คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #168 : [TakaFuri] 起点
Title : 起点
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Takao x Furihata
Notes : กลับมาแล้ว...พร้อมกับฟิคตามรีเควสของ Natthathida Ruampoom จ้า อาจมึนๆ เมาๆ หน่อยไม่ว่ากันน้า
.....................................................................................
起点
เสียงจอแจดังขึ้นไม่ได้ศัพท์จากผู้คนภายในย่านการค้าที่แออัดไปด้วยผู้คนเนื่องจากเป็นวันหยุดทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียตะโกนขายของหรือแม้แต่เสียงโฆษณาสินค้า แต่คงไม่มีเสียงใดดึงความสนใจของชาวบ้านเท่า...
“ชินจังบ้าที่สุด!!!” ...เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มผมดำซึ่งกำลังเดินหน้าหงิกราวคนโดนหวยกิน ดวงตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววหงุดหงิดเสียจนคนรอบข้างต่างพากันหลีกทางให้โดยสัญชาตญาณเพิ่มความมาคุให้เด็กหนุ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
...ให้ตายเถอะ...เป็นคนชวนมาแท้ๆ แค่เจออาคาชิก็ดันหนีไปเที่ยวกับอาคาชิแล้ว! ทิ้งเขาไว้เฉยเลย!...
ทาคาโอะ คาซึนาริตัวจริงปีสองของทีมบาสชูโตกุคิดอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงเพื่อนหัวเขียวของตนพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “เฮ้อ...เอาเถอะ ตั้งค์ค่ารถมานี่ก็เสียไปแล้ว งั้นเดินเล่นหน่อยแล้วกั...”
“เฮ้ย! ระวัง!!!” ระหว่างที่ทาคาโอะกำลังปลงกับชะตากรรมของตนเอง (?) อยู่นั้นเสียงตะโกนของใครสักคนก็ดังขึ้นพร้อมกับมีบางอย่างพุ่งเข้ามาหา
“อ่ะ!” ทาคาโอะรีบรับวัตถุทรงกลมสีส้มได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาสัฟ้าอมเทามองสิ่งที่ตนรับเมื่อครู่อย่างงงๆ
...ลูกบาส? ลอยมาจากไหนเนี่ย?...
“ขอโทษนะคร...” ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั่นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่ดูท่าจะเป็นเจ้าของลูกบาสวิ่งมาหาก่อนที่จะชะงักกึกเมื่อเห็นหน้าของทาคาโอะ “...ค...คนจากชูโตกุ!?”
“เอ๋? นาย...ตัวสำรองของเซย์ริน?” ทาคาโอะเอียงคอน้อยๆ ...ถ้าจำไม่ผิดนี่คือคนที่ประกบกัปตันทีมหัวแดงของราคุซันปีก่อนสินะ? “นายมาทำอะไรที่นี่อ่ะ?”
“มาเล่นสตรีทบาส แต่ว่า...” คนผมน้ำตาลยิ้มแห้งๆ ให้คนผมดำพลางชี้ไปยังสนามบาสใกล้ๆ พร้อมกับที่ก้อนกรวดเล็กๆ ก้อนหินถูกโยนมากระทบด้านหลังศีรษะตน “...โดนไล่ซะแล้ว แฮะๆ”
“...ทำไมโดนไล่ล่ะ?” ทาคาโอะขมวดคิ้วเป็นปมพลางมองไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ซึ่ง...กำลังโห่ไล่คนผมน้ำตาลอย่างสนุกสนานเลย
“เห็นบอกว่าฉันอ่อนไปน่ะ เปลื้องพื้นที่สนามเปล่าๆ” ฟุริฮาตะ โคกิตัวสำรองของทีมบาสเซย์รินตอบไปตามตรงตามประสาคนซื่อ (บื้อ) ก่อนที่จะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินไปหาพวกที่โห่ไล่ตน “เฮ้ยๆ! เดี๋ยวๆ! นายจะทำอะไรน่ะทาคาโอะ!?”
“จะไปจัดการพวกนั้นสิ กล้าดียังไงทำตัวเป็นเจ้าสนามแบบนี้” ทาคาโอะทำหน้าทะมึนด้วยความที่ไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“อย่าเลยทาคาโอะ! ทางนั้นพวกมากกว่านะ!” ฟุริฮาตะรีบคว้าแขนคนที่สูงกว่าตนไม่กี่เซน (ตั้งหกเซนนะ... // s , ไม่ต้องมาแกล้งฉันเลย! // ฟุริฮาตะ) ก่อนที่จะไปต่อยตีกับใครเข้า
“ช่างมันดิ” ทาคาโอะเอ่ย
“เดี๋ยวๆๆๆๆ! เดี๋ยวก่อน! ฉันว่าเราไปทางนู้นกันเถอะ!!!” ฟุริฮาตะดึงแขนของทาตาโอะไว้ก่อนที่จะลากออกห่างจากสตรีทบาสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้นายหัวเหม่ง (?) ไปชกต่อยกับใครเข้าจริงๆ ...และจนแล้วจนรอดในท้ายที่สุดคนผมน้ำตาลก็พาทาคาโอะเข้าไปนั่งในแคทคาเฟ่แห่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะทำให้อารมณ์เดือดๆ ของอีกฝ่ายลดลงได้
“นี่นาย...คิดจะปล่อยไอ้พวกที่สตรีทบาสนั้นไปจริงๆ ดิ?” ทาคาโอะที่โดนลากมานั่งในแคทคาเฟ่อย่างไม่เต็มใจนักเอ่ยถาม “ไอ้พวกนั้นน่ะมันต้องสั่งสอนสักรอบสิ ไม่งั้นก็ดีแต่ข่มชาวบ้านดิ”
“แต่ถ้านายไปมีเรื่องกับเขามีแว่วว่าจะโดนตื้บจมดินมากกว่า” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ ...เขาเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคนที่ปกติดูลั้นลาอย่างทาคาโอะจุดเดือดต่ำขนาดนี้ “ว่าแน่ถามจริงเถอะ...คิดอะไรถึงจะไปมีเรื่องกับเขาเนี่ย?”
“ก็ฟังเหตุผลที่โดนไล่จากสตรีทบาสมันน่าโมโหนี่นา...มันทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนขึ้นมาตงิดๆ ด้วย” ทาคาโอะเอ่ย...ว่าตามจริงคือเมื่อก่อนเขาเคยโดนคนแบบนี้ไล่แกล้งเสียจนเกือบเลิกเล่นบาสด้วยซ้ำ พอเจอคนที่เจอสถานการณ์เดียวกันแบบนี้มันเลยอดไม่ได้จริงๆ
“นายไม่คิดเหรอว่าฉันอาจโกหกนายให้นายไปจัดพวกนั้นแทนฉันน่ะ?” ฟุริฮาตะถาม
“นายคิดว่าหน้านายโกหกเนียนนักเหรอ?” ทาคาโอะถามกลับอย่างทันทวนที
“แฮะๆ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ อย่างเถียงไม่ออก...เพราะมีหลายคนบอกมาเหมือนกันว่าหน้าเขาอ่านออกง่ายๆ สุดๆ ไปเลย
“เฮ้อ...” ทาคาโอะยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับคนตรงหน้าก่อนที่จะ...หลุดร้องออกมาเมื่อมีแมวตัวหนึ่งกระโดดตะปบตน “เหวอ! อะไรเนี่ยเจ้าเหมียว?”
“มี้~~~” เจ้าแมวขนยาวฟูสีเหลืองส่งเสียงร้องเบาๆ พร้อมเอาอุ้งเท้าน้อยๆ เขี่ยๆ บริเวณหน้าอกของคนผมดำ
“เหมือนมันจะบอกว่าอยากได้ของในกระเป๋าเสื้อนายนะ” ฟุริฮาตะมองปฏิกิริยาของแมวน้อยพร้อมเอ่ยความเห็นออกมา
“ในกระเป๋าเสื้อ?” ทาคาโอะเลิกติ้วขึ้นเล็กน้อยพลางหยิบของในกระเป๋าเสื้อตนออกมา...ถ้าจำไม่ผิดเขาเก็บลักกี้ไอเทมที่เพื่อนผู้แสนบ้าดวงของเขาให้มาไว้นี่นะ? “ของเล่นแมวเนี่ยนะ? เจ้านี่รู้ได้ไงเนี่ย?”
“คงดมกลิ่นเอามั้ง” ฟุริฮาตะมองเจ้าแมวน้ำที่ไล่ตะปบของเล่นในมือทาคาโอะอย่างขำๆ
“แมวนะ ไม่ใช่หมา” ทาคาโอะกรอกตาไปมาพลางมองคนผมน้ำตาลที่...มีแมวจำนวนมาเกาะอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จนราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังใส่ชุดลายแมวอยู่ “ว่าแต่...นายนี่เสน่ห์แรงดีเนอะ มาเกาะนายเต็มเลย”
“ล่ะมั้งนะ” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ พร้อมลูบหัวลูบตัวเจ้าแมวแต่ล่ะตัวที่มาเกาะตนด้วยสีหน้าอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนดวงหน้าแสนธรรมดา และนั่นทำให้ทาคาโอะอดคิดไม่ได้ว่า...
...แม่เจ้า...หมอนี่ยิ้มน่ารักโครตเลยแฮะ!...
“นี่ ทาคาโอะ...” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วจ้องมองที่คนผมดำที่กำลังเพ้อ (?) อยู่ “...ทำไมจ้องฉันงั้นอ่ะ? มีอะไรติดหน้าฉันอยู่เหรอ?”
“อ่ะ! เปล่าๆ ไม่มีหรอก” ทาคาโอะเมื่อรู้ตัวว่าจ้องอีกฝ่ายนานเกินไปแล้วบอกปัดๆ “เออ จริงสิ...ฉันยังไม่รู้ชื่อนายนี่หว่า บอกหน่อยสิ นายรู้ชื่อฉันคนเดียวมันขี้โกงนะ”
“หื้อ?” ฟุริฮาตะทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั่นยังไม่รู้จักชื่อของตนเลย “โทษทีๆ ลืมบอกไป ฉันฟุริฮาตะ โคกิ...ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อื้อ! ยินดีที่ได้รู้จัก!” ทาคาโอะส่งยิ้มร่าให้อีกฝ่าย “นี่ๆ โคจัง...ไปเที่ยวเล่นด้วยกันดีไหม?”
“เอ๊ะ?” ฟริฮาตะหลุดร้องออกมาด้วยความงุนงงที่อยู่ๆ อีกฝ่ายชวนเที่ยว แถมยังถือวิสาสะเรียกตนอย่างสนิกสนมหน้าตาเฉย...ถึงเขาไม่ถือเรื่องนี้ก็เถอะ
“คือว่า...ฉันโดนชินจังชวนมาหาลักกี้ไอเทมน่ะ แต่พอหมอนั่นเจออาคาชิเข้าก็ปล่อยเกาะฉันเฉยเลยอ่ะ” ทาคาโอะอธิบาย “จะกลับบ้านตอนนี้ก็เสียดายค่ารถ จะเดินคนเดียวกันน่าเบื่อไปหน่อย เพราะงั้นไปเดินเป็นเถอะนะๆๆๆๆ”
...อีกอย่าง...นายดูน่าสนใจดี เพราะงั้นขอเกาะติดหน่อยนะ!...
“เออ...” ฟุริฮาตะมองดูอีกฝ่ายที่ทำเสียงออดอ้อนชนิดที่ว่าถ้าเพื่อนผมฟ้าของตนมาได้ยินคงไม่พ้นกัดใส่รายนี่สักแผลสองแผลแน่ด้วยอาการอ่อนใจเล็กน้อย “...ก็ได้”
“เย้! ขอบใจนะ!” ทาคาโอะยิ้มแฉ่งยิ่งกว่าเดิม “งั้นเล่นกับเจ้าเหมียวเสร็จก็ไปต่อเลยเถอะ!”
“อื้ม” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ ทั้งคู่นั่งเล่นเจ้าแมวเหมียวน้อยใหญ่อยู่สักพักก่อนที่จะเดินออกจากร้านและหลังจากที่ออกจากแคทคาเฟ่มา ทาคาโอะก็พาฟุริฮาตะลากไปนู้นไปนี่ราวกับเด็กๆ ที่แสนซุกซน...แบบพลังงานเหลือล้นเลยล่ะ
“โคจังๆ ไปแวะร้านนู้นกัน!” ทาคาโอะดึงแขนคนผมน้ำตาลเบาๆ
“เดี๋ยวสิทาคาโอะ...พักหน่อยเถอะ...” ฟุริฮาตะเอ่ยปนหอบนิดๆ หลังจากโดนลากให้เดินมาหลายชั่วโมง
“อ่ะ! โคจังเหนื่อยเหรอ?” ทาคาโอะเอียงคอน้อย...เขาลืมไปเลยว่ารายนี่ยังเป็นคนไปปกติไม่เหมือนเพื่อนหัวเขียวของเขา (?) “ถ้างั้นพักก่อนแล้วกัน”
“...อื้ม” ฟุริฮาตะที่เหนื่อยจนขี้เกียจตอบอะไรมากมายพยักหน้ารับ ทางทาคาโอะเองเมื่อเห็นดังนี้ก็พาฟุริฮาตะไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ เพื่อพักผ่อน แต่แล้ว...
“อ่ะ!” ...ดันมาป่ะหน้ากับคนสองคนที่ไม่อยากเจอเอาเสียเลย...ก็ใครใช้คนที่เด็กหนุ่มทั้งสองมาเจอคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ไล่ฟุริฮาตะออกจากสตรีทบาสก่อนหน้านี้ล่ะ!?
“อ้าว? ไอ้หนูเมื่อเช้านี่หว่า?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยพลางมองฟุริฮาตะที่สะดุ้งโหยงเมื่อถูกเอ่ยทัก
“...คุณคงจำคนผิดแล้วครับ ผมจำไม่เห็นได้ว่าเคยเจอคนหน้าแบบนี้ ขอตัวครับ...ไปเถอะโคจัง” ทาคาโอะมองชายหนุ่มอย่างเย็นชาก่อนที่จะจูงมือฟุริฮาตะทีเริ่มสั่นกลัวออกจากสวน...
...ให้ตายเถอะ อุตสาห์ได้เที่ยวสนุกๆ แท้ๆ ดันมาเจอพวกนี่ทำให้เสียอารมณ์ซะได้...
“เดี๋ยว...ใครบอกให้ไปได้ห๊าไอ้หนู!” หากแต่ไม่ทันได้เดินไปไหนไกล หนึ่งในชายหนุ่มสองคนก็คว้าข้อมือฟุริฮาตะไว้เสียก่อน
“กรุณาปล่อยเพื่อนผมด้วยครับ” ทาคาโอะเอ่ยเสียงนิ่ง คล้ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้โดดถีบคนตรงหน้า
“ทำไมต้องปล่อยด้วยล่ะ?” ชายหนุ่มสวนกลับอย่างกวนส้นสุดแสน
“เออ...ขอโทษนะครับ...” ฟุริฮาตะที่เห็นเค้าความซวยลอยมาแต่ไกลๆ พยายามหาทางแก้สถานการณ์นี้สุดฤทธิ์ “...คือ...พวกผมมีธุระต้องรีบไป กรุณาปล่อยได้ไหมครับ?”
“ไม่สนเว้ย!” ชายหนุ่มบีบข้อมือคนผมน้ำตาลแน่นขึ้นเสียจนคนโดนจับเริ่มหน้าเบี้ยว
“...” ทาคาโอะมองชายหนุ่มทั้งสองอย่างไม่พอใจนัก
“มองทำไม? มองหาเรื่องหรือไงห๊า?” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามอย่างหาเรื่อง
“ถ้าไม่อยากให้มองก็ปล่อยเพื่อนผมสักทีสิครับ แล้วผมจะไม่มองให้เปลื้องลูกตาเลย” ทาคาโอะตอบไปแบบ...เจ็บถึงทรวงเลยทีเดียว
“ว่าไงนะ!?” ชายหนุ่มทั้งสองแยกเขี้ยวใส่คนผมดำ
“ก็อย่างที่พูดนั้นแหละครับ หูตึงจนไม่ได้ยินเหรอ?” ทาคาโอะยักคิ้วกวนๆ ก่อนที่จะ...เอาปากกาทิ่มมือที่จับฟุริฮาตะไว้อย่างแรงจนมือนั้นเริ่มคลายออก และเด็กหนุ่มก็ใช้จังหวะนี้พาฟุริฮาตะหนีไปในทันที
“เฮ้ย! อย่างหนีนะเว้ย!” ชายหนุ่มทั้งสองที่เห็นว่าเหยื่อของตนหลุดมือไปแล้วรีบวิ่งตาม
“ให้ตายสิ...ทำไมฉันเจอพวกบ้าสมองฟ่อเยอะจังวะวันนี้? นี่คนที่ห้าแล้วนะ...” ทาคาโอะบ่นอุบอิบ...ตั้งแต่ออกจากบ้านมานี่มีคนมาหาเรื่องเขาตลอดเลยสิน่าวันนี้
“ก็ม...” ฟุริฮาตะแอบเหล่มองคนที่วิ่งตามตนเล็กน้อยก่อนที่จะเบิกตากว้างและ...ผลักอีกฝ่ายออกไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว “ระวัง!”
“อ่ะ!” ทาคาโอะชะงักไปชั่วครู่เมื่อถูกผลักออกแบบไม่ทันตั้งตัว ขณะที่มีบางอย่างเฉี่ยวหน้าตนไปโดยที่ร่างอีกฝ่ายรับสิ่งนั่นไปเต็มๆ ดวงตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างมองร่างที่ค่อยๆ ร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมกับหยาดน้ำสีแดงเข้มที่กระเด็นมาเปอะหน้าตนเล็กน้อย ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนที่อยู่รอบๆ “โค...จัง?”
“ในที่สุดก็หยุดสักทีนะ ไอ้เด็กบ้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยปนหอบเล็กน้อยพลางใช้ไม้เปื่อยเลือดในมือต่างไม้เท้า แบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านนับร้อยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เพิ่งก่อเรื่องอุตอาจกลางเมืองแท้ๆ
“...” ทาคาโอะมองคนที่ช่วยตนไว้อย่างตกตะลึงก่อนที่จะหันไปมองตัวต้นเหตุอย่างเย็นชา “...นี่แก...ทำบ้าอะไรของแก?”
“ก็อยากหนีเองนี่หว่า” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
“งั้นเหรอ...” ทาคาโอะเอ่ยด้วย...น้ำเสียงที่เย็นชามากเสียจนน่าขนลุกแล้วพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม “...งั้นนี่...ถือว่าแกทำตัวเองด้วยแล้วกัน!”
“อะ...” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้โต้กลับอะไรก็โดนเตะก้านคอจนสติบินไปเสียก่อน
“นี่คือค่าเสียหาย...ที่บังอาจมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าฉัน” ทาคาโอะแค่นเสียงเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอมเทาตวัดไปยังอีกคนที่ยืนหน้าซีดอยู่...ดูท่าพวกนี่คงคาดไม่ถึงว่าเขาจะชำนาญเรื่องชกต่อยชาวบ้านพอดูสินะ? “ส่วนนาย...ถือว่ายังไม่ได้ทำอะไนอกจากดู งั้นเอาแบบเบาะๆ และกันเนอะ?”
“เหวอ! ปีศาจ!!!” ชายหนุ่มที่เห็นท่าไม่ดีก็พยายามที่จะหนี เสียแต่ทาคาโอะพุ่งเข้าไปต่อยท้องเสียสติบินไปอีกคนเสียก่อน
“เฮ้อ...ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากมีเรื่องแท้ๆ” ทาคาโอะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเดินไปอุ้มร่างของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่สลบอยู่ขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “อื้ม...ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้มีโรงพยาบาลอยู่สินะ?”
...ว่าแต่...ทำไมตัวโคจังหอมจังหว่า? ใช้สบู่ยี่ห้อไหนเนี่ย? ไม่คุ้นกลิ่นเลย...
เด็กหนุ่มคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่อุ้มร่างที่หมดสติของคนผมน้ำตาลไปยังสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โดยหาได้สนคนที่ตนอัดสลบไปทั้งสองแม้แต่น้อย
ในยามสายอันแสนสดใส ลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้พลิพัดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาภายในห้องสีขาวห้องหนึ่งที่มีเด็กหนุ่มผมดำกำลังนั่งจ้องดวงหน้าของร่างซึ่งนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยฉายแววเป็นกังวลอย่างชัดเจน...ในตอนนี้ทาคาโอะ คาซึนาริกล้าบอกอย่างเต็มปากเลยว่าไม่เคยมีครั้งใดที่รู้สึกกังวลเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ขนาดตัวเองโดนชาวบ้านดักทำร้ายยังไม่รู้สึกกังวล เครียด จิตตกเท่านี้เลย...
...แต่กับร่างที่นอนบนเตียงซึ่งช่วยเขาไว้นั้นไอ้ความรู้สึกในข้างต้นนั้นกลับเกิดขึ้นทั้งหมด...ยิ่งอีกฝ่ายหลับไปนานเท่าไหร่ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มใจเสียเท่านั้น
“นี่โคจัง...ตื่นสักทีสิ หลับนานไปแล้วนะ...” ทาคาโอะบ่นขึ้นมาเบาๆ หลังจากนั่งเฝ้าอีกฝ่ายเป็นเวลานานพลางเกี่ยเส้นผมสีน้ำตาลของอีกฝ่าย และเวลานั่นเอง...
“อื้อ...” ...เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นมาจากร่างที่นอนบนเตียงทำให้เด็กหนุ่มผมดำสะดุ้งเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าแค่พูดอีกฝ่ายดันตื่นขึ้นมาจริงๆ ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลใสค่อยๆ ปรืบขึ้นมา “...ที่นี่?”
“โรงพยาบาล...” ทาคาโอะเริ่มยิ้มออกมาเล็กด้วยความโล่งใจ “...เป็นไงโคจัง...โอเคดีไหม?”
“อื้อ...น่าจะ...” ฟุริฮาตะ โคกิค่อยๆ ดันกายลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องที่ทาคาโอะตาแป๋ว “...แล้วนี่...นายไม่เป็นไรนะ?”
“เอ๊ะ?” ทาคาโอะหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ กับคำถามที่ออกมาจากปากอีกฝ่าย
“ก็ตอนนั้นเรากำลังหนีกันอยู่นิ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“...อุ๊บ! ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า!” ทาคาโอะแทบหลุดก๊ากออกมาเลยทีเดียว...มีอย่างที่ไหนตื่นมาก็ถามถึงอาการชาวบ้านก่อนตัวเองเนี่ย? “ฉันน่ะไม่มีแม้แต่แผลถลอกด้วยซ้ำ แต่นายสิ...เย็บไปตั้งหลายเข็ม แล้วนี่นายรู้หรือ้ปล่าว่าสลบไปนานเกือบหนึ่งวันเลยเนี่ย”
“ห๊า!?” ฟุริฮาตะอ้าปากค้าง...เขาสลบไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ!? “แย่แล้ว ต้องบอกที่บ้าน...”
“ฉันเอาโทรศัพท์นายโทรไปบอกที่บ้านนายตั้งนานแล้ว” ทาคาโอะเอ่ยเมื่อเห็นท่าทางร้นรานของอีกฝ่าย คาดว่าคงเพราะกลัวที่บ้านจะเป็นห่วงมั้ง
“เออ...นายคงไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดไปใช่ไหม?” ฟุริฮาตะพอรู้ว่ามีคนบอกเรื่องนี่กับที่บ้านตนไปแล้วถาม
“เสียใจ เพราะฉันบอกตามจริงไปหมดเลย” ทาคาโอะยักไหล่ “ถ้าปล่อยไว้มีแววว่าพวกนั้นไปขู่ไปทำร้ายคนไปทั่วแน่ ดังนั้นทำให้เรื่องนี้ถึงตำรวจน่ะดีแล้ว”
“...นี่...คนที่รับสายนี่ใครเหรอ?” ฟุริฮาตะนิ่งเงียบไปสักพักก่อนถามต่อ...สังหรณ์ว่าเดี๋ยวอีกไม่นานหลังจากนี้จะเจอเรื่องชวนปวดหัวชอบกล
“ถ้าเดาจากคำพูด...น่าจะเป็นพี่นายนะ” ทาคาโอะตอบ “แถมพอวางสายปุ๊บ หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีทั้งบ้านนายก็โผล่มาเค้นคอฉันหมดเลย ไม่รู้มาไง...พอรู้เรื่องทั้งหมดพี่นายก็บอกว่าจะจัดการให้แล้วหายไปไหนไม่รู้ ส่วนพ่อแม่นายเพิ่งไปทำงานก่อนนายฟื้นสักชั่วโมงสองชั่วโมงนี่เอง”
“...งั้นเตรียมนรกแตกได้เลย” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ ทันทีที่รู้ว่าใครเป็นคนทราบข่าวคนแรก
“ห๊า?” ทาคาโอะหลุดร้องออกมาเล็กน้อย
“คือพี่ฉันแบบ...เกินคนไปนิดน่ะ...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่าย “...นายลองเปิดทีวีดูสิ...ตอนนี้ข่างออกแล้วแหง”
“หื้อ?” ทาคาโอะที่ไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดนักรีบคว้ารีโมตมากดเปิดทีวีหาช่องข่าวด้วยความอยากรู้และ...ถึงกับอ้าปากค้างเลยที่เดียวเมื่อภาพในทีวียามนี่คือสถานที่ที่พวกตนโดนทำร้ายเมื่อวานซึ่งเละตุมเปะจนแทบจำสภาพเดิมของสถานที่นี่ไม่ได้ ที่มุมบนข่าวของรายงานข่าวมีกรอบสี่เหลี่ยมสองกรอบที่แสดงหน้าคนที่ตนเพิ่งอัดสลบไปไม่นานมานี่เด่นหรา โดยเสียงประกาศข่าวบอกว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับการจับกุมพวกนักเลงเจ้าถิ่นที่มีคดีติดตัวในเขตพื้นที่นั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ “น...นี่มันอะไร?”
...เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย ไหงวันนี้เละปานอุตกาบาลลงฟะ!?...
“ก็อย่างที่บอก...พี่ฉันเกินคนไปหน่อยน่ะ” ฟุริฮาตะเอ่ยย้ำย่างไม่แปลกใจปฏิกิริยาของคนผมดำนัก เพราะคนส่วนใหญ่เห็นผลงานของพี่ตนครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้กันทั้งสิ้น
“นี่ฝีมือพี่นาย!?” ทาคาโอะอ้าปากค้างกว่าเก่า...นี่ไปทำอีท่าไหนถึงทำได้ขนาดนี้เนี่ย!?
“อื้ม...” คนผมน้ำตาลพยักหน้ารับ “...หวังว่าสองคนเมื่อวานคงไม่โดนพี่ทำให้หลอนหรอกนะ?”
“ฉันว่าห่วงว่าจะทำคนตายก่อนดีไหม?” ทาคาโอะบ่นอุบอิบ
“ไอ้ตายน่ะไม่ห่วง พี่ฉันรู้แรงตัวเองดี รับรองได้อย่างเดียวว่าไม่ตายแค่นั้นแหละ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ
“แต่ก็ไม่แน่นะ...” ทาคาโอะกล้าพูดเลยว่าจากที่ดูสภาพของสถานที่ในทีวีแล้วเนี่ยมีเปอร์เซ็นว่าอาจมีคนตายด้วยสูงเลยล่ะ แต่ถ้ารอดมาได้คงผวาไปอีกนาน “...เอาเถอะ...แบบนี้คงหายห่วงไปเรื่องล่ะ อย่างน้อยก็มั่นใจว่าพวกนั้นไม่บ้ามาหาเรื่องนายอีกพักใหญ่ๆ เลย”
...อย่างน้อยก็มั่นใจว่าไม่มีใครบ้าพอมาทำเรื่องให้โดนคนแบบนั้นตื้บรอบสองล่ะ!...
“อาจจะ” ฟุริฮาตะตอบ...ที่จริงไม่ใช่อาจจะหรอก เขามั่นใจว่าไม่มีใครตั้งสติสตางค์กลับเข้าร่างหลังจากพี่เขาไปจัดการได้เร็วนักหรอก เพราะงั้นช่วงนี้คงปลอดภัยไประยะหนึ่งล่ะ
“คงไม่อาจ...”
“โคจางงงงง!!!”
“อ้าวเฮ้ย!” ทาคาโอะสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงๆ หนึ่งลอยแว่วมาขัดบทสนทนาระหว่างตนกับคนผมน้ำตาลพลางมองไปทางต้นเสียง...หรือก็คือทางหน้าต่างนั้นเอง “ปีนขึ้นมาไง!? นี่มันชั้นหกนะเพ่!”
“ปีนขึ้นมางี้แหละ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่ปีนหน้าต่างเข้าห้องมาหน้าตาเฉยเอ่ย “เป็นไงโคจัง...ยังเจ็บปวดหัวอยู่ไหม?”
“มึนๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ” ฟุริฮาตะตอบอย่างไม่มีท่าทีตกใจหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย “ว่าแต่พี่...ทำสถานที่เละไปนะครับนั้น”
“อ้าว? รู้เรื่องแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มหรือก็คือนายฟุริฮาตะ เคียวลูกชายคนโตของบ้านฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาาๆ “ก็มันพูดจาน่าถีบไปหน่อยน่ะ เลยลืมยั้งมือไปนิด”
“เออ...ขอโทษครับ คือ...” ทาคาโอะที่รู้สึกกลายเป็นตัวประกอบชั่วขณะเอ่ยขัดขึ้นมา “...ไม่มีใครตายใช่ไหมครับ?”
“แน่นอน ระดับนี้แล้ว...” เคียวยกนิ้วอย่างมั่นใจเต็มร้อย “...จะว่าไป...นี่เรียกหมอมาตรวจโคจังยังอ่ะ?”
“...” ...เออ ลืมสนิก
“ลืมสินะ” เคียวหัวเราะร่าราวกับว่าคาดไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ก่อนที่จะกดออดเรียกหมอเรียกพยาบาลมาพลางคุยพลางแกล้งชาวบ้าน (?) ไประหว่างรอ และเมื่อหมอมานายเคียวก็จัดการลากนายทาคาโอะ คาซึนาริออกจากห้องผู้ป่วยเพื่อให้หมอทำการตรวจสะดวกๆ
หลังจากนั้นเมื่อหมอตรวจเช็คอาการของฟุริฮาตะเสร็จแล้วก็บอกให้นอนรอดดูอาการอีกสักหนึ่งคืน ถ้าไม่มีอาการอะไรเพิ่มเติมก็สามารถกลับบ้านได้...เป็นอันว่าจบเรื่องวุ่นวายหนึ่งเรื่องไปในที่สุด
“นี่...ฟุริ...”
“หื้อ? มีอะไรล่ะ?”
“นี่แผลหายดีแล้วเหรอถึงมาซ้อมได้เนี่ย?”
“หายดีแล้ว และโค้ชอนุญาตแล้วด้วย...นายคงไม่คิดว่าฉันบ้าขนาดขัดโค้ชจนโดนตีหัวหรอกนะ?”
“ไม่คิดหรอก โค้ชโหดจะตายชัก”
“ถ้าไม่ขัดคำพูดโค้ชก็ไม่มีอะไรหรอกน่า”
“ถึงงั้นก็เถอะ...เออ จริงสิ จะว่าไปรู้สึกช่วงนี่หมอนี่มาหานายบ่อยไปไหมเนี่ย?”
“หมายถึงใครเหรอ?”
“ก็ทาคาโอะไงเล่า...โดดซ้อมมาได้ไงก็ไม่รู้”
“นั้นสิเนอะ”
เสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มผมน้ำตาลกับเด็กหนุ่มผมสีเพลิงภายในโรงยิมที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมของชมรมบาสโรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินพลางเหล่มองยังคนหัวเหม่ง (?) จากต่างโรงเรียนที่มานั่งชมพวกตนฝึกหน้าตาเฉย...หรือว่าตามจริงคือนับตั้งแต่วันที่ฟุริฮาตะ โคกิออกจากโรงพยาบาลตลอดมาจนสามเดือนมานี่นายทาคาโอะ คาซึนาริจึงมักจะโผล่มาวนเวียน (?) ณ ที่แห่งนี้มันแทบทุกวัน โดยเฉพาะช่วงนี้มาถี่เป็นพิเศษเลยล่ะ
“คงแอบโดดมาดื้อๆ นี่แหละครับ” เสียงนิ่มๆ และเรียบเฉยดังขึ้นมาแทรกบทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งสองพร้อมกับ...ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าที่มายืนอยู่ระหว่างทั้งสองเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อ้าวเฮ้ย! นายอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?” นายหัวเพลิงคิ้วสองแฉหคางามิ (เอาดีๆ เซ่! // คางามิ) สะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวขึ้นมาดื้อๆ ของคนผมฟ้า
“ตั้งนานแล้วครับ” ผู้ได้รับฉายาซิกแมนประจำทีมเซย์ริน (ในตอนนี้) ตอบหน้าตาย ก่อนที่จะหันไปคุยกับคนผมน้ำตาล “ว่าแต่...นี่คุณไม่รู้สึกตัวเลยเหรอครับ?”
“หื้อ? รู้สึกอะไรเหรอ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“ก็ที่...” คุโรโกะอ้าปากเตรียมบอกบ้างอย่างแก่อีกฝ่าย แต่แล้ว...
“นี่ๆ! โทษทีนะ!” ...ผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนาของคางามิกับฟุริฮาตะก่อนหน้ากลับวิ่งมาล็อกคอคุโรโกะไว้อย่างรวดเร็ว “ขอยืมตัวคุโรโกะแป๊บนะ!”
“...” คางามิมองคู่หูตนที่ถูกลากตัวไปอย่างงงๆ “...อะไรของหมอนั่นฟะ?”
“ไม่รู้สินะ” ฟุริฮาตะก็ทำหน้างงๆ ไม่ต่างกัน
“เฮ้! ฟุริ! โค้ชเรียกแหน่ะ!” ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังงงงวยกันอยู่นั้น เด็กหนุ่มผมดำหน้าหวานคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาพอดี
“อ่ะ! ครับ! จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ!” ฟุริฮาตะขานรับรุ่นพี่ตนแล้ววิ่งไปหาทันทีด้วยความกลัวว่าถ้าไปช้าจะโดนพัดพิฆาตจากผู้เป็นโค้ช ทิ้งให้คางามิยืนงงๆ กับพฤติกรรมของทาคาโอะต่อไปคนเดียว...ส่วนทางด้านทาคาโอะที่ลักพาตัว (?) คนผมฟ้ามายังทางเดินระหว่างอาคารกับโรงยิมนั่น...
“นี่นายจะทำอะไรของนายเนี่ย!?” ...กำลังโวยใส่คนผมฟ้าที่ทำหน้าตายอยู่
“แค่จะบอกให้ฟุริฮาตะคุงให้รู้ตัวสักทีไงครับ ว่าคุณเอาแต่จ้องฟุริฮาตะคุงไม่วางตาตั้งแต่ครั้งแรกที่คุงมาป่วน (?) จนตอนนี่น่ะ” คุโรโกะบอกไปตามตรง
“จะไปบอกให้โคจังคิดว่าฉันเป็นคนโรคจิตแอบตามชาวบ้านหรือไง!? ที่สำคัญฉันไม่ได้จ้องโคจังตลอดสักหน่อย!” ทาคาโอะทำหน้าบึ้ง
“เหรอครับ?” คุโรโกะหยิบมือถือตนออกมาด้วยท่าทีเฉยชาพร้อมกดเปิดภาพบางอย่างให้อีกฝ่ายดู “งั้นนี่คืออะไรครับ?”
“เฮ้ย! ถ่ายมาเมื่อไหร่เนี่ย!?” ทาคาโอะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นภาพในจอมือถืออีกฝ่าย...ซึ่งเป็นภาพที่ตนแอบตามฟุริฮาตะ โคกิที่กำลังเดินกลับบ้านนั้นเอง...
...ไปถ่ายมาตอนไหนวะ??!...
“ตั้งนานแล้งครับ...” คุโรโกะยักไหล่เล็กน้อยพลางเก็บมือถือตนใส่กระเป๋า “...ตกลงว่าไงครับ? ช่วยกรุณาบอกเหตุผลที่จ้องเพื่อนผมแบบนี้ด้วยครับ ถ้าเหตุผลดีจะไม่บอกเรื่องนี้กับฟุริฮาตะคุงก็ได้ครับ แต่ถ้าไม่...ผมจะเป่าประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้อย่างทั่วถึงเลยครับ”
“...มีใครบอกบ้างหรือเปล่าว่าบ้างทีนายก็เกรียนสุดๆ เลยเนี่ย” ทาคาโอะเบ้หน้า
“มีบ้างครับ...” คุโรโกะตอบกลับแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร...ก็เขาโดนว่าแบบนี้ออกบ่อยจะไปรู้สึกอะไรล่ะ แถมโดนว่าแค่นี้แล้วได้แกล้งคน (?) เนี่ยสนุกจะตาย (?) “...ตกลงว่าไงครับ?”
“...” ทาคาโอะนิ่งเงียบไปเล็กน้อยพลางหลบดวงตาสีฟ้าที่จ้องมาที่ตนตาแป๋ว “...คือฉัน...แค่...”
“แค่อะไรครับ?” คุโรโกะเอ่ยเร่ง
“แค่...แค่ชอบโคจังเลยตามจีบ! ชัดไหม!?”
...อ๊ากกก! อายเฟ้ย! จำไว้เลยนะคุโรโกะ!!!...
ยามที่เอ่ยความจริงออกไปนั้นทาคาโอะแทบอยากจะมุดดินหนีด้วยความอายเลยในทีเดียว แต่จะให้โกหกอีกฝ่ายก็ทำไม่ได้เพราะ...อีกฝ่ายมีสกิลในการจับผิดคนสูงมากบวกกับเขาไม่กล้าพอที่จะบอกอะไรที่ตรงข้ามกับใจตัวเอง...
...ว่าตามจริงตอนแรกทาคาโอะไม่คิดว่าตัวเองจะมาชอบผู้ชายด้วยกันได้หรอก แต่เป็นไงมาไงไม่รู้จากตอนแรกที่แค่สนใจเฉยๆ ดันมากลายเป็นชอบซะงั้นและเขาไม่โง่ซึนแตกเหมือนใครบางคนที่ไม่รู้ใจตัวเองเลยด้วย...เพราะงั้นพอเขารู้ตัวว่าชอบอีกฝ่ายก็เลยมาตามสโตรเกอร์ (?) รายนี่เพื่อให้มั่นใจว่าชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหน
...จนสุดท้าย...ดูท่านับวันฟุริฮาตะ โคกิจะดึงดูดเขาเสียจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้วสิ
“...คุณจะจีบฟุริฮาตะคุง?” คุโรโกะเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เออ!” ทาคาโอะขานรับห้วนๆ
“งั้นคงยากหน่อยล่ะครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หื้อ? ทำไม?” ทาคาโอะถามกลับ ดวงหน้าแสดงถึงความงุนงงอย่างชัดเจน
“ก็ฟุริฮาตะคุงเป็นพวกซื่อบื้อเหมือนคางามิคุงน่ะสิครับ ต่อให้พูดตรงๆ ยังยากที่เจ้าตัวจะรู้เลยครับ” คุโรโกะเอ่ยอย่างปลงกับความซื่อบื้อของคนรอบกายขึ้นมาตงิดๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?...” ทาคาโอะยอมรับว่าคนที่ตนแอบชอบอยู่นั้นซื่อจริงๆ แต่มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง
“ยิ่งกว่าสิครับ...” คุโรโกะถอนหายใจออกมาอีกระรอบ “...ฟุริฮาตะคุงนับตั้งแต่อกหักมาเนี่ยมีผู้ชายมาจีบสามคนแล้วครับ สองคนบอกตรงๆ ฟุริฮาตะคุงก็เข้าใจว่าชอบแบบเพื่อน อีกคนเล่นจะลักพาตัวฟุริฮาตะคุงเลยแต่ตอนนั้นพี่ชายของฟุริฮาตะคุงดันผ่านมาเห็นพอดี...จากนั้นผมขอไม่พูดนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับรายนั้น มันสยอง”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ...ฉันก็เคยเห็นพี่โคจังก่อโลกาวินาศอยู่” ทาคาโอะที่เห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายซีดลงเล็กน้อยก็พอเดาออกได้ไม่ยากว่า...นายฟุริฮาตะ เคียวคงจะเคยไปสร้างความสยอง (?) แก่รายนี้มากกว่าตอนของเขาแน่
“ถือว่าเข้าใจตรงกันนะครับ...” คุโรโกะเอ่ยราวกับว่าไม่อยากพูดถึงคนชวนสยองบางคน (?) ขึ้นมาอีก...ถึงเขาจะไม่ได้มีอคติอะไรกับรายนั้นแต่ก็อดสยองไม่ได้อยู่ดี “...และนี่ถามหน่อยเถอะครับ...แบบนี่ยังกล้าจีบเหรอครับ? ผมขอบอกเลยว่าพี่ชายฟุริฮาตะคุงเป็นพวกหวงน้องนะครับ”
“กล้าชอบก็ต้องกล้าจีบสิถามได้...และต่อให้ห้ามยังไงฉันก็จะจีบเหมือนเดิมนั้นแหละ” ทาคาโอะกล้าพูดเลยว่า...งานนี้ต่อให้นายโหดบรรลัยอย่างฟุริฮาตะ เคียวมาห้ามเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอก!
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ถ้าจริงจังกับเพื่อนผม...” คุโรโกะยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงเปิดประตูดังสนั่นไปทั่วลอยมาจากโรงยิม “...แต่...ผมว่าคุณกำลังจะซวยในอีกไม่ช้าแล้วครับ”
“ทาคาโอะ! แกอยู่ไหนฟะ!!!?”
“อะจึ๋ย! มิยาจิซัง! มาไงเนี่ย!?” เสียงตวาดแว๊ดที่ลอยแววมาทำให้ทาคาโอะถึงกับหน้าซีด ถึงจะไม่ได้ยินเสียงสดๆ ของรายนี่มาเกือบสามเดือนจากที่เจอกันครั้งล่าสุด แต่เจ้าตัวก็มั่นใจว่านี่เป็นเสียงของอดีตรุ่นพี่จอมโหดของตนอย่างมิยาจิ คิโยชิเป็นแน่แท้
“ได้ยินรุ่นพี่อิสึกิบ่นเมื่อเช้าน่ะครับว่าเผลอบอกเรื่องที่คุณชอบมาที่นี่ในตอนเย็นกับมิยาจิซังไปน่ะครับ...” คุโรโกะตอบสั้นๆ
“แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้!!!” ทาคาโอะเริ่มอยากเป็นลมสักตลบขึ้นมาตงิดๆ แล้วดวงหน้าใสๆ ก็เริ่มซีดลงกว่าเดิมเมื่อ...
“อยู่นี่เองเหรอ~~~ ทา-คา-โอะ!!!” ...เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ยื่นมือมาจับไหล่ตนไว้ราวกับฆาตกรในหนังสยองขวัญ
“แว๊ดดดด!!! ใครก็ได้ช่วยฉันด้วยยยยย!!!” ทาคาโอะร้องโหยหวน (?) พร้อมรีบวิ่งไปหลบหลังคนผมฟ้า
“อย่าหนีนะเฟ้ย! นี่ยูยะใจดีกับนายมากไปใช่ไหมถึงกล้าหนีซ้อมห๊า!?” มิยาจิโวยลั่นพร้อมพุ่งเข้าชาร์ตใส่เด็กหนุ่มผมดำ
“ใครบอกล่ะครับ! โหดบรรลัยเลยต่างหาก!” ทาคาโอะทิ้งโล่ (?) แล้วหนีเข้าไปในโรยิม
“ไม่ต้องมาพูดเลยเว้ย!!!” มิยาจิวิ่งตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่เด็กหนุ่มผมสีเพลิงคนหนึ่งเดินออกมาดูสถานการณ์พอดี
“...ดูท่าทาคาโอะอาจไม่รอดถึงพรุ่งนี้แฮะ” คางามิมองภาพที่ทาคาโอะกับมิยาจิวิ่งไล่จับกันเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้
“นั้นสิครับ” คุโรโกะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย...
...ขอให้รอดนะครับ ทาคาโอะคุง...
“คราวนี้ทาคาโอะหายไปเลยเนอะ” เสียงบ่นเบาๆ ดังขึ้นออกจากปากเด็กหนุ่มผมสีเพลิงซึ่งกำลังเดินไปยังโรงยิมเพื่อฝึกซ้อมตามปกติ...ก็นับตั้งแต่วันที่นายมิยาจิ คิโยชิมาลากตัวทาคาโอะกลับไปซ้อมบาสที่โรงเรียนตัวเองจนปานนี้พวกเขาก็ไม่เห็นรายนั้นอีกเลยนี่หว่า โดนฆ่าหมกศพไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้
“คงโดนจับตามองมั้งครับ...” คุโรโกะเอ่ยตามความเห็นของตน “...ฟุริฮาตะคุง...คุณพอทราบไหมครับว่าตอนนี้ทาคาโอะคุงเป็นไง?”
“เห็นโทรมาบอกว่าโดนมิโดริมะลากไปซ้อมทุกวันตั้งแต่มิยาจิซังโผล่ไปแว๊ดถึงโรงยิมที่ชูโตกุน่ะ” ฟุริฮาตะยิ่มแห้งๆ พลางนึกไปถึงก่อนหน้านี่...ที่ทาคาโอะโทรมาหาเขาแล้วร้องอแงใส่ราวเด็กๆ “แถมบอกมาอีกว่าถูกซ้อมจนใกล้ตายแล้วล่ะ”
“...นี่พูดถึงซ้อมบาสหรือโดนชาวบ้านซ้อมเนี่ย?” คางามิเบ้หน้าเล็กน้อย...ทำไมพอนึกภาพทาคาโอะประกอบกับภาพตอนมิยาจิซังมาลากกลับไปนั้นมันทำให้อดคิดว่าเป็นข้อหลังไม่ได้ฟะ?
“ก็ต้องบาสสิ บากะงามิ...” ระหว่างที่ตัวจริงปีสองสองหน่อกับตัวสำรองปีสองอีกหนึ่งแหงทีมบาสเซย์รินกำลังพูดถึงคนหัวเหม่งบางคน (?) อยู่ ก็มีเสียงอันคุ้นหูเสียงหนึ่ง
“เฮ้ย! แกมาได้ไงวะ!?” คางามิหันไปยังต้นเสียงแล้วแยกเขี้ยวใส่ผู้มาใหม่หัวเขียว
“ขึ้นรถมาสิ ถามโง่ๆ” เด็กหนุ่มผมเขียวสวนกลับใส่คางามิ
“นี่แก!” คางามิทำท่าจะเถียงกับอีกฝ่ายต่อ ทว่า...ดันโดนคู่หูตัวเองโยนเจ้าหมาตัวน้อยประจำทีมใส่เสียก่อน เลยต้องหันไปหนีหมาแทน
“หนวกหูนะครับคางามิคุง...” คุโรโกะที่ประทุษร้ายทางใจ (?) เพื่อนตัวเองเมื่อครู่เอ่ยหน้าตายสนิก “...และนี่คุณมาทำอะไรที่นี่ครับมิโดริมะคุง? ผมมั้นใจว่าคุณคงไม่ได้โดดซ้อมมาที่นี่เล่นๆ แบบทาคาโอะคุงแน่”
“เฮ้อ...” มิโดริมะเมื่อเจอคำถามนี่เข้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ “...ทาคาโอะมาที่นี่หรือเปล่า?”
“ทาคาโอะคุงเหรอครับ? ไม่นี่ครับ...” คุโรโกะส่ายหน้าไปมา “...คางามิคุงกับฟุริฮาตะคุงล่ะครับ?”
“ไม่นิ วันนี้ยังไม่เห็นเลย” คางามิตอบ
“ฉันก็ไม่เห็น...ทำไมเหรอมิโดริมะ?” ฟุริฮาตะเอ่ย
“วันนี้ทาคาโอะไม่มาโรงเรียน แถมโทรไปที่บ้านก็บอกว่าหมอนั่นออกจากบ้านตามปกติน่ะ...” มิโดริมะทำหน้าเครียดขึ้นมา “...ตอนแรกคิดว่าแอบแว่บมาหานาย...แต่ดูท่าจะไม่ใช่แฮะ”
“เดี๋ยวๆ นี่นายจะบอกว่า...ทาคาโอะหายตัวไป?” ฟุริฮาตะถาม
“ใช่...และนิสัยอย่างหมอนั่นฉันมั่นใจว่าไม่คิดจะหายหัวไปเฉยๆ โดยไม่บอกใครหรือไม่แม้แต่จะแจ้งที่โรงเรียนแบบนี้แน่...” คนผมเขียวถอนหายใจออกมาเบาๆ “...แถมเป็นพวกเรื่องวิ่งเข้าใส่บ่อยๆ แบบหมอนั่นยิ่งไม่มีทาง”
“เฮ้ยๆ แบบนี้เรื่องใหญ่แล้วเฟ้ย!” ต่อให้บื้อยังไงคางามิก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่
“ก็ใช่น่ะสิ...” มิโดริมะหยิบมือถือออกมากด “...เดี๋ยวฉันจะบอกให้ทุกคนช่วยกันหาทางทาคาโอะที่โรงเรียนก่อน...เผื่อโชคดีหมอนั้นแค่แอบไปงีบแถวไหนแล้วหาทางออกไม่ได้แบบเมื่อก่อนแค่นั้น”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ...” ฟุริฮาจะบ่นเบาๆ และในขณะนั้น...
กริ้งงงงงงงงง...
“อ่ะ!” ...เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้ฟุริฮาตะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มเจื่อนๆ ให้แต่ล่ะคนที่สะดุ้งไม่ต่างกันพลางควักมือถือของตนขึ้นมากดรับสาย “โมชิโมชิ? มีอะไรเหรอพี่...ห๊า!? ทาคาโอะเหรอ!? ครับๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“เกิดอะไรขึ้น? ทาคาโอะทำไม?” มิโดริมะขมวดคิ้วเป็นปม...ชัดสังหรณ์ไม่ดีแฮะ
“เออ...เอาง่ายๆ คือตอนนี้ทาคาโอะอยู่ที่โรงพยาบาลและทางที่ดีนายหาทางติดต่อที่บ้านทาคาโอะหน่อยนะ ฉันไปล่ะ!” ฟุริฮาตะอธบายสั้นๆ รวบๆ ก่อนที่จะออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! เดี๋ยว!!!” เด็กหนุ่มทั้งสามที่ตามสถานการณ์ไม่ทันหลุดร้องออกมา “รอด้วยเซ่!”
ว่าแล้วเด็กหนุ่มทั้งสามก็วิ่ง...ไม่สิ ต้องบอกวิ่งสองโดนแบกอีกหนึ่ง ตามคนผมน้ำตาลที่วิ่งลัดทางซอยเล็กๆ ไปอย่างชำนาญจนมาถึงยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเวลาที่สั้นกว่าปกติมาก
ถึงแม้ทั้งสามจะแปลกใจเล็กน้อยที่คนผมน้ำตาลมาพาพวกตนลัดมาที่นี่ได้ในเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่คิดใส่ใจอะไรมานัก ยังคงตามคนผมน้ำตาลต่อไปจนมาถึงยังหน้าห้องพักห้องหนึ่ง ที่ห้องประตูติดชื่อผู้ป่วยไว้ว่า ‘ทาคาโอะ คาซึนาริ’ ...เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายไม่รอช้า รีบเปิดบานประตูตรงหน้าเข้าไปในห้องและภาพแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาคือ...
“อ้าว? ไงทุกคน” ...เด็กหนุ่มผมดำที่ถูกพันผ้าพันแผลสีขาวไว้ทั้งตัวราวมัมมี่!
“นายไปโดนอะไรมาเนี่ยทาคาโอะ!?” มิโดริมะเมื่อเห็นคู่หูตนกลายร่างเป็นมัมมี่ไปเสียแล้วถามเสียงดังลั่น
“โดนดักตีหัวนิดหน่อยน่ะ” ทาคาโอะหัวเราะแห้งๆ
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยทาคาโอะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” คนผมเขียวค้อนใส่คนเจ็บที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนตาเขียวปั๊ด
“คือว่า...โดนโจษย์เก่าตีหัวนิดหน่อยน่ะ” ทาคาโอะเหงื่อตกเล็กน้อย หากแต่ว่าคำตอบที่ออกจากปากเจ้าตัวความหมายก็ไม่ต่างจากประโยคคำตอบเมื่อครู่สักเท่าไหร่นัก
“...” มิโดริมะจ้องทาคาโอะสักพักก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “...เฮ้อ เอาเถอะ เดี๋ยวฉันมาซัดนายอีกที ตอนนี้ฉันขอไปโทรบอกทุกคนก่อน ไม่งั้นได้วุ่นวายยกโรงเรียนแน่”
“ฟู่...รอดแล้ว เกือบโดนชินจังบ่นแล้วสิ” ทาคาโอะพอเห็นว่าคนผมเขียวเดินออกจากห้องไปเพื่อคุยโทรศัพท์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แต่คุณยังไม่รอดจากพวกผมนะครับ ทาคาโอะคุง...” เด็กหนุ่มผมฟ้าจ้องมัมมี่ เอ้ย! ทาคาโอะตาแป๋ว “...นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้? กรุณาอธิบายมาให้ละเอียดๆ เลยครับ”
“เออ...ไม่บอกได้ไหมอ่ะ?” ทาคาโอะยิ้มแห้งๆ
“ไม่ได้!” คนที่เหลือภายในห้องเอ่ยออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ง...ง่ะ...” ทาคาโอะเดาอนาคตต่อจากนี้ออกเลย...ไม่ถูกซักเละก็โดนเค้นคอเลยแหง
“ไม่ต้องง่ะเลยครับ...มากันครบเมื่อไหร่เตรียมถูกซักถูกฟอกจนสะอาดได้เลยครับ” คุโรโกะเอ่ยอย่างคาดโทษ
“...ตายแน่ฉัน” ทาคาโอะเริ่มคอตก
“ไม่ตายหรอกน่า” น้ำเสียงคล้ายๆ กับว่าจะปลอบคนที่ทำท่าราวกับคนกำลังจะตายดังขึ้น
“ใช่ครับ ไม่ตายหรอก...เอ๊ะ?” คุโรโกะขานรับอย่างเห็นด้วยก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสียงเมื่อครู่ไม่ใครเสียงของคนในกลุ่มตน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ภายในห้องที่เพิ่งรู้สึกถึงเรื่องนี้แล้วหันไปยังต้นเสียงและ...หลุดร้องกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง...
...จะมีที่ไม่ร้องก็แค่เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ทำหน้าปลงสุดชีพเท่านั้น
“ตกใจอะไรกันอ่ะ?” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านได้บริหารเสียงเอียงคออย่างงุนงง
“ตกใจพี่นั้นแหละครับ นี่มันชั้นแปดนะ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ พลางมองชายหนุ่มผมน้ำตาลที่เกาะอยู่ที่นอกหน้าต่างราวจิ้งจก
“น่าๆ อย่าเครียดดิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลหรือก็คือนายฟุริฮาตะ เคียวดันหน้าต่างเปิดออกแล้วปีนเข้ามาภายในห้อง
“แต่อย่างคุณก็ไม่ไหวนะ” ทาคาโอะถึงกับคุมขมับ
“เอาน่าๆ” เคียวเอ่ยและในตอนนั้นเอง...
“ทาคาโอะ อีกสิบนาทีทุกคนจะมาถึงนายเตรียมโดนซัด...เฮ้ย! ใครเนี่ย!?” ...เด็กหนุ่มผมเขียวที่คุยโทรศัพท์เสร็จและเดินเข้ามาภายในห้องก็ได้บริหารเสียง (?) เป็นรายต่อไป เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ มีคนเพิ่มขึ้นมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี่ตนยืนอยู่ตรงหน้าประตู ไม่น่ามีใครเข้ามาได้โดยที่ตนไม่รู้แท้ๆ
“ใจเย็นๆ มิโดริมะ...นี่พี่ฉันเอง” ฟุริฮาตะเอ่ยปลอบมิโดริมะที่ดูเหมือนสติหลุดเล็กน้อย
“ส่วนถ้าจะถามว่ามาได้ไงล่ะก็...” ทาคาโอะเหล่มองยังตัวต้นเหตุที่ทำชาวบ้านตกใจ
“ปีนหน้าต่างขึ้นมาจ้า!” เคียวเอ่ยต่อจากคำพูดของทาคาโอะอย่างร่าเริง
“นี่มันชั้นแปดนะ!!!” มิโดริมะไม่คิดว่ามีคนธรรมโลกไหนปีนตึกแปดชั้นมือเปล่าแบบนี้ได้เป็นแน่!
“ชั้นแปดแล้วไง ปีนได้แล้วกัน” เคียวยักไหล่เล็กน้อย พร้อมกันนั้น...เสียงใครสักคนวิ่งก็ดังขึ้นที่นอกห้องก่อนจะตามด้วย...
“ไอ้เคียว! แกรอลิฟท์ดีๆ มันจะตายไหมห๊า!?” ...ชายหนุ่มผมดำสนิกในชุดเครื่งแบบตำรวจคนหนึ่งเปิด...เออ ถีบประตูเข้ามาพร้อมเสียงตวาดแว๊ด
“มาเร็วนี่ไอ้เซย์...คิดว่าจะรอลิฟท์นานกว่านี้สักอีก” เคียวยักคิ้วกวนๆ ใส่ผู้มาใหม่
“ไม่ต้องมาพูดเลยไอ้บ้า!!!” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเซย์แยกเขี้ยวใส่พลางปิดประตูเพื่อไม่ให้เสียงตนลอยออกไปรบกวนชาวบ้าน
“เออ...โคจัง...แล้วนี่ใครอีกอ่ะ?” ทาคาโอะมองชายหนุ่มสองคนที่เริ่มเถียงกันอย่างไม่แคร์ใคร
“อันเซย์ซังน่ะ เป็นเพื่อนร่วมงานของพี่” ฟุริฮาตะตอบพลางมองภาพตรงหน้าด้วยความปลงสุดแสน
“อ๋อ...ห๊า! นี่พี่นายเป็นตำรวจเหรอ!?” ทาคาโอะถึงกับร้องลั่นเมื่อได้รับรู้ความจริงข้อนี่
“เอ๋!?” เด็กหนุ่มอีกสามคนที่เหลือเมื่อได้ยินคำพูดจากคนเจ็บก็เบนสายตาไปยังชายหนุ่มผมน้ำตาลอย่างพร้อมเพรียง “ตำรวจ!?”
“อ้าว? ฉันไม่เคยบอกเหรอ?” เคียวเกาหัวนิดๆ
“ไม่ครับ! ไม่เคยเลย!” คุโรโกะเน้นเสียงหนักๆ ...ตั้งแต่รู้จักรายนี่มาเนี่ยเขาคิดว่ารายนี่ทำงานเป็นโฮตร์หรืออะไรพวกนี่เสียอีก!
“สงสัยลืมแฮะ...ว่าแต่รู้ว่าฉันเป็นตำรวจแล้วต้องตกใจด้วยอ่ะ?” เคียวเอ่ยอย่างข้องใจ...ไอ้การรู้ว่าขาเป็นตำรวจมันน่าตกใจตรงไหนกัน?
“ก็มาดมันไม่ให้นี่!...ครับ!” คางามิตอบไปตามตรง
“ถูก มาดแกนี่โคตรไม่ให้เลย” เซย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แกก็เอากับเขาด้วยเหรอวะ!? ไอ้เซย์!” เคียวแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมงานตน
“ก็มันเรื่องจริงนี่หว่า” เซย์เถยงกลับและ...หลังจากนั้นนายตำรวจทั้งสองก็เถียงกันเองไปเรื่อยๆ โดยมีเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายเป็นผู้ชม จนกระทั่ง...
“ทาคาโอะ!!! แกไปทำอีท่าไหนเข้าโรงพยาบาลได้ฟะ!?” ...ประตูห้องห้องที่น่าสงสารถูกถีบอีกรอบพร้อมกับกลุ่มคนที่ทำให้ผู้ป่วยภายในห้องหน้าซีดอีกระดับโดยเด็กหนุ่มผมสีนน้ำผึ้งสองคน เด็กหนุ่มหัวแตงโม (?) เด็กหนุ่มหัวตั้งแต่และหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่พุ่งเข้ามาในห้อง...ไม่ต้องเดาให้เปลื้องสมอง ทาคาโอะก็รับรู้ได้ว่าคู่หูตนคงโทรไปให้โค้ชจัดการที่โรงเรียนให้และโทรให้กัปตันสุดโหดกับอดีตรุ่นพี่ทั้งสามของตนมาที่นี่เพื่อซัดตนจนขาวสะอาดยิ่งกว่าผ้าซื้อใหม่แหง ส่วนหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่ไม่รู้จักอีกคนนี้ทาคาโอะไม่รู้ว่าเป็นใครแล้วมาทำไมเหมือนกัน
“อะจึ๋ย! เจ๊คิโยมิมาได้ไง!!?” แต่ดูท่าเด็กหนุ่มตาสีฟ้าอมเทาจะได้รับคำตอบเร็วกว่าที่คิด เนื่องจากทันทีที่หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งเดินเจ้ามาภายในห้อง นายฟุริฮาตะ เคียวก็รีบเอาคนที่ตนเถียงด้วยเมื่อครู่มาใช้เป็นโล่ (?) ให้ได้ชมทันที
“พาลูกกับเพื่อนลูกมาส่ง” หญิงสาวที่ถูกเรียกคิโยมิทำหน้าเซ็งๆ หลังจากโดยลูกชายตัวเองขอให้ขับรถมาส่งที่นี่ ทั้งๆที่ตอนนี้ควรเป็นเวลาที่ตนควรได้ทำกับข้าวอยู่บ้านแท้ๆ พลางกวาดสายตาไปรอบๆ “แล้วนี่...คดีนี่แกรับผิดชอบดิ?”
“ครับผม!” เคียวตอบรับเหมือนกลัวหญิงสาวเหลือหลาย
“...” เหล่าคนจากทีมเซย์รินสองและสองหน่อตัวจริงปีสองจากทีมชูโตกุสองค่อยๆ เหล่มองไปที่ฟุริฮาตะอย่างพร้อมเพรียง
“คิโยมิซังเป็นอาจารย์ที่สอนต่อสู้ให้พี่น่ะ” ฟุริฮาตะคาดเดาสายตาชาวบ้านออกอยู่บ้างตอบ
“แล้วทำไม...หน้าเหมือนมิยาจิซังจังหว่า?” ทาคาโอะบ่นขึ้นมาเบาๆ
“จะไม่เหมือนยังไง...ก็นี่น่ะแม่ฉัน!” มิยาจิ คิโยชิก้าวขายาวๆ ไปหาทาคาโอะพร้อมดึงแก้มอีกฝ่าย...ที่จริงปกติจะตีหัวเอา แต่สภาพอีกฝ่ายตอนนี้ได้มีแววไปพบยมบาลเป็นแน่จึงใช้วิธีนี้แทน “แล้วไม่ต้องลีลาเลย! นี่อธิบายมาเลยนะเฟ้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น!?”
“ห้ามบ่ายเบี่ยงด้วยนะเฟ้ย!” ยูยะยิ้มเหี้ยมๆ เป็นการขู่ลูกทีมตนเล็กน้อย
“ถามไอ้นี่ง่ายกว่านะคิโยชิ ยูยะ...รับรองไอ้นี่รู้หมดเปลือกเลย” คิโยมิที่เห็นว่าลูกชายตนทั้งสองเริ่มรังแกคนเจ็บเอ่ยขึ้นมา “และดีไม่ดีที่รุ่นน้องลูกเละแบบนี้เพราะลูกหลงจากไอ้นี่อีกต่างหาก”
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับคิโยมิซัง! อย่างผมไม่แจกลูกหลงไปถึงชาวบ้านหรอก!” เคียวทำหน้ามุ่ย
“ก็ใช่ แต่ถ้าลูกหลงแบบให้ชาวบ้านจิตตกนี่บ่อยเลยล่ะ” คิโยมิกล้าพูดเลย...ว่าไม่ใครทำชาวบ้านจิตตกได้บ่อยเท่ามันอีกแล้ว!
“บู้! คิโยมิซังปากจัดอ่ะ! วัยทองหรือไง...แอ๊ก!” ว่าแล้วเคียวก็โดนเข่าลอยจากสาวเจ้าผมสีน้ำผึ้งเต็มๆ
“ว่าใครวัยทองย่ะ!? ไอ้บ้า!” คิโยมิแยกเขี้ยวใส่และ...เริ่มฟัดกับนายเคียวทันที
“เออ...อย่าเพิ่งทะเลาะสิครับ” ฟุริฮาตะมองการต่อสู้ะหว่างหญิงสาวกับพี่ตนพลางหลบของที่ลอยมาอย่างเคยชิน
“ปล่อยไปเถอะ เดี๋ยวโดนลูกหลงเปล่าๆ น่า” มิยาจิก้มหลบเบาะที่ลอยมา
“แต่แบบนี้ก็มีสิทธิ์โดนลูกหลงไปต่างกันนะครับ!” มิโดริมะโวยลั่นพร้อมพยายามหลบลูกหลง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เจอภัยข้าวของบิน (?) ครั้งแรก
“ให้ตายสิ...พี่นายปากหาเรื่องตายชะมัด” ยูยะบ่นอุบใส่ฟุริฮาตะ
“นั่นสิ จะรอดไหมฟะนั้น?” มิยาจิพยักหน้ารับ
“ผมว่ารอดนะครับ...” ฟุริฮาตะยักไหล่เล็กน้อย “...พวกคุณอาจไม่รู้หรืออาจลืม...แต่คิดเหรอครับว่าในเวลาแบบนี้คิโยมิซังตะสามารถเดินเหินไปไหนคนเดียวได้?”
“เออ...ลืมสนิก...” สองพี่น้องมิยาจิเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลก็เริ่มทำหน้าปลงสุดแสน
“...หมายความว่าไงโคจัง?” ทาคาโอะที่พยายามทำตัวราบกับเตียงให้มากที่สุดกระดึบมาถามฟุริฮาตะ
“ก็หมายความว่า...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ
“...ตัวป่วนจะมาแล้วไง” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองคุมขมับ พร้อมกันนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกและ...มีบางอย่างพุ่งเข้าใส่คิโยมิอย่างจัง!
“คิโยมิจ้า! เล่นด้วยสิจ๊ะตัวเธอ!” เสียงอันร่าริงดังออกมาจากชายหนุ่มผมดำผู้มาใหม่ ซึ่งยามนี่โดดเกาะหญิงสาวอย่างไม่กลัวตาย
“เฮ้ย! ตามมาได้ไงย่ะ!?” คิโยมิเมื่อเห็นว่าใครมาเกาะตนก็เลิกฟัดกับนายเคียวแล้วมาแงะคนที่เกาะตนอยู่แทน “นี่นับวันยิ่งจมูกหมาหรือไง!? ตามเก่งเหลือเกิน!”
“ฟู่...รอดแล้วแฮะ” เคียวถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางทำตัวหลีบเพียงหนีออกห่างคิโยมิ
“ใครอีกล่ะเนี่ย?” ทาคาโอะถาม...ทำไมแต่ล่ะคนที่โผล่มานี่แปลกๆ ทั้งนั้นเนี่ยวันนี้?
“ยูโตะซังน่ะ / พ่อฉันน่ะ” ฟุริฮาตะ มิยาจิและยูยะตอบอย่างพร้อมเพรียง
“...” เหล่าเด็กหนุ่มถึงกับเอ๋อกินเล็กน้อย...สำหรับมิยาจิคนแม่พอโอเค แต่คนพ่อนี่ทำไมดูป่วนจังวะ!?
“เออ...ฉันว่าเรามาคุยเรื่องทาคาโอะต่อดีไหม?” โอสึโบะที่ถูกลืมบวกเอ๋อกินมาพักใหญ่เอ่ยขึ้น
“ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้รีบทำงานให้เสร็จแล้วกลับไปทำกับข้าวให้ไอ้พวกน้องบ้ามันกิน” เซย์ที่หลบอยู่ใต้เตียงคนไข้ตั้งแต่หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งโดดเข่าลอยใส่ชาวบ้านมุดออกมาแบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านแม้แต่น้อย
“หื้อ? ถ้าจำไม่ผิดวันนี้น้องคนเล็กแกกลับบ้านใช่ไหม?” เคียวที่รอดจากการโดนเชือด (?) มาได้ถาม
“ถูก และคงรู้สินะว่าทำไมฉันต้องรีบกลับบ้านแทนที่จะให้พวกมันไปหาซื้อกินกันเอง?” เซย์เอ่ย
“ชัดเจนวะ น้องคนเล็กแกกินนี่ยัดนุ่นชัดๆ” เคียวเดาสาเหตุออกได้ในทันที...ถ้าจำไม่ผิด ครั้งก่อนที่เจอน้องคนเล็กนี่ยังกับกอริล่าเลยนี่หว่า แถมยังกินจุขนาด ถ้าเกิดให้ไปหาซื้อกินเองมีแววว่าจะเสียตังค์ในกระเป๋าไปหลายใบเลยล่ะ
“ตามนั้น...” เซย์ยักไหล่นิดๆ “...เอาล่ะ มาเริ่มสอบถามกันเลยดีกว่าเนอะ และไอ้เคียว...กรุณาอยู่เงียบๆ อย่าป่วนอีกล่ะ ข้อมูลที่แกมีค่อยเอามาประกอบกับข้อมูลจากหมอนี่อีกทีง่ายกว่า”
“ขี้บ่นชะมัด” เคียวเบ้หน้า
“สมควรล่ะ” คิโยมิที่ถีบสามีตนที่เกาะเป็นปลิงออกได้แล้วลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มานั่ง “เอ้า! เล่ามาสิ ฉันเองก็อยากรู้...”
“ผมอยากรู้กว่าแม่เสียอีก...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองที่เป็นรุ่นพี่ของผู้บาดเจ็บภายในห้องบ่นอุบอิบ
“...นี่ถ้าบอกว่าไม่อยากบอกนี่กะตื้บผมเรียงคนเลยใช่ไหมเนี่ย?” ทาคาโอะยิ้มแห้งๆ ...ว่าตามจริงเขาไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นักหรอก เพราะพอนึกแล้วทำเอาเขาอดอารมณ์เสียไปด้วยไม่ได้ทุกที
“ถูก เพราะงั้นรีบบอกมา...” มิยาจิค้อนใส่ “...รีบๆ เล่ามาเลย เดี๋ยวถ้านายจะถูกมิโดริมะบ่นเดี๋ยวช่วย”
“จริงนะครับมิยาจิซัง?” ทาคาโอะตาวาว...ระหว่างแค่อารมณ์เสียกับโดนคู่หูตัวเองบ่นจนหูชา ข้อแรกนี่ดีกว่าเป็นไหนๆ เลย!
“เออ...” มิยาจิขานรับห้วนๆ ดวงตาสีน้ำผึ้งเหล่มองไปยังคนผมเขียวนิดๆ “...มิโดริมะ...อย่าเพิ่งหาอะไรมาชู้ตใส่หัวทาคาโอะนะเว้ย! โดนตอนนี้เดี๋ยวมันตายเอา!”
“...” มิโดริมะเบ้หน้าอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมวางถังขยะ (?) ลงกับพื้นแต่โดยดี
“เฮฮากันจริง...” เซย์หัวเราะเบาๆ “...เอ้าๆ ต่อ...งั้นช่วยเริ่มเล่าหน่อยสิ ว่าอยู่ๆ โดนดักตีหัวได้ไง?”
“ก็ไม่รู้อะไรมากหรอกครับ แค่กำลังจะไปโรงเรียนตามปกติแล้วดันโดนโจษย์เก่ามาดักไว้แค่นั้นน่ะครับ...ทางผมก็ดันมีคนเดียวทั้งๆ ที่พวกมันมีเป็นสิบ เลยโดนอัดน่วมจนสลบไปเลย...” ทาคาโอะเล่าตามที่ตนจำได้ “...รู้สึกตัวอีกทีก็ไปอยู่ในโกดังร้างที่ไหนก็ไม่รู้แล้วครับ จากนั้นไอ้พวกนั้นก็...เออ เอาเป็นว่ามารุมซ้อมผมสักพักก่อนวงแตกตอนที่เคียวซังโผล่มาก่อโลกาวินาศนั้นแหละครับ”
“อย่าเรียกโลกาวินาศสิ! ฉันออกแรงนิดเดียวเองนะ!” เคียวทำแก้มป่องเมื่อโดนว่า
“แต่ฉันว่าผลงานที่แกทำเนี่ยสมควรเรียกนั้นวะ...” เซย์ส่ายหน้าไปมา...อย่างไอ้นี่เนี่ยเรียกโลกาวินาศยังน้อยไปด้วยซ้ำมั้งเนี่ย? “...แล้วรู้หรือเปล่าว่าคนที่ทำร้ายนายทำร้ายนายเพราะอะไร?”
“รู้ครับ / ฉันก็รู้นะ!” ทาคาโอะตอบขณะที่เคียวก็เอ่ยแทรกขึ้นมาพอดี
“หื้อ? แกรู้ด้วยเหรอ?” เซย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อื้อ!” เคียวพยักหน้ารับ “พวกนั้นมาทำร้ายหมอนี่เพราะดันไปอัดลูกกระจ๊อกในกลุ่มมันที่ทำร้ายโคจังจนน็อกไปสองหน่ออ่ะ!”
“...เออ...แล้วไอ้สองหน่อที่ว่านั้นตายยัง?” เซย์ชักเหงื่อตกเมื่อได้ยินอย่างนี้...ก็นายฟุริฮาตะ เคียวคนนี้ดันเป็นพวกหวงน้องนี่หว่า ถ้าเกิดน้องมันโดนทำร้ายเขากล้าพนันเลยว่าต่อให้มีคนเอาคืนให้น้องมันแล้ว มันก็ยังไม่ยอมอยู่เฉยแน่
“ยัง แต่ฉันจับโยนเข้าซังเตไปแล้ว” เคียวตอบ
“...หมายถึงพวกที่เขาว่าหัวโกร๋นแถวย่าน×××แหง” เซย์เดาได้ทันทีเลยว่าคนร้ายที่เคียวบอกจับโยนเข้าคุกนั้นอยู่แถบไหน เพราะมันลงมือทีไหนสถานที่บริเวณนั้นจะเละและคนร้ายจะสติบินมันทุกครั้งเลย!
“ถูก” ชายหนุ่มผมน้ำตาลพยักหน้ารับ
“แล้วแกไปเจอรุ่นน้องของลูกฉันได้ไงย่ะ? ไอ้เคียว?” คิโยมิถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่...” เคียวฉีกยิ้มบางๆ ออกมา “...ช่วงนี้เห็นหมอนี่ไม่มาวนเวียนแถวบ้านผมเลยลองไปแอบตามดูเฉยๆ น่ะครับ แล้วเจอฉากเด็ดพอดั”
“ฉากเด็ด?” คำพูดของเคียวทำให้ทุกคนอดทวนอย่างงุนงงเสียมิได้
“อื้อ! เจอตอนหมอนี่ถูกลากขึ้นรถเพื่อพาไปที่โกดังร้างพอดีเลยแอบตามไปดู...” เคียวปิดหูเตรียมรับ...
“ด...เดี๋ยวนะครับ...นี่แอบตามไปตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ!?” ...เสียงร้องโวยลั่นของทาคาโอะ
“ถูก และยังได้ยินตอนที่นายพูดกับไอ้พวกนั้นด้วยนะ...” เคียวหัวเราะหึๆ “...อยากให้เป่าประกาศไหม?”
“ไม่ครับ! / อยาก!” ทาคาโอะปฏิเสธทันควัน หากแต่ว่าก็ถูกเสียงของคนอื่นๆ ภายในห้องกลบเสียมิดซะนิ
“สิบต่อหนึ่ง ถือว่าอยากให้เล่าให้ฟัง...” คิโยมิเอ่ยสั้นๆ แบบไม่ให้เด็กหนุ่มมีเวลาเถียงกลับ “...บอกมาเลยเคียว ฉันอยากรู้”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับคิโยมิซังแค่...พอทาคาโอะฟื้นขึ้นมาปุ๊บ ไอ้พวกนั่นก็มาขู่ประมาณว่า ‘หมดทางหนีแล้ว’ ‘โง่เองที่มามีเรื่องกับพวกข้า’ ‘แกอยากมีอะไรสั่งเสียก่อนตายไหม’ ‘ต่อจากแกไอ้เด็กผมน้ำตาลนั้นเป็นรายต่อไป’ และอีกเยอะแหละครับ จำไม่ได้ว่าพูดอะไรบ้างรู้แล้วส่วนใหญ่จะเอาโคจังมาขู่น่ะครับ แล้วจากนั้น...หมอนี่ก็ถีบยอดหน้าคนพูดแล้วแค่นเสียงว่า ‘ขอตื้บคนปากเน่าอย่างพวกนายแล้วกัน...โคจังของฉันเว้ย!’ ไอ้ผมก็กลัวหมอนี่โดนคนตื้บตายหรือไม่ก็ไปตื้บเขาตายเลยออกไปจัดการเองเลย” เคียวเล่ายาวพรืดแบบไม่สนใจสีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสองที่มีชื่อในคำพูดเมื่อครู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย
“...” พอเคียวพูดจบ ทุกคนก็เริ่มหันไปหามัมมี่ (?) ที่นั่งหน้าแดงอยู่บนเตียง...
...ให้ตายเถอะ! นี่มันไม่ต่างจากการให้เขาสารภาพรักโคจังต่อหน้าคนทั้งห้องเลยนะเพ่!...
ทาคาโอะทำได้เพียงกรีดร้องในใจเพราะคนอย่างนายฟุริฮาตะ เคียวนั้นตนไม่สามารถเอาคืนอะไรได้บวกกับ...อายจนไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้วนั้นเอง
“...นี่นายชอบหมอนี่เหรอวะ?” หลังอึ้งมาสักพัก ยูยะก็เอ่ยออกมาคนแรก
“มิน่าถึงชอบโดดซ้อมมานี่” มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ความแตกเร็วกว่าที่คิดนะครับเนี่ย” คุโรโกะเอ่ยหน้าตายสนิก
“นี่นายรู้อยู่แล้วเหรอ!?” คางามิหันไปแว๊ดใส่คู่หูตน
“...” ฟุริฮาตะไม่พูดอะไรหรอให้ถูกคือพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากสมองยังไม่กลับเข้าที่เข้าทาง
“ฉันควรยินดีที่แกอาจได้น้องเขยไหมเนี่ย?” คิโยมิถามลูกศิษย์ตนเองที่ยืนหน้าแป้นอยู่
“ตามแต่คิโยมิซังเถอะครับ” เคียวหัวเราะหึๆ
“คราวนี้ไม่หวงน้องเหรอ?” เซย์เลิกคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีของอีกฝ่าย...ก็ปกติไอ้นี่มันหวงน้องเอาโล่เลยนี่หว่า ไหงคราวนี้มันนิ่งจังวะ?
“ไม่ล่ะ รายนี่รักจริงหวังแต่ง พอรับมาพิจารณาได้” เคียวยักไหล่เล็กน้อย
“ความจริงเคียวคุงสืบมาหมดแล้วมากกว่า” ยูโตะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ถูกครับ” เคียวพยักหน้ารับหน้าตาเฉย
“แล้วนี่...” มิยาจิที่อยู่ใกล้ตัวทาคาโอะมากที่สุดเอานิ้วจิ้มแก้มอีกฝ่าย “...ใกล้ระเบิดตัวตายหรือยัง?”
“ใกล้แล้วครับ” ทาคาโอะตอบเสียงแผ่ว
“เด็กรุ่นนี้ขี้อายจังแฮะ” ยูโตะบ่นนิดๆ
“ถ้าเทียบกับคุณคงขี้อายหมดล่ะ...ทั้งโลกไม่มีใครด้านเท่าคุณแล้ว” คิโยมิมั่นใจเลยว่า...ไม่มีใครด้านเท่าสามีตนอีกแล้วล่ะ
“คิโยมิใจร้ายอ่ะ!” ยูโตะทำแก้มป่องก่อนที่จะเริ่มอ้อนภรรยาตนเองตามปกติ
“จะจีบอะไรกันเกรงใจคนไม่มีแฟนบ้างเถอะครับ” เซย์กรอกตาไปมา
“เดี๋ยวแกก็มีแล้วนี่ไอ้เซย์...ไอ้คนยักษ์ที่มาจีบแกไง” เคียวเอ่ย
“กูไม่มีทางรับไอ้โทชิมาเป็นแฟนเว้ย!!!” เซย์ทำหน้าเหมือนสยองเมื่อนึกถึงคนที่ว่านั้น
“ดูท่าเราถูกลืมแล้วล่ะ” โอสึโบะมองแต่ล่ะคนที่มองข้ามหัวตนกันไปเสียแล้ว
“นั้นสิ” คิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยืนเงียบๆ ทำหน้าที่ผู้ชมที่ดี (?) ต่อไป
“...” ทางฟุริฮาตะที่เริ่มดึงสติกลับเข้าร่างได้แล้วนวดขมับเล็กน้อย “ทาคาโอะ...นายเอาจริงดิ?”
“อื้อ...” ทาคาโอะพยักหน้ารับ...ยังไงเรื่องก็มาขนาดนี้แล้ว เป็นไงเป็นกันวะ!!!
“มาชอบอะไรกับฉันเนี่ย?” ฟุริฮาตะมั่นใจว่าอย่างทาคาโอะเนี่ยน่าจะฮ็อกในหมู่สาวๆ พอดู
“ไม่รู้อ่ะ รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว” ทาคาโอะตอบไปตามตรง
“น้ำเน่า...” ฟุริฮาตะเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้...ก็เล่นพูดยังกับบทละครหลังข่าวนี่หว่า
“ถึงน้ำเน่าแต่มันก็จริงนะ~” ทาคาโอะลากเสียงยาว
“นายนี่น่า...” ฟุริฮาตะทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจสุดแสน “...เฮ้อ เอาเถอะ”
...ยังไงเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรทาคาโอะนี่ ถึงโดนตามจีบก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ไอ้เรื่องแฟนนี่...คงต้องคิดอีกทีล่ะนะ...
“นี่ๆ โคจัง...ท่าทางแบบนี้แสดงว่าฉันตามจีบได้ใช่เปล่า?” ทาคาโอะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โวยไม่ได้ด่าอะไรอย่างที่ควรเป็นถามอย่าง...หน้าด้านสุดๆ
“จีบน่ะได้ แต่นายจะจีบฉันติดหรือเปล่าน่ะอีกเรื่องนะ” ฟุริฮาตะเอ่ยเหมือนท้าทาย
“จริงนะ!?” ทาคาโอะตาวาวขึ้นมา “เย้!”
...แบบนี้ถึงอายไปหน่อยที่โดนเป่าประกาศที่ว่าชอบโคจัง แต่ก็คุ้มวะเฮ้ย!...
“เฮ้ยๆ! เจ็บอยู่ก็อย่าโดดโลดเต้นสิไอ้บ้า!” มิโดริมะแว๊ดใส่ทันทีเมื่อเพื่อนร่วมทีมตนจะลุกขึ้นมากระโดดโลนเต้น...และคงลุกไปแล้วถ้าฟุริฮาตที่อยู่ใกล้ๆ ไม่จับตัวเอาไว้เสียก่อน
“...เดี๋ยวที่ชมรมได้คู่รักพิลึกเพิ่มมาอีกหน่อแหง” ยูยะที่ถอยหลบฉากความวุ่นวายออกมาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นี่รวมตัวเองด้วยหรือเปล่า?” มิยาจิที่กระดึบหลบความวุ่นวายออกมาอีกคนถาม...ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้มันโดนไอ้กอริล่ายักษ์ (?) ของราคุซันตามจีบอยู่นี่หว่าและถ้าเกิดจีบติดขึ้นมา น้องเขานี่แหละจะกลายเป็นหนึ่งในคู่รักพิลึกขึ้นมาเสียเอง
“เออ...” ยูยะขานรับห้วนๆ พลางมองความวุ่นวายตรงหน้าอย่างปลงสุดแสน...และหวังว่าพวกเขาคงไม่โดนหมอโดนพยาบาลโผล่มาแว๊ดข้อหาก่อความวุ่นวายกันนะ
End
Cr. かお
http://www.pixiv.net/
ความคิดเห็น