คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [SF] Hope to see you :: Kiss
SF
Hope to see you
((รู้สึกว่ามันมีแต่คิส 55))
...สวัสดีฮะ..ผมชิม ชางมินฮะ ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง วัน ๆ ผมก็ได้แต่เรียน จนผมได้มาเจอคน ๆ หนึ่งเข้า คนที่มอบแสงสว่างนำทางให้แก่ตัวเอง ทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้ คุณอยากรู้ไหม ว่าคน ๆ นั้นที่ผมพูดถึงคือใครกัน
เมื่อ 6 ปีก่อน ผมยังเป็นแค่เด็กที่กำลังจะเตรียมตัวเป็นนักเรียนมัธยมปลายอย่างเต็มตัว แต่แล้วผมก็ได้พบกับเขาในวันรับน้อง
“สวัสดีครับ ชิม ชางมินใช่มั้ย” รุ่นพี่ยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แววตาคู่นั้นที่ทอดมองมาที่ผม ทำให้ผมไม่สามารถละออกไปได้
“ฮะ” ผมเอ่ยตอบรุ่นพี่คนนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชางมินเป็นน้องรหัสพี่นะครับ พี่ ปาร์ค ยูชอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แววตาเป็นประกายคู่นั้นกำลังจ้องมองใบหน้าของผม ผมเห็นใบหน้าของตัวเองอยู่ในดวงตาคู่นั้น มือของเขายกขึ้นลูบที่ศีรษะของผม
“ฮะ พี่ยูชอน” ผมตอบกลับอย่างเขิน ๆ แล้วระบายยิ้มกว้างให้เขา...ผมหวังว่าเขาจะชอบรอยยิ้มของผมนะ
“ชางมินทานอะไรมารึยังครับ” ผมส่ายหัวน้อย ๆ อา...พี่เขากำลังจะชวนผมไปทานเข้าใช่มั้ย
“หิวรึเปล่าครับ เราไปหาอะไรทานกันมั้ย” น้ำเสียงอบอุ่นนั่นซึมลึกเข้าไปกระตุ้นให้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมเต้นระรัวอย่างจับจังหวะไม่ได้
“ฮะ” ผมกล่าวพลางพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับ
“ชางมินชอบทานอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ฮะ ผมเป็นคนทานง่าย” หลังจากที่ผมตอบเขาไป เขาก็พยักหน้ากับผมเช่นกัน ก่อนที่จะระบายยิ้มให้ มือคู่นั้นก็กอบกุมมือของผมไว้ แล้วพาผมเดินไปที่โรงอาหารด้วยกัน ผมไม่อยากปล่อยมือเขาไปเลยจริง ๆ
ระหว่างที่เดินอยู่นั้น ผมกับพี่ยูชอนใกล้กันมาก จนผมได้กลิ่นกายอ่อน ๆ ของพี่ยูชอน ผมพยายามซึมซับกลิ่นกายของเขาให้ชุ่มปอด มันรู้สึกดีมากจริง ๆ..
“งั้นชางมินรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้ออะไรมาให้ทาน” มืออุ่นของพี่เค้าลูบศีรษะของผมอีกครั้ง ราวกับว่าผมเป็นเด็ก ๆ แล้วแผ่นหลังของเขาก็ค่อย ๆ ห่างจากผมไปเรื่อย ๆ
ไม่นานอย่างที่ผมคิดไว้ในตอนแรก พี่เขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมจานสองใบในมือ กลิ่นหอมคุ้นเคยทำให้ผมต้องเหลียวหลังกลับไปมอง
“อา~ ข้าวแกงกะหรี่หรอฮะ” ผมเอ่ยทันทีที่ได้กลิ่นหอมของแกงลอยมาเตะจมูกผม พี่ยูชอนยิ้มให้ผมแล้วพยักหน้ารับ
“ครับผม ทานเยอะ ๆ หละ” เขาวางจานใบหนึ่งไว้ตรงหน้าผม ก่อนที่อีกใบจะวางไว้ตรงหน้าของเขา พี่ยูชอนค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้ามกับผม
“ขอบคุณฮะ” ผมยิ้มให้พี่เขาอีกครั้ง แล้วเริ่มทานอาหารมื้อที่น่าจดจำมื้อแรกของผม ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าระหว่างที่ผมกำลังทานข้าวอยู่นั้น พี่เขาเองก็เหลือบมองผมอยู่บ่อย ๆ ผมจะรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ว่าพี่เขาก็แอบชอบผมอยู่ลึก ๆ
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ผมคาดคิดไว้ ไม่นานนัก พี่ยูชอนก็พาผมไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อน ๆ ในระหว่างนั้น ผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นผู้ชายตัวเล็กน่ารัก ชื่อคิม จุนซู เขาเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสเสียจนผมอิจฉา แถมยังดูเข้ากับคนง่าย ซึ่งต่างกับผมโดยสิ้นเชิง
ส่วนอีกคน เป็นผู้ชายตัวพอ ๆ กับจุนซู แต่เขามีใบหน้าหวานกว่ามาก ชื่อคิม แจจุง ถึงในตอนแรกผมจะกลัวกับท่าทางนิ่ง ๆ ของเขา แต่พอได้รู้จักกันแล้ว ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด...แล้วเขาก็มีแฟนแล้วด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะชื่อชอง ยุนโฮ แล้วผมก็ได้ยินมาว่าพี่ยุนโฮคนนี้สนิทกับพี่ยูชอนเสียด้วย
ทั้ง ๆ ที่พวกเราทั้งสามคนมีนิสัยแตกต่างกันมาก แต่เรากลัวสนิทกันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และที่ผมได้รู้อีกสองเรื่องคือ จุนซูเป็นคนที่ตลกโดยไม่มีเหตุผล ส่วนแจจุงเองก็ทำอาหารเก่งมาก
วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่ทุกคนว่ากัน ช่วงเวลาดี ๆ มักจะผ่านไปเร็วเสมอ.. ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมก็อยากต่อเวลาไปอีกเสียหน่อย ในตอนเย็น พี่ยูชอนเองก็มาหาผมด้วย ผมดีใจมากจริง ๆ
“ชางมินครับ บ้านเราอยู่แถวไหลหละ” น้ำเสียงอุ่นที่ผมได้ฟังมาเกือบทั้งวันจนเต็มอิ่มเอ่ยกับผม
“อา.. ตอนนี้ผมเช่าอพาร์ทเมนต์แถวนี้อยู่หนะฮะ” ผมตอบเขาอย่างอ้อมค้อม แล้วระบายยิ้มตอบให้
“ใช่อพาร์ทเมนต์ตรงหัวมุมนี่รึเปล่าครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก แทนคำตอบ
“บังเอิญจัง พี่ก็อยู่ที่นั่นพอดี งั้นเรากลับด้วยกันมั้ย” อา.. พี่เขาทำก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายผมเต็นแรงอีกแล้วสิ พี่ยูชอนชวนผมกลับบ้านด้วยกันหละ...แย่จัง ที่ผมไปด้วยไม่ได้
“ขอโทษฮะ แต่ผมต้องไปทำงานพิเศษตอนเย็นถึงดึกเลย ผมคงกลับพร้อมพี่ไม่ได้หรอกฮะ” ผมปฏิเสธไปอย่างเสียดาย แล้วโค้งศีรษะลงเป็นการขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ” พี่ยูชอนตอบผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น..รอยยิ้มนั่นทำให้ผมมีความสุขจัง~
“ขอบคุณนะฮะ ผมขอตัวก่อนนะ” ผมพูดกับเขาเป็นคำสุดท้าย ก่อนที่จะละออกจากร่างคุ้นเคยนั้นไป ขาของผมก้าวไปตามถนนสายยาวด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม..ทำไมผมถึงอารมณ์ดีแบบนี้ได้นะ
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมมากนัก ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นผลักประตูกระจกใสอย่างคุ้นเคย
“ขอโทษที่มาสายฮะ” ผมเดินเข้าไปเอ่ยกับผู้จัดการร้าน เขายิ้มให้กับผมแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงบอกผมว่า ไม่เป็นไร ผมรีบเดินเข้าไปหลังร้านแล้วหยิบชุดเครื่องแบบพนักงานเรียบ ๆ มาเปลี่ยน แล้วรีบออกไปรับออเดอร์จากลูกค้าที่นั่งอยู่เต็มร้านด้วยรอยยิ้ม...
วันนี้ลูกค้าในร้านเยอะมากจริง ๆ ผมทำงานเลยเวลามามาก ตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว ผมเปลี่ยนเครื่องแบบกลับเป็นเครื่องแบบนักเรียนดังเดิม แล้วโค้งศีรษะขอบคุณเจ้าของร้านอีกครั้ง
“ขอโทษที่วันนี้เลยเวลามาเยอะเลยนะ รีบกลับไปพักผ่อนให้มาก ๆ หละ” เขากล่าวกับผมอย่างเอ็นดู ผมแย้มรอยยิ้มให้แล้วเดินออกจากร้านมุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนต์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก โดยไม่ลืมแวะเข้าร้านหนังสือที่อยู่ใกล้ ๆ
ผมเดินดูหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ในร้านอย่างเพลินตาจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมเหลือบมองนาฬิกาเรือนเล็กในข้อมือแล้วรีบเดินทางกลับทันทีโดยที่ยังไม่ได้หนังสือเล่มใหม่ติดไม้ติดมือมา...
ในระหว่างทางกลับ ผมเองก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ผมเห็นร่างคุ้นตาของพี่ยูชอนในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นกลับทำให้เขาโดดเด่นอย่างประหลาด...และผมก็ไม่ได้ตาฝาดจริงๆ
“อ้าว ชางมิน เพิ่งเลิกงานพิเศษหรอครับ” พี่ยูชอนทักทายผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นเคย วันนี้ทำให้ผมมีความสุขมากจริง ๆ
“อ่อ เลิกมาพักนึงแล้วฮะ แต่ผมแวะดูหนังสือเพลินไปหน่อย” ผมหัวเราะแห้ง
“ครับ รีบกลับห้องได้แล้ว พรุ่งนี้จะเริ่มเรียนแล้วไม่ใช่หรอไง เดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะ” เขายกมือขึ้นบีบจมูกของผมราวผมเป็นเด็ก ๆ
“ฮะ”
“แล้วนี่พักอยู่ห้องไหนหละ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” มือของเขากุมมือผมอีกครั้ง อา..ถึงตอนนี้อากาศจะเย็นตัวลงมากแล้ว แต่มือของเขาก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเคย
“416 ฮะ” ผมตอบไปอย่างว่าง่าย
“ดีจัง ใกล้กับพี่เลย พี่อยู่ 410 นะ มีปัญหาอะไรก็มาหาได้นะครับ” เขาว่าพลางกดลิฟต์ไปที่ชั้น 4 ผมกับพี่ยูชอนก้าวขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน ไม่นานนัก สัญญาณก็บอกว่าถึงชั้นที่ได้เลือกไว้แล้ว
ผมกับพี่ยูชอนก้าวไปตามทางเดินเรียบ ๆ กันเพียงสองคนผ่านหน้าห้องของเขาไป จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผม ห้อง 416
กุญแจสีเงินดอกเล็กถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผม ก่อนที่จะเสียบเข้าไปในร่องของลูกบิดประตู ตามด้วยเสียง แกร๊ก เบา ๆ ที่บ่งบอกว่าห้องถูกเปิดออกแล้ว ผมหันใบหาพี่ยูชอนอีกครั้ง
“ขอบคุณนะฮะ” ผมเอ่ยคำที่สมควรพูดที่สุดเท่าที่จะนึกได้ แล้วยิ้มให้เขา
“หลับฝันดีนะครับ” อา พี่ยูชอนยิ้มแบบนั้นอีกแล้วสิ
“เช่นกันฮะ” ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมมันร้อนขึ้นเรื่อย ๆ มือถูกสั่งการให้รีบบิดลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าห้องไปให้เร็วที่สุด
ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็ยิ่งสนิทกับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จากชอบ ก็เริ่มกลายเป็น.. “รัก” ผมกับเขาเริ่มมีความรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเองมากขึ้น กล้าเปิดเผยในเรื่องต่าง ๆ ของกันและกัน ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ผมจะไม่ค่อยได้เจอเขามากเท่าแต่ก่อน ผมจะรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ว่าผมกับเขาเริ่มห่างกันเรื่อย ๆ
จนวันหนึ่ง ผมก็รู้ข่าวบางอย่างของเขาจากจุนซู ก็เขาหนะดังเสียจนคนทั้งโรงเรียนรู้จัก ไม่แปลกหรอกที่เพื่อนของผมจะรู้ด้วยเช่นกัน แต่ข่าวนั่นก็ทำให้ผมช็อคไปเลยเหมือนกันนะ คงเพราะผมไม่ได้รู้เป็นคนแรกเหมือนครั้งก่อน ๆ...
“ชางมิน แจจุง” จุนซูวิ่งหน้าตาตื่นมาหาผมและแจจุงที่นั่งเรื่อยเปื่อยอยู่บนห้อง
“อะไรอีกหละ วิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาเชียว” แจจุงเอ่ยเสียงเรียบ แต่สำหรับผม นั่นก็ยังเป็นน้ำเสียงที่หวานหูอยู่ดี
“ทั้งพี่ยุนโฮกับพี่ยูชอนของพวกนายหนะ กำลังจะไปต่างประเทศแล้วหรอ ทำไมไม่มาบอกกันบ้างหละ” จุนซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แจจุงถึงกับทำหน้าเศร้าลงไปในทันที แต่สำหรับผม...
“น..นายว่าอะไรนะจุนซู..พ....พี่ยูชอน..จะไปต่างประเทศหรอ” ผมเอ่ยกับจุนซูด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนที่ยากจะควบคุม ผมรู้สึกว่าทั้งร่างสั่นไปหมด รวมถึงหัวใจของผมด้วย..
“ห..ห๊า นายยังไม่รู้หรอชางมิน!” เขาเอ่ยกับผมที่น้ำตากำลังจะนองหน้า
“พ..พี่ยูชอนกำลังจะไปที่ไหน..จ....จุนซู” ผมเอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงจากดวงตาของผม..สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทำไมผมถึงรู้สึกสับสนแบบนี้นะ
“เห็นว่าจะไปฝรั่งเศสหนะ” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรู้สึกผิด แต่เหมือนกับว่าตอนนี้ในสมองของผมจะไม่รับรู้อะไรได้มากเท่าที่ควร
“อึก...ทำไมพี่ยูชอนไม่บอกลาฉันหละ..ฮึก...ท...ทำไมหละจุนซู...” ผมกอดจุนซูแน่นแล้วซุกลงที่บ่าของเพื่อนรัก ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมาเรื่อย ๆ อย่างที่ควรจะเป็น
“ใจเย็น ๆ นะชางมิน” ผมรู้สึกได้ว่าจุนซูกำลังปลอบผม ถึงมันจะช่วยให้ผมดีขึ้นก็ตาม แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีเท่ากับที่เขาคนนั้นปลอบผมเลย
ผมต้องใช้เวลานานพอสมควร กว่าที่จะทำใจกับเรื่องราวที่จุนซูบอกผมไปเมื่อครู่ ในตอนนี้เสื้อของเขาเปรอะคราบน้ำตาของผมเป็นวงกว้าง ผมรู้สึกผิดจัง..
“ขอบคุณนะจุนซู” ผมระบายยิ้มอ่อนให้เขา ไม่นานนัก สัญญาณออดบอกเวลาเข้าเรียนก็ดังขึ้น
ผมพยายามที่จะตั้งใจเรียนให้มากขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกไม่มีสมาธิเลย ความพยายามของผมที่จะเรียนหนังสือจำต้องสิ้นสุดลง วันนี้เป็นวันแรกที่ผมโดดเรียน...
ผมนั่งอยู่ที่ม้าหินตัวเดิมที่เคยนั่งกับพี่ยูชอน แต่ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอบอุ่นเหมือนเคย ไม่นานนัก ผมก็สังเกตเห็นอีกร่างที่เดินตรงมาทางผม เขาหยุดอยู่ทางด้านหน้า แล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเคยเป็นที่ของใครอีกคนหนึ่ง
“แจจุง” ผมเงยหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นไปมองหน้าของอีกฝ่าย แจจุงยิ้มอ่อนให้ผม
“ไม่คิดว่าเด็กเรียนดีอย่างนายจะโดดมาจริง ๆ นะ ถ้าเป็นฉันก็คงจะไม่แปลกซักเท่าไหร่” แจจุงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็กลับเป็นนิ่งเรียบอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาเบา ๆ
“เดือนหน้าเขาก็จะไปแล้วนะชางมิน ยังไม่บอกอีกหรอ” แจจุงพูดขึ้นลอย ๆ แต่คำพูดประโยคนั้นกลับลอยวนเวียนดังก้องอยู่ในหัวของผม
“ไม่รู้สิ...พี่ยูชอนอาจจะไม่ได้ชอบฉันก็ได้” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบที่สุดเท่าที่ตัวเองรู้สึก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้อยากพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นกับแจจุงสักเท่าไหร่
“ไม่ได้บอกไปแล้วมันจะดีแน่หรอชางมิน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
“...” ผมเพียงแค่แย้มรอยยิ้มบาง ๆ กลับไปเท่านั้น
“นายจะปล่อยไว้แบบนี้หรอชางมิน...นายจะยอมเจ็บปวดทั้งสองฝ่ายหรอ นายเห็นฉันกับยุนโฮตอนนี้มั้ย พวกเรารักกัน ได้แสดงความรู้สึกดี ๆ ให้กันอย่างเปิดเผย สร้างช่วงเวลาที่ดีไปด้วยกัน ฉันทำเพียงแค่รอให้ยุนโฮกลับมาเท่านั้น เวลา 6 ปี มันไม่น้อยเลยนะชางมิน...”
“6 ปี..เชียวหรอ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นายจะทนเก็บความรู้สึกที่นายมีให้กับพี่ยูชอนไปอีก 6 ปีเลยหรอไง รีบบอกไปเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไป อย่างน้อย แค่ได้บอกให้เขาได้รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะ”
ตอนนี้ผมกำลังสับสนมากจริง ๆ คำพูดของแจจุงทำให้ผมได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง ช่วงเวลาหกปีที่ผมจะไม่ได้เจอพี่ยูชอน ผมจะทนมันได้จริง ๆ หรอ ถ้าไม่ได้บอกความรู้สึกเหล่านี้ไป ถ้ามันสายเกินไป...ผมก็อาจจะไม่มีพี่ยูชอนอยู่ข้างกายเหมือนแต่ก่อน ผมคงกำลังเห็นแก่ตัวสินะ...
แต่สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้ คือบอกความในใจให้พี่ยูชอนรู้ใช่มั้ย??
ท้ายที่สุด ในบ่ายวันนั้น ผมก็ไม่ได้เรียนเลยแม้แต่น้อย ผมรีบกลับไปทำงานพิเศษเพื่อหวังจะได้ลืมเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาอย่างกะทันหันจนผมปรับตัวไม่ทัน
ท้องฟ้าดูหมองตาไปมากสำหรับผม แต่มันคงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ..เมื่อผมเลิกงานพิเศษ เม็ดฝนก็โปรยลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอน 2 ทุ่มกว่าแล้ว ผมทำได้แต่เพียงหลบฝนอยู่ที่กันสาดเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาในบริเวณอาคารที่อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟเล็ก ๆ มากนัก
เสียงเม็ดฝนตกกระทบกันสาดปิดกั้นประสาทการได้ยินของผมเสียจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก ผมยังคงยืนอยู่ใต้กันสาดเล็ก ๆ นั่นอยู่ร่วมชั่วโมง จนละออกฝนที่กระเด็นมาทำให้เสื้อผ้าของผมเปียกชื้นไปแทบทั้งร่าง
บรรยากาศภายนอกเริ่มโปรยตัวเย็นลงเรื่อย ๆ ผมทรุดกายลงกับพื้นต่างระดับที่ยกตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วโอบกอดตัวเองเบา ๆ เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บที่เริ่มกัดเซาะเข้ามาถึงในหัวใจของผม
ผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัวของผมก็เริ่มหดหายไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป จนตอนนี้เหลือแต่ผมอยู่เพียงลำพัง ผมเห็นคู่รักหลายคู่ที่เดินโอบเอวกันแน่นอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันแล้วก็รู้สึกอิจฉาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้...ผมกำลังนึกถึงเขา อยากให้เขามาตามหาผมจัง
ตอนนี้เนื้อตัวของผมเปียกปอนไปด้วยหยาดฝนที่สาดลงมาพร้อมทั้งฝุ่นละอองที่ถูกชะล้างให้ปะปนลงมา สายฝนกำลังต้องการบอกอะไรผมอยู่รึเปล่านะ... ทำไมมันถึงไม่หยุดโปรยตัวลงมาเสียที
“พี่ยูชอนฮะ.. ผมหนาวจัง” ผมเพ้อออกมาราวคนขาดสติ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงต้องนึกเขา แต่ในตอนนี้เขาเป็นคนที่ผมอยากเห็นหน้ามากที่สุด
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไป พระเจ้าจะได้ยินมันรึเปล่า ตอนนี้ผมจะรู้สึกไปเองมั้ย ที่เห็นเงาเลือนรางของเขา...ผมคงคิดไปเองเสียมากกว่า เขาคงไม่เดินฝ่าสายฝนออกมาเพื่อตามหาคนอย่างผมหรอก
“ผมงี่เง่ามากเลยสินะ” ผมเอ่ยด้วยเสียงสั่นกับตัวเอง โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบกาย ไม่ได้สนใจว่ามาเงาของบุคคลที่คุ้นเคยกำลังเข้ามาใกล้ จวบจนเท้าคู่นั้นหยุดลงอยู่ตรงหน้าผม ผมเงยหน้าขึ้นไปดูบุคคลมาใหม่
“พ..พี่” ผมพูดด้วยปากที่สั่นและซีดจัด พร้อมกับรอยยิ้ม...เขายังคงมองผมด้วยสายตาที่อบอุ่นเช่นเคย
“รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงนะครับ ที่ไปหาแล้วไม่เจออยู่ที่ห้องหนะ ทำไมถึงไม่โทรมาบอก” น้ำเสียงอบอุ่นซึมเข้าไปในหัวใจผมอีกครั้ง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอุ่นขึ้นมาทันทีที่ได้เจอหน้าของเขากันนะ
“ก็ฝนมันตกหนิฮะ” ผมอ้างเหตุผลที่ดูจะฟังขึ้นมากที่สุดแล้วยิ้มให้เขา แต่เขากลับมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจเท่าไรนัก ก็ไม่ให้ผมดีใจได้ยังไง ในเมื่อวันนี้เขาไปหาผมถึงที่ห้อง
“แล้วก็มานั่งตากฝนอย่างนี้หรอไง เป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไงครับ” เขาย่อกายลงให้เท่ากับระดับของผม แล้วลูบเส้นผมที่เปียกชื้นของผม...ก้อนเนื้อด้านซ้ายของผมเริ่มบีบตัวแรงขึ้นอีกแล้วสิ
“ขอโทษฮะ” ผมเอ่ยด้วยเสียงที่แหบแห้งลงเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลง
“โกรธหรอครับ.. ที่พี่ไม่ได้บอกเรา” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เรื่องที่จะไปต่างประเทศหนะ...ขอโทษนะ พอดีช่วงนี้พี่ไม่ว่างเลย” พี่ยูชอนระบายรอยยิ้มที่ยังคงอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลงให้กับผม
“พี่ยูชอน...เปียกหมดแล้ว” ผมเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม เรียกรอยยิ้มของเขาให้กว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ทำพูดเข้า ดูตัวเองสิ ไม่เปียกหรอไงกัน” เขาหลุดขำออกมาเล็กน้อย เพราะเขาเปียกแค่บริเวณไหล่ซ้ายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผมกลับพยักหน้าเล็กน้อย
“เด็กดื้อ! ไปเร็ว ลุกขึ้นได้แล้วครับ พี่ไปส่ง” พี่ยูชอนใช้แขนอีกข้างพยุงร่างกายของผมที่เริ่มหนักขึ้น ผมเซเล็กน้อยเนื่องจากนั่งอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน
“อ่า.. ขอบคุณฮะ” ผมพูดพลางยิ้มเขินเมื่อเขาถอดเสื้อโค้ตตัวนอกมาคลุมบนร่างที่เปียกปอนของผม มือข้างเดิมที่ช่วงผมพยุงร่างกายขึ้นมายกขึ้นแนบบนหน้าผากของผม
“เห็นรึเปล่าครับ ไข้ขึ้นจริง ๆ ด้วย รีบกลับเถอะ” มืออุ่น ๆ ของพี่ยูชอนโอบที่เอวบางของผมเพื่อช่วยให้ร่างกายของผมอุ่นยิ่งขึ้น ตอนนี้ตัวของผมแนบชิดกับพี่ยูชอนเสียจนหลบอยู่ในร่มคันเล็ก ๆ ร่วมกับเขาได้โดนไม่เปียก
ผมเดินอยู่ในอ้อมกอดของพี่ยูชอนไปตามถนนสายเล็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นถนนสายเดิม แต่เมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง ทุกอย่างกลับดูสวยงามไปเสียหมด ผมกำลังเข้าใจถูกรึเปล่าว่าพี่ยูชอนเป็นห่วงผม...
เราเดินเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เดินมาด้วยกันเกือบร่วมสัปดาห์ แต่ที่น่าแปลกคือพี่ยูชอนกลับไม่พาผมกลับห้องเหมือนกับวันก่อน ๆ วันนี้เขากลับพาผมเข้าไปในห้องของเขา ผมทั้งรู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน
พี่ยูชอนพาผมมานั่งลงบนโซฟาขนาดกลางที่อยู่กลางห้องของเขาแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดผมที่เปียกปอนให้ผม ผมเหลือบมองเสี้ยงหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม
“อยู่นิ่ง ๆ สิครับ” น้ำเสียงอบอุ่นฟังดูไม่รื่นหูเหมือนตอนแรก ในความคิดของผม น้ำเสียงที่ถ่ายทอดออกมากลับแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“โกรธหรอฮะ” ผมตอบพลางกระแอมไอเล็กน้อย
“โกรธสิครับ เห็นมั้ย ไม่สบายจนได้ รอประเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวพี่ไปหยิบเสื้อผ้ามาให้” เขาว่าพลางเดินออกจากห้องของตัวเองไปอย่างรีบร้อน และถ้าผมเดาไม่ผิด เขาคงไปเอาเสื้อผ้าจากที่ห้องผมมาให้ ไม่นานนัก พี่ยูชอนก็เดินกลับมาพร้อมชุดนอนตามที่ผมคาดไว้
“ล็อกห้องผมรึยังฮะ กุญแจเอาออกมาแล้วรึยัง หายผมไม่มีดอกใหม่ให้พี่แล้วนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่เขาดูจะไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของผมสักเท่าไหร่
“ห่วงแต่ห้อง ทำไมไม่ห่วงตัวเองเลย ดูซิ เป็นไข้จนได้ กินยาก่อนนะครับ คนดี” เขาวางเสื้อผ้าไว้ข้าง ๆ ผม ก่อนจะยื่นยาเม็ดสีขาวสะอาดมาให้ผม พร้อมแก้วน้ำอุ่นใบหนึ่ง ผมรับมันมาแล้วบรรจงกลืนมันลงไปตามด้วยน้ำอุ่น ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลยทีเดียว
“จะอาบน้ำไหวมั้ยนะเรา” พี่ยูชอนค่อย ๆ พยุงผมขึ้นจากโซฟาตัวนิ่ม ผมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นการตอบรับ
“รีบไปอาบน้ำก่อนนะ เสร็จแล้วจะได้พักผ่อน คืนนี้นอนกับพี่แล้วกันนะครับ” พี่ยูชอนยิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมจำต้องตอบตกลงเสียได้
ไม่นานนัก ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำของเขา แล้วนั่งปุลงที่โซฟาตัวเดิมเพราะความเมื่อยล้า สัมผัสอบอุ่นของเขาบรรจงซับน้ำจากศีรษะผมอีกครั้ง ผมกล่าวขอบคุณเบา ๆ
“เช็ดหัวให้แห้งนะครับ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” เขาขยี้หัวผมทิ้งท้าย ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ผมเพิ่งออกมาเมื่อครู่...ผมรู้สึกดีจัง กับการกระทำของเขา
ไม่นานนัก เขาก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำนั่นด้วยผมที่เปียกปอน กลิ่นกายอ่อน ๆ ที่ผมจำมันได้ดีลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้องพักเล็ก ๆ นี้ หัวใจของผมเต้นแรงอีกแล้วสิ
“ทำไมยังไม่นอนอีกหละครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มถูกถ่ายทอดมายังผมเหมือนเคย
“รอพี่ไงฮะ” ผมตอบแล้วระบายยิ้มจนตาหยี เขาขี้ศีรษะที่ยังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อยของผม
“แล้วถ้าพี่จากชางมินไป 6 ปี...ชางมินจะยังรอพี่อยู่มั้ยครับ” แววตาเป็นประกายแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังจนผมเองก็ต้องปรับสีหน้าเครียดลงกว่าเก่า
“พ...พี่กำลังพูดเรื่องอะไร” น้ำเสียงของผมแผ่วเบาจนแทบจะถูกพัดพาไปกับสายลม ผมย้อนนึกถึงเรื่องที่จุนซูพูดกับผมเมื่อกลางวันที่ผ่านมา...พี่ยูชอนและพี่ยุนโฮจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสเป็นเวลา 6 ปี
พี่ยูชอนกำลังหมายถึงเรื่องนี้รึเปล่า... พี่ต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่
เขาทรุดกายลงข้าง ๆ ผม แล้วใช้วงแขนคู่เดิมโอบกอดเอวของผมเอาไว้ ทั้งใบหน้าของผมและเขาต่างก็ใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่กำลังเป่ารดลงบนใบหน้าของผม
“ถ้าพี่บอกว่าพี่รักชางมิน มันจะสายเกินไปมั้ยครับ” เขาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของผม ทั้งผมและเขาต่างก็เห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของกันและกัน
ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมกำลังบีบเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ...
“ชางมินยังรักพี่อยู่ใช่มั้ยครับ...” เขาพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เราต่างก็ร่วมกันก่อขึ้น
“พ..พี่กำลังโกหกผม..ช....ใช่มั้ยฮะ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ขอบตาของผมกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ผมรู้สึกถึงสายน้ำอุ่นที่ไหลลงอาบแก้มของตัวเอง
เขาใช้ปลายนิ้วนั่นปาดน้ำสายอุ่นที่เปรอะอยู่บนใบหน้าของผม...
“ถ้าพี่บอกตอนนี้ ชางมินจะเชื่อพี่ได้มั้ยครับ...พี่ไม่ได้โกหกเรานะ ความรู้สึกทั้งหมดของพี่กำลังบอกชางมินอยู่ตรงนี้ไงครับ” มือคู่เดิมยกขึ้นจับมือของผมมาแนบลงบนหน้าอกด้านซ้ายของเขา
...ผมรู้สึกได้ดี ถึงเสียงหัวใจของเขา ตอนนี้มันกำลังดังก้องอยู่ในหัวของผม
ผมกำลังยิ้ม
“เป็นแฟนกับพี่นะครับคนดี...ถึงมันจะสายไปเสียหน่อย แต่รอพี่นะครับ ถ้าพี่กลับมาเมื่อไร่ พี่จะเตรียมของขวัญไว้ให้ชางมินด้วยนะ สัญญานะครับ” น้ำเสียงนั้น วันนี้มันช่างอบอุ่นยิ่งกว่าวันไหน ๆ แววตาคู่นั้นยังคงมองผมเช่นเดิม
ผมพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับ เขาค่อย ๆ เชยคางของผมขึ้น..อา หน้าของผมกับพี่ยูชอนใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เลย
ในที่สุด ริมฝีปากอุ่น ๆ ของพี่ยูชอนก็สัมผัสถูกริมฝีปากของผม.. ผมหลับตาลงรับสัมผัสอุ่นนั่นอย่างเต็มใจ บรรยากาศภายในห้องดูอบอุ่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หรือผมจะแพ้พิษไข้กันแน่นะ ลิ้นร้อนของเขาค่อย ๆ แทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างอ่อนโยน ผมเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั่น
ลิ้นของเขากระหวัดไปทั่วทั้งโพรงปากของผมอย่างชำนาญ ผมเองก็ตอบรับสัมผัสนั่นอย่างไร้เดียงสา..ก็ผมไม่เคยจูบกับใครมาก่อนหนิ
เป็นเวลาเนิ่นนานพอที่จะทำให้ผมขาดอากาศหายใจ ผมทุบที่แผ่นอกของเขาเบา ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะไม่ไหว เขาถอนริมฝีปากนั่นอย่างเนิบนาบแล้วระบายยิ้มอุ่น โดยไม่ลืมที่จะทำความสะอาดคราบน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาจากมุมปากของผม ..ตอนนี้ผมร้อนจัง
“เดี๋ยวก็ติดหวัดหรอกฮะ” ผมเอ่ยเสียงเบาแล้วก้มหน้างุดเพื่อหลบซ่อนความเขินอาย แต่ผมก็แอบเห็นรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าหล่อของเขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่ได้ติดหวัดคนอื่นเสียหน่อย” เขาใช้วงแขนของเขาโอบกอดร่างของผมไว้แนบอก แล้วลูบศีรษะกลมของผมเบา ๆ ทำไมเขาถึงชอบลูบหัวผมจังนะ ผมค่อย ๆ กอดตอบเขา แล้วซุกใบหน้าร้อน ๆ ของตัวเองลงบนอกแกร่งนั่น
“ผมก็รักพี่ฮะ” ผมเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม แล้วหลับตาลงพร้อมรอยยิ้ม
“ครับคนดี...เดือนหน้าพี่ต้องไปแล้วนะ จะคิดถึงชางมินทุกวันเลยนะครับ”
“แล้วจะรีบบอกตอนนี้ทำไมหละฮะ ตอนนี้พี่ยังไม่ไปเสียหน่อย” ผมเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ผมเริ่มง่วงแล้วสิ
“ขอนอนหน่อยนะฮะ”
แต่แล้วช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผมได้อยู่กับเขาอย่างเต็มอิ่มก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย วันที่ผมกับเขาต้องบอกลากันมาถึงแล้วสินะ....
ตอนนี้ผมเพิ่งเลิกเรียน แล้วก็กำลังเดินทางไปที่สนามบินอินชอนกับแจจุงและจุนซู ผมรู้สึกเหงายังไงไม่รู้สิ แจจุงก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกับผมเสียเท่าไหร่...ผมจะไปหาเขาทันมั้ยนะ รถก็ติดมากเสียด้วย
แต่ในที่สุด ผมก็มาถึงก่อนเวลาไม่กี่นาที เวลาที่ผมจะได้อยู่กับพี่เขาในตอนนี้เหลือไม่มากแล้วสินะ...หลังจากที่พวกผมลงมาจากแท็กซี่ ก็รีบวิ่งเขาไปหาสองร่างที่คุ้นเคยทันที.. แต่ทำไมที่นี่ถึงต้องกว้างใหญ่นักด้วย แล้วพี่ยูชอนจะไปอยู่ที่ไหนกันนะ ผมชักรนรานแล้วสิ
ผมรู้สึกว่าขอบตาของผมเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ...แล้วน้ำตาของผม ก็ไหลออกมาจริง ๆ ผมหาพี่ยูชอนไม่เจอ แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วด้วย ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหนักขึ้น แจจุงกับผมกอดกันแน่น ต่างคนต่างร้องไห้ พวกผมไม่ได้เอ่ยคำอำลาเลยสักคำเดียว
แต่แล้วสัมผัสบางอย่างก็ลูบอยู่บนศีรษะของผม กลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้น... กลิ่นกายของพี่ยูชอน ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากไหล่บาง ๆ ของแจจุง
ทั้งพี่ยูชอนและพี่ยุนโฮกำลังยืนยิ้มด้วยแววตาเศร้าสร้อยที่พยายามปิดบังไว้ แต่ผมก็ยังคงสัมผัสถึงมันได้ดี
“ยังไม่ทันไปเลย ร้องไห้แล้วหรือไงครับ” น้ำเสียงของเขาดังก้องไปในหัวของผม ผมถลาเข้าไปกอดพี่ยูชอนทันที ไม่อยากให้เวลานี้เดินผ่านไปเลยจริง ๆ
“ฮึก...พ...พี่ยูชอน...” ผมกอดร่างของเขาแน่นมากขึ้น พยายามซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาไว้ให้มากที่สุด
“ชางมินครับ เราต้องตั้งใจเรียนให้มากนะ รอพี่อยู่ที่เดิมนะครับ ถ้าพี่กลับมา พี่จะไปหา...ห้ามย้ายที่อยู่นะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาไม่แพ้กับผม...น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นไว้แล้ว สุดท้ายก็ไหลลงมาอีกระรอก
“ฮะ....” เขากอบกุมมือของผมเอาไว้จนแน่น
“อยู่กับแจจุง กับจุนซู ห้ามดื้อห้ามซนนะครับ เป็นเด็กดี ถ้าพี่กลับมา พี่มีของขวัญมาฝากเราแน่นอน..พี่ต้องไปแล้วนะ” เข้าสบตาของผม สุดท้ายน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงมาบนมือของผม ผมโผเข้ากอดพี่ยูชอนอีกครั้ง
“รักชางมินนะครับ” คำพูดสุดท้ายที่ผมอยากได้ยินมากที่สุด สุดท้ายก็เอ่ยออกมา
“ผมก็รักพี่ฮะ...ฮึก... รักมาก” นี่อาจจะเป็นคำสุดท้ายที่ผมจะได้พูดกับเขาในตอนนี้ แต่ผมก็อยากพูดออกไป เขายิ้มให้กับผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนเคย มือคู่เดิมยกขึ้นปาดน้ำตาของผมอย่างแผ่วเบา แล้วลูบศีรษะของผม
ผมแย้มรอยยิ้มให้เขา...รอยยิ้มอำลา ก่อนที่เขาจะจากผมไป
แผ่นหลังของเขากำลังห่างไปเรื่อย ๆ จนหายไปในฝูงชน ทั้งผมและแจจุงต่างก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้กัน ต่างคนต่างก็แข่งกันร้องไห้...ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ค่อยอยากให้น้ำตาไหลมาสักเท่าไหร่
หลังจากวันนั้น พี่ยูชอนก็ติดต่อผมมาบ้างในช่วงหนึ่งเดือนแรก แต่หลังจากนั้น เขากับผมก็เหมือนขาดการติดต่อกันอย่างเป็นทางการ ไม่มีแม้แต่ข้อความที่ส่งเข้ามา...ผมพยายามคิดว่าเขาคงเรียนหนักเสียจนไม่มีเวลาคุยกับผม
ส่วนผมเองก็ตั้งใจเรียนไปตามความฝันของผม ที่จะได้เปิดธุรกิจเล็ก ๆ อย่างตั้งใจ จนตอนนี้ ผมสามารถสอบเทียบชั้นได้ ตอนนี้ผมเรียนเร็วกว่าแจจุงและจุนซูไปสองปีแล้ว ผมได้รู้จักกับเพื่อนของพี่ยูชอนหลายคนเลยทีเดียว พวกเขาเหล่านั้นมักจะชื่นชมผมเสมอ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมคลายความเหงาลงไปได้บ้าง
ตอนนี้ผ่านมา 6 ปี แล้วสินะ...ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้พ่อแม่ของผมท่านภูมิใจมาก และสิ่งที่ผมได้รับรู้อีกอย่างหนึ่งคือ คำพูดของเขาในวันนั้น ทำให้ชีวิตผมมีค่า...ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่น่าชื่นชมมากคนหนึ่ง
ในตอนนี้สำนักงานหลายแห่งกำลังต้องการตัวผม เขาอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อที่จะให้ผมได้ไปทำงานในสถานที่แห่งนั้น แต่ผมก็คงยังไม่พร้อมที่จะทำงานในสถานที่น่าเงียบเหงาเช่นนั้น
ผมยังคงพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ตึกเดิม ที่ยังคงสภาพไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไรนัก และยังคงทำงานในร้านกาแฟเล็ก ๆ เช่นเดิม เพียงแต่ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ทำงานประจำของผมไปแล้ว ผมทำทุกอย่างเหมือนเดิม...เพื่อรอวันที่เขาจะกลับมาหาผม ถึงแม้ว่าในตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะยังมีวันที่สดใสอยู่รึเปล่า...
“ผมคิดถึงพี่จังฮะ” ผมบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ ทุกวัน แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด
ใบหน้าของผมซุกลงกับโต๊ะกระจกในร้านนั้น โดยไม่ลืมที่จะเช็ดโต๊ะไปพลาง ๆ ตอนนี้ผมรู้สึกว้าเหว่มาก นาน ๆ ทีที่ผมจะได้เจอกับจุนซูและแจจุง เพราะในตอนนี้พวกเขายังเรียนไม่จบ บางครั้งที่ผมไปเยี่ยมเยือนพวกเขาในมหาลัย แล้วตั้งวงสนทนากัน แต่บรรยากาศกลับเงียบเหงาลงกว่าก่อนมาก
ผมทำได้เพียงเชื่อมั่น และรอให้เขากลับมาเท่านั้น...
และวันนี้ผมก็เลิกงานช้ากว่าปกติมาก ผมรีบเดินกลับอพาร์ทเมนต์ไปตามเส้นทางสายเดิมที่คุ้นเคย แต่แล้วเม็ดฝนก็กลับโปรยปรายลงมา...เหมือนกับในวันนั้น แต่มันแตกต่างกันที่ในวันนี้ ผมคงไม่มีใครมารับกลับเสียแล้ว
ผมรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปตามทางเดินจนถึงอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง ลิฟต์ถูกกดขึ้นชั้นสี่ดังเช่นทุก ๆ วัน ผมเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ จนเกือบจะถึงหน้าห้องของผม
สายตาของผมสังเกตเห็นเงาของใครบางคนกำลังยืนพิงอยู่ที่หน้าห้องของผม แต่ทำไมเงานั่นถึงช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน..
เสียงฝีเท้าของผมทำให้ชายปริศนาร่างนั้นหันมาทางดวงหน้าของผม ผมได้ยินเสียงของหนัก ๆ ร่วงลงที่พื้น ผมกำลังตื่นกลัว ตอนนี้หัวใจของผมเต้นระรัวไปหมด ร่างนั้นกำลังวิ่งเข้ามาทางผม...ผมจะเจออะไรอีกนะ
หมับ!
แต่แล้วร่างปริศนานั่นกลับโผเข้ากอดผมด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนไม่แพ้กัน ผมได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยอีกครั้ง...ผมจำได้ ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมเต้นระรัวเสียยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก
“พ...พี่ยูชอน...อึก” ผมกำลังดีใจ น้ำตาของผมไหลลงมาชะล้างหยาดน้ำฝนที่เปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า ผมกอดตอบเขาแน่นมากยิ่งขึ้น
“ไงครับเด็กดี พี่เพิ่งมาถึงก็ร้องไห้เลยหรอไง” น้ำเสียงอบอุ่นที่ผมเฝ้ารอรับฟังมา 6 ปีกว่าเอ่ยขึ้น ผมยิ่งสะอื้นหนักกว่าเก่า ในตอนนี้เขาโอบกอดผมไว้แล้ว...อุ่นจัง
“ฮึก...” ผมกำลังสะอื้นไม่หยุด ผมหยุดความรู้สึกที่กำลังพรั่งพรูออกมาไม่ได้จริง ๆ
“ไงครับ เป็นเด็กดีรึเปล่า เหงามากมั้ย” เขาบอกผมแล้วลูบศีรษะของผม..เขายังคงอบอุ่นเหมือนเดิมจริง ๆ
“ฮึก..ทำไม...ฮึก..ม...ไม่ติดต่อ...อึก...มา...ร...รู้มั้ยว่าผม...คิดถึง..ฮึก...มาก” ผมเอ่ยกับเขาราวคนเพ้อ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผมรู้แล้วว่าการรอคอยมันเจ็บปวดมากแค่ไหน
“หยุดร้องได้แล้วครับ พี่อยู่ตรงนี้แล้วไง ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปนะครับ พี่เรียนหนักมากเลย” ผมพยักหน้าตอบรับอยู่ในอ้อมกอดของเขา...สุดท้าย ผมก็หยุดร้องไห้เสียที
“ดีมากครับคนเก่ง ทำไมเรียนจบเร็วจังหละครับ ขยันแบบนี้อยากได้รางวัลรึเปล่า”
“อ..อื้อ....ผมโตแล้วนะฮะ” ผมบอกกับเขาเขิน ๆ
“รางวัลสำหรับคำขยันครับ” เขาระบายรอยยิ้มพลางหยิบกล่องใบเล็กที่หุ้มกำมะหยี่เนื้อดีออกมาจากเสื้อโค้ตตัวโต แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าผม
“แต่งงานกับพี่นะครับ ชางมิน ถึงแม้ว่าความทรงจำที่พี่สร้างร่วมกับชางมินมาจะไม่ได้มากมายสักเท่าไหร่ แต่พี่สัญญาว่าต่อจากวันนี้ พี่จะชดเชยเวลาที่สูญเสียไปให้นะครับ...ปาร์ค ยูชอน รัก ชิม ชางมินครับ” ผมสังเกตเห็นใบหน้าของเขาขึ้นสีเรื่อ ผมเองก็เขินไม่แพ้กัน...อา หน้าผมร้อนอีกแล้ว แย่จังเลย
“อ...อื้อ..ผมก็รักพี่ฮะ” ผมพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้ม เขาค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนวงหนึ่งแทนคำมั่นสัญญาที่ให้กับผม แล้วยืนขึ้นอีกครั้ง มือของเขาข้างหนึ่งโอบกอดที่เอวของผม
ริมฝีปากของเราค่อย ๆ สัมผัสกันอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน...ถึงจะไม่เร่าร้อน แต่กลับทำให้ผมเคลิบเคลิ้มได้อย่างน่าประหลาด แขนของผมยกขึ้นโอบรอบคอของเขาเอาไว้
ในตอนนี้ หัวใจของผมและเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ขอบคุณสำหรับรางวัลในความพยายามของผมนะฮะ..พี่ยูชอน
...............................................................................................................
แก้คำผิดเล็กน้อย ขอโทษด้วยค่า
โฮกกกกกกกก สุดท้ายมันก็จบลงจนได้ แต่งข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว
หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะถูกใจรีดเดอร์กันนะคะ
เราหันมาแต่ง SF แทนซะแล้ว เพราะพอมาเห็นเรื่องนู้นเริ่มหมดกำลังใจ
ไม่รู้ว่าคอมเมนต์มันหายไปไหนหมดเหมือนกัน ฮา**
แต่ก็ขอบคุณสำหรับรีดเดอร์ทุกคนที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลย
แม้แต่นักอ่านเงา เราก็ขอขอบคุณจริง ๆ
มาตอบคอมเมนต์แก้เหงาหน่อยดีกว่า เห้อ~ ขอขุดแค่หน้าแรกนะคะ
...+555+... ขอบคุณนะคะที่ติดตาม หวังว่าเรื่องนี้คงจะชอบน้า ติดตามกันต่อไป~
NuMiC* - หนูน้อย เรื่องนี้ใช้ได้รึเปล่า เค้าคิดถึงน้า =))
minmui มายด์มินท์มาอ่านฟิคของเราด้วย ดีใจมาก ๆ เลย ขอบคุณนะคะ ><
ฮานาดะ คิสน่ารักเสมอเลยเนอะ >< ขอบคุณที่ติดตามค่า
minmin ใช่ค่ะ ปาร์คเป็นคนน่ารักมากเลย เขินน แอบนอกใจมินแล้วเนี่ย 55
GR*A*CE แต่สุดท้ายก็รักกัน คิสอบอุ่นเสมอเลย
jitmin น่ารักก็ติดตามกันต่อนะคะ 55 (ไปบังคับได้ไงเนี่ย!!)
ploy'e ต่อแล้วนะลูกสาว 555 เหนื่อยมากก!!!
too เรื่องใหม่มาแล้วนะคะ หวังว่าจะชอบน้า
{Queen}*,,[คิมแจ]๕๕+ - ไปไหนมาไหนก็ต้องเจอคิมแจ ขอบคุณมากเลยนะคะที่ติดตามมาตลอดเลย
michu ชินคะ เราต่อเรื่องใหม่แล้วน้า ใช้ได้มั้ยเนี่ย T T แต่งไปเอ๋อไป เอาภาษาสองเรื่องมาปนกัน 555
MuMPlE ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ รับมาเต็มร้อยเลย ^ ^
PRINce☆Cassiopeia เราไม่ค่อยชอบให้จบเศร้าหนะคะ ถึงจะชอบฟิคเศร้า แต่ก็อยากให้แฮปปี้อยูดี อิอิ
minminnu ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ สู้ ๆ เช่นกัน ติดตามกันต่อไปนะคะ ยะฮู่วว~
ขอโทษที่อาจจะตอบไม่หมดนะคะ แต่เราอ่านทุกคอมเมนต์น้า
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจเลยค่ะ เราจะพยายามให้มากขึ้น !!!
ความคิดเห็น