คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #169 : [???] Halloween 2016
Title : Halloween 2016
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Izuki , Moriyama , Miyaji
Notes : ฟิคนี้บอกก่อนนะจ๊ะว่าอันนี้แค่เขียนขึ้นไว้คลายเครียดเล่นๆ ดังนั้นอย่าหาสาระกับฟิคนี้เลย มีมั่วมีเมาตลอดตอนแน่ อ๋อ! และฟิคนี้ไม่วายนะจ๊ะ แต่จิ้นได้ตามสะดวกเลยจ้า
.....................................................................................
Halloween 2016
ในยามเย็นที่สภาพอากาศหนาวเย็นที่แสนสงบ เด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานคนหนึ่งกำลังเดินไปตามทางเพียงลำพังอย่างเอื่อยๆ เพื่อที่จะกลับไปยังบ้านของตนตามปกติเช่นทุกวัน...เสียแต่...
...เส้นทางที่เด็กหนุ่มใช้ในการกลับบ้านทุกเมื่อเชื่อวันนั้นกลับมีแผงกั้นสีดำเหลืองคาดไว้พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งกำลังทำงานกันอยู่ ซึ่งทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นเป็นแน่แท้
อิสึกิ ชุนผู้เล่นตัวจริงของทีมบาสเซย์รินมองภาพตรงหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกแทนที่จะรอให้เจ้าหน้าที่เคลียร์เส้นทางที่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ถึงจะเสร็จ เจ้าตัวเดินเลาะไปตามซอยเก่าๆ ที่ดูรกร้างจนน่ากลัวไปเรื่อยๆ ตนไปโผล่ยังริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปตามถนนซึ่งไม่มีใครนิยมผ่านไปนักเนื่องจากมันมีบ้านร้างที่ชาวบ้านเล่ากันว่าเป็นบ้านผีสิงตั้งอยู่...
“อ่ะ! อิสึกิคุง~~~~!!!” ...และเมื่อเดินไปถึงยังบริเวณบ้านร้างดังกล่าวอิสึกิก็เห็นเด็กหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสองคนยืนอยู่
“โมริยามะซัง? มิยาจิซัง? ไหงมาอยู่แถวนี้กันล่ะครับ?” อิสึกิเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปใกล้ทั้งสอง
“จะมาทดสอบความกล้ากันน่ะ! อิสึกิคุงก็มาร่วมวงกันด้วยสิ!” เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวยิ้มร่าพร้อมล็อกแขนเด็กหนุ่มผู้อายุน้อยกว่ากันหนีด้วย
“ห...ห๊า?” อิสึกิหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ เหมือนว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“คืองี้อิสึกิ...โมริยามะมันอยากเล่นทดสอบความกล้าในวันฮาโลวีนเลยมาที่นี่น่ะ แต่ว่ามันชวนใครก็ไม่มีใครมากับมัน มันเลยลงทุนไปลากฉันมาจากชูโตกุมานี่เพื่อเล่นเป็นเพื่อนมันน่ะ...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งอธิบาย “...และมันอยากหาคนเล่นด้วยเยอะๆ อยู่แล้ว พอเห็นนายเลยอยากลากเข้าร่วมวงแค่นั้นแหละ”
“สรุปง่ายๆ คือโมริยามะซังอยากเล่นทดสอบความกล้าแต่ก็กลัวจนต้องหาคนมาเล่นด้วยสินะครับ?” อิสึกิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตามนั้นแหละ” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อย
“ใช่ที่ไหนล่ะ! ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย!” โมริยามะทำแก้มป่อง “แค่เล่นกันหลายๆ คนมันน่าสนุกกว่าแค่นั้นเอง!”
“เหรอ~~~?” อิสึกิกับมิยาจิลากเสียงยาวเป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด
“ไม่เชื่อกันหรือไง!?” โมริยามะโวยวายใส่เด็กหนุ่มทั้งสองที่ว่าตน
“ก็คิดว่าไงล่ะ?” มิยาจิยักคิ้วอย่างกวนๆ “เอ้าๆ เลิกเล่นแล้วรีบๆ เข้าไปในไอ้บ้านพุพังขึ้นรานี่ดีกว่า...ถ้าช้าเดี๋ยวค่ำหรอก”
“นั้นสิครับ” อิสึกิที่ขี้เกียจโดนคนอายุมากกว่างอแงใส่รีบผสมโรงกับคนผมสีน้ำผึ้งทันที
“ถ้าค่ำก่อนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย...ได้บรรยากาศดีออก” โมริยามะทำปากจู๋
“แต่มันอันตรายเฟ้ย! ทั้งโจรทั้งขโมยเลย!” มิยุจิสับลงกลางหัวโมริยามะเต็มๆ
“โอ๊ย! เจ็บนะมิยาจิ! หัวคนนะไม่ใช่กลอง! ตีมาได้!” โมริยามะเริ่มเอาตัวอิสึกิมาเป็นโล่กันโดนเขกหัวรอบสอง
“อย่าเอาผมเป็นโล่สิครับ” อิสึกิยิ้มแห้งๆ “รีบเข้าไปกันเถอะครับ...จะไปรีบๆ ดูรีบๆ กลับกัน”
“โอเค” มิยาจิพยักหน้ารับก่อนที่จะพุ่งเข้าไปล็อกคอโมริยามะแล้วลากเข้าไปในบ้านร้างอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้โมริยามะมัวแต่เล่นจนค่ำ โดยมีอิสึกิที่โดนหางเลขด้วยเดินตามไปติดๆ
เอี้ยด...เอี้ยด...
เสียงไม้ลั่นดังขึ้นเป็นจังหวะตามการก้าวเดินของเด็กหนุ่มทั้งสามชนิดที่น่ากลัวว่าพื้นบ้านจะพังลงไปได้ทุกเมื่อ
“ดูเหมือนบ้านผีสิงในสวนสนุกดีแฮะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทีเดินนำหน้ากลุทมเอ่ยพลางปัดใยแมงมุมที่มักจะมาติดหัวตนออกอย่างรำคาญนิดๆ
“ต่างกันตรงที่ต้องกลัวพื้นบ้านมันจะถล่มลงไปล่ะนะ” เด็กหนุ่มผมดำเหลือบเขียวที่อยู่ตรงกลางแถวหัวเราะออกมาเบาๆ
“และต่างตรงที่อาจมีหนูมีแมลงสาปโผล่มาได้ด้วยครับ” เด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานที่อยู่ท้ายสุดมองหนูตัวน้อยที่วิ่งผ่านไป
“แถมไม่มีผีแบบในบ้านผีสิงในสวนสนุกโผล่มาด้วย...ถ้าที่มีโผล่มาล่ะก็ผีของจริงชัวท์” มิยาจิหัวเราะหึๆ ให้คนด้านหลังสยองเล่น “เอ้า โมริยามะ...ที่แรกที่นายจะไปลองของเอาตรงไหนดีล่ะ?”
“อย่าพูดว่าลองของดิ เอาแค่มาดูก็พอ...” โมริยามะบ่นอุบอิบ “...ที่แรกเอาเป็นที่ห้องนอนชั้นสองแล้วกัน ได้ยินมาว่าเคยมีคนไปท้าผีในห้องนั้นแล้วซ็อกน้ำลายฝูมปากอยู่นั่นน่ะ”
“แล้วไอ้ห้องนั้นมีเรื่องเล่าอะไรไหม? จะได้ได้บรรยากาศแบบตอนดูรายการล่าท้าผีหน่อย” มิยาจิถาม
“มีๆ รู้สึกว่าห้องชั้นบนเคยเป็นห้องนอนของลูกสาวบ้านนี่ที่ฆ่าตัวตายในห้องตัวเองเพราะอกหักน่ะ” โมริยามะอธิบายสั้นๆ
“อื้อ ค่อยฟังน่าไปพิสูจน์หน่อย” มิยาจิพยักหน้ารับพร้อมเดินไปที่บันได
“ตกลงไปๆ มาๆ กลายเป็นมาพิสูจน์เรื่องผีแทนทดสอบความกล้วแล้วสินะครับ?” อิสึกิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ตอนแรกคิดว่าจะแค่เดินรอบบ้านแล้วกลับเสียอีก
“มันก็เหมือนๆ กันนั้นแหละน่า อิสึกิคุง” โมริยามะยิ้มร่าพร้อมตามมิยาจิขึ้นไปชั้นสองอย่างระมัดระวังไม่ให้บันไดหัก
“เหมือนซะที่ไหนล่ะครับ” อิสึกิกรอกตาไปมาพร้อมตามเด็กหนุ่มทั้งสองไปติดๆ
“เอาน่าๆ คิดแง่ดีอย่างน้อยก็น่าสนใจล่ะ” มิยาจิเอ่ยพร้อมมาหยุดหน้าประตูห้องสีชมพูเลอะๆ ห้องหนึ่ง “ห้องนี่หรือเปล่า? โมริยามะ?”
“น่าจะนะ” โมริยามะพยักหน้ารับ
“งั้นเข้าไปดูกัน” มิยาจิเอ่ยสั้นๆ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้องและถึงกับเหวอเมื่อ...ภายในห้องมีแต่ตุ๊กตาที่หน้าตาชวนสยองเต็มไปหมดเลย!!!
“ห้องน่าขนลุกแฮะ” โมริยามะเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพภายในห้อง
“ผมว่าที่มีคนน้ำลายฟูมปากเพราะเห็นไอ้พวกนี่มากกว่านะครับ” อิสึกิมองภายในห้องที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาด้วยสายตาว่างเปล่า
“ห้องเด็กผู้หญิงโลกไหนเนี่ยมีแต่ตุ๊กตาแบบนี้...ตอนนอนจะไม่ฝันร้ายหรือไง?” มิยาจิรีบดึงประตูห้องปิดทันทีด้วยความขนลุกจนถึงขั้นหลอนกับตุ๊กตา
“ห้องผู้หญิงโลกนี่แหละครับ น้องสาวผมเคยถ่ายห้องนอนเพื่อนที่มีตุ๊กตาแนวๆ นี้มาให้ดูอยู่” อิสึกิเอ่ย
“แสดงว่าที่เขาว่าน้ำลายฟูมปากนี่คงซ็อกเฉยๆ มั้ง” มิยาจิลองคาดเดาดู
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ...เท่าที่ดูเมื่อกี้ภายในห้องนอนจากฝุ่นที่จับเพราะไม่มีคนอยู่นานกับหน้าต่างแตกเพราะถูกอะไรสักอย่างปาก็ไม่เห็นมีอะไรที่ดูแปลกๆ นะครับ” อิสึกิผู้ที่สายตาดีกว่าชาวบ้านชาวช่องเอ่ย
“งั้นเรื่องแรกก็ตัดไปสินะ...ต่อไปก็ที่ห้องเก็บของ...” โมริยามะหยิบสมุดโน๊ตจากไหนไม่รู้มาขีดฆ่า
“เดี๋ยวก่อนครับโมริยามะซัง...นี่มีจดมาด้วยว่าจะไปดูห้องไหนเหรอครับ?” อิสึกิคิ้วกระตุกนิดๆ ...นี่แสดงว่าต่อให้ไม่มีใครยอมมาด้วย ถึงแม้จะกลัวแทบตายก็กะมาคนเดียวสินะ?
“อื้อ ใช่...” โมริยามะพยักหน้ารับ “...ทำไมเหรอ?”
“เปล่าครับ...แค่อยากรู้ว่าเราต้องไปกี่ห้องแค่นั้นแหละครับ” อิสึกิที่รู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายอยากทำพูดไปก็เท่านั้น ดังนั้นสู้รีบๆ ไปมันทุกห้องให้เสร็จๆ แล้วรีบกลับดีกว่า
“แค่สี่ห้องแค่นั้นแหละ ตัดเมื่อกี้ไปหนึ่งก็เหลือสาม” โมริยามะตอบ
“งั้นเรารีบไปที่ต่อไปดีกว่า” มิยาจิที่ได้ยินว่าต้องไปแค่ไม่กี่จุดก็รีบลากอีกฝ่ายไปยังสถานที่ต่อไปทันที และเมื่อมาถึงยังจุดหมายเจ้าตัวก็ยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูห้องเล็กน้อยแบบกลัวว่าจะเจออะไรชวนเหวอแบบเมื่อครู่ “โมริยามะ...ห้องนี่มีเรื่องเล่าอะไรล่ะคราวนี้?”
“ห้องนี่เห็นว่าเคยมีแมวติดอยู่ในนี้จนอดตายน่ะ...” โมริยามะตอบ
“แมวเนี่ยนะ?” มิยาจิขมวดคิ้วเล็กน้อย...ตอนผีคนยังพอว่าแต่ผีแมวเนี่ย...
...ถ้าเจอจริงๆ เขาควรจะกลัวไหมนั้น!? แค่แมวผีเนี่ย!...
“คุณไปหาข้อมูลมาจากไหนเนี่ย?” อิสึกิคุมขมับ...คงไม่ได้เอามาเน็ตหรืออะไรแปลกๆ หรอกนะ?
“ไม่ได้เอามาจากเน็ตแบบทุกทีน่า ไม่ต้องห่วง...” โมริยามะที่รู้ในสีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสองเอ่ย “...คราวนี้ข่าวได้มาจากคุณยายที่อยู่แถวๆ นี้น่ะ...พอดีตอนนั้นช่วยยายเขายกของแล้วเห็นบ้านนี่พอดีเลยถามน่ะ”
“โอเค อย่างน้อยก็ดูน่าเชื่อถือว่าในเน็ตที่นายมักขุดมาแล้วกัน” มิยาจิเอ่ยพลางผลักประตูห้องออกเบาๆ และ...
เหมียว~~~~ เหมียวๆๆ~~~~~
...ก็มีเสียงแมวดังขึ้นมาระงมทันที!
“...คงไม่ใช่ผีแมวจริงๆ หรอกนะ?” มิยาจิคิ้วกระตุกนิดๆ ...ถ้าใช่ขอบอกเลยว่าไม่น่ากลัวสักนิด! แค่เสียงแมวเนี่ย!
“ไม่รู้สิ” โมริยามะลองก้มๆ เงยๆ ดูภายในห้อง “แต่จะรู้ว่าผีหรือเปล่าเราต้องหาต้นเสียงก่อนล่ะนะ”
“ถ้าเป็นผีต้องหาต้นเสียงไม่เจอสินะครับ?” อิสึกิเริ่มช่วยหาต้นเสียงอีกคน
“นานๆ ทีนายก็พูดอะไรเป็นผู้เป็นคนได้เหมือนกันนิ” มิยาจิลองดูตามชั้นที่อยู่ในระดับสายตาตนพอดี
“ไหงว่างั้นอ่ะ!” โมริยามะโวยกลับอย่างเคยชินแบบไม่กลัวอะไรลอยมาใส่หัวสักนิด
“ก็ตามที่พูดนั้นแหละ” มิยาจิเริ่มก้มดูตามรอยร้าวตามผนังก่อนชะงักเมื่อ... “โมริยามะ...ฉันเจอต้นเสียงล่ะ”
“ไหนๆ” ทั้งโมริยามะทั้งอิสึกิหันมาดูยังจุดที่มิยาจิชี้ “อ่ะ! ลูกแมว?”
“เห็นเป็นหมาหรือไงล่ะ?” มิยาจิถามกลับพลางมองเจ้าลูกแมวหลายตัวที่อยู่ภายในรอยร้าวของผนังบ้านโดยที่มีแม่แมวที่อยู่ข้างๆ ขู่ฟ่อใส่พวกตน “ดูท่าเรารีบออกจากห้องเถอะ เดี๋ยวแม่แมวมันเข้าใจว่าจะมาทำร้ายลูกมันแล้วข่วนเอาหรอก”
“อื้อ / ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกันออกจากห้องทันที...โดยที่ก่อนออกจากห้องทั้งสามยังไม่วายเอาเศษของกินเล็กๆ น้อยๆ หย่อนไปให้แม่แมวเป็นของแถมอีก
“ดูท่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกตามเคย” เมื่อออกมาจากห้องแล้วมิยาจิก็เอ่ยออกมาเป็นคนแรก
“ก็ดีแล้วนี่ครับ...ถ้าเกิดเจอดีกันจริงๆ ขึ้นมาขำไม่ออกแน่” อิสึกิไม่คิดที่จะลองดีอะไรกับไอ้ของแบบนั้นหรอก
“ถึงจะเห็นด้วยว่าไม่เจอก็ดี แต่ก็อยากลองนะ” โมริยามะยักไหล่เล็กน้อย
“จะอะไรก็ช่างเถอะ รีบไปจุดต่อไปเถอะ...จะได้เสร็จก่อนมืด” มิยาจิหยิบมือถือของตนขึ้นมาดูเวลา
“ก็ด้ายยยย งั้นจุดต่อไปห้องรับแขกที่ชั้นล่างล่ะนะ” โมริยามะตอบ
“โอเค จุดหมายต่อไปชั้นล่าง” มิยาจิเอ่ยพร้อมทำหน้าที่เดินนำอีกรอบ
“อย่าพูดเหมือนพวกประกาศสายรถเมล์หรือออะไรพวกนี่สิครับ” อิสึกิหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับคำพูดของคนผมสีน้ำผึ้งก่อนที่จะเดินตามเด็กหนุ่มทั้งสองไปเพื่อพิสูจน์อีกสองเรื่องที่เหลือ
“สรุป...ที่นายได้มาเป็นข่าวลวงหมดเลยวะ” มิยาจิหันไปบ่นกับเด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าเซ็งนิดๆ
“นั้นสิเนอะ” โมริยามะลากเสียงยาวพลางนึกถึงเรื่องผีทั้งสี่เรื่องที่ตนมาพิสูจน์นั้น...ต่างเกิดจากความเข้าใจผิดทั้งสิ้น...
...เรื่องแรกผีของเด็กสาวที่ฆ่าตัวนั้นดูท่าคนที่เคยไปลองของจะแค่ตกใจไอ้ตุ๊กตาหลอนๆ ในห้องนั้นเท่านั้น
...เรื่องที่สองที่ผีแมวอดตายภายในห้องนั่นทำให้ได้ยินเสียงวิญญาณร้องโหยหวนที่จริงแล้วแค่มีแม่แมวมาออกลูกที่ผนัง
...เรื่องที่สาม...ห้องรับแขกที่เคยมีคนเห็นแสงประหลาดลอยไปมานั้นก็มาจากแสงของไฟดิสโก้รุ่นใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ดูท่ามันจะเจ๊ง เลยติดๆ ดับๆ เป็นช่วงๆ จนเหมือนมีไฟวิญญาณลอยไปมา
...และเรื่องสุดท้าย...ข้าวของขยับเองได้ในห้องครัวหรือห้องที่พวกเขายืนอยู่ขณะนี่ก็เกิดจากการสร้างโครงสร้างบ้านไม่ดี พื้นเลยเอียงไปทำให้เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากการเดินหรือแผ่นดินไหวเพียงเล็กน้อยข้าวของบางอย่างที่น้ำหนักไม่มากจึงขยับได้เอง
“เป็นข่าวลวงนี่แหละดีแล้วครับ ถ้าเกิดเจอดีขึ้นมาจริงๆ ล่ะขำไม่ออกกันแน่” อิสึกิถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมว่าตอนนี้เราออกจากบ้านนี่ได้แล้วมั้งครับ? มันจะค...”
ปัง!...ครืน...ครืน...
ระหว่างที่อิสึกิกำลังพูดอยู่นั้นเองก็มีเสียงทีเหมือนเสียงเปิดอย่างแรงเสียจนบ้านสั่นไหวดังขึ้นก่อนที่จะตามด้วยเสียงที่เหมือนมีอะไรบางอย่างถูกลากเข้ามา
“...” เด็กหนุ่มทั้งสามมองหน้ากันเองและค่อยๆ พากันแอบโผล่หน้าไปดูที่นอกห้องอย่างช้าๆ ...แต่ก็ไม่เห็นว่ามีเงาของสิ่งใดอยู่เลย
“นี่...เมื่อกี้ได้ยินเสียงกันไหมอ่ะ?” โมริยามะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก
“เต็มสองหูเลยครับ” อิสึกิเริ่มหน้าซีดลงเล็กน้อย
“ฉันว่าเรารีบออกไปจากบ้านนี่เถอะ ชักสังหรณ์ไม่ค่อยดีแล้ว” มิยาจิมองไปรอบๆ อย่างเสียวๆ “นับถึงสามวิ่งนะ...หนึ่ง...สอง...สาม!”
“ใส่เกียร์หมาโลด!” โมริยามะรีบตามมิยาจิที่ใส่เกียร์หมาวิ่งเป็นคนแรกไป โดยมีอิสึกอตามมาติดๆ แต่แล้ว...
“หว่า!” ...ไม่ทันที่จะไปถึงยังประตูหน้าบ้านอิสึกิก็ดันล้มหน้าทิ่มเสียก่อน
“อ่ะ! เป็นอะไรหรือเปล่าอิสึกิคุง!?” โมริยามะรีบเบลกทันทีเมื่อได้ยินเสียงล้มของคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม เช่นเดียวกับมิยาจิที่วิ่งไปถึงหน้าบ้านแล้วก็ยังวิ่งกลับมาดู
“ไม่เป็นอะไรครับ...แล้วเหยียบอะไรกลมๆ เนี่ย?” อิสึกิลองหยิบไอ้สิ่งกลมๆ ที่ตนเหยียบเมื่อครู่มาดูก่อนที่จะโยนทิ้งแทบทันทีเมื่อเห็นว่าที่ตนหยิบขึ้นมามันเป็นอะไร “ห...หัวคน!”
“น...นี่มันบ้าชัดๆ!” มิยาจิเหงื่อแตกพลัด...ถึงเขาได้ชื่อว่าเป็นขาโหดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกกลัวอะไรนะเฮ้ย!
“จะบ้าอะไรก็ช่างเถอะ! รีบหนีดีกว่าตอนนี้! อิสึกิคุงลุกไหวไหม?” โมริยามะถาม
“ค...ครับ” อิสึกิพยักหน้ารับพร้อมที่จะพยายามใช้ขาของตนที่ยามนี้สั่นไปหมดลุกขึ้นยืนและในตอนนั้นเอง...ก็มีมือของใครสักคนดึงให้อิสึกิล้มลงอีกครั้ง “เหวอ! อะไรเนี่ย!?”
“อา...ไม่ยอมให้หนีหรอก...” เสียงยานๆ ของใครสักคนดังขึ้น ดวงตาสีดำสนิกค่อยๆ เหลือบมองไปยังมือที่จับขาตนอยู่...และเห็นร่างใหญ่ของคนที่น่าจะเป็นผู้ชายซึ่งสวมหน้ากากผีรูปโครงกระดูกเอาไว้กำลังขาตนไว้โดยที่อีกมือกำลังง้าวมีดเตรียมแทงลงมา! “...มาเป็น...ผีในบ้านหลังนี่เถอะ!!!”
“ไม่ให้เอาอิสึกิคุงไปหรอกเว้ย!!!” โมริยามะถีบคนที่จับเด็กหนุ่มผมดำไหวพร้อมผลักตัวอิสึกิไปให้มิยาจิที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย “วิ่งเร็ว! อิสึกิคุง! มิยาจิ! อ่ะหว่า!”
“เฮ้ย! โมริยามะ!?” มิยาจิมองร่างของคนผมสีดำเหลือบเขียวที่โดนดึงตัวไปแทนที่อิสึกิก่อนที่จะ... “ปล่อยเพื่อนฉันนะเว้ย! ไอ้เวร! ไอ้&₩$%$■●”£)《¤《▪”
...เอาสารพัดข้าวของที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่คนใส่หน้ากากผีพร้อมด่าสารพัดอย่าง ก่อนที่จะรีบคว้าตัวโมริยามะมาและ...จับตัวเด็กหนุ่มทั้งสองแบกขึ้นบ่าแล้วใส่เกียร์ไรจู (?) วิ่งทันที
พอวิ่งออกมาจากบ้านร้างได้สิ่งต่อไปที่มิยาจิทำคือพยายามหาตำรวจที่อยู่บริเวณนี่เพื่อขอความช่วยเหลือพลางวิ่งต่อไปทั้งๆ ที่แบกคนไว้อยู่ตั้งสองคนเพื่อไม่ให้คนที่ดูแล้วน่าจะเป็นฆาตกรตามมาทัน จน...
“อ่ะ!” ...ดันไปชนกับใครบางคนเข้าเสียจนล้มกันทั้งหมู่เลย “ถนนมันแคบนะ จะวิ่งจะเล่นอะไรก็ระวังหน่อยสิ”
“อา...ขอโทษครับ” มิยาจิขานรับกลับอย่างงงๆ ...เมื่อกี้ทั้งๆ ที่เขาก็วิ่งชนแรงนะ แต่ไหงถึงมีแต่เขาที่ล้มส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นไรเลยเนี่ย? ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นชายหนุ่มที่ยังดูราวๆ ยี่สิบต้นๆ และน่าจะแข็งแรงดีก็เถอะ...
...จะว่าไป...หัวน้ำตาลๆ กับหน้าตาแบบนี่มันทำไมดูคล้ายๆ ใครบางคนจังหว่า?...
“อูย...ชนอะไรครับเนี่ยมิยาจิซัง? กำแพงหรือไงครับ...” เด็กหนุ่มผมดำที่บังเอิญตอนล้มเมื่อครู่หน้าทิ่มพื้นเต็มๆ ลูบหน้าตนอย่างเจ็บๆ ก่อนที่จะหันไปดูว่าคนผมสีน้ำผึ้งชนอะไรเข้าและถึงกับเบิกตากว้างพอเห็นว่าใครยืนอยู่ “...เคียวซัง! มาไงครับเนี่ย!?”
“อ้าว? นาย...รุ่นพี่ของโคกินิ?” ชายหนุ่มนามว่าเคียวมองอิสึกิตาแป๋ว “ไหงมาวิ่งเล่นแถวนี่ล่ะ? ไม่สิ...ฉันต้องเป็นคนตอบก่อนนี่หว่า? เมื่อกี้ถามว่าฉันมาทำอะไรสินะ? เอาง่ายๆ คือโดนเพื่อนร่วมอาชีพขอให้มาช่วยงานที่นี่นิดหน่อยน่ะ”
“เหรอครับ...” อิสึกิขานรับสั้นๆ
“อิสึกิ...รู้จักเหรอ?” มิยาจิถาม
“พี่ชายของฟุริน่ะครับ...คนผมน้ำตาลๆ ที่คล้ายๆ ชิวาว่าน่ะครับ” อิสึกิตอบ
“อ๋อ” มิยาจิพยักหน้ารับ...ถึงว่าหน้าคุ้นๆ
“เออ...โทษทีนะ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นใช่เรื่องที่ควรสนใจที่ไหนล่ะ?” โมริยามะค่อยๆ กระดึบๆ เอาหน้าขึ้นจากพื้น (?) “ลืมแล้วเหรอว่าเราหนีอะไรกันมา?”
“เอ้อ! จริงด้วย!” มิยาจิรีบโดดดึ๋งลุกขึ้นยืนพร้อมดึงอิสึกิกับโมริยามะขึ้นมาด้วยทันที “ต้องรีบหนีแล้ว!”
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่มเมินกันสิ...” เคียวจับคอเสื้อของมิยาจิที่กำลังจะลากอิสึกิกับโมริยามะหนีไปอย่างรวดเร็ว “...นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? แล้วหนีอะไรกัน?”
“เอาไว้อธิบายวันหลังครับ! ตอนนี้พวกผมขอไปหาตำรวจก่อนครับ! และถ้าคุณอยู่กับพวกผมนานๆ เดี๋ยวติดรากแห่ไปด้วยหรอก!” มิยาจิเอ่ยถึงแม้จะแปลกใจนิดๆ ในแรงของอีกฝ่ายที่ดูจะมีมากซะเหลือเกินก็เถอะ
“เออ...มิยาจิซัง อย่างเคียวซังไม่ต้องห่วงหรอกครับ เกินคนไปไกลแล้ว...” อิสึกิที่รู้จักเคียวอย่างดีจากรุ่นน้องตัวเองถอนหายใจออกมาเบาๆ “...และตำรวจไม่ต้องไปหาแล้วล่ะครับ...เคียวซังนี่แหละครับตำรวจ”
“เอ๋?!” มิยาจิกับโมริยามะหันขวับไปยังคนที่ถูกอ้างถึง...นี่นะตำรวจ!? มาดไม่ให้สักนิด! ให้ความรู้สึกเหมือนพนังงานบริษัทหรืออะไรพวกนี้มากกว่า!
“ไม่ต้องทำหน้าไม่เชื่อเลย ฉันเป็นตำรวจจริงๆ ...ถึงอยู่คนล่ะเขตก็เถอะ...” เคียวยิ้มร่าเหมือนกำลังขำในสีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสอง “...แล้วตกลงหนีอะไรกันมาห๊า?”
“ก็หนี...” อิสึกิที่สนิกกับเคียวที่สุดในหมู่สามคนกำลังจะตอบอีกฝ่ายไป แต่ว่า...
“อยู่นี่กันเอง~~~~” ...ไอ้สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสามหนีมาก็ตามมาทันพอดี!
“หนีไอ้นี่ไงครับ!!!” เด็กหนุ่มทั้งสามรีบโดไปหลบหลังเคียวอย่างพร้อมเพรียง
“หื้อ? ไอ้คนใส่หน้ากากกระดูกกิ๊กก๊อกเนี่ยนะ?” เคียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแบบไม่ใส่ใจอ่ะมากแม้อีกฝ่ายจะมีอาวุธก็ตาม
“อา...มีคนเห็นเพิ่มอีกคนแล้วสินะ?” คนใส่หน้ากากผีลากเสียงพลางกำมีดในมือและ...พุ่งเจ้าใส่เคียวอย่างรวดเร็ว! “ถ้างั้น...ต้องกำจัดให้หมด!!!”
“เห๋? อะไรกันเนี่ย? คือจะเอะอะฆ่าคนง่ายๆ เนี่ยนะ? คิดว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปรหรือไง?” เคียวถามพร้อมจับคมมีดที่พุ่งเข้ามา...หักออกอย่างง่ายดาย “มีดเก่าไปหน่อยนะ ไม่ทนเอาเสียเลย”
“ต่อให้มีดมันทำจากของในตำนานคุณก็หักได้หมดนั้นแหละครับ” อิสึกิบ่นขึ้นมาเบาๆ “และถ้าฟุริเห็นคุณหักมีดด้วยมือเปล่าแบบนี้ล่ะก็โดนโวยแน่ครับ”
“ก็อย่าให้โคกิรู้สิ” เคียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่เรื่องโคกิเอาไว้คุยทีหลังนะ...ตอนนี้ขอจัดการไอ้นี่แป๊บ”
“เชิญครับ ไม่มีใครห้ามอยู่แล้ว” อิสึกิยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่จะ...ลากเด็กหนุ่มทั้งสองไปหาที่หลบด้วยความที่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้
“เออ...อิสึกิคุง...” โมริยามะที่ตามสถานการณ์เมื่อครู่ไม่ค่อยทันสะกิดไหล่คนผมดำเบาๆ “...ปล่อยให้เคียวซังจัดการแบบนั้นไม่อันตรายเหรอ?”
“นั้นสิ ถึงหมอนั้นจะโดนหักอาวุธทิ้งอีท่าไหนไม่รู้ไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีอย่างอื่นซ่อนอยู่นิ” มิยาจิเอ่ยเสริมขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...อย่างเคียวซังต่อให้เอาระเบิดมาปาจะเป็นอะไรหรือเปล่าไม่รู้เลย” อิสึกิที่ดูจะไม่ห่วงนายเคียวเท่าไหร่นักยิ้มแห้งๆ “ดูเอาเองเถอะครับ...อธิบายยาก”
“หื้อ?” เด็กหนุ่มทั้งสองเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่อิสึกิพูดก่อนที่จะยื่นหน้าไปดูคนที่สู้กับฆาตกรเพียงลำพังและ...ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่านายตำรวจหนุ่มยกเสาที่ใช้ทำราวตากผ้าขนาดสามคนโอบมาจากไหนไม่รู้ไล่ฟาดชาวบ้านได้หน้าตาเฉย!
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ...แทนที่จะห่วงเคียวซังสู้ไปห่วงคนใส่หน้ากากผีนั้นแทนเถอะครับ” อิสึกิตบบ่าเด็กหนุ่มทั้งสองเบาๆ คล้ายจะบอกว่าตนเองก็เคยอึ้งกิมกี่แบบนี้เหมือนกัน...พลางมองคนใส่หน้ากากผีที่เริ่มน้ำตาแตกด้วยความสยอง (?) เคียวสุดแสนด้วยความสงสารนิดๆ
หลังจากอิสึกิพยายามดึงสติสตางค์ของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองกลับเข้าได้สำเร็จและเคียวจัดการคนร้ายเสียจนน้ำลายฟูมปากชักกระแด๊กๆ (?) เรียบร้อยแล้ว เคียวก็ได้พาเด็กหนุ่มทั้งสามกับคนร้ายที่ตนลากมาไปยังสถานีตำรวจใกล้ๆ เพื่อแจ้งความพร้อมให้เด็กหนุ่มทั้งสามที่กลายเป็นพยานโดยไม่ได้ตั้งใจให้การกับนายตำรวจที่ทำหน้าที่ในสถานีนี้
“สรุป...พวกนายไปทดสอบความกล้าในบ้านร้างกันแล้วดันซวยไอ้ฆาตกรนั่นดันเลือกไปหลบในบ้านร้างขณะที่พวกนายกำลังจะออกจากบ้านร้างนั้นพอดีใช่ไหม?” นายตำรวจรุ่นใหญ่คนหนึ่งถามเสียงเรียบ
“ครับ...ตามนั้นแหละครับ...” อิสึกิเอ่ยพลาง...นึกปลงในความซวยของพวกตนขึ้นมาตงิดๆ เมื่อในภายหลังว่าไอ้คนที่ไล่ล่าพวกเขานั้นเป็นฆาตกรซึ่งเพิ่งทำการฆ่าหญิงสาวคนหนึ่งในบริเวณนี่ โดยเอาศรีษะของหญิงสาวคนนั้นไปด้วย...
...และไอ้หัวที่ว่านั้นก็คือไอ้ที่เขาเผลอเหยียบจนลื่นล้ม ส่วนสถานที่เกิดเหตุก็คือไอ้ทางไปบ้านเขาที่ถูกเทปกั้นปิดทางไว้เอาไว้นั่นเอง
...สงสัยสักวันเขาต้องไปล้างซวยแล้วสิ...ไม่งั้นมีแววโดนผีอาฆาตเพราะดันไปเหยืยบหัวเขาแน่...
“พวกนายนี่ซวยจริงๆ นะ...ยังดีที่เจอไอ้เคียวมันไม่งั้นได้เป็นปุ๋ยไปแล้วแน่...” นายตำรวจถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองเด็กหนุ่มอีกสองคนที่เอาผ้าเย็นโปะหน้าไว้ “...และดูท่าสองคนนี่จะซ็อกกับการที่เจอเรื่องแบบนี้น่าดู...แต่นายนี่เก่งเนอะ เจอเรื่องแบบนี้แล้วไม่เป็นไรเลย”
“เรื่องที่เจอเนี่ยก็ทำให้ผมซ็อกเหมือนดันนะครับ แต่มันไม่น่าชวนสยองเท่าเคียวซังตอนลงมือกวาดล้าง (?) เท่านั้นเอง...มิยาจิซังกับโมริยามะซังเองพอเจอคนร้ายก็ไม่ได้สติหลุดแบบนี้เลยนะครับ ที่เป็นแบบนี้เพราะเคียวซังนั้นแหละ...” อิสึกิยิ่มแห้งๆ “...นี่ถือว่าผมช่วยดึงสติสตางค์เข้าร่างได้หน่อยนึงแล้วนะครับ”
“ถ้าเกิดอาการมาจากสยองไอ้เคียวมันล่ะก็พรุ่งนี้นู้นแหละถึงจะดึงสติกลับมาได้เต็มร้อย” นายตำรวจส่งสายตาเห็นใจเด็กหนุ่มที่ยามนี่ต้องพึงผ้าเย็น (?) ให้ทั้งสองประมาณว่า ‘ไม่ต้องห่วงไอ้น้อง พี่ก็เคยเป็น...แถมหนักกว่าด้วย’ ไป “แล้วนี่สองคนนี่จะกลับบ้านถูกไหมเนี่ย?”
“เอาตามความคิดผม...น่าจะไม่ครับ” อิสึกิไม่คิดว่ารุ่นพี่หนุ่มทั้งสองนั้นจะเดินออกจากโรงพักเองโดยไม่ชนอะไรได้ด้วยซ้ำ
“เฮ้ๆ อย่านินทากันระยะประชิตสิอิสึกิ...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งดึงผ้าเย็นออกจากหน้าตน “...แค่กลับบ้านฉันกลับได้น่า...แต่คืนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่าไม่รู้นะ”
“ใช่เลย~~~ ทั้งฆาตกรทั้งตำรวจโหดเกินมนุษย์มนา...ชวนให้หลอนทั้งนั้น” เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวดึงผ้าเย็นออกเช่นกัน
“อ้าว? ฟื้นตัวกันเร็วจังนะครับ” อิสึกิมองทั้งสองอย่างแปลกใจเล็กน้อย...ก่อนหน้านี่ยังทำท่าทีเอ๋อๆ อยู่เลย
“พอดีที่บ้านฉันมีคนโหดระดับเดียวกันกับคนที่ชวนให้ปวดหัวสุดๆอยู่น่ะ...ถึงจะไม่ถึงขั้นแรงช้างสารอย่างรายนั้นก็เถอะ” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ส่วนบ้านฉันก็มีคนชวนให้ปวดจิตนิดๆ อยู่เลยชินน่ะ” โมริยามะเอ่ยต่อ
“อ๋อ เพราะมีคนลักษณะคล้ายไอ้เคียวอยู่เลยชินสินะ? น่าอิจฉาชะมัด...ทีตอนฉันเล่นหลอนไปเป็นอาทิตย์” นายตำรวจบ่นอุบ
“นั่นสิครับ...ตอนผมเองก็ปาไปหลายวันเหมือนกัน” อิสึกิที่เคยประสบเหตุการณ์เดียวกับนายตำรวจเบ้หน้าเล็กน้อย
“แหม~~~ นินทากันมันส์เลยนะ~~~”
“เหวอ! / อะจึ๋ย! / แว๊ด! / เฮ้ย!” เด็กหนุ่มทั้งสามบวกชายหนุ่มที่เป็นสว. (สูงวัย) สะดุ้งเฮือกและหันขวับไปยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง “มาเมื่อไหร่เนี่ย!? เมื่อกี้ยังคุยกับตำรวจนายอื่นๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ / ครับ!?”
“มาเมื่อกี้น่ะ พอดีคนอื่นๆ เขาขอไปทำงานต่อเลยมาหาพวกนายเนี่ยแหละ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลยิ้มร่า “ว่าแต่...สองคนนี้เรียกสติกลับมาได้เร็วเกินคาดแฮะ แบบนี้สองคนนั้นก็มาเก้อน่ะสิ”
“เอ๊ะ?” เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่ถูกเอ่ยถึงเผยสีหน้างงๆ ออกมา “เรียกใครมาเหรอครับ?”
“ก็เรียก...แอ๊ก!!!” เคียวหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของแต่ล่ะคนและก็จะเอ่ยตอบให้ชาวบ้านหายข้องใจแต่...ไม่ทันตอบคำถามได้ครบประโยคก็โดนหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้โดนถีบขาคู่ใส่ทันที “โอ๊ย! เจ็บนะครับ!!!”
“ก็ตั้งใจให้เจ็บสิย่ะ! ไอ้บ้า!” คนที่เพิ่งถีบชาวบ้านไปหยกๆ แยกเขี้ยวใส่เคียว “บอกกี่ทีแล้วห๊าว่าทำอะไรน่ะให้เห็นใจชาวบ้านบ้าง! นี่ดีนะไม่มีใครซ็อกจนเกือบตายแบบคราวก่อนเนี่ย!”
“บู้! ขี้บ่นจังคิโยมิซัง...ก็ยังไม่มีใครเป็นอะไรนิ? แถมลูกเจ๊ดูอึดจะตาย” เคียวทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะร้องจ๊ากอีกรอบเมื่อถูกสับเข้าที่กลางหัวเต็มๆ
“แล้วจะรอดให้มีคนเป็นอะไรไปก่อนหรือไง!? และอีกอย่างลูกฉันบุ๋นจะตายชัก! ไม่ได้ครึ่งยูโตะเลยสักนิ!” คิโยมิค้อนใส่คนที่ดูจะไม่สำนึกเลยแม้แต่น้อย
“ผมไม่ได้บุ๋นนะ! แม่! แล้วนี่คิดว่ามีใครจะอึดถึกเท่าพ่อได้อีกเหรอครับ?!” มิยาจิเถียงหญิงสาวที่ว่าตนหน้าตาเฉย
“ก็มีไอ้นี่ไง! ถึงจะไม่ถึกเท่าพ่อเขาแต่ก็ถึกกว่าชาวบ้านอยู่ดี!” คิโยมิตอบกลับพร้อมกับเริ่ม...ฟัดกับนายเคียวทีกำลังจะหนีอย่างดุเดือด (?)
“...ทำไมฉันต้องมีดวงเจอแต่พวกเหนือคนเนี่ย?” มิยาจิถึงกับคุมขมับ...ไหนจะพ่อแม่เขาไหนจะเคียวซัง แล้วนี่จะมีใครเกินคนมาหาเขาในอนาคตอีกไหมเนี่ย?
“เออ...มิยาจิ...นั้นแม่นาย?” โมริยามถามด้วยสีหน้าเหมือนกำลังสยอง...เขาไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมมิยาจิโหดนัก!
“อื้อ...แม่ฉันเอง” มิยาจิพยักหน้ารับพลางก่อนที่จะชะงักเมื่อ...
“คิโยจางงงงงง!!!” ...มีชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเกาะหลังตนราวกับปลิง! “เป็นอะไรหรือเปล่า?! บาดเจ็บตรงไหนไหม?! ใครทำลูก! เดี๋ยวพ่อจะเอาคืนให้!”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนอกจากลงจากหลังผมเถอะครับ! นี่พ่อคิดว่าตัวเองเบานักหรือไงมาเกะหลังผมเนี่ย!!!” มิยาจิโวยลั่น “แล้วนี่พ่อตามแม่มาด้วยเหรอ!?”
“แน่นอน! ก็เคียวคุงโทรมาบอกพ่อว่าลูกกำลังสติสตางค์หลุดอยู่ที่โรงพักหลังโดนฆาตกรไล่ฆ่ามานิ! พ่อก็รีบมาเลย! แต่แม่เขาเร็วกว่าแถมบอกว่า ‘ไอ้เคียวจัดการน่ะหายห่วงเลย คนร้ายเละแน่...และที่คิโยชิสติหลุดเพราะไอ้เคียวเหมือนเดิมมากกว่า’ น่ะ! และแม่เขาบอกอีกว่าให้พาลูกกลับบ้านไปเลย เดี๋ยวยูจังจะเหงาน่ะ!” ยูโตะอธิบาย
“ผมว่านั้นคือข้ออ้างเพื่อให้แม่จะได้ตื้บชาวบ้านได้โดยพ่อไม่ไปตามป่วนมากกว่า!” มิยาจิเถียงกลับขณะที่ผู้เป็นพ่อลงจากหลังตนและ...เปลี่ยนมาเป็นแบกตนขึ้นบ่าแทน “เฮ้ย! พ่อ! จะทำอะไรเนี่ย!? ปล่อยผมลงนะ!!!”
“ไม่เอา ถ้าปล่อยคิโยจังก็ไม่ยอมกลับบ้านกับพ่อสิ...อีกอย่างถ้าไม่รีบพาลูกกลับไปอยู่บ้านกับยูจังพ่อก็โดนแม่โกรธดิ...” ยูโตะเริ่มออกวิ่ง “...ไม่ต้องห่วง...พอส่งลูกถึงบ้านเสร็จพ่อจะกลับมาช่วยเคียวคุงเขาอยู่น่า ไม่ต้องห่วงว่าแม่เขาจะทำเคียงคุงตายหรอก”
“งั้นให้ผมกลับเองง่ายกว่านะครับ!” มิยาจิโวยลั่น
“เแบบนั้นแม่ก็งอนพ่อสิ แล้วเรื่องอะไรพ่อจะทำให้แม่เขางอน?” ยูโตะยักคิ้วอย่างกวนๆ ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งแบบไม่สนใจเสียงลูกชายตนที่ถูกแบกอยู่บนบ่าเลยแม้แต่น้อย
“...” เด็กหนุ่มสองกับนายตำรวจอีกหนึ่งมองคนที่ถูกแบกไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะหันมามองคนที่กำลังฟัดกันอยู่แทน
“...แบบนี่เคียวซัง...จะรอดไหมครับเนี่ย?” อิสึกิถามทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก
“เอาตามความคิดฉัน...น่าจะไม่” โมริยามะส่ายหน้าไปมา
“แต่ฉันว่ารอด...” นายตำรวจหนุ่ม (เหลือน้อย... #ก้มหลบกะละมัง // s) เอ่ยแย้ง “...เพราะฉันเห็นสองคนนี้สู้กันมาหลายรอบแล้ว ยังไม่เห็นมันตายสักที...เห็นเป็นมากสุดก็มีแต่หัวแตกแค่นั้นเอง”
“งั้นเหรอครับ” โมริยามะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“แสดงว่าหายห่วงสินะครับ...” อิสึกิถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ว่าแต่...เคียวซังบอกว่าเรียกคนมารับโมริยามะซังด้วยนี่ครับ? คิดว่าใครจะมาล่ะครับ? คงไม่ใช่พ่อแม่คุณนะ”
“พ่อแม่ฉันไปเที่ยวกันอยู่ไม่กลับมาง่ายๆ หรอก คนที่มาได้คงมีแต่...รายนั่นล่ะนะ...” โมริยามะยิ้มแห้งๆ เหมือนกำลังนึกภาพคนที่กำลังมาหาตนอยู่ “...หวังว่าคงไม่ไปเดินหลับในที่ไหนอีกนะ”
“รายนั่น?” อิสึกิทวนอย่างงงๆ
“หมายถึง...” โมริยามะทำท่าจะตอบ แต่ว่า...
“ฉันล่ะมั้ง...” ...ดันมีเสียงตอบยานๆ ดังขึ้นพร้อมกับอะไรหนักๆ วางบนบ่าของเด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียว “...นายเองก็นินทาในระยะประชิตจังนะ...เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ยถึงจะเดินหลับใน? ฉันแค่ชอบเหม่อเฉยๆ ไม่ได้หลับในเสียหน่อย”
“...คนที่เคียวซังบอกเป็นพี่จริงๆ ด้วย” โมริยามะมองชายหนุ่มผมสีเดียวกับตนที่เอาคางวางบนบ่าตน...ที่จริงถ้าไม่ติดเรื่องความสูงคาดว่าคงอยากเอาคางวางบนหัวมากกว่าพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ต่างกับอีกสองคนที่สะดุ้งเฮือกกับการมาอย่างไม่ให้ซุมให้เสียงของชายหนุ่ม
“แล้วคิดว่าจะเป็นใครล่ะ? ในเมื่อตอนนี้มีแค่ฉันกับนายอยู่บ้านกันสองคน...” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีนิ่มๆ พร้อมก้มหลบลูกหลงอย่างรวดเร็ว “...อ๊ะ? คิโยมิซังมาด้วยแฮะ...มาฟัดกันเมื่อไหร่กันหว่า?”
“พี่...สองคนนั้นสู้กันตั้งแต่ก่อนพี่มาแล้วนะ...” โมริยามะกรอกตาไปมา “...นี่เดินเหม่อจนมองข้ามสิ่งรอบข้างอีกแล้วสินะ?”
“คงงั้น” ชายเอ่ยพลางหาวเบาๆ ก่อนที่จะ...มีเสียงหวานๆ ลอยแว่วมา
“แกอย่ามายืนหาวแถวนี้ได้ไหม!? เห็นแล้วง่วงตามนะย่ะ!” คิโยมิที่กำลังไล่ตื้บชายหนุ่มผมน้ำตาลหันมาแว๊ดใส่ชายหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวเล็กน้อย
“แหมๆ จะไปบ่นมันทำไมล่ะคิโยมิซัง...ถ้าไอ้โยชิกิมันไม่ยืนเอ๋อเนี่ยก็มันตัวปลอมล่ะ” เคียวเอ่ยอย่างกวนๆ ทำให้...คนที่ถูกเอ่ยถึงคว้าเก้าอี้มาโยนใส่เคียวทันที “เฮ้ย! อันตรายนะเว้ย!”
“ก็ใครใช้ให้ว่ากันก่อนล่ะ?” โยชิกิเอ่ยเสียงเรียบ
“ก็มันจริงนี่หว่า! ตั้งแต่รู้จักแกมายังไม่เห็นวันไหนดูกระตือรือร้นเลย!” เคียวเถียงกลับ
“เออ...ไม่เถียง...” โยชิกิที่ขี้เกียจต่อปากต่อคำหรืออะไรไม่ทราบยักไหล่เล็กน้อย “...นี่...กลับกันเถอะโยชิทากะ ขี้เกียจคอยหลบลูกหลง”
“แต่ฉันว่าแกควรขยับตัวให้มากๆ หน่อยนะย่ะ! เห็นเฉื่อยๆ แบบนี้โคตรขัดตาเลย!” คิโยมิค้อนใส่โยชิกิ แม้สองมือสองเท้ายังไล่ตื้บเคียวอยู่ก็ตาม
“นั้นสิ~~~ วันๆ เห็นวงจรของนายมีแต่ทำงาน กินข้าวและนอนเองนะ~~~ นี่แกจะประหยัดพลังงานตัวเองไปไหนเนี่ย~~~~” เคียวลากเสียงยาวพร้อมหลบหลีกมือเท้าที่ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ผมถือว่าขยับตัวจากเมื่อก่อน 10% แล้วนะครับคิโยทิซัง ส่วนเคียว...คิดซะว่าประหยัดพลังงานไว้ใช้ในอนาคตแล้วกัน...” โยชิกิเอ่ย “...และแทนที่จะมาเหน็บฉันเอาเวลาไปหาทางไม่ให้คิโยมิซังตื้บก่อนเถอะ”
“ถ้าทำได้คิดว่าฉันจะฟัดกับคิโยมิซังให้เหนื่อยเหรอ!?” เคียวโวยกลับ
“ไม่คิดหรอก...” โยชิกิตอบกลับหน้าตาเฉย “...เอาๆ กลับกันเถอะโยชิทากะ...อยู่นานๆ มีแววว่าฉันจะโดนดึงไปร่วมวงฟัดกับสองคนนั้นชอบกล”
“...ตามแต่พี่เถอะ” โมริยามะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันไปยังเด็กหนุ่มหน้าหวาน “ฉันกลับก่อนล่ะอิสึกิคุง...อิสึกิคุงเองก็รีบกลับซะล่ะ ขนาดพี่ฉันรีบหาทางหนีนี่รับรองว่ามีเรื่องปวดจิตหรืออะไรสักอย่างตามมาชัวท์”
...เพราะปกติต่อให้มีเรื่องอะไรก็ยืนนิ่งเป็นหุ่นเลย...ไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งๆ แบบนี้ทำไมพี่ถึงฮ็อดกว่าเขาได้!?...
“...งั้นผมกลับเลยดีกว่า กลัวเจอเรื่องชวนฝันร้ายชอบกล” อิสึกิพยักหน้ารับก่อนที่จะ...รีบเผ่นทันที
“อ้าวเฮ้ย! หนีเร็วแท้!” นายตำรวจมองยังจุดที่เด็กหนุ่มผมดำยืนเมื่อครู่ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปที่เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียว...ซึ่งเดินตามพี่ตนที่เกือบเดินไปชนประตู (?) ไปแล้ว “แบบนี้ฉันควรหนีด้วยไหมเนี่ย?”
นายตำรวจรุ่นใหญที่ถูกทิ้งไว้กับสองคนที่ยังสู้กันไม่เลิกได้เพียงคุมขมับกับเหตุการณ์นี้ โดยมีเสียงข้าวของพังลอยแว่วมาเป็นระยะๆ ...ทำให้เจ้าตัวเตรียมตัวเตรียมใจโดนสอบถามเรื่องข้าวของในสถานีพังไว้ล่วงหน้าเลย
End
แถมนิดหน่อยน่อ
เรื่องในเช้าวันต่อมาของทั้งสามหน่อหล่อเสียของจ้า
ทางโมริยามะ
“เฮ้อ...ให้ตายเถอะ...” เสียงบ่นดังขึ้นมาเบาๆ ภายในโรงยิมที่ว่างจนแทบไร้ผู้คนจากเด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวที่...ขอบตาคล้ำไม่ต่างจากแพนด้าเลย “...สภาพนี่ไปซ้อมจะโดนคาซามัตสึบ่นไหมเนี่ย?”
...ดันนอนไม่หลับเพราะดันหลอนไอ้ฆาตกรใส่หน้ากากผีนั้นซะได้...ตอนแรกคิดว่าเจอเรื่องชวนหลอน (?) อย่างอื่นแล้วจะหายซะอีก...
“เฮ้อ~~~~” โมริยามะถอนหายใจออกมายาวๆ
“ถอนหายใจมากๆ ระวังแก่เร็วนะครับ รุ่นพี่โมริยามะ...” เสียงทักขึ้นมาเบาๆ ทำให้เจ้าของชื่อหันไปมองยังต้นเสียง “...อ้าว? ไหงขอบตาคล้ำแบบนั้นล่ะครับ? นอนดึกเหรอครับ?”
“อา...สวัสดีนากามุระ” โมริยามะเมื่อเห็นว่าใครทักตนก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายตามปกติ “พอดีเมื่อวานนอนไม่หลับนิดหน่อยน่ะ”
“นอนไม่หลับ? อย่างคุณเนี่ยนะครับ?” นากามุระเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจเนื่องจากรู้ว่าปกติอีกฝ่ายปกติเป็นพวกที่หลับง่ายมาก
“อื้อ...พอดีเมื่อวานเจอเรื่องชวนหลอนมาน่ะ” โมริยามะตอบ
“เรื่องชวนหลอนอะไร~~~~ เล่าให้ผมฟังด้วยสิ~~~~” ในระหว่างที่เด็กหนุ่มทั้งสองคุยกันอยู่นั้นก็มีเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับมือที่แตะบนบ่าของทั้งสอง
“หื้อ?” โมริยามะกับนากามุระหันไปมองคนที่จับบ่าตนตามสัญชาตญาณและ... “จ๊ากกกกก!!! / เฮ้ย!!!!”
...ถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อดันหันไปเจอกับหน้ากากผีรูปโครงกระดูกในระยะประชิต!!!
“ฮาๆ ตกใจกันเหรอครับ?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกจากคนใส่หน้ากากผีก่อนที่เจ้าตัวจะดึงหน้ากากที่ใส่ออก เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อออกสวยของเด็กหนุ่มผมเหลือง
“นี่เล่นบ้าอะไรของนายเนี่ย!? คิเสะ!!!” นากามุระค้อนใส่คนที่ทำให้ตนได้บริหารเสียงในยามเช้า
“แหะๆ พอดีไดหน้ากากผีมาจากแฟนคลับเมื่อวานน่ะครับและไม่รู้จะเอามาทำอะไรเลยเอามาแกล้งพวกรุ่นพี่เล่นเนี่ยแหละครับ...” คิเสะเอ่ย “...แล้ว...ไหงวันนี้รุ่นพี่โมริยามะไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ?”
...ถ้าเป็นปกติต้องพูดว่า ‘โธ่! ตกใจหมดเลย! เอาหน้ากากผีมาจากไหนเนี่ย? แต่เอามาก็ดี...เราไปแกล้งคาซามัตสึเล่นกันดีกว่า!!!’ หรืออะไรประมาณนี่สิ! ไม่ใช่เงียบแบบนี้!!! มันน่ากลัวนะเฮ้ย!!!...
“เอ๊ะ?” นากามุระที่เพิ่งรู้ถึงความผิดปกติของรุ่นพี่ตนเช่นกันโบกมือไปมาหน้าคนผมสีดำเหลือบเขียว “รุ่นพี่โมริยามะ? เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“...” โมริยามะนิ่งเป็นหุ่นไปสักพัก ก่อนที่จะ... “...อ...อึก...แงงงงงง~~~~~~!!!”
...ร้องไห้จ้าออกมาเสียดื้อๆ เลย
“อ้าวเฮ้ย! รุ่นพี่โมริยามะเป็นอะไรไป~~~~!?!” เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองที่เพิ่งเคยเจออาการแบบนี้จากรุ่นพี่คนนี้เป็นครั้งแรกสะดุ้งโหยงพร้อมหาทางปรอบกันจ้าล่ะหวั่น
“อ...อย่าร้องสิครับ! วันนี้เป็นอะไรไปครับเนี่ย!?” นากามุระถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้...ปกติโดนแกล้งมากกว่านี้ก็ไม่ยักเห็นว่าจะเป็นไร ไหงวันนี้อยู่ๆ น้ำตาแตกได้เนี่ย!?
“ผ...ผมขอโทษครับ! อย่าร้องสิครับ!” คิเสะที่เป็นดังต้นเหตุเหงื่อแตกพรากพร้อมหาทางปลอบรุ่นพี่ตนสุดฤทธิ์ เสียแต่...ดูจะไม่ได้ผลเลย จนทั้งสองเริ่มหมดปัญญาและในตอนนั้น...
“เฮ้ย! เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!?” ...เด็กหนุ่มผมดำกับเด็กหนุ่มผมสีเปลือกไม้ที่เป็นดั่งตัวช่วย (?) ในยามนี่ได้เดินเข้ามาภายในโรงยิมพอดี
“รุ่นพี่คาซามัตสึ! รุ่นพี่โคโบริ! ช่วยพวกผมด้วยครับ!!!” คิเสะหันไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ทั้งสองของตนทันที
“ห...ห๊า!?” เด็กหนุ่มผมดำหลุดร้องอย่างเอ๋อๆ พลางเหล่มองไปยังคนที่ร้องไห้ไม่หยุด “เฮ้ย! เกิดอะไรวะ!? ไหงโมริยามะมันน้ำตาแตกแบบนั้นล่ะ!?”
“โดนคิเสะเอาหน้ากากผีมาแกล้งน่ะครับ!” นากามุระตอบสั้นๆ
“นี่ก่อเรื่องอีกแล้วเหรอห๊า!!? คิเสะ!” เมื่อรู้ว่าสาเหตุมาจากใครเจ้าตัวก็ยกเท้าถีบคนผมเหลืองทันที
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ!” คิเสะเถียงกลับ...ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาไม่เอามาเล่นหรอก!
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลย! มาช่วยปลอบโมริยามะก่อน! คาซามัตสึเองก็อย่ามัวถีบคิเสะสิ!” โคโบริทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยตามหน้าที่ (?) พลางหาทางปลอบเพื่อนตัวเอง
“โอเคๆ” คาซามัตสึขานรับพร้อมช่วยปลอบอีกคน...และจากนั้นแทบทั้งทีมตัวจริงของทีมบาสไคโจวลามไปถึงผู้เป็นโค้ช (ที่ตามมาทีหลัง) ก็พากันมาช่วยปลอบโมริยามะทั้งหมู่แทนที่จะมาทำการซ้อมตอนเช้าแบบปกติ
จนสุดท้าย...กว่าที่จะปลอบกันได้ก็ต้องทำถึงขั้นต้องโทรเรียกพี่ชายของโมริยามะมาช่วยปลอบแล้วจากนั้นเหล่าทีมตัวจริงทีมบาสไคโจถึงได้รู้สาเหตุที่เด็กหนุ่มผมดำเหลือบเขียวน้ำตาแตกนั้นจากนายโมริยามะ โยชิกินั่นเอง
ทำให้คิเสะถึงกับรีบขอโทษรุ่นพี่ตนเองจนแทบกลายเป็นเห็ดขอขมา (ซากุราอิ) เลยทีเดียว และคาดว่า...ทุกคนคงไม่เอาหน้ากากผีมาเล่นกับโมริยามะอีกนานเลย
ทางมิยาจิ
“เฮ้ พี่...ถ้าไม่ไหวให้ผมลาให้พี่วันนี้ก็ได้นะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งเอ่ยพลางมองหน้าผู้เป็นพี่ตนที่ยามนี้โทรมจนไม่รู้จะว่ายังไงเลย แถมเดินเซไปเซมาจนแทบชนเสาไฟอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอกน่า...ฉันยังไหว...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งอีกคนที่ผมยาวกว่าคนแรกเอ่ย
“แต่สภาพพี่เนี่ยผมว่าไม่ไหวแล้วนะ หน้ายังกับจะเป็นลมได้ทุกเมื่อเนี่ย...” มิยาจิ ยูยะส่ายหน้าไปมาด้วยความปลงกับพี่ตน “...แล้วเมื่อคืนได้นอนหรือเปล่าเนี่ย? ตาดำเป็นแพนด้าเชียว”
“ไม่...พอดีหลอนกับไอ้บ้าในบ้านร้างจนนอนไม่หลับน่ะ...” มิยาจิ คิโยชิตอบพลางหาวออกมาทีหนึ่ง “...คิดว่าเจอเรื่องชวนปวดหัวจากพ่อแม่ทุกวันแล้วจะไม่เป็นไรเสียอีก...กลายเป็นว่ายังทำให้รู้สึกหลอนได้อีก”
“สมควรล่ะ ก็กรณีที่พี่ไปเจอเมื่อวานกับพ่อแม่ตีกันมันต่างกันนิ” ยูยะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ที่จริงเขาแค่ฟังเรื่องเล่าต่อจากพ่อจากแม่และพี่อีกทียังอดกลัวนิดๆ ไม่ได้เลย แล้วคนที่เจอกับตัวเองจะๆ มันจะเหลือเหรอ?
“ก็นะ” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อยและในตอนนั้น...
“มิยาจิซางงงงงง” ...ก็มีเสียงอันรื่นเริงที่แสนคุ้นหูลอยมา “ดูนี่หน่อยสิคร้าบบบบ”
“หื้อ? อะไรทาคา...” มิยาจิหันไปยังต้นเสียงพลางจะเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่ถึงกับตัวแข็งทื่อในเวลาต่อมาเมื่อหันไปแล้วดันเห็นหน้ากากผีรูปโครงกระดูกในระยะประชิตก่อนที่จะ... “แว๊ดดดดด!!!!! ไอ้/’%€(&/€¥)?&<○>♡¤□”
...ร้องลั่นก่อนที่จะตามด้วยคำด่าสารพัดพร้อมกับมือทั้งสองรีบคว้าทุกอย่างใกล้ตัวปาใส่อีกฝ่ายทันที
“เหวอ! ทำอะไรครับเนี่ยมิยาจิซัง! อันตรายนะครับ!!!” คนที่ใส่หน้ากากผีร้องลั่นพร้อมก้มหลบข้าวของที่ถูกโยนมา
“อะจึ๋ย! โยนมานี่ถึงตายนะครับ!!!” เด็กหนุ่มผมเขียวที่อยู่ด้านหลังคนใส่หน้ากากผีรีบหลบหลังเสาไฟทันทีเมื่อคนผมสีน้ำผึ้งเอาฝาถังขยะใกล้ๆ มาร่อนใส่
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ ก่อนพี่! อย่าเพิ่งสติแตกดิ! นั่นทาคาโอะนะ! ทาคาโอะน่ะ!” ยูยะรีบล็อกแขนพี่ตนไว้ก่อนที่จะปาอะไรใส่ชาวบ้านอีก “นายเองก็รีบถอดไอ้หน้ากากบ้านั่นออกเซ่! ทาคาโอะ! เดี๋ยวโดนอะไรปาใส่หัวอีกหรอก!!!”
“ค...ครับ!” คนที่ถูกเอ่ยถึงขานรับพร้อมรีบถอดหน้ากากผีออกทันที เผยให้เห็นดวงหน้าใสๆ ของเด็กหนุ่มผมดำ ดวงตาสีฟ้าอมเทาจ้องที่คนที่ปาของใส่ตนเมื่อครู่อย่างหวั่นๆ
“...” มิยาจิเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นน้องของตนจริงๆ ก็เริ่มสงบสติอารมณ์ของตนลงได้ “...เล่นบ้าอะไรของนายเนี่ย? ตกใจหมด”
“ผมมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายตกใจน่ะ...ไม่คิดว่าแค่นี้มิยาจิซังจะตกใจขนาดนี้นี่นา” ทาคาโอะถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าตนรอดจากข้าวของบิน (?) แล้ว
“นั้นสิครับ...ปกติโดนแกล้งแค่นี้มิยาจิซังไม่เห็นจะตกใจอะไรเลยนี่ครับ?” เด็กหนุ่มผมเขียวค่อยๆ กระดึบออกมาจากหลังเสาไฟ
“ที่จริงถ้าเป็นวันอื่นคงไม่เป็นไรหรอก แต่ดันมานึกคึกแกล้งกันวันนี้นี่สิ...” ยูยะบ่นขึ้นมาเบาๆ “...และผมว่าพี่กลับไปนอนบ้านเถอะวันนี้...แค่ทาคาโอะแกล้งแค่นี้ยังสติแตกแล้ว ถ้าเกิดมีคนอื่นนึกคึกแกล้งพี่อีกล่ะก็โรงยิมเละแน่”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ผมว่ายูยะซังพูดถูกนะครับ...มีแววว่าถ้ามีคนแกล้งแบบเดียวกับผมเมื่อครู่มิยาจิขวางปาทุกอย่างใส่จนโรงยิมพังชอบกล” ทาคาโอะที่เกือบถึงฆาต (?) เอ่ย
“แถมมิยาจิซังยังโทรมยังกับคนอดนอนมาสามวันสามคืนแบบนี้ ต่อให้ไปก็โดนโค้ชไล่ไปพักที่ห้องพยาบาลอยู่ดีนั้นแหละครับ” มิโดริมะมองรุ่นพี่ที่ไม่ว่ายังไงในยามนี่บอกได้คำเดียวว่าโทรมสุดๆ พลางฉกหน้ากากผีซึ่งเป็นลักกี้ไอเทมของตนในวันนี้คืนจากทาคาโอะ
“ฉันม...” มิยาจิทำท่าจะเถียงกลับ แต่ว่า...
“ถ้าพี่ไม่ยอมกลับไปนอนดีๆ ผมจะโทรบอกแม่กับพ่อว่าเมื่อคือพี่หลอนกับเรื่องเมื่อวานจนไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วดันดื้อจะมาซ้อมชมรมนะ” ...ยูยะดันเอ่ยดักอย่างรู้ทันขึ้นมาเสียก่อน
“...ชิ...กลับไปนอนบ้านก็ได้” มิยาจิทำหน้ามุ่ยเนื่องจากรู้ดีว่าถ้าน้องตนโทรไปบอกจริงๆ ล่ะก็...ร้อยทั้งร้อยพ่อเขาจะวิ่งมาดูว่าพูดจริงหรือเปล่าและเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องจริงก็จะแบกเขากลับบ้านิสียดื้อๆ แบบไม่แคร์ใครทั้งสิ้น ส่วนแม่จะตามมาอัดเขาต่อจะได้นอนยาวๆ ไม่ลากสังขารไปไหนอีก...
...ซึ่งแน่นอนว่าเขายังไม่บ้าพอหาเรื่องให้ตัวเองโดนแม่อัดหรอก!
“ดี กลับไปนอนเลย...แล้วคราวนี้กินยาแก้ปวดสักสองเม็ดล่ะ จะได้ไม่ฝันร้ายจนหลอนอีก” ยูยะเอ่ยแบบกึ่งไล่อีกฝ่าย “แล้วนี่ผมต้องไปส่งไหม?”
“ไม่ต้องหรอกน่า ฉันกลับเองได้” มิยาจิค้อนใส่ยูยะที่ถามราวกับตนเป็นเด็กก่อนที่หันหลังเดินกลับไปบ้านตัวเองแทน ทว่า...
“แต่พ่อว่าไม่น่าไหวนะ...เดี๋ยวพ่อพากลับดีกว่า” ...ดันมีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างของมิยาจิ คิโยชิโดนใครสักคนแบกขึ้นมาในเวลาต่อมา
“เฮ้ย! มาไงเนี่ย!? ไม่ใช่ไปทำงานอยู่เหรอ!?” สองพี่น้องมิยาจิร้องลั่นเมื่อเห็นว่าใครมา
“อ๋อ พอดีวันนี้คนจากบริษทใหญ่มาตรวจที่ทำงานพ่อน่ะ ทุกคนเลยบอกว่า ‘เชิญกลับไปบ้านเลย วันนี้อย่ามาป่วนที่ทำงานเลย ขอล่ะ’ แล้วก็ไล่พ่อกลับมาเนี่ย...” มิยาจิ ยูโตะตอบอย่างตรงไปตรงมา “...และตอนกำลังเดินอยู่ก็เห็นคิโยจังกำลังขวางข้าวของบินอยู่น่ะ พ่อเลยแอบดูแอบฟังมันซะเลย”
“นี่แสดงว่าอยู่มาตั้งแต่แรกแล้วเหรอครับ!?” ยูยะทำหน้าเหมือนจะเป็นลม...ถ้าอยู่ทำไมไม่ช่วยกันป้ามเล่า! ปล่อยให้พี่เกือบโยนของใส่หัวทาคาโอะแตกไปทำไม?!
“อ่ะๆ! อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนอยากบ่นพ่อดิ พ่อกลัวนะ...” ยูโตะทำเสียงกวนโอ๊ยใส่ “...เอาเป็นว่าตั้งใจซ้อมดีๆ ล่ะ พ่อขอพาคิโยจังกลับบ้านก่อน...ไปล่ะ!!!”
“เฮ้ย! เดี๋ยวพ่อ! ปล่อยผมลงนะ!!! ผมเดินเองได้~~~~!!!” มิยาจิร้องหลงเมื่อยูโตะเริ่มออกวิ่ง แต่อนิจา...ผู้เป็นพ่อมิได้สนใจเสียงโวยวายของลูกชายตนเลยแม้แต่น้อย
“...” ยูยะมองพ่อและพี่ชายของตนวิ่งกลับบ้านกันไปนิ่งๆ ก่อนที่จะเบนสายตามาที่รุ่นน้องสองหน่อของตนที่ยืนเอ๋อกันอยู่ “...เรารีบไปซ้อมกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวโค้ชโวยเอาหรอก...ส่วนเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี่ไว้ค่อยถามทีหลังแล้วกันนะ”
“อ...อา ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับก่อนที่จะพากันเดินไปโรงเรียนกับยูยะ แม้จะสมองยังเอ๋อๆ งงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กตาม
ทางอิสึกิ
“นี่...ฟุริ...” เด็กหนุ่มหน้าหวานสะกิดไหล่คนผมน้ำตาลที่กำลังซ้อมอยู่เบาๆ “...เมื่อวานเคียวซังกลับบ้านครบสามสิบสองดีไหม?”
“เอ๋? พี่น่ะเหรอครับ?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลหรือฟุริฮาตะ โคกิทวนอย่างงงๆ เล็กน้อย
“ก็เคียวซังนั้นแหละ” อิสึกิพยักหน้ารับ
“ครบสามสิบสองดีครับ แต่ตอนกลับมาเละนิดหน่อย...” ฟุริฮาตะตอบไปตามตรง “...แล้วรุ่นพี่ล่ะครับ? เป็นไงบ้าง?”
“เรื่องอะไรเหรอ?” อิสึกิถามกลับ
“ก็เรื่องเมื่อวานไงครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“เคียวซังเล่าให้ฟังสินะ?” อิสึกิเดาได้เลยว่านายฟุริฮาตะ เคียวนั้นย่อมเล่าเรื่องเมื่อวานให้ผู้เป็นน้องฟังเองแน่ๆ
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ “แล้วรุ่นพี่โอเคดีหรือเปล่าครับ? คงไม่ได้ไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วฝืนมาซ้อมนะครับ?”
“เปล่าหรอก ฉันสบายดีและไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับหรือหลอนกับไอ้เรื่องที่เจอด้วย...” อิสึกิยิ้มแห้งๆ “...พอดีเมื่อวานกลัวนอนไม่หลับเลย...เอาคุกกี้ที่โค้ชทำมาให้มากินน่ะ”
“จากนั้นสลบยันเช้าเลยสินะครับ” ฟุริฮาตะไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่รุ่นพี่ตนไม่ฝันร้ายหรืออะไรเลย เพราะของที่โค้ชตนทำให้กินแต่ล่ะอย่างรับรองเลยว่าทำให้สติบินไปชัวท์ๆ
“ถูกเผงเลย” อิสึกิเอ่ย “แต่ที่น่าห่วงคือมิยาจิซังกับโมริยามะซังมากกว่า...ฉันว่าวันนี้สองคนนั้นโทรมจนไม่รู้จะโทรมยังไงแน่”
“ตามที่ฟังพี่เล่ามา...ผมว่าคงหลอนจนนอนไม่หลับกันทั้งคู่นั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“นั้นสิเนอะ” อิสึกิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางนึกถึงรุ่นพี่ต่างโรงเรียนของตนทั้งสอง...ด้วยความสงสารสุดแสนที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้โดยไม่มีวิธีแก้อาการหลอนแบบเขา (หรือเอาชัดๆ คือ...นายกำลังบอกว่าคุกกี้ที่ริโกะทำหลอนบวกสยองกว่าว่างั้น? // s , คิดว่าไงก็ตามนั้นแหละ // อิสึกิ)
...หวังว่าสองคนนั้นจะหายหลอนกันเร็วๆ นะ...
พอดีขี้เกียจหารูป เลยเอามุขที่เราเคยเอาลงเพจมาลงแทน
ไม่ว่ากันเนอะ?...ก็ครบสามหน่อเหมือนกันอ่ะนะ
ความคิดเห็น