ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :Shadow Fantasy:

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของหายนะ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 48






    ตอนที่ 1  จุดเริ่มต้นของหายนะ



                 ….เนิ่นนานมาแล้ว  ที่แห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์  ถึงแม้จะเป็นที่ ๆ ไม่เคยมีดวงตะวันส่องให้เห็นความสว่าง  จะมีเพียงคบใต้ที่ส่องแสงให้ความสว่างไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า  ตอนกลางวัน  หรือกลางคืน



                 กองเศษซากปรักหักพัง  เศษอิฐก้อนน้อยใหญ่ไม่เคยถูกขนย้ายเคลื่อนหายไปไหนเคยกองอยู่อย่างใด  ก็อยู่อย่างนั้น



                 มีเพียงแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งที่ตั้งตรงท่ามกลางเศษซากปรักหักพังเหล่านั้น  รอบด้านมีอักขระโบราณสลักเป็นแถวยาวเรียงกัน  ตัวแผ่นศิลามีแต่รอยร้าวที่ยากเกินจะเยียวยา



                 ร่างในชุดคลุมสีดำ หมวกคลุมปิดใบหน้าทำให้มองไม่เห็นถึงดวงตาแฝงความเ-หิ้-ยมโหดเกินมนุษย์บนใบหน้าเรียบสงบ    เดินข้ามก้อนอิฐที่ระเกะระกะเข้าหาแผ่นศิลา



                 มือสองข้างวางราบสัมผัสกับแผ่นศิลารับรู้ได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่ส่งผ่านมาได้ดี  ริมฝีปากขมุบขมิบพึมพำบังเกิดเป็นแสงสีทะมึนรอบรอยนิ้วที่แตะแผ่นหินเย็น!!!



                 คำทำนายดังแว่วก้องเข้าโสตประสาทยิ่งเร่งเร้าแสงทะมึนให้ยิ่งขยายวงออกเรื่อย ๆ





                 “เจ้าผู้เกิดมาพร้อมพลังที่อสูรไม่มี  พลังวัตราอันยิ่งใหญ่จะปลดพันธนาการจ้าวอสูรให้ยิ่งใหญ่ผงาดเหนือตรีภพ  ทั่วธุลีดินจะยอมสยบแทบเท้าแห่งองค์รักษ์   จอมอสูร….”





                 แผ่นดินใต้เท้าสั่นไหวอย่างรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยพบพานมา  เสียงฟ้าคำรามเบื้องบนเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มผมดำถูกซอยสั้นรับใบหน้าเรียว  แว่นใสไร้กรอบขยับให้เข้าที่แหงนมองท้องฟ้า เสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีครีมถูกพับแขนถึงศอก  ทิ้งความสนใจต้นไม้เล็กออกดอกสีชมพูเป็นพวง   พร้อมกับที่พุ่มไม้ใหญ่สั่นอย่างประหลาดใบหน้าเข้มพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันโผล่มาก่อน



                 “เฮ้ย!  ไอ้วาทีแผ่นดินไหว ฟ้าร้อง  อย่างนี้สึนามิถล่มเมืองรอบสอง หรือแม่เจ้าคุณทูนหัวของแกเอาระเบิดมาลงวะ”



                 น้ำเสียงห้าวแทบจับความเป็นหญิงไม่ได้ร้องถามก่อนพาร่างออกจากพุ่มไม้อย่างยากลำบาก  นัยน์ตาสีน้ำเงินแหงนมองท้องฟ้าตามเด็กหนุ่ม



                 “สึนามิถล่มแม่น้ำโขงบ้านแม่แกมั้งไอ้เบียร์  พูดมาได้  รีบไปดูเร็วทางนั้นฟ้าผ่าผิดปกติตรงแถวตึกเก่า”



                 เขาว่าแล้วรีบเดินไปยังสถานที่น่าสงสัย!   คนถามโคลงหัวเล็กน้อยก่อนเร่งฝีเท้าตาม…



                 สองฝีเท้าหยุดชะงัก   ชักได้กลิ่นแปลกประหลาดลอยอบอวลตามอากาศ  ลางสังหรณ์ภายในใจเริ่มปะทุเป็นคำพูดจากคนใส่แว่นเหล่มองคนข้างกายส่งสายตาแปลกอย่างจับผิด



                 “ไอ้เบียร์  แกคงไม่แอบเอาตัวประหลาดมาซ่อนไว้แถวนี้อีกนะ”



                 คิ้วคนถูกจับผิดเลิกขึ้นสูง  ปฏิเสธเสียงลั่น        “ไม่มี๊!!!  เออคราวที่แล้วแกเอาน้องหมาของฉันไปปล่อยฉันยังไม่ได้ชำระความเลยนะเฟ้ย”



                 “หมาบ้านป้าแกตัวเท่าตึก  ไปไหนมีแต่คนกลัวมันไม่ใช่หมาแล้วไอ้…..   เฮ้อ!..ช่างเถอะแต่อย่าให้จับได้อีกนะแก  ไม่งั้น ต…า…ย.”



                 คำขู่หยุดชะงัก  นัยน์ตาดำสนิทจ้องผ่านแว่นใสก่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  หันไปคุยกับคนถูกขู่เสียงราบเรียบ



                 “แกบอกว่าแกอยากได้น้องหมาตัวใหม่ใช่ไหมวะ  ตามสบายเลือกเอาได้เลยหลายพันธุ์”



                 “ไม่ละขอบายก่อนละกัน  ขี้เกียจหาอาหารให้มันกิน”



                 คำตอบที่มากับเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ    เสียงขู่คำรามจากเจ้าร่างสี่ขาน้ำลายไหลยืดแยกเขี้ยวสีขาวคมวาวล้อสายตาคนมองให้นึกเสียวใส้   ท้องฟ้าแปรปรวนก็ไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงง่าย ๆ



                 “เฮ้ย!  ไอ้วาทีแข่งกันนับไหมว่าไอ้สี่ขาพวกนี้มันมีกี่ตัว”  



                 เสียงท้าอย่างนึกสนุกจากคนนัยน์ตาน้ำเงินชวน เรียกรอยยิ้มอีกฝ่าย



                 “แต่แกตกเลขนี่หว่า?? เดี๋ยวจะหาว่าฉันได้เปรียบแกเกิน”



                 “ไม่มีใครว่าร็อก!!  มีกันแค่นี้ฉันกับแก  ว่าไง…โอเค..หรือ..โนเค..”     รอยยิ้มพรายเต็มใบหน้าคนว่า  วาทีขยับแว่นใสให้เข้าที่



                 “มันก็ …โอเค..อยู่แล้ว ……ดาบคลื่นฟ้าวายุเวทย์….”



                 ดาบเรียวยาวสีเขียวอ่อน  รอยหยักเป็นแฉกพร้อมใบมีดสองด้านอาบด้วยกลิ่นแห่งวายุเต็มเปี่ยม  ด้ามของดาบถูกสลักเป็นอักขระโบราณชนิดเดียวกับที่มีในแผ่นหิน  ส่วนแหลมที่ยื่นออกตรงด้ามโค้งมนล้อมรอบประกายอัญมณีที่ฝังอยู่ปลายด้าม



                 “ศรศิลป์กัมปนาท”    อีกคนไม่ยอมแพ้เรียกศาสตราประจำตัวมาบ้าง   คันศรเล่มยาวส่องประกายสีเงินวาววับ  ขนาดใหญ่เกือบจะเท่าเจ้าของ  ปลายแฉกทั้งสองด้านกลับคมเหมือนใบมีดหยักงอเหมือนกริช  



                 แสงของมันล่อดวงตาวาวจากเจ้าสี่ขาน้ำลายยืดที่ยืนล้อมให้วิ่งกระโจนเข้าหาอย่างไม่ต้องรอคำสั่ง



                 ฟึ่บ!!…..ฉัวะ ๆ ๆ ๆ



                 “1…2…3…4…5……..8…9….10”



                              “11………15….19…………….”



                 เสียงนับเลขจากทั้งคู่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสี่ขาเขี้ยวยาวที่สลายหายกลายเป็นธาตุอากาศ  ตวัดอาวุธเพียงครั้งศัตรูล้มตายนับสิบ



                 สายสายลมพัดอื้ออึงแรงขึ้นราวกับว่ากำลังจะเกิดพายุใหญ่  ผสมกับสายฟ้าฟาดจนธรณีสั่นสะเทือน    รอยเลือดดำยังฝังลึกในศาสตราส่งกลิ่นคาวลอยอบอวลไปทั่ว



                 “สองร้อยสามสิบ”   คนชวนเรียนเลขนอกโรงเรียนว่า  กังวลลึก ๆ กับคำบอกของอีกฝ่าย



                 “สองร้อยห้าสิบ”  เด็กหนุ่มพูดอย่างมีชัยเหนือกว่า  พลางเตะเศษซากของขาข้างหนึ่งไปอีกทาง  “ห้องน้ำสองอาทิตย์ฉันยกให้แก…..ล้าง”



                 ว่าแล้วถ้ามันทำสีหน้าอย่างนี้…มันชนะอีกแล้ว  เฮ้อ!  เซ็ง!!



                 “หนึ่งอาทิตย์เถ้อ”   คนแพ้ต่อรอง



                              ครึนนนน!!!



                 ก่อนจะได้พูดอะไรมากกว่านั้นผืนดินที่ยืนก็สั่นสะเทือนใหญ่กว่าทุกครั้ง  สองร่างซวนเซไปมาก่อนตั้งสติได้แหงนมองเมฆดำก้อนใหญ่ที่ลอยต่ำรวมตัวโดยมีตึกร้างเก่าเป็นศูนย์กลาง



                 “มันเกิดอะไรขึ้นวะ??”   เบียร์มองเหตุการณ์รอบ ๆ อย่างงุนงง



                 จู่ ๆ เศษซากร่างเจ้าอสูรสี่ขากลับกลายเป็นละอองสีดำพวยพุ่งขึ้นรวมเป็นกลุ่มก้อนบนอากาศแล้วลอยหายเข้าไปในชั้นใต้ดินที่ถูกกลบฝังไว้ใต้ซากอาคาร



                 “ตามไปดูก็คงจะรู้..เร็ว”



                 เด็กหนุ่มวิ่งนำไปก่อน  กระโดดข้ามเสาเหล็กที่หักกลางคั่นทางเดินไว้  จนกระทั่งเห็นประตูที่พาเข้าชั้นใต้ดิน  บานพับประตูเสียห้อยรุ่งริ่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อต้องลม  



                 เสียงสวดมนต์พึมพำแปลกหูเขาหยุดชะงักเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ   คนข้างเขาทำหน้าตะหงิด ๆ แปลภาษานี้ไม่ออก  เวลาผ่านไปซักพักสำนึกหนึ่งวาบเข้าในหัว   ร้องตะโกนออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย



                 “แท่นศิลา”



                 ไม่ต้องมีคำปรึกษากันอีกต่อไป  สองหนุ่มสาวกระโจนลงห้องมืดที่เหลือเพียงแสงไฟจากดวงไฟเล็ก ๆ ลอยไปมารอบห้องโถงใหญ่  ร่างปริศนาภายใต้ชุดคลุมสีดำยังยืนจับแท่นศิลาสวมมนต์รอบ ๆ ตัวมีไอดำทะมึนคล้ายเป็นเกราะป้องกัน  ไม่คิดจะสนใจผู้มาใหม่



                 “หยุดนะ”    



                 วาทีตะโกนสั่ง  คนถูกสั่งกลับไม่หยุดริมฝีปากยังคงพึมพำจับใจความไม่ได้เหมือนเดิม   ผิดแต่แขนข้างหนึ่งสะบัดบางสิ่งพุ่งเข้าหาผู้มาใหม่



                 ฟ้าวววว!!!….



                 สองผู้คิดขัดขวางกระโดดหลบว่องไว  แล้วสะบัดอาวุธเข้าต้าน  ละอองไอกลับรวมตัวกันกลายเป็นเป็นอสูรขนาดใหญ่  เท้าทั้งสี่ลอยแตะอากาศ  เขี้ยวแหลมยาวส่งเสียงโหยหวนก้องไปทั่วห้อง



                              โฮกกกกกก!!!



                 “โฮ้ว!….นี่มันตัวแม่ของไอ้สี่ขาข้างนอกหรือไงฟะ!!  ตัวใหญ่ชิบ….”



                 เบียร์เผลออุทาน  กำศรศิลป์กัมปนาทแน่นในมือตั้งท่าพร้อมสู้



                 “…………….”



                 ไม่มีคำใด ๆ หลุดจากปากของเด็กหนุ่ม   ที่วิ่งเข้าจัดการเจ้าตัวประหลาดใหญ่ยักษ์นั่นก่อนแล้ว  



                 ดาบสีเขียวอ่อนในมือตวัดฟาดผ่าร่างออกเป็นสองซีกกลายเป็นเพียงละอองควันแล้วรวมเป็นรูปร่างขึ้นใหม่  ร้องคำรามเป็นไอดำลอยวนเข้าหาคนตัดผ่าร่าง



                 ฟุ่บ!!



                 วิ้วววว~~~…..



                 ลายลมหมุนวนรอบตัวคนเรียก  ดาบแกร่งในมือปัดไอดำให้พ้นตัวพร้อมกันนั้นสร้างพายุเป็นม่านป้องกัน  เบียร์มองดูอยู่นานก็เข้าร่วมวง  เรียกพลังศรแห่งสายฟ้าลูกดอกหลุดจากแหล่งพร้อมกันกับที่เสียงคำรนจากเบื้องบนนภาดังแว่วเข้ามาเป็นระยะ ๆ



                 เปรี้ยง!! ๆ ๆ ๆ



                 ศรสายฟ้าพุ่งวาบเข้ากลางลำตัวสัตว์อสูรแล้วหยุดนิ่งอยู่ในกายก่อนระเบิดเป็นแสงจ้าพร้อมพลังที่อัดแน่นในศรสายฟ้า



                 วาบ!!…บรึ้ม!!!



                           “วายุคำราม  นภากาศเปลี่ยนแปร”



                 ลมพายุระดับเฮอริเคนหมุนวนรอบไอดำที่กำลังจะสลายรวมตัวกับอากาศถูกกักขังให้อยู่กับที่  ศรอีกชุดใหญ่จากแหล่งในมือหญิงสาวพุ่งวาบเข้าหาลมเฮอริเคนสร้างเกราะม่านกันอีกชั้น  ไพ่ขอบเงินในมือชูวับล่อสายวัชระ



                 “แปรผันแห่งกาลเวลา  คมกล้าแห่งจอมเวทย์เรืองนาม  สมิงแห่งวารี  จงปรากฏนาม”



                 ฉันพลันไพ่เงินลอยขึ้นสูง  หมุนติ้วไม่หยุดสายน้ำที่ไม่รู้ที่มาไหลทะลักเข้ากลางห้องพร้อมการปรากฏตัวของสัตว์อสูรตัวสีฟ้าคราม  เดินบนน้ำหยุดยืนหน้าผู้เรียก



                 “จัดการแช่แข็งเจ้านั่นซะ”



                 สั่งเสียงเข้ม  มือเรียวชี้ไปยังจุดเกิดพายุเฮอริเคนมีร่างละอองถูกขังภายในนั้น  สมิงแห่งวารี  รับคำสั่งหันมองยังเบื้องบน  น้ำแข็งใสแผ่นบางขนาดเท่ามีดสั้นพุ่งจากปากเข้าเกาะเป้าหมายกลางอากาศจนกระทั่งมันถูกห่อหุ้มไร้ทางหนี  ไอเย็นแห่งสายน้ำยังรับรู้ได้จากตรงนี้



                           “เวทย์ศิลป์เพลิงพระกาฬ”



                 ศรศิลป์กัมปนาทลุกโพลงด้วยเปลวไฟ  ตั้งจิตมั่นลูกศรแห่งอัคคีพุ่งจากแหล่งปะทะเข้ากับก้อนน้ำแข็งกลางอากาศ  ก่อนแตกปริสูญสลายพร้อมอากาศธาตุ



                 ดวงตาหกข้าง สองคนหนึ่งสัตว์อสูร เพ่งมองร่างปริศนาที่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด  ไม่แม้แต่สายฟ้า  สายน้ำหลากกระหน่ำ  หรือแม้แต่สายลมที่พัดแรง



                 สองหนุ่มสาวบุกเข้าประชิดพุ่งศาสตราเข้าหา  มือข้างหนึ่งยังคงแตะแผ่นศิลาไม่ยอมปล่อยมืออีกข้างก็ตวัดลมปราณซัดเข้าใส่สองร่างที่พุ่งมา  



                 ตวัดเพียงครั้งสองมนุษย์หนึ่งสัตว์อสูรก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า  ชัยชนะอันห่างไกลลิบเกินเอื้อมถึงก็ถามหาทางตัน



                 สายลมเบื้องบนแปรปรวนเมฆดำก้อนใหญ่หลั่งสายฝนชะล้างรอยเลือดบนร่างให้ไหลลงสู่พื้นพสุธา  เรี่ยวแรงที่เคยมีพลันลับหาย  สัตว์อสูรที่แกร่งกาจจ้าวแห่งวารีสูญสลายไปในพริบตา



                 “ไอ้บ้าเอ๊ย!!…มันเป็นตัวอะไรวะซัดจนหมดเแม็กมันไม่ขยับซักนิด”     เสียงโวยจากร่างหญิงใจห้าว  ผมดำเปียกลู่ติดกับร่าง  



                 ฝนเทกระหน่ำพร้อมลมพัดอื้ออึงทำเอาตาพร่ามองเหตุการณ์ข้างหน้าเกิน 4 เมตรแทบไม่ได้  มือซ้ายจับแผลใหญ่กลางอกทรุดนั่งจ้องมองเด็กหนุ่มซัดพลังดาบเข้าหาร่างในชุดคลุมสีดำ  สายฝนไม่อาจแม้แต่จะแตะต้องชายผ้าคลุม  ม่านป้องกันแสนแข็งแกร่ง  ดูปั๊บรู้ว่าไม่มีทาง….ชนะ….ผู้นี้



                           “วายุเรืองเดช  เวทย์แห่งคำสัตย์  พลังอันแกร่งกล้าจงบังเกิดแก่ข้าผู้นี้ด้วยเถิด…โอม…”



                 พริบตาม่านปราการของเด็กหนุ่มรวมตัวกันเป็นก้อนพลังยิ่งใหญ่ปลายดาบ  เขารวบพลังเฮือกสุดท้ายสะบัดเวทย์ครั้งสุดท้าย



                 ได้ผล…..!!!



                 ร่างปริศนาถูกกระแทกปลิวจากศิลาศักดิ์สิทธิ์  นอนแน่นิ่งไม่ขยับ  วาทีเข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อดูว่าเจ้าคนนี้เป็นใคร



                 ปึก!!!



                 ผ้าคลุมหน้าหลุดจากใบหน้า  ดวงตาดำสนิทหลังแว่นตาใสเบิกกว้างก่อนถูกซัดด้วยฝ่ามือปลิวละลิ่วตกกระแทกแผ่นหินใหญ่ที่กองไม่เป็นระเบียบกระอักเลือดลิ่มโต



                 ร่างปริศนาลุกขึ้นยืน  นัยน์ตาดำสนิทไร้แววแห่งความปราณีแสดงความเรียบเฉยเสียจนคนมองเสียววาบลึกเข้ากลางใจ  ใบหน้าเรียวมนดังไข่เรียบเฉยผมดำขลับยาวสยายปลิวตามแรงลม  ร่างกายเธอหยุดชะงักกลางคันศรที่ถืออยู่ทำท่าจะหลุดจากมือ  นึกกลัวดวงตาคู่นี้ขึ้นมาซะเฉย ๆ  



                 ลูกไฟดำทมิฬกลางฝ่ามืออัดแน่นด้วยเสียงร้องโหยหวนข้างใน  ซัดเข้าใส่ร่างเด็กสาวใกล้ตัวถูกกระแทกปลิวไปไกลหลายเมตร  โสตประสาทได้ยินแต่เสียงร้องอันแสนน่าชังทนฝืนไม่ไหว  สติสุดท้ายดับวูบ!!





                              …….เป็นไป    ไม่ได้….



                 เสียงร่ำร้องภายในจิตของเด็กหนุ่ม  พยุงร่างลุกขึ้นยืนซวนเซไปมา  มองร่างในชุดคลุมสีดำอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  รอยเลือดยังติดที่มุมปาก  ไม่สนใจลูกไฟทมิฬอีกลูกที่ตามมา







                               ……..น้องของพี่…..

                                        ‘อยากปกป้อง…….ปลอบโยน’





                                                   ….เคยอ่อนโยน…



    ตูม!!



       ‘อยากจะดูแล  …..มอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้’



                                          ……ไม่ใช่!!!……….





    +  +  +  +  +  +  +  +  +  +



                 ร่างปริศนาเดินเข้าหาแท่นศิลา  ค้อมศีรษะลงต่ำทำความเคารพแสงวูบวามที่ขึ้นแทนที่ศิลา  ก่อนปรากฏร่างบุรุษนิรนาม  ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้ท้องฟ้าทะมึน  ดวงตาน้ำเงินอมม่วงตัดกับผิว  ผมดำหยักโศกรับกับใบหน้าอันหล่อเหลา



                 ความมืดจากทุกแห่งรวมกันยังไม่เทียบเท่ากับการได้อยู่ใกล้คนผู้นี้เพียงวินาทีเดียว



                            ……ดวงตาคู่นั้น…..น่ากลัว



                                                                                        ……รอยยิ้ม…ที่แสนชิงชัง    



                                                     คล้ายจะเหยียดหยันทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้



                 ร่างที่ก้มทำความเคารพเอ่ยเสียงเรียบ  ทำนองเสียงก้องกังวาล



                 “ขอต้อนรับการกลับคืนสู่อิสรภาพ…  ท่านจ้าวอสูร”



                 “ถ้างั้นข้าก็คงต้องฉลองด้วยเสียงหัวเราะที่ข้าชื่นชอบสินะ  หึ หึ หึ”







                 เสียงหัวเราะก้องทั่วนภา  ใบไม้สีเขียวกลับเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว  ทุกที่ที่เสียงหัวเราะดังไปถึงลางหายนะก็แผ่ผ่านตลบอบอวลไปด้วย



                 มือซ้ายลูบไล้ใบหน้า  ไอทะมึนที่ใหญ่กว่าคนก้มเคารพ  ยิ่งใหญ่กว่าเกินจะพร่ำพรรณาได้แผ่พุ่งเกือบจะคลอบคลุม  ดวงตาม่วงแกมน้ำเงินยิ้มแฝงประกายแห่งการแก้แค้นไว้เต็มเปี่ยม



                 …….เทพฤทธิ์เอ๋ย!!  ข้ากลับมาแล้ว    



                                      …….องค์มหาเทพเอ๋ย!!  เตรียมใจพ่ายแพ้เสียเถิด  ฮ่า ฮ่า ฮ่า





                 วูม!!!  บรึ้ม!!!!……



                 ราวกับขีปนาวุธลงทีเดียวหลายร้อยลูกพร้อมกัน  ผืนแผ่นดินห่างไปไกลสิบกว่าโยชน์ระเบิดเป็นรูบุ๋มวงกว้าง  ความเสียหายมากเกินจะพรรณนา  เพียงเสียงหัวเราะของคนยืนอยู่ใจกลาง…แค่เสียงหัวเราะ



                 ยังกรีดลึกบาดใจ…





                 สองร่างลอยคว้างกลางอากาศพร้อมเสียงหัวเราะก้องนภา  มองดูความวายวอดเบื้องหน้าอย่างสะใจ  เสียงร่ำให้ดังแผ่วแว่วยิ่งให้เสียงหัวเราะดังก้องยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ   ร่างในชุดคลุมเพียงก้มหน้าสงบนิ่งเหมือนเคย  แม้ดวงตาจะฉายประกายที่แปลกไป



                 ที่….



                                       …..ไม่ใช่…มนุษย์!!!





    +=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+=+



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×