คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #135 : แยกย้ายเตรียมการ
“นี่เดชสวรรค์ จากข้อความของหัวหน้า
แสดงว่ารอบกายยี่ฟงมันต้องมีสามมารเฒ่าอยู่ด้วย การปะทะกับพวกมันในตอนนี้ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ” ชายชุดเขียวเอ่ยเตือน
“เหอะ! ฝ่ายเรามีเทพยุทธ์มากถึงแปดคน ยังจะกลัวกับอีแค่ตาแก่ไม่กี่คนอีกหรือไง” เดชสวรรค์มีสีหน้าดูแคลน
มังกรสมุทรหัวเราะหึกล่าวเตือนสติว่า “พวกนั้นมีกันอยู่แปดคน
พลังฝีมือก็คงไม่ใช่ย่อย”
“แล้วยังไง! จะบอกว่าพวกมันเองก็แข็งแกร่งระดับเทพยุทธ์งั้นหรือ เป็นไปไมได้แน่ คงมีแต่สามมารเฒ่าที่เป็นก้างชิ้นโต ซึ่งฝ่ายเราสามารถใช้จำนวนเข้าข่มได้ไม่ยาก” เดชสวรรค์ตอบ
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น มังกรสมุทรมันพอจะแยกแยะระดับของกลุ่มคนเมื่อครู่ได้อยู่บ้าง ด้วยความที่ตัวมันเข้มแข็งกว่ามาก สัมผัสรับรู้จึงไม่ธรรมดา
และนอกจากสามมารเฒ่าแล้วก็ไม่มีใครอื่นในคนกลุ่มนั้นที่ทำให้มันรู้สึกด้อยกว่าหรือกังวลได้อีกเลย สภาวะอันพิเศษในคลาสเทพยุทธ์ช่วยให้ตัวละครหนึ่งมีฐานะเป็นนักล่า สัญชาตญาณเฉียบคมถึงขั้นสามารถเลือกเหยื่อที่อ่อนแอกว่าตนได้ง่าย
ๆ และอีกด้านก็รับรู้ได้ว่าใครอันตรายจนไม่ควรที่จะเข้าไปแส่หาเรื่อง
“จริงตามที่ฉันพูดสินะ เพราะไอ้เวรนั่นมันเพิ่งเล่นเกมมาไม่นาน ถึงจะออนไลน์ต่อเนื่องแทบไม่พักก็ยังห่างไกลกับคำว่าเทพยุทธ์เยอะ ที่สำคัญคือมันโดนระบบเกมล็อคระดับเลเวลไว้อยู่ ก็แค่เพลเยอร์หน้าใหม่อวดดีล่ะวะ คนในกลุ่มมันนอกจากสามมารเฒ่าแล้วไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไรได้”
เดชสวรรค์กล่าวตามหลักความเป็นจริง ยิ่งเห็นมังกรสมุทรหุบปากเงียบก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
“ดูเหมือนพวกมันจะย้อนกลับไปเมืองดาบมังกร เห็นว่าที่นั่นมีพันธมิตรร่วมสมาพันธ์ของยี่ฟงอยู่ถึงสองพรรคใหญ่ หนึ่งในนั้นก็คือพรรควิถีเซียนกระบี่ นายคุ้น ๆ ไหมล่ะ” คมอักษรกล่าวกระตุ้นแฟนหนุ่ม
เพราะอดีตของเดชสวรรค์ก็เริ่มด้วยการไต่เต้ามาจากพรรคที่ว่า
“ถิ่นศัตรูงั้นหรือ จะสักเท่าไรกันเชียว” เดชสวรรค์ให้ความเห็นอย่างไม่ใส่ใจนัก
มังกรสมุทรไม่ชอบคนประมาท จึงรีบกล่าวแทรกขึ้นว่า “พวกเราจะไม่โจมตีอย่างโจ่งแจ้งเกินไป มันเสี่ยงที่จะทำให้ชื่อเสียงของกิลด์ตกต่ำลงได้”
“นี่แกคิดจะลองเจรจาชักชวนศัตรูให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกิลด์อยู่สินะ” เดชสวรรค์กล่าวพร้อมหัวเราะหยามเหยียด “มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ฉันกับยี่ฟงแตกหักกันไม่ใช่แค่ภายในเกม ซึ่งมันร้ายแรงกว่าที่แกคิดไว้เยอะ เลิกหวังซะเถอะ ตอนนี้ไม่ฉันก็มันที่จะต้องย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี!”
บนเส้นทางสัญจรหลัก
กลุ่มของยี่ฟงเดินทางได้รวดเร็วขึ้นมากผิดไปจากก่อนหน้านี้เป็นคนละเรื่อง เหล่าชาวยุทธ์ที่ปักหลักตั้งค่ายกันอยู่บริเวณรอบนอกอาณาเขตมหาคนฉางอาน บางกลุ่มเมื่อพบเห็นก็จดจำกลุ่มของยี่ฟงได้ทันทีเพราะมีจุดให้ระลึกง่ายดังเช่นตัวละครวัยชรากับชายใส่หน้ากากลึกลับ นี่มีผลทำให้หลายกลุ่มเลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าแดงก่ำคล้ายจะอับอาย เนื่องจากสี่วันก่อนโลกจริง ทุกคนล้วนสบถด่าหยามเหยียดกลุ่มของยี่ฟงกันไม่ใช่น้อย ทว่ายามนี้กลุ่มคนที่พวกเขาดูแคลนกลับยังรอดชีวิตออกมาจากเขตแดนมหานครฉางอานได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดี ทั้ง ๆ ที่บุกฝ่าเข้าไปช่วงกลางคืนแท้ ๆ นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าพวกเขากลางสาธารณะชนหรอกหรือ?
‘ตามมาทำไมกันนะ
วุ่นวายจริง ๆ’ ยี่ฟงบ่นในใจ
ดูเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่สัมผัสได้ถึงอันตราย
“พอเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทุกคนไปเจอกันที่อาคารนักพเนจรนะ” ยี่ฟงตัดสินใจไม่บอกกล่าวเรื่องที่มีกลุ่มคนลอบไล่ตามมา กลายเป็นนัดแนะจุดรวมพลแทนด้วสีหน้าเรียบเฉย
“เข้าใจแล้วครับ” เหนือฟ้าขานตอบ ส่วนคนอื่น
ๆ เพียงผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้
“แล้วนายไม่คิดจะไปติดต่อขอยืมเงินพร้อมกับเหนือฟ้าจริงหรือ” หยกราตรีตั้งคำถาม
ยี่ฟงหัวเราะหึกล่าวตอบไปว่า “ฉันต้องแยกไปจัดการธุระที่หอเตี๋ยเทียนก่อน นี่ก็เลยกำหนดรับของมานานพอสมควรแล้ว”
“ว่าแต่นายลำบากใจที่จะติดต่อไปยืมเงินพี่สาวคนเดียวหรือเปล่า เหนือฟ้า?” ยี่ฟงหันไปถามกดดันต่อเนียน ๆ
“ไม่หรอก
ผมทำได้น่า” เหนือฟ้าตอบยืนยันด้วยรอยยิ้มมั่นใจ พลางเปิดระบบติดต่อไปหาเซียนหิมะให้เห็นกันชัด
ๆ
“พี่ลี่
พวกเราต้องการความช่วยเหลือ” เมื่อการติดต่อสำเร็จ เหนือฟ้าก็กล่าวเข้าประเด็น
“กำลังรออยู่เลย
ว่ามาสิ
ยี่ฟงต้องการให้ช่วยเหลือยังไง” เซียนหิมะถามกลับมา
เสียงที่ถูกเปิดให้ดังสามารถได้ยินชัดเจนกันทั้งกลุ่ม ถึงแม้พวกเขากำลังเคลื่อนที่เดินทางกันอย่างต่อเนื่องก็ตาม
“ภารกิจยึดเมืองของยี่ฟง ต้องการใช้เงินอีกเพียงแค่ 323 ล้านตำลึงทองก็จะสำเร็จแล้ว” เหนือฟ้ากล่าวสรุปความสั้นกระชับ
ไม่มีการอธิบายอะไรให้ยุ่งยากเพราะเขาเชื่อว่าเซียนหิมะจะเข้าใจทุกอย่างได้เองแน่
“เท่านี้เองหรือ
ง่ายกว่าที่คิดอีกนะ” น้ำเสียงสบาย
ๆ ของหญิงสาวทำให้เหนือฟ้าเกิดหมั่นไส้ขึ้นมานิด ๆ
“จริง ๆ แล้วยี่ฟงต้องรวบรวมเงินให้ได้ 900 ล้านภายในหนึ่งวันโลกจริงต่างหากล่ะ เมืองฉางอานถึงจะตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์” เหนือฟ้าเอ่ยหยอกเย้าแกล้งพี่สาวกลับไปจนได้
“อะไรนะ!
แล้วแบบนี้เอาไป 323 ล้านจะมีความหมายอะไรล่ะ” เซียนหิมะถามน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่พอตั้งสติได้ก็สามารถคาดเดาสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ทันทีว่าโดนน้องสาวตัวแสบแกล้งเข้าให้แล้ว
“หน็อยเธอนี่! พี่สั่งการเมฆาอัสนีให้ไปดำเนินการโอนเงินเรียบร้อยแล้ว พวกเธอเพียงไปติดต่อถอนเอาได้ที่คลังระบบของทุกเมือง จะให้พี่ใส่ชื่อใครที่จะได้รับสิทธิ์ถอนเงินล่ะ” เซียนหิมะกล่าวสรุปอย่างรวดเร็ว เหนือฟ้าจึงบอกชื่อของตัวเองกลับไปทันที
กระทั่งการติดต่อสิ้นสุดลง
“กิลด์ใหญ่นี่รวยจริง ๆ นะ” มุกทิวารู้สึกทึ่งมาก
“พี่ลี่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเป็นการยืมหรือเปล่า…หรือนี่จะเป็นแผนของนายตั้งแต่แรก” หยกราตรีเหมือนสะกิดใจอะไรได้บางอย่าง รีบหันไปร้องถามเอากับไอ้ตัวแสบทันทีทันใด
“ผงแผนอะไร ที่เซียนหิมะไม่คิดมากเรื่องเงินก็เพราะเธอคงรู้แน่แล้วว่าฝ่ายตนจะต้องได้รับผลประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อีกอย่างเมื่อฉันมีพื้นที่กว้างขวางในสมาพันธ์ของตัวเอง ก็จะสามารถหาที่ตั้งวิหารว่างเปล่าให้วังฟีนิกซ์เยือกแข็งได้อีกด้วย
ทางนั้นจะโอนย้ายกองกำลังมาประจำการอยู่ที่สมาพันธ์เลยก็ไม่มีปัญหา พื้นที่ภายในเขตแดนฉางอานเหมาะแก่การตั้งรกรากไม่ใช่น้อยอีกต่างหาก ใครต้องการจะทำสงครามกับพวกเราก็ต้องใช้สมองคิดให้หนักอยู่เหมือนกัน”
ยี่ฟงอธิบายตามความเป็นจริง ส่วนเรื่องที่เขาไม่อยากออกหน้ายืมเงินด้วยตัวเองนั้น ก็เพราะพี่น้องครอบครัวมันคุยกันง่ายกว่าในเรื่องนี้ และผลก็ออกมาตามที่คาดหวัง
จะให้ตัวเขาไปยืมเงินกับคนที่เพิ่งพบเจอเพียงครั้งเดียวมันก็ดูไม่ค่อยเข้าท่านัก แม้จะเป็นพันธมิตรกันแล้วก็เถอะ ตอนนี้ยี่ฟงมีพัฒนาการด้านมารยาททางสังคมขึ้นมาบ้างแล้วจึงจะเห็นว่าเขาพยายามวางตัวให้ดูไม่น่าเกลียดในสายตาของคนอื่นที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน
เกือบครึ่งชั่วโมง กลุ่มของยี่ฟงก็บรรลุถึงเมืองดาบมังกรในที่สุด
“อย่าลืม จุดรวมพลคืออาคารนักพเนจร” ยี่ฟงเอ่ยปากย้ำเตือนขึ้นมาอีกรอบ กระทั่งคนทั้งกลุ่มต่างแยกย้ายไปเตรียมตัว
“เหอะ ๆ พวกมันยังตามมาไม่เลิกไม่รา” ยี่ฟงสัมผัสได้ชัดเจนถึงกลุ่มคนที่ยังคงไล่ตามมา
“แต่เสียใจด้วย
พวกฉันไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอก”
กล่าวจบ ยี่ฟงก็เร่งเหินทะยานตรงไปยังหอเตี๋ยเทียนเต็มกำลัง ความเร็วที่ปรากฏสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ชาวเมืองตามเส้นทางมาก สายลมม้วนตลบพัดโหมกระโชกทิ้งเป็นเส้นสายอยู่เบื้องหลังเงาร่างอันเลือนรางของชายหนุ่มอย่างน่าหวาดหวั่นขวัญผวา ดุจเทพเซียนวายุในสายตาของเพลเยอร์ระดับต่ำหลายต่อหลายคน
“มีคนที่วิชาตัวเบาสูงส่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ชายคนนั้นต้องเป็นเทพยุทธ์แน่ ๆ ไม่มีทางที่คนระดับต่ำกว่าจะแสดงออกได้ถึงขั้นนี้”
“เฮ้ยดูนั่น!
มีกลุ่มคนท่าทางแข็งแกร่งมาถึงอีกกลุ่มแล้ว”
ชาวเมืองที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันกันอยู่ในยามสาย ต่างซุบซิบนินทาดังไม่หยุดหย่อน ซึ่งกลุ่มคนที่พวกเขากล่าวถึงย่อมต้องเป็นกลุ่มของเดชสวรรค์เอง
“พวกมันคงแยกย้ายกันแล้ว แต่เหลือเชื่อจริง ๆ ที่พวกเราไล่ตามไม่ทัน” ชายชุดเขียวทึ่ง
“ทีนี้จะเอาไงล่ะ ถึงเมืองดาบมังกรจะไม่ใหญ่มาก แต่การจะควานหาตัวคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” คมอักษรกล่าวถามความคิดเห็นของทุกคน
“ฉันว่าพวกเราควรจะดักซุ่มรออยู่บริเวณนี้แหละ อีกไม่นานพวกนั้นคงย้อนกลับมาเอง อย่าลืมว่ายี่ฟงยังต้องเคลียร์ภารกิจยึดเมืองฉางอานอยู่” มังกรสมุทรกล่าวด้วยเหตุและผล ประสบการณ์ของเขาไม่ธรรมดา
“หัวหน้าพูดถูกต้อง ฉันว่าดีซะอีก พวกเราจะกันไม่ให้มันสามารถย้อนกลับไปถึงเมืองโบราณได้ ทีนี้ไม่ต้องพูดถึงภารกิจยึดเมืองอะไร แค่ยี่ฟงมันเอาตัวให้รอดยังสำลักเลือดเลย ฮ่า ฮ่า”
ได้ฟังความคิดเห็นของคนในกลุ่มแล้วเดชสวรรค์มันก็แสดงท่าทีอ่อนลงบ้าง ตัวมันเองก็คิดว่าเป็นแผนการที่ไม่เลวเหมือนกัน
“งั้นพวกเราแยกย้ายกันไปซุ่มอยู่ตามร้านค้าแถว ๆ
นี้เถอะ คอยสอดส่ายดูให้ทั่วอย่าให้หลุดรอดสายตาไปได้เด็ดขาด” มังกรสมุทรออกคำสั่งพลางแยกย้ายกันไปตามใจ
พวกเขาไม่มีใครตระหนักเลยว่าได้เดินหมากพลาดไปแล้ว การดักรอนี้ย่อมเสียเปล่าไม่เกิดประโยชน์ใดแน่ ๆ
หอเตี๋ยเทียน
ยี่ฟงเดินเข้ามาถึงไม่กี่ก้าว เขาก็ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายนำพาขึ้นไปสู่ชั้นห้าของหอสมุนไพรทันที ราวกับผู้อาวุโสประจำหอนี้รับรู้ถึงการมาของชายหนุ่มตั้งแต่ก้าวแรกเลยทีเดียว
“ยินดีต้อนรับท่านอีกครา” ผู้เฒ่าประจำหอชั้นห้าเอ่ยขึ้นเสียงเนิบ นามของเขาคืออู่โหยว
“ข้ากลับมารับตำรามารอสรพิษสามสีที่ฝากให้ท่านซ่อมแซมให้” ยี่ฟงกล่าวเข้าประเด็น
“ข้าทราบดีโปรดรอคอยสักครู่” ผู้เฒ่าอู่โหยวหันหลังก้าวเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของชั้นห้า ชุดคลุมจอมยุทธ์ลากยาวเรียดไปตามพื้น กระทั่งชายชราย้อนกลับมาพร้อมกับตำราเล่มหนึ่งที่ดูคุ้นเคยเพียงแต่มันดูสะอาดกว่าและไร้ร่องรอยชำรุดขาดแหว่ง
“ข้าได้เปิดโลกไม่ใช่น้อย ความรู้นับไม่ถ้วนภายในตำราเล่มนี้มหาศาลนัก” อู่โหยวกล่าวน้ำเสียงยินดีปรีดา
“ในเมื่อมันมีประโยชน์ต่อท่าน ข้าก็ยินดีด้วยและต้องขอบคุณที่ช่วยซ่อมแซมมันให้” ยี่ฟงตอบยิ้ม ๆ พลางยื่นฝ่ามือไปรับตำรามารคืนมา
“ขอให้ผู้เฒ่าคนนี้ได้ตอบแทนท่านสักเล็กน้อยเถิด” อู่โหยวเอ่ยรั้งชายหนุ่มไว้
“ไม่จำเป็นกระมังแต่หากท่านต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะปฏิเสธ” ยี่ฟงกล่าวอย่างมีชั้นเชิง ส่งให้ผู้เฒ่าอู่โหยวหัวเราะแผ่วเบาพลางหยิบยื่นบางสิ่งให้
“นี่คือกระดาษแผนที่รวบรวมแหล่งกำเนิดสมุนไพรหายากจำนวนหนึ่งซึ่งตัวข้าเองเป็นผู้ขีดเขียนขึ้นมา หวังว่าหลังจากนี้มันจะมีประโยชน์ต่อท่านบ้าง โปรดรับไว้เถิด”
“ขอบคุณผู้อาวุโสห้า สิ่งนี้มีประโยชน์กับข้ามากจริง ๆ” ยี่ฟงรับไว้พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างยินดี กระทั่งเขาขอตัวอำลาและย้อนกลับออกไปจากหอเตี๋ยเทียน เตรียมพร้อมสำหรับการบุกเบิกพื้นที่พิเศษของหนึ่งในเสาหลักทั้งห้า
ความคิดเห็น