คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #130 : หงส์รำพึง
ภายหลังผ่านพ้นความเจ็บปวดในการฝืนเปิดจุดชีพจรพลันรู้สึกว่าร่างกายเบาโหวง ยี่ฟงเป่าปากคลายความกดดันที่สั่งสมมาทั้งหมดอย่างช้า ๆ สองตาที่ปิดลงเป็นระยะเวลาหนึ่งทำให้เขาต้องกะพริบตาถี่ซ้ำ ๆ เพื่อปรับโฟกัสแสง ขณะที่อาจารย์ของตนร่างชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อและกำลังเข้าฌานรักษาความปั่นป่วนภายใน
‘เลเวลอัปขึ้นมาได้จริง ๆ แฮะ’ ยี่ฟงคิดในใจ
ก่อนพยายามถอยห่างให้เกิดเสียงเบาที่สุดเพราะกลัวจะไปรบกวนเหิงอี
‘สถานะนี้ไม่น่าจะอยู่ได้นานนัก เราคงต้องรีบกอบโกย…’
ยี่ฟงวางแผนฝึกฝนและสร้างเป้าหมายทันที หลังจากระดับเลเวลของเขาค้างคาอยู่ที่ 57 มาสักพักเพราะถูกระบบปิดกั้น แต่ในที่สุดก็พบเจอช่องโหว่ให้ฉกฉวย เลเวลจึงเลื่อนขึ้นเป็น 58 ได้อย่างไม่คาดฝัน ซึ่งหากต้องการจะให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาอันสั้นบังคับนี้ ชายหนุ่มก็แทบไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนเลยด้วยซ้ำ
“โอกาสมีแค่ครั้งเดียว” ยี่ฟงกล่าวกระตุ้นปลุกใจสู้
เป็นเพราะเหิงอีเข้าฌานไปแล้วจึงไม่อาจสอบถามเพิ่มเติม ยี่ฟงมีแต่ต้องตัดสินใจเอาเอง เขากวาดสายตาพินิจพื้นที่โดยละเอียดรอบหนึ่ง จะอย่างไรการฝึกฝนภายใต้เขตแดนลมปราณประตูฟ้าย่อมต้องเห็นผลรวดเร็วที่สุด ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะก้าวล้ำออกไปเป็นแน่ และไม่นานเขาก็สังเกตพบร่องรอยบางอย่าง ตามธารน้ำที่ตัดผ่านตรงไปยังผาน้ำตกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ปรากฏเศษหินแตกหักมากมายผิดธรรมชาติ ยี่ฟงสันนิษฐานเข้าข้างตัวเองว่าบางทีอาจารย์เหิงอาจจะใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อฝึกวิชาขัดเกลาวรยุทธก็เป็นได้ ยิ่งตรวจสอบพื้นที่ก็ยิ่งพบเจอความไม่สมเหตุสมผล ทั้งหลุมบ่อ
รอยแตกบนพื้นดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเพียงแค่บริเวณธารน้ำตลอดเส้นสายนี้เท่านั้นที่แสดงร่องรอยความเสียหายให้ได้เห็น
จากประโยชน์ของเขตแดนลมปราณประตูฟ้า เกรงว่าคนที่ไม่รู้จักใช้สอยคงมีแต่คนสติไม่ดีแน่แล้ว
คิดได้ดังนั้น ยี่ฟงก็ไม่รีรออะไรอยู่อีก เขาย้อนกลับไปยังต้นน้ำที่ติดกับผนังถ้ำจนออกห่างจากอาจารย์เหิงพอสมควร ยี่ฟงเหินทะยานขึ้นไปเหยียบลงบนหินก้อนหนึ่งท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากกระทบกระแทกไปตามลำธารใสสะอาด จากนั้นตรวจเช็กไอเทมต่าง ๆ
ในช่องเก็บของของระบบ กองไอเทมอื่น ๆ
นอกจากสุรานั้นยี่ฟงไม่ไปให้ความสนใจ
คิดจะฝึกฝนวิชาทั้งทีมันก็ต้องทดลองของใหม่จึงจะคุ้มค่าสมแก่เวลาที่เสียไป สุดท้ายชายหนุ่มก็คว้าเอาไหสุราออกมา ซึ่งนับเป็นสุราชั้นสูงไม่น้อยนามว่าหงส์รำพึง เถ้าแก่ร้านถึงกับออกปากชมไม่หยุด
เห็นว่าเป็นฝีมือเพลเยอร์ด้วยกันที่คิดค้นสูตรและผลิตมันขึ้นมา
ยี่ฟงดึงเชือกเส้นจิ๋วที่ผูกติดอยู่กับจุกไหออก ปลดปล่อยกลิ่นหอมชวนลิ้มลองอันพิศวงพุ่งโจมตีประสาทรับกลิ่นให้ลุ่มหลงมัวเมา เขาใช้ฝ่ามือซ้ายถือไหยกขึ้นกรอกปาก พอน้ำเมาไหลทะลักออกมาปริมาณหนึ่งยี่ฟงก็ชักไหกลับและอมส่วนที่ว่าเอาไว้ในปาก รสหวานปนฝาดแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น ใช่!
ยี่ฟงเลือกที่จะเปิดการรับรสของสุรา
กระบวนท่ามังกรพ่นไฟถูกเปิดใช้ผ่านจิตสำนึก พร้อม ๆ กับที่ชายหนุ่มพ่นสาดน้ำเมาออกไป แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยเปลวเพลิงพวยพุ่งเป็นเส้นสายม้วนตลบอยู่เหนือธารน้ำเชี่ยว ไอความร้อนแผ่ขยายคลี่คลุมสองฟากข้าง ปลายต้นหญ้าถึงกับงองุ้มสยบให้แก่เพลิงสุรา แสงเงาก่อเกิดวูบวาบตามประกายไฟ กระทั่งห้าลมหายใจล่วงผ่าน กระบวนท่ามังกรพ่นไฟถึงค่อยสิ้นสุดลง
“ไม่เลว” ยี่ฟงเอ่ยปากชมเชย ไม่ทราบกล่าวถึงรสชาติสุราหรือประสิทธิภาพของพลังวิชากันแน่
การทดลองยังคงดำเนินต่อ กระบวนท่าที่สี่ , หน้าด้านไร้ยางอายถูกเปิดใช้
ส่วนยี่ฟงก็ยกไหสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง
ซึ่งรอบนี้เขากลืนมันลงคอไปสร้างความรู้สึกร้อนรุ่มกระชุ่มกระชวย ฝ่ามือขวาที่ยังว่างเปล่าถูกรวบกำเป็นหมัดและกระแทกใส่อากาศเบื้องหน้า แน่นอนว่ามันแฝงไว้ด้วยกระบวนท่าที่หนึ่งของวิชาหมัดมารเมรัย
, พิษน้ำเมา
คลื่นพลังปราณดีดทะยานออก ระหว่างทางมันแยกย้ายกระจายเป็นห้าสาย รูปลักษณ์ผันแปรกลายเป็นกำปั้นที่ค่อย ๆ หมุนวนฉวัดเฉวียนจนยากที่จะกำหนดทิศทาง สุดท้ายความวุ่นวายทั้งห้าสายก็ดิ่งลงปะทะผิวน้ำ สร้างคลื่นกระเพื่อมและมวลน้ำให้สาดกระเซ็นซ่านอย่างรุนแรงเพราะการระเบิด
“อืม
เยี่ยมจริง ๆ” ยี่ฟงค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันเป็นวิชาที่อันตรายต่อศัตรูของเขาไม่น้อย ส่วนน้ำเมาที่หลงเหลืออยู่ เขาตัดสินใจยกดื่มอย่างเรี่ยราดกระทั่งไหวางเปล่า เสื้อผ้าแทบจะเปียกชื้นและส่งกลิ่นสุรา ทว่ากลิ่นของหงส์รำพึงไม่เหม็นชวนอ้วก กลับกัน
มันเป็นกลิ่นหอมเจือจางที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์แทนด้วยซ้ำ อดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวชื่นชมคนคิดค้นสูตรและสามารถผลิตมันออกมาขายได้จริง
ๆ
ยี่ฟงหยุดคิดเรื่อยเปื่อย ไหสุราถูกวางลงข้าง ๆ
ก่อนเขาจะกระโดดลงไปยืนอยู่ในลำธาร ความลึกของมันทำให้ขาใต้เข่าลงไปจมอยู่ในน้ำ จากนั้นกระบวนท่าวิชายุทธ์ในครอบครองค่อย ๆ ถูกเรียกใช้ เริ่มตั้งแต่หมัดพายุเหล็ก เสริมพลังด้วยหมัดเพลิงเป็นระยะ สองฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณเหวี่ยงกระแทกใส่อากาศบ้างผิวน้ำบ้างสลับกันไป ความเสียหายย่อมซึมซ่านลงดิน บางส่วนกระจายหายไปในอากาศว่างเปล่า
สิบนาทีผ่านไป สถานะของหมัดพายุเหล็กก็สิ้นสุดลง
ทันใดนั้นยี่ฟงก็คว้ากระบี่ขึ้นมือ ตวัดวาดเพลงกระบี่ธาราและม้วนกลับมาพร้อมกับเพลงกระบี่ใบไม้ไหว เศษใบไม้ที่ลอยเอื่อย ๆ
อยู่บนผิวน้ำจึงถูกกระแสลมพัดโหมเข้าหาคมกระบี่ในมือ มวลน้ำปริมาณหนึ่งที่เกาะอยู่ตามใบไม้พลันร่วงหล่นราวกับสายฝน ขณะยี่ฟงทิ่มแทงกระบี่ออกไปในจังหวะอันรวดเร็ว คลื่นกระแสลมจากเพลงกระบี่ย่อมถูกปลดปล่อยตามไปด้วย ภาพที่เกิดขึ้นคือสายน้ำถูกแหวกออกเป็นเส้นตรงชั่วแวบหนึ่งก่อนจะไหลคืนกลับดังเดิม
ส่วนยี่ฟงที่เพิ่งจะทำการโจมตีออกไป บัดนี้กำลังเรียกใช้วิชาปราณเก้ากระบี่เวหาอย่างต่อเนื่อง
ช่วงจังหวะที่ชายหนุ่มดึงตัวกระบี่ม้วนกลับขึ้นมาถือด้วยสองมือ ตามทางก็ทิ้งเงาร่างกระบี่ไว้อย่างพิศวง สภาวะปราณกระบี่ทั้งเก้าลอยเคว้งอยู่รอบกาย คล้ายเสมือนเป็นบริวารที่พร้อมรับคำสั่งสังหารทุกเมื่อ ยี่ฟงเพ่งจิตสมาธิฝืนรั้งสภาวะปราณเก้ากระบี่เอาไว้
ปกติหากไม่รีบใช้จู่โจมออก พวกมันก็จะสลายไปเอง ทว่ายามนี้ชายหนุ่มไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นี่ย่อมสร้างภาระทั้งต่อพลังกายและพลังลมปราณโดยตรง
อัจฉริยะ! ในส่วนค่าประสบการณ์ฝึกฝน วิธีนี้สามารถช่วยพัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวละครได้อย่างดีเยี่ยมจริง
ๆ
ยี่ฟงฝืนคงสภาพเอาไว้ได้เพียงสองนาทีก็จำต้องยอมปลดปล่อยปราณกระบี่ทั้งเก้าเล่ม พวกมันพุ่งทะยานเรียดธารน้ำไปเบื้องหน้า ก่อนจะระเบิดดังสนั่นถี่ยิบจนมวลน้ำถูกตัดขาดออกจากกันชั่วขณะ เจ้าของวิชาอย่างยี่ฟง ยามนี้ถึงกับหอบหายใจจนตัวโยน ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อที่จะกำหนดลมหายใจให้กลับมาเชื่องช้าสม่ำเสมอได้อีกครั้ง
ก่อนจะเก็บกระบี่เขายังปลดปล่อยเพลงกระบี่ใบไม้ไหวอีกคำรบ เพลงกระบี่ธาราเองก็เช่นกัน
ยี่ฟงเลือกที่จะไม่ใช้พลังวิชาขุนศึกคำรามในตอนนี้ เพราะเสียงที่ดังอาจก้องกังวานจนไปรบกวนอาจารย์เหิงที่บริเวณผาน้ำตกเอาได้
ฉะนั้นชายหนุ่มจึงมาเริ่มต้นที่วิชาสิบฝ่ามือกำหนดฟ้าแทน นับจากกระบวนท่าที่หนึ่ง
กรงเล็บเพลิง คลื่นพลังปราณแหลมคมดุจอุ้งมือนักล่ากรีดผ่ามวลอากาศลอยออกไป
กระบวนท่าที่สอง
, จู่โจมจุดอ่อน
ถูกข้ามไปเช่นกันเพราะยี่ฟงไม่มีเป้าหมายให้โฟกัส
กระบวนท่าที่สาม
, ทะยานฟ้า ร่างกายของยี่ฟงที่ยืนอยู่ในลำธารเคลื่อนไหวรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเงาวูบวาบ ทว่าขาสองข้างที่จมอยู่ใต้น้ำ ส่งผลให้ความเร็วของกระบวนท่านี้เชื่องช้าลงไปบ้าง กระนั้นยี่ฟงก็ยากที่จะคำนวณในทันที
กระบวนท่าที่สี่
, หนึ่งฝ่ามือสามลักษณ์ ยี่ฟงเลือกจู่โจมออกด้วยลักษณ์ฟีนิกซ์เพลิงก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยพยัคฆ์เหล็ก ปิดท้ายกระบวนท่านี้ด้วยลักษณ์มังกรทอง ความรุนแรงของพลังวิชาค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้น กระทั่งธารน้ำบริเวณนี้เริ่มจะกลายเป็นหลุมบ่อนับไม่ถ้วน ต้นไม้ต้นหญ้า
และดอกไม้มอดไหม้ขาดแหว่งไปเรื่อย ๆ
กระบวนท่าที่ห้า
, เคลื่อนเมฆา ยี่ฟงสะบัดฝ่ามือหวดใส่ผิวน้ำดังตูม จนมวลน้ำแยกออกแทบจะว่างเปล่าไปเลย กระแสลมพายุพัดโหมดูดกลืนเศษหินเศษใบไม้จนปั่นป่วนอยู่ชั่วครู่
กระบวนท่าที่หก
, หมู่มังกรสยบทศทิศ หลังจากยี่ฟงกระแทกฝ่ามือลงไปยังธารน้ำใส พลังปราณมังกรสีทองสว่างไสวก็พวยพุ่งขึ้นมาอาละวาดไปรอบกาย
กระบวนท่าที่เจ็ด
, พิโรธคลั่ง คือเพดานสูงสุดเท่าที่ชายหนุ่มจะเรียกใช้ได้แล้วในยามนี้ พลังวิชาสิบฝ่ามือกำหนดฟ้านับเป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้
ตัวละครยี่ฟงแข็งแกร่งขึ้นมหาศาลก็ด้วยวิชานี้เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเขาจำต้องทะลวงขีดจำกัดเลเวลก่อน เพราะปัจจุบันระดับเลเวล 58 ยังไม่เพียงพอ การจะปลดปล่อยพลังอำนาจระดับเทพยุทธ์ ตัวละครยี่ฟงต้องมีเลเวลแตะ 60 เป็นอย่างต่ำ
เหตุนี้จึงทำให้เคล็ดวิหคอหังการถูกเรียกใช้ คลื่นพลังคลุ้มคลั่งร้อนแรงพลันพวยพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เพียงแต่ครั้งนี้ยี่ฟงพยายามฝืนสะกดข่มตัววิชา
เขาไม่ต้องการให้ดวงจิตวิหคเพลิงส่งเสียงร้องคำราม ที่นี่เวลานี้ไม่มีศัตรูคนไหนให้ข่มขวัญ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า
ดวงไฟที่กำลังก่อรูปเสมือนวิหคเพลิงระเบิดออกแทน สะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนปลิวว่อนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เดือดร้อนให้ยี่ฟงต้องรีบปลดปล่อยเพลงกระบี่ใบไม้ไหวหอบเอากระแสลมและมวลน้ำขึ้นไปดับเพลิงตามจุดต่าง
ๆ
เมื่อความวุ่นวายอลหม่านสงบลง ยี่ฟงก็ย้อนกลับมาฝึกฝนต่อ กระบวนท่าพิโรธคลั่งแสดงผลและอีกครั้งที่ยี่ฟงทดลองกระจายคลื่นพลังอันมหาศาลไปทั่วร่างกายแทนที่จะรวมรั้งเอาไว้ที่ฝ่ามือเพียงอย่างเดียว ขุมพลังที่ทะลักทลายอยู่ภายในร่างจึงค่อย ๆ
ถูกชักนำกระจายออก แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าร่างกายของยี่ฟงไม่อาจทนรับไหว มันถึงค่อย ๆ ฉีกขาดพรั่งพรูไปด้วยเส้นสายโลหิตอาบชโลม สุดท้ายล้มหงายหลังกระแทกลงไปกับธารน้ำใส
ความคิดเห็น