เข็มทิศแห่งหัวใจ
การเดินทางของความรัก
ผู้เข้าชมรวม
199
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เข็มทิศแห่งหัวใจ
“เหมียว...”
เสียงทุ้ม ๆ ของชายหนุ่มดังแว่วขึ้น ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงเบา ๆ ที่เคล้าคลอสร้างบรรยากาศสบาย ๆ ในร้านหนังสือ
ในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองแห่งนั้น
มันฟังดูคล้ายน้ำเสียงที่เคยคุ้นเคย จนทำให้หญิงสาวที่ยืนพินิจหนังสือท่องเที่ยวเล่มกะทัดรัด ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากตัวอักษรในหนังสือที่อยู่ในมือ และหันมองรอบกายครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกตัวเองว่าเธอคงหูฝาด และก้มหน้าลงดูหนังสืออีกครั้ง
มีคนคนเดียวในโลกนี้ ที่เรียกเธอว่า “เหมียว” แทนชื่อเล่น “แมว” ตามที่ครอบครัวและเพื่อนของเธอคนอื่น ๆ เรียกกัน
และเธอก็ไม่ได้เจอกับคนคนนั้นมานานเหลือเกิน จนเขาได้กลายเป็นเหมือนภาพเก่าที่ถูกเก็บซุกไว้ในมุมความทรงจำของเธอ
และแมวก็ไม่มั่นใจนักว่า หากได้เจอกันอีกครั้ง เขาจะยังอยากทักทายเธอ หรือจะยังคงเรียกเธอว่า “เหมียว” หรือเหมือนเดิมหรือไม่
“เหมียว...” เสียงที่ดังขึ้นใกล้ตัวกว่าเดิม ทำให้เธอรีบเงยหน้าหันไปมองทางที่มาของเสียงด้วยความตกใจ
“ใช่ เหมียวจริง ๆ ด้วย...”
แมว ตกใจจนหนังสือแทบหลุดออกจากมือ หัวใจเธอเต้นรัว ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ ณ วินาทีนั้น แม้จะดูแปลกตา ด้วยผมสั้นที่ถูกจัดให้เข้าทรง และชุดทำงานเสื้อเชิร์ตสีขาวกับ
เน๊คไทสีเข้ม และการเกงแสล็คสีดำ ซึ่งทำให้เขาดูภูมิฐานและมีอายุ แต่แววตา และรอยยิ้มอันอบอุ่นของเขา กลับเป็นสิ่งที่เธอมีคุ้นเคยอย่างยิ่ง และได้ค้นพบในวินาทีนั้นว่า เธอไม่เคยลืมเลือนเลย
“...” หญิงสาว อ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เงียบไป ทำให้ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เราเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นเลยหรือ...”
๏๏๏๏๏๏
ใบไม้สีน้ำตาลไหม้ที่แห้งกรอบและบอบบาง ทอดทิ้งตัวลงมาจากกิ่งตนไม้ หมุนติ้วราวนักกระโดดน้ำระดับโลกก่อนที่จะค่อย ๆ คล้อยตัวลงสู่พื้นดิน รวมตัวเป็นอีกส่วนหนึ่งของพรมใบไม้แห้งที่คลอบคลุมฟุตบาทสองข้างทาง
“เร็วสิ ป๋อ เดี๋ยวไปไม่ทันนะ” แมวร้องเสียงดัง ก่อนจะกึ่งฉุด กึ่งลาก ชายหนุ่มผมยาวที่สะพายเป้ และหอบกระดานที่แนบกระดาษวาดภาพ วิ่งไปข้างหน้า
“ทำไมต้องรีบไปด้วยล่ะ” ชายหนุ่มท้วงเบา ๆ
“ก็เพื่อน ๆ อุตสาห์จัดงานเลี้ยงส่งทั้งที จะให้แมวไปสายได้ยังไงกัน ถามได้” หญิงสาวต่อว่า ทีเล่นทีจริง
“เหมียวก็ไม่ต้องไปสิ...” ป๋อเอ่ยเบา ๆ แต่น้ำหนักของคำพูดเขาทำให้หญิงสาวผมยาวสลวย หันกลับมามองเขาตาขมัง
“นายก็รู้ว่า คุณพ่อคุณแม่วางแผนเรื่องส่งแมวไปเรียนต่ออเมริกามาตั้งนานแล้ว นายยังจะมาพูดเล่นอย่างนี้อีกหรือ” แมวต่อว่าเสียงเข้ม
“...เราหมายถึง เหมียวก็ไม่ต้องไปงานเลี้ยงส่งสิ แล้วไปดูหนังกับเราแทนไง” ชายหนุ่มยิ้มแหย ๆ แก้ตัว
“ไม่ต้องเลยนะ นายป๋อ เรารู้ดีว่านายหมายความว่าอย่างไร ไม่ต้องมาทำเป็นไก๋” หญิงสาวฟาดมือลงบนไหล่ของคู่สนทนาอย่างอารมณ์ดี “นายก็เป็นอย่างนี้เสมอ ชอบเห็นอะไรเป็นเรื่องเล่น ๆ ไปหมด ว่าแต่นายเองได้คิดบ้างหรือยังว่า จะทำอะไรหลังเรียนจบ”
แมวมองดูเพื่อนหนุ่มยักไหล่แทนคำตอบ
“ป๋อต้องคิดบ้างแล้วนะ จะปล่อยให้ชีวิตตัวเองขึ้นอยู่กับโชคชะตา เป็นเหมือนใบไม้ที่ถูกสายลมหอบหิ้วไปอย่างไร้ทิศทางหรือจุดหมายได้อย่างไร” หญิงสาวเพ่งมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มของป๋อ “เราเป็นห่วงนายนะ...”
ชายหนุ่มผมยาวพยักหน้ารับ พลางฝืนยิ้มและมองดูหญิงสาวหันหลังเดินนำหน้าไป เขาแอบถอนหายใจ ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินตามเธอไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
๏๏๏๏๏๏
“เหมียวเป็นไงบ้าง” ป๋อ เอ่ยถาม พลางมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าบนโซฟาสีดำในร้านกาแฟเล็ก ๆ ไออุ่นจากกาแฟ บนโต๊ะยังคงถักทอตัวขึ้นมาจากถ้วยสีครีมบนโต๊ะ ก่อนที่จะเลือนรางหายไป
ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าใบหน้าของแมวดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ผมของเธอซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสีดำ
ขลับ ได้กลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ไปแล้ว แต่ก็ยังคงเงางามและทอดกายลงอย่างเรียบง่ายบนไหลของเธอ
“ก็ดีคะ...” หญิงสาว เอ่ยด้วยท่าทีและน้ำเสียงเขอะเขิน ท่าทางเธออึดอัดเหมือนวางตัวไม่ถูก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เราจะได้เจอเหมียวอีก” ป๋อกล่าวอย่างจริงใจด้วยน้ำเสียงทีเปี่ยมไปด้วยความสุข “กี่ปีแล้วนะเนี่ยะ...” ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิด
“เกินสิบปีแล้วนะ” แมวเอ่ยขึ้น พลางหันมองดูผู้คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ ร้านกาแฟแห่งนั้น
“แล้วเหมียวกลับมาเมืองไทยได้นานหรือยัง” ป๋อถามต่ออย่างชวนคุย
“เรากลับมาได้สองสามปีแล้วล่ะ” หญิงสาวฝืนยิ้ม
“เหรอ ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย” ป๋อแซวอย่างอารมณ์ดี
หญิงสาวมองหน้าคู่สนทนาด้วยความฉงน
“ทำอย่างกับนายติดต่อได้ง่ายนักแหละ...” แมวตัดพ้อเจ้าของคำถามในใจ
“แล้วตอนนี้เหมียวทำงานหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มถามต่อ
แมวนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกสับสนกับการที่ถูกเรียกว่า “เหมียว” อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ยินใครเรียกเธออย่างนั้นมาเนิ่นนาน เธอไม่เคยรู้ว่าทำไม ป๋อ ถึงเรียกเธอเช่นนั้น และไม่เคยเอ่ยปากถามเขา
เพราะลึก ๆ ในใจแล้ว เธอก็รู้สึกดีที่มีชื่อพิเศษ ที่ใครคนหนึ่งใช้เรียกเธอโดยเฉพาะ
“เราก็เป็นช่างภาพฟรีแลนซ์นะ...” เธอตอบในที่สุด
“จริงหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มตื่นเต้น “เห็นมั้ย เราเคยบอกเหมียวแล้วใช่มั้ย ว่าเหมียว มีพรสวรรค์เรื่องการถ่ายภาพ เราดีใจจริง ๆ เลย” เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่ขาว ๆ
รอยยิ้มของป๋อ พลอยทำให้แมวรู้สึกสบายใจขึ้นและพลอยอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“แล้วที่เหมียวไปเรียนมาล่ะ” เขาซักต่อ แต่นิ่งไปเมื่อเห็นว่าคำถามของเขาลบรอยยิ้มของหญิงสาวลงทันที
“เรียนจบ บริหารธุรกิจมา เราก็ไปทำงานเอกชนอยู่ปีสองปี...” เธอถอนหายใจ “แต่รู้สึกว่า มันไม่ใช่ เราทนไม่ได้กับการที่ต้องนั่งคุดคู้อยู่แต่หน้าคอมพ์ หรือต้องนั่งประชุมในออฟฟิต เราก็เลยลาออกมา ลองทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและอยากทำบ้าง...”
“หลังจากที่ทำในสิ่งที่พ่ออยากให้เราทำมาแล้ว...” เธอเสริมเบาๆ จนเป็นเหมือนเพียงเสียงกระซิบกับตัวเอง
“แล้วป๋อล่ะ ตอนนี้ ทำอะไรอยู่” แมวเป็นฝ่ายถามบ้าง เมื่อรู้สึกสบายใจขึ้น
“เราเหรอ...” ชายหนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ และทอดสายตามองดูถ้วยกาแฟ 2 ใบที่อยู่บนโต๊ะ “ตอนนี้ เราทำงานแผนกประชาสัมพันธ์ในบริษัทเอกชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง”
“จริง ๆ เหรอ” แมวถามอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้ไงนี่”
“ก็ไม่รู้สิ...” ชายหนุ่มยักไหล่
“เหมือนชีวิตพวกเราสับเปลี่ยนกันเลยนะ...” แมวตั้งขอสังเกตเงียบ ๆ
“นั่นสินะ...” ป๋อพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอย่างครุ่นคิด
แมวตั้งท่า เหมือนกับจะถามอะไรต่อ แต่ก็เงียบไป ปล่อยให้กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ และเสียงเพลงเบาๆ คล้อเคล้าด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจากผู้คนรอบข้างเข้ามาแทนที่บทสนทนาของเธอและเพื่อนเก่าอย่างจำยอม
๏๏๏๏๏๏
ชายหนุ่มผมยาวที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมา ปัดเส้นผมที่ตกลงมาปิดหน้าผาก ให้เข้าที่ พลางมองดูหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนฝูงและญาติมิตร
“โชคดีนะจ๊ะ แมว” เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“ตั้งใจเรียนนะ”
“อย่าเอาแต่เที่ยวละ”
ป๋อยืนเขินชะเง้อ มองดูเพื่อนและญาติคนและคนเล่าเดินเข้าไปอวยพรและแสดงความหวังดีกับแมว หรือเอาของขวัญมาให้เธอ พวกที่เรียนมาด้วยกันก็ยืนกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนิทสนม ที่เป็นญาติบ้างก็ดึงแมวเข้าสู้อ้อมกอดและอวยพรให้เธอโชคดี ป๋อมองเห็นพ่อและแม่ของแมวยืนคุยกับญาติ ๆ อยู่ใกล้ ๆ ลูกสาวและหันมามองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ พ่อของเธอเป็นคนรูปร่างบึกบึน ตัวสูงใหญ่ หน้าตาจริงจัง ทำให้ทุกคนที่รู้จักแมวพอจะเดาได้ว่า เธอได้รับใบหน้าที่อ่อนหวานและดวงตาที่สวยงามคู่นั้นจากแม่ของเธอแน่นอน
ป๋อเคยพบกับพ่อกับแม่ของแมวแล้ว สองสามครั้ง แต่ก็ดูเหมือนพ่อของเธอจะไม่ค่อยพอใจเขาสักเท่าใด และจากสายตาของพ่อแมว เขาก็พอเดาได้ว่า ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะผมของเขาที่ยาวพอ ๆ กับผมของแมว และอีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะท่าทางของเขาที่ดูเป็นศิลปินสูง จนเหมือนไม่ค่อยจะเอาเรื่องเอาราว ไปไหนก็หอบเอากระดานรองและแผ่นกระดาษวาดภาพตลอด
เมื่อชายหนุ่มเห็นเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันคุยกับแมวเสร็จแล้ว เขาจึงได้จังหวะ ละทิ้งความสบายใจของการยืนอยู่คนเดียว ก้าวเข้าไปหาแมวในทันที
“เหมียว...” ป๋อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ทันทีที่มาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อนสาว
“อ้าวป๋อ เป็นไงบ้าง” แมวยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี
ชายหนุ่มยิ้มแทนคำตอบ และยกมือขึ้นยื่นกล่องเล็ก ๆ ที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษห่อของขวัญสีฟ้าใสที่ใครเห็นก็สามารถบอกได้ว่าเป็นฝีมือของคนห่อที่ไม่ชำนาญการณ์ และติดโบว์สีทองพอเป็นพิธี
“ให้เราเหรอ” แมวถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
หนุ่มผมยาวรู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นระทึกไม่เป็นจังหวะ พยักหน้ารับแทนคำตอบ และรู้สึกโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก ทันที ที่กล่องนั้นได้ย้ายไปอยู่ในมือของแมว
ป๋อรู้สึกถึงสายตาของคนรอบข้างที่หันมาจับจ้องอยู่ที่เขาและแมว ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น
“มันคืออะไรน่ะป๋อ...” แมวถามด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้น “เปิดเลยได้มั้ย”
คำถามของเธอทำให้หัวใจที่กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติของชายหนุ่ม ประหม่าและเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง
“ไว้เดี๋ยว เหมียวค่อยไปเปิดบนเครื่องก็ได้...” ป๋อบอกสั้น ๆ
“เปิดเลยสิแมว...” เสียงลุ้นของเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ดังขึ้น ในขณะที่หลายคนเริ่มเดินมาล้อมรอบแมว ด้วยความสงสัย
“เราว่า เหมียวค่อยเปิดทีหลังดีกว่านะ...” ป๋อพยายามเน้นย้ำ
เขาได้แต่ยืนมองดูหญิงสาว บรรจงใช้นิ้วอันเรียวยาวคลี่กระดาษห่อของขวัญสีฟ้า ที่เขาเพียรใช้ความอดทนและความสามารถเท่าที่มีอยู่ห่ออย่างดีที่สุด ออกช้า ๆ ทำให้กล่องกำมะหยี่สีดำที่อยู่ด้านในปรากฏกายต่อผู้คนที่ยืนรออยู่รอบข้าง
แมวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผมยาวเจ้าของกล่องของขวัญดังกล่าวครู่หนึ่ง และทำท่าจะแง้มกล่องดังกล่าวเปิดออก
“มันเป็นเข็มทิศน่ะ...” ป๋อเอ่ยออกมาในที่สุด ด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความปวดร้าว
“นายป๋อ นายนี่ท่าจะบ๊องจริง ๆ นะเนี่ยะ...” เสียงเย้ายวนของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นมาทันที “แมวเขาจะไปเรียนต่อนะเว้ย ไม่ได้ไปออกค่าย”
ป๋อรู้สึกราวกับว่าคำพูดถากถางของเพื่อนคนนั้น ทำให้เขาตัวเล็กลง และเสียงหัวเราะทุกเสียงที่ตามมาก็ยิ่งทำให้เขาตัวเล็กลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเหมือนคนแคระในหมู่ยักษ์ เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ราวกับมีอะไรไปจุกอยู่ที่คอหอย
ภาพของแมวที่พลอยหัวเราะไปกับเพื่อน ๆ อย่างอารมณ์ดี มันบาดลึกลงไปในหัวใจ ป๋อ กำหมัดแน่นพยายามระงับความรู้สึกที่พลั่งพลูออกมาจากหัวใจ
“โชคดีนะครับแมว...” เขาเอ่ยเบา ๆ สบตากับแมวครู่หนึ่ง หวังว่าสายตาจะถ่ายทอดความรู้สึกที่เขาไม่สามารถจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำได้
และเพียงเสี้ยววินาทีถัดมา เขาก็เดินจากแมวและกลุ่มคนรอบกายเธอไปอย่างเด็ดเดี่ยว โดยไม่ได้หันกลับไปมองทางแมวอีกเลย
๏๏๏๏๏๏
แมวนั่งมองดูเพื่อนเก่าที่นั่งจิบกาแฟอยู่ข้างหน้าเธอ และแทบไม่เชื่อว่าโชคชะตาจะนำพาให้ป๋อกลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง ป๋อดูเปลี่ยนไปมาก เขาดูมีความมั่นใจ กล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น แต่ดวงตาก็ยังฉายแววของคนช่างฝันเหมือนเดิม แม้ว่าป๋อที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอจะผมสั้นเรียบร้อย แต่เธอก็ยังคงเห็นภาพของป๋อที่ผมปลิวสไวในสายลม คอยเดินไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนเธอในมหาวิทยาลัย ตลอดระยะเวลาที่เธอไปเรียนต่อที่อเมริกา แมวได้พยายามติดต่อป๋อมาโดยตลอด ด้วยความหวังที่จะเอ่ยคำขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สนามบิน ในวันที่เธอออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในวันนั้น เมื่อหลายปีก่อน เธอส่งอีเมล์หาเขาเป็นระยะ ๆ และก็รอคอยอีเมล์ของเขา อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งใช่วงแรกเธอก็จะได้รับเพียงอีเมล์ตอบที่เขียนด้วยคำห่างเหินราวกับเป็นอีเมล์ของคนห่างไกลที่เธอเพียงรู้จัก ไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่พอเนิ่นนานไป อีเมล์ของเขาก็ลดน้อยหายไป จนเป็นอีเมล์อวยพรปีใหม่ และวันเกิดเธอ ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น จนในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ เลือนรางหายไปจากชีวิตเธอ และเมื่อเธอกลับมาถึงเมืองไทยก็ได้พยายามโทรศัพท์หาเขา แต่ก็พบว่าเขาได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว ทำให้เข้าค่อย ๆ กลายเป็นคนในอดีตของเธอไปในที่สุด
แม้ว่า ป๋อจะเป็นเพื่อนที่เธอสนิทสนมด้วย และมีความรู้สึกดี ๆ ด้วยมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และมีหลายครั้งที่เธอรู้สึกราวกับว่า เขาและเธอน่าจะไปด้วยกันได้ดี แต่เธอไม่เคยแน่ใจว่า ป๋อจะมีใจให้กับเธออย่างจริงจัง อีกทั้งที่จริงแล้ว เธอเองก็ไม่เคยคิดจะมีใจให้กับป๋อ เพราะเขาดูเป็นคนที่สบาย ๆ ไร้ทิศทาง ไม่กระตือรือร้น แม้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีและจิตใจดีที่เธอสบายใจเสมอทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ แต่เธอไม่แน่ใจนักว่า หากคบกับป๋อในฐานะที่มากกว่าเพื่อนแล้ว คนอย่างเขาจะสามารถเป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งพา พักพิงให้กับเธอได้หรือไม่ มิหนำซ้ำ เขาก็ไม่เคยได้เอ่ยปากบอกความรู้ที่แท้จริงของเขาให้เธอรู้ จนกระทั่ง คืนนั้น ที่สนามบิน
เธอเคยคิดกังวลว่า หากได้เจอกันอีกครั้ง เธอจะมองหน้าป๋อติดได้อย่างไร และพวกเขาจะยังคุยกันได้เหมือนเก่าหรือไม่ และในวันนี้ เธอก็ได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ แต่เธอกลับไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ที่เธอเก็บไว้ในใจและตั้งใจจะบอกกับเขาออกมาเป็นคำพูดได้เลยแต่การที่ได้นั่งพูดคุยกับป๋อในบ่ายวันนี้นานกว่า 2 ชั่วโมง ก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยพลั่งพลูกลับมาอย่างรวดเร็ว และพิสูจน์แล้วว่า กาลเวลาและความห่างเหินไม่สามารถล้มล้างมิตรภาพและความจริงใจของคนสองคนได้
“แล้วตอนนี้ เหมียวมีครอบครัวหรือยัง...” เสียงทุ้ม ๆ ของป๋อฉุดเหมียวออกจากภวังค์
เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ พยายามจะจับความรู้สึกบนใบหน้าหรือในสายตาของป๋อแต่ก็เห็นเขาเพียงนั่งรับฟังนิ่ง ๆ
“ยังเลย เรารักความอิสระ รักที่จะอยู่ตัวคนเดียวนะ เลยยังอยู่ตัวเดียวอย่างนี้ไง” เธอกล่าว
คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างมากกว่าเหตุผล พลางเค้นเสียงหัวเราะแก้เขิน “แล้วป๋อหล่ะ...” หางเสียงเธอแผ่วไปราวกับเกรงคำตอบของคู่สนทนา
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของป๋อ ทำให้เขาดูเด็กลง
“เรายังรอคอยคนที่เรารักอยู่....”
น้ำตาบาง ๆ ก่อตัวที่ขอบตาของแมว เธอถอนหายใจเบา ๆ พลางปล่อยให้ความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งตรงขึ้นมาจากหัวใจครอบคลุมทุกอณูของร่างกายจนจนลุกซู่ไปทั้งตัว
๏๏๏๏๏๏
แมวดึงหัวเข็มขัดนิรภัยมาสวมเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนเอนกายลงนั่งบนเบาะเครื่องบินช้า ๆ เธอหันไปมองทางพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ข้างกาย แล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ กับการเดินทางที่ในที่สุดก็มาถึง
หญิงสาวถอนหายใจเสียงดัง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นที่สนามบิน ที่อยู่ดี ๆ ป๋อก็เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย หลังจากที่โดนเพื่อน ๆ ล้อเรื่องของขวัญที่เขามอบให้กับเธอ แมวไม่รู้ว่าทำไมป๋อถึงได้รู้สึกรุนแรงขนาดนั้น แต่สายตาที่เขามองเธอก่อนที่จะเดินจากไปนั้น มันทั้งเจ็บปวดและร้าวราน จนเธอทำให้เธอตกใจไม่น้อย
แมวล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงและค่อย ๆ หยิบกล่องกำมะหยี่ สีดำขนาดเท่าฝ่ามือของเธอออกมาเพ่งพินิจครู่หนึ่ง พลางอดสงสัยไม่ได้ว่า ป๋อคิดอะไร ถึงได้ไปซื้อเข็มทิศมาเป็นของขวัญให้เธอ
เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวบนรันเวย์ เมื่อแมวใช้นิ้วแกะสลักที่ยึดฝากับตัวกล่องไว้ดัวยกัน และทันทีที่ฝากล่องกระเด้งเปิดออก และสายตาเธอสัมผัสกับของขวัญที่อยู่ข้างใน เธอก็รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระทึก แมวกัดริมฝีปากแน่น พยายามระงับความตื้นตันใจที่เอ่อล้นออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ เธอบรรจงใช้นิ้วหยิบเข็มทิศขนาดกะทัดรัดออกมาจากกล่อง
ผิวเผิน เข็มทิศที่อยู่ในมือเธอนั้นมองดูเหมือนเข็มทิศธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ แมวพบว่าปลายลูกศรนั้นถูกดัดแปลงให้เป็นรูปหัวใจสีแดงแทนหัวลูกศรธรรมดา และตัวอักษรบอกทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก บนหน้าปัด ก็ตั้งอยู่บนรูปหัวใจสีแดงสดใส ปลายนิ้วของแมวที่ถือเข็มทิศอยู่นั้น รู้สึกได้ว่ามีการสลักข้อความบางอย่างอยู่ด้านล่วง เธอจึงรีบพลิกมันขึ้นอ่านดู ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความความสุขและความอิ่มเอม และเพ่งอ่านมันผ่านม่านน้ำตา
“แด่เหมียว...
ไม่ว่านานเพียงใด
เราจะรอวันที่เข็มทิศนี้
นำเธอกลับคืนสู่อ้อมแขน
แห่งรักของเรา”
***************
ผลงานอื่นๆ ของ ซามูไร พ่อลูกอ่อน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ซามูไร พ่อลูกอ่อน
ความคิดเห็น