ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fanfic knb by shiko

    ลำดับตอนที่ #4 : [AkaKuro

    • อัปเดตล่าสุด 28 มิ.ย. 57


    Title : Hitorinbo Envy

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring : Akashi x Kuroko <-- Furihata

    Notes : อันนี้เอามาจากเพลงนี้นะจ๊ะ http://www.youtube.com/watch?v=IrYFHTO6xJ0

    ................................................................
     

    Hitorinbo Enry Ver.??? (เดากันเอง)

     

    มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น...

    เขาไม่ควรที่จะรัก 'คนคนนั้น'...

    คนคนนั้นที่เป็นคนรักของเพื่อน...

    เขาควรทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไรที่ทั้งสองจะไม่จากเขาไป...

     

     

     

     

     

    ในวันศุกร์ที่มีอากาศอบอ้าวราวฝนจะตก ทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนมัธยมปลายเซรินก็ยังคงซ้อมกันอย่างนักเชกเช่นทุกวัน มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไปคือ...

    ...อาคาชิ เซย์จูโร่ กัปตันทีมราคุซันที่ยืนหัวโด่ดูพวกเขาซ้อมน่ะสิ!!!

    ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คนหัวแดงนี้มายืนดูพวกเขาซ้อม แต่มันก็ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ ที่คนที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีมายืนดูแบบนี้ ถึงจะไม่ได้ตั้งใจมาดูพวกเขาก็เถอะ

    "ให้ตายเถอะ! คุโรโกะ! นายให้อาคาชิออกไปรอด้านนอกได้ไหมเนี่ย?!" คางามิ ไทกะ เอชของทีมเริ่มที่จะบ่นกับเงาของตนเอง

    "คงไม่ได้หรอกนะครับ คางามิคุง" เด็กหนุ่มผู้จืดจางตอบเสียงเรียบ

    "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ! หมอนั้นแฟนนายนะ! คุโรโกะ!" คางามิพูดออกมาอย่างหัวเสีย

    พวกคนในทีมเซรินต่างรู้กันดีว่าตอนนี้ คุโรโกะคบกับอาคาชิอยู่ ถึงตอนแรกจะอึ้งกันอยู่บ้าง แต่ก็ทำใจยอมรับได้อย่างรวดเร็ว เพราะเพื่อนมีความสุขก็เป็นเรื่องดีใช่ไหมล่ะ? ส่วนเรื่องอาคาชิมายืนดูพวกเขาซ้อมทุกวันศุกร์กับวันเสาร์นี่สิยังไงก็ยังทำใจรับไม่ได้เสียที!

    "นั้นไม่ใช่เหตุนะครับ คางามิคุง" คุโรโกะจับนิโกว (เบอร์ 2) ยื่นให้คางามิ

    "นี่แก!" คางามิพยายามถอยห่างออกมา เพราะโรคกลัวหมากำเริบ

    "เอ้า! อย่ามั่วแต่เล่นสิยะ! คางามิ! คุโรโกะ! ออกไปวิ่งเลยนะ! ทั้งคู่เลย!" ริโกะที่เห็นสองคนนี้ที่ไม่ยอมซ้อมมั่วแต่เถียงกัน ก็เลยให้ไปวิ่งให้หัวเย็นลงหน่อย

    "ครับ!" ทั้งคู่ตอบรับ ก่อนที่จะไปวิ่งแต่โดยดี

    เมื่อทั้งสองไปแล้ว ก็หันไปคุยกับตัวต้นเหตุที่ทำให้ทีมตนเถียงเรื่องนี้กันได้ทุกครั้ง...

    "อาคาชิคุง ก็รู้อยู่นะว่ามารอคุโรโกะ แต่ช่วยไปหาที่นั่งดีๆ รอคุโรโกะได้ไหม?"

    "ทำไมล่ะครับ?" อาคาชิถาม

    "ก็มันทำให้สมาชิกคนอื่นไม่มีสมาธิในการซ้อมน่ะสิ..."

    "ก็ช่างสิ ผมไม่สน" อาคาชิตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดจนริโกะเริ่มปวดหัวและอดคิดไม่ได้ว่า 'คนของทีมปาฏิหารมีใครปกติและเข้าใจง่ายๆ บ้างเนี่ย!?!' ถึงจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยก็เถอะ

    "งั้นช่างมันเถอะ" ริโกะก็ไม่อยากจะเถียงต่อเลยปล่อยเลยตามเลย และคุมให้ทุกคนซ้อมตามปกติ โดยไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเด็กหนุ่มผมแดงตลอดไม่วางตาเลย...

     

     

     

     

     

    หลังซ้อมเสร็จเมื่อทุกคนเก็บเสร็จของกำลังจะกลับบ้าน ฝนก็จู่ๆ เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว โชคดีที่บางคนพกร่มมาด้วยก็เลยติดๆ กันกลับไปเอา

    "เฮ้! ฟุริ! กลับด้วยกันไหม?" คางามิหันมาถามเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ยังยืนนิ่งอยู่ใต้หลังคาโรงยิม

    "อ๊ะ! ไม่เป็นไรฉันเอาร่มมาอยู่..." ฟุริฮาตะสะดุ้งเล็กน้อยแล้วตอบคางามิ ก่อนที่จะกางร่มและเดินไปหาคางามิ

    "วันนี้นายไม่กลับกับคาวาฮาระกับฟุคุดะเหรอ?" คางามิถามเมื่อไม่เห็นอีกสองหน่อที่มักอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่าย

    "อืม วันนี้สองคนนั้นบอกว่ามีธุระ เลยรีบกลับน่ะ" ฟุริฮาตะตอบ ทั้งสองต่างเดินกลับด้วยกัน คุยกันไปเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านคางามิ

    "แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ! ฟุริ!" คางามิโบกมือลาอีกฝ่าย

    "อืม แล้วเจอกัน..." ฟุริฮาตะโบกมือตอบ ก่อนที่จะเดินกลับบ้านไป...

     

     

     

     

     

    "กลับมาแล้วครับ..." ฟุริฮาตะเดินเข้ามาในบ้านพร้อมหุบร่มลง

    "กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ โคกิ" หญิงสาวคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากในครัว

    "ครับ...คุณน้า" ฟุริฮาตะตอบพู้เป็นน้า ก่อนที่จะเดินขึ้นห้องตัวเองไป

    ฟุริฮาตะวางกระเป๋าไว้ข้างเตียง ก่อนที่จะล้มแผ่ลงบนเตียงอย่างหมดแแรง พลางคิดถึงเรื่องผิดพลาดที่เขาทำมันอีกแล้ว...อีกแล้ว เขาเผลอมองอาคาชิอีกแล้ว คนที่เป็นคนรักของเพื่อน ทั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้น แต่เขากลับ...เผลอรักไปเสียแล้ว

    คนหนึ่งคือเพื่อนของเขา อีกคนคือคนที่เขารัก

    เขาไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้นทั้งคุโรโกะทั้งอาคาชิ แต่...เขาควรทำเช่นไรล่ะ?

    ฟุริฮาตะทำได้เพียงถอนหายใจกับสิ่งนี้...ที่อาจทำให้เขาเสียใครไปอีกครั้ง...

    เหมือนกับตอนพ่อแม่ของเขา...

    มันเกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อน ที่พ่อแม่ของเขาได้จากไป ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นอาจเป็นเพราะ...ตัวเขาเอง

    เมื่อตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก ยังคงไม่เข้าใจอะไรมากนัก เขารู้เพียงทั้งสองเริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแทบทุกวัน และทุกครั้งพอทะเลาะกันได้สักพักแม่จะวิ่งหนีออกจากบ้านและพ่อก็จะมาทำร้ายเขาเพื่อระบายอารมณ์ พอแม่กลับมาถึงจะหยุดทำร้ายเขา เป็นแบบนั้นอยู่วนเวียนไปมาทุกวัน...

    จนมาวันหนึ่งพ่อทำร้ายเขาอย่างหนัก...หนักจนเขาไม่อย่ายอมรับมัน วันนั้นพ่อข่มขืนเขาทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน...ถึงจะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้เพราะพ่อเขาเอาผ้าปิดปากเขาไว้ ถึงพยายามขัดขืนแต่แรงเด็กย่อมสู้แรงผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว สุดท้าย...

    ...เขาก็ทำได้แต่อยู่นิ่งๆ ราวตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตเท่านั้น

    หลังจากนั้นทุกอย่างนั้นก็ยิ่งกว่านรกบนดินเสียอีก พ่อเขาเลิกทำร้ายเขา แต่กลับข่มขืนเขาทุกวันตอนแม่ไม่อยู่ ราวกับติดใจในร่างกายของเขา

    ราวกับไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าเขาจะตายไปจริงๆ...

    และทุกอย่างก็จบลง...

    วันหนึ่งเขากลับมาจากโรงเรียน เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน พร้อมที่จะเจอเรื่องเดิมเช่นทุกวัน...

    แต่เขากลับพบร่างของพ่อเขานั่งพิ่งพนักแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเขา ที่หน้าท้องของพ่อเขาถูกกรีดด้วยของมีคม เครื่องในต่างๆ ไหลออกมากองกับพื้น เลือดสีแดงเจ่อนองและสาดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ

    สภาพที่เห็นนั้นทำให้เขากรีดร้องออกมาอย่างตื่นตกใจ จนเพื่อนบ้านต่างมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็แจ้งตำรวจให้มาที่บ้านเขา

    เมื่อตำรวจมาถึงและตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบ...แม่ของเขาที่ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยเลือดถือมีดทำครัวไว้ในมือเดินออกมา ถึงเห็นว่าตำรวจมากันเต็มบ้าน ก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำอันตรายใคร แต่ทันทีที่เห็นเขา แม่กลับพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับมีดในมือนั้นแทงทะลุท้องของเขา!

    สายตาของเขาเริ่มพล่านเลือง ความรู้สึกเจ็บที่หน้าท้องทำให้สติของเขาเริ่มน้อยลงทุกที...

    สิ่งที่ของเห็นในตอนนี้คือเหล่าผู้คนต่างล็อกตัวแม่ของเขาไว้ บางคนมาดูอาการเขา เขาได้ยินเสียงคนบอกให้เรียกรถพยาบาล

    เพียงไม่นานหลังจากนั้นแม่ของเขาก็สะบัดผู้คนที่จับตัวแม่ไว้ออก แล้วเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า 'เพียงเท่านี้...พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ...อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครจะจากฉันไปได้อีกแล้ว' พอพูดจบแม่ก็เอามีดแทงคอตัวเองจบชีวิตตนในทันที

    ภาพเลือดสีแดงที่สาดไปทั่วนั้นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่จะสลบไป เขารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็หนีมาอยู่กับคุณน้าที่นี่เพื่อหนีความวุ่ยวายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...

    ภาพในวันนั้นยังคงติดตรงอยู่ในใจเขาอย่างไม่อาจลบเลือน...

    จนมาถึงตอนนี้เขาเริ่มกังวลว่า...เขาอาจจะกลายเป็นแบบแม่...กลายเป็นคนที่พรากชีวิตของผู้อื่น เพื่อความต้องการของตนเองหรือเปล่า?

    เขาต้องหาวิธี...วิธีที่จะทำให้เรื่องนี้มันจบลง...แต่เขาควรทำเช่นไรล่ะ?

     

     

     

     

     

    วันต่อมาฟุริฮาตะมาซ้อมที่โรงยิมในสภาพที่ใกล้จะกลายพันธุ์เป็นแพนด้าขึ้นทุกที เพราะเมื่อคืนเจ้าตัวมั่วแต่กังวลจนรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าเสียแล้ว

    "เฮ้! ฟุริ! ไหงขอบตาดำเป็นแพนด้าเลยล่ะ?" ฟุคุดะเดินมาตอบไหล่ฟุริฮาตะเบาๆ โดยมีคาวาฮาระตามหลังมา

    "ไม่มีอะไร แค่นอนไม่หลับน่ะ" ฟุริฮาตะหาววอกๆ เป็นรอบที่เท่าไหรไม่รู้ของเช้านี้ ทั้งสามต่างหยุดบทสนทนากันเมื่อโค้ชสุดโหดเดินเข้ามาในโรงยิม เอ่อ ที่จริงคือโดดสคิปดึ๋งๆ มา ซึ่งเป็นตัวบอกลางร้ายกับคนในทีมเป็นอย่างดี

    "เอ้า! ทุกคนฟังทางนี้! วันจันทร์นี้ฉันนัดซ้อมกับทีมซูโตคุไว้แล้ว! ดังนั้น! วันนี้ฝึก 4 เท่านะ!" พอริโกะพูดจบทุกคนก็เริ่มโอกครวญทันที

    "จะโหดยังไงก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยไม่ได้หรือไงน้าาา" ฮิวงะบ่นพร้อมเดินคอตกรับชะตากรรม

    การซ้อมตามโปรแกรมสุดโหดของริโกะทำให้ทุกคนแทบจะกลับบ้านเก่าอยู่ร่อมร่อ...ที่จริงถ้าไม่ถึงเวลาพักก่อนละก็ไม่แน่อาจมีคนกลับบ้านเก่าจริงๆ ก็ได้

    ทุกคนที่ได้พักต่างคนก็ต่างล้มแปะตรงพื้นสนามเป็นส่วนใหญ่ บางส่วนก็ออกไปล้างหน้าข้างนอก

    ฟุริฮาตะที่เดินออกมาล้างหน้าที่นอกโรงยิม และกำลังจะกลับเข้าไปนั้น สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้า...

    ...ภาพที่อาคาชิกำลังจูบคุโรโกะอยู่

    ทั้งคู่ต่างยังไม่รู้ตัวว่าฟุริฮาตะเห็นฉากนี้เข้า เจ้าตัวเลยวิ่งออกจากจุดนั้นก่อนที่ทั้งสองจะเห็นเขาเข้า

    แล้วฟุริฮาตะก็ไปหยุดอยู่ตรงที่ห่างจากสองคนนั้นพอสมควร ในหัวต่างมึนตึนไปหมด ก่อนที่ภาพตรงหน้าเขาจะเริ่มเบลอไปด้วยน้ำตา...

    เขาควรทำไงดี? เขาควรทำไงให้ความรู้สึกนี้หายไป...

    ฟุริฮาตะเหม่อมองท้องฟ้า บางสิ่งบางอย่างฟุดขึ้นมาในใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับตอกย่ำให้ทำสิ่งนั้น...

    โดยฟุริฮาตะ โคกิไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนนั้นเต็มไปด้วย 'ความริษยา' บดบังความจริงไปหมดเสียแล้ว...

     

     

     

     

     

    วันนี้เป็นอีกวันที่ทีมเซรินต่างลากขากลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนกับการซ้อมสุดโหด...

    คุโรโกะกับอาคาชิเดินด้วยกันอย่างมีความสุขตามภาษาคู่รัก โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกตามโดยใครบางคน...

    ฟุริฮาตะแอบตามทั้งสองมาสักพัก ก่อนที่เริ่มเข้าไปใกล้เรื่อยๆ อย่างแนบเนียนจนทั้งสองไม่รู้ตัว ในมือกำมีดคัตเตอร์เอาไว้แน่น จนเมื่อมามานั่งพักในสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีคนผ่านเหมาะแก่การลงมือ ตอนนี้ฟุริฮาตะก็อยู่ในระยะที่พอจะลงมือได้แล้วจากด้านหลังและลงมีดใส่หมายปลิดชีพทั้งสอง!!!

    แต่ก่อนที่จะได้ฆ่าใครไป มืออันสั่นเทานั้นก็หยุดชะงักนิ่ง ก่อนที่ฟุริฮาตะจะไปหลบอยู่หลังต้นไม้ และเดินออกจากสวนสาธารณะไป

    "มีอะไรเหรอเท็ตสึยะ?" อาคาชิมองคุโรโกะที่จู่ๆ ก็หันกลับไปมองด้านหลังของพวกตน

    "ไม่มีอะไรหรอกครับ...สงสัยผมคิดไปเอง" คุโรโกะยิ้มตอบปัดๆ ไป แม้ในใจอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกี้เหมือนเห็นเพื่อนในทีมตนแวบๆ

    ทางด้านฟุริฮาตะที่ตอนนี้เดินอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ พลางเก็บคัตเตอร์ลงในกระเป๋า...และคิดถึงสิ่งที่เขาเกือบจะทำมันไปเมื่อกี้ รอยยิ้มอย่างมีความสุขของทั้งสองดึงสติของเขากลับมา เลยทำให้เขาหยุดมือไว้ได้ทัน

    ให้ตายเถอะ!...นี่เขาทำบ้าอะไรเนี่ย?! เขาเกือบฆ่าคุโรโกะกับอาคาชิไปแล้ว!!!

    ฟุริฮาตะบ่นในใจอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าเขาทำอย่างนั้นลงไปได้อย่างไร?! สงสัยเขาคงต้องไปหาจิตแพทย์แล้วมั้ง?! ทำไมอยู่ๆ เขาถึงทำอะไรโดยไม่คิดอย่างเนี่ย!

    ถึงที่จริงเขาควรเข้าหาจิตแพทย์ตั้งแต่เมื่อ 9 ปีก่อน ที่ทางโรงพยาบาลบอกว่าเหตุการณ์นั้นอาจจะฝังใจเขา และเผลอมีอาการแบบเดียวกับแม่เขาก็ได้ แต่ด้วยนิสัยของเขาทำให้พวกคณะแพทย์ทั้งหลายลงมัติว่าคงไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ เลยปล่อยเขาออกมาทั้งอย่างนั้น...

    ...ขณะที่คิดไปคิดมาโดยไม่ทันรู้ตัวเขามายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนเซรินเสียแล้ว เขายืนเกาหัวแกรดๆ อย่างงงๆ ที่ตัวเองเดินมาถึงที่นี่ได้ยังไงไม่รู้

    และขณะที่ยืนงงอยู่นั้นเองโดยไม่ทันตั้งตัวก็มีเสียงของผู้คนมากมายดังขึ้น

    "อันตราย!!!" พร้อมกับร่างของเขาถูกบางอย่างชนเข้าจนถลาไปไกล และรู้สึกเจ็บแปรบจนด้านชา ตอนนี้เขาเห็นทุกอย่างเป็นสีแดงไปหมด เสียงกรีดร้องและความชุลมุลวุ่นวายดังไปทั่วทั้งบริเวณ

    ฟุริฮาตะได้ยินเสียงคนร้องด้วยความตื่นตนกจากรอบข้างและได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถที่ใกล้ๆ เขาก่อนที่จะห่างออกไป

    "เฮ้ย! มีรถชนเด็กแล้วหนี! เรียกตำรวจกับรถพยาบาลเร็ว!" เสียงจากผู้คนรอบข้างทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น...เขากำลังจะตายสินะ

    น่าแปลกที่เขาไปรู้สึกกลัวเลย คงเพราะที่จริงเขาควรตายไปตั้งแต่ 9 ปีก่อนแล้วและ...คงเป็นผลกรรมที่เขาควรได้รับจากที่เขาคิดจะฆ่าคนอื่น และเกือบฆ่าไปจริงๆ...

    ...แต่ก็ดี อย่างน้อยเขาคงไม่เผลอฆ่าสองคนนั้นอีกแน่นอนล่ะ

    สติของฟุริฮาตะเริ่มที่จะเลือนลางลงทุกที ลมหายใจก็เริ่มขาดช่วง...คราวนี้เขาคงได้ตายจริงๆ แล้วสินะ อย่างไรก็ช่างแต่...

    ...คุโรโกะ อาคาชิ ขอให้พวกนายมีความสุขนะ

    "ฟุริ!!!"

     

     

     

     

     

    เหล่าทีมบาสเซรินยืนอยู่นิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณป้ายหนึ่ง...นี้เป็นเวลาสองสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ฟุริฮาตะ โคกิได้จากไป

    ทุกคนทราบข่าวว่าฟุริฮาตะเสียชีวิตจากคางามิ ไทกะ เอชของชมรมที่เห็นเหตการณ์เข้าพอดี...

    วันนั้นพอดีของในบ้านของคางามิหมดพอดี เจ้าตัวเลยออกไปซื้อ พอกำลังจะเข้าไปซื้อของ ก็เหลือบไปเห็นฟุริฮาตะที่ยืนเกาหัวงงๆ อยู่หน้าโรงเรียนพอดี และขณะที่กำลังจะทัก รถที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้แหกโค้งมาชนฟุริฮาตะที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียนเข้า...สิ่งที่เกิดขึ้นช่างรวดเร็วจนคางามิได้แต่ยืนมองอย่างตกตะลึงกับภาพที่เพื่อนของตนรถถูกชนถลาไปไกลก่อนที่รถคันนั้นจะขับหนีไป

    เสียงของคนที่เข้าไปมุงดูดึงสติของคางามิกลับสู่ความจริงตรงหน้า และคางามิก็รีบฝ่าเข้าไปดูอาการของเพื่อนตน

    ภาพร่างของฟุริฮาตะราวกับเป็นตุ๊กตาที่พังแล้ว ร่างกายบางส่วนถูกดัดจนผิดรูป เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเปอะเปื้อนไปทั่ว ทำให้คางามิแทบบ้ายิ่งลมหายใจของอีกฝ่ายเริ่มแผ่วเบาลงทุกที

    'ฟุริ!!!' คางามิเรียกอีกฝ่ายหวังว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่...ถึงแม้โอกาสที่จะรอดนั้นน้อยมากแค่ไหนก็ตาม

    'หลีกหน่อยครับ!" รถพยาบาลกับตำรวจที่มาถึงต่างกันพวกที่มุงอยู่ให้ออกห่าง และเพียงไปนานร่างของฟุริฮาตะก็ถูกนำขึ้นรถพยาบาลไป

    คางามิมองรถพยาบาลที่ขับห่างออกไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อนของตน ขณะที่ตอนนี้พวกตำรวจต่างสอบถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนมาถึงคางามิ

    'คุณเห็นไหมครับว่ารถคันนั้นสี ยี่ห้อและทะเบียนอะไร' นายตำรวจคนหนึ่งเดินมาหาคางามิเพื่อสอบถามด้วยสีหน้าเหมือนกลุ้มใจ เพราะเท่าที่ถามผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีใครทันสังเกตเลย

    'ยี่ห้ออะไรผมไม่รู้ รู้แค่เป็นรถเก๋ง สีน้ำเงิน ทะเบียนxxxครับ' คางามิตอบอย่างชัดเจน เขาจำได้อย่างแม่นยำถึงรถคันนั้น...ที่ชนเพื่อนของเขา

    'ขอบคุณครับที่ให้ความร่วมมือ' ตำรวจคนนั้นกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินไปสอบถามคนอื่น

    'ขอโทษครับ เอ่อ คนเจ็บถูกส่งไปโรงบาลไหนครับ?' คางามิถามตำรวจอีกคนที่อยู่แถวนั้นพอดี

    'โรงพยาบาล...ครับ' นายตำรวจคนนั้นตอบคางามิก่อนที่จะไปทำงานของตัวเองต่อ ส่วนคางามิพอได้ยินคำตอบก็รีบนั่งแท๊กซี่ไปที่โรงพยาบาลทันที

    'ขอโทษครับ คนที่ถูกรถชนแล้วหนีที่เพิ่งพามาเมื่อกี้อยู่ไหนเรอครับ!?!' ทันทีที่มาถึงคางามิก็ถามพยาบาลที่หน้าเคารเตอร์ทันที

    'อยู่ห้องที่ ICU ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติคนไข้หรือเปล่าค่ะ?' พยาบาลสาวถามคางามิ เนื่องจากวันนี้ฟุริฮาตะไม่ได้เอาบัตรนักเรียนมานอกจากชื่อที่ปักอยู่กระเป๋าสะพายแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงไม่สามารถติดต่อญาติของคนไข้ได้เลย อย่างน้อยถ้าคางามิะอรู้จักกันน่าจะมีทางติดต่อได้บาง

    'เปล่าครับ'

    'งั้นคุณช่วยติดต่อ...' ทางพยาบาลสาวที่พูดอยู่ ก็ถูกคางามิตัดบทเสียก่อนด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อนตนที่ตอนนี้เป็นไงบ้างก็ไม่รู้!

    'เดี๋ยวผมติดต่อให้ครับ!' แล้วคางามิก็วิ่งไปทางห้อง ICU พร้อมล้วงมือถือออกมาโทรหาคุโรโกะ เพราะเขาไม่รู้จักบ้านและไม่รู้เบอร์บ้านของฟุริฮาตะ จะโทรหาฟุคุดะกับคาวาฮะก็ดันลืมบันทึกไว้เลยไม่รู้ว่าเบอร์ไหน ดังนั้นโทรหาคุโรโกะเป็นทางที่ง่ายที่สุดสำหรับเขา...

    'คุโรโกะ! นายมีเบอร์บ้านฟุริไหม!?!' ทันทีอีกฝ่ายรับสาย คางามิไม่รอช้าถามทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมาเลย

    'ไม่มีครับคางามิคุง'

    'แล้วเบอร์ฟุคุดะล่ะ!?! ของคาวาฮาระก็ได้!'

    'มีของทั้งสองนั้นแหละครับ...ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?' คุโรโกะที่จับน้ำเสียงที่ตกตะหนกของคางามิได้ถามอย่างสงสัย

    'เอาเถอะน่า! บอกเบอร์ให้สองคนนั้นที!' คางามิไม่อยากทำเรื่องยุ่งยากอย่างการมาบอกทีล่ะคนหรอกนะ!

    'งั้นผมต่อสายหาสองคนนั้นเลยดีกว่า ผมจะได้ฟังด้วย..."

    'เอางั้นก็ได้! รีบเร็วเข้า!' คางามิพูดขณะที่ตอนนี้ได้ยืนอยู่หน้าห้อง ICU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    'อืม คุโรโกะมีอะไรเหรอ?' คาวาฮาระถามทันทีที่รับสาย

    'มีอะไรคุโรโกะ? ถึงได้ประชุมสายพวกฉันสองคน?" ฟุคุดะที่รับสายจากคุโระโกะถาม

    'คางามิคุง ถามหาเบอร์พวกคุณน่ะครับ ถามก็ไม่ยอมบอก ผมก็เลยประชุมสายซะเลย...' คุโรโกะไม่ค่อยสนใจที่เพื่อนทั้งสองของตนเท่าไหร่นัก ตอนนี้เขาสนใจแสงของตนที่มีท่าทีแปลกๆ ต่างหาก 'ตกลงว่าไงครับ?...คางามิคุง'

    'เอาง่ายๆ สั้นๆ นะ' คางามิสูดหายใจเตรียมใจที่โดนเพื่อนตกใจหลุดมาดไว้เลย เพราะเรื่องนี้เรื่องใหญ่จริงๆ 'ฟุริถูกรถชน...'

    '...ว่าไงนะ!!!/ว่าไงนะครับ!!!' ทั้งสามอึ้งอยู่สักพักก่อนที่จะตะโกนเสียงออกมาพร้อมกัน 'แล้วทำไมเพิ่งมาบอกล่ะฟะ!/ครับ! แล้วตอนนี้นาย/คุณอยู่ไหนเนี่ย!?!'

    'เอ่อ โรงพยาบาล...น่ะ'

    ตื้ด ตื้ด ตื้ด

    พอได้คำตอบทั้งสามก็ตัดสายในทันทีคาดว่าคงจะรีบมาที่โรงพยาบาลนี่แหละ...

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่รู้คุโรโกะ ฟุคุดะกับคาวาฮาระรวมอาคาชิด้วยทำอีท่าไหนเล่นรู้และมากันทั้งทีมเลย!

    'คางามิคุง! ตกลงเกิดอะไรขึ้น! ฟุริฮาตะคุงเป็นยังไงบ้าง?!' ริโกะทันทีที่เจอหน้าคางามิก็รีบเขย่าคอถามทันที

    'โคกิ...จะไม่เป็นไรใช่ไหม?...' หญิงสาวคนหนึ่งถามคางามิคาดว่าน่าจะเป็นน้าของฟุริฮาตะ เพราะพวกเขาพอรู้ว่าฟุริฮาตะอยู่กับน้าสาวแค่สองคนเท่านั้น

    'เอ่อ ผมไม่รู้ว่าฟุริเป็นไงบ้าง หมอก็ยังไม่ออกมาเลย...' เมื่อได้ยินคำตอบน้าสาวก็ทำเพียงนั่งรอและหวังเพื่อหลานชายของเธอจะไม่เป็นไร

    'ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่! คางามิ!' ฮิวงะที่ดูเหมือนเริ่มฟิวส์ขาดถามคางามิ

    'ใจเย็นก่อนน่า ฮิวงะ' คิโยชิรีบพยายามทำให้เพื่อนตนอารมณ์เย็นลงก่อยที่จะเจื้อนรุ่นน้องตนเอง 'คางามิรีบเล่าเถอะ เดี๋ยวฮิวงะตื้บไม่รู้ด้วยน้า'

    'คือว่าผม...' และคางามิก็เล่าเรื่องที่เห็นทั้งหมดให้ฟังก่อนที่จะโดนกัปตันทีมตนตื้บจริงๆ

    '...ฉันชักอยากตื้บไอ้คนขับชอบกล' ฮิวงะพึมพำออกมาเบาๆ

    'เห็นด้วยอย่างยิ่ง...' ขนาดคิโยชิยังเห็นด้วย

    'ผมว่าใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าครับ' สุดท้ายเรื่องถกเถียงทั้งหลายก็จบด้วยการห้ามปรามของคุโรโกะ

    ทุกคนตอนนี้ต่างนั่งรอลุ้นอยู่ที่หน้าห้อง ICU หวังว่าอีกฝ่ายจะออกมาในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่ จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมงหมอคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้อง ICU

    เมื่อเห็นมีหมอออกมาคนหนึ่งก็กรุเข้าไปถามทันที

    'หมอค่ะ โคกิเป็นไงบ้างค่ะ!?!' น้าสาวของฟุริฮาตะถามหมอย่างตั้งความหวังแต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบจากหมอ

    'หมอเสียใจด้วยครับ...คนไข้เสียชีวิตแล้ว' คำพูดของผู้เป็นหมอนั้นดั่งเหล็กแหลมเสียบกลางใจของทุกคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ ทุกคนต่างร่ำไห้กับการจากไปของฟุริฮาตะ โคกิซึ่งไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว...

    สองวันต่อมางานศพของฟุริฮาตะ โคกิถูกจัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าโศกของทุกคน เหล่าผู้คนต่างมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

    แต่ว่าคนที่ขับรถชนแล้วหนีตอนนี้ทางตำรวจก็ยังจับไม่ได้ ทางคุโรโกะที่อยากให้คนผิดเข้าคุกเพื่อทวงความเป็นธรรมให้เพื่อนเขาก่อนที่ร่างนั้นจะถูกเผาไปก็ได้ขอร้องอาคาชิให้ช่วย และด้วยเวลาไม่ถึงวันทางตระกูตของอาคาชิก็จับตัวคนร้ายได้อย่างง่ายดาย...แถมมีรายการเห็นคนโดนกระทืบด้วยอีกแนะ แล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเศร้านี้ขค้นเกิดจากคนขับรถวันนั้นเมาแล้วขับ พอเกิดชนคนเข้าก็กลัวความผิดเลยขับหนีไปจนอาคาชิใช้วิธีไหนไม่รู้จับได้นี่แหละ

    กลับมา ณ ปัจจุบัน เหล่าทีมเซรินต่างยืนไว้อาลัยหน้าป้ายวิญญาณของเพื่อนร่วมของพวกเขาเอง...

    "หลับให้สบายนะฟุริ..." ฟุคุดะพูดอย่างเศร้าสร้อย เขายังทำใจไม่ได้ที่เพื่อนที่สนิกกันมาก จู่ๆ ก็จากไปเช่นนี้ ทางคาวาฮาระก็ไม่ต่างกันเพียงแต่เจ้าตัวเก็บอารมณ์ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ออกมาจนคนในทีมต่างต้องช่วยกันปลอบ

    ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ทุกคนก็ค่อยๆ ทะยอยออกไปจากสุศาล เหลือเพียงเด็กหนุ่มผมสีเพลิงที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จ้องสิ่งที่อยู่ในมือตนอย่างไม่วางตา

    "ถ้าวันนั้นฉันช่วยนายได้บ้างก็คงดีสินะ" คางามิพูดราวกับต้องการให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงของเขา...แม้สักนิดก็ยังดี

    "นี่นายคงไม่รู้สินะ...ว่าฉันอยากเจอนายแค่ไหน..." คางามิยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ "ฉันยังอยากคุยกับนาย อยากที่จะเห็นรอยยิ้มของนาย และ..."

    คางามิยิ้มบางๆ ออกมาราวกับยิ้มเยาะตนเอง "...มันคงจะดีถ้าฉันได้บอกว่า 'รัก' นายมากแค่ไหนก็คงดี"

    ถึงแม้รู้ว่ามันสายเกินไปแล้วก็ตาม คางามิมองรูปที่เขาถ่ายกับอีกฝ่ายในรอบชิง wc ภาพที่เขากอดคออีกฝ่าย มืออีกข้างลูบหัวของเงาของเขาอยู่ ส่วนข้างๆ หมอนั้นมีฟุคุดะกับคาวาฮาระยืนอยู่

    คางามิยังคงยืนนิ่งมองรูปถ่ายในมือตนที่ถูกลมพัดจนรูปสั่นไหวจนน่ากลัวว่ามันจะขาด ราวกับจะรอให้สายลมพัดพาความรู้สึกของเขาส่งไปยังอีกฝ่าย...

     

     

     

     

     

    END

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×