเจ้าของที่วาดมันคงกดแรงย้ำแต่ละที่ไม่เท่ากัน

           แพทริคยกยิ้มบางเมื่อลองนึกภาพคนตัวขาวกำลังนั่งระบายสีอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน      เพียงแค่เห็นลายมือคุ้นตาที่เขียนชื่อเขาอย่างบรรจง แรงกายที่อ่อนล้าก็ฟื้นคืนกำลัง เหมือนต้นไม้ใกล้ตายได้น้ำฝนชุ่มฉ่ำรินรดใส่

     

     

     

    แพทริค

     

     

    คิดถึงที่สุด

     

     

    เมลีน

    (หมู่บ้านเชิงหุบเขา)

     

     

     

           สเวนวิ่งนำร่างสูงใหญ่ของบุคคลแปลกหน้ามาหยุดลงตรงบ้านหลังสุดท้าย มือเล็กเคาะเนื้อไม้หนาสองครั้งประตูบานเก่าก็เปิดออก

           เมลีนในชุดเสื้อแขนยาวที่หนากว่าคนทั่วไปมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาฉงน   

           “เกิดอะไรขึ้นสเวน”

           “มีคนมาหาพี่เมลีน”

           “ใคร?

           “ถามเขาเองเถอะครับ ผมไปแล้ว”

           ลับร่างเล็กของเด็กชายอายุสิบสอง เมลีนถึงได้รู้ว่ามีผู้ชายตัวสูงอีกคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง

           เขาหันกลับไปปิดประตูบ้านก่อนจะเดินไปหาเขือกผู้มาเยือน

     

     

     

     

           ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นตากับคนคนนี้เหลือเกิน

     

     

     

     

           “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

           “...”

           “คุณ...ตามหาผมเหรอครับ”

     

     

     

           “เมลีน” 

     

     

     

           “แพทริค”

     

     

     

           เหมือนเวลาที่เดินอยู่หยุดลงกะทันหันเมื่อใบหน้าที่คุ้นเคยเงยขึ้นมาสบตากัน เสียงเรียกชื่อเขาที่ไม่มีใครเหมือนกำลังดังก้องอยู่ในหู

           เมลีนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพร่าเลือน น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลอาบแก้มเนียน มือเล็กยกขึ้นปาดมันออกก่อนจะฉีกยิ้มเต็มแก้ม

     

     

     

           แพทริค

           อยู่ตรงนี้ ... ตรงหน้าเขา

           แพทริคของเมลีน

           กลับมาแล้ว

     

     

     

           อาหารค่ำมื้อใหญ่ถูกลำเลียงออกจากครัวโดยแนนนี่คนเก่ง เธอแทบจะเป็นลมตอนเห็นว่าใครออกมาเปิดประตูรับเธอ

           “ทานเยอะ ๆ นะจ๊ะแพทริค”

           “ครับ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนอาหารจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะพอดี

           “เดี๋ยวแนนนี่ไปเปิดเองค่ะ”

     

     

     

           แพทริคจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้าด้วยความคิดถึง เจ็ดปีที่ไม่ได้เจอกันมันช่างยาวนานราวกับผ่านไปเป็นหมื่นแสนปี

           เมลีนสูงขึ้นจากแต่ก่อนมาก นอกนั้นทุกอย่างยังเหมือนเดิม ...

     

           เหมือนเวลาได้หยุดความงามของใบหน้านี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่เราจากกัน

     

     

     

     

           “เมลีน”

           “คิดถึง”

     

     

     

           แนนนี่โผล่หน้าเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมครอบครัวของสเวน เด็กหนุ่มตัวสูงเดินยิ้มกว้างเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เมลีน สายตาอยากรู้อยากเห็นมองสลับไปมาระหว่างแพทริคกับเมลีน

           “สเวนอย่าเสียมารยาทสิ”

           “ไม่เป็นไรครับคุณยาย มองหน้าพี่ทำไม ฮึ เรา”

           “พี่คนหล่อนี่ใครครับ?

           “พี่เขาชื่อแพทริค”

           “แพทริค แพทริค เอ ชื่อนี้คุ้น ๆ”

           “คุ้นหรอ”

           “ใช่คนที่พี่เมลีนร้องไห้คิดถึงไหมครับ?

           “สเวน!!

           “ก็วันนั้นผมมาหาแต่ไม่มีใครอยู่ พอเดินไปดูหลังบ้านก็เห็นพี่เมลีนนั่งร้องไห้แล้วก็เรียกชื่อ แพ—”

           มือบางปิดปาดเด็กแก่แดดที่พูดไม่หยุดพร้อมส่งค้อนวงใหญ่ให้ร่างสูงข้าง ๆ ที่เอาแต่หัวเราะ ไหนจะสายตาล้อเลียนของแนนนี่ที่ส่งมาให้อีก

           ริ้วแดงที่เคยพาดผ่านแก้มเนียนใสของเจ้าของบ้านตอนนี้ลุกลามไปทั่วใบหน้าด้วยความเขินอาย

           “ไม่แกล้งแล้วครับพี่เมลีน แต่ใช่ –ใช่ไหมครับ ?

           “อื้อ”

           “อะไรนะครับ ไม่ค่อยได้ยิน”

     

     

     

           “ใช่ คนนี้แหล่ะที่พี่คิดถึง”

     

     

     

           “พี่แพทริคหน้าแดงด้วยครับ ดูสิ”

           “เลิกล้อพี่เขาได้แล้วจ้ะ ทานกันดีกว่าเดี๋ยวจะเย็นหมด”

           เมลีนก้มหน้าตักอาหารเข้าปากโดยมีแพทริคลอบมองตลอดมื้อค่ำ เสียงของสเวนเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ทำให้บ้านเล็ก ๆ ที่เคยเงียบสงบดูมีสีสันขึ้น

           “เมลีน” แพทริคก้มลงกระซิบข้างใบหูนิ่มด้วยความสงสัย ส่งสายตาใคร่รู้ไปยังสเวนที่กำลังหัวเราะเสียงดังกับมุขตลกของคุณตาวิล

           “อะไร”

           “สเวนนี่ใช่...”

           “ใช่ สเวนเป็นไชลด์เมท”

     

     

     

     

     

    1 ปีต่อมา

     

           คนตัวเล็กที่กำลังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนพลิกกายขึ้นเกยแผงอกเปลือยเปล่าของคนที่นอนพิงหัวเตียงอยู่ แพทริคก้มลงมองคนบนตัวก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่

           ผิวเนื้อเนียนขาวที่โผล่พ้นกองผ้าห่มออกมาช่างดูยวนตาจนเขาอดใจไม่ไหว ไม่ทันให้เป้าหมายได้ตั้งตัวริมฝีปากหนาก็ช่วงชิงความหอมหวานที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าด้วยความกระหาย

           อื้อ”

           แพทริค”

           ร่างสูงใหญ่พลิกตัวขึ้นทาบทับอีกคนที่ส่งสายตาเยิ้มหวานมาให้ ลำแขนกลมกลึงยกขึ้นคล้องคอแพทริคให้โน้มลงมาหา ปากสีอ่อนถูกขบเม้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้น  

           เมลีนเปลี่ยนให้อีกคนลงไปนอนใต้ร่างก่อนจะก้มลงมอบจูบที่แสนร้อนแรงให้อีกครั้ง มือหนาปัดป่ายไปตามหลังเนียนของคนที่ขึ้นคร่อมตัวเองอยู่ ฟอนเฟ้นสะโพกกลมตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือ

           เมลีน คนดี”

           อื้อ แพทริค”

           คนตัวเล็กถดตัวเองลงไปอยู่ใต้กองผ้าห่มที่ปกคุลมช่วงล่างของอีกฝ่ายไว้ ความรู้สึกอุ่นที่เข้าครอบครองตรงนั้นกำลังทำลายสติของร่างสูงอย่างช้า ๆ มือหนาลูบลงบนกลุ่มผลสีเข้มของเมลีนด้วยความโอนโยน

           เมลีน”

           คนเก่ง”

           ให้ผมทำดีกว่านะ”

           เมลีนกลับมาอยู่ใต้อาณัติแพทริคอีกครั้ง ใบหน้าหวานเหยเกยามที่อีกคนส่งความพรั่งพร้อมเข้ามาข้างใน แผ่นหลังบางเสียดสีกับเตียงอุ่นซ้ำ ๆ เล็บคมจิกลงผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากกลั้นเสียงครางที่กำลังจะเล็ดลอดออกมา

           ผมอยากฟังเสียงเมลีน”

           อือ แพทริค”

           หืม”

           เดี๋ยวแนนนี่ได้ยิน”

           ไม่เป็นไรหรอก”

           ไม่เอา”

           เชื่อผมสิ”

           อ๊ะ แพทริค”

     

           ร่างสองร่างแลกเปลี่ยนความเร่าร้อนกันจนตะวันกำลังจะกลับมาเยือนฟ้าใหม่อีกครั้ง เมลีนทิ้งตัวลงบนอกอุ่นของอีกคนหลังจากปลดปล่อยอารมณ์ไปจนหมด แพทริคประคองร่างขาวเนียนให้ลงมานอนบนเตียงข้างกัน ดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมอกให้ก่อนจะก้มลงประทับจูบเบา ๆ ลงบนริมฝีปากนุ่ม

           ก่อนจะเช้าเมลีนเป็นคุมทุกอย่างจนเขาแทบกระอักความสุขตาย ร่างเล็กที่เคลื่อนไหวอยู่บนตัวเขามันช่างสวยงามและน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงบวมเจ่อที่เผยอครางยามเจ้าตัวได้รับความสุขสม สายตาเยิ้มหวานที่มองมาแค่เพียงเขา ผิวเนื้อขาวเนียนที่แดงเป็นปื้นจากแรงอารมณ์และการฟอนเฟ้น

           ทุกอย่างช่างเหมือนภาพวาดที่แพทริคพยายามลงฝีแปรงอย่างสุดความสามารถ … สวยงามอย่างไม่มีที่ติ

     

     

     

           กว่าคนสองคนจะตื่นมารับวันใหม่ก็เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้ว น่าแปลกที่แนนนี่ไม่เข้ามาปลุกเหมือนเช่นทุกวัน แพทริคก้มลงมองคนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยความเอ็นดู ปากที่เผยอขึ้นยามเจ้าตัวปล่อยอากาศออกมาทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน

     

     

     

     

           ปากเล็ก ๆ นั่นทำให้เขาเกือบตายคาเตียงมาแล้ว

     

           ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกอยากครอบครอง

     

     

     

     

           ไวเท่าความคิด แพทริคก้มลงบดเบียดริมฝีปากอิ่มลงบนส่วนเดียวกันกับของอีกฝ่ายด้วยความเอาแต่ใจ ตะโบมจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมลีนเกือบจะขาดอากาศหายใจตาย

     

     

     

           มอร์นิ่งคิส เมลีนที่รัก”

           อรุณสวัสดิ์ แพทริคที่รัก”

     

     

     

     

           เมลีนไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว ...

           มันนานมากเสียจนไม่กล้าจะตั้งความหวัง

           กลัวเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

     

     

     

           ตอนนี้เมลีนกำลังรู้สึก –ปลอดภัยในอ้อมกอดที่เขารอคอยมาตลอดเจ็ดปี

          

          

     

           แพทริคไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว ...

           มันนานมากเสียจนไม่กล้าจะตั้งความหวัง

           กลัวเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

     

     

     

           ตอนนี้แพทริคกำลังรู้สึก มีความสุขในอ้อมกอดที่เขารอคอยมาตลอดเจ็ดปี

     

     

     

     

     






    #HwangAndTheKwon

    @daisieelady

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×