คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17 : คิมแทฮยอง (150921)
Chapter 17
คิมแทฮยอง
แค่เห็นชื่อตอนก็รู้แล้วว่าไร้สาระ - ปาร์คจีหมู
คนกำลังดราม่า ไปเล่นตรงอื่นไป๊ - แทแทคนซึน
…………………………………………
ถ้าหากถามผมว่าเรื่องดราม่าที่กำลังพัดเข้าหาชีวิตผมกับไอ้เด็กจองกุกคนเลวมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน เอาตรงๆนะ ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ผมรู้จักมันเป็นครั้งแรก เด็กหน้าตาน่ารักฟันกระต่ายตัวขาวใสซื่อ อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่มันทำให้ผมชอบตั้งแต่แรกเห็น
พูดแล้วจะหาว่าผมน้ำเน่า รักแรกพบอะไรไม่มีหรอกครับ แค่เป็นความรู้สึกถูกใจน่ะ ทุกคนคงเคยเป็นใช่มั้ย
พอนานวันเข้า จากที่ได้ใกล้ชิด อยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งรู้ว่ามักเน่ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ออกจะดื้อ พูดอะไรก็ไม่ฟัง (ฟังแค่เฮียชูก้า) ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดๆ จนผมคิดว่าตัวเองต้องเป็นพวกมาโซคิสม์ชอบความเจ็บปวดแน่ๆที่ไปชอบคนอย่างไอ้เด็กนั่น
แต่ถึงจองกุกจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน ปากคอเราะร้าย ชอบเล่นแรงๆ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่ผมดี นิสัยของเราก็ไปกันได้ ทั้งหนัง แนวเพลงที่ชอบ ทำให้ผมสนิทกับมักเน่อย่างรวดเร็ว
และนั่นก็เป็นก้าวแรกของเรื่องบ้าๆนี่ สาบานได้เลยว่ามันเป็นอะไรที่เสียท่ามากที่สุดในชีวิตของคิมแทฮยอง
จนถึงจุดที่ผมระเบิดอารมณ์
“ทั้งหมดก็เพราะพี่รักนายแค่คนเดียว จอนจองกุก”
เงียบ เงียบ แล้วก็เงียบ ทั้งห้องครัวเงียบกริบจนผมรู้สึกเหมือนว่าแม้แต่ตู้เย็นก็พังไปแล้วเพราะบรรยากาศอึมครึมของเราสองคน
ก็คงจะเหมือนกับสติของจองกุกที่เจอคำสารภาพแบบไม่ทันตั้งตัว พอผมมาย้อนคิดดู มันเป็นการสารภาพรักที่ทุเรศทุรังที่สุดในสามโลก ไม่มีความโรแมนติกใดๆทั้งสิ้น
ยอมรับว่าเผลอหลุดปากออกไปเพราะความโมโหที่จองกุกมันพูดเหมือนกับผมใจง่าย ทั้งๆที่มันเป็นคนแรกของผม
เออ ยอมรับก็ได้ว่าผมก็อยาก มันเป็นความต้องการของร่างกายอย่างที่มันพูด ถึงจะเป็นฝ่ายรับแต่ผมก็เป็นผู้ชาย เรื่องอย่างนี้มันเป็นปกติอยู่แล้ว
แต่เพราะผมรักเด็กเลวอย่างมันไง ถึงยอมขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะอยากอย่างเดียว เลยเผลอวีนแตกขึ้นมาเพราะมันหาว่าเราเป็นแค่เซ็กเฟรนด์
หนึ่งนาทีผ่านไป จองกุกก็ยังจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น นาน...จนความโกรธเริ่มหายไปทีละน้อย ปกติผมก็เป็นพวกโกรธใครไม่ได้นานอยู่แล้ว
จากความโกรธ ความสติแตกก็เข้ามาแทนที่เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป
ผมเผลอ
สา-ร-ภาพ-รัก-ไอ้-เด็ก-กุก
กระพริบตาเร็วๆสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ (อันน้อยนิด) ของตัวเองกลับคืนมา และก่อนที่จองกุกจะได้เอ่ยปากพูดอะไรซึ่งคงเป็นคำปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว
คิมแทฮยองคนแมนคนนี้ก็กระทำการที่สมองอันชาญฉลาดสั่งการด้วยการ...
วิ่งหนีแม่มเลย
บอกทีครับว่าทุเรศกว่านี้มีอีกมั้ย ด่าเสร็จ สารภาพรัก ตบท้ายด้วยวิ่งหนี ฉายาเอเลี่ยนไม่ได้มาง่ายๆเลยนะ ฮือๆๆๆๆ
จนกระทั่งผมวิ่งไปคว้ามือของไอ้จีมินที่มีไก่อยู่เต็มปากเข้าไปในห้องนอนพร้อมล็อกประตูเสร็จสรรพ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟังทุกฉากทุกบรรทัด
จีมินนี่อึ้งถึงขั้นไก่ร่วงออกจากปาก
และตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งนึกได้ว่า นอกจากความสัมพันธ์ของเราที่ติดลบแล้ว ตอนนี้แม้แต่ความเป็นพี่น้องก็คงจะพังเละเทะไม่เป็นท่า บอกรักฮาร์ดคอร์ขนาดนั้นใครจะกล้ากลับไปเป็นพี่น้อง
และนั่นก็เป็นมหากาพย์การหลบหน้าไอ้เด็กกุก
ซึ่งผมทำได้พริ้วไหวมากด้วย จากการที่ตารางงานของเรายุ่งมากเพราะต้องซ้อมเต้นเพลง Danger คัมแบคอัลบั้มใหม่ ทำให้เราเหนื่อยมากจนไม่มีเวลาคุยกัน ทุกครั้งที่พัก เวลาที่จองกุกเข้ามาอยู่ในระยะสายตา ผมก็หนีหน้ามันทันที
ตอนนี้แม้แต่หน้ามันผมยังไม่มองเลยครับ
จนกระทั่งยุนกิฮยองเข้ามาบอกผมว่า น้องมันคิดว่าผมโกรธมากๆจนแม้แต่หน้ายังไม่อยากมอง เอ่อ มันไม่ใช่เลยนะ แต่ช่างเหอะ
ยุนกิฮยองทิ้งท้ายบอกให้ไปปรับความเข้าใจกับจองกุก เพราะมักเน่ดูจะเคร่งขรึมกว่าเดิมจนพวกพี่ๆเป็นห่วง แถมยังซ้อมหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถามจริง ทำไมผมต้องไปด้วย มันเป็นคนทำแบบนี้เองนะ ถึงผมจะเป็นห่วงมันจนต้องบังคับให้จีมินไปดูจองกุกเวลาซ้อมดึก ซื้อของไปให้บ้าง (เงินผมทั้งนั้น) แต่ผมก็ยังไม่อยากคุยกับไอ้เด็กนั่น
จริงๆแล้วผมก็โกรธมันหน่อยๆ แต่ความอายมันมีมากกว่า
ทุกครั้งที่พวกฮยองทำท่าจะปล่อยเราไว้สองคน ผมก็หลีกหนีมาได้สำเร็จทุกครั้ง จนพวกฮยองอ่อนใจไปตามๆกัน เป็นอย่างนี้ถึงสองอาทิตย์จนถึงวันที่เราต้องย้ายหอ
ห้องนอนมีทั้งหมดสามห้อง แบ่งเป็นสอง สอง สาม คนแก่ที่ต้องการการพักผ่อน จินฮยองกับยุนกิฮยองชิงนอนด้วยกัน เหลือพวกเราอีก 5 คนที่ยังตัดสินกันไม่ได้ เพราะพวกพี่เค้าพยายามเสือกไสให้ผมไปนอนกับจองกุกซะเหลือเกิน
“ทำไมผมต้องไป”
คิมแทฮยองโหมดดื้อทำเอาทั้งวงส่ายหัวไปตามๆกัน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่สบตามักเน่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่ใครจะไปสน ถ้านอนห้องเดียวกับจองกุกแล้วที่ผ่านมาสองอาทิตย์มันจะมีความหมายอะไร
คิมวีจะทำไปเพื่อใคร
“แทฮยอง อย่าดื้อได้มั้ย มักเน่สองคนนอนด้วยกันก็ถูกแล้ว นายมีปัญหาอะไรตรงไหน”
ก็มีปัญหาตรงที่รูมเมตเป็นจองกุกน่ะสิเฮีย ถามมาได้
ผมส่งสายตาเว้าวอนใส่เฮียนัมจุนแต่ลีดเดอร์ดันทำเป็นไม่เห็นซะงั้น ผมจะทำไงได้ล่ะ นอกจากสะบัดหน้าหนีไปหาจีมินที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับยุนกิฮยองที่ห้อง
“น้า น้า น้า จีมินนี่ เปลี่ยนเตียงกับแทเหอะ แทยังไม่พร้อม”
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมเฝ้าพะเน้าพะนอออดอ้อนไอ้หมูจีให้ไปนอนกับไอ้เด็กกุกแทนผม ทั้งบังคับก็แล้วทำท่าน่ารักก็แล้วมันยังไม่สนใจเลยสักนิด
“อย่างี่เง่าน่าแทแท หลบหน้าน้องมันมาสองอาทิตย์แล้วนะ แม้แต่หน้าไอ้กุกแกยังไม่มอง ไม่เห็นมั่งรึไงว่าน้องมันดูแย่แค่ไหน”
ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็น จองกุกไม่ยิ้มและดูผอมลงไปมากจริงๆ แต่ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับจองกุกตอนนี้
แต่ก็ถือกระเป๋าเข้ามาในห้องของมักเน่แล้ว
จะทำไงได้ก็มันไม่เหลือทางเลือกให้แทแท พวกฮยองก็ผลักไสให้ผมไปหาไอ้กุกกันเหลือเกินเพราะอยากให้เราปรับความเข้าใจกัน แต่ผมไม่อยากพูดกับมันนี่นา
เฮ้อ ถ้าพูดตรงๆคือผมไม่อยากฟังคำปฏิเสธของจองกุก ผมไม่อยากเจอกับบรรยากาศตึงเครียดนั่นอีกแล้ว ผมก็แค่ต้องการเวลาที่จะตัดใจ แต่เพราะเรากำลังจะคัมแบค มันคงดูไม่ดีแน่ถ้าผมกับมักเน่ยังมึนตึงใส่กัน พวกฮยองเลยพยายามผลักไสให้ผมกับจองกุกคุยกัน
ผมสูดลมหายใจลึกๆก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
จองกุกไม่ได้อยู่ในห้อง มีแค่ของกระจัดกระจายอยู่บนเตียง ผมจัดการลากกระเป๋าไปที่เตียงอีกเตียงนึงทันที ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลางที่นอนได้สองคน เตียงจึงค่อนข้างจะชิดกันแต่ก็ใหญ่พอดีกับที่จะนอนสองคนได้สบาย
คิดอะไรเนี่ยคิมแท ในสถานการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่จะนอนเตียงเดียวกัน แค่พูดคุยกันยังไม่รู้จะเริ่มยังไง
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้มโนถึงประโยคในสถานการณ์สมมติระหว่างผมกับมัน
แกร๊ก
ประตูห้องนอนก็เปิดออก พร้อมกับร่างของจอนจองกุกที่เปลือยท่อนบน มีเพียงแค่ผ้าขนหนูผืนใหญ่พันอยู่รอบเอว หยาดน้ำเม็ดเล็กยังคงเกาะบนแผงอกล่ำ จองกุกใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเช็ดผมด้วยท่าทางเซ็กซี่
ช่วยไม่ได้ที่สายตาผมจะมองต่ำลงจากอกกว้างไปที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยซิกแพคก่อนจะหยุดสายตาไว้เหนือผ้าเช็ดตัวที่ผูกต่ำซะจนลงมาถึงสะโพก
ดวงตาคู่คมจับจ้องท้าทายมาที่ผมที่กำลังยืนช็อกค้างกลางห้อง
“ถ้าเกลียดการมองหน้าผม แต่ชอบจ้องไปที่ส่วนอื่นมากขนาดนั้น.....”
จองกุกสาวเท้าเข้ามาใกล้ ส่วนผมก็ได้แต่ถอยหลังไปเรื่อยๆจนติดกำแพง มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ถูกกักไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง จอนจองกุกยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน และครั้งนี้อย่าหวังว่าพี่จะหนีไปไหนได้อีกเลย!”
.
.
.
เหอะ คิดเหรอว่าแค่เอาแขนมากันแค่นี้จะหยุดน้องวีคนแมนมาก(?)ได้
ผมใช้ฝ่ามือดันไปที่อกกว้างอย่างแรงกะให้ไอ้เด็กกุกล้มหงายหลังไปกองกับพื้นจะได้มีโอกาสหนีไป
ปึ้ก!
ตื่อดึ้ง
คาดว่าจอนจองกุกน่าจะกินซุปงาของคิมซอกจินมา หรือไม่ก็เป็นญาติกะท่อนซุง ผมผลักสุดแรงเกิดแต่มันไม่ขยับไปจากจุดเดิมเลยสักนิด ไม่สิ ดูดีๆก็ขยับนะ...
ขยับประมาณ 2 เซ็นต์ =[]=
แต่ถ้ายอมแพ้แค่นี้ก็ไม่ใช่แทฮยอง
ผลักไม่ได้ผล งั้นก็เตะแม่ง
ยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบมันออกไป แต่อีเด็กปีศาจก็เหมือนรู้ทัน มือใหญ่เอื้อมมาจับต้นขาผมเอาไว้ ไม่สนใจผมที่พยายามกระเสือกกระสนดิ้นรน ทั้งพยายามถีบพยายามทุบตีจนอกขาวๆเต็มไปด้วยรอยแดง
แต่แค่นี้ยังไม่ได้ครึ่งที่มันทำกับผม อย่านึกว่าจะยอมให้มันเอาเปรียบง่ายๆ
“ปล่อย! นายไม่มีสิทธิ์มาทำกับพี่แบบนี้นะ!!!”
ผมโวยวายด่าทอมัน โดยที่ไม่มองหน้าเนี่ยแหละ โมโหอ่ะ โมโหมากๆทำไมผมต้องแพ้มันทุกอย่างด้วย ขนาดจะหนีออกไปยังทำไม่ได้
จอนจองกุกถึงได้ใจอยู่แบบนี้
ขนาดตอนด่าผมยังเอาแต่มองพื้นเลย คิมแทฮยองน่าสงสารโคตร
จองกุกหยุดชะงักทันที ถึงจะไม่เห็นแต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าน้องมันก็เริ่มไม่พอใจผมเหมือนกัน เพราะมือที่จับต้นขาผมเกร็งขึ้นจนรู้สึกเจ็บนิดๆ
และก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว มือของเขาที่ข้างหนึ่งจับข้อมือของผมอีกข้างจับต้นขาก็ละออกไป
สองมือใหญ่ขยำไปที่บั้นท้ายนิ่มอย่างแรง ยกสะโพกผมจนทั้งตัวลอยขึ้นจากพื้นไปติดกำแพง ตกใจจนเผลอเอาขาเกี่ยวเอวของมักเน่เอาไว้
แล้วก็ค้นพบว่าตัวเองโง่โคตรๆที่หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
กางเกงนอนขาสั้นร่นขึ้นมาเสียดสีกับช่วงเอวเปลือยเปล่าของจองกุกจนรู้สึกประหม่า และเด็กเอาแต่ใจที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกั้นระหว่างเราก็เบียดร่างกายเข้ามาแนบชิด กลิ่นแชมพูกับครีมอาบน้ำของเขายิ่งทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก
มือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมาประคองเอว อีกข้างก็เชยคางผมให้มาสบสายตา
ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น นิ้วที่หยาบนิดๆเกลี่ยไปมาบนแก้มผมที่ตอนนี้มันร้อนจนมั่นใจได้เลยว่ามันต้องแดงก่ำ ผมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อลดอาการประหม่า
ระยะห่างระหว่างเราลดน้อยลงทุกที และก่อนที่ริมฝีปากร้อนของเขาจะทาบทับลงมา ผมก็เบือนหน้าหนีจนจมูกโด่งพลาดกดลงไปบนพวงแก้มของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ถอยออกไป ตรงกันข้ามกลับเก็บเกี่ยวความหอมจากผิวนิ่มๆจนเต็มปอด
ผมหลับตาแน่นเมื่อรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จนกว่าจองกุกจะได้ทุกอย่างตามใจตัวเอง
ริมฝีปากคู่นั้นเลื่อนลงซุกไซร้ซอกคอก่อนจะวกกลับมากระซิบข้างหู
“ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์ แทฮยองเป็นของผม....”
เลื่อนลงขบเม้มผิวเนียนละเอียดจนกลายเป็นรอยแดง ผมได้แต่มองจองกุกที่ยิ้มออกมาอย่างพอใจตอนมองไปที่รอยนั้น
ทั้งน้อยใจที่เขาทำแบบนี้ ทั้งดีใจที่ได้ใกล้ชิดจนความรู้สึกตีกันมั่วไปหมด
จองกุกมองหน้าผมที่ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เขาถอนหายใจ ก่อนจะยกมือของผมขึ้นมา แนบริมฝีปากจุมพิตลงบนหลังมือ
“มาคุยกันดีๆเถอะ ผมขอร้อง....นะครับ แทฮยอง”
แล้วผมก็ใจง่ายเป็นบ้า ที่ได้แค่พยักหน้าตอบตกลง
“ข...เข้าใจแล้ว ถอยออกไปก่อนสิ”
ผมพยายามดันอกล่ำๆของมักเน่ที่ยังคงขังผมเอาไว้ในอ้อมกอด หลายนาทีผ่านไปที่จองกุกไม่มีท่าทีว่าจะขยับออกไปเลยสักนิด เขาเอาแต่จ้องหน้าผมโดยที่ไม่พูดอะไร
มันคิดจะคุยทั้งที่ยังติดอยู่กับกำแพงแบบนี้รึไง
“ม...ไม่หนักเหรอ”
มาอีกแล้วครับ ความพยายามในการเริ่มบทสนทนาของคิมแทฮยองที่โคตรจะสิ้นคิด
“หืม ไม่นะครับ ให้ผมอยู่แบบนี้ทั้งคืนก็ยังได้ ^^”
เด็กปีศาจพูดพร้อมกับส่งยิ้มใสซื่อมาให้ จนใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากลับกลายมาเป็นใบหน้าน่ารักของมักเน่น้อยที่ยิ้มจนตาปิด ดูไร้เดียงสาจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับที่จูบผมอย่างร้อนแรงในโรงแรมเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน
บรรยากาศรอบตัวเราสองคนดูผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อจองกุกเห็นว่าผมตกลงจะคุยด้วยกันดีๆ
ผมไล่สายตาจากใบหน้าคมลงมามองที่แผ่นอกล่ำกับหน้าท้องที่มีซิกแพคนิดๆของจองกุก คิดไปถึงตอนนั้นที่ฝ่ามือของผมลูบไล้ไปตามผิวขาวของมักเน่ กับแขนแข็งแรงที่กอดรัดผมแน่นตอนที่เรา....
อ๊า!!! นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!!!!
แทนที่จะโกรธน้องดันมาคิดหื่นกามน้ำลายไหลยืดเพราะรูปร่างหน้าตาของจองกุก โธ่ชีวิตน้องแท
“คิดอะไรอยู่น่ะ หน้าแดงหมดแล้ว”
พูดดีๆก็ได้ ทำไมต้องเอามือมาลูบแก้ม พอมันทำแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนมากกว่าเดิม ยังไม่คืนดีกันก็คิดจะข้ามไปฉากอย่างนั้นอีกแล้ว อีกสักพักคงมีแฮซแท็กคิมแทฮยองคนหื่น
“คิดอะไรก็เรื่องของพี่! ไหนว่าจะคุยไง ก็พูดมาสิ”
อยู่แบบนี้นานๆมันน่าอาย...
ผมกลืนคำพูดลงคอไป ถึงเราจะมีอะไรกันแล้ว แต่ผมก็ไม่ชินอยู่ดีที่เห็นมันนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวมาแนบชิดจนอะไรๆ(?)มาดันที่ก้นผมแบบนี้
น้องวีเป็นผู้ชายที่มีความรู้สึกนะ ฮือๆๆๆๆ
และก่อนที่จะรู้ตัวก็โดนเด็กปีศาจอุ้มออกมา จองกุกทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพร้อมกับดึงผมเข้าไปนั่งตัก
ผมถอนหายใจ มองแขนล่ำที่กอดรัดเอวตัวเองอย่างปลงตก คอยดูนะ ถ้าจองกุกเผลอเมื่อไหร่ ผมจะเตะมันแล้ววิ่งหนีไปนอนกับพี่จิน!!
“ขนาดนี้แล้วพี่ยังคิดจะทำร้ายร่างกายผมอีกเหรอ”
อยู่ดีๆจอนจองกุกก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ พร้อมกับจมูกโด่งที่กดแนบลงบนเรือนผมสีน้ำตาลและอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น เหมือนกับว่ากลัวผมจะหนีหายไป
“คิดถึงนะ คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
เสียงทุ้มหวานพูดออดอ้อนกระซิบข้างหู
อยู่ดีๆก็มาพูดแบบนี้
จองกุกผละออกมาพร้อมกับมองสบตาผม ผมไม่ชอบเลยสักนิดตอนที่ดวงตาคมจ้องมองมาเหมือนกับว่าเขาต้องการจะรู้ทุกความรู้สึกของผม
คิดถึงเหมือนกัน
คำพูดนั้นติดอยู่ในลำคอ
ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร ผมเองก็พยายามทำงานอย่างหนัก ทั้งซ้อมเต้นทั้งร้องเพลงเพื่อจะได้ไม่สนใจสายตาที่มองมา
มันแปลกไป เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดตอนที่ไม่มีจองกุกอยู่ใกล้ๆ
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่เราจะห่างกัน จริงอยู่ที่จีมินเป็นเพื่อนสนิทของผม แต่จองกุกเป็นน้องชายคนพิเศษที่ผมคอยดูแลให้คำปรึกษามาโดยตลอด แม้ว่าช่วงหลังๆเขาจะดูโตขึ้นจนเหมือนว่าไม่ต้องการผมอีกต่อไป เราก็ยังอยู่ด้วยกัน
และแล้วก็มีเกมส์ซังนัมจา
จากน้องชายกลายมาเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ที่ทำให้ผมยากจะข่มตาหลับแทบทุกคืน เพราะคิดถึงอ้อมกอดอุ่นกับสัมผัสแผ่วเบาจากริมฝีปากร้อนที่คอยปลอบประโลมก่อนนอน
อาหารก็ไม่อร่อย แม้แต่เกมส์ที่เล่นหรือรายการที่ชอบดูก็ไม่สนุกเหมือนทุกครั้งที่มีจองกุกอยู่ข้างๆ
“แทแท คิดถึงผมบ้างรึเปล่า”
“ม...”
ไม่
คำโกหกที่คิดจะพูดก็พูดไม่ออก เมื่อเผลอไปสบกับดวงตาคม ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมถึงกลายเป็นผมที่รู้สึกผิดเพราะทิ้งจองกุกให้อยู่คนเดียว
ทั้งที่เป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องการผม
ความรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิด ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันเปลี่ยนเป็นขมขื่นกับความรักข้างเดียว
“นายจะสนทำไม....” น้ำเสียงของผมสั่นไหว “ช่วงนี้นายเครียดมากจนคิดถึงที่ระบายรึไง”
บทสนทนาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนย้อนเข้ามาอีกครั้งจนใจผมเจ็บไปหมด ทุกคำพูดของเขาผมยังจำได้ดี ที่เขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไร ระหว่างเราเป็นแค่เรื่องความต้องการทางร่างกาย ผมจำได้ทั้งหมด
ที่เขาบอกว่าคิดถึง ก็คงเพราะแค่อยากจะหาที่ระบายอารมณ์ก็แค่นั้น
ถึงแม้จะพยายามบอกกับตัวเอง แต่หัวใจที่เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บแค่เพราะคำพูดอ่อนหวานของจองกุกกลับทรยศกับสิ่งที่สมองบอกจนผมได้แต่เจ็บใจในความโง่ของตัวเอง
“ไม่ใช่” จองกุกส่ายหน้าจนเรือนผมสีดำสนิทสั่นไหว “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักนิด”
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อ ถึงปากนายจะพูดแต่การกระทำมันชวนให้คิด”
ทั้งที่อยากจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่เสียงของผมกลับสั่นไหว ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกคาดหวังกับคำตอบแบบไหน
“ผมรู้ว่าแทไม่อยากฟัง”
มือใหญ่เลื่อนมากุมมือผมพร้อมกับแนบจูบลงบนหลังมือ อ่อนโยนจนผมอยากจะร้องไห้ แต่ว่าพอแล้ว ผมเสียน้ำตามามากเกินพอ
“แต่ผมอยากให้แทรู้ ว่าผมขอโทษ ผมขอโทษที่ทำแบบนั้น แทฮยองอาจจะคิดว่าผมไม่จริงจัง แต่แทก็รู้จักผมดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ ผมขอโทษ”
ขอโทษ
จองกุกพร่ำบอกคำนั้นซ้ำๆ ผมได้แต่หลับตาแน่นซึมซับคำขอโทษ เพราะผมรู้จักจอนจองกุกดีกว่าใคร
เด็กผู้ชายวัยรุ่นหัวดื้อที่ไม่เคยยอมใคร ทั้งเอาแต่ใจและออกจะแข็งกระด้างไม่รับรู้ความรู้สึกของคนอื่น แต่เพราะแบบนั้น เวลาที่เขาขอโทษ เวลาที่เขาพูดซ้ำๆด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดแบบนี้
จอนจองกุกกำลังเสียใจ และหมายความตามที่พูดจริงๆ
“ผมไม่เคยคิดว่าแทเป็นแค่ที่ระบาย ผมแค่อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่สิ มันคงเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว แต่ผมก็อยากให้เราเป็นพี่น้องกัน หรือถ้ามันมากกว่านั้น ผมอาจจะขอมากไป แต่ที่แทบอกว่าชอบผม ผมก็กำลังคิดเรื่องนั้น ที่ไม่ตอบไม่ใช่ว่าผมไม่คิด ไม่สิ ผมไม่รู้ อ่า......”
จองกุกละมือออกจากเอวของผม เปลี่ยนเป็นทึ้งหัวตัวเองพร้อมกับใบหน้าสับสน อย่าว่าแต่มักเน่เลย ผมก็งงเหมือนกันที่จองกุกพูดอะไรวนไปวนมา
ได้แต่กะพริบตาปริบๆมองจองกุกที่มองมาทางผมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่เขาจะถอนหายใจอีกครั้ง
“ที่แทฮยองบอกว่าชอบผมน่ะจริงรึเปล่า”
อยู่ดีๆน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังจนผมได้แต่พยักหน้ารับ
“ตั้งแต่ตอนไหน”
คำถามที่ทำให้ต้องหยุดคิด ไม่รู้ตัวว่าเหม่อลอยเพราะคำถามนั้นไปนานเท่าไหร่แต่สัมผัสอุ่นจากมือใหญ่ที่กุมอยู่ข้างแก้มกับสายตาอบอุ่นของจองกุกที่ทอดมองมา ทำให้ต้องหลุดพูดคำนั้นออกไปอย่างง่ายดาย
“ตั้งแต่แรก.....” ลมหายใจผมหยุดชะงัก ช้อนสายตาขึ้นสบอีกฝ่าย “ตั้งแต่ที่ได้รู้จัก แทฮยองรักจองกุกมาตั้งแต่แรกแล้ว”
ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนที่รู้ว่าต้องจากบ้านเกิดที่แดกูมาอยู่ในโซลเพื่อมาเทรนเป็นเด็กฝึกของค่ายเพลงเล็กๆ เตรียมพร้อมจะเดบิวท์ก็รู้สึกเป็นกังวลนิดๆ แต่เพราะมีฮยองทั้งสามคนที่ฟอร์มวงมาตั้งแต่แรกคอยแนะนำ แม้การฝึกจะผ่านไปด้วยดี แต่เพราะช่วงอายุที่ห่างจากทั้งนัมจุนยุนกิและโฮซอก ทำให้อดไม่ได้ที่จะเหงาเล็กๆ
และตอนนั้นนั่นเองที่จอนจองกุกก้าวเข้ามา
แทฮยองยังคงจำได้ดีถึงความรู้สึกที่เหมือนกับมีพายุลูกเล็กๆพัดเข้ามาในชีวิต
เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ห่างจากแทฮยองสองปี
จอนจองกุกที่พูดน้อยและขี้อาย ยิ่งกับพวกฮยองที่อายุห่างกันมากถึง 3-4 ปี อาทิตย์แรกที่ต้องอยู่ด้วยกันก็รู้สึกขัดเขินบ้างเล็กน้อย
แต่แทฮยองก็พยายามจะชวนคุยชวนเล่น ความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชายตัวน้อยที่น่าปกป้อง
แทฮยองชอบจองกุกมาตั้งแต่แรก รอยยิ้มน่ารักกับฟันกระต่าย ความใสซื่อ ความเขินอายของมักเน่ทำให้ใจละลาย ไม่ยากเลยที่จะหลงเสน่ห์จอนจองกุก ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายช่างดูแลเอาใจใส่ ทั้งยังเข้ากันได้ดีมากขนาดนี้
จองกุกที่เก่งไปซะทุกเรื่องทำให้แทฮยองแอบชื่นชมมักเน่อยู่ลึกๆ และเพราะความเผลอไผลจนปล่อยใจไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกครั้งแทฮยองก็ตกหลุมรักเด็กน้อยที่ตัวเองคอยดูแล
เพราะเป็นคนสมองช้าในเรื่องความรู้สึกจึงคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นความเอ็นดูตามแบบพี่ชายน้องชายจึงทำให้อยากอยู่ใกล้ๆ แทฮยองเป็นคนรักเด็ก ยิ่งเป็นเด็กน่ารักแบบจองกุก ไม่แปลกไม่ใช่เหรอที่จะเข้าไปคลอเคลียเพราะรู้สึกดี
แต่แล้วจองกุกที่เคยน่ารักก็โตขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความรู้สึกของแทฮยองที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มักเน่ตัวใหญ่ขึ้นจนสูงเท่ากัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แขนเรียวเล็กเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อของชายหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ใบหน้าน่ารักกับแก้มยุ้ยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าหล่อเหลากับสันกรามคม ดวงตาที่เคยทอประกายใสซื่อกลับกลายเป็นดวงตาที่ทอดมองอย่างร้อนแรงราวกับจะกลืนกินเรือนร่างบอบบาง
จองกุกอาจจะไม่รู้ตัวแต่แทฮยองตัวสั่นแทบทุกครั้งที่ถูกมอง มันชัดเจนจนทุกคนในวงรู้สึกได้ และเมื่อแทฮยองที่ความรู้สึกช้าเริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากขนาดไหน
แน่นอนว่า คิมแทฮยองที่มีความคิดแปลกประหลาดคนนี้จะรู้สึกอะไรได้ นอกจากความสับสน ตามมาด้วยอาการสติแตกแบบที่ปาร์คจีมินบอกว่าคือโรคกลัวความเปลี่ยนแปลงของมักเน่
จองกุกที่เปลี่ยนจากเด็กน้อยใสซื่อที่เคยรู้จักกลายเป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจทำให้แทฮยองตั้งรับไม่ทัน เขาไม่เขินอายกับสัมผัสที่แทฮยองมอบให้อีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายกระทำ
อ้อมกอดกับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากจากการหยอกเย้า ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสะใจเมื่อเห็นพี่ชายร่วมวงทำหน้าเอ๋อที่โดนขโมยจูบดื้อๆ
การเล่นสนุกของจองกุกทำให้แทฮยองแทบเป็นบ้า
รู้สึกเข้าใจความรู้สึกของมักเน่ขึ้นมาทันทีที่เมื่อก่อนแทฮยองชอบเข้าไปขโมยหอมแก้มยุ้ยๆน่าฟัดพร้อมกับจองกุกที่หน้าแดงก่ำ
เป็นการเอาคืนที่แทฮยองไม่รู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด แต่เพราะเป็นจองกุกก็เลยโกรธไม่ลง ได้แต่ปล่อยให้มักเน่แกล้งจับตรงนั้นจูบตรงนี้ ด้วยความคิดที่ว่ายังไงก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน
แต่ลึกๆแล้วแทฮยองรู้ดีว่าตัวเองปฏิเสธไม่ได้ ไม่เคยห้ามหัวใจตัวเองที่สั่นไหวอย่างบ้าคลั่งได้เลย
ผมพูดออกไปทั้งหมด
ทุกความรู้สึกที่มีให้จองกุกตั้งแต่ก่อนเดบิ้วท์ ตั้งแต่เริ่มเกมส์ซังนัมจา ตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ถึงแม้ในท้ายสุดผมจะโดนปฏิเสธ หรือจะเป็นแค่รักข้างเดียว ผมก็ไม่เสียใจ
จองกุกเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสารภาพรักออกไปด้วยสีหน้าแบบไหน ทุกอย่างเหมือนกับหลุดเข้าไปในความฝัน หลายปีที่ผ่านมาผมเอาแต่หนีความรู้สึกของตัวเองมาตลอด ทำเป็นไม่รับรู้ไม่เข้าใจ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยสักนิด
อาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าเรื่องมันจะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้
ไม่กล้ามองหน้าเพราะกลัวว่าน้องจะรับไม่ได้ จองกุกจะรังเกียจรึเปล่าที่ผมมีความคิดแบบนี้
แต่แล้วอ้อมกอดอุ่นที่โอบรัดรอบตัวก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับจะร้องไห้ ยิ่งเขาเงียบมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าจองกุกรับความรู้สึกของผมไม่ได้
“จองกุก......”
ผมสูดลมหายใจเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“ที่ผ่านมา....”
.
.
.
“เคยมีสักครั้งที่คิดจะรักพี่บ้างรึเปล่า”
.
.
.
“ถ้านายไม่เคยรู้สึกอะไรเลยสักนิด....”
.
.
.
“พี่ว่าเราอย่าเจอกันสักพักเลยจะดีกว่า”
“พูดจบรึยัง”
น้ำเสียงเย็นชาของจองกุกทำให้ผมชะงัก ดวงตาคมที่มองมาแฝงประกายความโกรธจนผมตัวสั่นด้วยความกลัว เพิ่งเคยเห็นจองกุกโกรธขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันทำให้ผมอยากจะหนีแต่อ้อมแขนของเขากลับกักผมเอาไว้ในอ้อมกอดแน่นจนหนีไปไหนไม่ได้
“พี่ก็เป็นแบบนี้” น้ำเสียงคุกคามของเขาทำให้ผมได้แต่ก้มหน้า
“เอาแต่พูดตามใจตัวเอง พี่บอกว่าผมเอาแต่ใจ แต่พี่วีต่างหากที่ใจร้าย พี่เอาแต่พูดโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผมเลยสักนิด”
“อยากจะรู้มากใช่มั้ยว่าที่ผ่านมาผมคิดยังไง”
จองกุกกดผมลงไปกับเตียงนอน มือใหญ่กดข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
“พี่สารภาพมาซะขนาดนี้ มันคงไม่ยุติธรรมถ้าผมไม่พูดอะไรออกไป”
ฝ่ามือร้อนอีกข้างเลื่อนเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวใหญ่ ลูบไล้หน้าท้องของผมอย่างหยอกเย้า น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าแฝงแววอันตรายจนผมใจเสีย
“ถ้ายังคิดจะหนีจากผมไปอีกละก็.....” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนมุมปากของจอนจองกุก
“เราได้เห็นดีกันแน่คิมแทฮยอง”
#กุกวีซังนัมจา
ความคิดเห็น