ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :Shadow Fantasy:

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 ปีศาจ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 48




    ตอนที่ 2  ปีศาจ





                     เหมือนร่างจะแหลกเละเป็นชิ้นดี  หุบเหวสูงชันมองไม่เป็นปลายตั้งตระหง่านลับแสงอาทิตย์ยามอัสดง  ร่างบางร้องตะโกนลั่น  สองมือไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว  แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ



                     “ม่ายยย!!!”



                     พื้นหินแข็งกระแทกกับร่างเข้าเต็ม ๆ   สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักหอบเอาความชาด้านและความขลาดกลัวกระเทาะจิตใจกัดกิน….เหงา…วังเวง…ไม่มีที่สิ้นสุด  



                     เลือดที่นองบนพื้นกลับไหลเข้าร่างอย่างเดิม  ลุกขึ้นเหลียวมองหาที่พึ่ง…แต่ไร้ทาง  เหมือนเจอทางตัน



                     แล้วความมืดก็เข้าคลอบงำทุกสรรพสิ่ง  เสียงฝีเท้าย่ำเดินรอบตัวพร้อมเสียงตะโกนเฮลั่น  ฉุดให้ร่างนั้นวิ่ง…วิ่ง…ทั้งที่ไม่รู้จุดหมาย  รู้แต่ต้องหนีไปให้ไกล



                     ….แต่….จะไปทางไหน



                     ดวงตาวาวโรจน์จากทุกทิศเริ่มเข้าใกล้ตัวมากขึ้น  ไร้ทางหนีแล้ว!!!  ….ยกมือขึ้นป้องหน้าร้องเสียงหลง  





                             อ๊าาาาา!!!



                     ผืนดินที่ยืนอยู่กลับทรุดแยกจากกันเป็นทางยาว   ให้ร่างบางลอยละลิ่วสู่ใต้ธรณี  สู่ที่มืดมิด…ไร้แสงสว่าง



                     โซ่เหล็กเลื้อยเข้ารัดพันแขนสองข้างแล้วดึงเป็นสองทาง  ร่างบางเหมือนจะปริแยกจากกัน  ทรมาน…..แสนสาหัส



                     “ไม่….อย่าาาาา!!!!”



                     …ต้องไม่เป็นแบบนี้  ไม่…มันต้อง…ไม่!!!



                     อ๊ากกก!!!



                     เสียงตะโกนครั้งสุดท้ายดังโหยหวน  พร้อมกันกับที่เหมือนวิญญาณกำลังจะถูกกระชากหลุดจากร่าง!!







                     เฮือก!!!  เสียงกรีดร้องยังแว่วดังเหมือนอยู่ข้างหู  เด็กหนุ่มลุกพรวดสะดุ้งตื่นจากฝัน  เหงื่อไหลย้อยเต็มใบหน้า  หอบหายใจถี่ราวกับวิ่งมาเป็นสิบกิโลทั้งที่ตัวเองนอนหลับอยู่บนที่นอนแท้ ๆ



                     เสียงลมหายใจถี่เริ่มช้าลงและกลับเป็นปกติ  สม่ำเสมออย่างเดิม  เขาเก็บผ้าห่มที่ถูกเหวี่ยงมากองบนพื้นให้กลับไว้บนเตียง  ลุกขึ้นออกไปสูดอากาศนอกชานบ้าน  



                     ดวงดาวยังพราวแสงเต็มท้องฟ้าดวงดาวกลุ่มหนึ่งยังคงเด่นจรัสแสงบดบังรัศมีของดาวดวงอื่นไปเสียสิ้น  ผิดแต่ใจกลางของกลุ่มดาวนั้นกลับกระพริบอ่อนแสงลงทุกขณะ  แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวโผล่พ้นจากกลุ่มเมฆก้อนใหญ่  ทำหน้าที่เป็นดวงตะวันยามค่ำคืน  แสงของมันส่องให้เห็นร่างสูง  กำยำของเด็กหนุ่ม  ผิวคล้ำอย่างคนที่กรำแดดตลอดเวลา  นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้เหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย…



                     ฝัน?  ….ความฝันอันประหลาด  น่ากลัวและน่าสงสารภายในเวลาเดียวกัน   คน ๆ นั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ??



                     ….แต่ยังไง  ความฝันก็ยังคงเป็นความฝันวันยังค่ำ  ต่อให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกฝันนี้ก็จะเป็นเพียงภาพฝัน  



                                      …….จะหลับซักกี่ตื่นก็ตามที



                     “ดึกแล้วทำไมถึงยังไม่นอน  ออกมาทำไม??”



                     เสียงทักเจือความห่วงใยดังจากข้างหลังเด็กหนุ่ม  ชายสูงวัยกว่ายืนกอดอกมองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา  เค้าหน้าที่คล้ายกันบ่งบอกความผูกพันธ์ทางสายเลือด  ความองอาจผึ่งผายที่ฉายชัดทางกายภาพยิ่งพินิจให้พวกเขาสง่าสมชายชาตรี



                     “ผมก็แค่…นอนไม่หลับครับ”



                     เด็กหนุ่มเลี่ยงตอบไปอีกทาง  เสหน้ามองฝ่าความมืดไปยังชายป่าด้านหนึ่งติดกับตัวบ้าน  แต่มีหรือที่เขาจะไม่รู้เดินเข้าไปตบบ่า  สองมือเกาะราวระเบียงก่อนเปรยเสียงอ่อน



                     “ฝันก็คือฝัน….จิตใจของคนไม่มีวันที่จะเข้มแข็งได้ตลอดเวลา  ยามอ่อนแออย่ามัวแต่พะวงห่วงแต่สิ่งที่ผิดพลาดต้องมองเผื่อวันข้างหน้า   อนาคตไม่มีใครรู้…แต่เรากำหนดมันด้วยสองมือและปณิธานแห่งความตั้งใจจริงได้”



                     เด็กหนุ่มมองคนเปรย  ยิ้มละไมบนใบหน้ายังกรุ่นด้วยความห่วงใย  คน ๆ นี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อ่านใจเขาออกได้เสมอ  ไม่มีทางโกหกเขาได้เลย



                     “ครับ  ผมจะจำคำของพ่อไว้”      



                     คำสอนที่ต้องจดจำไว้  เด็กหนุ่มยิ้มรับละทิ้งความกลัวในความฝันนั้นชั่วขณะ



                     “น้ำค้างลงหนักแล้ว  เข้าไปนอนเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางอีกไกล”



                     เขาไล่ให้เด็กหนุ่มเข้าไปนอน  ผู้เป็นพ่อมองจนประตูไม้ปิดสนิทแล้วแหงนมองดูดวงดาวที่ประดับบนท้องฟ้า



                     ….บางที  นกน้อยตัวนี้อาจจะพร้อมโผบินเผชิญโลกกว้างแล้วก็ได้



                     จงเป็น…..



                             นกน้อยที่ผงาดเหนืออินทรีให้ได้    



                                                      ไม้….ลูกพ่อ



    ………………………….

    …………………………………



                     ใต้ซอกหลืบตึกห่างไกลเขตชุมชนจึงไม่ค่อยมีผู้คนพลุ่งพล่านเหมือนย่านการค้าศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยี  ร่างสูงโปร่งภายใต้ผ้าคลุมสีมัวปกปิดทั่วกาย  พร้อมผ้าคาดหัวสีน้ำเงินมีเส้นสายฟ้าเป็นสีขาวตัดกันเป็นสัญลักษณ์  สาวเท้ายาว ๆ เพื่อออกจากซอกตึกแห่งนี้โดยเร็วที่สุด  โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง



                     “เฮ้!  ไอ้หนูเดินดูตาม้าตาเรือบ้างเซ่  ไม่มีตาหรือไงวะ”   ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนด่าตามหลัง



                     ร่างนั้นยังคงไม่สนใจเดินดุ่ม ๆ เข้าซอกแคบ ๆ มืด ๆ  หยุดมองขอทานที่ยกมือไหว้ปะหลก ๆ ท่าทีที่อนาถเกินทน  ดวงตาดำสนิทคู่นั้นเบือนหนีไปอีกทาง  ดีดเหรียญเงินในมือลงกระป๋องกระทบเหรียญอื่นส่งเสียงดังกริ๊ง!!



                     ย่ำเดินผ่านกลิ่นเน่าของแควน้ำ  กลิ่นของขยะเน่าที่ยังลอยวนเวียนซ้ำซากจำเจ  แม้เทคโนโลยีจะมีการพัฒนาที่ดีมากขึ้นเท่าไหร่  แต่จิตใจที่มักง่ายก็ยังคงติดเป็นสันดานแก้ยาก  รักษาไม่หาย….



                     สถานที่เรียกว่า …สลัม…  ยังไงก็ยังคงถูกมองข้ามจากทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่มีเงิน  ไร้อำนาจ  ก็ถูกมองเป็นแค่อากาศไร้การสนใจอยู่ชั่วนิจที่อำนาจของเงินจะยิ่งใหญ่  บ้านแต่ละหลังแทบจะพังไม่เป็นท่าหากโดนลมแรงพัดมาวูบเดียว



                     สะพานยกระดับเส้นเล็กที่มีแค่ไม้เก่า ๆ ผุ ๆ วางเรียงรายพอที่จะเดินข้ามได้เท่านั้น  ความแข็งแรงของมันทำเอาคนที่ใช้สะพานอยู่หนาว ๆ ร้อน ๆ กลัวจะต้องตกไปในน้ำเน่าที่ส่งกลิ่นเหม็นชวนให้หันหน้าหนี



                                      “ชีวิตเจ้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องการบ้างงั้นหรือ?”    น้ำเสียงที่คุ้นหูดังแว่วผ่านสายลมร่างโปร่งหยุดชะงักหันมองข้าง ๆ แต่กลับเห็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า



                     ….ไม่มี…มั้ง!



                     เสียงตอบภายในใจเหนื่อยหน่ายเกินจะทานทน





                                   “ไปกับข้าไหมล่ะ  อิสระภาพแห่งชีวิตที่เจ้าใฝ่ฝัน  เจ้าจะพบมัน”



                     คราวนี้หันไปอีกรอบเห็นบุรุษร่างสูง  สูงกว่าเธอที่เทียบได้แค่ระดับไหล่ของเขา  มือข้างหนึ่งยื่นมาให้เธอจับ  ใบหน้าเรียบเฉยจ้องมองเธอภายในดวงตายังมีประกายบางอย่างซ่อนไว้





                                   .….ไป….



                     คำตอบที่มาพร้อมมือยื่นคว้าแขนข้างนั้น  แต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่าร่างนั้นจางลงแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับอากาศแล้วสลายหายไปในพริบตา



                     พลันตื่นจากภวังค์…..  มือที่กำลังยื่นออกไปหยุดชะงักก่อนกลับไว้ที่ข้างลำตัวเช่นเดิม  ดวงตาดำสนิทเหล่มองผู้คนที่หยุดมองดูเธอด้วยสายตาแปลก ๆ   บ้างก็หันไปซุบซิบกัน  แต่พอเห็นแววเย็นชาภายในดวงตาคู่นั้นกลับรีบหลบหน้ากันเป็นแถวแล้วรีบเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



                     …คำตอบที่สายเกิน…กับความคำนึงที่ไม่มีทางจะเป็นจริงได้อีก…



                     พอพ้นจากสลัม  โรงแรมโทรม ๆ ที่ปลูกสร้างหลังถนนสายกลางคืน  สถานบันเทิงที่ตั้งแข่งกันระนาวต่างเงียบเชียบภายในเวลากลางวัน  ร่างโปร่งตรงไปยังรถจักรยานยนต์คันหนึ่งที่จอดไว้ข้างทาง  สตาร์ทแล้วขับมันออกไปสู่ถนนใหญ่  ยานน้อยใหญ่ยังบินว่อนเหนือหัว  การจราจรติดขัดพอ ๆ กับรถบนถนน  ไฟแดงยังแดงแจ่มนานหลายนาที





                                      [‘ตอนนี้ผมกำลังอกหัก…..ไม่ว่างรับสายค้าบบบ’]



                     “เออ…มีอะไร”



                     เสียงนุ่มกรอกตามสาย  โทรศัพท์พับรุ่นใหม่บางเฉียบวางแนบหูในขณะที่มืออีกข้างบังคับรถให้เคลื่อนไปข้างหน้าเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยน



                     “ไม่เห็นนี่…ฉันมาคนเดียว”



                     น้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องเปลี่ยนทิศทางการเดินรถ  จากถนนใหญ่มุ่งหน้าสู่ซอยเล็กแคบ!!



                     “ได้ ๆ เดี๋ยวจะแวะไปดูมันให้    แล้วงานไปถึงไหนแล้วละ….เออ ๆ  แค่นี้ก่อนละกัน”



                     โทรศัพท์ถูกปิดพร้อมการสนทนาที่จบลง  คันบิดถูกเร่งพร้อมควันของก๊าซธรรมชาติไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมพ่นจากท่อไอเสีย  ARโซนิค 145  คันดำสนิทพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง



    ……………………………….

    ……………………………………….



                     ภาพผู้คนที่เดินกันขวักไขว่หยุดเดิน  แล้วแหงนหน้าชี้ไม้ชี้มือขึ้นข้างบนเบนความสนใจของเขาเสียก่อน  ดวงตาดำสนิทเงยขึ้นมองบ้าง  ยอดตึกดาดฟ้าของอาคารสูงสิบกว่าชั้น  แสงตะวันกระทบเข้ากับเงาตะคุ่ม ๆ บนยอดตึก  คิ้วคมได้รูปขมวดเข้าหากันพร้อมลางสังหรณ์บางประการ  



                     เสียงเซ็งแซ่ของผู้มองดูเหตุการณ์ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ   เงาบนยอดตึกค่อย ๆ ฉายชัดในดวงตาดำสนิท  เสียงหวีดร้องก็ดังตามมาเป็นระยะ



                     “ว้าย!….คนกำลังจะโดดตึก”



                     ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปเมื่อความจริงมันปรากฏอยู่เต็มสองตาแล้ว   ล้อหลัง ARโซนิค  ปัดจนเป็นรอยดำทาบติดพื้นถนน  หน้าปัดบอกความเร็วกระดิกพุ่งไปจนสุดตัวเลขอย่างน่ากลัว  เสียงเครื่องคำรามดังกระหึ่มจนล้อหน้ายกตัวขึ้นก่อนพุ่งขึ้นกลางอากาศผ่ากลางเหล่าคนมุงไปอย่างเฉียดฉิว



                     กรี๊ดดดด!!!



                     ฟุ่บ!!!



                     เสียงกรี๊ดจากเหล่าไทยมุงดังผสมปนเปกันไปหมดไม่รู้ว่าชายหรือหญิงกันแน่ที่ร้องกรี๊ด  ผ้าคลุมสีมัวถูกสลัดจากตัวเข้ารับร่างที่หล่นจากยอดตึกได้อย่างเฉียดฉิว  ตกอยู่ใต้อ้อมแขนเจ้าของรถ ARโซนิค คันดำสนิท  สองมือประคองร่างนิรนามไว้แน่น



                     ทั้งคนและรถลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย  ก็ได้รับเสียงปรบมือหลังจากอาการตกตะลึงของคนเหล่านั้นหายไปจากใบหน้า  เขารีบจับชีพจรของหญิงสาวนิรนามที่นอนคอพับคออ่อนใต้อ้อมแขนของเขา  ก่อนพ่นหายใจอย่างโล่งอก



                     ……แค่สลบไปเท่านั้น..





                     เขารีบบึ่งรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด  พอหญิงสาวคนนั้นถึงมือหมอแล้วเขาก็รีบออกรถไปอย่างทันที  ไม่ได้รอดูอาการหรือถามไถ่ว่าทำไมถึงได้นึกอุตริเล่นบันจี้จัมพ์โดยไม่มีเชือกกลางเขตชุมชนอย่างนี้



                     แต่เขาคงไม่รู้  ……โชคชะตา…จะทำให้พบกับเธอคนนั้นอีกครั้ง

                                     ….แล้วโศกนาฎกรรมก็ถูกพัดพามาราวคลื่นพายุโหมกระหน่ำในคืนลมแรง







                     [ก๊อก  ก๊อก]



                     “ค้าบ…..จะไปเดี๋ยวนี้แหละค้าบ”



                     เจ้าของห้องเช่าขนาดกลางมีเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการครบครันเต็มห้องพักตะโกนรับ   เด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีที่กำลังวุ่นวายอยู่หน้ากระจกกดรีโมตที่ริมเตียงฉายภาพหน้าประตู  พลันรอยยิ้มพร้อมดวงตาเหยียดมองคนข้างนอก



                     “คุยอะไรด้วยกันสักแป๊บก่อนสิ”



                     เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูรับ  คนข้างนอกชายวัยรุ่นอายุไม่ห่างจากเจ้าของห้องเท่าใดนักดีดมีดสปริงจี้ไปที่เอว  ขณะที่อีกคนกอดคอตีสนิทอย่างหน้าตาเฉย  แถมพูดเสียงเข้มแกมบังคับจนเด็กหนุ่มต้องเลิกคิ้วทั้งที่ซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใน



                     “ผมว่าห้องนี้คงไม่สะดวกหรอกนะครับ…มันแคบเกิน”



                     เจ้าของห้องพยักเพยิดหน้าไปทางดาดฟ้า  วัยรุ่นสองคนสบตากันอย่างรู้นัย  เดินประกบเด็กหนุ่มให้เดินไปทางดาดฟ้าของตึกมีดคมวาวถูกซ่อนไว้ข้างหลังอีกคนเดินกอดคอเด็กหนุ่ม  เหมือนกับเป็นเพื่อนที่สนิทกันเสียเต็มประดา



                     …แต่รู้นัยกันเพียงสามคนว่าความจริงมันเป็นยังไง



                     ปึง!



                     ประตูบนดาดฟ้าเปิดผางด้วยฝ่าเท้าของชายหนุ่มร่างกำยำ  แรงถีบทำให้บานประตูดีดออกอย่างรวดเร็ว  กลุ่มวัยรุ่นฉกรรจ์อีกนับสิบคนเดินตามหลังคนชายหนุ่มร่างกำยำที่ดูคงเป็นหัวหน้าของพวกนี้



                     สามคนที่ยืนรออยู่บนดาดฟ้าหันไปมองกลุ่มวัยรุ่นฉกรรจ์  วัยรุ่นสองคนที่ยืนคุมเด็กหนุ่มผละมายืนข้างหลังหัวหน้าอย่างทันที



                     “มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ  พูดเร็วหน่อยก็ดีนะครับ  เพราะผมมีนัดที่อื่นอีกเดี๋ยวสาย”



                     เด็กหนุ่มยิ้มในสีหน้า  ดวงตาสีมรกตจ้องมองคนเป็นหัวหน้าวาววับซ่อนแววเจ้าเล่ห์ไว้ภายในใบหน้าที่ใสซื่อ   ชายหนุ่มกำยำหัวเราะก้องราวขบขันคำพูดของเด็กหนุ่มร่างผอมบาง  ใครบ้างจะไม่รู้ว่าไอ้เด็กคนนี้กำลังท้าทายเขาอยู่



                     “เมื่อวานแฟนกู …น้องหลิน มาหามึงที่นี่ใช่ไหม  คนของกูเห็น”



                     น้ำเสียงคุกคาม  บวกกับท่าทีที่ดุร้ายคงทำให้หลายคนขวัญผวาได้ไม่ยากเย็น  ….แต่ต้องไม่ใช่กับคน ๆ นี้



                     เด็กหนุ่มตาโต  ยกมือทาบอกทำท่าตกใจอย่างสุดขีด  “อ้าว …น้องคนเมื่อวานเป็นแฟนพี่เองหรอกเหรอครับ  ผมไม่ยักรู้   เผอิญน้องเขาไม่ได้แขวนป้ายบอก”



                     คำพูดสุดท้ายมาพร้อมกับรอยยิ้มแต้มบนหน้า  ที่ดูยังไงก็เป็นยิ้มเยาะชัด ๆ  



                     ใบหน้าคนร่างกำยำแดงก่ำโดยไม่ต้องพึ่งการออกกำลังกาย  พร้อมรี่เข้าหาเด็กหนุ่มร่างผอม  แค่ลักษณะทางกายภาพก็แตกต่างกันถึงขนาด  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันมวยคนละรุ่นอยู่แล้ว  แถมพวกที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลังอีกเป็นสิบ  บอกได้อยู่แล้ว ….เด็กหนุ่มคนนี้เละแน่ ๆ



                     พลั่ก!!…



                     เพียงพริบตาเดียวที่หัวหน้าของพวกมันประเคนหมัดขวาอันทรงพลังเข้าใบหน้าของเด็กหนุ่ม  พริบตานั้นก็เห็นหัวหน้าล้มไปกองบนพื้นเสียแล้ว  



                        ไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นและ….ทำไม…เร็วอย่างนี้!!!



                     ……เฮ้ย!  นี่ตัวคาราเต้ระดับจังหวัดเชียวนะ…..



                     ทั้งหมดได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก  เสียงราบเรียบก็ดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน



                     “มีใครจะเข้ามาอีกไหมครับ”



                     “รุมมันเว้ย!!”





                     [แอ๊ด]



                     เสียงประตูบนดาดฟ้าเปิดอ้าออก  หันความสนใจของทั้งหมดมาที่คนไม่รู้กาลเทศะ  ดวงตาดำสนิทลอบมองเด็กหนุ่มนัยน์ตามรกตที่ส่องสายตาเบื่อหน่ายให้  แล้วกลับไปมองคนทั้งหมดที่หยุดชะงัก



                     “อ่า…ขอโทษที่มารบกวน”



                     บานประตูนั้นปิดลงอีกรอบ  เด็กหนุ่มวัยรุ่นท่าทางซ่าส์ไม่หยอก  และคงมีอำนาจพอสมควรหันมาชูไม้หน้าสามก่อนตะโกนสั่งอีกครั้งหนึ่ง



                     “เฮ้ย!!….รุมมันเว้ย!!”





                     ร่างสูงโปร่งดึงประตูปิดอย่างคนรู้มารยาท  ก่อนนึกถึงเสียงแหกปากที่ดังผ่านสายโทรศัพท์ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องรีบขับรถมาเด็กหนุ่มคนนั้นที่นี่  แขนที่กำลังจะผละจากลูกบิดก็เปิดประตูออกไปอย่างคนนึกขึ้นได้



                     “อ่า…ธุระของแกเสร็จ…”



                     คำพูดที่จะเอ่ยหลุดหายเข้าลำคอเสียหมด  ภาพกลุ่มวัยรุ่นล้มสลบเป็นแถวเหลือเพียงเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตยืนเฉยกลางกลุ่มพวกนั้น  เงยหน้าส่งคำถามผ่านสีหน้ามาทางคนยืนหน้าประตู











                     “……เร็วหน่อยก็จะดี”



                     “เสร็จแล้ว”



                     เขาตอบกลับมาแล้วเดินข้ามร่างพวกนั้นอย่างไม่ใยดี  มือข้างหนึ่งกำร็อคเก็ตที่ห้อยคอส่องแสงเป็นประกายไว้มั่น  ดวงตามรกตหันไปมองข้างหลังเผยรอยยิ้มเยาะ



                     ….ขอบใจ…….มาก..



                     เงาดำตะคุ่มขนาดใหญ่ค้อมรับคำขอบคุณ     ก่อนถูกสายลมบนดาดฟ้าพัดสลายหายไปกับสายลม  ขณะที่เจ้าของคำขอบคุณเดินลงบันไดหายลับไปแล้ว



                     วัยรุ่นคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น  สีหน้าหวาดกลัวเหลือขนาดต่อสิ่งที่ได้พบเห็นมา  มือโชกเลือดกำลังไขว่คว้าบางสิ่งกลางอากาศ



                     “ป….ปีศาจ”



                     น้ำเสียงเริ่มขาดห้วง  เบิกตากว้างไร้สุ้มเสียงร้องใด ๆ ต่อไป….







                     “ใช้ไอ้นั่นละสิ”  



                     เขาถามขึ้นอย่างรู้ทันขณะที่เดินเข้าลิฟต์แก้ว  เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงมองเขาอย่างประหลาดแต่เหมือนการเสแสร้งเสียมากกว่า



                     “ฉันมันพวกใช้สมอง  ไม่ได้บ้ากำลังเหมือนแกนี่”



                     สายตาเย็นชาตวัดมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างขุ่นเคือง  ก่อนเดินนำออกไปจากลิฟต์ที่เปิดอ้าออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ  ใต้ถุนอาคารที่มืดสลัวมีรถคันดำสนิทเกือบเป็นเนื้อเดียวกันจอดขวางทางอยู่บนทางเดิน  หยิบหมวกกันน็อคอีกอันใต้เบาะรถโยนให้เด็กหนุ่ม



                     “ใส่ซะ  ….เดี๋ยวความฉลาดในสมองของแกจะกระจายบนถนน”



                     เด็กหนุ่มรับมาใส่อย่างว่าง่าย  เพราะรู้ฝีมือการขับรถของเจ้าของรถดีว่าอยู่ในระดับไหน  ขึ้นซ้อนท้าย เสียงกระหึ่มของรถยังดังก้องหู  แต่เสียงของเขาที่พูดขึ้นนั้นทำเอาเด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก!



                     “อยากจะไปถึงในเวลาครึ่งชั่วโมง  หรือ….ครึ่งนาที???”



                     “เอ่อ…ขอครึ่งชั่วโมง”



                     เด็กหนุ่มตอบ  นึกเสียวสันหลังวาบ ๆ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่แฝงด้วยอันตรายเต็มเปี่ยม



                     “แต่ว่า…ฉันชอบครึ่งนาทีนะ”



                                      ….…แล้วมันจะถามทำแป๊ะไรวะ??….



                     เข็มชี้ความเร็วบนหน้าปัดรถพุ่งกระดิกจนติดตัวเลขหลังสุด  แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง!!  คนไม่ชอบความเร็วหลับตาปี๋เกาะชายเสื้อของคนขับแน่น



                     เหวอ!!



                     ว๊าก….ใครก็ได้ช่วยด้วย  ผมไม่อยากต๊ายยยยยย….







    ++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++…++



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×