คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #194 : [KasaFuri] 鬼ごっこ
Title : 鬼ごっこ
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Kasamatsu x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! อันดับสี่ในการโหวตมาแล้วจ้า!!! (#โดดทะลุหลังคาลงมา)
คาซามัตสึ// หว่า!!! (#สะดุ้งโหยง) อย่ามาแบบนี้สิฟะ! ไม่สิ! นี่ถึงเวลาเริ่มโปรเจคแล้วเหรอ!?
s // ใช่แล้ว! เพราะงั้นลงไปแสดงเลยจ้า!!! (#ทุ่มโอ่งใส่)
คาซามัตสึ // ให้ไปแบบปกติสักครั้งจะตายเหรอไง?!!! (# โวยขณะที่ในโอ่ง)
s // (#เมินคำบ่นจนเสียงในโอ่งเงียบไป) ขอให้สนุกน่อ! และนี่คือหนึ่งในฟิคมั่วแหลกอีกแล้วจ้า!
.....................................................................................
鬼ごっこ
ในเช้าอันแสนสดใสเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิ่งนัก ณ สถานที่พักแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับภูเขาซึ่งยามนี้...
“ห๊า!? เอาจริงดิ!!?” ...มีเสียงตะโกนชนิดดังไปสามบ้านแปดบ้านดังขึ้นโดนเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลาย
“ก็ตามที่บอกล่ะนะ” เด็กสาวตอบกลับด้วยท่าทีชิวท์ๆ แบบไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น “ในการฝึกแบบเล่นไล่จับบนเขาคราวนี้เราจะเล่นกับพวกคนจากไคโจวน่ะ”
“แล้วไหงเธอถึงชวนพวกนั้นมาเล่นด้วยเล่า!” ฮิวงะรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมาตงิกๆ ...แค่ไล่กันเฉพาะในทีมตัวเองแต่ล่ะทีก็แทบกระอักแล้วเว้ย! และอีกอย่างเพิ่งจบการแข่งมหาโหดมาเนี่ยก็ซ้อมหฤโหดต่อเลยเหรอ!?
“ฉันเปล่านะ ป๊าป๋าต่างหากล่ะ” ไอดะ ริโกะโค้ชสาวแห่งชมรมบาสโรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินบู้ใบ้กับยังชายหนุ่มเหลือน้อย (แอ๊ก! // โดนถีบ)
“ใช่...ฉันคิดเอง มีปัญหาไหม?” ไอดะ คาเงโทระชักโมเดกปืนของตนมาขู่ตามปกติ (?)
“อะจึ๋ย! ไม่มีครับท่าน!” เด็กหนุ่มทั้งหลายรีบขานรับอย่างรวดเร็ว
“งั้นก็ดี...อ๋อ และก็ไม่ต้องกลัวโดนคนทั้งชมรมรุมนะ เพราะที่มาเล่นมีแค่พวกตัวจริงบ้างส่วนเท่านั้นและฉันตัดไอ้หมาสีเหลืองออกไม่ให้เล่นด้วย...” คาเงโทระเอ่ย “...ถ้าใครเกิดใครเห็นไอ้หมาสีเหลืองนั้นมาวิ่งเล่นด้วยให้จับมัดให้อยู่นิ่งๆ เลยนะ”
“รู้ถึงอาการบาดเจ็บของคิเสะคุงสินะครับ?” เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้เป็นเงาประจำทีมเข้าใจในคำพูดของคนอายุผ่านโลกมามากกว่าตนหลายปีได้อย่างง่ายดาย...ไอ้หมาสีเหลืองที่ว่านี่คงไม่พ้นเพื่อนผมเหลืองของตนอย่างแน่นอน
“ถูก เพราะงั้นถ้าเจอมันโผล่มาให้พักเกมแล้วลากมันมามัดให้อยู่เฉยๆ ก่อนที่จะเจ็บตัวกว่าเดิมล่ะ” คาเงโทระนึกไปถึงเมื่อวานยามที่ตนชวนสมาชิกชมรมบาสของไคโจวจำนวนหนึ่งมาร่วมฝึกกับพวกตนแล้วไอ้เด็กหนุ่มเหลืองที่บาดเจ็บที่ขาอยู่ดันมาขอร่วมวงด้วย...ซึ่งแน่ล่ะ เขาไม่มีทางยอมให้คนเจ็บมาทำอะไรแบบนี้ด้วยแน่ แต่เขาก็ไม่คิดว่ารายนั้นจะยอมทำตามเขาแต่โดนดีเท่าไหร่ด้วยสิ
“และถ้าให้ดีมัดติดกับเสาเลย แบบนั้นมันไม่กระดึบๆ ไปร่วมเล่นด้วยแน่” ระหว่างที่เหล่าทีมบาสเซย์รินกำลังจับกลุ่มนินทา (?) กันอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกสายเบนไปมองยังต้นเสียงและพบว่ามีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งคุ้นหน้าดีกำลังมาทางพวกตน
“แบบนั้นโหดร้ายกับคิเสะไปหน่อยนะ” เด็กหนุ่มที่ดู...เป็นคนดี๊คนดียิ้มแห้งๆ
“ไม่หรอกครับ ถือว่าทำตัวเองนะแบบนั้น” เด็กหนุ่มผมสีเหมือนกะปิ (มองสีผมฉันยังไงเหมือนกะปิเนี่ย!? เปลี่ยนเลยนะ! เปลี่ยนคำบรรยายเลย! // นากามุระ , จ้าๆ แหม ขี้บ่นจัง // s) ผมสีเหมือนซ็อกโกแลตซีดๆ (คำบรรยายช่าง...เฮ้อ ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่ากะปิล่ะ // นากามุระ) ขยับแว่นตาของตนเล็กน้อย
“ใช่เลยคับ!” นายหัวน้ำตาลเอ่ยเร็วเสียจนลิ้นแทบพันกัน
“ไง อิสึกิคุง” เด็กหนุ่มผมสัดำเหลือบเขียวเอ่ยทักแบบไม่สนใจจะสนบทสนทนาที่เพื่อนตนพูดก่อนหน้านี่สักเท่าไหร่นัก
“สวัสดีครับ โมริยามะซัง” ทางคนโดนทักเองก็ตอบกลับไปตามมารยาท
“โอ้ มาเร็วดีนิ? แล้ว...ไอ้หมาสีเหลืองนั้นไม่มาเหรอ?” คาเงโทระกวาดตาไปรอบๆ เพื่อหาหัวเหลืองๆ ของคนที่งอแงจะมาด้วยเมื่อวาน
“กลัวจะเป็นแบบที่คุณพูดเมื่อกี้เลยโทรตามแฟนมันให้ไปคุมมันน่ะครับ” เด็กหนุ่มผมดำตาสีครามตอบ
“...แน่ใจนะว่าไอ้นั้นจะคุมคิเสะอย่างเดียว?” คนร่างโตผมสีเพลิงเบ้หน้านิดๆ เนื่องจากรู้ว่าคนที่อีกฝ่ายให้ไปคุมหมายน้อยสีเหลืองนั้นนิสัยเป็นเช่นไร
“ไม่แน่” คาซามัตสึ ยูกิโอะกัปตันของทีมบาสไคโจวซึ่งกำลังจะวางมือจากตำแหน่งกล้าพูดอย่างเต็มปากเลยว่าไอ้คนที่ตนให้ไปคุมรุ่นน้องที่ไม่เจียมสังขารตัวเองนั้นไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นัก แต่ที่รู้แน่ๆ คือคุมรายนั้นได้ชัวท์
“ตอบเร็วจังนะครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลราวชิวาว่าบ่นอุบอิบ
“ก็มันหื่นนี่หว่า ไม่รู้คิเสะชอบมันเข้าไปได้ไง” ว่าตามจริงคาซามัตสึเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรุ่นน้องตนถึงไปชอบคนที่หายไปกับความมืด โหด ดิบ เถื่อนแบบนั้นได้เหมือนกัน
“ก็ชอบไปได้อย่างงี้นี้แหละครับ” คุโรโกะเอ่ยตอบไปตามประสาคนที่รู้จักทั้งคิเสะและแฟนรายนั้นนานกว่าคนอื่น
“เอ้าๆ เลิกทำตัวเป็นมนุษย์ป้านินทาชาวบ้าน (?) แล้วเตรียมตัวซ้อมได้แล้ว!” คาเงโทระที่เห้นว่าถ้าปล่อยไว้พวกนี่คงพูดถึงคนเจ็บหัวเหลืองอีกยาวรีบขัดขึ้นมา
“คร้าบบบ” เด็กหนุ่มเลิกพูดถึงคิเสะพลางขานรับเสียงยาว
“โอเค เริ่มแรกคนหนีมีนายจืดจาง นายผมน้ำตาล ไอ้หัวแพลิงกลัวหมา นายแอบจิต น้องเหมียว ไอ้พูดไม่รู้เรื่อง นายลูกถีบมหากาฬ ส่วนคนไล่มีไอ้แว่นสติแตก เจ้าทาเคชิ เจ้าหนุ่มผมสลวย เจ้าหนุ่มแห้วตลอดกาล นายออร่าคนดี นายแว่นหัวซีด นายถั่วดำและเจ้าฟุคุสึเกะ” คาเงโทระจัดแจงกลุ่มในการดำเนินการฝึกที่เหมือนการละเล่นทั่วไปในครั้งนี้
“ไหงชื่อผมคราวนี้เติมกลัวหมามาด้วยล่ะครับ!?” ทันทีที่คาเงโทระพูดจบ คางามิก็โวยขึ้นมา...กลัวหมาแล้วผิดมากหรือไงครับ!? อย่างน้อยผมก็ไม่กลัวเบอร์สองตัวหนึ่งนะครับ!
“พูดไม่อู้เอื้อง? (พูดไม่รู้เรื่อง?)” ฮายาคาวะเอามือปิดปากตัวเอง
“...” คาซามัตสึนิ่งอึ้งไปกับฉายาที่ได้รับมาสดๆ ร้อนๆ ...คิดยังไงตั้งฉายาให้เขาแบบนี้กันฟะ!?
“ห...โหดร้าย” โมริยามะทำหน้าห่อเหี่ยวลงกับคำเรียกที่แทงใจดำตนสุดแสน ทำให้อิสึกิต้องคอยมาปลอบก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปในหลุมดำ
“ฟังแปลกๆ แฮะ” โคโบริหัวเราะเบาๆ
“หัวซีด?” นากามุระยกมือลูบผมตัวเองทันที...แต่เอาเถอะ อย่างน้องก็นับเป็นฉายาที่อยู่ในระดับปกติล่ะนะ
“ป๊าป๋าอย่าไปเรียกพวกไคโจวแบบนั้นสิ!” ริโกะแว๊ดลั่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของแต่ล่ะคนที่ดูเหมืนจะรับคำเรียกนี่ไม่ได้เสียส่วนใหญ่พร้อมส่งหมัดน้อยๆ แต่แรงไม่น้อยใส่พ่อตัวเอง
“แอ๊ก! หมัดหนักขึ้นนะลูกรักจ้า...” คาเงโทระยกมือลูบหน้าตัวเองที่ถูกต่อยเข้าจังๆ เบาๆ “...เอาเป็นว่าเริ่มเกมเลยแล้วกัน ทีมไหนแพ้มีบทลงโทษด้วยนะ...ให้เวลาคนหนีห้านาทีในการหลบหนีแล้วจากนั้นฝ่ายไลาล่าจะตามไปนะ”
“...” เหล่าคนที่เป็นฝ่ายหนีจากทีมเซย์รินพอได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่รอช้าลากอีกสองคนที่ตามอารมณ์พ่อคุณท่านไม่ทันขึ้นเขาไปในทันที
“...เออ...บทลงโทษที่ว่านั้นโหดมากเลยเหรอ?” โมริยามะที่เห็นแต่ล่ะคนวิ่งหนีไปราวกับหนีผีหันไปถามคนข้างๆ ตน
“อย่ารู้ดีกว่าครับ” อิสึกิยิ้มแห้งๆ พลางนึกถึงบทลงโทษที่โค้ชตนพูดก่อนหน้านี่...
...บทลงโทษที่ว่าน่ะ...คือการชิมอาหารของโค้ชถึงสองจานเต็มๆ แบบไม่ให้มีเหลือด้วยนี่สิ จะว่าโหดหรือสยองดีเนี่ย?...
“เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากซวยอย่างแพ้แล้วกันครับ” ฮิวงะเอ่ยเสริมขึ้นมา
“นากามุระ...คิดไหมว่าเราไม่ควรแพ้เด็ดขาดน่ะงานนี้” โคโบริถามรุ่นน้องตนเมื่อเห็นสีหน้าเหล่าคนจากทีมบาสเซย์ริน
“นั้นสินะครับ” นากามุระพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ไม่รู้สินะ...” คาเนโทระกระดึบๆ มาร่วมวงที่เด็กหรุ่มทั้งหลายยืนอยู่ “...รู้แค่ว่าฉันมีตัวอย่างบทลงโทษให้ดูน่ะ...ไอ้เมื่อกี้ฉันดันลืมให้สองคนนั้นดูไปได้”
“หื้อ?” สามหนุ่มจากทีมบาสไคโจวหันขวับมายังคนพูดและ...เกิดอาการคิ้วกระตุกในเวลาต่อมา “เออ...มันคืออะไรครับนั้น?”
“อาหารฝีมือลูกสาวฉัน ริโกะตันกำลังหาคนชิมอาหารแต่ไม่ยอมให้ฉันชิมบอกว่าฉันไม่ยอมเม้นอะไรเลยน่ะ แต่พอจะให้พวกนี่ชิมก็พากันปฏิเสธทันควันด้วย...ฉันเห็นว่ายังไงก็มีฝึกกันอยู่แล้วเลยเอาเรื่องนี้จัดเป็นบทลงโทษร่วมไปด้วยเสียเลยจะได้หาคนช่วยชิมอาหารของริโกะตันด้วย” คาเงโทระอธิบาย
“...แปลว่าถ้าเราแพ้...ต้องกินไอ้นี่ด้วยสินะ?” โมริยามะคิ้วกระตุกนิดๆ เมื่อของในมืออีกฝ่ายนั้น...ดูยังไงก็ไม่น่ากินได้เลยสักนิด!
“เอาตามความคิดฉัน...ก็คงงั้น” โคโบริเหงื่อแตกพลั่ก...เขามั่นใจว่าถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาพวกคนจากทีมเซย์รินคงไม่ยอมเว้นให้พวกตนแน่
“ต้องชนะ...” นากามุระที่ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับของแปลกๆ แบบนี้เบ้หน้านิดๆ
“จะชนะไม่ชนะเดี๋ยวรู้...ตอนนี้ถึงเวลาพวกนายออกไปไล่จับแล้วนะ” คาเงโทระเอ่ย “อ๋อ และมีเวลาไล่จับกันแค่สองชั่วโมงนะ ถ้าเกิดพวกนายจับพวกนั้นไม่ได้ทั้งหมดก็ถือว่าแพ้ไปนะ”
“งั้นช้าอยู่ใย...ไปกันเถอะ!” ว่าแล้วโมริยามะก็ลากแต่ล่ะหน่อขึ้นเขาไปในทันที เช่นเดียวกับเหล่าคนในทีมเซย์รินที่รู้ข้อกำหนดนี่ดีก็วิ่งตามกันไปติดๆ
“เออ...ขอโทษทีนะ ช่วยอธิบายได้ยังนี่ว่าทำไมถึงหนียังกับหนีเสือกันแบบนี้เนี่ย?” เสียงถามเบาๆ ดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผมดำนัยน์ตาสีครามที่...กำลังแอบในโพรงแห่งหนึ่งกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอีกคนอย่างสงสัย...
...เอาตามจริงคาซามัตสึสงสัยตั้งแต่รีบลากพวกตนขึ้นมาบนแล้วบอกให้แยกย้ายกันหนีไปคนล่ะทางเพื่อไม่ให้พวกนั้นจับได้ก่อนหมดเวลาแล้วล่ะ แถมยังถูกผู้เสมือนชิวาว่าประจำทีมอย่างหมอนี่ลากมาหลบในที่แบบนี้อีก...ช่างชวนน่าสงสัยจนอยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ย!
“หนีเสือยังน่ากลัวน้อยกว่าอีกครับ” ฟุริฮาตะเบ้หน้าเล็กน้อย “บทลงโทษถ้าแพ้นี่น่ากลัวนะครับ”
“บทลงโทษ?” คาซามัตสึทวนอย่างไม่เข้าใจ
“คาเงโทระซังไม่ได้บอกคุณหรือครับ?” ฟุริฮาตะถาม
“ไม่นิ เห็นถามแค่ว่าสนใจมาร่วมฝึกแบบเล่นไล่จับไหมแค่นั้นเอง” คาซามัตสึส่ายหน้าวืด...ที่จริงพวกเขามาเพราะเห็นมันน่าสนใจเท่านั้นและไม่รู้ถึงบทลงโทษอะไรนั้นเลย ที่สำคัญถึงมีบทลงโทษเขาก็ไม่คิดว่าบทลงโทษที่ว่าจะอันตรายเลยด้วย
“สงสัยลืมบอกอีกแหง” ฟุริฮาตะที่รู้นิสัยคาเงโทระพอสมควรเกาหัวตัวเองนิดๆ “คือ...บทลงโทษของทีมที่แพ้ในเกมนี่คือการให้กินอาหารของโค้ชแบบให้หมดเกลี้ยงถึงสองจานน่ะครับ”
“...น่ากลัวตรงไหนล่ะนั้น?” คาซามัตสึเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“คือ...อาหารของโค้ชแบบว่า...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงของแต่ล่ะอย่างที่โค้ชตนทำออกมา “...แย่ไปนิดน่ะครับ”
“แต่หน้านายเนี่ยเหมือนมันไม่นิดเลยนะ” คาซามัตสึที่เห็นสีหน้าเหมือนคนกำลังจะไปตายของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา
“นิดครับ...กินนิดเดียวไปสวรรค์เลยครับ” ฟุริฮาตะพูดไปตามตรง
“...” คาซามัตสึนิ่งเงียบไปเนื่องจากจากการอ่านสีหน้าอีกฝ่ายแล้ว...รายนี่พูดจริงชัวท์ “...งั้นต้องชนะ...สินะ?”
“ครับ การฝึกนี่จะจับเวลาสองชั่วโมง ถ้าเกิดมีใครสักคนในกลุ่มเรารอถึงสองชั่วโมงก็ชนะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“แต่ก็มีแววจะไม่รอกันสูงมากเลยสินะ?” คาซามัตสึถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ครับ เพราะถ้าให้เดา...กัปตันหรือใครสักคนคงเอาตัวอย่างของที่โค้ชทำให้ไปให้พวกโมริยามะซังดูแล้วแหง” ฟุริฮาตะพอเดาสถานการณ์ในตอนนี้ออกได้ไม่ยาก
ตึก...ตึก...
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเสียงเดินก็ใครสักคนก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ชะงักแล้วพากันปิดปากเงียบอย่างรวดเร็วเนื่องจากคิดว่าเป็นพวกคนที่เป็นคนในกลุ่มที่ไล่จับตนทว่า...ดูท่าจะคิดผิดไปเสียหน่อย เมื่อเสียงนั้นเข้ามาใกล้และ...
...มีขาคู่หนึ่งซึ่งใหญ่โตเกินมนุษย์เดินผ่านตรงหน้าปากที่ซ่อนของพวกตนไป!!!
“...” เด็กหนุ่มทั้งสองที่ตกใจกับสิ่งที่เห็นพากันยื่นมือไปปิดปากกันเองเพื่อไม่ให้ต่างฝ่ายต่างส่งเสียงร้องออกมา พอเสียงเดินค่อยๆ ห่างออกไปทั้งคู่จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมต่างปล่อยมือจากปากอีกฝ่าย
“น...นั้นมันอะไรน่ะ?” คาซามัตสึถามขึ้นมาเสียงสั่นๆ ...ไอ้ขาคู่เมื่อกี่มันใหญ่กว่าไอ้ไททันม่วงของโยเซ็นสามคนรวมกันอีกนะ!
“ม...ไม่รู้ครับ มาครั้งก่อนไม่ยักเห็นมีอะไรแบบนี้เลย” ฟุริฮาตะส่ายหน้าไปมา
“ร...เราเปลี่ยนซ่อนดีไหม? ฉันว่าถึงเสี่ยงโดนไอ้พวกนั้นจับตัวได้ดีกว่าเจอไอ้เมื่อกี้อีกรอบล่ะ” คาซามัตเสนอ
“ก็ดีครับ” ฟุริฮาตะที่ไม่อยากเจอตัวแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นตัวอะไรนี่เหมือนกันพยักหน้ารับ
“งั้นไปก...”
ตึง!!!
ขณะที่คาซามัตสึกำลังจะเอ่ยให้หนีกันอยู่นั้น ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเหมือนมีใครถีบโพรงที่ทั้งสองใช้ซ่อนตัวอยู่ ก่อนจะตามด้วย...การที่มีมือคู่ใหญ่ๆ แทงทะลุเนื้อไม้เข้ามาได้อย่างง่ายดาย!!!
“ชิบ! ซวยแล้วไง!!!” คาซามัตสึสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับรีบลากฟุริฮาตะออกมาจากโพรงอย่างรวดเร็ว “นี่มันตัวบ้าอะไรฟะ!?!”
“ม...ไม่รู้ครับ!!!” ฟุริฮาตะที่เกิดอาการน้ำตาแตกตอบ
“เดี๋ยว~~~ ก่อน~~~” เสียงยานๆ เย็นๆ ลอยตามหลังมาทำให้...เด็กหนุ่มทั้งสองใส่เกียร์หมากันยิ่งกว่าเดิมแทนที่จะหันกลับไปมอง “กลับมาก่อน~~~”
...เรื่องอะไรล่ะฟะ!??...
คาซามัตสึแอบเถียงในใจพร้อมกับตัดสินใจว่า... “...นี่นาย...เราแกล้งเดินไปให้พวกนั้นจับได้ดีไหม? อย่างน้อยไอ้ตัวบ้านี่อาจไม่ตามเรามาก็ได้”
“เอาไงเอากันเลยครับ!” ฟุริฮาตะที่คิดว่าในยามนี้ไม่มีอะไรซวยไปกว่าโดนตัวประหลาดไล่ตามแล้วขานรับ...อย่างน้อยกินอาหารของโค้ชถ้าเป็นอะไรขึ้นมายังมีคนหามไปโรงพยาบาล แต่ถ้าไอ้ตัวที่ไล่หลังพวกเขามานี่จับได้จะเกิดอะไรขึ้นต่อยังไม่รู้เลย!!!
“โอเค!” คาซามัตสึขานรับพลางเพิ่มความเร็วขึ้นอีกระดับ...เด็กหนุ่มทั้งสองพากันวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“เอ๊ะ? พ...เฮ้ย! พาตัวอะไรมาด้วยฟะ~~~!?!!” ...มาเจอกับสองหน่อหล่อเสียของพอดี
“ไม่รู้เฟ้ย! รีบหนีเร็ว~~~~!!!” คาซามัตสึเถียงกลับ
“ไม่บอกก็รู้แล้ว!” เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวเริ่มใส่เกียร์หมาเข้าอีกคน
“ฟุริ! นี่ไปเจอตัวแบบนี้ได้งายยยย!!!” เด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานถามรุ่นน้องตนเสียงดังลั่น
“มันมาเองครับ!” ฟุริฮาตะตอบกลับไปและในขณะนั้นเอง... “เหวอ!!!”
...ชิวาว่าน้อยของเรา (ช่วยเลิกใช้คำนี้สักทีเถอะ! // ฟุริฮาตะ) ก็ถูกสิ่งที่ไล่ตามมาจับเข้าเสียได้
“เฮ้ย!!!” เด็กหนุ่มผมดำหลุดร้องออกมาอีกคนเมื่อตนเผลอชะงักกับเสียงร้องเมื่อครู่แล้วถูกมือใหญ่ๆ ‘หิ้ว’ ในเวลาต่อมา
“อ้าวเฮ้ย! คาซามัตสึ! ฟุริฮาตะคุง!!!” โมริยามะถึงกับเบลกเอี๊ยดทันที พร้อมหันกลับไปมองยังต้นเสียงซึ่ง...ถูกพาตัวไปเสียแล้ว
“บ้าเอ้ย! อะไรกันเนี่ย!?” อิสึกิมองสิ่งที่พวกตนหนีเมื่อครู่จากไปพร้อมกับร่างของบุคคลสองคนที่ตนอยู่จักดีอย่างเจ็บใจยิ่ง
“เอาไงต่อดีอิสึกิคุง?” โมริยามะถามอย่างชั่งใจว่าตนควรตามไปตอนนี้หรือหาคนมาช่วยดี
“จะเอาไงล่ะ...กลับไปบอกคาเงโทระซังแล้วให้ทุกคนช่วยตามหาสิครับ” อสึกิเอ่ยพร้อมลากโมริยามะลงจากเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อไปหาผู้อาวุโสสุดในหมู่พวกตน...
...หวังว่าสองคนนั้นจะปลอดภัยจนกว่าพวกเขาจะตามหาเจอนะ...
...เออ...มามุขนี้ไปต่อไม่เป็นเลยแฮะ...
เสียงความคิดอันเต็มไปด้วยความงุนงงเสียจนอยากเอาหัวโขกพื้นสักทีสองทีดังก้องไปทั่วภายในหีวของเด็กหนุ่มผมดำ ดวงตาสีครามเหลือบมองคนผมน้ำตาลที่ออกอาการเอ๋อไม่แพ้กันก่อนที่จะเหล่มองไปยังสิ่งที่ทำให้เขาเอ๋อในขณะนี้...หรือก็คือร่างของสิ่งที่เหมือนมนุษย์แต่ไม่ให้ความครู้สึกเหมือนมนุษย์แม้แต่น้อยด้วยความใหญ่โตของร่างนี้กับขนที่ปกคลุมตามร่างราวสัตว์ป่า...
...ว่าตามจริงตอนแรกที่ถูกจับมานี่เขาคิดว่าอาจถูกทำร้ายหรืออะไรเสียอีก ที่ไหนได้...ดันพาพวกเขามากินน้ำชาที่ถ้ำไหนก็ไม่รู้เนี่ย!!!
“เออ...ขอโทษนะครับ คือคุณพาพวกผมมาที่นี่ทำไมครับเนี่ย?” คาซามัตสึพยายามทำใจกล้าถามร่างสูงใหญ่ที่กำลังหยิบโมจิมาให้พวกตน
“เห็นเด็กหลงก็ต้องช่วยดิ~~~” ร่างของที่ไม่เชิงเป็นมนุษย์ตอบกลับเสียงยานๆ เย็นๆ แต่ท่าทางเอียงคอน้อยๆ อย่างน่ารักตรงข้ามกับลักษณะการพูดสุดกู่
“...” พอได้คำตอบแบบนี้ถึงกับคุมขมับ...ตกลงเห็นพวกเขาเป็นเด็กหลงเหรอ? “...แล้วพอคุณเห็นพวกผมอยู่กับสองคนนั้นถึงรีบจับแยกล่ะครับ?”
“เขาว่าเด็กตอนกลัวมักวิ่งเข้าหาคนแปลกหน้าได้ง่ายนิ~~?” ร่างใหญ่ยักษ์ตอบแบบไม่ตรงคำถามสักเท่าไหร่ แต่นั้นก็มากพอทำให้ใครบางคนไมเกรนขึ้นได้ง่ายๆ
“...” คาซามัตสึเริ่มอยากเอาหัวโข่งกำแพงขึ้นมาตงิกๆ ...สรุปเห็นว่าพวกเขาเป็นเหมือนเด็กที่พอกลัวแล้วก็วิ่งหาคนแปลกหน้าที่ดูน่ากลัวน้อยกว่าสินะ?
“เออ...คือ...” ฟุริฮาตะที่เพิ่งดึงสติกลับเข้าร่างได้ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง “...แล้วคุณ...เป็นใครเหรอครับ?”
“เยติ~~~” ร่างนั้นตอบเสียงยาวตามเสต็ปเดิม
“...” เมื่อได้รับคำตอบยืนยันแบบนี้เด็กหนุ่มทั้งสองถึงกับมึนไปวูบหนึ่ง...
...ที่นี่มันญี่ปุ่นนะเฟ้ย! แล้วเยตินี่โผล่มาได้งายยยย!?!...
“ผมว่าฟุริหมายถึงชื่อนะครับ” คาซามัตสึเริ่มสาวบทสนทนาต่อ เนื่องจากไม่อยากนั่งเงียบๆ ให้อึดอัดกันเล่ย
“ชื่อ~~~ ม่ายยยยมี~~~~” เยติตัวยักษ์ส่ายหน้าไปมา
“แล้วคุณมาอยู่นี่ได้ไงครับ?” ฟุริฮาตะยิงคำถามต่อไปทันที ด้วยความที่ว่าไม่อยากนั่งเงียบๆ กันสามคนเช่นกัน
“ตอนตัวจิ๋วแอบติดเสื้อพี่สาวคนหนึ่งมาแล้วจากนั้นยังไงไม่รู้มาหล่นนี่อ่ะ~~~” เยติหนุ่มตอบ
“...” ...ไอ้ตอนตัวจิ๋วของคุณท่านหมายถึงตอนยังเด็กหรืออะไรครับ? “คุณอยู่ที่นี่มาตลอดเลยเหรอครับ?”
“ช่ายยยยย” เยติพยักหน้านับ
“ไม่คิดย้ายไปที่อื่นเลยเหรอครับ?” ฟุริฮาตะถามต่อ...ถึงแม้ว่าตัวขนาดนี้จะหาทางเดินทางไปไหนมาไหนยาก แต่ถ้าโกหกว่าเป็นคนตัวสูงผิดปกติแค่นั้นรายนี้ก็น่าจะย้ายไปที่อยู่ที่ดีกว่าถ้ำได้ง่ายๆ นี่นา?
“ม่ายยยยอ่าวววว ที่นี่ก็สบายดีออกกกก” เยติหนุ่มส่ายหน้าไปมาราวกับเด็กที่ปฏิเสธ ไม่อยากย้ายบ้านยังไงอย่างนั้น
“เฮ้อ...” คาซามัตสึถอนหายใจออกเบาๆ กับท่าทีที่เหมือนเด็กน้อยขึ้นทุกขณะของร่างที่ใหญ่โตกว่าตนหลายเท่า “...เอาเป็นว่าผมว่าคุณช่วยเอาพวกผมไปปล่อยที่เดิมได้ไหมครับ? พวกผมหายมาแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นๆ ตามหากันวุ่นแน่”
“จะกลับที่เดิมรอผู้ปกครองเหรอ~~~?” เยติถามกลับด้วยท่าทีบ๊องแบ๋วผิดกับขนาดตัว
“ประมาณนั้นแหละครับ” คาซามัตสึที่ขี้เกียจอธิบายอะไรให้มากความตอบไปส่งๆ โดยที่ข้างๆ มีฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ คล้ายกับว่ากำลังคิดว่าตนควรขำหรืออะไรดีกับบทสนทนานี้
“โอเค~~~ ได้~~~ เดี๋ยวพาไป~~~ แต่กินชากินขนมกันก่อนนะ~~~ เสียดายของ~~~” เยติหนุ่มเอ่ย
“ครับๆ” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับพร้อมยกน้ำชาขึ้นดื่มกันอย่างพร้อมเพรียง
ภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้าของยามบ่ายที่สดใส ลมเย็นๆ ของหน้าหวานพัดวูบมาจนชวนให้หลายๆ คนคงอยากกลับไปนอนซุกตัวอยู่ในผ้ามากกว่ามายืนตากลม ณ บริเวณรกๆ ตรงหนึ่งที่มีโพรงไม้พังๆ ตั้งอยู่
“ให้ส่งตรงนี้แน่นะ~~~~?” เสียงถามยาวๆ ดังขึ้นจากร่างที่ใหญ่โตกว่าคนถูถามหลายเท่านัก
“ครับ แค่นี้แหะครับ...ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” เด็กหนุ่มผมดำค้อมศรีษะให้ร่างอันใหญ่โตเกินมนุษย์ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ดูราวชิวาว่า
“ไม่เป็นรายย แต่กลับเองได้แน่น้าาาา” ร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์เอ่ยถามย้ำ
“ได้ครับได้ ไม่ต้องห่วงพวกผมหรอกครับ” คาซามัตสึตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“โอเค~~~ เชื่อก็ได้~~~ งั้นกลับดีๆ น้าาาา” เยติหนุ่มเอ่ยก่อนที่จะค่อยๆ เดินจากไปอย่างว่าง่าย
“เป็นคนดีจังเนอะ ว่าไหม?” เมื่ออีกฝ่ายจากไปจนลับตาแล้วคาซามัตสึก็หันไปคุยกับคนผมสีน้ำตาลข้างๆ
“นั้นสิครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ “และถ้าเขาได้ไปเจอเพื่อนเผ่าเดียวกันเข้าสักวันคงดีนะครับ”
“นั้นสิน้าาา คงดีน่าดู” คาซามัตสึบิดตัวเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มเดินไปยังทิศที่เป็นทางกลับไปยังที่พัก “เอาล่ะ...รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวทุกคนจะเป็นห่วงเอา”
“ครับ!” ฟุริฮาตะตอบรับและวิ่งตามอายุมากกว่าไป แต่แล้ว... “เหวอ!”
“เฮ้ย!” ...ร่างของคนผมน้ำตาลก็ฟรุบหายไปเสียดื้อๆ ทำให้คาซามัตสึสะดุ้งโหยงแล้วรีบวิ่งไปดูจุดที่อีกฝ่ายอยู่เมื่อครู่และ...พบว่ายามนี้อีกฝ่ายไปนอนแอ่งแม้งอยู่ก้นหลุมเสียแล้ว “นี่เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“ย...ยังอยู่ดีครับ” ฟุริฮาตะส่งเสียงกลับไปแผ่วๆ พลางลูบหัวตนเล็กน้อยด้วยความเจ็บ
“ขึ้นมาไหวไหมเนี่ย?” คาซามัตสึย่องตัวลงนั่งย่องๆ ที่ปากหลุม
“ไหวครับ...โอ๊ย!” ฟุริฮาตะลุกขึ้นหมายจะปีนขึ้นจากหลุมก่อนที่จะทรุดลงไปอีกรอบด้วยความเจ็บที่แล่นเข้ามา
“...” ดวงตาสีครามมองคนในหลุมและเห็นได้ว่าข้อเท้าอีกฝ่ายบวมอย่างชัดเจน คาดว่าตอนตกลงไปขาคงไปฟาดอะไรเข้าสักอย่างแหงๆ ทำให้คาซามัตสึได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคนอายุน้อยกว่าพลาง...ดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาจากหลุมแล้วเอามาพาดบ่าตนเองเสียดื้อๆ “...เฮ้อ นายนี่นะ...เอ้า! มานี่!”
“เหวอ!!!” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาด้วยความตกใจเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีแรงขนาดดึงตนขึ้นมาได้ง่ายๆ แบบนี้ “เดี๋ยวก่อนครับ! คาซามัตสึซัง!!! ผมเดินเองได้!!!”
“ไม่มีทาง ดูยังไงนายก็ไม่น่าเดินไหวนะ” คาซามัตสึเถียงกลับขณะที่เริ่มลุกขึ้นยืนแบบ...ชิวล์เหลือหลาย...
...ก็ถึงขณะเคยแบกเคยลากคิเสะที่เดินไม่ไหวออกจากสนามมาแล้ว แค่ชิวาว่าที่ตัวเล็กกว่าตนทำไมจะแบกไม่ไหวล่ะ? ...ถึงตอนคิเสะจะแค่พยุยก็เถอะ
“ผมเดินได้จริงๆ นะครับ!!!” ฟุริฮาตะเอ่ยด้วยดวงหน้าใสๆ เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ไม่สน...” คาซามัตสึยักไหล่เล็กน้อยก่อนแกล้งอีกฝ่ายด้วยการเปลี่ยนจากการแบกเป็นอุ้มด้วยท่าเจ้าสาวแทน “...อีกอย่าง...หน้านายมันฟ้องว่าเดินไม่ไหววะ”
“...” ฟุริฮาตะทำหน้ามุ่ย...ถึงหน้าเขาจะอ่านออกง่ายจริงแต่ไม่ต้องพูดก็ได้นะครับ! ที่สำคัญไหงอุ้มผมด้วยท่าแบบนี้ได้หน้าตาเฉยล่ะครับ!?
“เถียงไม่ออกล่ะสิ” คาซามัตสึถามกลับ
“....ครับ” ฟุริฮาตะเบ้หน้าเล็กน้อย
“หึๆ” คาซามัตสึหัวเราะเบาๆ กับท่าทีงอนๆ เหมือนเด็กของอีกฝ่ายพลางอดคิดขึ้นมาเสียไม่ได้ว่า...
...ทำหน้าแบบนี้ก็น่ารักดีแฮะ...
“หัวเราะอะไรครับ?” ฟุริฮาตะค้อนใส่คนอายุมากกว่าเล็กน้อย...ซึ่งแน่นอนว่ามันดูไม่น่ากลัวสักนิด
“เปล่า” คาซามัตสึบอกปัดๆ ไปพลางเดินทางกลับที่พักหรือก็คือจุดเริ่มต้นของเกมที่เกือบพาพวกเขาซวยอย่างเอื่อยๆ
“เจอไหม!?”
“ไม่!”
“ทางนู้นล่ะ!?”
“ไม่เจอ!!!”
“โว้ย! ไปอยู่ไหนกันวะ!?”
“คงไม่ได้โดนกินไปแล้วนะ...”
“อย่าพูดเป็นลางเซ่!!!”
“ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันเองนะครับ!!!”
“แต่ก็น่าคิดนะ!”
“อย่าบ้าตามสิย่ะ!!!”
“โว้ย!!! อย่ามัวเล่นแล้วรีบหากันเร็ว!!!”
“นายเองก็อย่าเพิ่งคลั่งสิ!!!”
“ฯลฯ”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นสนั่นทั่วบริเวณจากเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลาย เด็กสาวอีกหนึ่งและคนแก่... (เฮ้ๆ! อย่าขว้างของมาทางเราสิ! // ก้มหลบโมเดกปืน) ผู้อาวุโสอีกหนึ่งซึ่งกำลังตื่นตนกกับการตามหาคนสองคนที่หายไปอยู่ ทุกคนพากันวิ่งไปทั่วแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นว่าจะไปรบกวนชาวบ้านหรือเปล่า
“...” ดวงตาสีครามมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่า...ถ้าโผล่ไปเมื่อไหร่มีแววโดนรุมทึ้งรุมถามแน่
“ดูท่าทางวุ่นวายกันดีนะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นความวุ่นวายตรงหน้า
“น้นสิเนอะ” คาซามัตสึพยักหน้ารับ
“เรารีบไปรวมกลุ่มดีไหมครับ?” ฟุริฮาตะถามขึ้นลอยๆ
“แล้วจะรอหาอะไรไหมล่ะ?” คาซามัตสึยักคิ้วกวนๆ เล็กน้อย
“งั้นไปเลยครับ แต่ก่อนอื่น...ช่วยกรุณาปล่อยผมลงสักทีได้ไหมครับ?” ฟุริฮาตะถามอีกครั้งพลางมองสภาพตนเองที่ถูกชาวบ้านอุ้มอยู่
“ไม่ได้ คนเจ็บน่ะอยู่นิ่งๆ ไปเลย” คาซามัตสึปฏิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด
“แต่ว่ามันน่าอายนะครับ!” ฟุริฮาตะทวงเสียงดัง...ยังไงเขาก็ไม่คิดว่าถูกอุ้มมาแบบนี้ชาวบ้านเขาจะมองด้วยสายตาปกติหรอกนะ!
“ไม่สน” คาซามัตสึหัวเราะเบาๆ กับท่าทางราวกับสัตว์เล็กๆ ที่กำลังขู่ฟ่อๆ อยู่พลางเดินไปยังกลุ่มคนที่กำลังตื่นขึ้นทุกขณะ “นี่พวกนาย...”
“หื้อ?” เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายจากทีมบาสไคโจวหันไปมองยังต้นเสียงก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่และ...รีบวิ่งไปรุมผู้มาใหม่ในเวลาต่อมา “ค...คาซามัตสึ! นายปลอดภัยดีนะ!?”
“ฟุริ! นายโอเคดีใช่ไหม!?” ทางคนของทีมเซย์รืนเองก็รีบรุกถามไม่ต่างกัน
“เฮ้ยๆ อย่าทำหน้าเหมือนจะกินหัวกันสิ หมอนี่กลัวแล้วนะ...” คาซามัตสึหลบคนที่พุ่งเข้าหาราวซอมบี้แต่ล่ะหน่ออย่างรวดเร็ว “...เอาเป็นว่าพวกฉันโอเคดี ส่วนหมอนี่แค่ตกหลุมขาเคล็ดแค่นั้นเอง”
“แล้วเจ้ายักษ์นั้นล่ะ?” โมริยามะซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่เห็นอีกฝ่ายโดนพาตัวไปจะๆ เอ่ยถามขึ้นมาทันทีหลังจากดูคร่าวๆ แล้วเพื่อนตนยังมีสภาพครบสามสิบสองดี
“ก็ไม่มีอะไร ยักษ์นั้นเป็นคนดีไม่ได้ทำอะไรพวกฉันหรอก” คาซามัตสึตอบ
“แล้วเขาจับคุณกับฟุริไปทำไมครับ?” อิสึกิซึ่งเป็นอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถามต่อ
“พอดีรายนั้นเข้าใจว่าพวกฉันเป็นเด็กหลงน่ะ แถมตอนที่พวกฉันวิ่งไปหาพวกนายก็คิดว่าพวกฉันเป็นเด็กที่ชอบหนีไปหาคนที่น่ากลัวน้อยกว่าน่ะ” คาซามัตสึอธิบายสั้นๆ ตามประสาคนขี้เกียจพูดสืบสานอะไรให้มากความ
“สรุป...พวกคุณปลอดภัยดี ส่วนที่คุณแบกฟุริฮาตะคุงมาเนี่ยเพราะฟุริฮาตะคุงดันไปตกหลุมมาสินะครับ?” คุโรโกะที่...โผล่มากลางวงเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตามนั้นแหละ...” คาซามัตสึสะดุ้งเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของคนผมฟ้าก่อนที่จะพยักหน้ารับ “...แต่ตอนนี้ก่อนถามรายละเอียดขอเอาหมอนี่ไปทำแผลก่อนได้ไหม?”
“อ่ะ! จริงสิ! เชิญเลยๆ” เหล่าเด็กหนุ่มจากทีมบาสเซย์รินที่เพิ่งนึกออกว่ามีคนเจ็บอยู่รีบพาทั้งสองไปทำแผลที่ห้องห้องหนึ่งทันทีโดยทิ้งเหล่าคนจากทีมบาสไคโจว เด็กสาวผู้เป็นโค้ชของตนและคนแก่... (ฉันยังไม่แก่โว้ย!!! //คาเงโทระ) คาเงโทระไว้ที่หน้าที่พัก ก่อนที่จะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อีกเรื่องว่า... “...มีใครทำแผลเป็นบ้างเนี่ย?”
“นี่พวกนายลืมนึกถึงคนทำแผลเหรอเนี่ย?” คาซามัตสึกรอกตาไปมาด้วยความปลงสุดแสนพลางวางตัวฟุริฮาตะลงบนเตียง
“แฮะๆ” เด็กหนุ่มทั้งหลายได้เพียงหัวเราะแห้งๆ เท่านั้น...เนื่องจากว่าพวกตนดันแตกตื่นกันจนลืมเรื่องนี่ไปเสียสนิกเลย
“คนทำแผลเป็นมีแค่มิโตเบะกับฟุริด้วยสิ” เด็กหนุ่มหน้าแมวเกาหัวตนเองแกร่กๆ “แต่มิโตเบะที่ไปตามหาพวกนายยังไม่กลับมาเลย”
“งั้นเดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับรุ่นพี่โคงาเนอิ” ฟุริฮาตะที่เงียบมานานนมเอ่ย
“นายน่ะไม่ต้องเลย เป็นคนเจ็บน่ะอยู่เฉยๆ ไปเลย” คาซามัตสึดีดหน้าผากคนผมน้ำตาลเบาๆ “ส่วนพวกนายรีบไปตามพวกที่ให้ไปตามพวกฉันกลับมาเลย เดี๋ยวมีใครหลงหายไปอีกจะวุ่นเอานะ”
“คร้าบบบบ” เด็กหนุ่มทั้งหลายขานรับคนอาวุโสสุดในที่แห่งนี้ก่อนที่จะพากันเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเพื่อกันไม่ให้ถูกถีบส่งแทน
“ให้ตายเถอะ...” คาซามัตสึส่ายหน้าอย่างปลงๆ กับแต่ล่ะหน่อที่วิ่งออกจากห้องไปพลางลุกขึ้นยืนไปหายากับผ้าพันแผล “...นี่นาย...เอายาเก็บไว้ตรงไหนน่ะ?”
“ในกระเป๋าสีดำตรงนั้นน่ะครับ” ฟุริฮาตะชี้ไปยังมุมห้อง
“ใบนี้เหรอ?” คาซามัตสึเดินไปตามที่อีกฝ่ายบอก
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับทำให้คาซามัตสึรีบเปิดประเป๋าแล้วหยิบอุปกรณ์ทำแผลภายในออกมา
“นายนี่พกยาหลายอย่างดีเนอะ” คาซามัตสึเอ่ยพลางปิดกระเป๋าลงตามเดิม...เมื่อเขาเห็นว่าแทบทั้งกระเป๋าเนี่ยเป็นอุปกรณ์สำหรับรักษาพยาบาลล้วนๆ
“พอดีคางามิบ้าพลังจนทำตัวเองเจ็บตัวบ่อยๆ น่ะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ
“ทางนายพวกชอบทำตัวเองเป็นคางามิสินะ” คาซามัตสึรู้สึกนึกถึงรุ่นน้องหัวเหลืองๆ ของตนขึ้นมาตงิดๆ “แต่คนที่มักเจ็บตัวรองลงมาคือนายสินะ?”
“แฮะๆ ประมาณนั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะยิ่มแห้งๆ อย่างไม่คิดจะปฏิเสธอะไรอีกฝ่าย เนื่องจากมันเป็นเรื่องจริง
“ยอมรับง่ายดีนะนาย” คาซามัตสึตอนแรกคิดว่าจะโวยวายงอแงแบบคิเสะเสียอีก
“ก็มันจริงนี่ครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยพลางมองยาในมืออีกฝ่าย “ว่าแต่...ไหงหยิบยามาแม่นจังครับ!?”
“หื้อ? ยาทำไมเหรอ?” คาซามัตสึถามอย่างงงๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย
...ฉลากข้างขวดมันก็เขียนว่ายาแก้เคล็ดขัดย้อไมได้หยิบมาผิดเสียหน่อย ไหงทำหน้างั้นหว่า?...
“ก็ยานั้น...มันเป็นยาที่พี่ผมยัดใส่มาให้น่ะครับ และยามันแบบ...” ฟุริฮาตะทำหน้ารางกับสยองอะไรสักอย่างอยู่
“แบบ?” คาซามัตสึถามย้ำด้วยความอยากรู้
“แบบ...ปวดแสบบรรลัยไงครับ!” ฟุริฮาตะคุมขมับ
“ปวดแสบบรรลัย...หมายความว่าไงล่ะนั้น?” คาซามัตสึขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“คือยาอันนี้น่ะ...พอยาแล้วจะปวดแสบจนชาและแทบทำเอาตรงที่ทาชาจนไร้ความรู้สึกไปเลยไงครับ...” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ถึงแม้ยานี่จะทำให้อาการบาดเจ็บหายเร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่ผมก็ไม่อยากลองหรอกครับ”
“...โอเค งั้นฉันว่าฉันไปเปลี่ยนเอาหลอดใหม่มาดีกว่า” คาซามัตสึที่พอเดาจากสีหน้าอีกฝ่ายได้ว่าไอ้ฤทธิ์ยานี่โหดแบบไม่ธรรมดาแน่จึงรีบไปรื้อกระเป๋าใบเดิมเพื่อหายาอีกหลอดมาใช้แทน “ว่าแต่...พี่นายคิดยังไงเอาของแบบนั้นมาใส่กระเป๋านายเนี่ย?”
“พอดีพี่เห็นผมเจ็บตัวบ่อยเลยใส่มาครับ แต่ดูท่าลืมไปว่าผมไม่ถึกเท่าพี่น่ะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงคนที่ตนกำลังนินทาอยู่ในขณะนี้
“พี่นายดูท่าคงเป็นพวกหวงนายจนลืมคิดถึงเรื่องอื่นแหง” คาซามัตสึในฐานะที่เป็นพี่คนเหมือนกันเลยพอเดาความรู้สึกของพี่อีกฝ่ายได้...ยิ่งมีน้องนิสัยซื่อจนน่าห่วงแบบนี้ด้วยแล้วเนี่ย
“ผมว่าพี่เขาคงแค่ลืมมากกว่าครับ” ฟุริฮาตะยักไหล่เล็กน้อย
“อาจจะแฮะ” คาซามัตสึเดินกลับมาที่เตียงพร้อมจับขาข้างที่บาดเจ็บของอีกฝ่ายยืดตรงเสียจนคนผมน้ำตาลสะดุ้งเฮือก “อื้อ...แผลนายดูบวมขึ้นแฮะ หรือว่ากระดูกหักเลยหว่า?”
“ผมว่าไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด...เขาไม่คิดว่าตกหลุมลึกแค่นั้นจะทำให้ขาหักได้หรอก
“แค่เผื่อน่ะ” คาซามัตสึเอ่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าก็ไม่คิดว่าหลุมแค่นั้นจะทำขาใครหักได้เหมือนกัน พลางลงมือทำแผลให้อีกฝ่ายแบบ...
“อึก! เบาหน่อยสิครับ!” ...หนักมือไปหน่อย
“อ่ะๆ โทษทีๆ” คาซามัตสึที่ลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้ทำแผลให้รุ่นน้องหัวเหลืองของตนและไม่จำเป็นต้องแกล้ง (?) อีกฝ่ายเลยลดความหนักของมือตนลงเล็กน้อย “ทนๆ หน่อยล่ะ ใกล้เสร็จแล้ว”
“ค...ครับ” ฟุริฮาตะที่สั่นเล็กน้อยด้วยความเจ็บตอบ
...น่ารักดีแฮะ...ชักอยากให้สั่นมากกว่านี้แล้วสิ...
คาซามัตสึมองภาพของคนผมน้ำตาลแล้วอดคิดเช่นนี้ขึ้นมาไม่ได้ก่อนที่เจ้าตัวจะเขกหัวตัวเองไปทีหนึ่งในเวลาต่อมา
...คิดบ้าอะไรของตูขึ้นมาฟะ!? แบบนี้มันเหมือนพวกโรคจิตเลยนะเว้ย!!!...
“ค...คาซามัตสึซัง...” เสียงเรียกจากคนเจ็บทำให้คนตาสีครามที่กำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่หลุดจากภวังค์ความคิด “...เป็นอะไรไปเหรอครับ? ทำหน้าแปลกๆ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” คาซามัตสึตอบกลับหน้าตายก่อนที่จะรีบทำแผลให้อีกฝ่ายก่อนที่ตนจะหลุดไปมากกว่านี้ “เอ้า เสร็จแล้ว”
“อ่ะ ขอบคุณครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“ไม่เป็นไร...” คาซามัตสึลูบเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มของฝ่ายเล็กน้อยและ...เคลื่อนริมฝีปากตนไปจูบที่ขมับอีกฝ่ายเบาๆ “...ตอนนี้ฉันขอไปคุยเรื่องทีทเกิดขึ้นกับไอ้พวกนั้นก่อน ส่วนนายนอนนิ่งๆ อย่าคิดจะไปเดินลอยชายแถวไหนเชียวล่ะ!”
“อ...อา ครับ” ฟุริฮาตะที่ถึงกับเอ๋อกินกับการกระทำของอีกฝ่ายขานรับ
“งั้นไปล่ะ” คาซามัตสึรีบก้าวเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วและพอออกมานอกห้องได้เจ้าตัวก็... “...นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปฟะ?”
...ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมเอามือปิดดวงหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงของตนเอาไว้
...แต่...รู้สึกอยากทำอีกแฮะ...
“ทำอะไรเหรอ?”
“ชะแว๊กกกก!!!” คาซามัตสึหลุดร้องลั่นกับเสียงที่ดังขึ้นในระยะประชิต ก่อนที่จะหัวขวับไปยังต้นเสียง “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ยโมริยามะ!? ตกใจหมด!!!”
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่เดินมาปกติเอง” โมริยามะยักไหล่น้อยๆ “แล้วไหงหน้แดงแปล็ดแบบนั้นเลยล่ะ?”
“ค...แค่ร้อนน่า!” คาซามัตสึเอ่ย
“คาซามัตสึ...นี่มันหน้าหนาวนะ แถมร้อนบ้าอะไรไม่มีเหงื่อสักหยดห๊า?” โมริยามะกรอกตาไปมา...จะหาข้อแก้ตัวก็หาไที่มันฟังขึ้นกว่านี้หน่อยเถอะ!
“ช่างฉันเถอะน่า” คาซามัตสึทำหน้าย่น
“น่าๆ อย่างอนสิ...” โมริยามะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนผมดำ “...จะว่าไป...ที่นายพูดก่อนหน้านี่...นายทำไปแล้ว?”
“ทำอะไร?” คาซามัตสึถาม
“ก็×××ฟุริฮาตะคุงไง” โมริยามะเอ่ยหน้าตายพร้อมปิดหูเตรียมรับ...
“จ...จะบ้าเหรอฟะ!? ใครจะทำแบบนั้นกับคนเจ็บเล่า! ไม่สิ! ฉันกับหมอนั้นไม่ได้เป็นอะไรกันเฟ้ย!!!” ...เสียงแว๊กลั่นจากเพื่อนของตนเอง
“เผื่อว่าทำจริงไง...” โมริยามะตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “...สมองเข้าที่เข้าทางยัง?”
“เออ!” คาซามัตสึพยักหน้ารับ...เขาพอเดาได้แล้วว่าไอ้คำพูดชวนน่าฆ่าทิ้งนั้นโมริยามะแค่พูดให้เขาดึงสมองเข้าที่เข้าทางไม่พูดหรือแก้ตัวอะไรแปลกๆ ออกมาอีกเท่านั้นแหละ
“ถ้าสมองเข้าที่เข้าทางแล้วก็บอกสักทีว่านายไปทำอะไรมาถึงหน้าแดงแบบนั้นห๊า?” โมริยามะเริ่มย้อนกลับมาประเด็นแรกที่ตนสงสัย
“ฉันไม่บอกได้ไหม?” คาซามัตสึเบ้หน้า
“ระหว่างบอกดีๆ กับให้ฉันไปหาคนร่วมวงป่วนนายจนกว่านายจะบอก นายจะเลือกอันไหนล่ะ?” โมริยามะเอ่ยแบบ...ปนขู่เล็กน้อย
“...กะไม่ให้ฉันเลี่ยงไม่ตอบเลยสินะ?” คาซามัตสึแยกเขี้ยวใส่เพื่อนที่หล่อเสียของของตน
“แหงล่ะ” โมริยามะยอมรับว่าไม่คิดให้อีกฝ่ายปฏิเสธอยู่แล้ว “ตกลงว่าไง”
“ก็ไม่มีอะไรมากแค่...” คาซามัตสึก้มหน้างุดๆ “...เผลอ...จูบขมับหมอนั่นเอง”
“แค่นั้นก็หน้าแดง?” โมริยามะเลิกคิ้วเล็กน้อน
“ก็มันอายนี่หว่า ฉันไม่ได้หน้าหนาเท่านายนะเฟ้ย” คาซามัตสึตอกกลับเบาๆ
“ไม่ต้องมาย้อนเลย...” โมริยามะเอ่ย “...ที่สำคัญแค่นั้นจะอายอะไรของนาย ฉันเห็นนายทำแบบนั้นกับน้องนายบ่อยไป”
“จะไปรู้ได้ไง...” ว่าตามจริงคาซามัตสึยังไม่รู้เลยว่าตนจะอายกับเรื่องแค่นี้หาอะไร!
“หรือว่านาย...” โมริยามะมองอีกฝ่ายแล้วเอียงคอน้อยๆ อย่างน่ารัก “...ชอบฟุริฮาตะคุง?”
“...” คาซามัตสึแทบสำลักน้ำลายตัวเองตายเมื่อได้ยินคำถามนี้ออกจากปากอีกฝ่าย ดวงหน้าเริ่มร้อนวาบขึ้นมาอีกระรอบ “จ...จะบ้าเหรอ! จ...จะเป็นไปได้ไงกัน!?”
“ปากปฏิเสธแต่หน้านายฟ้องแล้วนะว่าเป็นงั้นจริงๆ” โมริยามะหัวเราะออกมาเบาๆ “จะจีบก็รีบล่ะ ฉันได้ยินจากอิสึกิคุงมาว่าฟุริฮาตะคุงเขาฮ็อกในหมู่ผู้ชายด้วยกันพอดูนะ ระวังจะได้กินแห้วล่ะและฉันขี้เกียจต้มน้ำใบบัวบกให้นายแก้ช้ำในด้วย”
“นี้สาบานว่าปาก?” คาซามัตสึแยกเขี้ยวใส่พร้อมเท้าถีบอีกฝ่าย
“ก็ปากน่ะสิ” โมริยามะกลิ้งหลบอย่างรู้ทันพร้อมโดดลุกขึ้นแล้วใส่เกียร์หมาวิ่งหนีทันที “เดี๋ยวนี้ช้านะคาซามัตสึ...แก่แล้วหรือไง?”
“หึๆ...” คาซามัตสึแสยะยิ้มเล็กน้อยกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะ... “...กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะโมริยามะ! มาให้ฉันตื้บซะดีๆ ไอ้บ้า!!!”
...ลุกขึ้นวิ่งตามคนผมดำเหลือบเขียวไปในเวลาต่อมา และเพราะมัวแต่ไล่ฆ่า (?) เพื่อนตัวเองนั้นเอง...ทำให้คาซามัตสึไม่ทันสังเกตถึงการมีอยู่ของบุคคลหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
“ดูท่าจะได้ยินอะไรเด็ดๆ เข้าแล้วสิ...เอาไปบอกทุกคนดีกว่า...”
“เล่าเรื่องผี?” คำถามทวนอย่างงุนงงดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมดำ นัยน์ตาสีครามจับจ้องไปยังคนที่เสนอความเห็นนี้ขึ้นมา
“ครับ ผมว่ามันน่าสนุกดีนะครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้แสนจืดจางเอ่ย
“ทั้งๆ ที่พวกฉันเพิ่งเจอเยติมา พวกนายยังอยากให้เล่าเรื่องผีเล่นอีกเหรอ?” คาซามัตสึส่ายหน้าไปมา...อยู่ๆ คิดยังไงจะมาเล่นเล่าเรื่องผีเนี่ย? นี่ไม่ใช่หน้าร้อนนะ
“ก็หาอะไรคลายเครียดกันเล่นไงครับ ส่วนเรื่องเยติที่พวกคุณเจอมันฟังยังไงก็ไม่น่ากลัวสักนิดนะครับ” คุโรโกะเอ่ยพลางนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้
“ไม่น่ากลัวนั้นแหละดีแล้ว ไม่งั้นพวกฉันจะรอดกลับมาเหรอ?” คาซามัตสึถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็จริงครับ” คุโรโกะไม่คิดที่เถียงในความจริงข้อนี้ “แล้วนี่คุณจะมาเล่นกับพวกผมไหมครับ?”
“อา...เล่นด้วยก็ได้” คาซามัตสึเอ่ย...อย่างไรเสียเขาก็พอเดาได้เลยว่าเพื่อนตนที่บ้าๆ บอๆ (?) คนหนึ่งต้องอยู่เล่นด้วยแหง เพราะงั้นอยู่กันมันก่อเรื่อง (?) ไว้ก่อนดีกว่า
“งั้นตกลงตามนี้นะครับ...แล้วคุณช่วยกรุณาไปแบกฟุริฮาตะคุงมาร่วมวงด้วยนะครับ” คุโรโกะเอ่ยก่อนที่จะ...หายแว่บไปในเวลาต่อมาราวภูติผี
“อ้าวเฮ้ย! เดี๋ยวเซ่!” คาซามัตสึสะดุ้งโหยง “นี้ใจคอกะทำให้ตัวเองเหมือนผีจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!?”
...อยู่ๆ ดีมาอยู่ดีๆ หายนี่มันหลอนนะเฟ้ย!!!...
เด็กหนุ่มปีสามแห่งโรงเรียนไคโจวได้เพียงโวยวายในใจและในขณะเดียวกันนั้น...
“อ้าว? ยืนทำไรอยู่อ่ะคาซามัตสึ?” ...เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวก็เดินผ่านมาพอดี
“ไง โมริยามะ...” คาซามัตสึเอ่ยทักเบาๆ “...นายกำลังจะไปร่วมวงกับคุโรโกะหรือไง?”
“แน่นอน~~ เรื่องน่าสนุกแบบนี้เรื่องอะไรจะพลาด?” โมริยามลากเสียงแบบน่าหมั่นไส้เหลือหลาย
“กะแล้วเชียว...ว่าแต่หมอนั่นให้ไปรวมตัวที่ไหนเนี่ย?” คาซามัตสึถาม...ไอ้เมื่อกี้เขาก็ลืมถามถึงสถานที่รวมตัวไปสนิกเลย
“ห้อง ××× น่ะ” โมริยามะตอบ
“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปหาฟุริฮาตะก่อนแล้วค่อยตามไปนะ” คาซามัตสึพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“จะไปลวมลามเขาอีกเหรอ?” โมริยามะเอียงคอน้อยๆ พร้อมเบี่ยงตัวหลบลูกเตะจากเพื่อนตน
“ลวมลามขนมจีบอะไรเล่า!? ฉันไม่ได้ทำเฟ้ย!” คาซามัตสึแยกเขี้ยวใส่ “คุโรโกะบอกให้ฉันไปพาฟุริฮาตะมาร่วมวงด้วยโว้ย!”
“อ๋อ คิดว่าจะไปลวมลามชาวบ้านต่อเสียอีก” โมริยามะแล่บลิ้นใส่ก่อนจะใส่เกียร์หมาเผ่นไปในทันที
“ไอ้บ้า!” คาซามัตสึโวยใส่คนที่หนีไปแล้วพลางขยี้เรือนผมสีดำของตนเองอย่างหงุดหงิดขณะก้าวขาเดินไปหาฟุริฮาตะที่ห้อง “ให้ตายสิ...”
เด็กหรุ่มผมดำบ่นอุบอิบถึงเพื่อนตนไปตลอดทางและเมื่อมาถึงหน้าห้องพักของคนที่ตนมาหา คาซามัตสึก็ทำการเปิดประตูเข้าไปโดยไม่คิดขออนุญาตสักนิด
“เออ...เป็นอะไรไปเหรอครับคาซามัตสึซัง?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่นั่งขาเดี้ยงภายในห้องมองคนที่เดินหน้ายุ่งเข้ามาตาแป๋ว
“เปล่า แค่โดนไอ้โมริยามะแกล้งน่ะ” คาซามัตสึตอบสั้นๆ พร้อมกับ...เดินเข้าไปหาคนผมน้ำตาลแล้วอุ้มร่างอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“เหวอ! อะไรครับเนี่ย!?” ฟุริฮาตะสะดุ้งโหยงพร้อมคว้าคออีกฝ่ายไว้ด้วยความที่ว่ากลัวตก
“พานายไปร่วมเล่าเรื่องผีกับคุโรโกะไง...หมอนั่นไม่ได้มาบอกนายแล้วเหรอ?” คาซามัตสึถามกลับ...เขาคิดว่ารายนั้นมาบอกแล้วเสียอีก
“ยังไม่โผล่มาให้เห็นเลยด้วยซ้ำครับ!” ฟุริฮาตะเอ่ย
“งั้นเหรอ...แต่ช่างเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไปด้วยกันเลยแล้วกัน” คาซามัตสึที่ขี้เกียจคิดมากหรืออะไรไม่ทราบอุ้มฟุริฮาตะออกจากห้อง
“ใจคอกะไม่ถามความเห็นผมหน่อยเหรอครับ!?” ฟุริฮาตะโวยลั่น
“ไม่ล่ะ และถึงฉันไม่ใช่คนพาไป คุโรโกะก็กะหาคนอื่นมาลากนายต่อแหง” คาซามัตสึไม่คิดว่าคนอย่างอดีตเงามายาแห่งทีมปาฏิหาริย์เนี่ยจะยอมอะไรง่ายๆ หรอก...ยิ่งแต่ล่ะตัวจากคนในทีมปาฏิหาริย์ที่เขารู้จักเนี่ยไม่ปกติสักตัว
“...” ฟุริฮาตะถึงกับนิ่งเงียบอย่างเถียงไม่ออก เนื่องจากเพื่อนหัวฟ้าสุดเกรียนเงียบของตนนั้นอาจทำเช่นนั้นจริงๆ ทางคาซามัตสึเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรแล้วจึงพาคนผมน้ำตาลไปจุดนัดพบและทันทีที่ก้าวเข้าไปก้าวแรกก็...
“คาซามัตสึซังมาเร็วจังนะครับ...แล้วนี่เห็นโมริยามะซังบ้างหรือเปล่าครับ?” ...โดนถามเช่นนี้เลย
“เห็นหมอนั้นจะมาก่อนนิ?” คาซามัตสึถามกลับพลางกวาดตามองภายในห้อง...อื้อ มากันครบเลย แต่รู้สึกขาดไปคนสองคนแฮะ
“แต่พวกผมยังไม่เห็นโมริยามะซังมาเลยนะครับ...คางามิคุงด้วย” คุโรโกะเอ่ยหน้าตายสนิก
“หมอนั่นแอบไปแซวสาวที่ไหนหรือเปล่า?” คาซามัตสึลองถามตามความน่าจะเป็น
“คิดว่าทั้งๆ ที่ผมอยู่ที่นี่โมริยามะซังจะกล้าไหมครับ?” เสียงนิ่งๆ จากเด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานทำเอาคนที่นั่งใกล้ๆ พากันเขยิบออกกห่าง
“ไม่ และไม่คิดว่าหมอนั้นบ้าพอทำตัวเอวเคล็ดด้วย” คาซามัตสึไม่คิดว่าเพื่อนตนจะหาเรื่องใส่ตัวขนาดนั้นหรอก
“งั้น...โมริยามะซังจะหายไปไหนล่ะครับ? ในห้องน้ำลองไปดูก็ไม่มี...” คุโรโกะทำหน้าครุ่นคิด
“ไม่รู้สิ แต่เดี๋ยวฉันไปตามดูอีกทีแล้วกัน” อิสึกิเอ่ยพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“ครับ...งั้นผมขอตัวไปหาคางามิคุงด้วยแล้วกันนะครับ” คุโรโกะเอ่ยก่อนที่จะ...หายแว่บไปต่อหน้าต่อตาชาวบ้านเลย
“เฮ้ย! นี่ใจคออยากจะเป็นผีจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!? หลอนเว้ย!!!” ทุกคนภายในห้องพากันอุทานเป็นเสียงเดียวกัน เว้นแต่อิสึกิที่ทำเพียงยิ้มขำๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปอีกคน
“...รู้สึกนับวันหมอนั้นยิ่งจืดจางเนอะ” คาซามัตสึมองความวุ่นวายตรงหน้ารู้สึกอยากคุมขมับชอบกล เสียแต่ในยามนี้มือไม่ว่าง
“นั้นสินะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ขณะที่เสียงบ่นเริ่มดังหื้อขึ้นมาจากคนหลายๆ คนภายในห้องนี้
“เออ...คิดว่าตอนนี้สถานการณ์มันแปลกๆ หรือเปล่าครับ?” เสียงถามเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลใสกวาดมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวั่นๆ
“ไม่คิดว่าล่ะ แปลกของแท้เลยล่ะ” เด็กหนุ่มผมดำตาสีครามเอ่ยพลางมองไปรอบๆ ห้องที่ยามนี่...เหลือเพียงพวกตนสองคนเท่านั้น...
...ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ หลายสิบนาทีก่อน หลังจากที่อิสึกิกับคุโรโกะออกไปตามหาคนบื้อ (?) ทั้งสองที่หายไปไหนไม่รู้นานเกินควร กัปตันแว่นของทีมบาสเซย์รินหรือก็คือฮิวงะเลยออกไปตามหาสี่คนนั้นต่ออีกทอด จากนั้นฮิวงะก็หายหัวไปอีกคนจนมิโตเบะกับโคงาเนะอิต้องไปตามอีก...ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ออกไปตามหากันเองหมด จนเหลือแค่ฟุริฮาตะที่ขาบาดเจ็บกับคาซามัตสึที่ถูกทุกคนโยนหน้าที่ดูแลคนเจ็บให้สองคนเนี่ย
“ทุกคนหายไปไหนหมดเนี่ย...” ฟุริฮาตะบ่นอุบอิบ
“จะไปรู้เหรอ ฉันก็อยู่กับนายเนี่ย...” คาซามัตสึถอนหายใจออกมาเบาๆ “...แต่จะว่าไป...ไอ้การหายไปทีล่ะคนสองคนนี้เหมือนเรื่องเล่าหนึ่งที่ฉันเคยได้ยินเลยนะ”
“เรื่องเล่า?” ฟุริฮาตะทวนเล็กน้อย
“อื้อ เป็นเรื่องเล่าคล้ายๆ ตำนานเมืองน่ะ...” คาซามัตสึเอ่ย “...เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่งที่ไปพักที่บ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งแล้วจู่ๆ สมาชิกภายในกลุ่มค่อยๆ หายไปทีล่ะคนสองคน จนสุดท้ายก็มีเพียงคนเดียวที่รอดกลับออกมาได้น่ะ”
“เออ...คาซามัตสึซัง นี่มันใช่เวลาเล่าเรื่องแบบนี้ไหมครับ?” ฟุริฮาตะเบ้หน้านิดๆ ...แบบนี้ทำเอาเขากลัวนะเฮ้ย!
“กลัวหรือไง?” คาซามัตสึถามกลับ...ถึงแม้หน้าอีกฝ่ายจะฟ้องอยู่แล้วก็เถอะว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้าแบบไม่คิดเถียงอะไรทั้งสิ้น
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไอ้พวกนั้นไม่เป็นแน่นอนโดยเฉพาะไอ้โมริยามะ” คาซามัตสึปลอบตนข้างกาย
“โดยเฉพาะโมริยามะซัง? ทำไมล่ะครับ?” ฟุริฮาตะขมวดคิ้วเล็กน้อย...เท่าที่ดูโมริยามะซังไม่น่าจะเอาตัวรอดเก่งนักนิ?
“คือว่า...” คาซามัตสึทำหน้าครุ่นคิดคล้ายกับกำลังคิดหาคำอธิบายที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายที่สุด “...โมริยามะมันแบบ...มีพี่เกินคนไปนิดน่ะ แถมยังสังหรณ์แม่นอีกต่างหาก รับรองถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโมริยามะล่ะก็พี่แกรีบมาทันทีเลยล่ะ”
“...เหมือนพี่ผมเลย” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ อย่างเข้าใจที่อีกฝ่ายพูด...เพราะพี่ชายของตนก็ประมาณเดียวกันเลย
“พี่นายก็เกินคนเหมือนพี่โมริยามะเหรอ?” คาซามัตสึเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เนื่องจากตลอดมาไม่เคยคิดว่าจะมีใครเกินคนไปกว่าพี่ชายของเพื่อนสุดเพี้ยน (?) ของตนแล้วเสียอีก
“ครับ แถมอาจเหนือกว่าด้วยแรงช้างสารด้วยครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยและในขณะนั้นเอง...
พรึบ!
...ไฟในห้องก็ดับลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เหวอ!” คาซามัตสึหลุดร้องออกมาเบาๆ เมื่อมีบางอย่างพุ่งกอดเอวตน...และไอ้บางอย่างที่ว่านั้นไม่ต้องคิดให้เปลื้องพื้นที่สมองก็พอเดาได้ว่ามันคืออะไร “อะไรของนายเนี่ย?”
“ก...ก็มัน...” เสียงสั่นๆ ราวคนจะร้องไห้ดังตอบกลับมา...เล่นซะคาซามัตสึอดรู้สึกผิดที่ถามไปแบบนั้นนิดๆ เลยทึเดียว
“เฮ้อ...” เด็กหนุ่มผมดำถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยกมือลูบหัวคนที่กอดตนไม่ปล่อย “...ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เดี๋ยวไฟคงมาน่า”
พรึบ
และก็สมดังพรปาก...ทันทีที่คาซามัตสึพูดจบประโยคไฟฟ้าที่ดับไปก็ติดขึ้นมาพอดี
“เห็นไหมล่ะ ไฟมาแล้ว” คาซามัตสึเอ่ย
“ค...ครับ...” ฟุริฮาตะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตนกอดเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสคลอไปด้วยน้ำตากวาดมองไปรอบๆ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ จึงค่อยๆ ปล่อยมือจากอีกฝ่ายลุกขึ้นมานั่งตามเดิมพร้อมพยายามปาดหยาดน้ำตาออก
น่ารักแฮะ...
คาซามัตสึมองท่าทางของคนผมน้ำตาลพลางอดคิดเช่นนี้ไม่ได้กับท่าทีราวเด็กเล็กๆ ที่พยายามทำตัวเข้มแข็ง ดวงตาสีครามจับจ้องดวงหน้าใสอย่างไม่วางตาและด้วยอะไรดลใจไม่รู้เมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายแล้วเจ้าตัวจึง...ยื่นหน้าไปเลี่ยหยาดน้ำตาบนดวงหน้าอีกฝ่ายเบาๆ
“อื้อ...เค็มๆ หวานๆ ดีแฮะ” คาซามัตสึเอียงคอน้อยๆ กับรสที่ตนได้รับ ขณะที่คนผมน้ำตาลเริ่มถอยห่างจากอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“ค...คาซามัตสึซัง!!?” ฟุริฮาตะหงุดร้องเสียงหลง ดวงหน้าใสๆ เริ่มขึ้นสีชาดอย่างเด่นชัด
“อ่ะ!” คาซามัตสึที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำสิ่งที่น่าอายลงไปหน้าแดงวาบขึ้นมาอีกคนก่อนที่จะ...หันไปเอาหัวโขกผนังในเวลาต่อมา...
...อ๊ากกกก!!! นี่กูทำบ้าอะไรลงไปฟะ!?...
...ยามนี้คาซามัตสึเริ่มรู้สึกอยากเอาปิ๊บคลุมหัวตัวเองสุดๆ
“ค...คาซามัตสึซัง ใจเย็นครับ ใจเย็น!” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าอีกฝ่ายเอาหัวโขกผนังจนแทบร้าวรีบห้ามก่อนที่ผนังจะพังบวกกับคนบางคนจะหัวแตกและหลังนั้นประมาณสิบนาที...
“ใจเย็นลงหรือยังครับ?” ...นายฟุริฮาตะ โคกิก็สามารถห้ามคนอายุมากกว่าได้สำเร็จ
“อื้อ” คาซามัตสึที่ดึงสติสตังค์เข้าร่างได้เรียบร้อยแล้วพยักหน้ารับ
“แล้วนี่เอาหัวไปโขกผนักทำไมครับเนี่ย?” ฟุริฮาตะเอ่ยถาม
“คิดว่าฉันอยากเอาอะไรแปลกๆ ออกจากหัวแล้วกัน” คาซามัตสึตอบไปตรงๆ
“ผมว่าแทนที่อะไรแปลกๆ ที่คุณว่าจะออกเนี่ยคุณได้หัวแตกเลือดมากกว่านะครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ ...ถ้าห้ามไม่ทันนี่ได้เลือดอาบจริงๆ แน่
“อื้อ ไม่เถียง” คาซามัตสึไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ ในความจริงข้อนี้
“เออ...แล้วนี่ผมขอถามอะไรต่อได้ไหมครับ?” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าสติของอีกฝ่ายเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วจริงๆ เอ่ย
“ว่ามาสิ” คาซามัตสึเอยเชิงว่าถามได้
“คุณ...มาเลียหน้าผมทำอ่ะครับ?” ฟุริฮาตะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามาเลียหน้าเขาทำไมเนี่ย น่าอายจะตายชัก
“แค่ก!” พอได้ยินคำถามนี่คนถูกถามก็ถึงกับสำลักอากาศเลยทีเดียว “เออ...คือ...”
...ตอบไงดีวะกู!?...
คาซามัตสึโวยลั่นในใจ ดวงหน้าเริ่มมีเหงื่อแตกเล็กน้อยด้วยความร้อนรน ภายในหัวพยายามคิดหาข้อแก้ตัวสุดฤทธิ์...จะให้บอกว่าเพราะอยากทำหรือบอกว่าเพราะเห็นหมอนี่น่ารักให้ตายเขาก็ไม่บอกหรอก! น่าอายจะตายชัก! แถมดีไม่ดีถูกมองว่าเป็นคนโรคจิตอีก!
“คาซามัตสึซัง?” ดวงตาสีน้ำตาลใสจ้องยังคนที่นิ่งเงียบไปตาแป๋ว
“เอาเป็นว่าอีกปีสองปีนายก็รู้เองแล้วกันนะ” ในท้ายที่สุดคาซามัตสึก็เลือกคำที่คนส่วนใหญ่ใช้กันเวลาโดนคนอายุน้อยกว่าถามเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรบอกเท่าไหร่
“ง่ะ! ไหงงั้นล่ะครับ!?” ฟุริฮาตะโวยเล็กน้อย
“ก็ตามนั้นแหละ!” คาซามัตสึเอ่ยพร้อมเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาหน้าตาเฉย “แล้วนี่...เราไปตามหาพวกนั้นกันเไหม? ชักไปนานเกินล่ะ”
...และถ้านานกว่านี้ฉันได้เผลอทำอะไรแปลกๆ ใส่นายอีกแหง...
“ตามแต่ครับ” ฟุริฮาตะที่รู้ว่าถึงเซ้าซี้ไปคงไม่ได้คำตอบยอมปัดความสงสัยของตนทิ้งไปอย่างง่ายดาย
“งั้นไป...” คาซามัตสึทำท่าจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่ตะออกไปตามหาแต่ล่ะหน่อที่หายไป ทว่า...
“โย่~~~ คาซามัตสึ~~~” ...ไม่ทันที่จะลุกเสียงอันร่าเริงอันคุ้นหูก็ลอยมาพร้อมกับเด็กหนุ่มผมดำเหลือบเขียวเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง โดยมีหลายๆ คนที่ออกไปตามหารายนี้ก่อนหน้าตามหลังเข้ามาในสภาพที่...สกปกม่อมแมมกันทั้งหมู่ ราวกับไปเล่นฝุ่นเล่นโคลนแถวไหนมา
“โย่แป๊ะอะไรเล่า! แล้วนี่ไปมุดอะไรมากันห๊า!?” คาซามัตสึแว๊กลั่นกับแตกล่ะคนที่ดูไม่จืดกันเลย
“โมริยามะซังดันไปมุดท่อเล่นมาครับ และที่มีสภาพนี่กันหมดก็ไปหาทางช่วยโมริยมมะซังนั้นแหละครับ” อิสึกิอธิบายสั้นๆ แบบได้ใจความ
“...” คาซามัตสึส่งสายตาคาดโทษไอ้ยังคนผมดำเหลือบเขียวที่ดูท่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“อย่าเครียดมากสิคาซามัตสึ เดี๋ยวแก่เร็วนะ” โมริยามะส่งยิ้มแห้งๆ ขัดทัพสายตาเพื่อนตน
“แต่แบบนายเนี่ยจะได้ตายก่อนแก่!” ว่าแล้วคาซามัตสึก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายหมายจะถีบคนที่ไม่สำนึกเลยว่าทำคนอื่นวุ่นวายขนาดไหน “ก่อเรื่องซะเขาวุ่นวายไปหมดยังมาพูดดีอีก!”
“คาซามัตสึขี้บ่นอ่ะ!” โมริยามะรีบหลบตามสัญชาตญาณและ...การทะเลาะของสองหนุ่มปีสามแห่งทีมบาสไคโจวก็ได้เริ่มขึ้น
“...ปล่อยสองคนนั้นไปเถอะ พวกเราไปเปลี่ยนชุดแล้วมาเล่นเล่าเรื่องผีกันต่อดีกว่า” โคโบริมองเพื่อนทั้งสองของตนเล็กน้อยพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ดูท่าต่อใหห้ามสองคนนั้นก็คงไม่ยอมหยุดกันง่ายๆ แหง
“นั้นสินะ” เด็กหนุ่มทั้งหลาย เด็กสาวหนึ่งบวกชายหนุ่มอีกหนึ่งพยักหน้ารับก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่อยากอยู่ในสภาพที่เหมือนผีโผล่ออกจากหลุมแบบนี้นานนัก
“ฟุริฮาตะคุง...” เสียงเรียกเบาๆ ปานผีในหนัง (?) ดังขึ้น ทำให้คนถูกเรียกหันไปมองยังต้นเสียง
“มีอะไรเหรอคุโรโกะ?” ฟุริฮาตะหันไปมองยังคนผมฟ้าที่เดินเข้ามาหาตน
“ระหว่างคุณอยู่กับคาซามัตสึสองคนมีอะไรเด็ดๆ เกิดขึ้นไหมครับ?” คุโรโกะถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ไปตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อมแม้แต่น้อย
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ เล็กน้อยก่อนที่จะหน้าแดงวาบในเวลาต่อมาเมื่อนึกถึกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี่ “ม...ไม่มีอะไรสักหน่อย!”
“งั้นเหรอครับ” คุโรโกะมองท่าทางของคนผมน้ำตาลเล็กน้อยที่จะ...หายแว่บไปเสียดื้อๆ
“เฮ้ย! จะไปก็บอกกล่าวกันบ้างเซ่!” ฟุริฮาตะโวยลั่นเพื่อนตนที่หนีไปเสียดื้อๆ ในขณะเดียวกันทางด้านคาซามัตสึนั้น...
“มาให้ตื้บซะดีๆ เลยโว้ย!!!” ...กำลังไล่ตื้บเพื่อนตัวเองอย่างไม่ลดล่ะอยู่
“เรื่องอะไรล่ะ? ฉันไม่ใช่มาโซนะจะได้ชอบถูกตื้บน่ะ” โมริยามะตอบกลับอย่างกวนโอ๊ยพลางหลบลูกถีบไป “จะว่าไป...ระหว่างที่อยู่กับฟุริฮาตะคุงสองคนไปลวมลามอะไรเขาหรือเปล่าเอ่ย?”
“ลวมลามกับผีสิ!” คาซามัตสึแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย...พูดยังกับเขาช่อบลวมลามคนอื่นงั้นแหละ...
...ถึงใกล้เคียงก็เถอะ...
“เหรอ~~~” โมริยามะลากเสียงยาวพร้อมยักคิ้วกวนๆ “แล้วนี่...ยอมรับตัวเองได้ยังล่ะพวก?”
“...” คาซามัตสึนิ่งเงียบไปเนื่องจากเขารู้ว่าไอ้ยอมรับตัวเองที่ว่านั้นคืออะไรแต่... “ไม่บอกเว้ย!!!”
...เรื่องอะไรจะบอกว่าความจริงที่เขารู้ตัวว่าชอบฟุริฮาตะไปจริงๆ แล้วล่ะ!
“ใจร้ายยยย แอ๊ก!” โมริยามะร้องโหยหวนเล่น (?) ก่อนที่จะถูกเข้าที่กลางหลังจังๆ
“เงียบไปเลย! แล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนไปเลยไป!” คาซาาตสึเมื่อได้ถีบอีกฝ่ายสมใจอยากแล้วก็ไล่คนที่สภาพปานลูกหมาตกท่อไปอาบน้ำอาบท่าตามคนอื่นเขาเสียที
“คร้าบบบบ...บ่นเป็นแม่เชียว” โมริยามะบ่นอุบอิบ
“ได้ยินนะเฟ้ย!” ว่าแล้วคาซามัตสึเคาะหัวอีกฝ่ายแบบเน้นๆ ไปหนึ่งที ก่อนเดินไปหาฟุริฮาตะที่นั่งรออยู่คนเดียวแทน
“...มือหนักชะมัด” โมริยามะลูบหัวตัวเองอย่างเจ็บๆ
“แต่หน้าคุณเหมือนไม่เจ็บเท่าไหร่เลยนะคร้บ” เสียงเอ่ยเบาๆ ดังขึ้นก่อนที่...เด็กหนุ่มผมฟ้าจะโผล่มาอยู่ข้างๆ คนผมดำเหลือบเขียวเสียดื้อๆ
“ชะแว๊ก! มาเมื่อไหร่เนี่ย!?” โมริยามะสะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวของคนผมฟ้า
“เมื่อครู่ครับ...” คุโรโกะตอบหน้าตาย ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าใสจะเหล่มองไปยังคาซามัตสึที่ตอนนี้ไปนั่งคุยกับฟุริฮาตะด้วยท่าทีเป็นกันเองกว่าก่อนหน้านี้มาก “...ดูท่าแผนจะไปได้สวยนะครับ”
“นั้นสิเนอะ” โมริยามะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...ที่อยู่ๆ เด็กหนุ่มผมฟ้าได้โผล่มาขอความร่วมมือเขาให้ช่วยทำให้คาซามัตสึรู้ใจตัวเองเสียทีเนี่ยและแผนที่ว่านี่เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะสร้างสถานการณ์สุดโต้งอย่างคนค่อยๆ หายไปทีล่ะคนแบบหนังผีแบบนี้ แถมทุกคนดันยอมให้ความร่วมมือดีเกินคาดด้วย
“และคงจะดีกว่านี้...ถ้าคุณดันไม่ไปติดท่อเข้าจริงๆ เนี่ยครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อย่าพูดเหมือนฉันอยากไปติดเองดิ” โมริยามะทำหน้างอกับเรื่องทึ่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน...ที่ตนไปซ่อนในท่อตามที่คุโรโกะบอกเพื่อกันไม่ให้คาซามัตสึมาเจอตัวในกรณีเกิดนึกคึกออกมาตามหาด้วย แต่เขาดันออกไม่ได้จริงๆ เสียอย่างนั้น
“ก็นะครับ...” คุโรโกะไม่เถียงหรอกว่าไม่มีใครอยากเอาตัวไปติดท่อเล่นแบบขยับไม่ได้เป็นชั่วโมงหรอก “...แต่ว่า...วันนี้ระวังโดนลงโทษเข้าไว้นะครับ เล่นไปก่อเรื่องให้ทุกคนวุ่นแบบนั้นน่ะครับ”
“เอ๊ะ? หมายความว่าไงอ่ะ?” โมริยามะเอียงคอน้อยๆ
“หมายความว่า...ระวังรุ่นพี่อิสึกิ ××× คุณเป็นการลงโทษนะครับ” คุโรโกะก่อนที่จะ...รีบแว่บหายไปอย่างรวดเร็ว ชนิดยากที่จะจับตัวได้ทัน
“เฮ้ย! อย่าพูดเป็นลางสิ! แล้วที่พูดนี้อิสึกิคุงคงไม่คิดทำจริงๆ ใช่ไหม!? เฮ้! กลับมาก่อน! กลับมาบอกกันก่อนสิคุโรโกะคุง!!!”
End
cr. かお
https://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=manga&illust_id=51994724
ความคิดเห็น