คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : เขตแดนยอดฝีมือ
ในโลกลำนำจ้าวยุทธจักรนี้เรื่องต่อยตีถือเป็นปกติสามัญที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างเช่นการชิงพื้นที่ทรัพยากรแล้วย่อมไม่มีใครมาใส่ใจกับการปะทะเล็ก
ๆ น้อย ๆ ของลูกกิลด์ตัวเองหรอก
ทว่าหากเหยียดหยามย่ำยีกันมาก
ๆ เข้าก็อาจเป็นการนำไปสู่สงครามระหว่างกิลด์ได้เช่นกัน
“ฉันจะจำไว้
พวกเราถอย!”
หอกหักกล่าวอาฆาตและนำสมุนของตัวเองจากไป
ส่วนหนวดพยัคฆ์กลับไปนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองตามเดิม แต่เขาก็ได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากหญิงสาวคนหนึ่ง นางลุกขึ้นเดินมาจากมุมอับสายตาภายในร้านเพื่อนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับชายหนุ่มพลางกล่าวขึ้น
“ด้วยทรัพยากรที่วังจักรพรรดิมี อีกไม่นานหอกหักก็จะไล่ตามพวกเราทันอีกครั้ง นายไม่กลัวหรือ”
“จางเหมย!?”
หนวดพยัคฆ์หรี่ตาลง “เป็นเกียรติจริง ๆ ที่วันนี้เธอเข้าหาฉันก่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“อย่าไร้สาระน่า
การกระทำของนาย
ถ้าไม่มั่นใจจะรับมือหอกหักในภายหลังได้คงไม่มีทางแส่หาเรื่องหรอก นายมีแผนจะทำอะไรกันแน่”
จางเหมยเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม ดวงตาคมดุจเหยี่ยวสบจ้องกดดันฝ่ายตรงข้าม
“ฮึ! เธออย่ามาเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ฉันไม่ใช่เหยื่อโง่ ๆ ที่จะหลงเสน่ห์เธอจนยอมให้ทุกอย่างหรอกนะ”
หนวดพยัคฆ์สวนกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ก็ดี
ฉันเบื่อที่จะล่าพวกโง่ ๆ แล้วเหมือนกัน
อีกไม่นานเราคงต้องปะทะกันเต็มกำลังอย่างไม่มีทางเลี่ยง”
กล่าวจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินจากไปทันที
“ฉันขอเตือนในฐานะเพื่อนที่เล่นด้วยกันมานาน พวกเธอถอยไปจะดีกว่า”
หนวดพยัคฆ์เอ่ยปากรั้งไว้น้ำเสียงจริงจัง ทว่าจางเหมยหันกลับมาตอบเสียงกร้าวว่า
“แปลกนะที่เรามีความคิดเหมือนกันพอดี พวกนายเองก็ควรถอยไปให้พ้นทางซะจะดีกว่า”
หนวดพยัคฆ์ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มเจื่อนและทำได้เพียงมองหญิงสาวเดินหายไปจนลับตา จากนั้นเขากวาดมองเพลเยอร์หลายต่อหลายกลุ่มกำลังทยอยเดินทางย้อนกลับไปที่เขตจงหยาง
มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เป็นจังหวะดีที่พวกเราทั้งสองฝ่ายจะลงมือตัดสินกัน คงต้องขอบคุณผู้ปล่อยข่าวในครั้งนี้สินะ รอบ ๆ เขตเมืองดาบมังกรเองผู้คนถึงได้ลดจำนวนลงไปได้เยอะทีเดียว จะได้ไม่มีใครอื่นเข้ามาสอดอย่างที่กังวลกันสักที ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ระหว่างเส้นทางตรงไปยังเมืองดาบมังกร
ยี่ฟงพุ่งทะยานฝ่าสายลมเย็นในยามเช้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่แสงตะวันจะสาดส่องไปทั่วฟ้า ยี่ฟงก็เดินทางผ่านช่วงสามแยกไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันที่ระบบจะรายงานสถานะของมอนสเตอร์ที่พบตามรายทางจบ ร่างของชายหนุ่มก็พุ่งผ่านทิ้งระยะห่างไปไกลเกินขอบเขตไล่ล่าของมอนสเตอร์ตัวนั้น
ๆ แล้วด้วยซ้ำ
กระทั่งท้องฟ้าสว่างสดใส แสงแดดพาดผ่านไปทั่วพื้นที่
“เหนื่อยฉิบหาย!”
ยี่ฟงพ่นแต่ละคำได้อย่างลำบาก
ตอนนี้เขาหยุดพักอยู่ข้างทางด้วยอาการหอบเหนื่อย การเคลื่อนที่ได้รวดเร็วก็ดีอยู่แต่เลเวลของชายหนุ่มต่ำเกินไปที่จะรองรับวิชาท่าเท้าเมฆาซ่อนมังกรเป็นเวลานาน
ๆ หลังจากยี่ฟงทดสอบดูแล้วด้วยการเดินทางต่อเนื่องจึงทราบว่าเขาจะคงสถานะความเร็วสูงสุดไว้ได้เพียงสองชั่วโมงกับเศษอีกเล็กน้อยเท่านั้น
“ถ้าเลเวลมากพออาจไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้มั้ง หรือฉันจะตั้งเป้าค้นหาวิชาสายฟื้นฟูมาหนุนเสริมดีหว่า”
ยี่ฟงกล่าวคาดการณ์และชั่งใจในความคิดตัวเอง
แต่ไม่นานยี่ฟงก็ละเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาเปลี่ยนไปเข้าบอร์ดข่าวสารยุทธภพและทำการตรวจสอบความเคลื่อนไหวภายในเมืองดาบมังกร
“ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองนี้มีแค่สองคนหรือ…หนวดพยัคฆ์ ประมุขพรรคประตูนรก
กับ จางเหมย ประมุขพรรควิถีเซียนกระบี่
ทั้งสองเป็นกิลด์ระดับต่ำค่อนไปกลาง
อืม…ระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
ยี่ฟงพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนไปดูเหตุการณ์สำคัญ
ๆ ที่เคยเกิดขึ้นจนพบเข้ากับเหตุการณ์ประหลาดในช่วงสองสามวันในเกมมานี้ ดูเหมือนเพลเยอร์หลายกลุ่มที่บุกไปตีสำนักพยัคฆ์หมอบซึ่งเป็นพื้นที่ของมอนสเตอร์จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า…
“เจ้าสำนักหายตัวไปหรือ ว่าแต่ไอ้ชื่อสำนักพยัคฆ์หมอบนี่มันคุ้น ๆ
อยู่นะ”
ยี่ฟงหรี่ตาพยายามเค้นความทรงจำย้อนหลังกลับไป กระทั่งเขาอุทานออกมาว่า
“เฮ้ย! เจ้าสำนักพยัคฆ์หมอบกับองครักษ์คลั่งของมันที่ดวงมหาซวยถูกฉันที่ร่วงลงมาจากฟ้ากระแทกจนตายนี่หว่า”
ยิ่งไล่สายตาอ่านรายละเอียดมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ยี่ฟงมั่นใจ และยังทำให้เขาตระหนักได้ถึงความจริงบางประการ
ที่แท้สงครามระหว่างกิลด์ใหญ่อันดับสี่และห้ามีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง
“ยัยพนักงานต้อนรับสาวนั่นต่างหากที่ส่งฉันไปผิดที่ผิดทางเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เหอะ ๆ”
ยี่ฟงแก้ต่างให้ตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกไปให้ใครรู้ทั้งสิ้น ให้มันตายไปพร้อมกับเขาเลยยิ่งดี
“อืม…เจ้าสำนักพยัคฆ์หมอบมันหายหัวไปได้สามวันกว่าแล้วนี่ ก็หลังจากที่มันตายอนาถไปพร้อมกับฉันเลยนี่หว่า”
นอกจากนี้เพลเยอร์ที่รั้งอยู่ภายในเมืองดาบมังกรยังพบเห็นนักฆ่ารับจ้างที่เป็นมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งมาป้วนเปี้ยนแถว
ๆ เมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งที่ความจริงแล้วนักฆ่ารับจ้างจะกบดานอยู่ห่างไกลยังซากเมืองร้าง
ไม่มีทางที่พวกมันจะมาโผล่อยู่ใกล้เมืองดาบมังกรได้เลย
จากปากคำของเพลเยอร์ที่เคยปะทะกับพวกมันมาต่างเล่าคล้ายกันว่า นักฆ่ารับจ้างกำลังตามหาคนคนหนึ่งอยู่…
“น่าสนใจแฮะ
ไว้หลังจากเข้าไปเซฟจุดเกิดในเมืองดาบมังกรแล้วจะลองไปสืบดูหน่อยแล้วกัน”
ยี่ฟงตัดสินใจมาดมั่น
ห้านาทีผ่านไปชายหนุ่มก็ออกเดินทางต่อ พอเริ่มเข้าใกล้เขตเมืองแล้วยี่ฟงก็สามารถพบเห็นเพลเยอร์ตามรายทางได้ประปราย สายตาทุกคู่กวาดมองยี่ฟงแบบผ่าน ๆ อย่างไม่ใส่ใจ รวมถึงผลลัพธ์จากกระทู้ที่เขาตั้งส่งให้ในเวลานี้มีกลุ่มคนภายใต้ชุดเกราะดูดี
และกลุ่มเพลเยอร์ในชุดจอมยุทธ์เท่ ๆ อีกมากมายกำลังเดินสวนทางตรงกลับไปยังเขตจงหยาง
มีหลายกลุ่มเข้ามาสอบถามเรื่องราวคร่าว
ๆ จากยี่ฟงด้วย
นั่นยิ่งทำให้พวกเขาถูกยุยงมากขึ้นไปอีก
จวบกระทั่งยามสายที่อากาศเริ่มร้อนขึ้น ยี่ฟงก็บรรลุถึงเมืองดาบมังกรในที่สุด ตั้งแต่ทางเข้าตลอดจนกำแพงเมืองล้วนมีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองจงหยางเป็นเท่าตัว สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือการเซฟจุดเกิดของเมืองนี้ไว้ ตามด้วยการเดินสำรวจตลาดไปทั่ว
เมืองดาบมังกรมีเส้นทางสัญจรหลักเชื่อมออกไปอยู่สามทิศ หนึ่งก็คือทิศใต้ที่เชื่อมต่อไปจงหยาง ทิศตะวันตกเชื่อมไปยังเมืองจิตมังกร
และสุดท้ายคือทิศเหนือซึ่งจากคำบอกเล่าแล้วมันเป็นเส้นทางที่ไกลมากกว่าจะไปบรรจบลงที่เมืองเศียรมังกร เพลเยอร์มากมายจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองจิตมังกรซึ่งมีระยะทางสั้นกว่าและยังตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเศียรมังกรมากกว่าด้วย
“นี่ไอ้น้อง!
จ่ายค่าเข้าเมืองมาด้วย”
ชายฉกรรจ์จำนวนสามคนเข้ามาขวางยี่ฟงไว้
“หือ
ฉันไม่เห็นเคยรู้มาก่อนว่าต้องเสียเงินด้วย”
ยี่ฟงตีหน้ามึนกล่าวขึ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อย่าถามอะไรให้มากความ รีบ ๆ
จ่ายมาซะ”
ชายกล้ามใหญ่ท่าทางกร่างสุดในหมู่เพื่อนกล่าวปนหัวเราะ
“ไม่จ่าย
แล้วก็ถอยไปด้วยเพราะฉันไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระ”
ยี่ฟงเอ่ยสวนเสียงเรียบ
เสียงสบถลั่นของชายฉกรรจ์ทั้งสามเรียกสายตาผู้คนได้อยู่บ้าง แต่ไม่มีใครคิดจะยุ่งเกี่ยวด้วย
หากไม่มีกำลังเพียงพอจะปกป้องตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในเขตแดนยอดฝีมือเช่นกัน ยุทธภพนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอนั่นคือกฎพื้นฐานที่เพลเยอร์ทุกคนต่างทราบกันดี
“เป็นแค่เด็กใหม่เพิ่งออกท่องโลกกว้าง อย่าทำแข็งให้มากดีกว่าไม่งั้นจะอยู่ไม่รอดเอานะไอ้เวร”
ชายอีกคนกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า
นายไม่จำเป็นต้องมาห่วงฉัน รีบ ๆ
ถอยไปได้แล้วเพราะฉัน ไม่ จ่าย”
ยี่ฟงเน้นย้ำด้วยแววตาสมเพช
“สั่งสอนเด็กใหม่มันหน่อยสิวะ!”
ชายกล้ามใหญ่เอ่ยปากสั่งการ
พริบตานั้นชายอีกสองคนก็พุ่งฝ่ามือคว้าจับลงที่ไหล่ของยี่ฟงคนละข้าง แต่พวกมันรวมถึงยี่ฟงยังไม่ทันได้ลงมือก็มีผู้เข้ามาสอดเสียก่อน
“หยุดมือ!”
คนที่ตวาดขึ้นมาคือชายหนุ่มร่างสูง สีหน้าดูมีคุณธรรมอันดี แน่นอนว่ามันไม่ได้พูดเปล่าแต่พุ่งเข้ามาผลักชายฉกรรจ์ทั้งสองออกห่างไปได้อีกด้วย
“อินทรีเหิน! แกเสือกอะไรด้วยวะ”
ชายกล้ามใหญ่ตะคอกถาม
“ฉันทนเห็นพวกนายปล้นเด็กใหม่ต่อไปไม่ได้แล้ว!
นายถอยไปซะศัสตราเทพ”
อินทรีเหินตอบ
“แกอยากจะเจ็บตัวไปด้วยสินะ”
ชายกล้ามใหญ่ที่ถูกเรียกว่าศัสตราเทพคำราม
แต่หลังสิ้นเสียงนั้นพลันปรากฏกลุ่มเพลเยอร์จำนวนมากชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อม
“ไม่รู้ว่าฉันหรือนายกันแน่ที่จะต้องเจ็บตัว!”
อินทรีเหินเอ่ยท้าทาย
“เฮอะ! คิดว่าอยู่ในถิ่นตัวเองแล้วจะแสดงคุณธรรมยังไงก็ได้หรือวะ”
ศัสตราเทพและสมุนสองคนของมันเตรียมชักอาวุธเข้าปะทะ
ทว่าระหว่างที่คนทั้งสองฝ่ายกำลังจะตีกัน ยี่ฟงกลับปลีกตัวเดินหนีไปก่อนแล้ว
ศัสตราเทพที่สังเกตเห็นพลันตะโกนขึ้นอย่างหัวเสียว่า
“นั่นใครอนุญาตให้แกไปได้กันวะ ไอ้เด็กใหม่!!”
ยี่ฟงเลิกคิ้วหันกลับไป จากนั้นเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายขึ้นว่า
“ฉันต้องขออนุญาตตัวเหี้ยด้วยหรือ”
สถานการณ์ที่ร้อนรุ่มอยู่ก่อนแล้วกลับกลายเป็นเดือดปุด
ๆ คล้ายจะเบิดออกในไม่ช้า
ความคิดเห็น