คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เป้าหมาย
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ในขณะที่มังกรเฒ่าชิงเดินไปนั่งลงก่อนหญิงชราจะกล่าวจบคำเสียอีก
“มานั่งสักทีสิวะ
จะยืนค้ำหัวคนแก่อีกนานไหม!?”
ยี่ฟงกระตุกยิ้มก่อนจะขานรับเสียงยาน เมื่อเขาตามไปนั่งลงข้าง ๆ ชายแก่กวนประสาทเรียบร้อยแล้วจึงเพิ่งสังเกตเห็นข้ารับใช้สาวที่นำถ้วยชาเข้ามาวางต้อนรับผู้มาเยือน ก่อนจะเป็นหลันอี้ซึ่งอาสารินน้ำชาให้แก่คนทั้งสองด้วยตัวเอง
“ท่านพร้อมสำหรับการเดินทางแล้วหรือมังกรเฒ่า” หลันอี้กล่าวถาม
เมื่อรับถ้วยชาจากอีกฝ่ายมาแล้วมังกรเฒ่าจึงค่อยตอบกลับไปว่า “แน่นอน ตอนนี้ข้าเลเวล 20 แล้ว”
หลันอี้เพียงยิ้มบางขณะส่งถ้วยชาอีกใบให้ชายหนุ่มพลางถาม “แล้วเจ้าล่ะหนุ่มน้อย”
ยี่ฟงชั่งใจอยู่ว่าจะสนทนากับฝ่ายตรงข้ามด้วยสำนวนแบบไหนดี สุดท้ายจึงตอบกลับไปตามที่ตัวเองถนัด
“ผมเลเวล 30 ครับ”
“นี่ไอ้หนุ่ม! จะเกทับกันรึไง”
มังกรเฒ่าแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ตามที่คาดเดาแล้วยี่ฟงสมควรเลเวลไม่เกิน 15 ด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ เอาล่ะ
ในเมื่อมาถึงนี่กันแล้วข้าเองก็ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้”
หลันอี้ยกฝ่ามือห้ามปรามก่อนจะนำถ้วยชาขึ้นจิบ เมื่อผู้มาเยือนสงบลงแล้วนางจึงเกริ่นเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงเรียบเฉื่อยว่า “นานมาแล้วเมื่อยามที่ข้ายังเยาว์วัย ข้าหาได้เป็นราษฎรของเมืองจงหยางแห่งนี้ไม่”
ยี่ฟงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางกอดอกตั้งใจฟัง ส่วนมังกรเฒ่าเท้าศอกข้างหนึ่งบนโต๊ะ ฝ่ามือก็เท้าคางเอาไว้
ในจังหวะที่หลันอี้หลับตาคล้ายกำลังเรียบเรียงความทรงจำในอดีตอยู่นั้น เพลเยอร์ทั้งสองพลันได้รับตัวเลือก มันคือการสคริปต์เพื่อข้ามขั้นตอนสำหรับคนที่ไม่ชอบรอคอย แน่นอนว่ามันจะช่วยสรุปเรื่องราวและเป้าหมายให้อย่างรวบรัดในทันที
แต่ยี่ฟงและมังกรเฒ่ากลับนิ่งเฉย กระทั่งตัวเลือกของพวกเขาเลือนหายไปพร้อมกับที่หลันอี้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่เดิมแล้วถิ่นกำเนิดข้าตั้งอยู่ในป่าใหญ่ห่างไกลจงหยางนับร้อยลี้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่อันตรายท่ามกลางสัตว์อสูรดุร้ายและพฤกษาปีศาจ ผืนป่าแห่งนั้นจึงได้รับการเรียกขานว่าเป็นอาณาเขตกลืนวิญญาณสำหรับผู้คนภายนอกที่สัญจรผ่านไปมาเช่นพวกเจ้าทั้งสอง” หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มเปี่ยมสุขพลางกล่าวต่อว่า “แม้จะเป็นเช่นนั้นจริง ทว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในกลับมองเห็นผืนป่าเป็นบ้าน พวกเขานอกจากไม่ลำบากแล้วยังสามารถดำเนินชีวิตสืบต่อกันมาได้รุ่นต่อรุ่น…”
ยิ่งบอกเล่าออกมาเท่าไรรอยยิ้มของนางยิ่งเลือนหาย แววตาสะท้อนความเศร้าหมองเจือคั่งแค้น
“ทว่ารุ่นของข้ากลับบังเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ผืนป่าลุกเป็นไฟ สัตว์อสูรชั้นสูงอาละวาดคลั่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ความผิดแผกนี้ชักนำให้เหล่าบุรุษกล้าออกค้นหาที่มาของความวุ่นวายบนผืนป่า บิดาของข้าซึ่งเป็นผู้นำเมื่อครานั้นในที่สุดก็สืบทราบถึงปัญหา”
หลันอี้สูดลมหายใจเข้าลึก
คล้ายกับว่าบาดแผลในอดีตกำลังสร้างความปวดร้าวให้นางอีกครั้ง
“แท้จริงแล้วมีกลุ่มคนรุกล้ำสู่เขตแดนผู้ปกปักรักษา วิหคเทวะ เป้าหมายของศัตรูชัดเจนและแสดงให้เห็นว่าประสงค์ที่จะยึดกุมพลังอำนาจของท่าน บิดาข้าเมื่อทราบเรื่องราวย่อมไม่อาจนิ่งนอนใจอยู่ได้”
“ท้ายที่สุดแล้วจึงบังเกิดการต่อสู้ขึ้น ฝ่ายหนึ่งประสงค์ในพลังอำนาจ ขณะที่อีกฝ่ายประสงค์จะปกป้อง…”
เมื่อเห็นว่าหลันอี้เงียบงันไป ยี่ฟงจึงกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ช่วงเวลาที่ท่านว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะเป็นเพลเยอร์อย่างพวกเรา ถ้างั้นพวกมันก็สมควรเป็นคนจากสำนักใดสำนักหนึ่งในยุทธภพนี้”
“ถูกอย่างที่เจ้าว่า หลังจากข้ามีเวลาได้ไตร่ตรองจึงเข้าใจว่าเหตุการณ์ในอดีตเพียงเป็นรอยต่อซึ่งจะนำไปสู่เนื้อเรื่องหลักในอนาคต เพราะจนถึงบัดนี้ข้าเองยังไม่ทราบแน่ชัดด้วยซ้ำว่าพวกมันคือฐานอำนาจจากที่ใดกัน ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจอย่างยิ่ง ศัตรูเมื่อครานั้นแข็งแกร่งมากจนแม้แต่วิหคเทวะที่เป็นตัวตนอันสูงส่งก็ยังถูกพวกมันกำราบสิ้น”
ได้ฟังแล้วทั้งยี่ฟงและมังกรเฒ่าจำต้องขมวดคิ้วเคร่งเครียด
หลันอี้ซึ่งอ่านคนทั้งสองออกจึงรีบกล่าวขึ้นเพื่อคลายความกังวลให้ “อย่าเพิ่งคิดมากจนเกินไป ไม่มีทางที่พวกเจ้าจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูปริศนาจากอดีตในเร็ววันเป็นแน่ หลังเหตุการณ์ครานั้นพวกมันก็หายสาบสูญไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ทว่านั่นก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้วเพราะหากพวกมันปรากฏตัวออกมาในยามนี้ล่ะก็ แม้กระทั่งเพลเยอร์อันดับหนึ่งในยุทธภพก็ยังไม่อาจสร้างความลำบากให้แก่พวกมันได้ด้วยซ้ำ”
ยี่ฟงได้แต่ยิ้มแห้ง จากที่ฟังแล้วแสดงว่าทางเกมได้ซุกซ่อนมอนสเตอร์มหาโหดโคตรเทพเอาไว้เพื่อรอวันที่จะปล่อยพวกมันออกมาไล่กระทืบเพลเยอร์อย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วเรื่องที่เจ้าอยากจะให้พวกเราช่วยเหลือคืออะไรกันแน่” มังกรเฒ่าอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
เมื่อทราบว่าตนกำลังทำให้ผู้มาเยือนเสียเวลา หลันอี้จึงกล่าวเข้าเรื่องในที่สุดว่า
“หมู่บ้านของข้าถูกทำลายย่อยยับ ภายใต้สถานการณ์สับสนวุ่นวายผู้คนจึงลี้ภัยไปยังทิศทางที่แตกต่าง ทว่ามีเพียงข้าซึ่งได้รับความช่วยเหลือจนเดินทางมาถึงเมืองจงหยางแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่บาดแผลที่ข้าได้รับส่งผลให้ขาคู่นี้ต้องพิการถาวร แม้ประสงค์อยากจะออกค้นหาเหล่าพี่น้องและสหายก็ไม่อาจกระทำได้”
หญิงชราทอดถอนหายใจ แม้จะกล่าวถึงปมด้อยของตัวเองนางก็ยังคงแววตาเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้อยู่ได้
“ภายหลังข้าสืบทราบมาว่า อาณาเขตกลืนวิญญาณในยามนี้ได้ปรากฏกองโจรเข้ายึดกุมพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้…ยังมีข่าวคราวเกี่ยวกับหมู่บ้านปริศนาซึ่งตกอยู่ใต้อาณัติของกองโจรที่ว่าอยู่ด้วย”
ม่านตาของยี่ฟงหรี่เล็กลงก่อนจะกล่าวหยั่งเชิงออกไปว่า
“หมู่บ้านที่ว่าหรือจะเป็นเหล่าพี่น้องของท่านที่ยังรอดชีวิตมาจากโศกนาฏกรรมในอดีต แต่พวกเขาเลือกที่จะปักหลักอยู่ภายในป่าเช่นเดิม!?”
หลันอี้สบจ้องไปยังยี่ฟง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเอ่ยคาดการณ์ขึ้นมาได้อย่างตรงประเด็นทีเดียว
“นั่นคือเป้าหมายของพวกเจ้าอย่างไรล่ะ จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่มีความกระจ่างใด ๆ ให้แก่ข้าแม้แต่น้อย” หลันอี้เอนหลังพิงด้วยท่าทางอ่อนล้า “ไม่ว่าพวกเขาจะใช่คนของข้าหรือไม่ก็ตาม ทว่าการได้ช่วยเหลือผู้คนที่กำลังตกที่นั่งลำบากย่อมไม่มีใดเสียเปล่าอย่างแน่นอน”
ได้ฟังมาถึงตรงนี้แล้วมังกรเฒ่าก็พลันถอนหายใจหนักหน่วงออกมา ขณะเดียวกันก็ปรากฏเสียงแจ้งเตือนขึ้นมาจากหน้าต่างภารกิจ เมื่อเพลเยอร์ทั้งสองเปิดมันขึ้นมาเพื่อไล่สายตาพินิจดูแล้วจึงเป็นมังกรเฒ่าที่กล่าวขึ้นมาก่อนว่า
“กำจัดกองโจรภายในอาณาเขตกลืนวิญญาณและระบุข้อเท็จจริงให้แก่หลันอี้ได้รู้ สาหัสอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ชายแก่ไม่พูดเปล่าแต่ยังชำเลืองมองชายหนุ่มคล้ายต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างกันเพียงแค่สองคน ผิดกับยี่ฟงซึ่งกำลังอ่านข้อมูลภารกิจโดยละเอียด กระทั่งสายตาของเขาจับจ้องไปยังประโยคหนึ่งที่ระบุว่า
หัวหน้ากองโจรเลเวล 22
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มกระชากใจก็พลันปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อลากตีนขึ้นมาแทบจะทันที
“เข้าใจแล้ว! พวกเราจะออกเดินทางในทันที” ยี่ฟงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“เดี๋ยวก่อนสิวะ! ลูกไก่อย่างเอ็งไปเอาความกล้าผิด ๆ แบบนี้มาจากไหนกัน แค่สองคนจะไปจัดการเรื่องราวทั้งหมดได้ยังไง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลารวบรวมคนให้พร้อมที่จะปะทะกับกองโจรก่อนไม่ใช่เรอะ! หัดรอบคอบกว่านี้หน่อยสิวะไอ้หนุ่ม”
มังกรเฒ่าเผลอตัวกล่าวความในใจออกมาเสียหมด แถมยังเน้นเสียงคำว่ากองโจรเพื่อเตือนสติไอ้หนุ่มเลือดร้อนอีกด้วย
“ลุงจะกลัวอะไรเนี่ย ไปกับมหาเทพอย่างฉันรับรองจะดีเอง” ยี่ฟงคุยโม้พร้อมกับเสยผมในท่าที่คิดว่าเท่ที่สุด
“เหอะ! ข้ากลัวมหาเทพยาจกอย่างเอ็งจะพาไปจมตีนกองโจรสิไม่ว่า” มังกรเฒ่าเถียงพร้อมกับไล่สายตามองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างอ่อนใจ เขายอมรับไอ้หนุ่มนี่มันหล่อจริง แต่ทุกครั้งที่มองหน้ามันแล้วมังกรเฒ่าจะรู้สึกมีบางอย่างรบกวนส้นเท้าให้ต้องคันอยู่ตลอดเวลา!?
ขณะเดียวกันหลันอี้ซึ่งเฝ้ามองคนทั้งสองอยู่ก็ได้กล่าวแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง
“หากจะรวบรวมพรรคพวกแล้วล่ะก็ ข้าแนะนำให้เร่งออกเดินทางในทันที เพราะก่อนหน้านี้ได้มีเพลเยอร์กลุ่มหนึ่งมาหาข้าด้วยเป้าหมายเดียวกับพวกเจ้าทั้งสอง ยามนี้พวกเขาจึงสมควรนำหน้าไปได้ไม่ไกลนัก”
เมื่อมีคนช่วยชี้ทางให้อีกเสียงยี่ฟงจึงรีบประสานฝ่ามือคารวะ
“ผมจะกลับมาพร้อมกับความจริงทุกอย่าง ท่านเองโปรดรักษาตัวด้วย”
มาถึงขนาดนี้แล้วมังกรเฒ่าก็ไม่อาจแย้งอะไรได้อีก เขาเพียงล่ำลาหลันอี้ด้วยท่าทางคล้ายกับยี่ฟง
“ข้าเพียงแต่หวังว่าเวลานั้นจะมาถึงในเร็ววัน…”
ยี่ฟงและมังกรเฒ่ากลับมาก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสัญจรภายในจงหยางอีกครั้ง
“ข้าไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมเพลเยอร์มากมายถึงพากันเมินภารกิจของหลันอี้”
มังกรเฒ่าเอ่ยขณะจดจ้องรายละเอียดรางวัลภารกิจ มันระบุอยู่แค่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือค่าประสบการณ์ที่ใช้ยกระดับเลเวล อีกหนึ่งเป็นคัมภีร์วิชายุทธ์เพลงกระบี่ใบไม้ไหว
วิชายุทธ์ที่สามารถกล่าวได้ว่า มีกันเกลื่อนยุทธภพ…
“อย่าไปใส่ใจกับรางวัลหรือผลตอบแทนมากนักเลยลุง เดี๋ยวจะเล่นเกมไม่สนุกเอาหรอก”
ยี่ฟงแนะนำ สายตาก็กวาดมองไปทั่วอย่างสนอกสนใจไปเสียทั้งหมด
“เอ็งนี่ประหลาดคน เด็กรุ่นเดียวกับเอ็งนับไม่ถ้วนแทบจะแข่งขันแย่งชิงกันเองด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครในเกมนี้ก็อยากจะเป็นที่หนึ่งด้วยกันทั้งนั้น”
กล่าวจบมังกรเฒ่าก็ปิดหน้าต่างภารกิจไป พวกเขาเดินมาถึงทางออกของเมืองจงหยางแล้ว ซึ่งเวลานี้ได้มีกลุ่มชายหนุ่มจำนวน 6 คน หยัดยืนขวางเส้นทางอย่างไม่กลัวเกรง พอหนึ่งในพวกมันสังเกตเห็นมังกรเฒ่าจึงกระซิบกระซาบกันครู่หนึ่งก่อนจะพากันเปิดทางให้แต่โดยดี
“ว่าไงลุง
อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็จะมืดแล้วยังจะออกไปนอกเมืองอีกหรือ”
มังกรเฒ่ามองหน้าผู้ที่กล่าวทักทายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักจึงตอบกวนบาทากลับไปว่า
“ระดับข้าไม่ต้องให้เด็กระยำอย่างพวกเอ็งมาคอยเป็นห่วงหรอกว่ะ”
กลุ่มเด็กระยำที่ว่าพากันชักสีหน้าไม่พอใจ แต่พวกมันก็ไม่อาจทำอย่างไรได้นอกจากก่นด่าชายแก่อยู่ภายในใจ
กระทั่งมังกรเฒ่าก้าวผ่านคนทั้งหกไปโดยไม่ทันได้สังเกตผู้ร่วมทางแม้แต่น้อย ซึ่งเวลานี้ยี่ฟงมัวแต่ให้ความสนใจสิ่งรอบข้างจนทิ้งระยะห่างกับชายแก่พอสมควร เมื่อเขาเดินมาถึงจุดที่ชายหกคนกำลังหงุดหงิดอยู่จึงถูกขัดขวางไม่ให้ผ่านไปดี ๆ อย่างเมื่อครู่อีก
“พ่อเป็นคนสร้างทางหรือไงวะ หลบหน่อยโว้ย!” ยี่ฟงแหกปากโวยวายแทบจะทันที แถมยังก้าวเดินต่อเนื่องไม่คิดจะหยุดชะงักอย่างที่ใครคิด จนแทรกกลางผ่านชายทั้งหกคนไปได้หน้าตาเฉย
แต่เมื่อพวกมันพากันได้สติแล้วเลือดลมจึงสูดฉีดรุนแรง ก่อนจะเป็นชายคนเดิมที่คล้ายกับเป็นผู้นำฝูงพุ่งฝ่ามือออกไปหวังจะรั้งร่างของยี่ฟงเอาไว้อย่างเดือดดาลสุดขีด
“พวกฉันเป็นเพื่อนเล่นแกหรือไงวะไอ้ฉิบหาย!!” มันตะคอกลั่นไม่ไว้หน้าใครแม้แต่น้อย
“เฮ้ย! นั่นคนของข้า
ถอยไปไอ้เด็กเวร!” มังกรเฒ่าเองก็เพิ่งจะรู้ตัวจึงพยายามเอ่ยห้ามปรามเต็มที่
กระทั่งฝ่ามือที่ว่าบีบลงยังไหล่ข้างหนึ่งของยี่ฟง แต่พริบตาหลังจากนั้นฝ่ามือขวาของยี่ฟงกลับบีบลงที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเฉกเช่นเดียวกัน แรงมหาศาลซึ่งต่างกันราวฟ้ากับเหวกดดันให้ผู้ที่เข้ามาหาเรื่องต้องเบิกตากว้าง
“ฉันโว้ยที่ต้องเป็นคนถาม พวกแกคิดว่าฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไงวะไอ้ลูกไก่!?”
ตูม!!
ยี่ฟงผลักดันฝ่ามือกดกระแทกศีรษะของอีกฝ่ายเข้ากับกำแพงเมืองได้ราวกับเหวี่ยงตุ๊กตาไร้น้ำหนัก ความรุนแรงจากการปะทะส่งผลให้ใบหน้าของชายอับโชคจมหายเข้าไปในกำแพงเมืองเกือบทั้งหมด ท่ามกลางเศษซากที่แตกหักร่วงกราว ผู้คนภายในบริเวณพากันยืนสงบเงียบคล้ายเป็นการไว้อาลัยอย่างไรอย่างนั้น
ความคิดเห็น