คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #170 : [MiyaYuu] Kyoudai
Title : Kyoudai
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Miyaji x Miyaji (Yuuya)
Notes : คู่บราค่อนมาแล้วจ้า!!! (ไม่ได้เป็นเฟ้ย!!! ยัยชิโกะ!!! // มิยาจิ)
.....................................................................................
Kyoudai
“นี่...ที่พูดนี่จริงดิ?” เสียงถามเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ดังออกมาจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งยาวระบ่า ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมมองไปยังคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“จริงดิ...มีไอ้สมองฝ่อตัวหนึ่งมาจีบผมน่ะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งที่สั้นกว่าคนแรกเอ่ยพลางกินมื้อเช้าของตนต่อไปอย่างเฉื่อยๆ
“...” มิยาจิ คิโยชิถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้รับคำยืนยันจากผู้เป็นน้องชายของตน “...แล้วนายตอบไปว่าไง!?”
“ก็ต้องปฏิเสธไปเด้! ใครมันจะไปคบกับตัวผู้ด้วยกันเล่า! แล้วนี่จะตะโกนทำไมเนี่ย!?” มิยาจิ ยูยะแว๊ดกลับใส่พี่ชายตนที่ดูจะตกใจมากถึงมากที่สุด...มากกว่าเขาตอนโดนไอ้บ้าที่ว่านั้นบอกรักเสียอีก!
“ก็มันตกใจนี่หว่า! ใครจะคิดว่านายจะโดนผู้ชายด้วยกันจีบเล่า!” มิยาจิตอบกลับเสียงห้วนๆ พร้อมยกซุปมิโซะขึ้นดื่ม
“ผมก็ไม่คิดเหมือนแหละ!” ยูยะกล้าพูดเลยว่าทั้งชีวิตไม่เคยคิดว่าจะมีคนมาจีบกับเขาเลย! และถ้าจะมาก็น่าจะเป็นผู้หญิง! ไม่ใช่ผู้ชายที่สูงเกือบเท่าเขาเนี่ย!!!
“แล้วจากนั้นเจ้าบ้านั่นว่าไงต่อ? ยอมเลิกราง่ายๆ เหรอ?” มิยาจิที่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อยถาม
“เปล่า หมอนั่นกดผมลงกับกำแพงแล้วบอกว่า ‘จะไม่มีทางปล่อยให้นายไปหาคนอื่นหรอก’ น่ะ...” ยูยะเอ่ย “...ผมเลยอัดหมอนั่นซะน่วมเลย ไม่รู้ว่าเมื่อวานมีใครลากมันไปเก็บหรือเปล่า...อ้าวเฮ้ย! ไหงทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนแบบนั้นล่ะพี่!?”
“หื้อ? นายว่าอะไรนะ?” มิยาจิที่บัดนี้มีรอยยิ้มเหี้ยมๆ ประดับบนดวงหน้าเอ่ยถาม ในมือกำตะเกียบแน่นจนได้ยินเสียงไม้ลั่นดังเปรี๊ยะๆ
“ผมบอกว่าไหงทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนไง! อย่าทำหน้าแบบนี่ได้ไหมเนี่ย!? หลอนโคตรๆ!!!” ยูยะเริ่มรู้สึกกลัวหน้าพี่ตัวเองขึ้นมานิดๆ
“จะพยายามแล้วกัน” มิยาจิเอ่ยพร้อมวางตะเกียบลงบนปากถ้วยเป็นการบ่งบอกว่าทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว
“ไม่ใช่จะ แต่พี่ควรเลิกทำหน้าแบบนี้เลยล่ะ! ไม่งั้นทาคาโอะได้หลอนพี่ยิ่งกว่าเก่าแน่!” ยูยะวางตะเกียบลงอีกคนก่อนจะซ้อนจานและยกไปล้างตามเวรของตน
“หลอนกว่าเดิมก็ดีสิ แค่หลอนปกตินี่มันก็กวนฉันแทบทุกวันแล้ว” มิยาจิกรอกตาไปมาพลางนึกถึงรุ่นน้องหัวเหม่ง (?) ของตนที่ไม่ว่าวันไหนก็กวนได้ตลอดคด
“ระวังโดนทาคาโอะเอาไปเผาแล้วกัน” ยูยะส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ เนื่องจากรู้ว่าถ้ามีส่วนไหนที่ผิดไปจากปกตินั่นคนอย่างทาคาโอะ คาซึนาริมักจับสังเกตได้คนแรกและจากนั้นก็จะเอาไปจับกลุ่มนินทากับพวกปีหนึ่งด้วยกันในชมรมหรือไม่บางครั้งก็มีพวกปีสองปีสามแจมด้วย...จำได้มีครั้งหนึ่งพี่เขาลื่นตกบันไดเพราะดันมีใครไม่รู้ไปทำน้ำหกไว้จนขาเคล็ด แต่พี่ยังดื้อไปซ้อมบาสทั้งอย่างนั้นและทาคาโอะก็จับสังเกตได้จากนั้นก็เอาไปคุยกับคู่หูตัวเองก่อนที่เรื่องจะขยายวงไปทั่วทั้งโรงยิมจนโค้ชจับได้ว่าพี่บาดเจ็บอยู่นั้นแหละ...
...ถึงรู้ว่าทาคาโอะแต่ล่ะเรื่องที่ทาคาโอะเอาไปพูดหรือนินทานั่นจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนอื่นเสียหายก็เถอะ แต่ก็มีบ้างที่อดกลัวความช่างสังเกตของทาคาโอะไม่ได้นะเนี่ย
“ลองเอาไปเผาสิ พ่อจับมันมาย่างสดซะให้” มิยาจิเอ่ยอย่างเหี้ยมตามนิสัยก่อนที่จะหยิบมือถือมาเปิดดูว่าตนได้ตั้งแจ้งเตือนอะไรไหม...และพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งเข้ามา ส่วนคนที่ส่งมาก็ไม่ใช่ใครอื่น โอสึโบะเพื่อนของมิยาจินั่นเอง
มิยาจิมองข้อความที่ถูกส่งมาอย่างงุนงงเล็กน้อยเพราะปกติรายนี่มักโทรมามากกว่าที่จะใช้วิธีส่งข้อความ...และด้วยความสงสัยนั่นทำให้มิยาจิไม่รอช้ากดเปิดข้อความขึ้นอ่านทันที...
...ไม่กี่วิต่อมาตัวอักษรอิเล็กโทนิคก็ค่อยๆ ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งเนื้อความภายในเขียนว่า ‘มิยาจิ...วันนี้มีประกาศหยุดเรียนเนื่องจากมีใครไม่รู้ไปไล่ตีหน้าต่างอาคารเรียนจนแตกหมดทุกบาน ทางโรงเรียนเลยเรียกตำรวจมาน่ะ และทางตำรวจก็อยากสอบปากคำพวกที่อยู่จนดึกเมื่อวานทั้งหมดรวมทั้งนายและน้องนายด้วย ยังไงก็รีบมาล่ะ ปล.ที่ใช้วิธีส่งข้อความเนี่ยพอดีเครื่องมีปัญหา โทรออกไม่ได้น่ะ ยังไม่ได้เอาไปซ่อมด้วย’
“มีอะไรพี่? ทำหน้าเครียดเชียว?” ยูยะที่ล้างจานเสร็จแล้วเดินมาหามิยาจิที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่
“โอสึโบะส่งข้อความมาว่าเกิดเรื่องที่โรงเรียนน่ะ และให้เรารีบไปที่โรงเรียนด้วยตอนนี้” มิยาจิอธิบายสั้นๆ ก่อนที่จะ...ทำการลากยูยะออกจากบ้านทันที โดยไม่คิดที่จะอธิบานอะไรเพิ่มเติมทั้งสิ้น
“...พี่...นี่มันอะไรเนี่ย? ระเบิดลงเหรอ?”
“เออ...ไม่รู้แฮะ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะหนักขนาดนี้”
“พี...โบกหัวผมสักทีสิ สติสตางค์ผมจะได้เข้าร่าง”
“งานนี้โบกไม่ไว้ล่ะ นายถีบฉันสักทีก่อนแล้วกัน แล้วฉันค่อยจัดให้ตามขอ”
เสียงถกเถียงราวคนสติหลุดดังออกมาจากเป็นหนุ่มผมสีน้ำผึ้งที่ยืนอยู่หลังเทปที่ถูกขึงกั้นสีเหลืองดำ ดวงตาสีน้ำผึ้งสองคู่มองยังสถานที่ตรงหน้าซึ่งเป็นที่ที่ตนกำลังศึกษาอยู่...ซึงในยามนี่บนพื้นมีเศษกระจกมากมายกองบนพื้นสนาม กระจก วัตถุที่ทำจากแก้วหรืออะไรก็ตามที่สามารถแตกได้ทุกอย่างถูกทำลายสิ้น ไม่ว่าหน้าต่าง กระจกหรือแม้แต่รูปปั้นที่ถูกตั้งประดับในสวนข้างอาคารเรียนก็ตาม...
...ดูราวกับว่าสถานที่เพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ ...ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืนเท่านั้น ทำเอาคนที่ผ่านเข้ามาสถานที่แห่งนี่แทบทุกวันทั้งสองอดใจหายไม่ได้จริงๆ
“เฮ้ๆ สติเข้าร่างได้แล้วทั้งคู่...” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองพร้อมมือหนักๆ ตบหัวทั้งคู่อย่างจัง “...ถึงรู้ว่าตกใจแต่อย่ายืนเอ๋อนานได้เปล่า? มันทำเอาฉันกลัวว่าพวกนายเพี้ยนไปแล้วชอบกล”
“ปากหรือฟะ!? คิมุระ!” มิยาจิหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ตบหัวตนเมื่อครู่ สติสตางค์ที่กระเจิงก่อนหน้านี่กลับเข้าร่างทันควัน
“กัดเจ็บมากครับ คิมุระซัง” ยูยะลูบหัวตัวเองอย่างเจ็บๆ
“ก็เห็นยืนเหม่ออยู่นานสองนานนี่หว่า” เด็กหนุ่มหัวแตงโมง (เฮ้ย! เอาดีๆ สิ!!! // คิมุระ) ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางชี้ไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ซึ่งในกลุ่มนั้นมีโอสึโบะและสองหน่อตัวจริงปีหนึ่งของทีมบาสชูโตกุยืนอยู่ด้วย “อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย รีบไปหาพวกคุณตำรวจได้แล้ว...เหลือพวกนายแค่สองคนแล้ว”
“โอเคๆ” คนนามสกุลมิยาจิทั้งสองพยักหน้ารับ และเมื่อได้รับการตอบรับดังนี้คิมุระก็ลากไปหานายตำรวจที่ยืนรออยู่ทันที...หลังจากนั้นพวกมิยาจิก็โดนสอบถามต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานกลับกี่โมง ก่อนกลับทำอะไรบ้าง ระหว่างกลับบ้านมีใครเป็นพยานบ้างและอีกสารพัดอย่างนับไปถ้วน จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง...
“...อื้อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ” ....นายตำรวจคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้หลังจากที่สอบถามคำถามสารพัดเสร็จแล้ว
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองตอบรับคนอายุมากกว่าไป
“งั้นขอต...” นายตำรวจรายเดิมทำท่าจะเอ่ยลา แต่แล้ว...
“ไอ้เซย์! มาทางนี่หน่อยเว้ย!!!” ...ก็ถูกนายตำรวจผมน้ำตาลที่ดูคุ้นๆ หน้าสำหรับเหล่านักกีฬาทีมบาสชูโตกุทั้งหกชอบกลตะโกนแทรกขึ้นมาก่อน “เจอหลักฐานเว้ย!!! และอย่าเพิ่งไล่ใครกลับนะเฟ้ย!!!”
“เดินมาบอกดีๆ ก็ได้เฟ้ยไอ้เคียว! และอีกอย่างเขาต้องเรียกว่าเชิญกลับเว้ย! ไม่ใช่ไล่กลับ! ไอ้เกินคนเอ้ย!” นายตำรวจที่โดนเรียกว่าเซย์แว๊ดใส่คนเรียก
“นิดๆ หน่อยๆ เอง! ขี้บ่นจริง! เพราะแบบนี่สิน้องคนที่สามของแกถึงเมินแกแล้วหนีไปเกียวโตเนี่ย!” นายตำรวจที่ชื่อว่าเคียวเถียงกลับก่อนที่จะ...หลบก้อนหินที่ถูกปามาจากเพื่อนร่วมอาชีพ “เฮ้ยๆ อย่าโยนมาเซ่! เดี๋ยวโดนไดสึเกะซังดุหรอก!”
“ก็ใครปากหาเรื่องก่อนเล่า!” เซย์แยกเขี้ยวใส่คนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ใครปากหาเรื่อง? ไม่มี้!” เคียวทำเสียงสูงแบบน่าถีบมากมาย
“ไอ้...” เซย์ทำหน้าเมือนไม่รู้จะด่าอะไรเพื่อนตัวเอง แต่แล้ว...ดูท่ารายนั้นจะได้รับการลงทังร์แทนคำด่า เมื่อมีฝ่ามือพิฆาตพร้อมเสียงดุจากนายตำรวจที่ดูยศสูงกว่าคนหนึ่ง
“นี่แกจะก่อเรื่องอะไรกันอีกหรือไงห๊า!? เนบุยะ อันเซย์! ฟุริฮาตะ เคียว!” ชายวัยกลางคนผมสีน้ำเงินคนหนึ่งทำหน้าเหี้ยมใส่นายตำรวจสองคนที่เถียงกันเมื่อครู่ “โดนย้ายมาเขตนี้กันยังไม่เข็ดหรือไง!?”
“ผมเปล่านะ! ไอ้เคียวมันเริ่มก่อน!” เซย์ทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนเหมารวมว่าก่อเรื่องกับเขาด้วย
“เออ! รู้! ก็เรื่องส่วนใหญ่ไอ้เคียวก่อส่วนพวกเราติดรากแหเนี่ย!” นายตำรวจผมน้ำเงินทำหน้ายุ่ง
“แหมๆ อย่าบ่นนักสิครับไดสุเกะ เรื่องนิดเดียวเอง” เคียวทำท่าไม่ใส่ใจนัก...และนั้นทำให้นายเคียวได้รับฝ่ามือพิฆาตลงที่กลางหัวอีกครั้ง
“นิดเดียว? เออ! คราวนี่น่ะนิดเดียว! แต่ยังไม่นับคราวก่อนโว้ย!” ไดสุเกะค้อนใส่คนผมน้ำตาลวงเบ้อเร้อ
“...ถึงว่าทำไมรู้สึกคุ้นหน้า” มิยาจิที่มองนายตำรวจสามคนที่ทะเลาะกันเองแล้วถึงกับคุมขมับ
“ใครจะคิดนายตำรวจที่กวนชาวบ้านนั่นจะเป็นคนบ้านไอ้ชิวาว่านั่นล่ะ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ต่างจากคนนามสกุลนี่ที่เขารู้จักลิบลับเลยแฮะ
“นั่นสินะ ต่างกันโคตรๆ” คิมุระเองก็คิดไม่ต่างกันเท่าไหร่ “นี่นั้นยังไม่นับคนบ้านเนบุยะอีกนะ...ต่างกันเยอะพอกัน”
“อื้อ...เห็นด้วยเลย” โอสึโบะพยักหน้ารับพลางมองคนที่นามสกุลเดียวกับคนรู้จักของพวกตน
“ไม่คิดเลยว่าทั้งโคจังทั้งเนบุยะซังมีญาติพี่น้องที่ดูต่างกันสุดขั้วแบบนี่ด้วยแฮะ” ทาคาโอะหัวเราะเสียงแห้ง “เนอะชินจัง?”
“เฮ้อ บังเอิญจังแฮะที่ดันเจอพร้อมกันถึงสามคนเนอะ” มิโดริมะยกมือดันแว่นของตนให้เข้าที่ด้วยความเคยชิน
“นั่นสิ...เอ๊ะ? สาม? ต้องสองไม่ใช่เหรอชินจัง?” ทาคาโอะหันมามองเพื่อนผมเขียว
“สามน่ะถูกแล้ว...” มิโดริมะบู้ใบ้ไปที่นายตำรวจยศสูงที่สุดในหมู่ตำรวจสามคนที่เถียงกันอยู่ “...ไดสึเกะซัง...คนทียศมากที่สุดในสามคนนั่นเป็นพ่ออาโอมิเนะน่ะ”
“...” เด็กหนุ่มห้าคนที่เพิ่งรู้ความจริงข้อนี่ถึงกับอ้าปากค้างแล้วหันขวับไปยังคนที่ว่าทันที “ไม่เห็นเหมือนสักนิด! นั่นพ่อของอาโอมิเนะ ไดกิจริงเหรอ!?”
...คนพ่อก็ขาวนะไหงคนลูกเข้มนักเนี่ย!? อีกอย่างคนพ่อดูเป็นผู้เป็นคนดี ไหงลูกถึงกวนโอ๊ยจนน่าถีบตกท่อได้!?...
“ครับ จริงครับ...” มิโดริมะพยักหน้ารับ “...และไม่ต้องตกใจนักก็ได้ครับ เพราะมีที่น่าตกใจกว่านั่นให้ตกใจอยู่ครับ”
“มีมากกว่านั่นอีกเหรอ!? จะบอกความชื่อเคียวอะไรนั่นเป็นพ่อฟุริฮาตะหรือไง!?” มิยาจิถามแกมประชดนิดๆ
“เปล่าครับ เคียวซังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฟุริฮาตะต่างหากครับ” มิโดริมะเอ่ยแก้ และนั้นทำให้...ชาวบ้านสติหลุดกว่าเดิมอีก
“...พี่เหรอ!? ถามจริง!?” มิยาจิถามด้วยอาการคิ้วกระตุกนิดๆ ...นี่มันคนละโลกเลยนะเว้ย! ฟุริฮาตะที่เขารู้จักเป็นเด็กดี เรียบร้อย แถมซื่อจนบื้ออีก! ไหนคนพี่ถึงดูกวนจังวะ!?...
...หรือไอ้ความกวนต่างๆ มาตกที่คนพี่หมดจนคนน้องกลายเป็นเด็กดีแบบนี่เนี่ย?
“จริง!” เสียงตอบกลับดังขึ้นมาทันทีที่สิ้นเสียงมิยาจิ...เสียแต่เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงรุ่นน้องผมเขียวของเจ้าตัวนี่สิ “ฉันเป็นพี่โคจังจริงๆ! ไดสึเกะซังก็เป็นพ่อของเพื่อนมิโดริมะจริง! แถมไอ้เซย์ด้วยเอา! มันเป็นพี่คนโตของเนบุยะ เอย์คิจิที่อยู่ราคุซันน่ะ!”
“อ้าวเฮ้ย!” เด็กหนุ่มทั้งห้าถอยกรูดไปหลบหลังคนผมเขียว “มาเมื่อไหร่เนี่ย!? เมื่อกี้ยังทะเลาะกันเองอยู่เลยไม่ใช่เหรอ!?”
“ไดสึเกะบอกว่าปวดหัวกับฉันเลยถีบฉันมาให้สอบถามพวกนายเพิ่มเติมจากหลักฐานที่ฉันเพิ่งเจอเมื่อกี้น่ะ ส่วนไดสึเกะซังกับไอ้เซย์มันก็ช่วยกันหาหลักฐานต่อ” เคียวเกาหัวตนเองอย่างเซ็งๆ
“เหรอครับ...ว่าแต่ได้ยินว่าคุณถูกย้ายมาเขตนี่? ไปก่อเรื่องอะไรล่ะครับ? แถมยังแถมเซย์ซังกับไดสุเกะซังมาอีก” มิโดริมะถามต่อ
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากแค่คราวก่อนไปบุกรังมาเฟียมา...แล้วดันทำชาวบ้านจิตตกไปหน่อยเลยสั่งย้ายฉันมาทำงานที่นี่สองเดือน ส่วนเรื่องที่ไอ้เซย์กับไดสุเกะซังโดนสั่งย้ายตามมาด้วยเนี่ยเห็นบอกว่าให้มาคุมฉันบวกกับคอยช่วยไม่ให้คนอื่นในเขตนี่หลอนกับฉันกันน่ะ” เคียวอธิบาย
“สมควรล่ะครับ ก็คุณเอาจริงทีไรทำเอาหลอนจนแทบจิตตกทุกทีนี่ครับ” มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ช่างฉันเถอะน่า” เคียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะโดนว่าเช่นนี้บ่อย (?) “เอ้าๆ จะคุยจะอะไรเอาไว้ทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ฉันขอทำงานก่อน...ขี้เกียจฟังไดสึเกะซังบ่นแล้ว”
“โอเคครับ” มิโดริมะพยักหน้ารับ
“งั้นเข้าเรืองนะ...” เคียวหยิบสมุดเล่มน้อยขึ้นมาพร้อมปากกาเตรียมจด “...เมื่อวานพวกนายไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า? อย่างเดินชนคนอะไรพวกนี่น่ะ”
“ของผมไม่มีครับ” มิโดริมะส่ายหน้า
“ของผมก็ไม่มีครับ มีแต่เรื่องลอยมาหา” ทาคาโอะเอ่ยต่อจากคู่หูตน
“ไม่มีครับ” โอสึโบะส่ายหน้า
“ของผมมีอย่างมากแค่ห้ามคนทะเลาะกันแถวบ้านผมแค่นั้นแหละครับ” คิมุระเอ่ย
“ผมไม่มี” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อย
“แต่ผมมี...” ยูยะเอ่ย “...เมื่อวานเผลออัดคนไม่เต็งเต้งไปคนหนึ่งน่ะครับ”
“คนไม่เต็งเต็ม?” เคียวทวนอย่างงงๆ
“พอดีเมื่อวานมีคนบ้ามาบอกรักน้องผมน่ะครับ...แถมตัวผู้ด้วย” มิยาจิเอ่ยต่อด้วยสีหน้า...เหี้ยมเกินบรรยาย
“อ...เออ มิยาจิซัง อย่าทำหน้าตาน่ากลัวสิครับ มันสยองนะ...” ทาคาโอะสะกิดคนผมสีน้ำผึ้งเบาๆ “...พอรู้ว่ามีคนมาจีบยูยะซังแล้วอาการบราค่อนออกหรือไงครับ? โอ้ย! ตีหัวผมทำไมล่ะครับ!?”
“ก็ว่าใครเป็นบราค่อนฟะ!? ไม่ได้เป็นเฟ้ย!” มิยาจิที่เพิ่งตีหัวดำๆ ของรุ่นน้องตัวเองพลางหักไม้หักมือเตรียมที่จะตื้บคน
“ใช่เลย...ถ้าเป็นมิยุมิยุค่อนน่าเชื่อกว่า” ยูยะมั่นใจเลยว่าอย่างพี่เขาไม่มีทางมาติดเขาหรอก
“จะเป็นอะไรค่อนก็ช่างเถอะ...ตอนนี้สรุปคือคนที่มีเรื่องมาคือนายใช่ไหม?” เคียวรีบเอ่ยห้ามตามหน้าที่ที่พึงมีของตำรวจ (?) ก่อนที่จะหันไปถามยูยะ
“ครับ” ยูยะพยักหน้าให้คนอายุมากกว่า
“งั้นช่วงนี้นายระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ เพราะมีแววไอ้ตัวที่พังโรงเรียนเนี่ยอาจเป็นตัวเดียวกับที่นายอัดเมื่อวานก็ได้” เคียวหยิบซองพลาติกใสที่ด้านในใส่กระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้เด็กหนุ่มทั้งหลายดู “ทางที่ดีช่วงนี้นายทำตัวติดหนึบกับใครก็ได้ที่ไว้ใจว่าไม่ใช่พวกของไอ้บ้านั่นดีที่สุด เผื่อว่าใช่จริงๆ”
“...ไม่ต้องเผื่อหรอกครับ ใช่แน่เลยล่ะ ผมจำลายมือได้...ว่ามันเหมือนในจดหมายที่มันใช้เรียกผมไปหาเมื่อวานเลย” ยูยะเอ่ยพลางมองแผ่นกระดาษในซองที่มันเขียนไว้ว่า ‘นายต้องเสียใจที่ปฏิเสธฉัน...ฉันจะช่วงชิงทุกอย่างของนายมา’ ด้วยอาการขนลุกแปลกๆ
“จดหมาย? งั้นนายยังมีจดหมายที่ว่านั้นอยู่หรือเปล่า? ฉันจะเอาไปให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจดูว่าคนเขียนใช่คนเดียวกันหรือเปล่า” เคียวถาม
“น่าจะครับ...เดี๋ยวนะ...” ยูยะเปิดกระเป๋านักเรียนของตนที่หยิบติดมือมาด้วย (ทั้งที่รู้ว่าไม่มีเรียน) และล้วงๆ หาว่าจดหมายที่ได้รับมาเมื่อวานยังอยู่หรือเปล่า “...อ๊ะ! เจอแล้ว...นี่ครับ”
“อื้อ ขอบใจ” เคียวรับจดหมายมาดูพร้อมกับ...เบ้หน้าเล็กน้อย “สำนวนเลี่ยนชะมัด แล้วนายยังอุตสาห์ไปหามันอีกเนอะ”
“ก็ตามมารยาทครับ และไม่คิดว่ามันจะบ้าขนาดหนักด้วย” ยูยะบ่นเล็กน้อย
“หื้อ? ไหนขอดูหน่อยครับ” มิยาจิยื่นหน้าไปดูจดหมายในมือคนเพี้ยน (เฮ้ย! อย่าโยนของมาทางเรานะ!!! #ก้มหลบ // s) แล้วจากนั้น...ก็เกิดอาการคิ้วกระตุกเป็นจังหวะสามซ่า “ยูยะ...ดูท่าไอ้คนส่งสมองไม่ปกติแน่ถึงกล้าส่งมาเนี่ย! ขนาดโมริยามะมันยังไม่กล้าขนาดนี้เลย! คราวหน้าคราวหลังเจอจดหมายแบบนี้ก็ชวนฉันไปด้วยล่ะ มีเรื่องอะไรจะได้ช่วยทัน...”
“นายก็พูดเกินไป คนใช้สำนวนเลี่ยนๆ แบบนี้ก็มีเยอะไป” เคียวหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของมิยาจิ
“สำนวนน่ะใช่ครับ...แต่เนื้อหานี้ยังไงก็ไม่ปกติครับ!” มิยาจิตอบกลับ “เล่นเขียนเนื้อหาเชิงคุกคามทั้งเขียนเรื่องลามกยังกับพวกโรคจิตอีก! มองยังไงก็ไม่ปกติครับ!!!”
...ถ้าเมื่อวานบอกกันหน่อยเขาจะไปช่วยตื้บให้จมดินเลย!!! ข้อหากล้ามาคิดอะไรแบบนี้กับน้องเขา!!!!...
“ก็นะ” เคียวไม่เถียงหรอกว่าเนื้อหาในจดหมายนี่มันเหมือนกับที่เคยได้รับจากเจ้าทุกข์ในคดีที่มีคนโรคจิตตามรังควาญน่ะ “เอาเป็นว่า...วันนี้พวกนายกลับบ้านล็อกประตูให้ดีก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเรื่องลายมือนี่มีผลออกมายังไงเดี๋ยวไปบอกถึงบ้านเลยนะ คิโยชิ ยูยะ”
“แล้วคุณรู้ทางไปบ้านผมเหรอครับ?” มิยาจิเลิกคิ้วเล็กน้อยกับนายตำรวจที่อยู่ๆ เรียกตนกับน้องชายอย่างสนิกสนมเฉยเลย
“รู้สิ พอดีเคยโดนอาเจ๊แกช่วยให้เอาของไปให้น่ะ...” เคียวเอ่ย “...พวกนายอาจไม่รู้ แต่ทั้งฉันทั้งไอ้เซย์เป็นลูกศิษย์ของคิโยมิซัง...แม่พวกนายน่ะ ทั้งคู่เลย”
“...” สองพี่น้องมิยาจิเมื่อได้ยินคำพูดนี่ของอีกฝ่ายถึงกับตัวแข็งทื่อไปในบัดดล พร้อมเหงื่อที่เริ่มแตกราวสายน้ำ...
...ซวย! รู้จักแม่เหรอวะ!?......
“อ่ะๆ ไม่ต้องทำหน้าซีดนักก็ได้ ฉันไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกคิโยมิซังหรอก...สงสารไอ้คนร้ายน่ะ ฉันมั่นใจว่าถ้าโดนคิโยมิซังอัดเนี่ยลงโลงอย่างเดียวแน่” เคียวที่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน “ดังนั่นปล่อยรายนั้นไปเที่ยวเล่นต่างประเทศกับสามีแกต่อไปเถอะเนอะ”
“...มีคนน่ากลัวกว่าคุณด้วยเหรอครับ? เคียวซัง?” มิโดริมะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“มีคิโยมิซังนี่ไง...ถึงคิโยมิซังไม่ถึกและแรงเยอะเท่าฉัน แต่ด้านความโหดเนี่ยขอบอกเลยว่ากินขาด เจ๊แกไม่มีคำว่าปรานีหรอก” เคียวเอ่ย
“เรื่องนี่ขอยืนยันเลย” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ “ว่าแต่...คุณรู้ได้ไงว่าผมกับแม่เป็นแม่ลูกกัน?”
...ปกติถ้าเดินด้วยกันแม่จะโดนเข้าใจว่าเป็นพี่น้องกับพวกเขามากกว่า และส่วนใหญ่กว่าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นแม่ลูกกันเนี่ยคือมีคนปล่อยข่าวประมาณว่าแม่มีน้องทั้งๆ ที่ความจริงแม่เป็นลูกคนเดียว...จากนั่นหลังโดนแม่อัดเละนั่นแหละถึงจะรู้เรื่องกัน...
“พอดีเคยเห็นพวกนายเดินกับคิโยมิซังจากบนตึกน่ะ แล้วสงสัยว่าพวกนายเป็นใครเลยโทรถามมันตอนนั่นเลย” เคียวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อ...อา งั้นเหรอครับ” มิยาจิพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“เมื่อเข้าใจกันแล้วก็...แยกย้ายกันได้! ฉันต้องไปช่วยคนอื่นหาหลักฐานแล้ว! โดยเฉพาะพวกนายสองคน! กลับบ้านแล้วล็อกประตูดีๆ ล่ะ! ไม่งั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนายคิโยมิซังฆ่าฉันแน่!” เคียวเอ่ยกับเด็กหนุ่มทั้งหลายและในขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงเรียกให้เคียวไปช่วยพอดี “รีบกลับบ้านดีๆ ล่ะ! อย่าไปในที่เปลี่ยวๆ ด้วยเข้าใจไหม!?”
“ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งหลายขานรับอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเคียวได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้วก็วิ่งไปหาเพื่อนตำรวจที่เรียกตนเมื่อครู่ทันที
“อยากบ้า...ไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นจะคลั่งถึงขั้นทำลายโรงเรียนเลยเนี่ย” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางกดรีโมตทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย
“นั้นสิ...คนแบบนี่นี้โคตรอันตรายเลย ฉันว่าทางที่ดีช่วงนี้นายอยู่ติดบ้านดีกว่า” มิยาจิเอ่ย
“ผมว่าอยู่บ้านก็อันตรายพอกัน ผมไม่คิดว่ามันจะไม่รู้ที่อยู่ของบ้านเราหรอกนะ” ยูยะแย้งความคิดของพี่ชายตน
“จะว่าไปก็จริง” มิยาจิไม่เถียงหรอกว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“เฮ้อ...แล้วแบบนี่เอาไงดีต่อดีล่ะพี่? ชักกลัวว่าวันดีคืนดีมันจะมางัดบ้านชอบกล” ยูยะถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน นึกไม่ออก” มิยาจิส่ายหน้าไปมา
“หรือผมไปล่อมันแล้วให้พี่ดักตีหัวมันดี?” ยูยะลองเสนอขึ้นมาเล่นๆ แต่ผลที่ได้คือ...
“ไม่ได้เด็ดขาด!!!” ...มิยาจิตะคอกออกมาเสียงดังเสียจนยูยะสะดุ้งโหยง “อันตรายจะตายชัก! ถ้าเกิดพวกมันมาเยอะฉันช่วยไม่ได้นะเฟ้ย!”
“เออ พี่...ผมล้อเล่น อย่าเครียดดิ” ยูยะเริ่มเหงื่อตกนิดๆ เนื่องจากไม่คิดว่าพี่ชายตนจะจริงจังขนาดนี้
“มุขนี้ไม่ขำเฟ้ย!” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ “ทางที่ดีช่วงนี้ฉันกับนายติดหนึบกันไว้ดีกว่า อย่างน้อยก็พอสู้เป็นทั้งคู่แถมไม่ต้องระแวงว่าอาจเป็นพวกของไอ้บ้านั้นด้วย”
“โอเค ตามนั้น” ยูยะที่รู้สึกว่าวันนี้อารมณ์อีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ แปลกๆ นั้นขานรับไปส่งๆ ตามประสาคนขี้เกียจเถียง และขณะเดียวกันนัน...
แกร็ง...แกร็ง...
...ก็มีเสียงเหมือนมีใครพยายามงัดอะไรดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านท้งสองชะงัก
“ยูยะ...ปิดทีวีดิ” มิยาจิเอ่ยเสียงเครียดพร้อมเดินไปที่ประตูห้องและยื่นหน้าดูที่ประตูทางเข้าบ้านซึ่งกำลังสั่นไหวอย่างน่ากลัว
“อื้อ!” ยูยะขานรับและกดปิดทีวีทันที “พี่...พวกมันมาเหรอ?”
“ไม่รู้ แต่อาจจะใช่...เล่นเขย่าประตูจนแทบพังแบบนี้ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่พวกโอสึโบะชัวท์” มิยาจิรีบวิ่งออกห่างจากประตูห้องแล้วคว้ามือยูยะไว้ “จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันว่าเรารีบซ่อนตัวก่อนดีกว่า”
“ผมก็ว่างั้น” ยูยะก็เห็นว่าความคิดนี่เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันจึงยอมให้พี่ตนลากไปโดยง่าย “แล้วนี่จะแอบไหนกันเนี่ย?”
“ห้องเก็บของเพี้ยนๆ ของพ่อไง...รับรองว่าส่วนใหญ่หากันไม่เจอหรอก” มิยาจิเอ่ยอย่างมั่นใจเพราะไอ้ห้องที่ว่านั่น...ถ้าพ่อไม่เคยเปิดให้ดูพวกเขาเองก็หาไม่เจอเหมือนกัน!
“ถ้าหาเจอก็เทพเกินล่ะ เล่นทำทางเข้าห้องซะเนียน” ยูยะกรอกตาไปมา “ว่าแต่มันจะยัดเราทั้งสองเข้าไปได้เหรอ? พ่อเล่นเอาของยัดๆ จนแทบไม่มีที่ยืนแล้วนิ?”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ล่ะงานนี้” มิยาจิไม่คิดว่าตอนนี้ตนมีทางเลือกมากนักหรอก
“คงงั้น” ยูยะมองอีกฝ่ายทีกำลัง...งัดพื้นขึ้นมาเผยให้เห็นช่องแคบๆ ช่องหนึ่งที่ด้านในมีของระเกะระกะไปหมด “โอ้โห้ ดูท่าพ่อเอาของมายัดเพิ่มอีกแล้วสินะ?”
“นั่นสิ...ดูท่าพ่อแม่กลับมาบ้านคราวหน้าต้องบอกให้ช่วยจัดการห้องนี่แล้วสิ” มิยาจิถอนหายใจด้วยความปลงกับห้องเก็บของบ้านตนที่รกสนิก แถมไม่รู้จะทำเป็นทางลับไปทำไม...แต่สำหรับในตอนนี้ถือว่าโชคดีสุดๆ ที่ห้องเก็บของที่พ่อเขาสร้างขึ้นมานั่นเป็นแบบนี่...
...เพราะมันทำให้เขามั่นใจว่าไม่มีใครหาเจอแน่ เนื่องจากถ้ามองหรือลองสัมผัสมั่วๆ เนื่ยไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเป็นห้องเว้นเพียงจะจงใจงัดแบบเขาอ่ะนะ
“เอาเถอะ...รีบๆ ลงไปเลย เดี๋ยวพวกมันเข้ามาได้ก่อนหรอก” มิยาจิเมื่อได้ยินดังปังลอยแว่วมาก็จัดการยัดน้องชายตนเองลงไปในห้องทันที ก่อนที่ตัวเองจะตามเข้าไปพร้อมดึงประตู (หรือพื้น?) ปิดลงมา...ทำให้สุดท้ายเด็กหนุ่มทั้งสองก็ตกอยู่ในความมืด “ให้ตาย แคบชะมัด”
“นั่นสิ จำได้ครั้งล่าสุดยังไม่ขนาดนี่นะ” ยูยะบ่นขึ้นมาเบาๆ “เดี๋ยวพ่อแม่กลับมาเมื่อไหร่ คงต้องเปลี่ยนจากให้จัดห้องเป็นบอกให้เอาของพวกนี่ไปทิ้งบ้างหรือไม่ก็สร้างห้องใหม่อีกห้องแล้วล่ะ”
“ฉันก็ว่างั้น...” มิยาจิพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมโอบเอวน้อยตนเองแล้วดึงมาใกล้ๆ “...และยูยะ...นายขยับมาใกล้ๆ ฉันก็ได้นะ ไม่ต้องพยายามถอยห่างเหมือนรังเกียจแบบนั่นก็ได้”
“ไม่ได้รังเกียจแต่อึดอัดต่างหาก! แล้วนี่พี่จะโอบเอวผมไว้ทำไมเนี่ย!?” ยูยะโวยใส่
“กันนานเขยิบจนไปชนอะไรเข้าไง” มิยาจิตอบกลับหน้าตาย ขณะเดียวกันนั้น...ก็มีเสียงใครสักคนแว่วมาพร้อมเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา “ตอนนี้นายช่วงเงียบๆ หน่อยล่ะ อย่าส่งเสียง...พวกมันมาแล้ว”
“พี่ก็ด้วยแหละ” ยูยะตอกกลับก่อนทั้งคู่จะเริ่มเงียบไปและแทนที่ด้วย...เสียงของคนตำนวนหนึ่งที่ดังมาจากภายนอกดังขึ้น...
“เฮ้! เจอใครไหม!?”
“ไม่เจอเลยลูกพี่!”
“ทางนี้ก็ไม่ครับ!”
“คิดว่าเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นออกไปด้านนอก?”
“ไม่มีทาง พวกนั่นไม่บ้าพอที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นฝีมือเราแล้วจะไปด้านนอก”
“งั้นพวกนั้นหายไปไหนล่ะ?”
“อาจไปอยู่บ้านคนรู้จักหรือไม่ก็...แอบซ่อนอยู่ในบ้านนี่แหละ”
“คงไม่มั้ง? อาจจะได้ยินเสียงเรางัดประตูเลยหนีไปแล้วก็ได้”
“จะยังไงก็ช่าง! จับตัวคนน้องนั้นมาให้ฉันให้ได้! ส่วนคนพี่นั้นจะเป็นไงก็ช่างหัวมัน!”
“รับทราบลูกพี่!!!”
“ฯลฯ”
...และสิ่งที่ได้ยินนี่เป็นตัวบ่งบอกถึงจุดประสงค์คนเหล่านี้บุกเข้ามาภายในบ้านมิยาจิได้เป็นอย่างดี
“...สักผมจะไปล้างซวย” ยูยะคุมขมับตนเอง...
...ให้ตายเถอะ...คนทั้งโลกมีเป็นล้าน ทำไมเขาต้องมาโดนคนบ้าแบบนี่ตามจีบด้วยเนี่ย!?...
“ฉันว่าล้างซวยคงช่วยไม่ได้ล่ะนะงานนี้” มิยาจิเอ่ยพลางควักมือถือออกมาจากกระเป๋า “เอาเป็นว่าฉันจะส่งข้อความให้โอสึโบะเรียกตำรวจมาแล้วกัน”
“และหวังว่าโอสึโบะซังจะเรียกมาได้นะ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉันก็หวังว่างั้น ไม่งั้นเราคงต้องรอพวกมันออกจากบ้านเราหรือไม่ก็อยู่นี่มันทั้งคืนแน่” มิยาจิถอนหายใจออกมาอีกคนพลางกดส่งข้อความให้เพื่อนตน...แถมส่งให้ตัวจริงอีกสามคนในทีมด้วยเพื่อกันพลาดอีกต่างหาก...
...หวังว่าพวกนั่นจะตามตำรวจมาได้เร็วๆ นะ...
“...ทำไมถึงมาช้ากันจังเนี่ย?”
“ช้าบ้าอะไร ฉันเพิ่งข้อความไปไม่ถึงสิบนาทีเอง ถ้าพวกนั้นมาได้เร็วขนาดนี้ก็เทพเกินล่ะ”
“เหรอ? แต่ทำไมรู้สึกนานจังล่ะ?”
“จะไปรู้เหรอ?”
“แล้วเมื่อไหร่พวกมันจะไปเนี่ย? หาเราไม่เจอกันแล้วยังอุตสาห์วนเวียนในบ้านต่ออีก”
“มันคงกะว่าถ้าเราออกไปด้านนอกพอกลับมาจะเล่นงานเลยมั้ง”
เสียงพูดคุยดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาภายในห้องเต็มไปด้วยข้าวของมากมายปานร้านขายของเก่า เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังยืนเบียดกันอยู่ในบริเวณเดียวที่พอเป็นที่ว่างให้ยืนได้
“ให้ตายสิ...เมื่อไหร่จะได้ออกไปเนี่ย? อึดอัดจะตายแล้ว” ยูยะบ่นอุบอิบ
“คงอีกสักพักล่ะ และอีกอย่าง...แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า แต่ออกไปเจอไอ้พวกนั่นเมื่อไหร่นายได้ตายของจริงแน่” มิยาจิตอบกลับ
“กลัวว่าจะไม่ตายอย่างเดียวสิ...อาจโดนทำอะไรน่าขนลุกเป็นของแถมด้วย” ยูยะเอ่ยพลางขนลุกซู่ขึ้นมาจริงๆ เมื่อนึกภาพตาม
“ก็เป็นไปได้แฮะ” มิยาจิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และในตอนนั่นเอง...
ตึง! ตึง!
...ก็มีเสียงทุบดังขึ้นจนทำให้บริเวณที่เปิดทางประตูเข้าห้องนี่สั่นไหวอย่างน่ากลัว ทำให้คนที่อยู่ภายในสะดุ้งโหยงพร้อมกับ...เผลอก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณจนชนเข้ากับของที่กองๆ เอาไว้และทำให้ของเหล่านั่นล้มทับเด็กหนุ่มทั้งสองทันที!
“เฮ้ย!” มิยาจิหลุดร้องออกมาเมื่อข้าวของดันร่างของตนเองจากด้านหลังจนเสียหลักไปล้มทับร่างน้องชายของตน
“เหวอ! อุ๊บ!” ยูยะที่หลุดร้องออกมาได้เพียงเล็กน้อยถึงกับเบิกตากว้างเมื่อ...ปากทั้งสองดันประกบกันพอดีนี่สิ!
“...” มิยาจิเองก็ดูตกใจไม่ต่างกันที่ดันมาจูบอีกฝ่ายเข้าพอดี จึงรีบหาทางลุก แต่แล้ว...
“เฮ้! เสียงอะไรวะ!?”
“ไม่รู้สิ!”
“ใครก็ได้ไปหาต้นเสียงดิ!”
“ครับลูกพี่!”
“ฯลฯ”
...ดันมีเสียงจากด้านนอกที่บ่งบอกว่าได้ยินเสียงเมื่อครู่ ทำให้มิยาจิไม่สามารถขยับตัวได้เพราะมันอาจทำให้เกิดเสียงและทำให้ผู้บุกรุกนั่นรู้ตัวได้ว่ามีห้องลับอยู่ตรงนี้
“...” มิยาจิมองคนที่อยู่ใต้ตนซึ่งกำลังดิ้นเล็กน้อย คาดว่าคงตกใจที่เสียจูบแรกให้พี่ตัวเองเสียเฉยๆ ...พร้อมพยายามคิดตัดสินใจว่าควรทำไงต่อดี...
...เอาไงดีหว่า? ถ้าถอนจูบตอนนี้ยูยะสติหลุดและเผลอแว๊ดออกมาแน่ จะขยับตัวแล้วเอามือปิดปากยูยะก็ไม่ได้อีก ไม่งั้นไอ้ของที่ทับๆ อยู่บนหลังนี่ได้ร่วงพร่าวจนไอ้ด้านนอกนั่นได้ยินแน่...งั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคืออยู่นิ่งๆ สินะ? ถึงน่าอายไปหน่อยที่ต้องอยู่ในสภาพนี่แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนี่นะ...
“อ...อื้อ...” เสียงที่ดังขึ้นเบาๆ คล้ายจะบอกว่า ‘เอาหน้าไปห่างๆ สักทีเซ่!’ ดังออกมาปากยูยะ
“...” มิยาจิส่งสายตาตอบกลับไปว่า ‘ทนๆ ไปก่อนแล้วกัน’ แต่ก็ยอมถอนจูบออกเล็กน้อยเท่าที่ทำได้
“พี่...อุ๊บ!” และยูยะที่หลุดพูดออกมาได้คำเดียวก็โดนประกบปากอีกรอบเมื่อมีของคล้ายๆ ลูกบอลเก่าๆ ตกใส่หัวมิยาจิพอดีจนหน้าทิ่ม เท่านั้นไม่พอยังมีของมากมายตกใส่อีกจนกลายเป็นว่าสุดท้าย...ตอนนี่ต่อให้อยากขยับเท่าใดคงทำไม่ได้แล้ว ไม่งั้นเกิดเสียงขึ้นแน่ แถมเป็นเสียงดังด้วย...
...ก็ใครใช้ให้ของแต่ล่ะอย่างนั้นส่วนใหญ่เป็นโลหะล่ะ! แค่ขยับนิดเดียวก็เกิดเสียงแล้ว! อีกทั้งมีแววดังต่อๆ กันเป็นลูกโซ่ด้วย!
“...” มิยาจิเริ่มรู้สึกสงสารน้องตัวเองขึ้นมาชอบกล...
...ไหงมันบังเอิญขนาดนี้ฟะ!? ถ้าหลุดจากสถานการณ์นี้ได้เมื่อไหร่มีหวังแว๊ดบ้านแตกแหง!!!...
“...” ยูยะเกร็งตัวแข็งโป๊กอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
“...” มิยาจิจ้องมองยูยะที่ทำตัวเกร็ง ขณะที่ยูยะเองก็จ้องกลับมาเช่นกัน...และทั้งคู่ก็จ้องกันราวกับว่าจะจ้องกันจนกว่าจะท้อง (คนนะเฟ้ย! ไม่ใช่ปลากัด! // มิยาจิ×2) ไปเรื่อยๆ จน...
ปัง!!!
“เฮ้ย! ตำรวจมา! เผ่นเร็ว!!!”
...สิ่งที่ทั้งคู่รอคอยได้มาถึงสักที! และเด็กหนุ่มทั้งสองไปรอช้ารีบใช้จังหวะที่ด้านบนมีเสียงอึกทึกคึกโครมอยู่นั่นรีบผละตัวออกจากกันทันทีแบบไม่สนว่าจะมีอะไรแตกอะไรหักทั้งสิ้น
“อา...ในที่สุดก็มาสักที” มิยาจิถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่จะเหล่มองยูยะที่...ดูท่ายังไม่หายซ็อกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ “อ...เออ นายโอเคนะยูยะ?”
...ตอนแรกคิดว่าปากว่างปุ๊บจะโวยแบบปกติเสียอีก ไหงกลายเป็นเงียบจนหลอนแบบนี้ฟะ!? พูดอะไรหน่อยเซ่! มันใจคอไม่ดีนะเฟ้ย!!!...
“เออ...คิดว่า” ยูยะตอบกลับสั้นๆ คล้ายสติสตางค์ยังไม่เข้าร่างดี
“แต่ฉันว่าไม่วะ” มิยาจิเอ่ยพร้อมกับ...เอาสับมือสับเข้ากลางกระหม่อมอีกฝ่ายเต็มแรง
“โอ๊ย! เจ็บนะเฟ้ย!!! ทำอะไรของพี่เนี่ย!?!” ยูยะกุ่มหัวตัวเองด้วยน้ำตาคลอน้อยๆ และแว๊ดใส่ผู้เป็นพี่สุดเสียง
“ดึงสตินายเข้าร่างไง” มิยาจิหัวเราะอย่างชั่วร้าย (...#ก้มหลบเท้า // s)
“ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี่หรือไงกัน?” ยูยะทำหน้าบึ้ง...อูย หัวโนเปล่าวะเนี่ย?
“ก็มี แต่วิธีนี่เร็วสุดนิ” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อยขณะเดียวกันหูก็พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อตนดังมาแว่วๆ “เอาเป็นว่าจะโวยอะไรไว้ทีหลังเถอะ...ตอนนี้รีบขึ้นไปหาพวกโอสึโบะกันดีกว่า ก่อนที่พวกนั่นจะเข้าใจว่าเราทั้งคู่โดนฆ่าหมกท่อไปแล้วน่ะ”
“...ตามแต่พี่เถอะ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ เนื่องจากรู้ดีว่าเถียงไปก็เท่านั้นบวกกับ...ไอ้เรื่องที่เพิ่งเจอมาเนี่ยทำเอาเขาไม่มีอารมณ์แว๊ดใครมากนัก
“โอเค ตามนั้น” มิยาจิขานรับก่อนจะ...ดันประตูออกอย่างแรง...
“เหวอ!” ...และทันทีที่ประตูถูกเปิดออกก็ได้ยินเสียงร้องหลายเสียงดังขึ้น
“...” ดวงตาสีน้ำผึ้งกวาดมองไปรอบๆ ซึ่งตอนนี้ในห้องนี่ที่เป็นห้องรับแขกนั่นเละสนิกและมีพวกทีมตัวจริงของทีมบาสชูโตกุ เหล่าตำรวจกับคนที่ดูคล้ายๆ นักเลงหลายคนที่ถูกจับมัดอยู่กันเต็มห้อง “...ไง...ดูท่าจะจับคนร้ายกันทันสินะ?”
“ม...มิยาจิ!? ตรงนั่นมีประตูด้วยเหรอ!?” นายหัวแตงโม (ว่าใครหัวแตงโมห๊า!? เอาดีๆ สิ! // คิมุระ) เอ่ยถามด้วยความตกใจ...มาบ้านมันตั้งหลายครั้งไม่เคยเห็นเลยวุ้ย!
“ก็มีน่ะสิ” มิยาจิตอบพร้อมลากคอ (?) ยูยะขึ้นมาด้านบน “เรื่องประตูนี่อย่าสนใจเลย ว่าแต่คนร้ายล่ะ?”
“จับได้ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งหนีไปได้น่ะ” นายตำรวจผมน้ำตาลที่เพิ่งแยกกันเมื่อไม่นานมานี่เอ่ยแทนคิมุระ “พวกนี่ก็ใช่ย่อยนะ เลยเอาปืนยิงใส่กันเฉยเลย”
“ไอ้ที่ใช่ย่อยน่ะคุณมากกว่าครับ ที่ฝ่าดงกระสุนได้เนี่ย...” นายหัวตั้ง (ไหงมาแซะฉันด้วยเล่า!? // โอสึโบะ , ก็อยากแกล้งนายบ้างอ่ะ // s) นวดขมับด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งเจอเรื่องชวนปวดหัวที่สุดมา “...แถมยังปัดกระสุนโดยใช้กระทะอีก...นี่คุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
“ไหงว่างั้นอ่ะ!? ฉันคนร้อยเปอร์เซ็นนะ!” เคียวทำแก้มป่อง
“แต่เอาตามจริง...ไม่ค่อยเหมือนเลย” นายตำรวจคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เริ่มเข้าใจล่ะว่าคนที่ย้ายนายมานี่ทำไมถึงให้สารวัตรอาโอมิเนะกับผู้หมวดเนบุยะมาด้วย...เพราะถ้านายย้ายมาคนเดียวมีหวังสถานีเละตั้งแต่วันแรกที่นายย้ายมาแหง”
“อ้าวๆ ปากหรือนั่น?” เคียวค้อนใส่คนที่ว่าตน
“แต่มันก็จริงนะครับ...ล่าสุดฟุริฮาตะบอกผมอยู่ว่าคุณเกือบทำตึกถล่มนี่ครับ?” เด็กหนุ่มผมเขียวเอ่ยเสริม
“แหม นั้นตั้งแต่สามเดือนก่อนนะ...ว่าแต่โคจังบอกมาจริงดิ?” เคียวถาม
“ครับ” มิโดริมะพยักหน้ารับ
“เฮ้ๆ อย่ามัวสนใจเรื่องอื่นดิไอ้เคียว! ทำงานก่อน!” นายตำรวจผมดำนามเนบุยะ อันเซย์ตบหลังนายเคียวอย่างแรง
“โอ๊ย! เจ็บนะเฟ้ยไอ้เซย์! นี่มือหรือเท้าวะ!?” เคียวหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ตบหลังตนเมื่อครู่
“มือสิวะ! และอย่ามาทำสำออยว่าเจ็บหน่อยเลยไอ้เคียว! คราวก่อนโดนยิงแกยังล้วงเอากระสุนออกเองหน้าตาเฉย!” เซย์แหวะใส่เพื่อนตัวเอง
“นายลืมเติมว่าจากนั้นก็โดนไดสึเกะซังแว๊ดใส่ด้วยเว้ย!” เคียวเอ่ยต่อหน้าตาเฉย “ไดสึเกะซังเองก็ขี้บ่นเกิน! แค่โดนกระสุนนิดๆ หน่อยๆ ไม่ตายหรอกน่า!”
“แต่ถ้าโดนจุดสำคัญก็ตายนะเว้ย!” เซย์ส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ “มันน่าเอาไปฟ้องโซจิซัง แฟนแกจริงๆ”
“อย่าเชียวนะเฮ้ย! ไม่งั้นโดนแว๊ดหูดับแน่!” เคียวรีบโดดตะคุบตัวนายอันเซย์อย่างรวดเร็ว “ฉันยังไม่อยากโดนโชจิงอนนะ!”
“เออๆ รู้แล้ว! จะตะโกนทำไมวะหนวกหูเว้ย!” เซย์เบ้หน้า “นี่ไม่ทันแต่งก็กลัวเมียแล้วเหรอวะ?”
“กลัวเมียคือหน้าที่ที่ดีของสามีไม่ใช่เหรอ?” เคียวถามกลับอย่างซื่อๆ แต่...เล่นซะทั้งห้องอึ้งกับคำตอบไปเลย
“...นี่แกเอาความคิดนี่มาจากไหนเนี่ย?” เซย์ถามอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่สุดแสนเกินมนุษย์มนา (?) คนนี้จะมีความคิดที่อยู่ในระดับคนปกติ (?) ได้ด้วย...
...ถึงกลัวเมียหรือเคารพเมียจะไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกอะไร แต่พอออกจากปากหมอนี่แล้ว...มันฟังแปลกๆ แฮะ...
“คิโยมิซังน่ะ คราวก่อนฉันถามว่าสามีที่ดีควรทำไงก็ตอบกลับมาแบบนี่น่ะ” เคียวตอบ
“...ฉันว่าคิโยมิซังเค้าประชดนะ” เซย์เดาได้เลยว่าอาจารย์สาวของตนต้องรำคาญคำถามบื้อๆ ของเคียวเลยตอบส่งๆ แหง “แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีกับโชจิซังแฮะ...อย่างน้อยมั่นใจว่าไม่ตายคาอก (?) ไอ้เคียวล่ะ”
“หื้อ? เมื่อกี้นายบ่นอะไรนะ?” เคียวที่ได้ยินเสียงเซย์บ่นมาแว่วๆ เอ่ยถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร” เซย์บอกปัดๆ ไปพรอมหันไปหาเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองที่ยังยืนอึ้งอยู่ “เรารีบมาทำงานต่อดีกว่า ส่วนพวกนาย...ช่วงนี้ดูท่าอยู่บ้านพวกนายคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ดังนั้นไปพักที่ที่ทางตำรวจจัดให้แทนแล้วกัน โอเคนะ?”
“อ...อา ครับ” มิยาจิขานรับทั้งๆ ที่ยังเอ๋อกินอยู่
“ถ้าเข้าใจแล้ว งั้นรีบไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมย้ายที่อยู่ชั่วคราวเลยทั้งคู่” เซย์เอ่ยพร้อมจัดการ ‘ลาก’ คอเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองออกจากห้องก่อนที่เพื่อนสุดเพี้ยนหลุดโลก (?) ของตนจะนึกคึกจัดการแบบปวดจิตให้แทน...
...จนสุดท้ายสองพี่น้องมิยาจิก็ไปเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นไปทั้งๆ ที่สติยังไม่เข้าร่างดีก่อนที่จะถูกลากไปยังที่พักแห่งหนึ่งโดยนายเนบุยะ อันเซย์ซึ่ง...หรูมากจนทั้งสองอดถามคนพามาไม่ได้ว่ามาถูกที่หรือเปล่า
“ถูกแล้วล่ะ นี่เป็นที่ที่น้องชายฉันซื้อไว้ให้น่ะและฉันใช้คิดว่าที่นี่ความปลอดภัยแน่นหนาดีเลยให้พวกนายมาเนี่ย แต่เสียอย่างเดียวคือห้องพักที่ใช้มันมีเตียงเดียว พวกนายคงนอนเบียดๆ กันได้นะ...เออ ไม่ต้องจ้องกันก็ได้ ที่จริงคือที่นี่มันหรูเกินจนฉันไม่กล้าอยู่น่ะ กลัวตำรวจคนอื่นหมั่นไส้เอาเลยเอามาเป็นที่พักพยานที่โดนจ้องเล่นงานแบบพวกนายซะเลย แต่ว่าก็ว่านะที่จริงฉันน่าจะทำธุรกิจแบบน้องฉันตามที่พ่อแม่บอกมากกว่ามาเป็นตำรวจแบบนี่แฮะ คิดแล้วเสียดายชะมัด”
...และนี่คือคำตอบที่ได้รับ...ซึ่งนั้นทำให้พวกเขาอดตบบ่าปลอบใจคนที่ทำหน้าเหมือนเสียดายไม่ได้จริงๆ
“นี่~~~ ยูยะ~~~~” เสียงลากยาวคล้ายออดอ้อนชนิดที่ว่าคนรู้จักมาได้ยินเข้าคงรีบจับลากเข้าโรงพยาบาลทันทีแน่ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งที่กลิ้งไปมาบนเตียงขนาดคิงไซร์ ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมจ้องเป๋งไปที่คนซึ่งกำลังนั่งเล่นเกมอยู่
“มีอะไรพี่?” ยูยะถามกลับทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละจากเกมที่เล่น
“หายงอนฉันสักทีเถอะ~~~ ไอ้เรื่องในห้องเก็บของนั่นเป็นอุบัติเหตุนะ~~~” มิยาจิพยายามทำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุด...ที่อีกฝ่ายจะไม่แสดงท่าทีอะไร แต่คิดว่าเขาดูน้องตัวเองไม่ออกเหรอ? เขาดูออกอยู่น่าว่าโดนงอน แถมงอนหนักด้วย (ดูออกเพราะซึนเหมือนกัน? // s , เงียบไปเลย! // มิยาจิ)
“รู้แล้วพี่ และผมไม่ได้งอนด้วย” ยูยะเอ่ย
“นี่อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย~~~” มิยาจิกระดึบ (?) ลงจากเตียง
“ไม่ได้ปากแข็งเสียหน่อย!” ยูยะขึ้นเสียงคล้ายคนมีน้ำโหเล็กๆ
“ปากแข็งสิ...แข็งมากด้วย” มิยาจิแอบย่องมาด้านหลังยูยะและเป่าลมรนต้นคออีกฝ่ายเสียจนสะดุ้ง
“เหวอ! ทำอ...” ยูยะกดเซฟเกมก่อนที่จะหันไปแว๊ดใส่พี่ชายตน แต่พูดไม่ทันจบประโยคริมฝีปากของผู้เป็นพี่ก็ประกบลงมา ดวงตาสีน้ำผึ้งเบิกกว้าง มือไม้พยายามผลักร่างของคนที่กำลังจูบตนอยู่ออก...ซึ่งดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก
“...” มิยาจิมองสีหน้าที่กำลังตื่นตกใจนิ่งๆ ก่อนที่จะเริ่มใช้ลิ้นดันๆ ริมฝีปากอีกฝ่ายจนเผยออกเล็กน้อยแล้วจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่นอมพลาดโอกาสที่จะไปตักตวงความหวานภายในริมฝีปากนั่น มือหยาบจากการเล่นกีฬาดันศรีษะสีน้ำผึ้งเข้าหาตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถอยหนีได้
“อ...อื้อ!?” ยูยะหลุดร้องออกมาเล็กน้อยด้วยความตกใจพร้อมพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมือพี่ชายซึ่งตอนนี้ดูน่ากลัวชอบกล แต่ก็ไม่เป็นผลจน...ยูยะเริ่มรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเพราะจูบเนี่ยแหละ มิยาจิจึงยอมถอนจูบออก “อ...อา แค่กๆ”
“นายนี่เวอร์จิ้นกว่าที่คิดนะเนี่ย” มิยาจิหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามองก่อนที่จะ...อุ้มตัวยูยะขึ้นอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่ขนาดตัวก็ใกล้เคียงกันแท้ๆ
“เหวอ!?” ยูยะที่จู่ๆ ถูกอุ้มรีบเกาะเสื้ออีกฝ่ายแบบคนกลัวตก
“นายนี่ตัวเบาชะมัด ทั้งๆ ที่กินข้าวกินปลาก็เท่าๆ กันแท้ๆ” มิยาจิบ่นขึ้นมาเบาๆ พลางวางตัวยูยะลงกับเตียงและ...ขึ้นคล่อมทันที
“ตัวผมจะเบาหรืออะไรก็ช่างเถอะน่า! แล้วนี่พี่เป็นบ้าอะไรเนี่ย!? ทำไมถึง...” เมื่อปากว่างยูยะก็โวยใส่มิยาจิทันทีด้วยความไม่เข้าใจ “...ท...ทำไมถึงจูบเหล่าไอ้พี่บ้า! โดนของตกใส่หัวจนเพี้ยนหรือไง!?”
...พี่บ้าไปแล้วแหง! ถึงจูบเขาแบบนี้เนี่ย! แค่เรื่องในห้องเก็บของก็น่าอายแล้วแต่นี้เล่นมีแลกลิ้นด้วย...อยากระเบิดตัวเองตายโว้ย!...
“เปล่า ไม่ได้เพี้ยนสักหน่อยแค่...” มิยาจิแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยพอให้หลอน (?) “...หงุดหงิดนิดหน่อยแค่นั้นแหละ”
“แต่สีหน้ามันไม่แค่แล้วเฟ้ย! ไอ้พี่บ้า!” ยูยะดันหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มเข้ามาใกล้ “แลวนี่หงุดหงิดเรื่องบ้าอะไรถึงมาลงกับผมเนี่ย!?”
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” มิยาจิกดแขนยูยะลงกับเตียง “ก็เรื่องนายไง”
“เอ๋?” ยูยะหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ
“หึ...ทำหน้างงแบบนั้นแสดงว่ายังไม่รู้สินะ? นายนี่บื้อกว่าที่คิดแฮะ” มิยาจิหัวเราะออกมาก่อนที่จะ...กดจูบอีกล่ะรอบ
“อื้อ?! อออื้ออา~~~!!!” ยูยะสะดุ้งโหยงที่อยู่ๆ ถูกจูบอีกรอบพร้อมโวยวายด้วยเสียงอู้อื้อจนฟังไม่ได้ศัพท์ (ก็ถูกปิดปากอยู่นิ // s)
“...” มิยาจิเริ่มช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายอย่างดุดันเพื่อให้มั่นใจว่าพอถอนจูบออกเจ้าน้องชายตัวดีจะไม่มีแรงพอที่จะแว๊ดใส่ (?)
“อ...อื้อ...” ยูยะร้องครางออกมาเบาๆ เป็นตัวบ่งบอกว่า...ใกล้ขาดใจตายเต็มที ทำให้มิยาจิถอนจูบออกมาอย่างรู้ทันอีกล่ะรอบ “...อ...อา”
“หมดแรงแล้วสิ?” มิยาจิเอ่ยถามและสิ่งที่ตอบกลับมาคือสายตาคอดค้อนจากคนด้านใต้ “ไม่แว๊ดแสดงว่าใช่สินะ?”
“ไอ้...พี่...บ้า...” ยูยะด่าแบบขาดช่วงบ่งบอกว่ายังปรับลมหายใจตนเองไม่ได้
“เออๆ บ้าก็บ้า...บ้าที่ดันรักนายล่ะนะ...” มิยาจิเอ่ยพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นดวงตาของยูยะเบิกกว้างด้วยความตกใจ “...และฉันไม่มีทางยอมยกนายให้ใครหน้าไหนแน่”
...ที่จริงกะปิดไว้ไม่ให้ใครรู้หรอกว่าเขาดันรักน้องตัวเองเข้าเนี่ย ถึงแม้ยูยะไปคบสาวที่ไหนเขาก็กะว่าจะทนไว้ แต่พอยูยะบอกว่าโดนผู้ชายจีบแถมโดนเล่นงานเนี่ยก็หงุดหงิดจนแทบอยากฆ่าคนแล้ว...ผู้หญิงน่ะเขายอมได้เพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้ชายเหมือนเขานี่ทนไม่ได้เว้ย!... (สรุป...ถ้ายูยะได้กับผู้หญิงก็แล้วไป แต่ถ้าผู้ชายนายยอมให้ไปหาคนอื่นไม่ได้สินะ? // s , ตามนั่น // มิยาจิ)
“ห...ห๊า?” ยูยะที่ฟื้นตัวเร็วเกินคาดหลุดเอ๋อออกมา “เอาจริง...ดิ?”
“ดูหน้าก็น่าจะรู้นิ?” มิยาจิตอบกลับ
“...ถ้าผมเดาสีหน้าถูก...พี่เอาจริงสินะ?” ยูยะกรอกตาไปมา “และที่พี่เล่นมาจูบผมเนี่ยดูท่ามั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยนะ ว่าผมจะไม่หนีพีเพราะทำตัวเป็นบราค่อนแบบนี่เนี่ย”
“ถูก” มิยาจิตอบกลับสั้นๆ พลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ที่จริงถ้านายไม่ชอบที่ถูกจูบปานนี้นายถีบฉันกระเด็นไปนานแล้ว แถมดีไม่ดีนายคงไล่ถีบฉันตั้งแต่ในห้องเก็บของแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นด้วย”
...และเล่นจูบแบบนี่ถ้านายไม่ได้รักฉันแบบคนรักด้วย...ต่อให้เป็นพี่หรืออะไรก็ตามแต่นายก็จะตื้บจมดินหมดแหละ...
“แหม รู้ใจกันดีเชียว” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ “แถมหน้าด้านชะมัด จะบอกว่าหวงจะอะไรเอาแบบดีๆ ก็ไม่ได้...เล่นซะคิดว่าเพี้ยนไปแล้วซะอีก”
“เฉพาะกับนายล่ะนะ” มิยาจิหัวเราะเบาๆ โดยเมินคำบ่นไป “แล้ว...เอาต่อดีไหม? ที่มันมากกว่าจูบน่ะ”
“...” ยูยะหน้าแดงแปร็ดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำขอหน้าด้านๆ จากอีกฝ่าย “ต...ตรงไปแล้วเฟ้ย! ไอ้พี่หื่น!”
...ทีเรื่องอื่นซึนไปซึนมาอยู่นั่น แต่ทำไมทีแบบนี่ถึงพูดไม่อายปากแบบนี่เนี่ย!?...
“เออ ยอมรับ” มิยาจิขานรับพลางปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากแขนยูยะและเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อผู้เป็นน้อง
“อ้าวเฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย!?” ยูยะสะดุ้งโหยงเมื่อมือหนาลูบไล้ตามผิวราวกับปลาหมึก (?) “หยุดก่อน! พ...อื้อ! เดี๋ยว...อ...อย่าจับตรงนั้นนะ! อ๊า!”
“ไม่มีทาง...” มิยาจิแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับ “...วันนี้...ฉันขอกินนายให้คุ้มกับที่ทนหงุดหงิดมาทั้งวันแล้วกันนะ ยูยะ~~~”
“พี่นี่มันบ้าที่สุด! ไอ้หื่น! ทำกันได้นะ!!!” เสียงแว๊ดดังออกมาจากร่างที่ม้วนตัวในกองผ้าห่มจนเหมือนกองอะไรสักอย่างขาวๆ “คิดอะไรทำรอยซะเต็มตัวผมแบบนี่เนี่ย!? แบบนี่ถ้าพวกตำรวจมาสอบถามอะไรผมจะกล้าออกไปพบไหมเนี่ย!?”
“น่าๆ อย่าบ่นไปหน่อยเลย...” มิยาจิยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีสุดแสนกับคนที่ตื่นมาปุ๊บก็โวยปั๊บในขณะนี้ “...เดี๋ยวอดใจไม่ไหวทำอีกรอบซะหรอก”
“ยังจะเอาอีกเหรอ!?” ยูยะรีบถอยกรูดทันที...นี่เล่นซะเขาสลบยังไม่พออีกหรือไง!?
“เอาตามใจจริงคือ...ใช่” มิยาจิตอบกลับอย่างหน้าด้านสุดๆ “เสียแต่ว่าถ้าทำต่อมีแววนายจะตายคาอกชอบกลเลยไม่ทำน่ะ”
“อ...ไอ้พี่งี่เง่า! พูดอะไรอายปากบ้างเถอะ~~~~!!!” ยูยะโยนหมอนใส่มิยาจิด้วยใบหน้าแดงแจ๋
“ไม่รู้ไม่ชี้” มิยาจิรับหมอนที่ถูกโยนมาได้อย่างแม่นยำ
“ไอ้บ้ากาม!” ยูยะทำแก้มป่อง
“หื้อ? ว่าใครบ้ากามมิทราบ?” มิยาจิเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะ...ดึงผ้าห่มออกจากร่างอีกฝ่าย “เดี๋ยวพ่อจัดหนักจริงๆ ซะนิ”
“เฮ้ย!” ยูยะรีบกอดตัวกลมเมื่อสิ่งที่ปกปิดร่างกายตนนั้นถูกดึงออก เผยให้เห็นร่างกายสมส่วนที่ไร้อาภรณ์ใดปกปิด “เอาผ้าคืนมาน้าาาาา!!!”
“ไม่เอา แบบนี้ดูดีออก” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อย “และจะอายไปทำไมเล่า? ในเมื่อ...ฉันเห็นร่างกายนายหมดทุกซอกทุกมุมบ่อยออกนะ~~~”
“อ...อ...” ยูยะอ้าปากพะงาบๆ คล้ายกับว่าไม่รู้จะด่าอะไรดี และในขณะนั้นเอง...
กริ้งงงงงงงง!!!
...เสียงโทรศัพท์มือถือสองเครื่องก็ดังขึ้นขัดจังหวะการแกล้งน้อง (?) ของมิยาจิพอดีราวกับมีคนแกล้ง
“...” มิยาจิมองมือถือของตนกับยูยะที่ดังขึ้นพร้อมกันอย่างเหมาะเจาะ...เกินไป ก่อนที่จะโยนผ้าห่มคืนให้ยูยะและเดินไปหยิบมือถือทั้งสองเครื่องขึ้นมาดู...
...เครื่องมิยาจิแสดงเบอร์ของนาคาทานิ มาซาอากิผู้เป็นโค้ชของตน ส่วนของยูยะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก...มิยาจิมองมือถือทั้งสองเครื่องอย่างชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจกดตัดสายเบอร์ที่ไม่รู้จักทิ้งเนื่องจาสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ควรรับสายที่ไม่รู้จักแล้วกดรับสายโค้ชของตนทันที
“ครับ มิยาจิครับ” มิยาจิที่กดรับสายเอ่ยขึ้นมาตามปกติ
‘นี่มิยาจิ...ฉันมีข่าวร้ายมาบอก’
“ข่าวร้าย? อะไรเหรอครับ?” เสียงของมาซาอากิที่บ่งบอกถึงความหนักใจทำให้มิยาจิขมวดคิ้วเป็นปม
‘คือว่า...ดูท่าพวกนายโดนจัดไปเรียนที่เซย์รินวันพรุ่งนี้น่ะ’
“อ๋อ...ห๊า!? ว่าไงนะครับ!?” มิยาจิ่เผลอเออออตามหลุดร้องออกมาเสียงดังจนยูยะที่กลายเป็นผ้าห่มก้อนขาวอีกครั้งสะดุ้งโหยง...
...จะยังให้ยูยะไปเรียนทั้งๆ ที่สถานการณ์อันตรายแบบนี่เนี่ยนะ!?...
‘พอดีผอ. เขาลงมติกันว่าการปล่อยให้นักเรียนหยุดเรียนนานๆ จนกว่าอาคารจะซ่อมเสร็จคงไม่ใช่เรื่องดีเลยขอความร่วมมือกับโรงเรียนมัธยมปลายในเขตโตเกียวนี้ให้เอานักเรียนของโรงเรียนเราไปเรียนด้วยชั่วคราวน่ะ...และอย่าบ่นนักเลย เพราะเรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ’
“ก็เข้าใจครับแต่...เซย์รินมีถึงแค่ปีสองไม่ใช่เหรอครับ? แล้วผม...” ...อยู่ปีสามนะครับ
‘ไม่ต้องห่วง สำหรับปีสามที่ไปเซย์รินนั่นครูของโรงเรียนเราจะไปสอนน่ะ โดยใช้ห้องที่ว่างเป็นที่เรียนแทน’
“โอเค เข้าล่ะครับ” มิยาจิที่รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ช่วยอะไรขานรับ
‘งั้นแค่นี้นะ อ๋อ! และฝากบอกน้องนายด้วยว่าได้ไปเรียนห้องเดียวกับกัปตันทีมเซย์รินนะ’
“ครับ เดี๋ยวบอกให้ครับ” มิยาจิเอ่ยขณะที่อีกฝ่ายตัดสายไป
“เออ...เกิดอะไรขึ้นอ่ะพี่?” ยูยะที่เห็นว่าพี่ตนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร...แค่ทางโรงเรียนให้เราทั้งคู่ไปเรียนที่เซย์รินชั่วคราวน่ะ” มิยาจิอธิบายสั้นๆ “และนายดวงเฮงได้เรียนห้องเดียวกับกัปตันของทีมเซย์รินด้วย”
“เรียนห้องไหนก็มีค่าเท่ากันแหละ...ว่าแต่แล้วพี่ล่ะ? จะไปเรียนยังไงในเมื่อเซย์รินเพิ่งมีถึงปีสองเอง” ยูยะที่ทำใจไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องชวนปวดหัวเอ่ยถาม
“ไปเรียนที่ห้องว่างโดยครูทางเราเป็นคนไปสอน” มิยาจิตอบ
“แสดงว่าต้องไปสิงที่เซย์รินสักพักสินะ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตามนั้นแหละ” มิยาจิถอนหายใจออกมาอีกคนก่อนที่...เสียงโทรศัพท์พกพาของมิยาจิจะดังขึ้นอีกครั้ง “ใครโทรมาเนี่ย...หื้อ? อะไรวะเนี่ย?”
...ทำไมเป็นเบอร์เดียวกับที่โทรหายูยะเมื่อกี้วะ!? คนปกติถ้าโทรไม่ติดรอบหนึ่งก็มักโทรซ้ำเบอร์เดิมมากกว่ามาโทรหาเขาสิ! นี่ชักแปลกๆ แฮะ...
“มีอะไรพี่?” ยูยะถามอย่างงุนงงเมื่อเห็นพี่ชายตนขมวดคิ้วเป็นปมจนน่ากลัว
“...” มิยาจิไม่ตอบอะไรยูยะ แต่กดรับสายที่เข้ามาทันที “ครับ มิยาจิครับ”
‘สวัสดีครับมิยาจิซัง ขอสายยูยะคุงหน่อยครับ’
“ขอโทษครับ ช่วงนี้คงไม่ได้...” มิยาจิที่ไม่คิดว่าการให้น้องชายตนคุยกับคนแปลกหน้าในยามนี่เป็นความคิดที่ดีตอบกลับไปเช่นนี้ “...มีอะไรจะฝากบอกไหมครับ?”
‘ไม่มีหรอกครับ แต่กับคุณอาจจะมีนะครับ...มิยาจิซัง’
“หื้อ?” มิยาจิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องอะไรล่ะครับ? ว่ามาเลย”
‘ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่...อีกไม่นานผมจะขอไปรับตัวน้องชายคุณนะครับ เตรียมต้อนรับดีๆ นะครับคุณว่าที่พี่สะใภ้’
“พี่สะใภ้บ้านป้าแกสิ! แกเป็นใครวะ!?” มิยาจิที่ได้ยินคำที่ชวนให้อยากฆ่าคนปลายสายทิ้งเอ่ยถาม
‘เรื่องอะไรจะบอกให้โดนตื้บล่ะครับ? ผมแค่มาเตือนเฉยๆ ...และเดี๋ยวผมจะขอน้องคุณมาเป็นภรรยานะครับ แค่นี้นะรับ’
“เดี๋ยวเซ่! เฮ้!” มิยาจิตะคอกใส่ปลายสาย แต่อีกฝ่ายกลับตัดสายหนีไปซะก่อน “บ้าจริง!”
...นี่คิดจะแย่งยูยะจากฉันเหรอ!? ฝันไปเถอะ!...
“เออ...” ยูยะที่รับรู้ได้ถึงความอาฆาต (?) ของคนเป็นพี่เริ่มเหงื่อตก “...พี่...โอเคนะ?”
“...” มิยาจิหันไปมองยูยะที่ทำท่าเหมือนอยากหนีไปมุดใต้เตียงก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับไอดำมืดรอบตัวเบาบางลง “...โอเคดี แต่นายนี่แหละมีแววจะไม่โอเค...เอาเป็นว่าช่วงนี้ติดหนึบกับฉันไว้แล้วกัน ส่วนตอนไปเรียนเดี๋ยวปรึษากับไอ้กัปตันแว่นนั่นเอา”
“อ...อา อื้ม เข้าใจแล้ว” ยูยะที่ถึงแม้จะงงๆ แต่ก็ขานรับไปด้วยความที่ไม่อยากเจอเรื่องสยองขวัญ (?) จากอารมณ์ของมิยาจิในขณะนี้นั่นเอง
หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ปริศนาและมิยาจิได้บอกเรื่องนี้กับทางตำรวจไปเรื่องที่เกิดนี่ก็ดูกลายเป็นเรื่องที่อันตรายขึ้นทุกที เนื่องจากเมื่อตรวจสอบปลายสายที่เข้ามานั่นมันเป็นของโทรศัพท์สาธารณะ แถมหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงยังมีของแปลกๆ ส่งมาถึงยูยะ (และแน่นอนก่อนถึงมือพวกตำรวจตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นอันตราย) ถึงที่เป็นตัวบ่งบอกว่าคนร้ายรู้ที่อยู่ของทั้งสองในยามนี่อีกต่างหาก...ทำให้ยูยะต้องโดนนายตำรวจนามฟุริฮาตะ เคียวตามติดเพื่อความปลอดภัยไปในวันนี้...
...ซึ่งเป็นวันที่พวกมิยาจิต้องมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินเป็นการชั่วคราว
“ให้ตาย...รู้สึกวันนี้ตัวเองเด่นชะมัด” ยูยะบ่นด้วยความรู้สึกอยากเอาอะไรสักอย่างคลุมหัวชอบกล
“นั้นสิ...เริ่มรู้สึกอยากหนีเรียนชอบกล” มิยาจิที่รู้สึกไม่ต่างกันทำหน้าปุเลี่ยนๆ
“เฮ้ เป็นเด็กหนีเรียนไม่ดีนะ” เคียวที่โดนให้คุ้มกันเด็กหนุ่มทั้งสองเอ่ยอย่างร่าเริง
“รู้ครับรู้...ว่าแต่วันนี้คุณดูแต่งตัวเป็นผู้เป็นคนจังนะครับ” มิยาจิเอ่ยพลางมองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดสุภาพ ต่างจากที่เห็นก่อนหน้านี่ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนทำงานหน้าตาเฉยนั่นมากเลย
“อ๋อ พอดีไดสุเกะซังกลัวว่าพอพวกนายเข้ารั้วโรงเรียนไปแล้วฉันจะตามเข้าไปไม่ได้ก็เลยให้ฉันมาทำหน้าที่ครูน่ะ...” เคียวเอ่ย “...และไม่ห่วงว่าจะแสดงไม่เหมือนนะ เห็นแบบนี่ฉันเรียนฉันสอนเก่งนะจะบอกให้”
“เออ ไม่ได้ห่วงเรื่องนั่นครับ...ผมอยากรู้แค่ว่าทางเซย์รินเขาให้เหรอครับ?” ยูยะถาม...ก็อีกฝ่ายเพิ่งโดนใช้ให้มาคุมพวกเขาเมื่อวานเองแถมเป็นตอนค่ำด้วย ถ้าจะบอกว่าส่งเรื่องขอเพิ่มครูมาช่วยสอนที่นี่อีกคนก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้นิ?
“ให้สิ เมื่อวานฉันปีนหน้าต่างไปขอที่ห้องผอ. มาน่ะ” เคียวตอบหน้าตาเฉย
“หา!?” ดวงตาสีน้ำผึ้งสองคู่หันขวับไปมองนายเคียวอย่างพร้อมเพรียง “นี่คุณไปขอหน้าด้านๆ เนี่ยนะ!?”
“ก็ขอมันตรงๆ นั้นแหละง่ายดีและฉันบอกเรื่องทั้งหมดไปด้วยทางนั้นเลยยอมน่ะ” เคียวยักไหล่เล็กน้อยขณะที่เดินมาถึงหน้าโรงเรียน “เอาเป็นว่าฉันไปแนะนำตัวที่ห้องพักครูก่อนคนอื่นจะได้ไม่สงสัยกัน ส่วนพวกนาย...รีบใส่เกียร์แมวไปที่โรงยิมแล้วกัน ฉันว่าที่นั้นปลอดภัยสุดล่ะ เพราะอย่างน้อยก็มีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น”
“ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับก่อนที่จะ...รีบวิ่งแข่งกันไปที่โรงยิมทันที (ส่วนที่รู้ว่าโรงยิมอยู่ไหนเพราะมิยาจิเคยเอาหนังสือมาคืนอิสึกิ) และไม่ถึงสามนาทีทั้งคู่ก็มายืนที่หน้าโรงยิมแล้ว
“แฮ่กๆ ดูท่าจะมาถึงโดยเรื่องไม่ลอยหาแฮะ” ยูยะเอ่ยพลางหอบหายใจหนักๆ
“ไม่ลอยหานั่นแหละดีแล้ว” มิยาจิที่หอบไม่ต่างกันตอบกลับพร้อมเดินเข้าไปในโรงยิมโดยไม่ลืมลากน้องชายตนเข้าไป และเมื่อเข้าไปด้านในก็พบกับ...
“อ่ะ! มิยาจิซัง! ได้มาอยู่นี่ด้วยเหรอครับ!?” ...สองรุ่นน้องตัวแสบที่กำลังซ้อมกับพวกนักกีฬาบาสของเซย์รินอยู่นั้นเอง!
“พวกนายก็ได้มานี่เหรอ? มิโดริมะ? ทาคาโอะ?” มิยาจิถามพลางมองรุ่นน้องหัวเหม่งที่ยืนยิ้มแป้นสลับกับรุ่นน้องหัวเขียวที่กำลังเขม็งกับเอสของทีมเซย์ริน
“ครับผม ว่าแต่...” ทาคาโอะขานรับอย่างร่าเริงก่อนที่ดวงตาสีฟ้าอมเทาเหลือบมองคนที่มิยาจิลากเข้ามาด้วย “...ทางโรงเรียนให้ยูยะซังมาเรียนด้วยเหรอครับ? ผมว่าช่วงนี้ยูยะซังไม่ควรออกนอกที่พักเท่าไหร่นะครับ”
“เรื่องนั่นเห็นด้วยเลย แต่ทำไงได้ทางโรงเรียนเขาให้มานิ” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ...ขอโทษครับ พูดเรื่องอะไรอยู่ครับเนี่ย?” เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับ...ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าคนหนึ่งโผล่มายืนข้างๆ มิยาจิ
“เฮ้ย! / เหวอ!” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองโดดออกห่างโดยสัญชาตญาณ “มาเมื่อไหร่เนี่ย!?”
“ตั้งแต่ก่อนพวกคุณเข้ามาแล้วครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าหรือคุโรโกะ เท็ตสึยะตัวจริงผู้แสนจืดจางของทีมเซย์รินเอ่ยพลางมองไปยังยูยะ “แล้ว...กรุณาบอกกันได้ไหมครับว่าที่พูดกับทาคาโอะคุงเมื่อกี้มันเรื่องอะไรน่ะครับ? ผมอยากรู้”
“ไม่มีอะไรมากหรอกเท็ตจัง แค่ยูยะซังโชคไม่ดีนิดหน่อยน่ะ” ทาคาโอะเอ่ย
“เปลี่ยนจากโชคไม่ดีเป็นซวยบรรลัยเหมาะกว่านะ” ยูยะคิดว่างานนี้แค่คำว่าโชคไม่ดียังน้อยเกินไป
“ซวย? คงไม่ใช่ว่า...ที่พี่พูดถึงก่อนหน้านี่คือคุณหรอกนะครับ?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้ราวชิวาว่า (เลิกว่าฉันเป็นชิวาว่าสักทีเถอะ! // ฟุริฮาตะ) ถาม
“...พี่นายบอกว่าอะไรบ้างล่ะ?” มิยาจิถามกลับ...ชักกลัวรายนั้นเอาเรื่องนี้ไปพูดแบบแปลกๆ แฮะ
“เห็นบอกว่ามีคนซวยโดนคนบ้ามาชอบแล้วพอโดนปฏิเสธไอ้บ้านั่นเลยทำลายโรงเรียนพร้อมตามราวีคนดวงซวยนั่นน่ะครับ” ฟุริฮาตะ โคกิตอบกลับอย่างซื่อๆ ...ต่างจากคนพี่ที่ดูป่วนสุดๆ ลิบลับ
“พี่นายอธิบายได้ตรงดีจริง” ยูยะกรอกตาไปมา
“แต่พวกผมฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ ให้คำใบ้เพิ่มหน่อยสิครับ” เด็กหนุ่มผมเพลิงที่เลิกเขม็งกับมิโดริมะเมื่อไหร่ไม่รู้ถามขึ้นพร้อมกับ...สายตาจากคนทั้งโรงยิมที่จ้องมาคล้ายบอกว่าอยากรู้เหมือนกัน
“อย่าพูดเหมือนว่ากำลังเล่นเกมแล้วขอคำใบ้เพิ่มสิ...” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เด็กหนุ่มแต่ละคนฟังก่อนที่จะมีใครคิดพิเรนท์หาทางง้างปากตน...โดยเว้นเรื่องในห้องเก็บของกับเรื่องที่เขากินน้องตัวเองไป “...เรื่องโดยรวมๆ ก็เท่านี้แหละ”
“สรุปง่ายๆ ...น้องมิยาจิซังซวยสุดกู่” คางามิรู้สึกสงสารคนโดนนิดๆ
“แล้วนี่จะเอาต่อครับ? ผมว่าการมาเรียนทั้งที่สถานการณ์เป็นแบบนี่มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั่งครับ?” เด็กหนุ่มผมดำสวมแว่นเอ่ย “แล้วถึงจะให้พวกเราช่วยกันติดหนึบน้องมิยาจิซังก็ไม่มีอะไรยืนยันได้นะครับ ว่าเกิดคนที่ว่านั้นมาแล้วจะช่วยอะไรได้น่ะครับ”
“ไม่ช่วยอะไรหรอกถ้าในโรงเรียนนี่แค่ช่วยตามยูยะเหมือนวิญญาณตามติดพอ ส่วนพอเกิดเรื่องไปหาพี่เจ้าชิวาว่าเอา...” มิยาจิชี้ไปทางฟุริฮาตะที่ทำหน้างงๆ อยู่ “...พอดีรายนั่นบอกว่าไปปีนขอเข้ามาสอนในโรงเรียนชั่วคราวกับผอ. ที่นี่น่ะ”
“อ๋อ งั้นหายห่วง” เด็กหนุ่มทั้งหลายขานรับอย่างรู้ดีว่า...นายฟุริฮาตะ เคียวนั้นเป็นคนเช่นไร
“หื้อ? พอบอกว่าเคียวซังอยู่ด้วยเนี่ยรู้สึกจะหายกังวลกันเชียวนะ” มิยาจิเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“ก็จะกังวลทำไมล่ะครับในเมื่อ...เคียวซังเป็นคนที่เก่งจนน่ากลัวเลยล่ะครับ ถึงบางครั้งนิสัยบ๊องๆ บวมๆ บ้างก็เถอะ” หนึ่งในหล่อเสียของ (?) หัวเราะแห้งๆ “อย่างเคียวซังถ้าให้อธิบาย...เอาเป็นว่าเทียบกับฟุริแล้วประมาณชิวาว่ากลายเป็นก็อตซีล่าแล้วกันครับ”
“ยิ่งอธิบายแบบนี่ยิ่งงงๆ มากกว่า” มิยาจิลองนึกภาพตามแล้ว...มันออกฮามากกว่าน่ากลัวชอบกล
“เออ...ถ้าจะให้เข้าใจง่ายนี้” ฟุริฮาตะทำหน้าครุ่นคิด...ถ้าจำไม่ผิดก่อนหน้านี่พี่บอกว่าพวกมิยาจิซังเป็น... “...ก็คิดภาพว่าเป็นคิโยมิซังที่มีแรงเพิ่มขึ้นสักสามถึงสี่เท่าแล้วกันครับ”
“แค่นี้บ้านก็จะพังทุกวันแล้ว! และที่พูดนี่คนแน่เหรอ!?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองเบ้หน้าหนีเมื่อนึกตาม...โคตรสยองเลย!
“คนแน่นอนครับ แค่ความคิดกับแรงไม่ค่อยเหมือนแค่นั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยแบบไม่สนว่านี้เป็นการนินทาพี่ตัวเองแม้แต่น้อย
“เรื่องเคียวซังเอาไว้ก่อนเถอะ คิดไปก็ปวดจิตเปล่าๆ ...ตอนนี้คิดดีว่าจะให้ใครคอยตามน้องมิยาจิซังดี” ฮิวงะผู้เป็นกัปตันทีมเอ่ย
“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดหรอก นายนั้นแหละรับหน้าที่ไป...” มิยาจิชี้ที่ฮิวงะอย่างเจาะจง “...พอดีโค้ชบอกมาว่ายูยะได้เรียนห้องเดียวกับนายน่ะ”
“เอ๊ะ? ห้องเดียวกัน?” ฮิวงะเกาหัวนิดๆ ...บังเอิญจังแฮะ “งั้นก็ถือว่าดีล่ะครับ อย่างน้อยก็ดีกว่าไปอยู่ห้องที่ไม่มีใครตามได้เลยล่ะครับ”
“ฉันก็ว่างั้น” มิยาจิเองก็คิดเช่นเดียวกัน
“เออ...ไม่คิดถามกันบ้างเหรอว่าฉันอยากถูกตามติดไหมเนี่ย?” ยูยะที่เงียบมานานเอ่ยขึ้นมา
“ไม่คิด” มิยาจิสวนกลับทันควัน “ตอนนี้ถึงนายไม่มีทางเลือกนักหรอกนะ...ไม่งั้นเผลอเมื่อไหร่มีแววโดนลากเข้ามุมมืดแน่”
“อย่าพูดเป็นลางเซ่! หลอนนะเว้ย!” ยูยะแยกเขี้ยใส่พี่ตนเอง
“ก็มันจริงนี่หว่า” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อยพรอมกับที่เสียงกระดิ่งบอกเวลาเข้าเรียนได้ดังขึ้นมา “หื้อ? ดูท่าได้เวลาแล้ว...ยังไงช่วยดูแลยูยะหน่อยแล้วกัน”
“อ่ะ! ครับ!” ฮิวงะขานรับ....จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งหลายก็พากันแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะโดนทำโทษข้อหาเข้าเรียนสาย...
และสุดท้ายในการเรียนวันแรกในเซย์รินของเหล่าคนจากโรงเรียนชูโตกุผ่านไปด้วยดี ไม่มีปัญญาระหว่างนักเรียนหรืออะไร แถมแต่ล่ะคนตลอดวันดูตื่นเต้นกับเพื่อนใหม่ดี...เว้นแต่...
“ให้ตายสิ...แบบนี่มันนรกชัดๆ” ...นายมิยาจิ ยูยะที่บัดนี้นั่งคุมขมับอยู่ในโรงยิมพลางมองแต่ล่ะคนซ้อมกันอยู่นั่นเอง
“ก็ทำไงได้ล่ะ...ในเมื่อนายดันเป็นเป้าหมายของไอ้โรคจิตนั่นนิ” ฮิวงะเอ่ยพร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ยูยะ
“เออ ไม่เถียงแต่ว่า...” ยูยะเบ้หน้า “...ตามติดยังไงก็ไม่ต้องตามถึงห้องน้ำก็ได้นะ”
“ไม่ตามได้ไงล่ะ ถ้าเกิดเรื่องกับนายขึ้นมาฉันก็โดนมิยาจิซังฆ่าดิ” ฮิวงะคิดว่ามิยาจิคนน้องคงน่ากลัวน้อยกว่าคนพี่ล่ะ
“พี้ไม่ฆ่านายหรอกน่า” ยูยะมั่นใจเลยว่าพี่ชายตนไม่ฆ่านายแว่นซึน (?) นี่หรอก
“อาจจะ...แต่กันไว้ดีกว่าแก้” ฮิวงะไม่อยากลองเสี่ยงเรื่องแบบนี่หรอก
“เฮ้! ฮิวงะคุง! อย่ามัวอู้สิมาซ้อมต่อได้แล้ว! ยูยะคุงด้วย! โค้ชทางชูโตกุฝากให้จับทุกคนซ้อมให้หมดน่ะ!” เด็กสาวเพียงคนเดียวในโรงยิมเอ่ยพร้อมในมือถือพัดกระดาษเตรียมฟาด (?)
“เฮ้ๆ! ไปก็ได้! ไม่เห็นต้องเตรียมฟาดเลย!” ฮิวงะเอ่ยพร้อมลากยูยะติดมือมาด้วยโดยที่...ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาขอบุคคลในเงามืดที่จ้องไปยังคนผมสีน้ำผึ้งแบบตาไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย
วิถีการดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองนั่นนับตั้งแต่โดยย้ายมาอยู่ที่เซย์รินตลอดสี่ห้าวันมานี่เป็นไปอย่างปกติดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะตื่นเช้าไปซ้อม เรียน ซ้อมและกลับมาพักผ่อนที่ห้องพักโดยบางวันอาจมีกิจกรรมพิเศษขึ้นเล็กน้อย (อย่าบอกเรื่องนี้ด้วยเซ่! // ยูยะ , ไม่สน เราอยากแกล้งนาย // s) ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นจนกระทั่ง...มาถึงวันนี้เมื่อมาที่โรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินแล้วพบกับ...
...สนามฟุตบอลที่มีใครไม่รู้ใช้ผงซ๊อกไปเขียนว่า ‘วันนี้ฉันมารับนายแล้ว’ ตัวใหญ่ๆ เลยน่ะสิ! ไม่ต้องบอกมิยาจิ ยูยะก็รู้ดีว่า...ไอ้บ้าที่พังโรงเรียนเขามาที่นี่แล้ว!
“ยูยะ...ฉันว่าวันนี้นายลาเรียนเถอะ” ฮิวงะที่เอากระเป๋าขึ้นมาเก็บบนอาคารเรียนพร้อมกับคนนามสกุลมิยาจิทั้งสองเอ่ย
“แต่ฉันว่าถึงอยากลาคงลาไม่ได้หรอก...ไม่งั้นมีคนสงสัยว่ายูยะเป็นคนทำแน่” มิยาจิเอ่ยแย้ง
“แถมดีไม่ดีไอ้บ้านั่นได้บ้าพังที่นี่อีกที่แน่” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“งั้นทำไงต่อดี? ฉันว่าคนร้ายนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่...ไม่งั้นเคียวซังไม่ปล่อยมานานขนาดนี้หรอก ถ้าเป็นปกติคงบุกไปจับตั้งแต่วันที่สองแล้ว” ริโกะเริ่มรู้สึกกลัวคนร้ายที่แฝงตัวเข้ามาภายในโรงเรียนของตนนิดๆ
“ทำไงต่อไม่รู้ รู้แต่ว่าคนร้ายคงแค่ไอ้บ้าปกติเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก...” มิยาจิกรอกตาไปมา “...ส่วนที่เคียวซังไม่ไปบุกจับเลยเนี่ยเห็นว่าโดนทัศฑ์บนเพราะไปก่อเรื่องคราวก่อนน่ะ ทำให้บุกไปจับเลยไม่ได้”
...และเขาจำได้ดีว่ารายนั้นมานั่งบ่นให้เขากับยูยะฟังจนแทบหลับด้วย...
“อ๋อ มีเรื่องติดตัวอยู่เลยทำตามใจแบบปกติไม่ได้สินะค่ะ? ...แย่จัง ดันมาเป็นตอนมีเรื่องเนี่ย” ริโกะเอ่ย “แต่ในกรณีนี้เคียวซังคงหาทางจัดการเองได้มั้ง?”
“จัดการได้แน่...แถมอาจได้ความปวดจิตมาเป็นของแถมด้วย” ฮิวงะรู้ดีเลยว่าพี่ชายของรุ่นน้องผู้ขี้กลัวของตนนั่น...ปวดจิตลามไปถึงตับขนาดไหน! ป่วนซะจนเขาอดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ หรือเปล่าเลย!
“คงงั้น” ยูยะยักไหล่...จากที่โดนนายฟุริฮาตะ เคียวตามคุ้มกันเนี่ยทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นพวกที่ทำเอาชาวบ้านเหวอได้พอดู...
...แต่เมื่อเทียบกับพ่อแม่เขาตอนทะเลาะกันเนี่ยดูเด็กๆ ไปเลย...รายนั่นน่ะ
“เอาเป็นว่าวันนี้นายระวังตัวหน่อยแล้วกันนะยูยะ...และวันนี้อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาดล่ะ” มิยาจิที่ไม่ค่อยมั่นใจในความปลอดภัยของน้องตัวเองเท่าไหร่มองหน้าอีกฝ่ายสลับกับตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนอยู่ด้านล่าง
“รู้แล้วน่าพี่ ไม่ต้องเตือนนักก็ได้” ยูยะตอบกลับขณะที่ในใจรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนัก...
...ทำไมสังหรณ์ว่า...เรื่องจะลอยมาหาล่ะเนี่ย?...
“แค่เผื่อไว้ก่อนน่ะ” มิยาจิเอ่ย “แต่เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ตอนนี้...เราไปเล่นบาสเป็นการคลายเครียดดีไหม?”
“ก็ดีเหมือนกัน” เมื่อได้ยินคำว่าเล่นบาสยูยะก็รีบตอบตกลงทันที...โดนให้อยู่เฉยๆ ในช่วงเสาร์อาทิตย์เนี่ยเบื่อจะตายอยู่แล้ว!
“เอางั้นก็ได้ครับ” ฮิวงะขานรับอีกคน...ถือว่าเป็นการคลายเครียดดีเหมือนกัน
“งั้นไปกันเถอะ” ริโกะเอ่ยเสริมด้วยความคิดที่ว่าเครียดไปก็เท่านั้น...และจากนั่นเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่ก็พากันเดินไปที่โรงยิมอย่างที่เคยทำตลอดหลายวันมานี่ จนมาถึงที่โรงยิมทั้งสี่ก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อภายในโรงยิมยามนี่ดูเงียบผิดปกติ
“อะไรกันหว่า? ยังไม่มากันเหรอเนี่ย?” ฮิวงะขมวดคิ้วเป็นปม
“แต่นี้ก็เลยเวลาซ้อมตามปกติมาแล้วนะ” ริโกะมองนาฬิกาที่ติดตรงฝาผนัง
“คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ” ยูยะมองไปรอบๆ
“อย่าพูดเป็นลางสิฟะ!” มิยาจิเอามือสับเข้ากลางหัวสีน้ำผึ้งเต็มแรง
“นั่นสิครับ...” เสียงนิ่มๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับ...มือหนึ่งแตะที่ไหล่ยูยะ “...แบบนี้เหมือนแช่งพวกผมนะครับ”
“แว๊ก!!! / กริ้ด!!!” เด็กหนุ่มสาวหลุดร้องเสียงหลงก่อนที่จะหันไปยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง “คุโรโกะ!!! อย่าทำให้ตกใจกันสิ!!!”
“...ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยนะครับ” คุโรโกะเอียงคอน้อยๆ อย่างน่ารัก
“เพราะไม่ทันทำอะไรนี่แหละเลยตกใจ...” มิยาจิบ่นอุบอิบ “...แล้วนี่นายมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
“ตั้งนานแล้วล่ะครับ” คุโรโกะตอบหน้าตาย
“ตั้งนานแล้ว? งั้นพอรู้ไหมว่าคนอื่นๆ เขาหายไปไหนหมดน่ะ?” ริโกะถามรุ่นน้องผมฟ้าของตน
“ไปห้องน้ำกันน่ะครับ...พอดีวันนี้รุ่นพี่สึจิดะไปได้ยินอาจารย์เขาพูดถึงผีในห้องน้ำของโรงยิมเข้าเลยเอามาเล่าให้ทุกคนฟังน่ะครับ แล้วจากนั่นรุ่นพี่โคงาเนะอิก็เสนอให้ไปพิสูจน์กันดูจนสุดท้ายไปๆ มาๆ ก็โดนลากไปกับรุ่นพี่โคงาเนะอิจนเหลือแต่ผมที่ไม่ทันมีใครสักเกตแค่นั้นแหละครับ” คุโรโกะอธิบาย
“แล้วนายไม่ไปเหรอ?” ฮิวงะถาม...ปกติคุโรโกะค่อนข้างชอบเรื่องแบบนี่นิ?
“จะไปทำไมล่ะครับในเมื่อจากที่ฟังรุ่นพี่สึจิดะเล่าเนี่ยที่จริงไม่ใช่ผีหรอกครับ แต่เป็น...ผมเองนี่แหละ เดาว่าตอนนั้นอาจารย์เขาคงมองข้ามผมไปเลยเข้าใจว่าเป็นผีน่ะครับ” คุโรโกะเอ่ย
“...นายกลายเป็นเรื่องผีของโรงเรียนอีกแล้วเหรอเนี่ย?” ฮิวงะคุมขมับอย่างกลุ้มๆ ...เรื่องที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย!?
“คงงั้นแหละครับ” คุโรโกะพยักหน้ารับพลางมองที่ยูยะตาแป่ว “ว่าแต่ยูยะซัง...คุณทราบเรื่องข้อความบนสนามฟุตบอลหรือยังครับ?”
“อา รู้แล้วล่ะ” ยูยะตอบรับ
“และถ้านายกำลังจะบอกว่าให้ยูยะรีบกลับไปที่พักล่ะก็ฉันขอบอกเลยว่าวิธีนั่นไม่เว่อร์เพราะยูยะโดนสงสัยว่าเป็นคนทำแน่และมีแววไอ้บ้านั่นจะก่อเรื่องมากกว่าเดิมด้วยถ้ายูยะหนีไปน่ะ” มิยาจิเอ่ยดัก
“เปล่าครับ ไม่ได้จะบอกแบบนั่นแต่ผมจะมาเตือนครับ...” ดวงตาสีฟ้าใสมองคนอายุมากกว่านิ่งๆ “...ว่าเคียวซังจะใช้มาตราการสุดท้ายครับ เห็นบอกว่าคราวนี้รับรองว่าจับพวกนั้นได้แน่ๆ แถมไม่โดนพวกผู้ใหญ่เล่นอีกต่างหากน่ะครับ”
“หรือว่าง่ายๆ คืออาจเจอเรื่องปวดจิตสุดแสนกันในวันนี้สินะ?” ยูยะเบ้หน้านิดๆ ...หวังว่าคราวนี้ไม่ชวนจิตหลุดแบบคราวเอาเขากับพี่โดดตามหลังคาบ้านชาวบ้านนะ (?)
“ตามนั้นแหละครับ” คุโรโกะเอ่ย “ดังนั้นเตรียมสติสำรองไว้กันดีๆ นะครับ”
“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้ว” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ ดวงตาสีน้ำผึ้งเหล่มองไปยังยูยะที่ทำหน้าเหมือนเตรียมใจรับความปวดจิต (?) อยู่...
...หวังว่าไอ้มาตรการสุดท้ายของเคียวซังนั่นจะไม่ทำให้เขาหรือยูยะซ็อกตายไปก่อนนะ?...
“นี่...คิดว่าแผนของเคียวซังเนี่ยมันจะปวดจิตมากไหม?”
“เอาตามความคิดฉันก็...มากจนเก็บไปหลอนอีกสามสี่วันได้เลยล่ะ”
“...ถ้าขนาดนั้นเตรียมยาดมให้ฉันด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวเตรียมให้ แต่ถ้าเกิดฉันช๊อกสลบก็ลากฉันไปเก็บด้วยล่ะ”
“กลัวว่าไม่ทันลากนายไปเก็บเคียวซังจะส่งลูกหลงมาให้น่ะสิ”
“งั้นเปลี่ยนเป็นช่วยกันฉันจากลูกหลงด้วยแล้วกัน”
“ไม่ไหวล่ะ ขนาดพ่อกับแม่ตีกันฉันยังหลบไม่ได้ทุกดอกเลย”
“ฯลฯ”
เสียงโต้ตอบอย่างเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ดังออกมาจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งกับเด็กหนุ่มผมดำผู้สวมแว่นผู้แสนซึน (เฮ้ยๆ! // ฮิวงะ) ที่กำลังมองชาวบ้านซึ่งกำลังวิ่งไปมาบนสนามกลางแจ้ง...ในช่วงบ่ายอาจารย์ที่สอนนั่นเกิดลาป่วยขึ้นมาพร้อมกันและให้อาจารย์คนเดียวกันซึ่งเป็นคนสอนวิชาพละมาสอนแทนเหมือนกันอีก...
...ยามนี่เลยกลายเป็นว่าเหล่าปีสองแทบทุกห้องเลยโดนมาเรียนวิชาพละกันเนี่ย...ส่วนสาเหตุที่ฮิวงะกับยูนะมานั่งคุยกันราวแม่บ้านยามเย็น (?) นี่เป็นเพราะวันนี้อาจารย์จัดให้ซ้อมวิ่งกัน โดยที่ทั้งสองนั้นวิ่งครบตามกำหนดเสร็จก่อนคนอื่นเลยได้โดนอาจารย์ไล่ให้ไปนั่งพัก
...จนสุดท้ายเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่รู้จะทำอะไรดีเลยนั่งมองคนอื่นเล่นนี่แหละ
“เฮ้อ...วันนี่น่าเบื่อชะมัด อาจารย์แกน่าจะปล่อยเร็วๆ นะเนี่ย” ฮิวงะบ่นอย่างเบื่อๆ
“วิ่งครบรอบทุกคนเมื่อไหร่คงปล่อยเองแหละ” ยูยะเอ่ยและในตอนนั้นเอง...
“มิยาจิคุง! ฮิวงะคุง! มานี่หน่อย!” ...ก็โดนคนที่กำลังนินทากันอยู่เรียกเสียนิ
“ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับก่อนที่จะพากันลุกไปหาผู้เป็นอาจารย์อย่างรวดเร็ว “มีอะไรเหรอครับ?”
“พอดีมีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะ...” ครูหนุ่ม (มั้ง?) เอ่ยพลางกวาดตามองทั้งสอง “...ฮิวงะคุงช่วยไปเอาน้ำที่แถวโรงอาหารให้หน่อย ส่วนยูยะคุงช่วยไปเอาเอกสารบนโต๊ะครูมาทีนะ”
“เดี๋ยวๆ ‘จารย์...จะให้พวกผมแยกกันไป?” ฮิวงะขมวดคิ้วเป็นปม...แบบนี้มันอันตรายชัดๆ!
“ใช่ ทำไมเหรอ?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัยกับลูกศิษย์ผู้ไม่เคยมีปัญหากับใครเขาคนนี่เอ่ยออกมาเช่นนี้
“คือว่า...” ฮิวงะทำท่าจะอธิบาย หากแต่โดนมือของคนผมสีน้ำผึ้งข้างๆ ปิดปากไว้ก่อน
“ไมมีครับ...เดี๋ยวพวกผมจัดการให้ไม่มีปัญหา” ยูยะเอ่ยพร้อมล็อกคอฮิวงะและลากออกห่างจากอาจารย์หนุ่ม และเมื่อเดินออกห่างมาพอสมควรแล้วยูยะก็แยกเขี้ยวใส่คนที่ตนล็อกคออยู่ “นายคิดบ้าอะไรห๊า? ถ้าบอกเรื่องที่ฉันโดนไอ้บ้านั่นจ้องเล่นงานไปล่ะก็วุ่นวายตายชัก!”
“วุ่นวายก็ดีกว่าเสี่ยงแบบนี่ล่ะ!” ฮิวงะทำหน้ามุ่ย “ถึงแม้ฉันแอบไปเอาเอกสารกับนายก่อนแล้วค่อยไปเอาน้ำได้ก็เถอะ แต่ฉันไม่มั่นใจว่าถ้าเกิดพวกนั่นมาตอนที่อยู่กันสองคนเนี่ยจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า!”
“เอาตามความคิดฉัน...นายไม่มีทางสู้ได้หรอก ยิ่งดูเป็นสายบุ๋นด้วย” ยูยะค่อยๆ คลายแขนที่ล็อกคอคนใส่แว่นอยู่ออก “แต่ยังไงฉันก็คิดว่าไม่ควรบอกคนอื่นอยู่ดี...อย่าลืมสิว่ามันบ้าขนาดทำลายโรงเรียนได้ ฉันไม่คิดว่ามันจะไม่กล้าลงมือกับคนอื่นหรอกนะ เพราะงั้นอย่าดึงคนไม่เกี่ยวข้องมาวุ่นกับเรื่องนี่เลย”
“จะว่าไปก็จริง” ฮิวงะลูบคอตนอย่างเจ็บๆ ...เขาไม่เถียงหรอกเรื่องนี้ เพราะวันแรกที่มิยาจิซังมาที่เซย์รินและบอกเรื่องนี้ตอนที่เข้ากลับถึงบ้านก็มีข้อความจากมิยาจิซังเป็นสิบฉบับบอกว่าขอโทษที่ดึงมาพัวพันกับเรื่องนี้...
...ช่างเป็นบ่งบอกได้ดีเหลือหลายว่าที่จริงมิยาจิซังไม่ได้อยากบอกเรื่องที่ยูยะเจอกับคนอื่นเท่าไหร่นัก...ถ้าให้เดาเนี่ยคงกลัวว่ามีใครคิดพิเรนท์หาวิธีง้างปากแบบปวดจิตเท่านั้นแหละ
“เพราะงั้นเรารีบไปจัดการตามอาจารย์สั่งแล้วรีบกลับมารวมกลุ่มก่อนเรื่องจะลอยมาหาเถอะ” ยูยะเอ่ยพร้อมก้าวขาหมายจะเดินไปบนอาคาร โดยมีฮิวงะเดินตามหลัง แต่ว่า...
...เดินไม่ถึงสามก้าวก็ดันมีมือใครไม่รู้เอาผ้าที่มีกลิ่นหอมเย็นมาปิดปากและจมูกของยูยะ...แล้วนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เด็กหนุ่มรู้สึกก่อนสติจะดับวูบลง
...อื้อ...ปวดหัว...
...เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?...
ความคิดที่เต็มไปด้วยความึนงงและสับสนแว่บเข้ามาในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาสีน้ำผึ้งค่อยๆ ฝืนลืมขึ้นมาอย่างยากลำบาก...และเมื่อลืมตาขึ้นมาได้สิ่งแรกที่เจ้าตัวเห็นคือมือทั้งสองของตนที่ถูกมัดไว้...
...เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย!? ไงฉันถูกมัดอยู่วะ!?...
...เออ! จริงสิ! ตอนที่เขากับฮิวงะจะขึ้นไปบนอาคารดันถูกใครไม่รู้แปะยาสลบใส่นี่หว่า!?...
เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคิดในใจอย่างตื่นตนกก่อนที่จะค่อยๆ พยายามตั้งสติตนเองและเมื่อเริ่มตั้งสติได้ก็ที่จะเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ
...ที่นี่มัน...ห้องเก็บอุปกรณ์?...
...ไม่ใช่สิ! ที่ต้องคิดตอนนี้คือฮิวงะอยู่ไหนต่างหาก!...
...หวังว่าไม่ได้โดนทำร้ายนะ!?...
ครืน...
ในระหว่างที่กำลังนึกถึงคนที่อยู่กับตนอยู่นั้นอยู่ๆ ประตูห้องก็ถือเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้สายตาของเด็กหนุ่มที่ปรับตามแสงไม่ทันรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ
“โอ๊ะ? ตื่นแล้วเหรอยูยะคุง?” เสียงทักที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีดังขึ้นมาจากผู้มาใหม่
“...” มิยาจิ ยูยะขมวดคิ้วด้วยความคร่ำเครียดพลางมองร่างของคนที่มาซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างสูงและหน้าตาข้างดีคนหนึ่งที่...เป็นคนเดียวกับที่บ้ามาสารภาพรักกับตนเมื่อหลายวันก่อน! “แก...ไอ้เวรมิระ! แกมาทำอะไรที่นี่!? แล้วแกทำอะไรกับฮิวงะ!?”
“จุ๊ๆ อย่าเพิ่งดุกันสิยูยะคุง~~~” เด็กหนุ่มนามมิระเดินเข้าใกล้ยูยะ “ฉันมารับนายไงยูยะคุง~~~ ส่วนฮิวงะเนี่ยหมายถึงคนใส่แว่นที่อยู่กับนายสินะ? ไม่ต้องห่วงโปะยาสลบแล้วปล่อยไว้ที่เดิมนั้นแหละและเด็กสาวผมน้ำตาลคนหนึ่งก็มาเก็บไปแล้วด้วย~~~”
“สรุปแกไม่ได้ทำอะไรสินะ?” ยูยะจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“ฉันจะไปทำอะไรทำไมล่ะ? ในเมื่อฉันได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือแล้วนิ...” มิระเอานิ้วเชยคางเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งขึ้น “...แต่ถ้านายหนีไปจากฉันอีกฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของเพื่อนและพี่นายนะยูยะคุง...แค่ฉันสั่งลูกน้องฉันก็จะลงมือทันทีเลยนะ~~~”
“น...นี่แก!” ยูยะกัดฟันกรอดพร้อมปัดมือน่าขยะแขยะที่สัมผัสผิวตนออก “แกมันโรคจิต! ไอ้เวรเอ้ย! ไอ้...:’=^*&*)&*^’’%_&¥£%♡♤¤>\{♢”
“แหมๆ ด่าเยอะขนาดนี้แสดงว่าคิดถึงกันมากสินะ?” มิระยักไหล่นิดๆ อย่างสะทกสะท้านกับคำด่าเลย
“คิดถึงกับแมวน้ำสิไอ้บ้า!” ยูยะแยกเขี้ยวใส่
“ปากแข็งเหมือนเคย” มิระหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะ...หยิบมีดสีเงินวาววับออกมา “แบบนี่...ยิ่งทำให้อยากได้เข้าไปใหญ่เลย”
“เฮ้ย! จ...จะทำบ้าอะไรฟะ!” ยูยะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาวุธพร้อมพยายามถอยห่าง
“ทำอะไรเหรอ? ก็ทำให้นายเป็นของฉันไง...” มิระยิ้มเหี้ยมและผลักตัวยูยะไปติดกำแพง มือข้างหนึ่งกดข้อมือทั้งสองของยูยะกับกำแพงส่วนมืออีกข้างที่ถือมีดเริ่มกรีดเสื้ออีกฝ่ายอย่างช้าๆ “...และไม่ต้องคิดตะโกนขอให้ใครช่วยล่ะ ในตอนนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก...เก็บเสียงไว้ครางให้ฉันฟังดีกว่า”
“ใครมันจะทำตามแกวะไอ้บ้า!” ยูยะแว๊ดเสียงหลง
“อ๊ะๆ อย่าดิ้นสิ...” มิระเอ่ยพร้อมกดคมมีดเข้าไปมากกว่าเดิม “...ถ้าเกิดฉันทำรุนแรงขึ้นมาอย่างหาว่าไม่เตือนนะ”
“อ...อึก...” ยูยะกลั้นเสียงร้องของตนเมื่อคมมีดที่กรีดโดนผิวของตนนั่นลึกพอสมควร
“ไม่ต้องกลั้นเสียงหรอกน่า” มิระแสยะยิ้มก่อนที่จะตวัดมีดลงอย่างรวดเร็วจนเสื้อของอีกฝ่ายขาดพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็น “เพราะมันจะ...ยิ่งทำให้ฉันอย่างเล่นกับนายมากขึ้นไปอีก”
“...” ยูยะไม่ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงมองคนโรคจิตตรงหน้าอย่างอาฆาตแค้นเท่านั้นและตอนนั้นเอง...
...ก็มีเสียงประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงตวาดที่ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
“นี่แก...ทำอะไรน้องฉันวะไอ้เวร!!!” ผู้มาใหม่โดดเตะก้างคอเป้าหมาย (?) แบบไม่คิดจะรอให้อีกฝ่ายอธิบายหรืออะไรทั้งสิ้น
“พ...พี่?” ยูยะมองคนที่โดดเตะชาวบ้านหน้าตาเฉยอย่างงุนงง...ตอนนี้ต้องเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ!? หรือเขาสลบยันเลิกเรียนเลยเนี่ย!?
“เออสิ! คิดว่าใครล่ะ?” มิยาจิ คิโยชิขานรับห้วนๆ พลางมองสำรวจน้องที่ตอนนี้...มีบาดแผลเป็นทางยาวตั้งแต่กลางหน้าอกมาจนถึงสีข้าง...
...ถึงแผลจะไม่ได้ลึกมากนัก แต่มันก็มากพอทำให้มิยาจิรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาตงิดๆ
“มันใช่เวลากวนไหมพี่?” ยูยะค้อนใส่พี่ตนเล็กน้อย
“เฮ้อ” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคนที่เจ็บแล้วยังมีอารมณ์เถียงตนก่อนที่จะจัดการอุ้มตัวยูยะขึ้นมา “เอาเป็นว่าตอนนี้เรารีบออกจากที่นี่เถอะ”
“เหวอ! เดี๋ยวก่อน! ผมเดินเองได้!” ยูยะโวย...แบบที่ดูผิดเรื่องไปนิด
“มันใช่เรื่องที่สมควรโวยไหมเนี่ย!?” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ก็มัน...” ยูยะอ้าปากเหมือนจะเถียงกลับ แต่ไม่ทันพูดจบประโยคก็ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมีบางสิ่งปรากฏเข้ามาในสายตา “...พี่! ระวัง!”
“อ๊ะ!” มิยาจิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเบี่ยงตัวหลบตามคำเตือน...และจากนั้นก็มีบางอย่างเฉี่ยวตัวเด็กหนุ่มไปพร้อมกับปอยผมสีน้ำผึ้งปอยใหญ่ที่ร่วงหล่นสู่พื้น ดวงตาสีน้ำผึ้งค่อยๆ ไล่มองไปยังผู้ที่หมายทำร้ายตนเมื่อครู่ “เฮ้ยๆ นี่แกกะก่อการร้ายในโรงเรียนเลยหรือไงเนี่ย?”
...ไอ้มีดที่เห็นถือตอนเขาเข้ามาพอเข้าใจ แต่นี่...มันแอบเอาดาบเล่มใหญ่ขนาดนี้มาซ่อนในนี้ได้ไงวะ!?...
“ตอนแรกไม่ ตอนนี้อาจจะ” มิระนวดคอตนอย่างเจ็บๆ หลังโดนเตะเต็มๆ มือข้างที่ถือดาบชี้ไปที่มิยาจิ “ว่าแต่...คุณหลุดจากลูกน้องผมได้ไงครับ? มิยาจิซัง?”
“พอดีมีคนช่วยน่ะ” มิยาจิเอ่ยพลางนึกภาพของคนที่ว่าอย่างสยองนิดๆ ...ก็มีอย่างที่ไหนพอเห็นพวกที่มาดักซุ่มเนี่ยแล้วจัดการเรียงตัวได้สบายๆ แถมพอพวกนั้นออกมารุมก็จัดการต่อได้หน้าตาเฉย จำนวนก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่มีเป็นร้อย...
...บางทีที่เขาว่านายฟุริฮาตะ เคียวทำคนอื่นจิตตกจนโดนสั่งย้ายเนี่ยอาจเป็นเรื่องแบบนี้ก็ได้...
“งั้นเหรอครับ? แต่ผมว่า...คนที่ช่วยมิยาจิซังคงช่วยได้ไม่มากหรอกครับ ดังนั่น...” มิระเอ่ยอย่างใจเย็น “...ส่งตัวยูยะคุงให้ผมซะ แล้วผมรับรองว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรแน่”
“ขอโทษที แต่ขอปฏิเสธ...ฉันมั่นใจว่ารายนั้นจัดการลูกน้องนายได้หมดแน่” มิยาจิก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อยพร้อมหวังในใจว่า...
...หวังว่าที่คุณบอกว่าจะมีคนมาช่วยผมเนี่ย...คนคนนั้นจะมาเร็วๆ นะครับ! เคียวซัง!!! ถ้าสู้ตัวต่อตัวน่ะไหวแต่มันเล่นใช้อาวุธแบบนี้มันไม่ไหวนะ!!!...
“มั่นใจจังนะครับ...งั้นคงต้องเปลี่ยนแผนเป็น...” มิระแสยะยิ้มพร้อมพุ่งเข้าหามิยาจิทันที “...ชิงตัวยูยะคุงมาแทนสินะครับ?”
“นี่...แกมันบ้าเกินลิมิตไปแล้ว!” มิยาจิหลบดาบที่ถูกฟันมาวูบ
“เอาไงดีล่ะทีนี้!?” ยูยะทำหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงว่าพี่ชายตนจะได้รับอันตราย
“ไม่รู้! รู้แค่ว่าเอาวิธีไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เอานายให้เจ้าบ้านั้นล่ะ!” มิยาจิตอบพร้อมก้มหลบดาบที่ฟาดใส่ตนอย่างว่องไว และแล้ว...
“งั้นเอาวิธีนี้ไหม?” ...ระหว่างที่มิยาจิกำลังหลบดาบจากคนบ้า (?) อย่างสนุกสนาน (?) นั่นเองก็มีเสียงหวานๆ ดังขึ้นพร้อมกับรับดาบที่ฟันใส่มิยาจิด้วยก้อนหินในมือ “ให้ฉันสู้แทนไง...ดีไหม? คิโยชิ? ยูยะ?”
“อะจึ๋ย! ม...แม่!?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าคนที่มาช่วยตนเป็นใคร “มาไงเนี่ย!? ไปเที่ยวกับพ่ออยู่ไม่ใช่เหรอ!?”
“ก็ขึ้นเครื่องบินกลับมาสิย่ะ! แล้วไหงเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกแม่ห๊า!? นี่รู้ไหมตอนไอ้เคียวมันโทรมาบอกแม่เมื่อเช้าเนี่ยแม่แทบจะไปตื้บเพื่อนพ่อเขาแล้วเอาเครื่องบินส่วนตัวของรายนั้นบินกลับมาด้วยซ้ำ!” หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งยาวถึงกลางหลังหรือมิยาจิ คิโยมิถลึงตาใส่ลูกชายตนเอง “เอาเป็นว่ามีเรื่องอะไรคุยเรื่องอะไรถามไว้ทีหลังแล้วกัน! แม่จัดการไอ้นี่ก่อน!”
“ค...ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับพร้อมแว่บหนีออกจากห้องเก็บอุปกรณ์ทันที...และเมื่อออกมาก็พบกับชายหนุ่มผมดำที่...
...มีชายมาดนักเลงหลายคนนอนเลือดอาบนอนชักกระแด็กๆ อยู่แทบเท้า
“อ...อา ขนาดพ่อก็ฟิวส์ขาดเหรอเนี่ย?” ยูยะที่เป็นดังต้นเหตุเริ่มเหงื่อแตก...จบเรื่องนี้เมื่อไหร่มีแววหูชากันแน่
“อ่ะ! คิโยจัง! ยูจัง~~~~!!! ปลอดภัยดีไหมลูก!?” ชายหนุ่มผมดำโดดเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสองทันทีด้วยสีหน้าห่วงสุดแสน “อ้าวเฮ้ย! ยูจังเป็นแผลอ่ะ! ใครทำ! พ่อจะจัดการมัน~~~~”
“ใจเย็นพ่อ! ถ้าพ่อไปช่วยแม่ตื้บไอ้บ้านั้นก็ตายดิ!” เด็กหนุ่มทั้งสองรีบห้ามผู้เป็นพ่อก่อนที่จะไปฆาตกรรมใครเข้า
“ไม่สน! ก็มันทำพวกลูกอ่ะ!” มิยาจิ ยูโตะทำแก้มป่อง
“เดี๋ยวคุกลอยหาหรอกครับ! ถ้าฆ่าใครเข้าน่ะ!” ยูยะที่ยังถูกอุ้มอยู่พยายามเอ่ยห้าม
“ไม่โดนหรอก! เดี๋ยวขอให้เคียวคุงช่วยเอา!” ยูโตะเอ่ยพร้อมทำท่าจะไปร่วมวงตื้บกับภรรยาตน
“พ่อ! พอก่อน! ตอนนี้เออ...” มิยาจิพยายามคิดหาทางให้พ่อตนเลิกอาฆาตคนอย่างโดยเร็ว “...ร...รีบพายูยะไปทำแผลเถอะครับ! เดี๋ยวแผลติดเชื้อจะยุ่งนะครับ!”
“อ่ะ! จริงด้วยเนอะ!” ยูโตะเอ่ยพลางมองไปด้านนอกที่...มีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลกำลังจัดการคนที่มาทำร้ายตนอย่างสนุกสนาน “งั้นรีบไปห้องพยาบาลเถอะ! เดี๋ยวพ่อปัดลูกหลงจากเคียวคุงให้!”
“ครับ!” มิยาจิขานรับขณะที่ยูโตะเริ่มวิ่งนำหน้าไป...พร้อมรู้สึกเสียวๆ ว่าจะมีคนตายในโรงเรียนนี้ชอบกล...
...หวังว่าจะไม่ใครตายเพราะเหตุนี้หรอกนะ?...
“อูย~~~ หูชาเลย~~~” เสียงบ่นอุบอิบดังประสานกันจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสอง...
...ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน...เมื่อคนนามสกุลมิยาจิทั้งสามไปถึงห้องพยาบาลและแทบทำให้ครูห้องพยาบาลแทบเป็นลมเมื่อเห็นแผลยูยะแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็โดนสั่งให้นั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องพยาบาลก่อนที่นายยูโตะจะเดินออกจากไป
...และพอรายนั่นเดินออกจากห้องไปไม่ถึงสามนาทีก็กลับเข้ามาพร้อมชายร่างใหญ่ที่เลือดอาบสามถึงสีคน แถมบอกหน้าตาเฉยว่า ‘เก็บได้ที่หน้าห้องน่ะ’ ...ทำเอาครูห้องพยาบาลถึงกับใช้เด็กหนุ่มทั้งสองเป็นโล่เลย
...จากนั้น...เหล่าคนที่โดนสั่งให้มาเอาตัวยูยะไปก็ทยอยมาที่ห้องพยาบาลเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าก็โดนยูโตะเก็บเรียบเหมือนกันและระหว่างรอเหยื่อ (?) นั่นยูโตะก็เข้าสู่โหมดติดลูก ถามไถ่อาการยูยะกับมิยาจิสารพัดอย่าง
...แล้วเป็นนี้ไปร่วมชั่วโมงก่อนที่คิโยมิจะเดินเข้ามาพร้อมกับลาก...ร่างมนุษย์ที่เละปานศพขึ้นอึดเขามาให้ครูห้องพยาบาลช่วยรักษาก่อนที่รายนี้จะตายจริงๆ
...พอเสร็จเรื่องตื้บคน (?) แล้วสิ่งที่คิโยมิทำต่อไปคือ...ทำการเทศนาลูกชายทั้งสองของตนนั้นเอง
...ส่วนทางเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่คิดจะสู้แม่ตัวเองอยู่แล้วก็ได้แต่นั่งคุกเข่าสำนึกผิดแล้วปล่อยให้ตัวเองโดนเทศไป...จนกระทั่งนายฟุริฮาตะ เคียวที่ดูท่าตื้บชาวบ้านจนพอใจแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมบอกว่าพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาถึงอยากสอบปากคำคนในเหตุการณ์ทุกคนนั่นแหละ คิโยมิถึงยอมหยุดเทศนา
...และก็มาเป็นสถานการณ์ในตอนนี้นี่แหละ
“ยังดีที่เคียวซังมาช่วยทันนะเนี่ย...ไม่งั้นแม่บ่นยาวกว่านี้แน่” มิยาจิถอนหายใบออกมาเบาๆ
“แต่ผมว่าพอถึงบ้านเราก็ไม่พ้นโดนบ่นต่ออยู่ดีนั้นแหละ” ยูยะส่ายหน้าไปมา...ต่อจากนี้เดาได้เลยว่าชะตาชีวิตพวกเขาจะเป็นไงต่อจากนี้
“นั้นสินะ” มิยาจิถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกภาพตาม
“น่าๆ ปลงซะเถอะพวกนาย” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเอ่ยปลอบ “คิดแง่ดี...ตอนนี้มีคนเจ็บอยู่ คิโยมิซังคงไม่ตื้บพวกนายหรอก”
“แม่ไม่ตื้บพวกผมหรอกครับเซย์ซัง จะมีก็แต่ว่าพ่อจะไปป่วนแม่จนสุดท้ายก็ตีกันจนพวกผมต้องหลบลูกหลงทุกทีแค่นั้นแหละครับ” มิยาจิเอ่ย
“ไม่งั้นโดนของบินลอยมาชนหัวสินะ?” นายอันเซย์หัวเราะเบาๆ “แต่เอาเถอะ...เรื่องคิโยมิซังพวกนายเอาไปกลุ้มทีหลังเถอะ ตอนนี้มาตอบคำถามฉันก่อนจะได้เสร็จๆ แล้วรีบกลับกัน”
“อ่ะ! ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับ
“งั้นเริ่มคำถามแรก...” เซย์หยิบสมุดขึ้นมาจดตามหน้าที่ตน “...ยูยะ...นายโดนไอ้คนที่คิโยมิซังตื้บเละนั่นลากไปได้ไง?”
“โดนโป๊ะยาสลบใส่ตอนที่โดนอาจารย์ใช้ไปเอาของกับฮิวงะครับ” ยูยะตอบ
“โดนใช้วันไหนไม่โดน มาโดนวันนี้เนี่ยนะ? ซวยชะมัดเลยนาย...” เซย์บ่นขึ้นมาเบาๆ “...ข้อต่อไป...นายรู้ว่าน้องนายอยู่ที่ห้องเก็บอุปกรณ์ได้ไงคิโยชิ?”
“เคียวซังปีนหน้าต่างมาบอกผม” มิยาจิเบ้หน้านิดๆ ...ว่าตามจริงเขาโคตรหลอนเลยที่อยู่ๆ ปีนขึ้นมาชั้นสามทางหน้าต่างยังกะในหนังผีเฉย
“แล้วมีใครจิตตกกับมันไหม?” เซย์ถามด้วยสีหน้าที่ราวกับว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มบอกนั้นเป็นเรื่องที่แสนจะปกติ
“มีแต่หลอนครับ เพราะทั้งห้องไปกระจุกที่ประตูทางออก บางคนสวดส่ง (?) ให้ด้วยครับ” ว่าตามจริงเมื่อนึกภาพตอนนั้นก็อดขำนิดๆ ไม่ได้ที่ถึงขนาดสวดให้รายนั่นไปที่ชอบๆ เนี่ย
“ยังดีคราวนี้ไม่มีเกลือกับน้ำมนต์สาดไล่ด้วย” เซย์เอ่ยขึ้นมาอย่างขำๆ พลางนึกคราวหนึ่งที่เพื่อนตนนึกพิเรนท์อะไรไม่รู้โผล่มาจากหลุมในสุสาน ทำเอาชาวบ้านแตกตื่นไปหมดเลยคราวนั้น
“ที่จริงถ้ามีติดตัว บ้างคนอาจทำนะครับ” มิยาจิมั่นใจเลยว่าใครมีติดมืออาจใช้สาดไล่จริงๆ
“คงงั้น” เซย์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มถามคำถามต่อไปเรื่อยๆ สลับกับคำตอบจากปากเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างต่อเนื่อง จนผ่านไปราวๆ สามสิบนาที...การสอบถามก็เสร็จสิ้นลง “โอเค เรียบร้อยล่ะ...ขอบใจที่ให้ความร่วมมือนะทั้งสองคน”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองเอ่ย
“งั้นฉันกลับไปรายงานไดสึเกะซังก่อนล่ะ...” เซย์เก็บสมุดจดเข้ากระเป๋าและทำท่าจะเดินจากไป แต่เดินไปได้สามสี่ก้าวก็ชะงักและหันกลับมามองเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสอง “...เออ เกือบลืมไป...ขอถามหน่อยว่าระหว่างไปอยู่ที่ห้องพักที่ฉันพาไปนั่นพวกนายเล่นอะไรกันเหรอ? เห็นอาเจ๊ข้างห้องบอกว่าเสียงพวกนายฟินมากทำกันบ่อยๆ นะ เจ๊ไม่ว่าน่ะ”
“อ...อา คือ...” มิยาจิยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่าย...เพราะจากลักษณะการพูดตามที่เซย์ซังบอกเนี่ยเดาได้ไม่ยากเลยว่าเจ๊ที่ว่าเนี่ยสาววายชัวท์
“อย่ารู้ดีกว่าครับ...” ยูยะเอ่ยด้วยใบหน้าแดงแจ๋...นี่เขาทำเสียงดังขนาดห้องข้างๆ ได้ยินเลยเหรอ?!...
...ชักอยากหาอะไรมาคลุมหัวจริงๆ! ให้ตายเถอะ!...
“อ้าว? ทำไมล่ะ?” เซย์ถามอย่างงุนงง
“เอาเป็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วกันครับ!” มิยาจิกวาดตาไปรอบๆ เพื่อหาตัวช่วย...และไม่นานหลังจากนั้นตัวช่วยก็มาพร้อมกับ...
“นี่สอบปากคำยังไม่เสร็จอีกเหรอ!? ตกลงว่ามาสอบปากคำหรือมาอู้ห๊า!?” ...ฝ่ามือน้อยๆ ที่แรงไม่น้อยตบเข้ากลางหลังเต็มๆ!
“โอ๊ย! เจ็บนะครับ! คิโยมิซัง! เอามือหรือไม้ตีครับเนี่ย!? แรงจริง!” เซย์หลุดร้องเสียงหลงด้วยน้ำตาคลอนิดๆ ...อูย~~~ จะเป็นรอยไหมวะเนี่ย?
“มือสิย่ะ! หรืออยากได้ไม้ด้วย? เดี๋ยวจัดให้!” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่นายตำรวจที่ร้องโอดครวญอย่างน่าหมั่นไส้พร้อมรับท่อนไม้ที่สามีตนยื่นให้
“ไม่ครับ! แค่นี้ก็เกินพอแล้ว!” เซย์รีบไปหลบหลังยูยะอย่างไวว่อง
“เออ แม่อย่าคิดไล่ตื้บเซย์ซังสินะครับ เดี๋ยวไม่มีแรงไปรายงานข้อมูลกับไดสึเกะซังเอา” ยูยะพยายามกล่อมผู้เป็นแม่ตนเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนอยากตื้บคนอย่างชัดเจน เนื่องจากไม่อยากโดนลูกหลง
“ก็จริง ถ้าเกิดข้อมูลไม่ครบแล้วปิดคดีไม่ได้ไอ้ไดสึเกะมันวุ่นตายเลย” คิโยมิพยักหน้ารับเหมือนเห็นด้วย “งั้นจะให้เวลาสามวิเพื่อไปหาไดสึเกะมัน ถ้าไม่ไปแสดงว่ามันอยากอยู่เล่นกับแม่เองนะ...ส...”
“ไปแล้วครับ!” นายอันเซย์ที่เห็นทางรอด (?) รีบวิ่งหนีไป...ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันพูดว่าสามครบประโยคด้วยซ้ำ
“ให้ตายสิ ไอ้นี่มันจริงๆ สิน้า” คิโยมิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองคนที่วิ่งหนีไปด้วยความระอา
“อันเซย์คุงก็เป็นแบบนี้ประจำนี่ตัวเธอ” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยพร้อมเลื้อย (?) ไปเกาะหลังยูยะ “ว่าแต่ยูจัง...แน่ใจนะว่านอกจากโดนมีดบาดแล้วเจ้านั่นไม่ได้ทำอะไรลูกอ่ะ? พ่อได้กลิ่นแปลกๆ”
“ไม่นี่ครับ แล้วกลิ่นแปลกๆ ที่ว่านี่อะไรครับ? กลิ่นเหงื่อหรือไง?” ยูยะลองดมตัวเองดู...ก็ไม่มีกลิ่นอะไรนี่หว่า?
“ไม่ใช่กลิ่นเหงื่อสักหน่อย! กลิ่นที่ว่าเนี่ย...กลิ่นเหมือนลูกเสียซิ่งไปแล้วอ่ะ! คิโยจังก็มีกลิ่นเหมือนไปฟันใครเขามาเหมือนกัน!” ยูโตะเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย เล่นซะเด็กหนุ่มทั้งสองแทบสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำของพูดของผู้เป็นพ่อ
“ค...คิดไปเองมั้งพ่อ!” เด็กหนุ่มพากันปฏิเสธไปด้วยอาการเหงื่อแตกนิดๆ...
...ให้ตายเถอะ! รู้ได้ไงฟะ!? ไม่สิ! ได้กลิ่นแบบนั่นได้ไงฟะ!? แถมถูกอีก!...
“...ไม่คิดไปเองหรอก...จมูกพ่อเขาเนี่ยไม่เคยทายผิดสักรอบ” คิโยมิยิ้มเหี้ยมออกมา “มีอะไรจะสารภาพไหม? คิโยชิ? ยูยะ?”
“เออ...” มิยาจิเหล่มองน้องชายตนเล็กน้อยคล้ายขอความเห็น ยูยะเองก็พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าคิดจะทำอะไรก็ทำไปเลย...ซึ่งมิยาจิก็ตัดสินใจที่จะ... “...ผม...เผลอกดยูยะน่ะครับ แฮะๆ”
...สารภาพไปตามตรงเลย เพราะเทียบกันระหว่างบอกความจริงแล้วโดนอัดกับโกหกไปแล้วโดนจับได้ทีหลังเนี่ย...ไอ้ข้อแรกดูจะซวยน้อยที่สุดแล้ว
“...” คิโยมิจ้องมองที่เด็กหนุ่มทั้งสอง “...พูดจริง?”
“ครับ” มิยาจิยอมรับโดยละม่อม
“...” คิโยมิคิ้วกระตุกยิกๆ “...นี่ลูกทำงี้ได้ไง~~~!!! ชอบผู้ชายน่ะไม่ว่านะแต่นี้น้องแท้ๆ ของลูกนะ~~~!!!”
“ครับ รู้ครับแต่...มันอดไม่ได้อ่ะ” มิยาจิส่งยิ้มแห้งๆ ให้ผู้เป็นมารดาตน
“ยอมรับได้หน้าด้านๆ เลยนะ! ติดเชื้อด้านจากพ่อมาหรือไง!?” คิโยมิคุมขมับ
“เอาน่า ใจเย็นๆ สิตัวเธอ...คิดแง่ดีสิอย่างน้อยคิโยจังก็ไม่มีทางฟันยูจังแล้วทิ้งแน่นอน” ยูโตะยิ้มอย่างลั้นล้า...ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับที่ลูกชายทั้งสองของตนกินกันเองเลยสักนิด
“เออ! ไม่เถียง!” คิโยมิเองก็รู้ดีว่าการที่ลูกชายคนโตของตนทำแบบนี้แสดงว่าต้องจริงจังมากถึงมากที่สุด ไม่ใช่แค่อยากลองเล่นๆ แน่แต่ว่า... “แต่มันอดเครียดที่คิโยชิดันเอากับยูยะไม่ได้เว้ย! นี่ดีนะยูยะเป็นผู้ชายไม่งั้นป่องไปแล้ว!”
“เครียดไปทำไมเล่าตัวเธอ? หรือกลัวไม่มีหลาน?” ยูโตะถามพร้อมส่งสายตาลูกหมาให้ภรรยาตน
“จะกลัวไม่มีหลานทำอะไรล่ะ? มีแค่นี้ก็ปวดหัวจะตายแล้ว” คิโยมิกรอกตาไปมา “แต่ที่เครียดเนี่ย...กลัวคิโยชิกดยูยะจนตายเอา แรงยิ่งไม่ใช่น้อยๆ อยู่ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ไหวยังหนีได้แต่นี่หนียังไงก็หนีไม่พ้น”
“เครียดอะไรของแม่เนี่ย!?” มิยาจิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้...นี่ที่แม่โวยนี่คือกลัวเขากดยูยะจนตายคาอกแค่นั้นเหรอ!?...
...ชักอยากกินพาราสักกำแล้วสิ...นี่ตกลงเครียดแค่นี้!? แล้วจะโวยให้เขากังวลว่าแม่จะรับไม่ได้ทำไมเนี่ย!?...
“นั่นสิ...ไม่เห็นต้องเครียดเลยเธอ ยูจังอึดพอที่จะไม่ตายคาอกหรอกน่า” ยูโตะตบบ่าภรรยาตนเบาๆ “อย่าลืมสิว่าด้านความอึดความถึกเนี่ยโชจิคุงกับยูจังน่ะพอๆ กัน แล้วขนาดโชจิคุงยังทนเคียวคุงได้เลย...ยังไงพ่อก็มั่นใจว่าคิโยจังแรงไม่เยอะเท่าเคียวคุงแน่นอน!”
“อย่างไอ้เคียวไม่มีใครแรงช้างสารเหมือนมันหรอก” คิโยมิมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นเลยว่า...ไม่มีใครในโลกจะเพี้ยน บ๊อง แรงวัวแรงควายเท่ามันอีกแล้ว!!! นี่ยังดีนะที่ด้านทักษะกับไหวพริบมันยังสู้เธอไม่ได้เนี่ย! ไม่งั้นไม่รู้จะคุมมันยังไงแน่!...
...อ๊ะ! แต่อาจยังมีโชจิคุมได้แฮะ! มันกลัวเมียนี่หว่า!
“ใช่ไหมล่ะ~~~ ดังนั้นไม่ต้องเครียดหรอกตัวเธอ~~~ อย่าคิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ เลยเดี๋ยวแก่เร็วนะ~~~” ยูโตะลากเสียงยาวพร้อมโดดเกาะภรรยาตนและ...ก็ถูกสาวเจ้าถีบในไม่กี่วิต่อมา
“คำพูดเกือบดีแล้วนะคุณ...ถ้าไม่มีคำว่าแก่เนี่ย!!!” คิโยมิแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่มผมดำที่ทำหน้ากวนโอ๊ยอยู่
“ก็จริงนี่นา พอคุณเครียดแล้วดูแก่ขึ้นจม...แอ๊ก!” ยูโตะเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรก่อนที่จะถูกก้อนหินก้อนใหญ่ลอยมากระแทกหน้าเต็มๆ “เจ็บนะตัวเธอ~~~ โยนมาทำไมอ่ะ?”
“ก็ใครใช้ให้ว่าฉันก่อนล่ะ!?” คิโยมิหยิบเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ขว้างใส่ยูโตะและจากนั้น...สงครามประจำวัน (?) ของคู่สามีภรรยามิยาจิก็ได้เริ่มขึ้น
“...บางทีฉันก็ไม่เข้าใจพ่อกับแม่เลยแฮะ” มิยาจิเอียงคอหลบลูกหลงพลางบ่นขึ้นมาเบาๆ
“ผมก็ว่างั้น” ยูยะที่เงียบอยู่นานเพราะไม่กล้าเอ่ยแทรกถอนหายใจออกมาเบาๆ “แต่ถ้าคิดแง่ดี...อย่างน้องพ่อแม่ก็ดูท่าจะไม่กีดกันอะไรพวกเรานะ”
“อา นั้นสิเนอะ” มิยาจิยิ้มบางๆ ออกมาก่อนยื่นมือไปรวบเอวยูยะให้เข้ามาใกล้ “เพื่อเป็นการฉลอง...คืนนี้เรามาทำกันไหม?”
“...ทำเทออะไรเล่าไอ้พี่บ้า! พูดนี่อายปากบ้างเถอะ!” ยูยะแว๊ดกลับด้วยใบหน้าแดงแจ๋...ทีเรื่องนี้นี่ไม่เคยจะซึนเลยเนอะ! ตรงมันตลอดแถมขอหน้าด้านๆ เลย!
“ไม่สน ถ้าได้กินนายจะอะไรก็ไม่อายทั้งนั้นแหละ” มิยาจิเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“อ...ไอ้พี่บ้าเอ้ย -///-” ยูยะหลบตามิยาจิวูบด้วยความเขินอาย
“บ้าก็บ้ารักล่ะ” มิยาจิหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะ...เริ่มสวีตหวานกับน้องตัวเองโดยมีฉากที่คิโยมิกับยูโตะฟัดกันเป็นแบล็กกราว...
...และแน่ว่าในระยะสิบเมตรไม่มีใครเข้าใกล้ครอบครัวมิยาจิเลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวลูกหล่นนั้นเอง
End
แถมจ้า
“ดูท่ามิยาจิซังกับยูยะซังจะคบกันจริงๆ แฮะ” ทาคาโอะมองรุ่นพี่ทั้งสองของตนด้วยสีหน้ายิ้ม
“นั่นสินะ” มิโดริมะขมับแว่นตาของตนอย่างเคยชิน...ถึงกับแปลกๆ ที่คนในครอบครัวเดียวกันมาคบกันเองก็เถอะ...
...แต่ถ้ามันเป็นความสุขของรุ่นพี่เขา...เขาก็ไม่ขัดหรอก
“แล้ว...ขนาดมิยาจิซังยังคบกันแล้ว...” ดวงตาสีฟ้าอมเทาเหลือบมองที่คนผมเขียว “...แล้วเมื่อไหร่นายจะเลิกซึนแล้วบอกรักฉันสักทีล่ะ?”
“ก็บอกทุกวันไม่ใช่เหรอ? และอีกอย่าง...ฉันไม่ซึนเฟ้ย!” มิโดริมะค้อนใส่คู่หูตนเล็กน้อย
“ไม่ใช่บอกรักด้วยคำพูด หมายถึงแบบว่า...” ทาคาโอะหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย...บอกอ้อมๆ ไม่รู้ บอกตรงๆ ก็ได้วะ! “...เมื่อไหร่นายจะยอม×××ฉันอ่ะ?”
“อ...อา เรื่องนี้...” มิโดริมะหน้แดงวูบขึ้นมาอีกคน “...อ...เอาไว้บ้านฉันไม่มีคนอยู่ก่อนแล้วกัน”
...เล่นขอด้วยท่าทางน่ารักแบบนี้เนี่ย...มีโอกาสเมื่อไหร่พ่อจะจัดเต็มให้! จะเอาให้ลุกไม่ขึ้นไปสองวันเลยค่อยดู!...
“อื้อ ตามนั้นนะ...ห้ามผิดสัญญาล่ะชินจัง” ทาคาโอะส่งยิ้มอายๆ ให้คนตัวสูงกว่า
“รู้แล้วน่า” มิโดริมะเบนหน้าหนีด้วยความเขินอายตามประสาคนซึน (?)
“...มีแววว่าในอนาคตผมคงได้ไปร่วมงานแต่งของพวกคุณใช่ไหมครับ?” เสียงนิ่มๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังเด็กหนุ่มทั้งสอง
“เฮ้ย!” สองตัวจริงปีหนึ่งแห่งทีมชูโตกุหันหลังขวับไปมองต้นเสียง “มาเมื่อไหร่เนี่ย!?”
“สักพักแล้วครับ...” คุโรโกะเอ่ยหน้าตายพร้อม...ยกมือถือให้ดู “...นานพอที่จะถ่ายฉากเด็ดได้ครบถ้วนน่ะครับ...และลาล่ะครับ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว! เท็ตจัง!” ทาคาโอะสะดุ้งโหยงเมื่อร่างเรือนผมสีฟ้าหายไปสายตา ทำให้ต้องรีบใช้อีเกิ้ลอายส่องหาอีกฝ่ายโดยเร็ว...เมื่อจับเป้าหมายได้เด็กหนุ่มผมดำก็รีบวิ่งตามไปทันที “ไอ้เมื่อกี้ลบไปเลยนะ~~~~!!!”
“กลับมานี่เลยคุโรโกะ! ห้ามคิดส่งไปให้ทุกคนดูนะเฟ้ย!” มิโดริมะรีบวิ่งตามไปอีกคนเพื่อไม่ให้ตนกับคู่หูกลายเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าทีมปาติหาริย์ไป
“...พวกนั่นทำอะไรกันเนี่ย?” คางามิมองสองคนที่กำลังไล่ล่า (?) คู่หูตนอย่างงงๆ ก่อนที่จะปัดความสนใจทิ้งแล้วหันไปดูคู่สามีภรรยาที่ฟัดกันไม่เลิกอย่างสนใจ (นายสนใจอะไรกับสองคนนั้นฟัดกันเนี่ย? สามีภรรยาตีกันเนี่ยส่าสนใจตรงไหน? // s , น่าสนใจตรงที่สองคนนี้เล่นฟัดกันยังกับหนังจีนไง...มีฉากบู๊ฉากโยนของเหมือนกันเลย ที่ต่างจากหนังจีนก็มีแค่ไม่ได้ฆ่ากันแต่คนหนึ่งเขินโหดส่วนอีกคนพยายามอ้อนแค่นั้นเอง // คางามิ , อย่าให้คิโยมิได้ยินล่ะ ไม่งั้นหัวแตกแน่ // s)
CR. Kuroko no basuke ss3
ความคิดเห็น