ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงศ์หากิน PSM และสาระดนตรีไทย

    ลำดับตอนที่ #166 : [นักดนตรีไทย] ครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 50



    ครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์




                ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๐ – พ.ศ. ๒๕๐๓ กรมศิลปากรได้จัดให้มีการแสดงโขน และละครประเภทต่างๆ ให้ประชาชนชมเป็นประจำ ณ โรงละครกรมศิลปากร ซึ่งการแสดงโขนละครแต่ละเรื่องแต่ละตอนจะต้องมีนักร้องทั้งชายและหญิงร่วมร้องเพลงด้วยเสมอ และท่านผู้หนึ่งในจำนวนนักร้องสตรีของกรมศิลปากร ผู้ซึ่งมีกระแสเสียงไพเราะ กังวาน ทั้งยังสามารถขับร้องเพลงไทยได้ทุกเพลง จนได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นผู้ขับร้องเพลงเป็นต้นเสียงในการขับร้องอยู่เสมอ ก็คือครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์

    ครูแช่มช้อย เดิมชื่อ นางสาวแช่ม ดุริยประณีต (เหตุที่เปลี่ยนชื่อเป็นแช่มช้อย เพราะว่าในสมัยรัฐบาลของ ฯพณฯ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม มีนโยบายให้คนไทยมีชื่อที่ไพเราะและเหมาะสม) เป็นบุตรของ ครูศุข    ดุริยประณีต นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นเจ้าของวงดุริยประณีต กับคุณแม่แถม (สกุลเดิม “เชยเกษ”) ผู้มีความสามารถในการขับร้องและแสดงละคร ครูแช่มช้อยเกิดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ณ บ้านเลขที่ ๑๐๐ ถนนลำพู หลังวัดสังเวชวิศยาราม ตำบลบางลำพู อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๑๒ คน โดยพี่น้องของท่านที่เป็นนักดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ครูโชติ ดุริยประณีต ครูชื้น ดุริยประณีต ครูชั้น ดุริยประณีต ครูสุดา เขียววิจิตร ครูชม รุ่งเรือง ครูทัศนีย์ พิณพาทย์ ครูสุดจิตต์ อนันตกุล และครูสืบสุด ดุริยประณีต
                   ก่อนที่ครูแช่มช้อยจะเกิดนั้น มารดาของท่านมีบุตรถึง ๕ คนแล้ว เป็นชาย ๓ คนและหญิง ๒ คน มีความสามารถบรรเลงดนตรีไทยได้ ๔ คน และเป็นนักร้อง ๑ คน คือ ครูสุดา เขียววิจิตร และด้วยเหตุที่คุณแม่แถมผู้เป็นมารดาต้องการให้บุตรของท่านเป็นนักร้องหลายๆ คน ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุตรที่จะเกิดต่อไปได้เป็นนักร้อง ซึ่งคำอธิษฐานนั้นก็เป็นความจริง เพราะหลังจากคุณแม่แถมได้ให้กำเนิดครูแช่มช้อย และน้องๆ รองลงไปอีก ๓ คน ซึ่งเป็นผู้หญิงนั้น ก็ปรากฏว่าบุตรหญิงทั้ง ๔ คนได้เป็นนักร้องหมดทุกคน
    ในวัยเยาว์นั้น ครูแช่มช้อยได้เริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมกับครูแนบที่โรงเรียนแนบวิทยา บางลำพู และในระหว่างกำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษานั้น คุณแม่แถมผู้เป็นมารดาก็สอนในครูแช่มช้อยหัดขับร้องเพลงไทย แต่ครูแช่มช้อยไม่ชอบต่อเพลงกับมารดา มารดาจึงนำไปฝากกับพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ผู้ซึ่งเป็นผู้วางรากฐานวิชาการขับร้องและปรับปรุงวิธีขับร้องที่ทำให้ลีลาการขับร้องเปลี่ยนแนวไปจากการขับร้องแบบโบราณ มาเป็นทางที่ละเมียดละไมกว่านักร้องรุ่นก่อน ดังนั้น ครูแช่มช้อยจึงพลอยได้รับความรู้และความสามารถในการขับร้องเพลงไทยตามแบบของพระยาเสนาะดุริยางค์ และได้สนิทสนมรักนับถือกันกับครูเจริญใจ สุนทรวาทิน (ศิลปินแห่งชาติ) มาตั้งแต่นั้น
    นอกจากครูแช่มช้อยจะได้รับการสั่งสอนทางด้านการขับร้องเพลงไทยจากมารดาและพระยาเสนาะดุริยางค์ดังกล่าวแล้ว ท่านยังฝึกหัดดนตรีไทยจากครูศุข ผู้เป็นบิดา จนมีความรู้ความสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีไทยได้หลายชนิด เช่น ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวง เป็นต้น
    ในสมัยรัชกาลที่ ๗  ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาเสนาะดุริยางค์ จัดตั้งวงมโหรีหลวงขึ้นวงหนึ่ง เรียกว่ามโหรีข้าหลวง ผู้บรรเลงเป็นข้าในพระองค์โดยเฉพาะและเป็นสตรีล้วน มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เดิมนักดนตรีเหล่านี้มีหน้าที่บรรเลงมโหรีถวายเป็นการส่วนพระองค์ แต่ต่อมาได้มีการเพิ่มเติมหน้าที่อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น จึงต้องหานักดนตรีที่มีอายุน้อยๆ ถัดลงมาเพื่อบรรจุเพิ่มเติมให้มากพอที่จะบรรเลงและแสดงละครได้ ซึ่งโอกาสนี้เอง ที่ครูแช่มช้อยได้รับเลือกเข้าไปทำหน้าที่บรรเลงมโหรีหลวงรุ่นต่อมา โดยทำหน้าที่ตีระนาดทุ้มบ้าง ตีฆ้องวงบ้าง และขับร้องสลับผลัดเปลี่ยนกันไป ในระหว่างที่ทำหน้าที่เป็นผู้ขับร้องอยู่ในวงมโหรีหลวงนี้ ครูแช่มช้อยได้เรียนรู้การขับร้องเพลงไทยเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก ต่อมาเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง วงมโหรีหลวงก็สลายไป ครูแช่มช้อยจึงย้ายไปสังกัดกรมศิลปากรเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ขณะนั้นครูมีอายุได้ ๑๔ ปี ซึ่งที่นี่เองที่ทำให้ท่านได้มีโอกาสเรียนขับร้องเพลงเพิ่มขึ้นจากหลวงเสียงเสนาะกรรณ (พัน มุกตวาภัย) ซึ่งท่านได้ต่อเพลงไทยทั้งประเภทเพลงสามชั้น เพลงตับ เพลงเถา รวมทั้งการขับเสภาไทย เสภามอญ และการขับร้องประกอบการแสดงโขน ละคร
    นอกจากจะต่อเพลงจากหลวงเสียงเสนาะกรรณแล้ว ครูแช่มช้อยยังได้ต่อเพลงจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และครูมนตรี ตราโมทอีกด้วย และบางครั้งก็ยังได้ต่อเพลงเพิ่มเติมจากหม่อมจันทร์ กุญชร ณ อยุธยา และหม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ ซึ่งชำนาญการขับร้องเพลงในละครพันทางเรื่องพระลอ
    ตลอดเวลาที่ครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์รับราชการอยู่ที่กรมศิลปากร ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับร้องในเวลาแสดงโขน ละคร ณ โรงละครศิลปากร และงานทั่วไปทั้งของรัฐบาลและเอกชน นอกจากจะทำหน้าที่ขับร้องเพลงไทยแล้ว ครูแช่มช้อยยังทำหน้าที่เป็นครูสอนวิชาขับร้องและขับเสภาให้แก่นักเรียนโรงเรียนนาฏศิลป์ด้วย
    ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ กรมศิลปากรได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้เป็นทุนจัดพิมพ์หนังสือโน้ตเพลงไทยเล่ม ๑ อันประกอบด้วยเพลงบรรเลงและเพลงขับร้อง ในการนี้ มีบทเพลงไม่น้อยที่ต้องบันทึกทางขับร้องออกมาเป็นโน้ตสากล ซึ่งครูแช่มช้อยก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้บอกทางขับร้องเพลงในครั้งนั้น โดยร้องให้คุณพิษณุ แช่มบาง ฟังทีละตอนสั้นๆ แล้วเขียนแยกออกมาเป็นตัวโน้ตสากล นับเป็นงานที่ครูภาคภูมิใจมากที่ได้สนองพระมหากรุณาธิคุณ
    ต่อมา กรมศิลปากร มีนโยบายที่จะบันทึกเสียงการขับร้องและการบรรเลงเพลงไทยเพื่อบันทึกเป็นแผ่นเสียงออกจำหน่าย นางแช่มช้อยก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ขับร้องเพลงไทยหลายเพลง เช่น เพลงเขมรไทรโยค เพลงบุหลันลอยเลื่อน เพลงนเรศวรชนช้าง เพลงทองย่อน เพลงแขกพราหมณ์จากเรื่องเงาะป่า และเพลงแอ่วเคล้าซอ เป็นต้น
    นอกจากการเป็นนักร้องสังกัดกรมศิลปากรแล้ว ครูแช่มช้อยยังเป็นนักร้องประจำวงดุริยประณีตของบิดา ได้สอนขับร้องแก่ศิษย์ไว้มาก ที่มีชื่อเสียง เช่น ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ครูกัญญา โรหิตาจล ครูพัฒนี พร้อมสมบัติ ครูมัณฑนา เพิ่มสิน ครูศิริ วิชเวช และนายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว เป็นต้น
    ทางด้านชีวิตครอบครัว ครูแช่มช้อยได้สมรสกับ ครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ นักร้องชายผู้มีชื่อเสียงของกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ มีบุตรธิดารวม ๖ คน โดยบุตรธิดาที่มีชื่อเสียงทางด้านการขับร้อง ได้แก่ ครูสุรางค์ ดุริยพันธุ์ ครูดวงเนตร ดุริยพันธุ์ และครูนฤพนธ์ ดุริยพันธุ์ โดยครูแช่มช้อยเคยเล่าว่าไม่อยากให้ลูกทุกคนต้องมีอาชีพขับร้อง แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็นึกเสียดายวิชาการในเรื่องเพลงเพราะได้เรียนมามาก เมื่อลูกๆ สนใจในดนตรีไทยและขับร้องเพลงไทยได้ดีก็ชื่นใจ
    ครูสุรางค์ ดุริยพันธุ์ได้เคยเล่าถึงครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ไว้ว่า ท่านเป็นผู้มีกระแสเสียงที่ไพเราะ กับทั้งยังมีลีลาการขับร้องที่อ่อนหวาน นุ่มนวล เรียบร้อย และประณีตเป็นอย่างมาก โดยในการร้องเพลง ครูแช่มช้อยจะร้องเพลงอย่างละเอียดพิถีพิถัน ใส่ใจในการผันคำและการใส่อารมณ์ตามบทร้องและทำนองของเพลงเพื่อให้บทเพลงที่ขับร้องนั้นมีความไพเราะและสามารถสร้างมโนภาพให้แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ตัวอย่างหนึ่งที่ครูสุรางค์ได้เล่าให้ฟังก็คือในการร้องเพลงโสมส่องแสงที่มีบทร้องตอนหนึ่งว่า “....ทรงกลดโรจน์รุ่งพร้อย งามหยดย้อยลอยดวงเด่น...” นั้น ครูแช่มช้อยจะหยุดวรรคหลังคำว่า “หยด” ครู่หนึ่ง เพื่อให้ได้มโนภาพของคำว่าหยด แล้วจึงร้องผันคำที่คำว่า “ย้อย” อย่างอ่อนหวานเพื่อให้ได้มโนภาพของคำว่าย้อย เป็นต้น
    ครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ รับราชการในกรมศิลปากรจนมีอายุถึง ๕๘ ปี เกิดมีโรคภัยเบียดเบียนหลายโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ต้องได้รับการฉีดยาทุกวันในตอนเช้า บางครั้งมีอาการป่วยมากต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ต่อมามีอาการทรงตัวไม่ได้ตามปกติและอ่อนแอลง แต่ความทรงจำยังดี สามารถต่อเพลงให้ศิษย์ได้ บางครั้งก็เกิดอาการมึนงงเนื่องจากเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอ บางคราวก็มีอาการใจสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเดินไม่ถนัด อาการเช่นนี้เป็นมาตลอดจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ
    วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ประมาณเที่ยงคืน ครูแช่มช้อยมีอาการอ่อนเพลียมาก หลังจากเข้าห้องน้ำและเป็นลม ลูกหลานช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนั้น หัวใจหยุดเต้นแล้ว แพทย์ต้องเยียวยาจนหัวใจกลับเต้นและความดันโลหิตเป็นปกติ แต่ไม่สามารถพูดได้ ครั้นถึงเวลา ๐๕.๐๐ น. ของวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ครูแช่มช้อยก็ถึงแก่กรรมด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ ๖๔ ปี
    ในการบำเพ็ญกุศลศพครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ ณ วัดตรีทศเทพนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพวงมาลาหน้าศพ และในวันพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๗ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร ๕ ไตร ทอดถวายพระสงฆ์บังสุกุลในการพระราชทานเพลิงศพด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

    http://tcmc.nisit.kps.ku.ac.th/.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×