คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #185 : [???] WD 3
Title : WD 3
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : All+Shiko
Notes : เรื่องยาวมาแล้วจ้า! ยังคงความมั่วบวกไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม กรุณาทำใจก่อนอ่านจ้า!
.....................................................................................
WD 3
“ไม่เอา!!! ใครก็ได้ช่วยเราด้วยยยย!!!” เสียงดังแปดหลอดที่ดังขึ้นมาเป็นการรับเช้าวันใหม่ทำให้หนุ่มผมสีน้ำเงินดำที่กำลังหลับสบายสะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มตาในทันใด
“หือ? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? นี่คิ...” ชายหนุ่มหันไปด้านข้างหมายจะถามบุคคลที่นอนห้องเดียวกับตน ทว่าเจ้าตัวกลับพบว่าข้างกายตนตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น “...ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกหว่า?”
ยามาโตะโนะคามิ ยาสุซาดะเกาหัวตัวเองแกร็งๆ พลางตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปดูว่าสาเหตุของเสียงที่ปลุกตนเมื่อครู่คืออะไรด้วยความอยากรู้และพอเดินข้ามทางเชื่อมบ้านมาเจ้าตัวก็พบว่าเด็กหนุ่มทั้งหลายรวมทั้งคนในกลุ่มตนแทบทั้งหมดนั้นตอนนี้มายืนมุงอะไรสักอย่างที่หน้าห้องห้องหนึ่ง “นี่ๆ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? เสียงดังเชียว”
“ไม่มีอะไรหรอก” คาเนะเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายอยากจะหัวเราะ
“หน้าเจ้าไม่เป็นตามที่พูดเลยนะ” ยามาโตะส่ายหน้าไปมาก่อนแซรทตัวเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องและ...ถึงกับเอ๋อกินในเวลาต่อมาเมื่อเห็นว่าห้องพักห้องหนึ่งที่ถูกเปิดประตูทิ้งไว้นั้น ภายในห้องยามนี้มีเด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยคนหนึ่งกำลังล็อกแขนหญิงสาวที่ดิ้นพล่านๆ ราวผีเข้ากับหนุ่มผมน้ำตาลแดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีกำลังรื้อบางอย่างในตู้ภายในห้องนั้นอยู่ “เล่นอะไรกันล่ะนั้น?”
“ไม่รู้สิ ออกมาก็เห็นสองคนนั้นพยายามจับนางแต่งตัวแบบนี้แล้ว” อาโอเอะหัวเราะหึๆ กับสภาพสาวเจ้าที่เหมือนกำลังจะโดนเชือดยังไงไม่รู้
“อย่าเอาแต่พูดแล้วมาช่วยกันหน่อยสิพวกนาย!!!” ชิโกะที่โดนจับล็อกแขนอยู่โวยลั่น
“ไม่เอา” หนุ่มดาบทั้งหลายปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
“ใจร้าย!” ชิโกะทำแก้มป่อง
“น่าๆ อย่าบ่นน่าชิโกะ แค่แต่งตัวน่ารักๆ มันไม่ถึงตายหรอกน่า” มิบุจิที่หาโอกาสทำให้รายนี้เป็นผู้เป็นคน (?) ขึ้นมานานแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนอารมณ์ดีสุดแสน
“แต่น่าอายโคตรๆ เลยเฟ้ย!” ชิโกะแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นดังต้นเหตุของเรื่องในคราวนี้...ตอนแรกคิดอยู่ว่าอยู่ๆ มาเคาะห้องทำไม พอเปิดประตูและให้เข้าห้องได้เท่านั้นแหละเล่นซะ!
“เป็นสาวเป็นนางแต่งตัวน่ารักไม่มีใครว่าหรอกน่า” คะชูเอ่ย “แค่ตู้เสื้อผ้าเจ้านี่มีชุดเยอะจังนะ ขนมาไงเนี่ย?”
...เท่าที่จำได้รายนี่บอกว่าโดนส่งมานี่หว่า? แล้วเสือผ้ามากมายนี่มาจากไหน?...
“ขี้เกียจคิดว่าจะเอาเสื้อผ้าตัวไหนมาเลยเชื่อมต่อตู้กับตู้เสื้อผ้าที่บ้านตัวเองไว้สินะ?” ไม่ต้องคิดให้เปลื้องสมองมิบุจิก็สามารถเดาสาเหตุได้อย่างง่ายดาย
“ถูก” ชิโกะพยักหน้ารับตามประสาคนขี้เกียจเถียง
“อ๋อ สรุปนี่มาจากบ้านเจ้าโดยตรงสินะ” คะชูที่ปกติก็ไม่ค่อยเข้าใจที่คนพวกนี่พูดกันนักขานรับส่งๆ “โอ๊ะ มียูคาตะด้วย...ข้าว่าเจ้าใส่ชุดนี่ดีกว่า ดูน่ารักดีนะ”
“...เธอมียูคาตะได้ไงเนี่ย?” มิบุจิถาม...เพราะในโลกจริงๆ ของรายนี่ไม่น่ามีโอกาสได้ใส่ชุดอะไรแบบนี้นิ?
“เคยมีคนเอามาฝากตอนช่วงที่ทางโรงเรียนเราให้แสดงเป็นตัวแทนจากญี่ปุ่นน่ะ” ชิโกะตอบ
“อ๋อ” มิบุจิพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “แสดงว่าเคยใส่สินะ? งั้นดี...ใส่วันนี้ไปอีกวันให้คุ้มกับที่ได้มาหน่อยแล้วกันเนอะ”
“ไม่อ้าวววววว” ชิโกะร้องโหยหวน (?) พลางดิ้นพล่านๆ ราวผีโดนน้ำมนต์
“ถ้ายอมใส่ฉันจะถ่ายตอน×××มายุซังคืนนี้ให้ดู” มิบุจิที่กลัวสาวเจ้าจะดิ้นหลุดแล้วป่วนไปทั่วบ้านรีบหาของมาล่อ
“เฮ้ย! ฉันเกี่ยวไรเนี่ย!?” คนผมเงินที่อยู่ๆ โดนกล่าวถึงสะดุ้งโหยง...แววความซวยลอยมาแล้วไง!
“จริงดิ!?” ทางชิโกะเมื่อได้ยินแบบนี้ก็ตาวาวขึ้นมา
“จริง เพราะงั้นใส่ซะ” มิบุจิยิ้มหวาน
“ใช่เลย~ ถ้าใส่ข้าอาจจะแถมของข้ากับยาสุซาดะด้วย” คะชูเอ่ยเสริมก่อนที่จะก้มหลบบางสิ่งอย่างรวดเร็ว
“เจ้าอยากหัวหลุดใช่ไหม?” ยามาโตะที่ขว้างข้าวของใส่ชาวบ้านเมื่อครู่แสยะยิ้มเหี้ยมๆ
“ไม่ และเจ้าไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก” คะชูเอ่ยอย่างท้าทาย
“ลองดูไหมล่ะ?” ยามาโตะคิ้วกระตุกยิกๆ
“เอาๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิครับ” อาคาชิที่เห็นว่าปล่อยไว้มีแววจะวุ่นวายกว่าเดิมรีบห้ามทัพ “เรโอะไปช่วยทำข้าวเช้าหน่อยอย่างเพิ่งแกล้งจิฮิโระสิ ส่วนชิโกะ...จะแต่งตัวหรืออะไรก็เชิญ แต่ทำตัวเป็นผู้เป็นคนหน่อยแล้วกัน”
“เราก็เป็นผู้เป็นคนนะ~~~” ชิโกะลากเสียงยาวอย่างกวนโอ๊ยสุดแสน
“อย่างเธอไม่ค่อยเหมือนนะ” อาคาชิเอ่ยพลางกวัดมือเรียกให้มิบุจิตามตนไป ทางมิบุจิเองก็ไม่บ้าพอท้าทายอำนาจมัจจุราชสีแดงก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี
“...นี่ข้าคิดไปเองหรืออาคาชิเขาดูน่ากลัวแปลกๆ เนี่ย?” อิชิคิริมารุไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือว่าเด็กหนุ่มผมแดงปล่อยรังสีชวนอึดอัดออกมาจริงๆ ก็มิทราบ
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” อาโอเอะแม้ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีแต่ก็อดพยักหน้ารับเสียมิได้
หลังจากที่อาคาชิลากตัวมิบุจิไปแล้วและชิโกะยอมแต่งตัวตามที่มิบุจิบอกเรียบร้อยแล้ว นายคะชู คิโยมิสึก็ทำการจับสาวเจ้าไปแต่งหน้าทำผมเป็นรายการต่อไปทันที ส่วนเหล่าหนุ่มๆ ที่เหลือก็พากันมานั่งเล่นในห้องนั่งเล่นที่ใช้เป็นห้องอาหารด้วยเพื่อรอทานอาหารเช้าและรอให้คะชูกับชิโกะมารวมกลุ่มด้วย
“...คิโยมิสึไปจับนางแต่งหน้านานไปไหมเนี่ย?” ยามาโตะบ่นน้อยๆ หลังจากรอมาได้สักพัก
“ถ้านับจากเวลาที่บอก...แค่ห้านาทีกับการแต่งหน้าไม่นานนักหรอก” มิบุจิที่อยู่ในครัวติดๆ กับห้องนั่งเล่นส่งเสียงตอบกลับมา
“แต่ข้าว่าแต่งยังไงก็ไม่ขึ้นหรอก” ฮิสะมารุไม่คิดว่าม้าดีดกะโหลกอย่างนั้นจะแต่งตัวดูเป็นสาวขึ้นมาได้หรอก
“ก็ไม่แน่นะน้องชาย” ฮิเกะคิริหัวเราะร่า
“นั้นสิ อาจดูขึ้นก็ได้นะ” คางามิเอ่ย
“มันคงไม่แย่นักหรอกครับ” คุโรโกะไม่คิดว่าคนที่เดิมทีก็ไม่ได้ดูแย่อะไร แต่งตัวแล้วคงไม่ดูแย่ลงหรอก
“แต่ถ้าพวกนายบอกว่าเราอุบาท์มากแล้วเราไม่โดนแต่งแบบนี้อีกห็ดีนะ”
“เหวอ!” หนุ่มๆ ทั้งหลายพากันสะดุ้งโหยงกับเสียงหวานๆ ที่ดังขึ้นมาในระยะใกล้และหันไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะ...ตัวแข็งทื่อราวถูกสาปกันในเวลาต่อมา เมื่อภาพที่ปรากฏเข้ามาสู่สายตานั้น...
...คือภาพของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดยูคาตะสีชมพูหวานขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย โอบิสีม่วงถูกผูกเป็นโบอย่างสวยงาม ผมสีออกน้ำตาลถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยสูง สวมต่างหูแบบเรียบง่ายที่มีอัญมณีสีแดงห้อยลงมา ดวงหน้าถูกจัดแต่งเพียงเล็กน้อยพอสวยงามเนื่องจากเครื่องหน้าแต่เดิมก็มีเค้าสาวหวานอยู่แล้วเลยไม่ต้องแต่งมากนัก...ดูยังไงคนตรงหน้านี่ก็คือสาวงามชัดๆ!
“เฮ้ เป็นไรไปพวก?” สาวเจ้าโบกมือไปมาตรงหน้าแต่ล่ะคนที่ตาค้างกันในยามนี้
“ชิโกะเหรอ?” ฟุริฮาตะที่ตั้งสติได้คนแรกถาม
“คิดว่าใครล่ะพวก” ชิโกะถามกลับอย่างกวนๆ ตามสไตท์
“...ไม่คิดว่าอย่างเธอจะแต่งขึ้นด้วย” คางามิถึงแม้คิดว่าอาจจะแต่งขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะดูดีขนาดนี้
“ถ้าบอกไม่ขึ้นเราจะดีใจกว่าเสียอีก” ชิโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถ้าบอกว่าไม่ขึ้นอย่างน้อยก็รับรองได้ว่าไม่โดนแต่งบ้าๆ นี่อีกแน่!
“เธอช่วยดีใจให้เหมือนผู้หญิงปกติแทนเถอะ” มายุสุมิคุมขมับอย่างปลงๆ กับสาวเจ้า
“ไม่เอา” ชิโกะส่ายหน้าวืด
“ทำตามที่มายุซังบอกก็ดีนะ” มิบุจิที่ทำข้าวเช้าเสร็จแล้วยกอาหารมาจากครัวมาวางบนโต๊ะก่อนที่จะใช้ถาดที่ยกอาหารเมื่อครู่ตีหัวสาวเจ้าเบาๆ “อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังไม่ชอบแต่งตัวอีก”
“จะยี่สิบสองแล้ว” ชิโกะสวนกลับทันควัน
“ไม่ต้องบ้าจี้ตอบก็ได้นะ” มิบุจิกรอกตาไปมา
“เออ...เดี๋ยวนะ นี่เจ้าเกินยี่สิบแล้วเหรอ?” คะชูที่ฟังบทสนทนาเมื่อครู่เองแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเหวอๆ
“ใช่ ทำไมเหรอ?” ชิโกะถามกลับอย่างงงๆ
“เอาจริงดิ...” ยามาโตะคุมขมับเช่นเดียวกับคู่หูตนที่แข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้วเมื่อได้รับคำตอบ “...ข้าคิดว่าเพิ่งสิบห้าสิบหกเสียอีก!”
...เล่นทำตัวบ้าๆ บอๆ ขนาดนี้ทำเอาเขาคิดว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะเลย!...
“ถึงเราไม่สูงก็ใช่ว่าเราจะเด็กสักหน่อย!” ชิโกะทำแก้มป่อง
“ความสูงไม่ใช่ประเด็นนะครับ” คุโรโกะไม่คิดว่าที่สาวเจ้าโดนเข้าใจผิดเรื่องอายุนี่ไม่เกี่ยวกับความสูงหรอก...นิสัยกับหนังหน้าล้วนๆ
“เอ้าๆ เลิกเถียงกันแล้วรีบมากินข้าวเถอะน่า! ฉันยังไม่อยากโดนไอ้บทบ้าๆ นั้นนะ!” คางามิซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่จะต้องเดินไปอ่อยซอมบี้ในวันนี้เอ่ยก่อนที่ความวุ่นวายจะมาเยือนอีกรอบ...ซึ่งแน่นอนว่าไอ้ความวุ่นวายในแต่ล่ะรอบนั้นไม่เคยปกติกับเขาสักทีแน่นอน
“โอเคๆ” เหล่าหนุ่มๆ บวกอีกหนึ่งหญิงสาวขานรับก่อนที่จะเริ่มลงมือทานอาหารเช้ากันโดยว่องแล้วพอกินเสร็จกลุ่มที่โดนให้ไปสำรวจเมืองซอมบี้ก็พากันเดินทางไปยังจุดกันในทันที
ทางเหนือ (อาคาชิกับฟุริฮาตะ)
เส้นทางเดินอันเงียบสงบท่ามกลางป่าคอนกรีดขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มผมแดงและน้ำตาลกำลังก้าวเดินไปอย่างช้าๆ แบบไม่เร่งรีบ ดวงตาของทั้งสองกวาดมองไปรอบๆ ตลอดทางหากแต่ก็ไม่เจอสิ่งใดเคลื่อนไหวเลย
“อาคาชิ...” ฟุริฮาตะที่ทนความเงียบไม่ไหวเอ่ยเรียดคนข้างกาย
“มีอะไรเหรอ?” อาคาชิถามกลับ
“มันเงียบไปไหมเนี่ย?” ฟุริฮาตะเอ่ย
“เงียบก็ดีแล้วนิ หรือนายอยากให้มีอะไรโผล่มา?” อาคาชิยิ้มน้อยๆ
“ไม่ล่ะ แบบนี้แหละดีแล้ว แค่แปลกใจเฉยๆ” ฟุริฮาตะที่ไม่บ้าพออยากถูกไอ้ที่ไม่ใช่คนไล่
หรอก “หวังว่าที่เงียบๆ นี่คือพวกซอมบี้มันไปอัพเลเวลตัวเองหรอกนะ”
“ไม่มั้ง แต่ถ้าทำจริง ต่อให้มาฉันก็ไม่ยอมให้มันแตะต้องนายหรอก” อาคาชิยังคงยิ้ม หากแต่แววตานั้นบ่งบอกว่าที่พูดนั้นเจ้าตัวเอาจริง
“ฉันดูแลตัวเองได้น่า” ฟุริฮาตะทำหน้างอ
“รู้ แต่ฉันอยากดูแลนายนิ” อาคาชิแอบเนียนไปเลื้อยมือไปโอวเอวคนผมน้ำตาล“รับรองไม่ยอมให้ตัวอะไรไต่ตอมเลย อะไรมาทำอะไรโคกิพ่อจะเจื่อนให้หมดเลย”
“อย่าพูดเหมือนจะขอแต่งงานได้ไหมเนี่ย” ฟุริฮาตะพอฟังแล้วอดอายแทนไม่ได้จริงๆ ...พูดออกมาหน้าไม่อายเลยเนอะ!
“ได้ งั้นเดี๋ยวฉันขอโคกิแต่งงานมันตอนนี้เลยแล้วกัน” อาคาชิพูดหน้าตาย
“อื้ม...เฮ้ย! ไหงงั้นล่ะ!?” ฟุริฮาตะที่เกือบเออออตามแว๊ดลั่น
“ก็นายบอกอย่าพูดเหมือนจะขอแต่งงาน ฉันเลยขอแต่งมันซะเลย จะได้ไม่เหมือนจะไง” อาคาชิยักไหล่น้อยๆ
“ไม่เหมือนจะแต่เอาจริงเลยเหรอ!?” ฟุริฮาตะไม่คิดเลยว่ารายนี้จะมามุขนี้
“ใช่ เดี๋ยวกลับไปเมื่อไหร่จัดงานเลยแล้วกัน” อาคาชิเอ่ย...ที่จริงตอนแรกกะแค่แกล้งเล่น แต่พอเห็นสีหน้าแบบนี้ชักอยากเอาจริงแล้วสิ
“อย่านะ!” ฟุริฮาตะรีบห้ามและในขณะนั้น...เสียงโหยหวนเบาๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างอันเน่าเปื่อยเดินลากขาเข้ามาใกล้
“เฮ้อ ทำไมต้องมีตัวอะไรมาขัดจังหวะสำคัญด้วยเนี่ย” อาคาชิฟาดกรรไกรขนาดยักษ์ใส่ซอมบี้ที่เข้ามาถึงตนอย่างรวดเร็ว “บังอาจมาขัดจังหวะแบบนี้จะทำให้ไม่เหลือซากให้เย็บคืนเลย”
“นี่นายติดโรคมุกแปลกๆ จากชิโกะมาเปล่าเนี่ย?” ฟุริฮาตะฟาดไม้เบสบอลใส่ศพที่เข้ามาใกล้
“อาจจะ” อาคาชิหัวเราะหึๆ พร้อมลุยกับซอมบี้แบบตัวต่อตัว...แบบโคตรสยองมาก ชนิดที่ฟุริฮาตะแทบไม่มีซอมบี้มาหาเลยเนื่องจากอาคาชิเก็บเสียส่วนใหญ่ก่อนมาถึงตัว “หมดแล้ว...มาคุยเรื่องเมื่อกี้ต่อเถอะ”
“...นี่ใจคอจะเอาจริงดิ!?” ฟุริฮาตะแว๊ดใส่...พอจัดการซอมบี้เสร็จก็มาคุยเรื่องนี้ต่อเลยเหรอ!?
“แน่นอน” อาคาชิยิ้มร่า...ไม่มีอะไรมาขัดแล้วขอแกล้งต่อหน่อยเถอะ
“ขอล่ะ...ไอ้เรื่องแบบนี้เอาไว้ทีหลังเถอะ!” คนผมน้ำตาลพยายามปฏิเสธสุดฤทธิ์
“ไม่เอา” คนผมแดงยังคงแกล้งคนผมน้ำตาลต่อ...ซึ่งแน่นอนท่าทางน่าแกล้งแบบนี้ทำให้คนอย่างอาคาชิ เซย์จูโร่คงไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่
ทางใต้ (มิบุจิและมายุสุมิ)
“ให้ตายเถอะ” เสียงบ่นเบาๆ จากเด็กหนุ่มผมดำหน้าสวย...จะไม่ให้บ่นได้ไงล่ะ ก็ตั้งแต่เดินมายังเขตนี้ก็โดนซอมบี้รุมตลอดเลยนี่หว่า! แต่เรื่องนั้นยังไม่น่าบ่นเท่า... “นี่มายุซัง...มายุซังอยู่ไหนเนี่ย!? ตอบหน่อย!!!”
...เรื่องที่นายมายุสุมิ จิฮิโระหายตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเลย!
...คงไม่ใช่โดนซอมบี้ลากไปแล้วนะ? ไม่มั้ง...ขนาดคราวก่อนยังโดนมองข้ามไปเลยนี่นะ...
มิบุจิ เรโอะรองกัปตันทีมบาสราคุซันคิดอย่างปลงๆ พร้อมเดินหาคนผมเงินที่ยามนี้ไปอยู่ซอกไหนของเมืองแล้วก็ไม่รู้ต่อ
“มายุซัง อยู่ไหนมายุซัง ตอบหน่อย...” มิบุจิตะโกนเรียกต่อไปเรื่อยๆ อารมณ์ของเจ้าตัวก็เริ่มเดือดขึ้นมาทุกขณะ “...ถ้ายังไม่โผล่มาแม่จะเผาไลท์โนเวลให้หมดตู้เสียนิ!”
กึก...กึก...
“หือ?” มิบุจิหลุดร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มหน้าสวยค่อยๆ เดินไปยังต้นเสียงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะ...เอ๋อกินในเวลาต่อมาเมื่อเห็นว่าต้นเสียงเมื่อครู่คือคนคนหนึ่งที่ไม่สามารถเห็นส่วนบนของร่างกายได้เนื่องจากเจ้าตัวมุดเข้าไปติดในช่องเล็กๆ คล้ายช่องแอร์ทำให้ยามนี้มีเพียงท่อนล่างเท่านั้นที่อยู่ในจุดที่มิบุจิยืนอยู่ “มายุซัง?”
“มิบุจิเหรอ!? ช่วยฉันหน่อยสิ!” เสียงที่ดังกลับมาเป็นดังการยืนยันว่าคนที่ติดแหง็กในตอนนี้คือใครได้อย่างดี
“ก็ได้อยู่หรอก แต่ไหงมายุซังมาติดในนี้ได้ล่ะ?” มิบุจิไม่คิดว่ารุ่นพี่ผมเงินของตนจะนึกคึกมามุดช่องมุดรูอะไรเล่นจนตัวติดแบบนี้หรอก
“ตอนหลงกับนายเจอซอมบี้อีกฝูงใหญ่เลยหนีมาในนี้...แต่พอจะมุดหนีกลับติดเนี่ยแหละ” มายุสุมิตอบพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังแววออกมา
“โอเค พอเข้าใจล่ะ” มิบุจิพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและ...
“เฮ้ยๆ! จับอะไรของนายเนี่ย!?” ...คว้าหมับเข้าที่สะโพกของคนผมเงินอย่างไม่รีรอ
“ไม่งั้นจะให้ดึงตรงไหนล่ะ? ทนๆ หน่อยแล้วกัน” มิบุจิเอ่ยพร้อมออกแรงดึง...แต่ดูท่าคนผมเงินจะติดแน่นกว่าที่คิดเลยทำให้ร่างของมายุสุมิไม่มีแววจะหลุดออกมาจากช่องแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวสิ! อื้อ! นี่จะช่วยดึงออกหรืออะไรห๊า!?” เสียงมายุสุมิโวยลั่นทันทีที่มิบุจิเริ่มหามุมจับใหม่
“...ตอนนี้ฉันเริ่มคิดทำอย่างอื่นนอกจากช่วยมายุซังแล้วล่ะ” มิบุจิเริ่มแสยะยิ้มน้อยๆ
...เสียงยั่วขนาดนี้คิดว่าเขาจะยอมทน?...
“ฮ...เฮ้...อย่าบอกนะว่านาย...” เสียงสั่นๆ ราวกับรับรู้ชะตากรรมของตัวเองต่อจากนี้ดังขึ้น
“อย่างที่คิดนั้นแหละ” ว่าแล้วมิบุจิก็ดึงกางเกงของคนผมเงินลงพรวด “พยายามกลั้นเสียงอย่างเผลอเรียกพวกนั้นมาล่ะมายุซัง”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ! มิบุ...” มายุสุมิพยายามห้าม เสียแต่ว่าไม่ทันพูดจบมิบุจิก็...
“ขอโทษนะ แต่ขอสักนิดเถอะ” ...ทำการใส่บางสิ่งเข้าไปในตัวคนผมเงินและ...เออ จากนี้คงเดาออกมาเกิดอะไรดังนั้นกรุณาจิ้นกันเอง ขี้เกียจบรรยาย (//หลบเท้า) และเมื่อเสร็จสิ้นกิจส่วนตัวของตนคนหน้าสวยก็ค่อยๆ ถอนตัวออกมาอย่างช้าๆ ทางคนผมเงินนั้นก็หมดเรียวหมดแรงจนแทบพยุยร่างตัวเองไม่ไหวนั้นอยู่ๆ หลุดออกมาจากช่องที่ติดอยู่เมื่อครู่ได้ไงไม่รู้ “เป็นไงบ้างมายุซัง?”
“เป็นไงเหรอ? ก็...” มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่คนที่ถามตน ดวงหน้าใสๆ ขึ้นสีแดงก่ำอย่างชัดเจน เจ้าตัวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อลุกขึ้นยืน สวมกางเกงเข้าที่และ...รีบเดินหนีจากคนหน้าสวยด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ “...อายโคตรๆ ไงฟะ! นี่นายทำบ้าอะไรลงไปไอ้บ้า! ไปตายซะ!”
“อ่ะ! เดี๋ยวสิมายุซัง! รอด้วย!” มิบุจิรีบตามศรีภรรยาที่งอนหนีไปติดๆ เพื่อหาทางง้อ...ซึ่งดูท่ากว่าจะง้อได้คงอีกนาน
ทางตะวันออก (คุโรโกะกับคางามิ)
เสียงฝีเท้าดังอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบกริบภายในเมืองร้างที่มีศพเดินได้เดินเล่นกันให้ไขว่ (?) เด็กหนุ่มผมสีเพลิงกับผมฟ้าทำการเดินเอื่อยๆ ปนจัดการซอมบี้ที่เข้ามาหาไปพลาง จนมาถึงจุดๆ หนึ่งที่เหล่าซอมบี้รู้ถึงภัยที่มาเยือนหรืออย่างไรไม่ทราบ...เหล่าซอมบี้ก็ไม่โผล่มาให้เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นอีกเลย
“ไม่เจออะไรเลยนะครับ” หลังจากเดินโดยไม่เจออะไรโผล่มาให้เล่นสักพัก คุโรโกะก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“นั้นสิ สงสัยพวกนั้นขี้เกียจไล่เราแล้วมั้ง” คางามิลองเดาสุมๆ ไป
“หรือไม่ก็คงรู้ถึงอันตรายเหมือนสัตว์ป่าเลยไปหลบซ่อนล่ะครับ” คุโรโกะหัวเราะเบาๆ ...ที่จริงถ้าพวกนั้นมันรู้ได้จริงคงหนีตั้งแต่เห็นอาวุธพวกเขาแล้วมากกว่าพุ่งเข้าหานะ
“ไม่หรอกมั้ง” คางามิไม่คิดว่าพวกศพเดินได้จะฉลาดขนาดนั้นหรอก “เออ ว่าแต่คุโรโกะ...”
“มีอะไรครับ?” คุโรโกะถาม
“นายคิดว่าชิโกะ...จะแอบตามมาไหมเนี่ย?” คนผมสีเพลิงมองซ้ายมองขวา
“ไม่น่านะครับ เพราะถ้าไม่มีเรื่องอะไรชิโกะไม่น่าโผล่มาหรอก” คุโรโกะมั้งใจว่าถ้าไม่มีเหตุจำเป็นคนขี้เกียจอย่างรายนั้นไม่มีทางโผล่มาเป็นแน่ “ทำไมคิดงั้นล่ะครับ?”
“ไม่รู้สิ สังหรณ์แปลกๆ ชอบกล...เหมือนจะเจอเรื่องชวนเหวองั้นแหละ” คางามิเกาหัวตนเองนิดๆ
“พูดถึงเรื่องชวนเหวอ คิดถึงชิโกะก่อนเลยสินะครับเนี่ย” คนผมฟ้าหัวเราะออกมาเบาๆ “ผมว่ายังไงชิโกะก็ไม่โผล่มาตอนนี้หรอกครับถ้าไม่เรียก แต่กลับไปนี่ไม่แน่นะครับ”
“ข้อนั้นไม่เถียงเลย” คางามิรู้ดีว่ากลับไปเจอสาวเจ้าเมื่อไหร่คงมีเรื่องให้ปวดหัวสักอย่างสองอย่างแน่ และระหว่างที่คิดเช่นนั้น...เสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ดังขึ้น ทำให้เสือน้อยสีเพลิงต้องหันไปมองยังต้นเสียง “คุโรโกะ...ฉันว่าฉันรู้แล้วนะว่าสังหรณ์ของฉันคืออะไร”
“ครับ?” คุโรโกะหันไปมองทางเดียวกับอีกฝ่ายแล้วถึงกับเกิดอาการคิดกระตุกเป็นจังหวะสามซ่ากับภาพที่...เหล่าซอมบี้ส่วนหนึ่งกำลังต่อตัวกันเป็นพีระมิดเพื่อขึ้นไปบนอาคารหลังหนึ่ง และซอมบี้อีกส่วนกำลังเดินมาหาพวกตน “เออ...ซอมบี้เล่นต่อตัวกันเหรอครับนั้น?”
“ไม่รู้สิ รู้แค่กลับไปต้องให้ชิโกะเพิ่มการป้องกันขึ้นอีกระดับแล้วสิ” คางามิคิดว่าถ้าซอมบี้ต่อตัวกันได้แบบนี้มีแววว่าจะขึ้นไปยังที่พักของพวกตนซึ่งอยู่บนต้นไม้ได้เช่นกัน
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ” คุโรโกะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “เผ่นกันไหมครับ? หรือสู้?”
“เอาตามความคิดฉัน...สู้เหอะ ขี้เกียจหนี” คางามิชักดาบยาวของตนออกจากฝัก
“งั้น...ขอจัดการเลยแล้วกันครับ!” คุโรโกะเล็งและเหนี่ยวไกปืนอย่างรวดเร็ว แถมยังยิงรัวแบบไม่สนใจอะไรอีกต่างหาก
“นายนี่ติดบ้าเลือดจากอาโอมิเนะมาหรือไงฟะ?” คางามิบ่นนิดๆ พลางฟาดดาบใส่ศพเดินได้ที่เข้ามาใกล้ คุโรโกะเองก็เบนทิศไปบนอาคารเมื่อมีซอมบี้กลุ่มหนึ่งพยายามโดดลงมาเล่นงานตนจากเบื้องบน การต่อสู้ระหว่างมนุษย์สองกับศพอีกฝูงดำเนินไปพักใหญ่ๆ จนกระทั้ง...
“เรียบร้อย...คราวนี้คงไม่ต้องห่วงว่าจะมีตัวอะไรมางับหัวได้สักพักล่ะครับ” ...เด็กหนุ่มทั้งสองสามารถจัดการพวกที่โจมตีตนได้จนหมด
“คงงั้น” คางามิเก็บดาบเข้าฝักพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นี่คางามิคุง...” คุโรโกะที่เริ่มเก็บอาวุธเหมือนกันเอ่ยเรียกคู่หูตน
“ว่าไง?” คางามิถามกลับพร้อมยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตัวเอง...ออกแรงนิดเดียวเหงื่อแตกเลยแฮะ สงสัยผลพวงจากความเครียดที่สู้เมื่อกี้แหง
“ผมรู้สึกอยากกินคุณน่ะครับ” คุโรโกะมองเสือสีเพลิงที่ยามนี้มีเลือดของซอมบี้ติดตัวเล็กน้อยพสมกับหยาดเหงื่อของเจ้าตัว ซึ่งโดยรวมไม่รู้ทำไมพอเป็นแบบนี้อีกฝ่ายถึงดูเซ็กซี่นัก
“พรวด! พ...พูดบ้าอะไรออกมาฟะไอ้บ้า!?” คางามิถามกลับด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงแจ๋
“ก็พูดตามที่ผมอยากทำไงครับ” คุโรโกะเอ่ยหน้าตาย “คืนนี้ขอนะครับ”
“จะบ้าเหรอ! ชิโกะอยู่ห้องข้างๆ เรานะเฟ้ย!” คางามิโวยลั่น...นี่ไม่คิดอายเลยหรือไง!?
“อย่างชิโกะเสกบ้านมาทีเนี่ยห้องที่ได้ย่อมเป็นห้องเก็บเสียงอยู่แล้วครับ และอีกอย่าง...คิดว่าอย่างชิโกะจะว่าเราเพราะแบบนี้เหรอครับ?” คุโรโกะกล้าพนันเลยว่าคนอย่างชิโกะ อาคากิเรื่องนี้นั้นไม่ว่าแน่นอนล้านเปอร์เซ็น ดีไม่ดีถ้าเสียงลอดไปรายนั้นแอบเอาหูแนบกำแพงฟังพวกเขาอีกต่างหาก
“...” ...เออ...ลืมกูว่ายัยนั่นบ้า
“เพราะงั้นนะครับ...” คุโรโกะที่เห็นหน้าเหมือนคนเพิ่งนึกออกทำตาปริบๆ
“ม...ไม่เอาเฟ้ย!” คางามิปฏิเสธทันควัน
“นะครับ” คุโรโกะทำเสียงอ้อนๆ
“ไม่!” คางามิพยายามทำใจแข็ง
“นะ” คุโรโกะเองก็ใช้ท่าไม้ตาย ส่งสายตาปานลูกหมาของอาหารให้พ่อเสือน้อย
“หยึย!” คางามิคิดกระตุกนิดๆ กับท่าทางคนผมฟ้า...พอโดนมองแบบนี้แล้วรู้สึกผิดขึ้นมาดื้อๆ เลยวุ้ย! “เอ้าๆ! ก็ได้! เลิกทำตาเหมือนเจ้าเบอร์สองสักทีเถอะ! นายเลียนแบบลูกหมาทำขนมอะไรเนี่ย!?”
“ทำให้คางามิคุงใจอ่อนไงครับ” คุโรโกะยิ้มแฉ่งอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ “เราไปสำรวจกันต่อเถอะครับ จะได้รีบเสร็จๆ แล้วรีบกลับไปทำกัน”
“พูดอะไรอายปากบ้างเถอะ!” คางามิแว๊ดลั่นก่อนที่จะเดินหนีจากคนผมฟ้าเพื่อสำรวจพื้นที่ต่อ ทางคนผมฟ้าเองก็เดินตามว่าที่ภรรยาในอนาคตไปติดๆ
ทางตะวันตก (คะชูกับยามาโตะ)
“...นี่นางจงใจเลือกให้พวกเรามาทางนี้หรือเปล่าเนี่ย?” เสียงถามแว่วๆ ดังขึ้นมาเบาๆ จากคนในชุดสีดำแดง
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าถ้าให้เดา...คงแค่ส่งมาส่งๆ มากกว่า” คนในชุดสีฟ้าของหน่วยชินเซ็นกุมิตอบกลับ
“แล้วทำไม...” คะชูคิดกระตุกนิดๆ คล้ายคนใกล้ระเบิด“...พวกมันถึงเยอะขนาดนี้เนี่ย!?”
“เยอะนี่แหละดีแล้ว ดีกว่าเดินเบื่อเฉยๆ ตั้งเยอะ” ยามาโตะสวนกลับพร้อมตวัดดาบใส่เหล่าซอมเดินได้ที่มารุมพวกตนตั้งแต่เดินก้าวแรกเข้าในที่แห่งนี้อย่างชำนาญ
“เจ้าวันนี้ดูบ้าเลือดเสียจริง” คะชูที่เอ่ยแซวเพื่อนตนพร้อมก้าวหลบตัวที่พุ่งเข้าใส่ตนแล้วฟันร่างนั้นจนขาดครึ่ง
“พูดไม่ดูตัวเองเลยเนอะ” ยามาโตะกรอกตาไปมา
“ก็นะ” คะชูหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหลุดอุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นศพเดินได้กลุ่มต่อไปที่เข้ามาตัวใหญ่ราวนักกล้าม “โอ๊ะ! คราวนี้ตัวใหญ่แฮะ”
“ค่อยน่าสนุกหน่อย” ยามาโตะรีบพุ่งเข้าใส่ซอมบี้ชุดใหม่อย่างไม่เกรงกลัว เช่นเดียวกับคะชูที่รีบเข้าไปจัดการราวกับกลัวว่าเพื่อนตนจะเก็บเรียบคนเดียวจนหมดและเพียงสิบนาทีให้หลัง...ทั้งสองก็จัดการซอมบี้ได้ทั้งหมด “ชิ...หมดซะแล้ว”
“เอาเถอะน่า ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย...” คะชูบิดตัวอย่างเมื่อยนิดๆ ดวงตาสีแดงสวยกวาดมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีศัตรูหลงเหลือหรือไม่ แล้วสายตาก็ไม่สะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า “...ว้าว! สวยจัง!”
“หื้อ?” ยามาโตะมองตามไปยังจุดที่อีกฝ่ายวิ่งไปและถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เห็น... “สวนดอกไม้? ในที่แบบนี้เนี่ยนะ?”
...นั้นคือสวนดอกไม้แห่งหนึ่งที่บานสะพรังท่ามกลางเมืองอันรกร้างแห่งนี้
“คงเหลือรอดจากพวกนั้นมาน่ะ” คะชูเอ่ยขณะที่ก้มเก็บบางอย่าง “ยาสุซาดะมานี่ดิ”
“มีอะไร? อ่ะ!” ยามาโตะที่เดินไปหาตามคำเรียกหลุดร้องออกมาเบาๆ เมื่อเดินไปถึงแล้วคะชูก็เอาดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์มาเหน็บข้างหูตนอย่างรวดเร็ว
“เหมาะกับเจ้าดีออก” คะชูยิ้มร่า
“เหมาะที่ไหนล่ะ” ยามาโตะทำหน้ามุ่ย...ผู้ชายกับดอกไม้มันเข้ากันที่ไหนล่ะ!
“แต่เหมาะจริงๆ นะ” คะชูเอ่ยย้ำ...ยิ่งเห็นหน้ามุ่ยๆ นั้นแล้วยิ่งอยากแกล้งแฮะ และว่าแล้วนายคะชู คิโยมิสึก็หาดอกไม้สีอื่นมาใส่หัวเพื่อนตน
“ไม่สักนิด” ยามาโตะเถียงพลางปัดมือที่เอาดอกไม้มาเสียบผมตนไม่หยุด “เจ้าเลิกแกล้งข้าได้แล้วน่า”
“ไม่ เจ้าแบบนี้เหมาะดีออก” คะชูเอาดอกไม้สีแดงดั่งสีตาตนใส่ตรงหางม้าของอีกฝ่าย
“เห็นหัวข้าเป็นแจกันหรือไง?” ยามาโตะกรอกตาไปมา
“เปล่าสักหน่อย” คะชูยักไหล่น้อยๆ
“พอเถอะ กลับกันดีกว่า ข้าหนักหัวแล้ว” ยามาโตะว่าพลางค่อยๆ ดึงดอกไม้บนหัวตนออกมาถือไว้...ถึงใจจริงอยากปาทิ้งเลยมากกว่า แต่ด้วยความขี้เกียจเถียงกับเพื่อนตัวเอง เจ้าตัวเลยเลือกที่จะถือไว้กลับไปใส่แจกันที่ห้องกั้นรายนี่งอแงดีกว่า
“กลับก็ได้” คะชูพยักหน้ารับ และทั้งสองก็พากันเดินกลับที่พักอย่างไม่เร่งรีบ จนเมื่อใกล้จะถึงยังจุดที่บ้านต้นไม้ตั้งอยู่...
“อ่ะ!” ...สองหนุ่มดาบก็เจอเด็กหนุ่มสามคู่ที่เดินมาป่ะกันพอดิบพอดี
“ไงพวกเจ้า กลับมาพร้อมกันพอดีเลยเนอะ” คะชูเอ่ยทัก
“นั้นสิเนอะ” อาคาชิตอบกลับด้วยสีหน้าสดใส ต่างจากคนผมน้ำตาลที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้คาดว่าคงโดนแกล้งมาและนั้นทำให้คนผมฟ้าที่เพิ่งกลับจากทางตะวันออกมาค้อนใส่คนผมแดงยกใหญ่ข้อหาแกล้งเพื่อนตน
“แล้ว...” ยามาโตะเมินการทะเลาะกันทางจิต (?) ระหว่างคนผมแดงและฟ้าแล้วมองคนผมเงินที่ทำหน้าเหมือนจะระเบิดลง “...ทำไมเจ้า...เออ มายุสุมิถึงหน้างอแบบนั้นล่ะ?”
“อย่าถามถึงมันเถอะ” มายุสุมิเอ่ยก่อนจะ...หายแว่บไปในเวลาต่อมา
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ! มายุซัง~~~~!!!” มิบุจิร้องโหยหวนพร้อมทำหน้าสีหน้าเหมือนคนกำลังจะขาดใจตาย
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” คางามิเกาหัวตัวเองนิดๆ กับภาพตรงหน้า
“ไม่รู้ แต่ดูท่าอย่าถามจะดีกว่าแฮะ” อาคาชิที่พอเดาออกว่าอาการแบบนี้ของคนในทีมตนทั้งสองคืออะไรเอ่ย
“ว่าไงว่าตามกัน” ยามาโตะที่ขี้เกียจคิดมากขานรับก่อนที่จะพากันเดินกลับที่พักโดยไม่ลืมลากมิบุจิที่ใกล้หง่อยตายอยู่ร่อมร่อกลับมาด้วย และเมื่อมาถึงยังบ้านต้นไม้...เหล่าหนุ่มๆ ก็พบหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีนั่งรออยู่ในชุดยูคาตะที่ใส่เมื่อเช้า คาดว่าเจ้าตัวถ้าไม่อยากได้คลิปเด็ด (?) ก็คงขี้เกียจเปลี่ยนเลยยังใส่ชุดเดิมทำให้มองผ่านๆ ราวกับซาชิกิวาระชิมานั่งรอรับหน้าบ้านอย่างำรอย่างนั้น
“ไง~~~ กลับมาแล้วหรือพวก?” ชิโกะโบกมือทัก
“มารอหรือ?” คะชูถาม...ที่จริงถามไปงั้นแหละ จากนิสัยรายนี่ไม่น่ามานั่งรอหรอก
“เปล่า ฝืนหมดเลยไปหาในป่าเพิ่งกลับมาเนี่ย” ชิโกะโบกมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“แถมยังไล่เชือดสัตว์ป่าอย่างน่ากลัวราวผีสาวปากฉีกอีก” ชายผมสีเขียวอ่อนที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เอ่ยขึ้นขณะที่เดนมารวมกลุ่มพร้อมยกตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย
“ยังดีที่คราวนี้ไม่เลือดท่วมตัวแบบคราวที่แล้ว” ฟุริฮาตะบ่นน้อย...คราวก่อนเล่นซะน่ากลัวเลย
“พอดีขี้เกียจโดนใครบางคนไล่ไปอาบน้ำอาบท่าแบบคราวก่อนน่ะ” ชิโกะยักไหล่น้อยๆ
“ไม่ต้องมาเหน็บเลย” มิบุจิถึงกับหายหง่อยชั่วขณะค้อนใส่สาวเจ้า
“เราอยากเหน็บมีอะไรไหม?” ชิโกะยังคงกวนตามเสต็ปเดิม “และนี่...ไปทำอะไรมามายุสุมิถึงมาหลบหลังเราแบบนี้เนี่ย?”
“อย่าบอกมิบุจิมันสิ!” มายุสุมิที่เกือบโดนมองข้ามไปแล้วถ้าหญิงสาวไม่เอ่ยถึงแว๊ดลั่น สองมือก็พยายามดันหัวคนหน้าสวยผมดำที่พุ่งเข้ามาเกาะตนปานผีทันทีที่สังเกตเห็นตน “ไปไกลๆ เลยไอ้บ้า!”
“ไม่เอา! มายุซังฉันขอโทษ~~~~~!!!” มิบุจิเกาะคนผมเงินหนึบราวทากาวไว้
“ปล่อยสองคนนั้นทะเลาะกันแล้วขึ้นบ้านกันดีกว่าเนอะ” ชิโกะเมินใส่สองคนที่ทะเลาะกัน...ด้วยความที่ว่าเพิ่งหาของในป่าเสร็จเลยขี้เกียจแจมด้วย (?)
“เดี๋ยวๆ ชิโกะ ฉันมีเรื่องจะบอก...” คางามิเรียกรั้งไว้ “...ฉันว่าบ้านนี้ควรเพิ่มการป้องกันขึ้นนะ วันนี้ฉันเห็นซอมบี้ต่อตัวกันขึ้นตึกแหละ”
“อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เมื่อวานเรากางเขตแดนกันผี (?) ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่คนเข้ามาไม่ได้หรอก” ชิโกะที่เตรียมการไว้แล้วมีท่าทีไม่ใส่ใจนัก
“แล้วพวกข้า?” ยามาโตะถาม...อย่างพวกตนก็ไม่นับเป็นมนุษย์นะ
“เราตั้งเป็นข้อยกเว้นไว้น่ะ” ชิโกะตอบ
“โอเค เข้าใจล่ะ” ยามาโตะพยักหน้ารับ “แล้วนี่...ล่าสัตว์อะไรมาได้น่ะ”
“นกกับงู” ชิโกะยิ้มร่าอย่างภูมิใจ
“เอ๊ะ?” ยามาโตะหลุดร้องออกมาอย่างงุนงง เช่นเดียวกับคะชูที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นกพอเข้าใจ แต่งูนี่...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ชิโกะเอามาทำอาหารได้แน่นอน” อาคาชิเอ่ยขึ้นมาเพื่อไม่ให้หนุ่มดาบกังวลเรื่องของที่สาวเจ้าเอามา
“เคยกินแล้ว อร่อยด้วย” คางามิเอ่ยเสริม “แต่คราวนี้ล่าได้น้อยจังนะ”
“น้อยกะผีสิ เราได้เยอะอยู่นะ” ชิโกะทำแก้มป่อง
“ได้มาเป็นกระสอบมันก็เยอะอยู่หรอก แต่ขนาดนี่...จะว่าดวงดีหรืออะไรไม่รู้ตัวใหญ่พอดูเลย” ฮิสะมารุกรอกตาไปมาเมื่อนึกถึงตอนสาวเจ้าสอยนกมาทำอาหารเย็นนี่
“แล้วตัวเท่าไหนล่ะ?” คะชูถามอย่างอยากรู้
“ก็เท่านี่...” ฮิสะมารุวางตะกร้าลงแล้วหยิบบางสิ่งออกมาจากในนั้น...หรือก็คือนกตัวใหญ่และเมื่อเจ้าตัวจับปีกนกกางออก
“นี่ความยาวปีกมันเท่ากับความยาวข้า (ดาบ) เลยนะเฮ้ย!” คะชูโวยเล็กน้อย
“เอามาจากไหนเนี่ย” ยามาโตะไม่คิดว่าจะจับนกตัวใหญ่ขนาดนี่ได้ง่ายๆ หรอก เพราะยิ่งตัวใหญ่ความระวังตัวของสัตว์พวกนี่ก็ยิ่งสูงตามไปด้วย
“ก็บนฟ้าสิ ถามได้” ชิโกะที่เป็นคนสอยนกลงมาเองกับมือยิ้มร่าและ...
“ชิโกะ~~~ ฉันเจอเจ้านี้ด้วยยยย ลองกินไหม!?” ...ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลก็วิ่งมาหาพร้อมสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่งในมือ
“นี่คิดจะกินกบหรือไงย่ะ!?” มิบุจิที่ง้อคนผมเงินจนสำเร็จแล้วหันไปเขกหัวผู้ที่มาใหม่ แถมไม่ลืมค้อนใส่อีกฝ่ายที่เอาของแปลกๆ มา
“โอ๊ย! เจ็บอ่ะพี่เรโอะ...” ฮายามะน้ำตาเล็ดกับแรงตีเมื่อครู่ “...ก็เห็นชิโกะเอาสัตว์แปลกๆ มาทำให้กินตั้งเยอะเลยอยากรู้ว่าเจ้านี่กินได้ไหมอ่ะ”
“ไม่รู้สิ ว่าแต่...” ยามาโตะไม่รู้หรอกว่าเจ้ากบนี่กินได้หรือไม่ หากแต่ในยามนี้มีเรื่องที่หนุ่มดาบคนนี้สงสัยยิ่งกว่าคือ...ตัวสาวเจ้าที่โดดหนีไปตั้งแต่เห็นสิ่งที่ด็กหนุ่มผมสีคาราเมลถือมามากกว่า “...ไหงนางหนีไปนั้นล่ะนั่น?”
“เรา - เกลียด - กบ!!!” ชิโกะที่ยามนี้นั่งอยู่บนบ่าคนผมเพลิงแทนที่จะขี่คอปานเจ้ากรรมนายเวรเนื่องจากสวมยูคาคะอยู่เลยขี่คอไม่ถนัดแค่นเสียงออกมาแบบเน้นๆ ชัดๆ ไปเลย
“เธอ...กลัวกบเหรอ?” อาคาชิถึงกับเอ๋อกิน...รู้จักกันมาจนปานนี้เพิ่งรู้ว่ากลัวกบ ถึงรู้ว่าไม่ค่อยชอบกบแต่ไม่คิดว่าถึงขั้นกลัวนี่หว่า
“เอาจริงดิ? น่ารักออก...” ฮายามะที่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่ารายนี่จะกลัวเดินเข้าไปหาสาวเจ้า โดยลืมไปว่า...ตนยังถือเข้ากบน้อยอยู่
“อย่าเข้ามานะย่ะ!” ชิโกะแว๊ดลั่นและ...
“เฮ้ย! อันตรายนะ!” ...เรียกเคียวด้ามเดิมตวัดใส่คนผมสีคาราเมลทันควัน เคราะห์ดีที่ฮายามะไวปานลิงกลับชาติมาเกิดจึงทำให้หลบทัน
“ก็อย่าเอามาใกล้สิ! เราไม่ชอบไอ้พวกสายพันธุ์กบ คางคกอะไรพวกนี่นะ! ถ้าจะเอามาก็เชือดให้ตายก่อน!” ชิโกะขู่ฟ่อ
“เชือดให้ตายก่อนเพื่อ?” คางามิที่กลายเป็นเสาจำเป็นกรอกตาไปมา...จะเป็นหรือตายมันต่างกันเหรอ? ไอ้นี่น่ะ?
“เพราะเรากลัวเฉพาะตอนมันยังไม่ตายไง!” ชิโกะตอบ
“...” ...โอเค ยัยนี้ยังหาความปกติไม่ได้เหมือนเดิม
“โคทาโร่จัง...ฉันว่ารีบเอาเจ้านี่ไปทิ้งก่อนที่ชิโกะจะสติแตกเชือดนายไปพร้อมกับกบดีกว่า” มิบุจิที่กลัวว่าสาวเจ้าจะสติแตกไล่เชือดเพื่อนตนเอ่ย
“ก็ว่างั้น” ฮายามะที่กลัวว่าจะโดนเชือดเหมือนกันรีบปล่อยเจ้ากบน้อยไป
“กบมันไปแล้วครับ ลงมาเถอะชิโกะ” คุโรโกะเริ่มหลอนกับการที่สาวเจ้านั่งบนไหล่ชาวบ้านปานผีนิดๆ
“แน่ใจ?” ชิโกะถาม
“แน่ๆ” ฟุริฮาตะช่วยยืนยัน
“งั้นลงก็ได้” พอเห็นคนที่โกหกชาวบ้านไม่เป็นอย่างคนผมน้ำตาลเอ่ยก็ทำการ...
“เฮ้ย! ลงที่ไหนเนี่ย?!” ...ดีดตัวจากบ่าคนผมสีเพลิงขึ้นไปด้านบนบ้านต้นไม้
“ลงบนพื้นบ้านน่อ!” ชิโกะตอบกลับอย่างกวนๆ
“ยัยบ้าเอ้ย!” คางามิแยกเขี้ยวใส่คนที่หนีไปบนบ้านหน้าตาเฉย
“ก็บ้าอ่ะสิ!” ชิโกะเถียงกลับหน้าตาเฉย
“หยุดเถียงกันแล้วรีบขึ้นบ้านเถอะครับ” คุโรโกะรีบห้ามความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ตามที่เท็ตสึยะบอก รีบไปเถอะ” อาคาชิที่ไม่อยากเจอความวุ่นวายในเร็วๆ นี้เอ่ยเสริม
“ก็ได้” คางามิทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจปีนขึ้นบ้านตามสาวเจ้าไป เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ตามขึ้นไปติดๆ
หลังจากที่เหล่าหนุ่มๆ ที่ได้ทำหน้าที่ไปสำรวจวันนี้กลับมาครบสามสิบสองและอาบน้ำแต่งตัวใหม่กันหมดแล้ว หญิงสาวคนเดียวในที่นี่ก็จัดการข้าวเย็นแบบ...ไทยแท้ เนื่องจากคราวนี้คนที่อาหารดีที่สุดในกลุ่มหมดแรงข้ามต้มกับการไปอ่อยซอมบี้แล้ว คนอื่นที่ทำอาหารเก่งก็โดนเด็กโข่งเกาะกันทั่วหน้า (?) ทำให้สาวเจ้าต้องลงมือทำอาหารเย็นคนเดียวทั้งหมดและผลที่ได้คือ...
“ต้มนี่อะไรอ่ะ? อร่อยดีนะ”
“นี่งูที่จับมาได้วันนี้หรือ? รสชาดดีกว่าที่คิดแฮะ”
“นกย่างนี่เหมือนไก่ย่างเลย...”
“ก็สัตว์ปีกเหมือนกันนิ”
“เผ็ดโว้ยยยย ใส่พริกกี่เม็ดเนี่ย!?”
“ไหนๆ ลองบ้างสิ!”
“รสจัดจาดดีเนอะ ฮิโยมารุ”
“ฮิสะมารุต่างหากท่านพี่!”
“ไอ้นี่น่าจดสูตรไปให้คะเซ็นแฮะ”
“นั้นสินะครับ”
“อาคาชิอย่าเขี่ยสาหร่ายสิ”
“ก็ฉันไม่ชอบนิ”
“ฯลฯ”
...ความปั่นป่วนบนโต๊ะอาหารแบบไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงอาหารบนโต๊ะอาหารหรือเสียงโวยวายที่ดังจนไม่รู้จะดังยังไง เหล่าหนุ่มๆ ดูจะสนใจอาหารที่สาวเจ้าทำมากจึงลองกินทุกอย่างตั้งแต่ของง่ายๆ อย่างแกงจืดสาหร่ายไปยังผัดเผ็ดงูที่ดูแปลกตาสุดเลย
“มีของหวานนะ จะเอาไหม?” ชิโกะที่ขำกับคึกชิงอาหารตอนนี้เอ่ยถาม
“เอา!” หนุ่มๆ ตอบกลับเป็นเสียงเดียวกัน
“ชิโกะจิน ฉันขอเยอะๆ นะ” เด็กหนุ่มผมม่วงทำตาเป็นประกาย
“นายนี่นับวันยิ่งเหมือนติดขนมเข้าเส้นเลือดแฮะ” ชิโกะส่ายหน้าไปมากับเด็กโข่งก่อนที่จะไปยกของหวานออกมาจากในครัว “อ่ะนี่!”
“นี่คือ?” ทุกสายตาของคนที่ไม่เคยเห็นของหวานตรงหน้ามองวัตถุสีเหลืองทองสวยงามราวกับไม่ใช่ขนมอย่างแปลกใจ นี่ยังไม่นับลูกที่เหมือนผลไม้ขนาดเล็กกับชามใส่น้ำขาวๆ ที่ใส่ลูกอะไรไว้ด้านในไม่รู้อีก...สำหรับพวกเขาของพวกนี่แปลกตาพอสมควรเลย
“ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน ลูกชุบและบัวลอย...ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารสจะเหมือนที่ร้านไหม แต่ที่แน่ๆ คือกินได้ล่ะ” ชิโกะเอ่ย
“อื้ออออ” ยามาโตะลากเสียงยาวเชิงเข้าใจก่อนที่จะหยิบก้อนกลมๆ ที่เหลืองทองเข้าปาก “หวาน อร่อย”
“จริงดิ? ขอมั้ง!” มุราซากิบาระเอื้อมแขนยาวๆ ไปขว้างทองหยอดมา...ทั้งจานเลย
“อย่างกคนเดียวดิวะ! มุราซากิบาระ!” อาโอมิเนะโวยลั่น
“แบ่งคนอื่นด้วยสิอัตสึชิ” ฮิมุโระส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจกับเด็กโข่งสูงสองเมตร
“ก็ได้” มุราซากิบาระทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย แต่ก็ยอมคืนจานใส่ขนมให้แต่โดยดี
“เฮฮากันจริง” คะชูหัวเราะเบาๆ ก่อนหยิบทองหยอดมากินอีกคน “หวานจริงด้วย...ทำจากอะไรเนี่ย?”
“ก็แค่ไข่ แป้งข้าว น้ำตาลและน้ำลอยดอกมะลิ (ที่แอบทำเมื่อวาน) น่ะ” ชิโกะเอ่ย...ที่จริงกะทำตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่ติดว่าดันมีคนหลงมาเพิ่มเนี่ย
“อ๋อ” คะชูพยักหน้ารับพลางลองกินของหวานอย่างต่อไป
“ไอ้นี่นิ่มๆ ดีแฮะ” คางามิหยิบขนมรูปเชอรี่ใส่ปาก “ด้านในเป็นถั่วเหรอ?”
“ถ้าไม่ใส่ถั่วเหลืองจะใส่อะไรล่ะ” ชิโกะสวนกลับทันควัน
“ไม่ต้องมาย้อนเลย” คางามิแยกเขี้ยวใส่ตามเสต็ปก่อนกินต่อไปเนื่องจากรู้ดีว่าเถียงรายนี่ไปก็เท่านั้น
“นี่ๆ เจ้า / คุณชิโกะ...ขอสูตรหน่อย / ครับ” คาเนะกับโฮริคาวะหันมาถามหญิงสาวเมื่อลองกินของหวานครบหมดแล้ว
“จะจดไปให้คะเซ็นลองทำเล่นหรือไง?” ชิโกะแซวคนผมยาว...สำหรับโฮริคาวะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่คาเนะเนี่ยเดาได้อย่างเดียวเลยว่าเอาไปทำอะไร
“อื้อ ของแบบนี้พวกมีดน่าจะชอบ” คาเนะเอ่ย
“ความจริงคืออยากกินเอง” ชิโกะสวนกลับทันควัน
“...” คาเนะนิ่งเงียบก่อนที่จะเบ้หน้าน้อยๆ
“เถียงไม่ออกล่ะสิ” ชิโกะหัวเราะร่าพลางตบหลังคาเนะจนแทบหลังหัก ด้วยความที่ลืมว่าอีกฝ่ายแก่เกินร้อย... (//หลบเท้า)
“อย่าแกล้งชาวบ้านสิ” อาคาชิรั้งความบ้า (?) ของชิโกะเอาไว้ก่อนที่จะเลยเถิดไปกว่านี้ “แล้วพรุ่งนี้ใครซวย?”
“เรื่องนั้นไว้ก่อน ตอนนี่...” ชิโกะเลิกเล่นกับคาเนะแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่นิจิมุระ “...นายส่งคลิปมาให้เราซะดีๆ ไม่ถามเนี่ยทำทีลืมกันเชียวเช่นนะ...นัดกันไว้เปล่าเนี่ย?”
...เมื่อวานอาคาชิ วันนี้นิจิมุระ...นี่สองหน่ออดีตกัปตันเทย์โควมันตั้งใจเนียนลืมกันใช่ไหมเนี่ย!?...
“ถ้าให้เธอโดนเธอไม่เป็นคนทวงไฮซากิก็งอนฉันดิ” นิจิมุระว่าพลางโยนคลิปที่อัดใส่ซีดีเรียบร้อยให้หญิงสาว
“ใครจะงอนห๊า!?” ไฮซากิแว๊ดใครคนรักตัวเอง
“ถ้างอนนายก็×××ไฮซากิจนกว่าจะยอมหายงอนสิ” ชิโกะรีบรับของที่อีกฝ่ายโยนมาแล้วเก็บไว้ในมิติที่สาม (?) ก่อนเอ่ยขึ้นมาหน้าตาเฉย
“เข้าท่านิ” นจิมุระขยับยิ้มน้อยๆ
“เข้าท่ากะผีสิ! นี่จะชี้โพรงให้กระรอกทำไมห๊า!? ยัยชิโกะ!” ไฮซากิแว๊ดลั่น...หวังว่าวันนี้เขาจะไม่โดนอีกนะ!
“ถ้าไม่แกล้งนายกลัวว่าเดี๋ยวนายน้อยใจ เลยแกล้งซะเลยไง” ชิโกะตอบกลับหน้าตาย
“ไม่ต้องเลยยัยบ้า!” ไฮซากิทำท่าจะถีบหญิงสาวและแน่นอนว่าชิโกะหลบได้อย่างทันทวนที
“หยุดๆ ตอนนี้เลิกเล่นกันแล้วบอกสักทีว่าใครซวยวันพรุ่งนี้?” มายุสุมิที่ตอนนี้อยากรู้เรื่องคนที่จะซวยต่อจากตนมากกว่าชมอะไรแบบนี้ห้ามศึกระหว่างทั้งสอง
“มิโดริมะกับทาคาโอะทางเหนือ มิยาจิกับฮายามะทางใต้ ยูยะ เนบุยะและฮานามิยะทางตะวันออก ส่วนหนุ่มดาบก็อย่างที่รู้...อาโอเอะกับอิชิคิริมารุทางตะวันตก” ชิโกะเอ่ยร่ายยาวออกมา
“เดี๋ยวนะ...ไหงมีแต่ฉันไปแพคสามคนเนี่ย?” ยูยะถามขึ้น
“ก็นายเป็นคนเดียวที่ยังไม่เลือกใครไง เลิกเล่นตัวแล้วคบสักตัวดิจะได้เป็นคู่แบบคนอื่นเขา” ชิโกะยักคิ้วกวนๆ
“เล่นตัวบ้าอะไรเล่า!” ยูยะแยกเขี้ยวใส่และ...การเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ระหว่างนายมิยาจิ ยูยะกับชิโกะ อาคากิก็ได้เริ่มขึ้น โดยคนอื่นๆ ก็นั่งชมการเถียงครั้งนี้ไปพลางกินขนมที่หญิงสาวทำไว้เล่นไปด้วย
ผ่านไปประมาณสิบนาทีการเถียงก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของมิยาจิ ยูยะตามที่หลายๆ คนคาดการณ์ไว้ก่อนที่จะโดนชิโกะไล่แต่ล่ะหน่อกลับห้องใครห้องมันไป โดยเหลือคนไว้ช่วยตนล้างจานแค่เพียงสามสี่คนเท่านั้น...ซึ่งแน่นอนพอโดนรายนี้ไล่ แต่ล่ะคนก็พากันกลับที่พักตนด้วยความเร็วแรงเพราะกลัวว่าหากช้าจะโดนแกล้งกันทั่วหน้า
ทางห้องพักของยามาโตะและคะชู
“เหนื่อยชะมัด” ยามาโตะลากเสียงยาวพร้อมทิ้งตัวลงบนฟูกนอนที่มุมห้องอย่างไม่แคร์สิ่งใดทั้งสิ้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย...เหนื่อยกับหญิงสาวเจ้าของบ้าน (คนเสกขึ้นมา) นะ ไม่ใช่การสำรวจในวันนี้
“ยาสุซาดะ เจ้าอย่านอนบนฝูกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปูดิ” คะชูเขี่ยๆ ร่างคู่หูตน
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่นี้ไม่ทำให้ฝูกขาดหรอกน่า” ยามาโตะลากเสียงยาวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไม่ได้เฟ้ย! ลุกเลยนะยาสุซาดะ!” คะชูพยายามดึงตัวอีกฝ่ายในลุกขึ้น เสียแต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อยและนั้นทำให้คะชูเกิดอาการคิ้วกระตุกยิกๆ “นี่เจ้าจะไม่ลุกใช่ไหม? ได้...งั้น...”
“เฮ้ย! นี่เจ้าจะทำอะไรเนี่ย!?” ยามาโตะหลุดร้องลั่นเมื่อ...คะชูขึ้นคล่อมบอกร่างนน
“ก็เจ้าไม่อยากลุกไม่ใช่เหรอ? งั้นไม่ต้องลุกยันเช้าเลยแล้วกัน” คะชูแสยะยิ้มน้อยๆ
“จะบ้าหรือเจ้าบ้า! เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหรอก!” ยามาโตะเอามือดันหน้าอีกฝ่ายออก
“ไม่เป็นไร เท่าที่ถามมาทุกห้องที่ชิโกะเสกมาจะเป็นห้องเก็บเสียงน่ะ” คะชูจับข้อมืออีกฝ่ายกดลงกับฝูกนอน “เพราะงั้นทำดังเท่าไหนก็ได้ ไม่มีใครได้ยินหรอก”
“ถึงงั้นก็ไม่เอาเฟ้ย!” ยามาโตะร้องลั่น
“แต่ข้าอยากทำ” คะชูเลื่อนใบหน้าไปซุกที่ลำคออีกฝ่าย
...ซวยแล้ว! คิโยมิสึภาคหื่นออกมาแล้ว!...
ยามาโตะหน้าซีดขึ้นมาโดยพลันก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสชื้นๆ โดยบริเวณต้นคอต้นทำให้เจ้าตัวหลุดเสียงครางออกมาเบาอย่างห้ามมิได้ “อื้อ...หยุด...หยุดก่อนคิโยมิสึ!”
“ไม่มีทาง” คะชูเอ่ยพร้อมกับ...เอาเชือกที่ไหนไม่รู้มามัดมือของยามาโตะเอาไว้ “มาสนุกกันเถอะเนอะ...ยาสุซาดะ”
“ด...เดี๋ยวก่อนคิโยมิสึ! เดี๋ยว~~~~!!!” และนี่...คือเสียงร้องสุดท้ายของยามาโตะโนะคามิ ยาสุซาดะในค่ำคืนนี้ โปรดไว้อาลัยให้... (ยังไม่ตายโว้ย!!! // ยามาโตะ) เอาเป็นว่ากรุณาจิ้นกันต่อเองแล้วกันน่อ
ทางห้องอาคาชิและฟุริฮาตะ
“คืนนี้นายคงไม่คิดทำอีกใช่ไหม?” เสียงถามเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่...แยกที่นอนกับคนผมแดงโดนการไปจิ๊กฝูกนอนกับผ้าจากใครไม่รู้มา แถมยังเอาตุ๊กตาที่มาจากไหนมาก็ทราบมาตั้งเป็นป้อมขนาดย่อมพร้อมกับที่หน้าปราการตุ๊กตามีเทปสีแดงติดแบ่งเขตแดนไว้อย่างชัดเจน
“น่าๆ ไม่ทำหรอก แต่ขอกอดหน่อยสิ” อาคาชิทำเสียงอ้อนๆ ใส่คนที่หลบหลังป้อมตุ๊กตา
“ไม่ เดี๋ยวนายหน้ามืดขึ้นมาอีก” ฟุริฮาตะปฏิเสธทันควัน
“ไม่หรอกน่า สัญญาเลย” อาคาชิกระดึบๆ (?) พยายามเนียนเข้าใกล้อีกฝ่าย
“ไม่เชื่อ ห้ามล้ำเส้นมานะ” ฟุริฮาตะเอ่ยดักอย่างรู้ทัน ทำให้คนผมแดงชะงักกึก
“โคกิ~~~” อาคาชิลากเสียงยาวอย่างหง่อยๆ เมื่อศรีภรรยาไม่ยอมให้เข้าใกล้เพราะวันก่อนดันจัดหนักไปหน่อย (?) แถมยังเรื่องในวันนี้ที่เขาดันไปพูดแกล้งเล่นดันไปกระตุกต่อมอะไรไม่รู้เลยถูกชิวาว่าน้อยตีตัวออกห่างเนี่ย
“ห้ามทำเสียงอ้อน ราตรีสวัสดิ์นะอาคาชิ”
“โคกิ...กลับมานอนด้วยกันเถอะนะ”
“ไม่ และถ้านายพูดอีกครั้งเดียวฉันจะไปนอนกับพวกคุโรโกะแทน” ฟุริฮาตะทำท่าเตรียมหนีออกจากห้องจริงๆ
“เดี๋ยวฉันไปขู่เท็ตสึยะให้ดูถ้าทำงั้นน่ะ” อาคาชิเบ้ปากน้อยๆ
“งั้นห้องชิโกะแทน ดูสินายจะขู่อะไรรายนั่น” ฟุริฮาตะอ้างถึงคนที่คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะไปขู่อะไรได้
“...” คราวนี้อาคาชินิ่งเงียบ...ถึงปกติถ้าไปเถียงกันแบบนี้ต่อหน้าชิโกะ รายนั้นจะช่วยเขาเพราะอยากเห็นฉากเด็ด (?) แต่ถ้าไปหลังรายนั้นนอนแล้วนี่...
...หายนะชัดๆ! ยัยนั่นถ้าตื่นเพราะนอนไม่พอยิ่งดูความดันต่ำอยู่! คราวก่อนเล่นเกือบฆาตกรรมฮานามิยะซังกับมิยาจิซังด้วยซ้ำ! ถ้าโคกิไปขอนอนด้วยแค่เคาะเรียกรายนั่นคงมาเปิดประตูให้และไปนอนต่อ แต่ถ้าไปง้องอนกันในห้อง...ความบรรลัยมาเยือนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“เพราะงั้นแค่นี้นะ นอนได้แล้วอาคาชิ” ฟุริฮาตะเอ่ยพร้อมทิ้งตัวลงนอนหลังกองทัพตุ๊กตา
“โธ่~~~ โคกิ~~~” อาคาชิร้องโหยหวนพร้อมหาทางง้อเมียต่อไป
ทางห้องคางามิและคุโรโกะ
“นี่คุโรโกะ...คิดว่ามุกให้นอนห่างๆ อาคาชิที่นายแนะนำไปจะได้ผลไหมล่ะ?” คางามิถามคนผมฟ้าที่นั่งอ่านหนังสือหน้าตายอยู่
“ได้สิครับ เห็นแบบนั้นอาคาชิคุงมีอาการเกียมัว (กลัวเมีย) แล้วนะครับ รับรองไม่กล้าขัดใจฟุริฮาตะคุงหรอกครับ” คุโรโกะเอ่ยแบบไม่เกรงใจคนที่ตนอ้างถึงแม้แต่น้อย
“ให้มันจริงเถอะ ฉันยังไม่อยากโดนฟุริมาร้องโอดครวญใส่จนหูชานะ” คางามิกลัวเพื่อนตัวเองจะตายคาอก (?) สิงโตจริงๆ
“ไม่หรอกครับ แต่ผมว่าคราวนี้จะเป็นฝ่ายอาคาชิเองเสียมากกว่า” คุโรโกะเดาได้เลยว่าอดีตกัปตันทีมตนต้องถึงขั้นลงแดงแน่หากเพื่อนตนไม่ยอมเข้าใกล้เนี่ย
“...ทำไมพอนึกตามแล้วสยองจังวะ” ระหว่างชิวาว่ากับสิงโตมาทำท่าเหมือนจะหงอยตายใส่...คางามิคิดว่าอย่างหลังสยองกว่าแน่ๆ
“คิดไปเองมั้งครับ ไม่น่าสยองเท่าไหร่...มั้ง” คุโรโกะเองก็ไม่แน่ใจว่าจะหลอนหรือเปล่าถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ “เรื่องอาคาชิคุงช่างมันเถอะครับ แต่ในตอนนี้...มาคุยเรื่องของเราดีกว่าครับ”
“เอ๋?” คางามิทำหน้างงๆ
“ลืมเรื่องที่เราคุยกันเมื่อตอนกลางวันแล้วหรือไงครับ?” คุโรโกะเอ่ยหน้าตายพร้อมกับ...แอบเนียนไปกอดอีกฝ่าย
“น...นี่นาย...เอาจริงดิ?” เสือน้อยหน้าซีดลงโดยพลัน
“เรื่องนี้เคยล้อเล่นเหรอครับ?” คุโรโกะถามกลับ
“ไม่ นายเอาจริงตลอด” คางามิส่ายหน้าวืด...เท่าที่จำได้ไม่เคยรอดสักครั้ง!
“เพราะงั้นไม่ต้องถามครับ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ” คุโรโกะยิ้มด้วย...ท่าทางชั่วร้ายสุดแสน (//หลบอิชไนท์พาส)
“เอาๆ ก็ได้ๆ” คางามิที่รู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้นสุดท้ายก็ยอมให้คู่หูตนไปเช่นเดิม
ทางมายุสุมิและมิบุจิ
“มายุซัง...” เสียงเรียกเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มหน้าสวยที่กำลังกอดคอคนผมเงินซึ่งนั่งอ่านนิยายเล่มเล็กของตนอย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง แม้ว่าตอนนี้คนหน้าสวยจะกอดฟัดตนจนแทบรวมร่างกันได้แล้วก็ตาม
“...” มายุสุมิพลิกหนังสือหน้าต่อไปอย่างใจเย็น
“มายุซัง~” มิบุจิทำเสียงอ้อนๆ
“...” ยังไม่มีเสียงตอบรับจากคนผมเงินคือเดิม
“มายุซางงงงงงง” มิบุจิลากเสียงยาวแบบดูน่าสงสารกว่าเดิม
“...” มายุสุมิก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“มายุซังๆๆๆๆ” คราวนี้มิบุจิลองเรียกรัวๆ เลียนแบบเพื่อนผมสีคาราเมลของตน
“มีอะไรล่ะ?” มายุสุมิที่รำคาญเสียงเรียกรัวๆ ปานเทปวนซ้ำไปมาอยู่แบบนี้ถาม
“ขอ ××× นะ” มิบุจิรีบเอ่ยทันทีเมื่อได้โอกาส...คำนี้เล่นเอาคนผมเงินถึงกับทำหนังสือร่วงหลุดมือเลยทีเดียว
“...อยากโดนงอนอีกรอบสินะ?” มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่คนหน้าสวยที่ทำท่าทางอ้อนๆ จนเหมือนลูกหมาสุดแสน
“ไม่อยาก แต่เมื่อเช้าฉันดันไปสัญญากับชิโกะจังไว้นิ ถ้าไม่ทำตามมีหวัง...” มิบุจิยิ้มแห้งๆ เมื่อลองนึกว่าหากตนไม่ทำตามที่เคยไปสัญญาไว้จะเป็นเช่นใดต่อ
“...โดนป่วนคืนสองเท่า แถมอาจมีโดนแกล้งบวกโดนยัดบทแปลกๆ ใส่สินะ?” มายุสุมิที่รู้นิสัยคนที่กล่าวถึงดีเดาได้เลยว่าถ้ามิบุจิไม่ทำตามที่ไปสัญญาไว้...หายนะมาเยือนแน่ แถมตนอาจเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากความซวยนั่นด้วย
“ถูก เพราะงั้น...ขอนะ” มิบุจิมองคนผมเงินตาแป่ว
“...” ...ระหว่างโดนไอ้เด็กบ้านี่กดกับชิโกะแกล้งอันไหนน่าจะเลวร้ายกว่ากันเนี่ย?
“มายุซัง...” มิบุจิสะกิดคนที่นิ่งเงียบเล็กน้อย
“เงียบหน่อย กำลังคิดอยู่” มายุสุมิเอ่ย
“จ้า” มิบุจิพยักหน้ารับ
“...เฮ้อ” มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถ้าเทียบความวุ่นวายระหว่างรายนี่กับยัยชิโกะก็ต้อง... “ก็ได้...แต่รอบเดียวนะเฟ้ย!”
...เป็นยัยชิโกะอยู่แล้วที่สร้างความวุ่นวายได้มากกว่าน่ะ! ดังนั้นอย่าขัดใจรายนั้นเป็นดี!
“เย้!” มิบุจิพุ่งเข้ากอดคนผมเงินและ...จากนี้เป็นไงต่อก็อย่างที่รู้ๆ กันนั้นแหละจ้า
TBC.
ช่วงตอบเม้นจ้า!
Ken คุง // แน่นอนนนน งานแกล้งคนนั้นของถนัด หุๆ
Lilina konome จัง // ได้เลยจ้า! (ส่งดีวิดีให้ แถมตั๋วหนังนิจิมุระ x ไฮซากิห้ามิติแบบไม่จำกัดรอบให้)
กุหลาบสีดำ นิรนามทมิฬ ซัง // 555 พอดีเราชอบคะชูxยามาโตะมากกว่าน่ะ ส่วนคาเนะชอบให้เคะเหมือนกันนน ส่วนอีกสองคู่ของเราเป็นอิชิคิริมารุxอาโอเอะ กับ ฮิเกะฮิสะล่ะ ส่วนคำตอบว่าใครถูกกดก็ได้มานี่แล้วไง555
ความคิดเห็น