ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 ตามหา .
ตอนที่ 5 ตามหา .
                  ทุกสิ่งทุกอย่างมืดมิดและเงียบสนิท  มองหาจุดหมายปลายทางจากตรงนี้แทบไม่เห็น  เหลียวมองดูรอบ ๆ ก็เป็นเพียงความดำมืด  ไร้แสงสว่างใดเล็ดลอดมาซักแม้รูเข็ม  เสียงหัวใจของตัวเองเต้นถี่รัวคล้ายเสียงกลองดังเป็นจังหวะพร้อมเสียงลมหายใจเข้าออก  ที่ดังยิ่งนักในความรู้สึกของจิตใจ
                  จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงที่หนึ่ง  เสียงหอบหายใจอีกเสียงดังถี่รัวแข่งกันราวกลองรัวแทบแยกแยะไม่ออก  เสียงนั้นแผ่วเบาคล้ายมาจากที่ไกลแสนไกล  แต่กลับกระชั้นถี่แรงขึ้นเรื่อย ๆ  ดวงตาเพ่งมองหาที่มาของเสียงจนสะดุดเข้ากับ  แสงเล็ก ๆ ขนาดเล็กยิ่งกว่ารู้เข็มหากแต่อยู่ภายใต้ความมืดมิดเช่นนี้มันกลับเด่นชัดขึ้นมาก
                  มือข้างหนึ่งยื่นไขว่คว้าหาบางอย่าง  ดวงตาเขาเบิกกว้าง  ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างสั่งให้สองขาก้าวเดินเข้าหาพร้อมยื่นมือหมายจะคว้าแขนข้างนั้นดังคนละเมอ
                  หากแต่ก่อนที่จะเข้าใกล้มากกว่านั้น 
                  ก่อนที่จะเห็นเจ้าของมือข้างนั้น
                  กลับถูกบางสิ่งผลักกระเด็น!!!
                  [แอ๊ด]
                  ประตูห้องพยาบาลเปิดอ้าออก  พร้อมใครบางคนที่พวกเขาเป็นห่วง  ทั้งหมดถอนหายใจพรืดอย่างโล่งอก  ใบหน้าที่อิ่มเอิบสดใสอยู่เสมอ บัดนี้กลับดูหมองลงจนเห็นได้ชัด 
                  ยิ้มเซียว ๆ ส่งให้เพื่อนคล้ายปลอบใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว
                  “ขอโทษนะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
                  “โธ่! ฉันก็นึกว่าแกจะตายแล้วนะนั่น  เกือบจะไปจองศาลาให้แทบไม่ทัน  โอ๊ย!  เจ็บนะเฟ้ยไอ้น้ำ”
                  โต๋หยอกก่อนส่งสายตาค้อนให้คนเขกหัวดังโป๊ก  น้ำถลึงตาใส่
                  “หุบปากไว้ก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกนะ  ไอ้โต๋”
                  โต๋สะบัดหน้าไปอีกทาง  พลางส่งเสียง .”เชอะ”
                  นายิ้มขัน  อารมณ์ค่อยผ่อนคลายลงบ้าง  เมื่อเห็นสีหน้างอน ๆ ของโต๋
                  ว่าน แอ๊ด น้ำ และโต๋เดินกลับเข้าไปเรียนในคาบเรียนที่สอง  ปล่อยให้นาได้นอนพักผ่อนในห้องพยาบาลต่อ  เพราะอาจารย์กิ่งแก้ว  อาจารย์ประจำห้องพยาบาลยังไม่อนุญาตให้ออกไปได้
                  “ฮ้า ที่แกพูดจริงเหรอ”
                  เสียงอุทานจากวงสนทนา หรือวงนินทาทั่วราชอาณาจักรประจำห้อง 3/9  ส่งเสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งห้อง  ว่านหันไปมองแว้บเดียวแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ
                  “เออ  ก็จริงนะสิ  นี่ยังขนลุกไม่หายเลยนะ  อย่างกับอยู่ในหนังแฟนตาซีมาแน่ะ”
                  หญิงสาวถักเปียสองข้างคนเล่าเรื่องทำท่าทางประกอบ  พร้อมเสียงเล่าที่สมจริงยิ่งกว่าเซอร์ราวด์ในโรงหนังเสียอีก
                  “แกฝันไปเองหรือเปล่า พิง  ของอย่างนี้ฉันเห็นมันมีแค่ในหนัง  กับในเกมส์เท่านั้นนา  มันจะมีจริง ๆ ได้ยังไง๊!!!”
                  โต๋  ผู้เข้ามาใหม่เข้าไปร่วมสนทนาอย่างรวดเร็ว  พลางทำหน้าไม่เชื่อถือ  ในขณะที่คนเล่ายังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เอาเรื่องในฝันมาเล่าให้ฟัง
                  “แต่ฉันเห็นจริง ๆ นะ”  พิงยังยืนยันหนักแน่น  มีท่าเล่าประกอบฉากอีกตามเคย “มันเป็นแท่งเหล็กเล็ก ๆ ยาว ๆ ซัก สองเท่าของไม้บรรทัดนี้อ่ะ  สีเงินวาวเลยนะแต่มันกลับส่องแสงสีแดงเจิดจ้า  ตรงหัวเหล็กจะเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว  ส่วนปลายด้านหนึ่งเป็นพู่สีแดง ๆ หน่อย  มันคล้าย ..อะไรวะ??  เออใช่ .มันเหมือนลูกธนูอ่ะ”
                  “หา!!  ว่าไงนะ”
                  เสียงร้องฮ้าไม่ได้มาจากคนในวง  แต่กลับเป็นของคนสองคนที่เพิ่งเข้าไปนั่งโต๊ะ  พลางตบโต๊ะเสียงดังปัง  ว่านเดินไปหาพิง เขย่าตัวเสียจนเพื่อน ๆ กลัวว่าหัวมันจะหลุดเสียก่อนว่านจะได้ปล่อยมือออก
                  “แกพูดจริงเหรอ!!  พิง”
                  “เอ้ย เบา ๆ โว้ย!! ไอ้ว่าน ฉันเวียนหัว”
                  “แกเห็นที่ไหน!!  .และเมื่อไหร่!!  เล่าให้ละเอียดเลย”
                  แอ๊ดยิงคำถามใส่อีกคนหนึ่ง ใบหน้าของทั้งสองตื่นจนหมู่เพื่อนชักสงสัย 
                  เอ?? ..พวกมันเป็นอะไรของมันวะ
                  “ก็ .ก็ได้  แต่!!  ไอ้ว่านแกปล่อยฉันก่อนเหอะ  มันเวียนหัวเฟ้ย!!”
                  ว่านปล่อยมือจากพิงทันที  แต่ยึดเก้าอี้ที่อยู่ใกล้สุดมานั่งฟังที่เพื่อนหญิงผมเปียเล่าอย่างตั้งใจ .
                  .
                  หลังเลิกเรียน
                  ว่านเดินออกจากโรงเรียนเบียดนักเรียนที่พลุ้งพล่านจนเต็มหน้าประตู  ผ่านร้านเกมส์ข้างโรงเรียนเห็นโปสเตอร์สามมิติของเกมส์ออนไลน์ที่กำลังถูกกล่วขวัญถึงในขณะนี้ยิ่งกว่างานเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเสียอีก  ป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่ติดกระจกโชว์หราหน้าร้าน  ภาพกองทัพของเหล่าธรรมะ กับ อธรรม  เผชิญหน้าเข้าหากัน  พร้อมจะเข้าห้ำหั่นกันในเสี้ยววินาทีใดวินาทีหนึ่ง
                  เดินมาเอารถที่โรงรถติดรั้วโรงเรียน  ก่อนขับเจ้า ARโซนิคคันดำสนิท  คันโปรด  ออกไปสู่ท้องถนนอันกว้างใหญ่  จนกระทั่งมาถึงคอนโดโทรม ๆ  ที่ตั้งอยู่หลังสถานบันเทิงทั้งหลายแหล่  เต็มสองข้างทาง  เวลาที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงเช่นนี้มันกลับปิดตัวเงียบเชียบราวกับ งูร้ายจำศีล  หากแต่พอดวงตะวันลับหายจากท้องฟ้าเข้าสู่ราตรีเสียงเพลง  เสียงดนตรีกลับเปิดแข่งกันดังสนั่นหวั่นไหวเสียจนนอนไม่ได้ 
                  ใครต่อใครต่างพากันเรียกถนนสายนี้ว่า  ถนนสายกลางคืน
                  เสียงก้าวย่างผ่านชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างเหนื่อยหน่าย  หูก็แว่วได้ยินเสียงแว้ดด่าข้ามห้องบ้าง  เสียงเอ็ดตะโรอย่างคนไร้การศึกษา  บ้างก็เสียงร้องทักจากหญิงสาวที่พักอยู่ละแวกนั้นเป็นครั้งคราว
                  ว่านเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง  403  ไขกุญแจเดินเข้าห้องด้วยความเคยชิน  เหลือบไปเห็นหญิงสาวท่าทางผอม ๆ โซ ๆ นอนหลับบนโซฟาตัวยาว
                  “เฮ้อ สงสัยคงเพิ่งกลับมาละสิ  น้านิตย์”
                  ว่านเปรย  ถอนใจอย่างระอา  ก่อนหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำที่ติดริมระเบียง  เปิดฝักบัวให้สายน้ำเย็นเยียบราดรดผ่านร่างกายที่ร้อนรุ่ม
                                  “แกมันก็แค่ลูกของผู้หญิงสำส่อน  เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจเท่านั้นแหละ”
                  นัยน์ตาดำสนิทแข็งกร้าว  เนื้อตัวสั่นเทิ้ม  อารมณ์ร้อนแทบระอุ  มือเรียวลูบตามแนวรอยแผลเป็นใต้แก้มขวา  พลันหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น  ก่อนจะเลื่อนไปจับร็อคเก็ตที่เป็นขนนกสีเทาบางเบาพร้อมกระดิ่งส่งเสียงกริ๊ง ๆ ตลอดเวลา
                    ‘แคร้งงง!! ..
                  โครม!!’
                  เสียงร้องครวญคราง  จากการปะทะกันของอาวุธวิเศษสองชนิดที่ส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาท  จนแผ่นสั่นไหวแทบจะแยกตัวออกจากกัน
                  ร่างอสูรที่ยืนเต็มผืนปฐพีกลับจ้องมองอย่างแค้นเคืองให้แก่บุรุษผู้งามสง่าบนหลัง  พญาครุฑเจ้าเวหา  เปลวเพลิงร้อนแรงอาบทั่วทั้งกายา  ส่งอิทธิพลต่อเหล่าอสูรให้ปวดแสบปวดร้อนกันระนาว  ดวงตาคล้ายลูกไฟบรรลัยกัลป์กวาดตามองยังเบื้องล่าง  กรทั้งสี่ข้างถือศาสตราต่างชนิด  ตวาดเสียงดังสนั่น
                  “พวกเจ้า  ไม่รู้หรือไงกันว่าที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  ทำไมถึงได้บังอาจเช่นนี้!!”
                  “หึ หึ  เจ้าก็มาเพียงคนเดียว  ไม่เห็นหรือไงพวกข้ามีกันตั้งสามหมื่น  คิดหรือว่าจะหยุดพวกข้าได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
                  ดวงตาสีเพลิงปรือมองอย่างไม่พอใจ
                  “เจ้าพวกโง่  แล้วอย่าหาว่าเราใจร้ายก็แล้วกัน”
                        ‘จักรอินทรสยบจักรวาล’
                  “กองทัพอสูร  .บุก!!”
                  “เฮ เฮ เฮ”
                  กองทัพอสูรนับหมื่นเฮโลเข้าหาบุรุษผู้มีกายสีเพลิง  หากแต่เพียงพริบตาเดียวกองหน้ากลับทรุดลงไม่เป็นท่า  ร่างอสูรกลับสลายกลายเป็นจุล  อสูรที่เหลือต่างหยุดชะงัก  ไม่ทันได้คิดจะก้าวหนี  จักรอันร้อนแรงเปล่งรัศมีโชติช่วงราวทินกรส่องแสงแรงกล้าอีกดวงก็พุ่งเข้าหา
                  บึ้ม!!!
                  ว่านสะดุ้งจากภวังค์  น้ำเย็นที่รดไปทั่วตัวเริ่มสร้างความหนาวเย็น  ด้วยเพราะช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว  แค่ห้าโมงกว่า ๆ ตะวันก็ชิงจะตกดินเสียแล้ว  ผิดกับหน้าร้อนลิบลับ
                  เมื่อทำความสะอาดร่างกายเสร็จแล้ว  เดินออกจากห้องน้ำอย่างสดชื่น  เหลือบไปเห็นคนที่นั่งบนโซฟาจึงร้องทักออกไป
                  “อ้าว  น้านิตย์ตื่นแล้วเหรอ”
                  น้านิตย์ส่งยิ้มคล้ายหนักใจในความคิดของตัวเอง  ก่อนเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่ใจนัก
                  “วันนี้ พ่อของเรามาหาที่นี่แล้วบอกให้เรากลับบ้านด้วย”
                  ดวงตาดำสนิทแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างทันใด  พูดห้วนจัด 
                  ”ช่างเขาสิ  ว่านไม่กลับ”
                  “เราออกจากบ้านมาสามอาทิตย์แล้วนะ  พ่อเขาคงเป็นห่วงถึงได้มาตามเรากลับ  อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงอย่างเราหรอกนะ  เชื่อน้าเถอะกลับบ้านไปหาพ่อเราซะ”
                  ว่านฟังชักสีหน้าเหนื่อยหน่าย  โยนผ้าขนหนูไปทางตะกร้าที่มีเสื้อผ้ากองระเกะระกะมากมาย
                  “พ่อจะห่วงอะไรว่านล่ะ  เขาก็คงห่วงแค่นามสกุลของเขาและตัวเองเท่านั้นแหละ  หึ”
                  เสียงประชดนั้นแปร่งจัด  จนคนฟังจับความรู้สึกที่ เจ้าตัวนั้นจะถมทับมันให้จมลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
                  “น้าว่า  เรากับพ่อของเราคงต้องคุยกันให้มากกว่านี้แล้วนะ  คุยกัน .แล้วเปิดใจให้กว้าง  รับรู้มุมมองของแต่ละคน  คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะยังไงก็รักลูกของตัวเองวันยังค่ำนั่นแหละ  เพียงแต่การกระทำของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไปบ้างเท่านั้น”
                  “รักเหรอ?”  ว่านทวนเสียงสูง
                  “เฮอะ .ต่อให้ชักแม่น้ำโขงมาทั้งสายยังไม่เชื่อเลยน้า  อย่าพูดอีกเลย”
                  นิตย์ส่ายหน้าอย่างระอา  ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เหลือเกินจริง ๆ กับพ่อลูกคู่นี้  คนหนึ่งก็เจ้าทิฐิ ..ไม่รู้จะเอาอดีตมายึดติดถึงเมื่อไหร่  ส่วนอีกคนก็เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่
                  “แต่ยังไงก็ตาม  วันนี้เราต้องกลับบ้าน  เพราะคืนนี้จะมีลูกค้าพิเศษน้าอาจไม่กลับมานอนที่นี่ก็ได้  แล้วอีกอย่างข้าวของของเราคนของพ่อเราก็มาจัดการเก็บไปบ้านหลังนู้นหมดแล้ว  ถ้าเราอยากได้คืนก็คงต้องไปตามเอาเอง”
                  ว่านหยิบกุญแจรถเกือบจะเป็นกระชาก  เดินออกจากห้องอย่างหัวเสียใบหน้าเครียดจัด
                  “ก็ได้  ถ้าน้าไม่อยากให้ฉันอยู่ก็ไม่เป็นไร  .แต่ยังไงฉันก็ไม่มีวันกลับไปบ้านหลังนั้นอีกเป็นอันขาด!!”
                  เฮ้อ!! .เอาแต่ใจด้วยกันทั้งคู่  ให้ตายเถอะ พ่อลูกคู่นี้
                  เสียงรถแล่นเข้าปากประตูหน้าวัด  เด็กหนุ่มที่กวาดใบไม้หน้าลานวัดรู้เลยว่าต้องเป็นว่านอย่างแน่นอน  แถมยังมาแบบใต้ฝุ่นแบบนี้อารมณ์เสียมาอีกละสิท่า  คิดได้ดังนั้นจึงผละไม้กวาดเดินไปหาเพื่อน
                  “ทำไมมาตอนนี้ล่ะ??  ยังไม่ถึงเวลานัดไม่ใช่เหรอ”
                  “เบื่อ!!!!  ..รำคาญโว้ย!!”
                  ตุ้บ!!!
                  กระสอบทรายที่ห้อยต้นไม้ในวัดถูกกระแทกด้วยน้ำหนักมือที่หนักเหลือทน  ใบหน้าเครียดจัด  ร้องตะโกนอย่างเหลืออด  จนนาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
..”ร้อนอะไรในมนุษย์ที่จุดจบ ..ไม่ร้อนลบแรงราดซ้ำยากเผา
..เพลิงโมโหโทสามิซาเซา ร้อนลุ่มเราลุกลนไปจนตาย
..อันร้อนกายไข้หนักพอรักษา .ใช้หยูกยาถูตรงก็คงหาย
..แต่ร้อนจิตติดแน่นสุดแคลนคลาย .เป็นโรคร้ายเรื้อรังไม่ฟังยาฯ” *
                  “ปล่อยให้ความโกรธ  ร้อนรุ่มของจิตควบคุมตน  ตกเป็นทาสของความชั่วง่ายดายนัก”
                  คำเปรยจากเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าผ่องแผ้ว  คล้ายไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อน  หรือเจ็บแค้นใครเลย  นั่นทำให้ว่านหัวเสียอย่างที่สุด
                  “โอ๊ย!!  .หยุดพูดได้แล้วโว้ย!!  มาทีไรแกก็พูดอย่างนี้ทุกที  รำคาญ”
                  ซ่าาาา ..!!!
                  “หลวงตา”
                  ว่านครางมองดูเสื้อผ้าที่เปียกลู่อย่างเสียไม่ได้    หลวงตายืนในอาการสงบของพระสงฆ์ที่ได้รับการปฏิบัติธรรมอย่างดีแล้ว  มือข้างหนึ่งถือถังน้ำเปล่าพร้อมไม้เรียวเส้นเล็กหวดเสียงดังหวืด ๆ ดูแล้วชวนเสียวใส้ไม่น้อย
                  “เป็นไงล่ะ  เจ้าว่าน  ได้น้ำเย็นคงพอทำให้หายร้อนรุ่มได้บ้างหรือเปล่า??”
                  “โธ่!!  .หลวงตาเล่นอะไร  ดูสิเปียกไปหมดทั้งตัวเลย”
                  เจ้าตัวพ้ออารมณ์โกรธหดหายเข้าหลืบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว  ลอบมองดูไม้เรียวในมือพลางกลืนน้ำลายดังเอื้อก เพราะรู้ฤทธิ์ของเจ้าสิ่งนี้มาไม่น้อยกว่าใคร 
                  “อ้าว  ก็เอ็งร้อนนักไม่ใช่หรือ  ข้าก็ช่วยดับร้อนให้ไง”  หลวงตากล่าว  ท่านยังอยู่ในอาการสงบเพียงแต่มืออีกข้างหนึ่งยังคงถือไม้เรียวหวดอากาศไปพลาง ๆ เล่นเอาคนมองนึกหวาด ๆ ฤทธิ์ของมันขึ้นมาตะหงิด ๆ
                  “โห  เข้าหน้าหนาวแล้ว  หลวงตายังว่าร้อนอีกเหรอ”  เจ้าตัวดียังเถียงคำไม่ตกฟาก
                  หลวงตาจึงหวดไม้เรียวหมายจะสั่งสอนเสียหน่อย  แต่เจ้าตัวราวกับจะรู้รีบหลบฉากใช้ นา เป็นเกราะกำบังทันใด
                  “ข้าหมายถึงใจเอ็งโว้ย!!  ร้อนนักไม่ใช่หรือไง  เอาอีกถังไหมล่ะ??”
                  หลวงตาถาม  แต่ว่านส่ายหน้าเร็วปรื๋อ 
                  “ไม่เอาแล้ว  หลวงตา  แค่นี้ก็ดับร้อนจนจะแข็งตายอยู่แล้ว”
                 
                  ณ  ตึกสูงสง่าในมหานครกลางเมือง
                  ห้องโถงสีขาวสะอาดตา  มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงสูงลิ่วประดับตกแต่งยิ่งทำให้ห้องนี้ดูตระการตามากยิ่งขึ้น  บุรุษรูปงาม  เจ้าของดวงตาดำสนิท  ทอดสายตามองทัศนียภาพเบื้องนอกตัวตึกพลางจิบไวน์ขวดสามแสนอย่างสบายอารมณ์
                  อยู่ดี ๆ ไวน์นั้นกลับกระฉอกออกมานอกแก้วบางใส  ก่อเกิดเป็นรูปร่างอันแสนอัปลักษณ์  ดวงตาแดงก่ำ  คุกเข่าค้อมคารวะนายหัวด้วยความเคารพยิ่ง  ขาแขนยาวเก้งก้างยังไม่พอทำให้น่าเกลียดได้เท่าใบหน้าที่มีแต่รอยแตกและเส้นเลือดที่ปูดโปน  ผมดำสนิทขึ้นบนหัวเป็นหย่อม ๆ นั้นชวนให้ชายหนุ่มเบนหน้าหนีไปทางหนึ่ง  พร้อมวางแก้วไวน์ไว้ที่โต๊ะแก้ว  ดวงตาดำสนิทเรียบเฉยซะจนดูเย็นชา
                  “ได้เรื่องแล้วขอรับนายท่าน  ที่อยู่ของเจ้าสิ่งนั้น ..”
                  “หึ หึ  ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยของเราก็มาถึงจนได้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
                  เสียงทุ้ม นุ่ม  หัวเราะก้อง  ดีดนิ้วเป๊าะ!!!  ทั้งร่างชายหนุ่ม และเจ้าอัปลักษณ์นั้นกลับหายไปในพริบตา
                  สองนายบ่าวมาโผล่ที่ชั้นใต้ดินของตึกแห่งหนึ่ง    กลิ่นเหม็นชื้นอย่างไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าไหร่นักนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาสักนิด  เสียงย่ำฝีเท้าอย่างสม่ำเสมอบนโถงทางเดินที่แคบยาวยังคงดังเป็นระยะ
                  “ใช่ที่นี่แน่นะ??”
                  น้ำเสียงนั้นถามย้ำเป็นรอบที่สิบ  หลังจากเดินคลำทางผ่านความมืดของรัตติกาลเป็นเวลาเกือบครึ่งคืนมาแล้ว
                  “ถ้าไม่เชื่อฉันแล้วแกจะตามมาด้วยทำไม??”
                  กึก!!
                  ฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดชะงัก  สายตาคาดโทษส่งให้เด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งจนจะเหมือนกุ้งแห้ง
                  “ถ้าอยากตายก่อนอดนมหรือไงไอ้ลูกแหง่”
                  ดวงตามรกตพราวระยับ  ไม่ใช่ในความขัน หากแต่เป็นความไม่พอใจมาก ๆ กับคำพูดของคนตรงหน้า
                  “แต่ก็ดีกว่าไอ้พวกอวดกำลัง  เบ่งกล้ามโชว์ว่าตัวนี้แน่ใครจะมาทำอะไรไม่ได้  แต่ขอโทษเถอะ  สมองยังสู้เด็กอนุบาลไม่ได้เลย”
                  “พูดอย่างนี้มาต่อยกันดีกว่ามา!!!”
                  เสียงตวาดกลับชักควบคุมอารมณ์ไม่อยู่  ใครที่เคยใกล้ชิดกับเจ้านี่ก็รู้อยู่ว่ามันควบคุมอารมณ์ได้ยากขนาดไหน
                  โถงทางเดินอับชื้นแต่ผู้ร่วมในเหตุการณ์ขณะนั้นกลับรู้สึกได้ถึงลมที่พัดอื้ออึงรอบบริเวณ  ลมร้อน .จนเหงื่อตก 
                  จู่ ๆ ลมแรงนั้นกลับค่อย ๆ สงบลง  ไอเย็นปริศนากลับรุมล้อม  เสียจนขนทั้งกายพากันลุกชัน  เย็นเยือก เสียจนน่ากลัว
                  “พวกนายอย่างทะเลาะกันน่า!!”
                  น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยอันแสนอบอุ่นเสมอร้องห้าม  นา เข้าแทรกตรงกลางระหว่าง  ว่านกับแอ๊ด  สองสายตาประสานส่งเสียงเปรียะ ๆ คล้ายประจุไฟฟ้าแล่นพล่านทั่วร่าง  แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว
                  “ถอยไปไอ้นา  วันนี้ไม่เคลียร์กับมันให้รู้เรื่องฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”
                  คนอารมณ์ร้อนที่สุดเอ่ย  พร้อมผลักอก นา ให้ถอยออกไปจากวงรัศมีหมัดขวาของเขา  เมื่อเห็นว่ากล่อมคนนี้ไม่สำเร็จหันไปหาอีกคนแต่ดูท่าก็รู้แล้วว่า  คงไม่ได้ผลอีกคน
                  “ฉันก็เหมือนกัน  เรื่องวันนั้นฉันก็ยังไม่ได้สะสางเลยนะ”
                  หมายถึงเรื่องวันลอยกระทง  ตอนเช้าที่เขาแทบจะหมดสภาพ  ใครก็รู้เขาเกลียดความเร็วขนาดไหน  แต่ไอ้นี่มันแกล้งกันชัด ๆ
                  คนห้ามถอนหายใจเฮือก  อย่างระอา  ตาชักวาวอย่างไม่พอใจบ้างแล้ว
                  ทั้งลมร้อน  และ  ไอเย็นตีกันจนมั่ว  เดี๋ยวกลับร้อนจนตับจะแตก  แต่สักพักก็หนาวเสียจนเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือซะงั้น
                  “แน่จริงแกก็เข้ามาเลยสิ”  ว่านท้าสายตากร้าว
                  “เออ”
                  แอ๊ดกระโดดเข้ากระชากคอเสื้อคนท้า  ทำท่าจะเสยหมัดเข้าที่ใบหน้า  หากแต่เขาเพียงเอียงตัวนิดเดียวแอ๊ดกลับเสียหลัก  หมัดวืดโดนเพียงอากาศ  คนหลบได้ก็สวนกลับด้วยหมัดลุ่น ๆ
                  หมับ!!
                  “พอที!!!  .หยุดได้แล้ว!!!”
                  เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นพล่านไปทั้งร่าง  เมื่อมืออันเย็นเชียบคู่นั้นแตะต้องร่าง  ผลักทั้งคู่ให้ถอยห่างออกไป  คนที่เคยใจเย็นที่สุดกลับตวัดสายตาไม่พอใจ  เหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งวิ่งมาเป็นกิโล ทั้งที่ยังคงอยู่ที่นี่เท่านั้น
                  ว่านลูบหน้าอก คลึงมันเบา ๆ ผ่อนลมหายใจจนเป็นปกติ  มอง นา ที่เหนื่อยหอบจนตัวโยน  ไม่รู้ทำไมสติถึงได้กลับมา  เพียงแค่คำพูดจากคน ๆ นี้เพียงประโยคสั้น ๆ เท่านั้น
                  “นายเป็นอะไรหรือเปล่า  นา”
                  แอ๊ดถามเสียงอ่อนลง  นึกเสียใจที่ตัวเองขาดสติไปได้ขนาดนั้น
                  “เราไม่เป็นอะไรมากหรอก  พักสักครู่ก็หายแล้ว” 
                  เอ่ยเสียงอ่อน  หลับตาท่องพุทโธกำหนดจิตเบา ๆ จนกระทั่งเสียงลมหายใจกลับเป็นปกติ  ยืดตัวตรงแล้วให้แอ๊ดเดินนำไปต่อ
                  “บรึ้ม!! ..ครืน ๆ ๆ”
                  จู่ ๆ ทางเดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง  พร้อมเสียงคล้ายระเบิดดังแว่วมาจากสถานที่ใดของตัวตึกนี้  หากแต่ลางสังหรณ์ของพวกเขาบอกว่ามันต้องมาจากชั้นล่างลึกลงจากชั้นนี้ไปแน่นอน
                  “เสียงอะไร??” 
                  แอ๊ดร้องถาม พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ  หากแต่พอทุกอย่างสงบลงแล้ว  กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาให้ได้ยินอีกเลย
                  “เสียงแมวบ้านแกร้องมั้ง??”
                  ว่านบอกสีหน้ากวนประสาท  เหลียวดูรอบบริเวณ  ก่อนจะเดินนำไปอีกทาง 
                  “เสียงมาจากทางนี้ .ไปเร็วเข้า!!”
                  แอ๊ดเข็ดเขี้ยวฟันอยู่ในใจ  แต่รีบวิ่งตามไปโดยเร็ว
++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++--++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น