Toeytoii พาทัวร์ "เที่ยวปักกิ่งง่ายๆสบายกระเป๋า" - Toeytoii พาทัวร์ "เที่ยวปักกิ่งง่ายๆสบายกระเป๋า" นิยาย Toeytoii พาทัวร์ "เที่ยวปักกิ่งง่ายๆสบายกระเป๋า" : Dek-D.com - Writer

    Toeytoii พาทัวร์ "เที่ยวปักกิ่งง่ายๆสบายกระเป๋า"

    เที่ยวปักกิ่งแบบไม่ต้องพึ่งไกค์ได้ด้วยหรือ? ถ้าอยากรู้มาติดตามไปพร้อมๆกับเรา

    ผู้เข้าชมรวม

    1,502

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    14

    ผู้เข้าชมรวม


    1.5K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ส.ค. 56 / 21:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    ต้าเจียฮ่าววว!
     
     
    สวัสดีค่ะทุกคน! ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ทัวร์ของเรา
     
     
    ดิฉัน นางสาวภาวินี พิทยรังสฤษฏ์ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นม.5 ห้อง 941 เลขที่ 20

    วันนี้รับหน้าที่เป็นไกค์พาทุกท่านไปท่องเที่ยวแบบง่ายๆ แต่ครบครันและคุ้มค่าเต็มที่
     
     
    วันนี้ ทัวร์ของเราจะขอนำทุกท่านไปเยี่ยมชมเมืองหลวงของประเทศ ที่ได้ชื่อว่ามีประชากรเยอะที่สุดในโลก!!!
     
    ใช่แล้วค่ะ! เป้าหมายการทัวร์ของเราในวันนี้คือ เมืองปักกิ่ง ประเทศจีนค่ะ

    หลายคนอาจจะสงสัย เอ... เมืองใหญ่ๆ่อย่างปักกิ่งนี่สามารถเที่ยวได้เองจริงหรือ?

    จริงไม่จริง วันนี้เราจะพาทุกท่านมาพิสูจน์กันค่ะ ถ้าพร้อมกันแล้ว ออกเดินทางกันเลยค่า!!!!

     

    v
    v
    v
    v
    v
    v
    v


     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ก่อนอื่นเลย ขอเกริ่นถึงเมืองปักกิ่งให้ทุกท่านพอรู้จักก่อนนะคะ
       

      ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจีน ในภาษาจีนเรียกว่า Beijing (เป่ยจิง)
      ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากเซี่ยงไฮ้
      ปัจจุบันปักกิ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 ของประเทศจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑล
      และยังถือเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมจีน

       

      สถานที่ท่องเที่ยวในปักกิ่งมีมากมายค่ะ โดนเกือบทุกที่สามารถเดินทางไปได้โดยรถไฟใต้ดิน
      จะมีเพียงบางที่เท่านั้น ที่ไม่สามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปถึงได้โดยตรง อาจจะต้องมีการต่อรถหลายต่อ ซึ่งจะมีที่ไหนบ้างนั้น มาติดตามกันต่อไปเลยนะคะ

       

      สถานที่แห่งแรกที่เราพาทุกท่านมา คือ หอฟ้าเทียนถานค่ะ



      หอฟ้าเทียนถานเป็นสถานบวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งยังคงรักษาไว้ในจีน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่ และลานหยวนชิว เป็นต้น
       


      ตําหนักหวงฉงอี่นี้ล้อมรอบด้วยกําแพงเตี้ย ๆ ซึ่งสร้างถูกต้องตามหลักวิชาว่าด้วยเสียง จึงสะท้อนเสียงได้จนเป็นที่เลื่องลือ เมื่อสองคนยืนอยู่ที่กําแพงคนละฟาก คนหนึ่งพูดใส่กําแพงเบา ๆ อีกคนหนึ่งเอาหูแนบกับกําแพง ก็จะได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงกันข้าม


















      ส่วนที่นี้คือที่ๆสำหรับทำการสวดมนต์ขอพรจากเทวดา ถ้าได้ขึ้นไปยืนบนแผ่นหินแล้วสวดมนต์ขอพร คำอธิษฐานจะเป็นจริง ถือว่าเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับสววรค์มากที่สุด จึงมีคนจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
      จำนวนมาก พากันแวะเวียนมาที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
       


       






       

      v
      v
      v
      v

       

      ต่อมา ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ใครหลายคนที่มาเที่ยว ย่อมไม่พลาด สถานที่แห่งนี้ นั่นก็คือ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค่ะ
       


       

      จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติจีนยุคใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง จัตุรัสแห่งนี้ประกอบด้วยอนุสรณ์วีรบุรุษศาลาประชาคม และสถานรำลึกท่านประธานเหมา ในทางด้านเหนือสุดของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของหอเทียนอันเหมิน
       

      หอเทียนอันเหมิน
       


      เป็นหอที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1417 ในรัชสมัยราชวงศ์หมิง ใช้ประกอบพิธีประกาศแต่งตั้งสามัญชนเป็นจักรพรรดิ หรือ จักรพรรดินี ในปี ค.ศ.1911 ในช่วงยุคสุดท้ายของระบบศักดินา สถานที่แห่งนี้กลายเป็นเขตต้องห้ามมิให้คนทั่วไปเข้าไปได้ยกเว้นราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น
       

      อนุสรณ์วีรบุรุษ
       


       

      เป็นแท่งหินสูงตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสเทียนอันเหมินสร้างขึ้นในปี  ค.ศ.1952 เป็นอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติจีน “วีรบุรุษของประชาชน เป็นอมตะ” คือข้อความที่ท่านประธานเหมาได้จารึกที่อนุสรณ์
       

      ศาลาประชาคม
       


      อยู่ทางด้านตะวันตก สร้างขึ้นในปี 1959 เป็นที่ประชุมระดับชาติ ทั้งทางด้านการเมืองและการทูต ภายในมีห้องประชุมขนาดใหญ่ 2ห้อง หลักๆ บรรจุได้รวม 15,000 ที่นั่ง สถานรำลึกประธานเหมา ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของจัตุรัส แบ่งออกเป็น 3ส่วน และ ที่ตั้งของโลงแก้วคริสตัลบรรจุร่างของท่านประธานเหมา โดยรอบๆของสถานรำลึกประดับด้วยดอกไม้สีสันสวยสดงดงามเพื่อให้แลดูสดชื่น 
       

      พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน
       


      พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของจัตุรัส ซึ่งเป็นที่ผนวกเอาพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนกับพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ ใน ปี คศ.2003 ตั้งอยู่ด้านหน้าศาลาประชาคม ภายในพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติจัดแสดงภาพ , หนังสือ และ แบบจำลองของจีนยุคใหม่ ส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีน จัดแสดงภาพของโบราณต่างๆ ที่มีอายุยาวนาน และ ความรุ่งเรืองของจีน เมื่อ 1,700,000ปีที่ผ่านมา จนถึงปี 1921 ซึ่งเป็นปีที่ราชวงศ์สุดท้ายสละบัลลังก์ ในปัจจุบัน นี้ จัตุรัสแห่งนี้ ได้กลายสภาพเป็นเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ กินเนื้อที่กว่า 440,000 ตารางเมตร

       
      พระราชวังต้องห้าม

       


       

      พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า"เมืองต้องห้ามสีม่วง" เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจัตุรัสเทียนอันเหมิน 
       


      นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจัตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจัตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด ในอดีตภายในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้



      แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีนและภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
       


       

      นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้

      ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยาง  เป็นหนึ่งในมรดกโลกในนามพระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) โดยเป็นมรดกโลกที่เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก
       








       

      v
      v
      v
      v

       

      พากันมาดูย่านช้อปปิ้งของที่นี่กันบ้าง บางคนบอกว่า ที่นี่เปรียบเหมือนย่านสยามของบ้านเราเลยค่ะ ที่นี่คือ ซีตาน
       


       

      ถนนซีตานนี้ ประกอบไปด้วยทั้งห้างสรรพสินค้ามากมาย และร้านขายของอยู่ตามตรอกซอยต่างๆให้ทุกคนได้แวะเข้าไปชม เหมือนกับสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอร์รี่ และสยามสแควร์ของบ้านเรานี่เองค่ะ
       


      ของที่มีขายที่นี่ ถ้าในตามห้างสรรพสินค้าก็อาจจะไม่ต่างๆจากบ้านเรามากเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นของที่ขายตามร้านรวงต่างๆข้างล่าง ก็จะมีราคาถูก และสามารถต่อราคาได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะ ว่าของที่นี่ก็ยังไม่ถูกเท่าตามตลาดนัดทั่วๆไป เพราะที่ซีตานนี่ ถือได้ว่าเป็นย่านธุรกิจสำคัญย่านหนึ่งของปักกิ่งเลยก็ว่าได้
       

      v
      v
      v
      v

       

      ใครหลายคนที่มากับกรุ๊ปทัวร์อาจจะบ่นกับเรื่องอาหารที่ได้ทานตามภัตตาคาร อาจจะไม่ถูกปาก หรือมีราคาแพง บางคนอาจถึงกับต้องพกเครื่องปรุงส่วนตัวมาเลยก็ยังมี เราขอแนะนำให้ท่านลองแวะเข้าไปในร้านอาหารตามริมถนน ที่ดูไม่ค่อยมีคนหรือเงียบๆ แล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะเสน่ห์ของอาหารจีนที่แท้จริง เราสามารถหากินได้จากร้านแบบนี้แหละค่ะ

      ด้วยความที่ไกค์และเพื่อนๆหลายคนไปได้ข่าวร้านอาหารร้านหนึ่งมา อยู่ไม่ไกลจากถนนซีตานนี้เลย พวกเราจึงได้ถือโอกาสไปสำรวจตามหาร้านอาหารแห่งนี้กันค่ะ

       


       

      ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารของนักร้องจีนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง "หานเกิง" ซึ่งเขาได้เปิดร้านนี้ให้แม่ของเขาซึ่งชื่นชอบการทำเกี๊ยวได้หาอะไรทำในยามว่าง ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้แม่ของเขาจะเลิกกิจการไปแล้วแต่ก็ยังคงเปิดต่อไป เพื่อให้แม่ครัวมีรายได้ แต่ก็ได้ยกเลิกเมนูเกี๊ยวไป

      ไกค์และเพื่อนๆที่ไปกัน ถึงแม้ในตอนแรกจะรู้สึกเสียดาย แต่คิดว่าไหนๆเราก็มาถึงกันแล้ว ลองสั่งอาหารมาทานกันสัก 3-4 อย่างแล้วค่อยกลับจะดีกว่า

      เมื่ออาหารมาและทุกคนลงมือทานกัน พูดได้คำเดียวเลยค่ะว่า สุดยอดมาก!!! เป็นอาหารจีนแบบฉบับชาวบ้านโดยแท้ ไม่ได้มันเยิ้มหรือเลี่ยนเหมือนที่ทานในภัตตาคารแต่อย่างใด รสชาติอาจจะไม่ได้จัดจ้านเท่าของเมืองไทย แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถปฏิเสธความอร่อยนั้นได้เลย

       


      อาหารที่ไกค์และเพื่อนๆสั่งมา มีข้าวผัด เต้าหู้ซอสเสฉวน บะหมี่เย็น และสันคอหมู ซึ่งคุณแม่ครัวทำให้มาในปริมาณเต็มที่ และยังมีราคาถูกมากๆอีกด้วย เรียกได้ว่าใครที่มาเที่ยวปักกิ่ง อย่ามัวแต่ทานอาหารในภัตตาคารนะคะ ลองหาร้านใหม่ๆทานกันเองดูบ้าง ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
       

      v
      v
      v
      v

       

      อีกเรื่องที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง หลายคนอาจจะมองว่าคนจีนเป็นคนที่พูดเสียงดังบ้าง ไม่มีมารยาทบ้าง หรืออะไรก็ตาม แต่ในทางกลับกัน สิ่งหนึ่งที่ไกค์ประสบมากับตัว และอดประทับใจไม่ได้เลยคือ
       

      คนจีนจะเป็นคนที่เมื่อได้ลองช่วยเหลือใครแล้ว จะช่วยจนถึงที่สุด จนสุดความสามารถของเขา
       

      ในระหว่างทางเดินตามหาร้านอาหารนี้ ไกค์และเพื่อนๆได้หลงทางอยู่ในซอยๆหนึ่ง เนื่องด้วยชื่อร้านที่ถูกเปลี่ยนไปทำให้หาร้านไม่เจอ แต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากหญิงชาวจีนคนหนึ่ง เมื่อไกค์เข้าไปถามและยื่นแผนที่ให้ดู เค้าบอกว่า เค้าไม่รู้จักร้านอาหารแห่งนี้

      ในตอนแรกไกค์คิดว่าเค้าคงจะเดินจากเราไป แต่แล้วเขาก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่และโทรไปถาม ซึ่งก็ยังหาไม่เจออีก เค้า
      จึงเปลี่ยนไปโทรถามศูนย์รวมเบอร์โทรศัทพ์และเปิดแผนที่ในโทรศัพท์หาให้ จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่เจอ ไกค์จึงบอกเขาไปว่าไม่เป็นไร และขอบคุณมากๆ

      เห็นไหมคะ ว่าคนจีนเค้าจะช่วยเราจนถึงที่สุดจริงๆ ไกค์เจอคนจีนที่ดีแบบนี้บ่อยมากๆ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าคนจีนนิสัยไม่ดี นั่นอาจจะเป็งเพียงส่วนหนึ่ง แต่ไกค์เชื่อว่าถ้าเรามีเจตนาดี เขาก็ย่อมทำดีต่อเราค่ะ
       

      v
      v
      v
      v

       

      และแล้วเราก็มาถึงจุดพีคของการมาเที่ยวจีน สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปที่เราจะพาทุกท่านไป เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักเป็นอย่างดี นั่นก็คือ กำแพงเมืองจีนค่ะ

       


      กำแพงเมืองจีน อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วงๆของจีนสมัยโบราณ สร้างในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ 
       


       

      กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ มีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย

      ที่นี่แหละค่ะ ที่เราไม่สามารถนั่งไฟใต้ดินไปได้ถึงโดยตรง โดยต้องมีการต่อรถไฟเข้าไปอีก เพราะอย่างที่ทราบกันอยู่ว่ากำแพงเมืองจีนตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เทือกเขาและหุบเขามากมาย ทำให้ยาก
      ต่อการเข้าถึงค่ะ







       

      v
      v
      v
      v

       

      ต่อมาเราจะพาทุกท่านไปชมสนามกีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ หรือเรียกอีกชื่อว่า สนามกีฬารังนกค่ะ
       


       

      ได้มาถ่ายรูปเดินชมความใหญ่โตอลังการของสนามกีฬาก็ถือว่าเป็นอีกเสน่ห์หนึ่งค่ะ
       


       

      v
      v
      v
      v

       

      อีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายคนมักจะเข้าไปเยี่ยมชมคือ พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน ค่ะ
       


       

      "อี้เหอหยวน" หรือวังฤดูร้อน หรือที่เรียกกันว่า สวนสาธารณะอี้เหอหยวนนั้น ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง เป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง

      เมื่อ
      ศตวรรษที่ ๑๒ จักรพรรดิองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์จินทรงมีพระราชโองการให้สร้างที่ประทับแรมขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก ต่อมาในหลายราชวงศ์มีการสร้างเสริมเติมต่อหลายครั้ง พระจักรพรรดิเฉียงหรงแห่งราชวงศ์ชิงทรงมีพระราชโองการให้สร้างขยายอุทยานแห่งนี้ให้กว้างออกไปและทรงให้ชื่อว่า อุทยาน "ชิงอีหยวน"
       


       

      เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๐ อุทยานแห่งนี้ถูกทหารพันธมิตร อังกฤษ - ฝรั่งเศสเผาทําลาย ต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๘ พระนางซูสีได้ใช้งบประมาณกองทัพเรือของชาติซี่งเป็นเงินแท่ง ๕ ล้านตําลึงมาสร้างอุทยานนี้ขึ้นใหมและเปลี่ยนชื่อเป็น "อี้เหอหยวน"
       


       

      อุทยานนี้มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลก ด้วยมีทิวทัศน์สวยงาม อุทยานอี้เหอหยวนประกอบด้วยสองส่วนคือ เขา "ว่านโซ่วซาน" และ ทะเลสาบ "คุนหมิงหู" บนเขาว่านโซ่วซานได้สร้างวิหาร ตำหนัก พลับพลา และเก๋งจีนอันงดงามไว้หลายรูปหลายแบบ ตั้งอยู่ลดหลั่นรับกันกับภูมิภาพ ที่เชิงเขามีระเบียงทางเดินที่มีระยะทางไกลถึง ๗๒๘ เมตร ลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบคุนหมิงหู
       


       

      ในทะเลสาบคุนหมิงหูมีเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง มี สะพาน ๑๗ โค้งอันสวยงามเชื่อมติดกับฝั่ง ทั่วทั้งอุทยานจัดไว้ได้สัดส่วนงดงามตระการตาซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของศิลปะในการสร้างอุทยานของจีน
       





       

      v
      v
      v
      v



      พักจากสถานที่ท่องเที่ยว มาเป็นแหล่งช้อปปิ้งอีกแหล่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ย่านหวังฝูจิ่ง
       


       

      ย่านหวังฝูจิ่ง ดูเหมือนย่านการค้าทั่วไปที่มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารต่างๆ ไม่ได้แปลกตาอะไร ฉะนั้นถ้าใครไปเพื่อเดินซื้อของก็ขอแนะนำว่าอย่าไปจะดีกว่า แต่ถ้าใครไปเพื่อไปหาอาหารทานละก็ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

      เพราะที่ย่านหวังฝูจิ่งแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องของกินที่อร่อยและยังแปลกตาไม่ซ้ำใคร พอตกเย็นผู้คนจะพากันมาออแน่นกันที่ซอยๆหนึ่ง ในซอยนี้คุณจะพบแผงขายอาหารมากมาย มีตั้งแต่เนื้อย่าง แกะย่าง ไก่ย่าง หรือปลาหมึกย่าง ที่เสียบไม้ยาวๆรอขายอยู่
       


       

      ไปจนถึงอาหารแปลกตาที่คุณไม่คิดว่าจะได้พบเจอ เช่น ปลาดาวย่าง ม้าน้ำย่าง แมงป่องย่าง ซุปหอยทาก และรถด่วนแบบที่บ้านเรากินกัน เรียกได้ว่าใครที่กล้าท้าลองอาหารแปลกๆเหล่านี้ไม่ควรพลาดกันเลยทีเดียว
       


       

      แต่แนะนำว่าถ้าไม่ชอบจริงก็ไม่ควรเสี่ยงนะคะ เพราะไกค์แอบไปเห็นคนจีนคนหนึ่งกินแมงป่องย่างเข้าไป ดูจากสีหน้าก็พอจะเดาได้ว่าไม่ไหวค่ะ

       

       


       

      v
      v
      v
      v


       

      แหล่งที่ช้อปปิ้งในปักกิ่งนั้นยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอู่เต้าโค่ว ลิ่วเต้าโค่ว เทียนอี้ หงเฉียว หรือตลาดรัสเซีย ใครที่ชอบช้อปปิ้งก็ไม่ควรพลาดนะคะ อย่าลืมต่อราคากันเยอะๆล่ะ!
       

      v
      v
      v
      v

       

      สถานที่สุดท้ายที่ไกค์จะพาทุกท่านไปเที่ยวชมคือ วัดลามะ(ยงเหอกง) ค่ะ
       


       

      วัดลามะหรือ ยงเหอกง เป็นวัดหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบตอันลือชื่อ กินเนื้อที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ตำหนักต่าง ๆมีกว่า 1000 ห้อง วัดลามะนี้แต่เดิมเป็นพระตำหนักที่เฉียนหรงฮ่องเต้  กษัตริย์องค์ที่สองของราชวงศ์ชิงสร้างให้องค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง ปีค.ศ 1723 องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 3 จึงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ ส่วนพระตำหนักนี้  มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิริยาบถนอกวังขององค์ชายสี่ อีกครึ่งหนึ่งถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู จึงกลายเป็นวัดลามะของทิเบตนิกายหมวกเหลือง 
       


       


       

      สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งภายในวัดนี้คือ พระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยที่อยู่ในวิหารว่านฝูเก๋อ วิหารว่านฝูเก๋อยังได้ชื่อว่าเป็นหอพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นวิหารที่สูงใหญ่ที่สุดภายในวัดลามะ สูงกว่า 30 เมตรมีหลังคา 3 ชั้น ก่อด้วยไม้ทั้งหมด ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยปางยืนที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมสีขาว สูง 26 เมตร ส่วนล่าง 8 เมตรฝังอยู่ใต้ดิน อีก 18 เมตรอยู่เหนือพื้นดิน

      พระพุทธรูปทั้งองค์มีน้ำหนักประมาณ 100 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากต้นไม้ต้นเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อค.ศ 1979 มีการบูรณะซ่อมแซม พบว่าไม้จันทน์หอมที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้น แม้ว่าเวลาจะ
      ผ่านไปแล้วกว่า 200 ปี แต่เนื้อไม้ยังแข็งแกร่งไม่สึกหรอ แสดงให้เห็นถึงฝีมือระดับสูงในการแกะสลักและการอนุรักษ์โบราณวัดถุของช่างประติมากรรมโบราณของจีนอย่างเต็มที่
       


      นอกจากนี้สถาปัตยกรรมและของประดับประดาภายในวัดลามะล้วนมีลักษณะพิเศษโดดเด่น อีกทั้งภายในวัดยังให้ความเขียวชอุ่มร่มรื่น ทำให้ทุกคนที่ได้เข้าไปรู้สึกผ่อนคลาย และจิตใจสงบ จึงไม่แปลกเลยว่าหลายคนที่เข้ามาต่างสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเยือกเย็น ที่หาได้ยากในเมืองปักกิ่งที่แสนจะคับคั่งและหนาแน่นไปด้วยผู้คนเช่นนี้
       










      V
      V
      V
      V
       

      ก่อนจะกลับ อย่าลืมข้ามถนนแวะเข้าไปชิมติ่มซำในร้านชื่อดังของปักกิ่ง ร้านอาหาร 3 ชั้นที่ถูกออกแบบมาอย่างเริศหรูอลังการ ด้วยโคมไปที่ประดับหน้าร้านอย่างงดงาม เรียกได้ว่าถ้าไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่คือร้านอาหาร คงจะนึกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งเป็นแน่
       


      แน่นอนว่าติ่มซำของที่นี่มีรสชาติอร่อยไม่ซ้ำใคร ไม่เหมือนติ่มซำที่เราทานกันทั่วไป ทางร้านได้จัดติ่มซำลูกโตมาให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งก็ถือว่าคุ้มกับการต่อคิวรอ และราคาที่ค่อนข้างแพงแบบนี้
       


      v
      v
      v
      v

       

      เห็นมั้ยคะว่า ในปักกิ่งล้วนที่สถานที่ท่องเที่ยวมากมายรอให้คุณไปเยี่ยมชม อีกทั้งยังสามารถไปได้ง่ายๆด้วยตัวของคุณเอง โดยการนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกสบายมาก เพราะมีป้ายบอกทางต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน มีทั้งหมด 15 สาย เปิดตั้งแต่ตีห้าถึงเที่ยงคืน ค่าโดยสารตลอดสายเพียงคนละ 2 หยวน หรือประมาณ 10 บาท


      หรือถ้านั่งรถเมล์ชมบ้านเมืองไปด้วย ก็เพียงคนละ 1 หยวน หรือประมาณ 5 บาทเท่านั้น (เว้นแต่รถเมล์สายยาว ที่จะมีการเก็บค่าโดยสารตามระยะทาง) ทุกป้ายรถเมล์ จะบอกรายละเอียกของสายรถเมล์
      ว่าผ่านไปยังที่แห่งใดๆบ้าง และบนรถเมล์ก็ยังมีเสียงประกาศทุกๆป้าย


      เรียกได้ว่าถ้าศึกษาไปอย่างดีแล้ว ก็สามารถไปเที่ยวได้เอง ไม่ต้องพึ่งคณะทัวร์ แถมยังเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่มีวันลืมเลือน

       

      ตอนนี้หมดหน้าที่ของไกค์แล้ว ไกค์เชื่อว่าหลังจากจบวันนี้ หลายๆคนอาจจะเกิดทัศนคติใหม่ๆต่อการเที่ยวปักกิ่ง และได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมาย


      ใครที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์เหล่านี้ หรือฝากคำถามไว้ที่ไกค์ก็ได้ค่ะ
      http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=danzcentre
      http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10413049/E10413049.html
      http://www.qetour.com/travel-guide/beijing-travel-guide.php


       

      ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจมาตั้งแต่ตั้นจนจบ และหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ในโอกาสหน้านะคะ


      สำหรับวันนี้สวัสดีค่า


      จ้ายเจี้ยน ^_____^

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×