ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงศ์หากิน PSM และสาระดนตรีไทย

    ลำดับตอนที่ #181 : [เสภา] ปี่พาทย์ประกอบเสภา

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 50



                 อนึ่งการขับเสภาแต่สมัยโบราณ ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดประกอบ นอกจากกรับที่ผู้ขับขยับประกอบแทรกแซงสอดสลับในทำนองขับของตนเท่านั้น เนื่องจากการขับเสภาเป็นที่นิยมแพร่หลาย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็โปรดฟังการขับเสภาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแก่มีเสภาเป็นของหลวงประจำพระองค์ ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า คนขับเสภาถึงแม้ว่าจะได้ผลัดเปลี่ยนขับคนละตอนตามถนัดแล้วก็ตาม คนขับก็ยังเหน็ดเหนื่อย มีเวลาพักไม่เพียงพอ จึงโปรดเกล้าให้จัดวงปี่พาทย์เข้าประกอบเป็นอุปกรณ์การขับเสภา โดยให้แทรกเพลงร้องส่งให้ปี่พาทย์รับ และบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เหมือนอย่างการแสดงละคร ตอนใดดำเนินเรื่องก็ขับ ตอนใดเป็นถ้อยคำรำพันหรือข้อความอื่นที่ควรแก่การร้องส่งก็ร้อง จะเป็น "ช้าปี่" หรือ "โอ้ปี่" อย่างละครก็ได้ ตอนใดเป็นบทไปมาหรือรบ ปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลงกราวนอก กราวใน หรือเชิด เป็นอย่างที่ท่านสุนทรภู่กล่าวไว้ในกลอนว่า "เสียงส่งกราวเชิดเพลงโหน่งเหน่งไป" การขับเสภาที่มีปี่พาทย์ก็เห็นจะเริ่มขึ้นแต่รัชกาลที่ 2 นั้นเป็นครั้งแรก โดยมีหลักฐานอยู่ในกลอนคำไหว้ครู ซึ่งแต่งในรัชกาลที่ 2 ว่า
    "เดิมเมื่อครั้งจอมนรินทร์แผ่นดินลับ
    ครั้นมาถึงพระองค์ผู้ทรงชัย
    เสภาขับยังหามีปี่พาทย์ไม่
    ก็เกิดมีขึ้นในอยุธยา"
    และถือเป็นแบบฉบับมาจนทุกวันนี้ แต่ปี่พาทย์ที่ใช้ในสมัยนั้นมีเพียงระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ปี่ กลอง และตะโพน ภายหลังทรงเห็นว่าเวลาตะโพนตีประกอบจังหวะกับการร้องส่งภายในอาคาร ย่อมมีเสียงดังเกินความต้องการไปมาก จึงโปรดให้นำ "เปิงมาง" มาติดข้าวสุกถ่วงเสียง ตีประกอบจังหวะแทนตะโพน เรียกชื่อในการนี้ว่า "สองหน้า" ก็เป็นประเพณีสืบมาอีกอย่างหนึ่ง

    เคล็ดลับของเพลงปี่พาทย์ประกอบเสภา

    เพลงปี่พาทย์ประกอบเสภามีเคล็ดลับอย่างหนึ่ง คือ ตามธรรมดาคนขับเสภาหรือนักร้องที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ต้องร้องเพลงทุกเพลงได้ถูกต้องตรงระดับเสียงของเครื่องดนตรี โดยไม่ต้องเคาะเสียงดนตรีให้ฟังก่อน แต่ในการเอื้อเฟื้อของอาจารย์ทางดนตรีได้หาวิธีบอกเสียงให้ผู้ร้องทราบไว้สำเร็จแล้ว โดยใช้หลักวิชาเป็นเครื่องประกอบ คือ
    1. เพลงโหมโรงของโบราณ จะต้องจบลงตรงเสียงอันเป็นคู่แปด (Octave) กับเสียงลูกรองยอดของระนาดเอก หรือฆ้องวงใหญ่
    2. เพลงที่รับจากร้องส่งทุกเพลงต้องออกลูกหมด และลูกหมดทุกชนิด ก็จบลงตรงเสียงลูกรองยอดของระนาดเอก หรือฆ้องวงใหญ่เช่นเดียวกัน เสียงลูกรองยอดนี้เทียบได้กับเสียง "เร" ของดนตรีสากล ซึ่งเป็นเสียงที่สำคัญที่สุดของนักร้องเพลงไทยที่จะต้องยึดถือ เมื่อกระนี้แล้วถ้าผู้ขับร้องสำเหนียก และรักษาเสียงนั้นไว้ได้แม่นยำ ก็จะร้องเพลงต่อๆไปได้โดยไม่ผิดเพี้ยนเลย 
    http://www.anurakthai.com/
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×