ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เก็บของงงง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 :

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 55


     

              สองเดือนที่ไม่มีเธอ หัวหน้าห้องก็ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ครูบอกแค่ว่าเธอประสบอุบัติเหตุรถชนและพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนแรกห้องก็ดูเงียบเหงาบ้างเล็กน้อย ก่อนจากกลับมาสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิมตามประสาเด็ก

              ประตูห้องเรียนถูกเปิดขึ้นหลังจากเริ่มต้นโฮมรูมได้นิดหน่อย ผู้ปกครองคนหนึ่งได้เข้ามาพูดอะไรสักอย่างกับคุณครูประจำชั้น ก่อนจะกลับออกไปนอกห้องและเข็นรถเข็นเข้ามา รถเข็นที่มีเด็กหญิงอดีตหัวหน้าห้องนั่งอยู่ เธอยิ้มให้กับเพื่อนๆ หน้าตาของเธอยังสดใสเหมือนเคย ดูแล้วแข็งแรงดีผิดแต่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น

              "นักเรียนจ๊ะ เรย์กลับมาแล้วนะ แต่ว่าขาเธอยังเดินไม่ได้ ขอให้นักเรียนช่วยกันดูแลเธอด้วยนะ เข้าใจไหม"นักเรียนขานรับคำ ครับ/ค่ะคุณครู ชัดแจ๋ว พร้อมๆกับที่ทุกคนวิ่งกรูกันไปห้อมล้อมเธอด้วยความคิดถึง ยกเว้นผมที่นั่งอยู่ที่เดิม

              "เรย์ เป็นยังไงบ้างหรอ"

              "คิดถึงจังเลย"

              "เราเหงามากเลยล่ะ"

              ทุกคนรุมถามพร้อมๆกันจนเด็กหญิงตอบแทบไม่ทัน

              "เอ่อ...เราไม่เป็นไรแล้ว ไม่เจ็บแล้วล่ะ แต่ยังเดินไม่ได้น่ะ..."เรย์ตอบ

              "ไม่เป็นไรนะ ฉันจะเข็นเธอให้เอง!"

              "ไม่ได้นะ เราจะเข็น"

              "ฉันบอกก่อนนะ!"

              "อย่าเถียงกันน่ะ สลับกันเข็นก็ได้นี่นา"เรย์หัวเราะ ยิ้มให้เพื่อนๆที่อยู่รายล้อม เธอสังเกตเห็นผมที่นั่นอยู่ที่โต๊ะไม่ได้เข้าไปหาเธอ เราสบตากันแปบเดียว ผมไม่ได้ยิ้มให้เธอ

              "เอ้า!! นักเรียนนั่งที่ได้แล้วนะ"ครูดุเมื่อนักเรียนเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ "เรย์จ๊ะ คือหัวหน้าห้องครูเปลี่ยนใหม่แล้วนะ เรย์อยากกลับมาเป็นรึเปล่า แต่ครูว่าไม่สะดวกเพราะเธอเดินไม่ได้ใช่ไหมจ๊ะ"ครูถามด้วยเสียงอ่อนโยน

              "...ค่ะ"เธอตอบรับ และนั่นอาจเป็นความปวดร้าวแรกที่เธอได้รับ...

              ผมมองดูเธอทุกวัน ตลอดทั้งเทอมที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น เพื่อนๆที่รุมล้อมเธอค่อยๆลดน้อยลง รถเข็นของเธอที่เพื่อนๆแย่งกันเข็นก็เกี่ยงกันให้คนอื่น มันคือความเป็นจริงที่เธอเป็นภาระ ไม่มีใครอยากรับภาระของคนอื่นมาเป็นของตนเองหรอก

              "เรย์จะหายเมื่อไหร่หรอ"

              "ทำไมยังเดินไม่ได้ล่ะ"

              เรย์เงียบไป สีหน้าซีดเซียวของเธอแทนคำตอบได้ดี แน่นอนไม่มีใครเข้าใจเธอ แต่เธอเลือกที่จะตอบว่าไม่รู้เบาๆแทน ตอนนั้นผมรู้ทันทีว่าเธอจะกลับมาเดินไม่ได้อีกแล้ว เมื่อถึงช่วงพักเที่ยง เพื่อนๆต่างรีบไปโรงอาหาร

              "เรย์ ฉันจะรีบไปจองโต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวฉันค่อยกลับมารับเธอนะ"

              "อืม" เรย์ตอบสั้นๆก่อนกลุ่มเพื่อนจะผละจากเธอไป

              เพื่อนทยอยกันออกจากห้องจนหมด เหลือแค่ห้องเงียบๆมืดๆที่มีผมกับเธอ ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมไม่สามารถทิ้งให้เธออยู่คนเดียวได้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เรานั่งกันอยู่ในห้อง ความเงียบกับความมืดเหมือนทวีการรอคอยที่ไม่มีที่สิ้นสุด จนในที่สุดผมตัดสินใจลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปหาเธอ

              "นี่..."

              เธอสะดุ้งเล็กน้อย เหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง คงไม่รู้ว่าเหลือผมอยู่ในห้องด้วย "ให้เราช่วยเข็นเธอไปโรงอาหารนะ"สายตาของเธอมองผมเหมือนระแวง แต่เธอก็ก้มหน้าตอบ 'อือ' เบาๆในคอ

              ผมเข็นเธอไปทางระเบียงอาคารเรียน ห้องของเราอยู่ชั้นหนึ่งเหมือนกับโรงอาหารแต่ก็ไกลจากโรงอาหารพอสมควร ระหว่างทางก็เป็นห้องเรียนร้างๆ ผมไม่พูดอะไรกับเธอ ส่วนเธอก็เหมือนจะพูดอะไรหลายครั้งแต่ก็ไม่พูดมันออกมา จนผมเข็นมาจนถึงหน้าโรงอาหาร

              "เราขอส่งแค่นี้นะ"ผมบอกเธอหลังจากที่เข็นรถชะลอลง

              "อืม..."เธอตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาโดยที่ไม่มองหน้าผม

     

              วันต่อมาเพื่อนๆก็บอกเธอเหมือนเดิม

              "เรย์ เรารีบไปจองโต๊ะก่อนนะ เมื่อวานไอริขอโทษนะที่ลืมเธอ วันนี้ไอริจะไม่ลืมจริงๆน้า"ไอริพูดด้วยเสียงออดอ้อนเหมือนเธอจะเป็นเพื่อนสนิดของเรย์ที่สุด ดูเธอพยายามอ้อนเต็มที่ คิดว่าการเปลี่ยนเป็นใช้ชื่อเล่นแทนตัวเองจะทำให้เธอน่ารักขึ้นละมั้ง เพื่อนๆคนอื่นๆก็มารุมเธอกันใหญ่เหมือนกัน เรย์ก็ยิ้มให้บอกว่าเธอไม่ได้โกรธเลย เพื่อนๆก็จากไปทิ้งให้เธออยู่ในห้องเงียบๆเหมือนเดิม แต่คราวนี้เพียงแค่ไม่กี่นาที ผมก็ตัดสินใจลุกไปหาเธอ

              "เดี๋ยวเราเข็นไปให้"

              "ไม่เป็นไร... เดี๋ยวเพื่อนฉันก็มา" เธอพูดเสียงแข็ง แต่ผมเองเข็นทันทีโดยไม่ฟังคำตอบ เธอเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ระหว่างทางพวกเราก็เงียบเหมือนเดิมจนกระทั่งเข็นไปได้สักครึ่งทางเธอก็เริ่มชวนผมคุย

              "นาย...ไม่กินข้าวหรอ"เธอถาม "เอ่อ...ก็เมื่อวานเห็นเดินกลับไปน่ะ"

              "อืม ไม่กิน"ผมตอบสั้นๆทั้งๆที่เธอดูตั้งใจจะชวนผมคุย เพราะผมไม่รู้จะคุยอะไรให้มันยืดยาวกับเธอ จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกจนถึงโรงอาหาร "เราขอส่งตรงนี้นะ" ผมพูดและเดินกลับเหมือนเดิม

              "เอ๊ะ! เดี๋ยว"เธอร้องทันทีที่ผมหันหลังกำลังจะไป "ช่วยเข็นไปส่งข้างในหน่อยได้ไหม คนมันเยอะ เราเข็นไม่ถนัดอะ..."เสียงเธอแผ่วๆ ดูอายๆไม่มั่นใจผิดกับตอนเป็นหัวหน้าห้อง  ผมหลุดยิ้มออกมานิดหน่อยนั่นทำให้เธอดูไม่มั่นใจเข้าไปอีก

              "ได้อยู่แล้ว"ผมตอบรับ "แต่เธออาจจะโดนล้อไปด้วยนะ"ผมพูดประโยคต่อมาด้วยเสียงเบา ผมเข็นเข้าไป เสียงนักเรียนจอกแจ๊กจากโรงอาหารกลบเสียงของเธอที่เหมือนจะถามอะไรสักอย่างกับผม โรงอาหารมีโต๊ะไม้ยาวเรียงกันเป็นแถวๆมีเด็กๆนั่งกันเต็มไปหมด ทั้งกิน เล่นเกม เม้าส์กับเพื่อนๆ ชั่งเป็นกิจกรรมที่น่ารำคาญไม่ว่าอะไรก็ดูโหวกเหวกทะลวงโสตประสาทผมเหลือเกิน ผมเจอกลุ่มเพื่อนของเธอที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่เกือบโต๊ะสุดท้าย เมื่อเจอหน้าเรย์ก็พากันตกใจ

              "อะ...เรย์! ฉันขอโทษ" เพื่อนๆรีบลุกขึ้นยืนกันใหญ่ "ขอโทษนะ ฉันลืมไปเลยอะ! มากินข้าวด้วยกันนะ"  ไอริเข้ามาจะเข็นรถของเธอ และนั่นไอริกับเพื่อนๆเธอถึงสังเกตว่ามีผมอยู่ตรงนั้น

              "แกมาไงอะ ไปไกลๆไป"ไอริมองหน้าผมเหยียดๆ ไม่ไล่ก็ไปอยู่แล้ว ผมปล่อยมือจากรถเข็นก่อนจะหันหลังกลับ

              "เค้าเข็นมาส่งฉันน่ะ"เรย์บอก ผมจากไปไกลแล้วแต่ก็ได้ยินเสียงไล่หลังราวแกล้งตะโกนให้ผมได้ยิน

              "เรย์อย่าไปยุ่งกับมันนะ มันน่ะไม่มีใครคบ"

              "ใช่ๆมันไม่มีพ่อแม่ด้วยนะ"

              "ชอบทำตัวแปลกๆ น่าขยะแขยงอะ"

              วันต่อมาก็เหมือนเดิม ผมอาสาเข็นเธอไปให้ เธอปฏิเสธบอกว่าจะรอเพื่อน เมื่อผมพยายามที่จะเข็นเธอ เธอก็ตวาดผม แต่ผมก็ไม่อาจทิ้งเธอไว้คนเดียวได้ผมไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่นัก ผมลากเก้าอี้ข้างๆเธอแล้วนั่งลง  เวลาผ่านไปนานเพื่อนของเธอก็ยังคงไม่มา

              เธอก้มตัวลง เอามือทั้งสองปิดหน้า ไหล่ของเธอสั่นเทา...

              "ขอ....ร้องล่ะ"เสียงเธอทั้งเบาและขาดห้วง แต่ก็ชัดเจนและก้องในห้องที่เงียบสนิด "ช่วยเข็นฉัน...ไปที" ผมเข็นเธอไปทั้งอย่างนั้น เธอยังคงเอามือปิดหน้าอยู่ เสียงสะอื้นที่เธอพยายามจะข่มไว้ให้ได้ยินเพียงระลอกเท่านั้น ตัวตนของเธอตอนนี้ดูบอบบางเหลือเกินจากที่เคยเป็น

              ผมดีใจนิดๆที่เธอขอร้องและถึงเธอเกลียดผมแล้วก็ใช่ความผมจะเสียใจอะไร ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมหลุดพ้นจากความเบื่อหน่ายของโลกใบนี้ได้หรอก

              "ให้เราส่งตรงไหน"ผมไม่รู้เมื่อวานเธอจะโลนล้ออะไรบ้างไหม

              "ตรง...ที่ๆนายสบายใจ..." เธอหมายถึงหน้าโรงอาหาร เธอที่เอามือปิดหน้าอยู่ก็พบว่าเสียงจากโรงอาหารนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าได้ยินเสียงจากทุกทิศทาง ผมพาเธอเข้ามาในโรงอาหาร เธอเงยหน้าขึ้นด้วยตกใจแล้วเอี้ยวตัวมามองผม "ก็บอกว่าตรงที่ๆนายสบายใจไง"

              "ก็นี่ไง"

              "ต้องหน้าโรงอาหารสิ!" ตาแดงๆของเธอมองผมแบบรั้นๆ ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้อีกแล้วรู้สึกว่าเธอดูตลกดี

              “ก็นี่แหละ... คนมันเยอะเธอเข็นลำบากไม่ใช่หรอผมเข็นเธอไปจนถึงโต๊ะ เธอไม่ได้หันกลับมาอีก ผมไม่ได้เห็นสีหน้าของเธอ

              “เรย์! เราลืมอีกแล้วขอโทษนะทุกอย่างเหมือนวนหลูบ ไอริก็โกหกซ้ำๆซากรวมถึงเพื่อนๆคนอื่นๆด้วย ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ ไม่มีใครอยากช่วยเหลือเรย์ที่เดินไม่ได้ แต่กลับอยากพึ่งสมองที่เรียนดีของเธอ ทุกคนล้วนอยากพึ่งพิงคนอื่นแต่ไม่อยากถูกพึ่งพิง แล้วเพื่อนๆก็รุมว่าผมตบท้ายเหมือนเดิม ซึ่งผมก็ไม่อาจทราบได้ว่าการกระแหนะกระเหนคนอื่นมันช่วยยกตัวเองให้สูงขึ้น หรือสร้างคุณค่าให้กับตัวเองขึ้นตรงไหน

              “บอกแล้วไงว่าอยากไปยุ่งกับมันอะ

              “มันน่ะไม่มีพ่อแ...

              “วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว!”เรย์โผล่ออกมา เสียงดัง

              ก็อย่างที่ผมคิด เพราะเธอไม่มีใครเข็นต่างหาก เธอเลยให้ผมเข็น จริงๆแล้วคนอย่างผมก็ไม่ได้น่าคบเลยสักนิด ผมเดินไกลออกไป ผมไม่ได้ยินเสียงเธออีก

     

             วันต่อมาพักเที่ยงเด็กๆทยอยออกจากห้อง เหลือผมกับเธอ ผมรอสักพักจึงตัดสินใจเดินตามคนอื่นๆออกไป

              “นี่นายน่ะครั้งแรกที่เธอเรียกผม  ผมเงียบหยุดมองเธอจากประตูหน้าห้อง ขอบคุณนะ ยังไม่เคยได้ขอบคุณเลยขอโทษที่เพื่อนพูดจาไม่ดีนะเธอยิ้มจางๆให้ อาจะไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เป็นยิ้มจากใจที่แสดงให้เห็นว่าเธอไม่รังเกียจผมเลย

             ผมสบตาเธอนิ่งไปพักหนึ่ง จะไปโรงอาหารไหม

             “เปล่า เราไม่ไปแล้ว เราไม่อยากไปวันสุดที่ท้ายที่เธอบอกกลับหมายถึงวันสุดท้ายที่เธอจะไปโรงอาหาร

              “...”ผมเดินเข้าใกล้ๆแล้วนั่งลงโต๊ะเรียนข้างๆเธอ แล้วจะไปไหนดีล่ะ

              “ฉันไม่รู้

              ผมไม่อยากปล่อยให้เธออยู่ในห้องมืดๆเงียบๆนานกว่านี้ ผมตัดสินใจเข็นเธอมากจากห้อง ผมเข็นพาเธอไปยังข้างหลังตึกเรียนเก่า ที่นี่เป็นสวนเล็กๆร้างคน ไม้ยืนต้นอวบหนาดูมีอายุหลายสิบปี หญ้ารกเรื้อไม่ได้รับการดูแล

             “ตอนกลางวันเราอยู่ที่นี่ผมพูดไประหว่างล็อกล้อรถเข็นให้เธอ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่เราชอบมองออกไปข้างนอกน่ะผมชี้ให้เธอดูหลังรั้วที่ขาวผุๆของโรงเรียนที่เป็นที่ว่าง ทุ่งโล่งๆสีเขียวสดตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า สวยสมเป็นฤดูร้อน มีทะเลสาบกว้าง ใสจนสะท้อนเมฆบนท้องฟ้าราวกับกระจก ดูเหมือนภาพวาด ราวกับความฝันที่มีทิวทัศน์แบบนี้อยู่ข้างๆโรงเรียน ผมลดตัวลงนั่งข้างๆเธอ เธอไม่ได้พูดอะไรเลยกำลังมองรั้วแผ่นหนึ่งที่เหมือนแค่วางพาดอยู่ ตามมาด้วยมองหน้าผมต่อ

              “...ก็ ออกไปนานๆครั้งเธอทำตาดุใส่ผม ไม่ได้ไปทุกวันหรอกน่ะผมหันหลังให้เธออดที่จะหัวเราะไม่ได้ที่ตอนนี้เธอก็ยังทำตัวเหมือนคุณครูอยู่

              “แล้วนี่ไม่กินข้าวหรอกผมถามยิ้มๆมองหน้าเธอที่ยังหรี่ตามองผมอยู่

              “อืม ไม่กินเธอตอบห้วนๆเลียนแบบผมก่อนหน้านั้น แต่ไม่เนียนเท่าไหร่หลังจากกลั้นหัวเราะอยู่นานเธอก็หัวเราะออกมาจนได้

              ผมหยิบดินสอกับสมุดห่วงเล่มเล็กๆออกมาแล้วนั่งลงข้างๆเธอ

              “เราชอบวาดรูปน่ะ

              “ขอดูสมุดหน่อยได้ไหมเธอก้มหน้ามาหาผมอยากสนใจ ผมยื่นให้เธอ ที่นี่ที่ไหนหรอผมยืนขึ้นเพื่อดูรูปไปพร้อมๆกันเธอ เธอชี้ไปยังรูปป่าที่มีต้นไม้ต้นใหญ่ๆมีแปลกๆ มีลำธารแล้วก็บ้านหลักเล็กๆที่รูปทรงแปลกตา

             “ไม่มีจริงหรอกเธอเปิดดูสมุดบนหน้าตักต่อไป เธอหลุบตาลงต่ำเผยให้เห็นขนตายาวของเธออย่างชัดเจนผมอดที่จะหยุดสายตามองไม่ได้ ภาพวาดของผมช่วงแรกๆเธอถามผมว่ามันคืออะไร ตอนหลังเธอก็เลิกถามเพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นที่ผมวาดไม่มีอะไรเลยที่มีอยู่จริง

              “นายเหงาไหมเรย์ถามโดนไม่สบตาผม เธอก้มหน้าดูรูปภาพของผมแต่ละรูปอย่างละเมียดละไม ลมเอื่อยๆพัดมา ผมสีน้ำตาลสวยของเธอพลิ้วตามแรงลม

              “ไม่เหงาหรอกผมเว้นระยะการตอบเพราะคำถามที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าผมจะเหงาหรือไม่ ยังไงผมก็ไม่อยากตอบว่าใช่เพื่อได้รับความเวทนาจากเธอ

              “หรอเธอดูจนถึงรูปสุดท้าย เธอปิดสมุดก่อนที่จะสบตาผม แต่ภาพวาดนายเหงานะ

    เธอมองผ่านรั้วออกไป ผมไม่ได้พูดอะไร เล่าเรื่องของนายได้ไหมอยู่ๆเธอก็ถามขึ้น ผมไม่ได้ลำบากใจอะไรจึงตอบให้เธอทันที

              “บ้านเราอยู่ตรงหัวมุมถนนนั่นผมตอบ ใช่... สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะ จำได้เราก็อยู่ที่นั่นแล้วเรื่องของผมก็มีอยู่แค่นั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด

              “ฉันเองก็ไม่มีแม่ ฉันอยู่กับพ่อเธอก้มมองพื้น พ่อไม่มีเวลาให้ แต่ฉันดีใจที่ฉันยังมีเพื่อน ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะเป็นที่รักของเพื่อน เพราะเพื่อนคือทุกอย่างของฉัน

               มีเพื่อนเพราะไม่ให้คนอื่นล้อว่าไม่มีเพื่อนแค่นั้นหรอ”ผมยิ้มเหยียดๆ “ความเหงาหรอ ความกลัวว่าไม่มีเพื่อนแล้วโดนล้อหรอ หรือมีเพื่อนเพื่อใช้ประโยชน์ผมนึกถึงไอริเพื่อนของเธอขึ้นมาในหัว

              “บางทีคนเราก็ไม่รังเกียจที่จะถูกพึ่งพา แม้จะถูกพึ่งพาฝ่ายเดียว เพราะเราอยากมีคุณค่ากับคนอื่น” เรย์เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม นั่นคือตัวของเธอ

              “เราไม่ต้องการ ความสัมพันธ์แบบนั้น” ตัวเธอฝืนตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของทุกคนเพื่อเติมเต็มที่ว่างในหัวใจของเธอ

              “ฮะ ฮะ..นายนี่น้า...”เธอหัวเราะเบาๆ หรี่ตาลงเล็กน้อยมองผมก่อนจะกลับไปมองสมุดเหมือนเดิม “นี่ วาดรูปให้ฉันหน่อยสิ วาดหมาให้หน่อยนะ” เธอเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ผมวาดรูปตามคำสั่งระหว่างที่เธอเล่าเรื่องราวของเธอ ว่าเธอชอบสัตว์มากแค่ไหนแต่เธออยู่คอนโดทำให้ไม่สามารถเลี้ยงพวกมันได้ พวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อยปล่อยให้เวลาไหลไปช้าๆดั่งสายลมเอื่อยที่พัดอยู่ขณะนั้น

     

     

     

     

              เช้าวันใหม่ที่ยังคงน่าเบื่อเหมือนเดิมสำหรับผม กลับมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย นี่เป็นช่วงเวลาที่เพื่อนๆต่างรุมล้อมเรย์ ผมมองดูเธออยู่ไกลๆ

             “เรย์ช่วยทำข้อนี้ให้หน่อยสิ ฉันทำไม่ได้อะ”

             “เราด้วยๆ ข้อนี้ทำให้ทีสิ”

             เด็กๆแย่งกันยื่นการบ้านให้เรย์ช่วยเหลือ ทำเสียงโอยคราญกันใหญ่ บอกว่าพยายามทำแล้วทำไม่ได้ ทั้งๆที่หน้ากระดาษเหล่านั้นกลับโล่งสะอาด

             เธอหลุบตาลงต่ำ ถอนหายใจเบาๆ “ทำไมพวกเธอถึงไม่ลองพยายามดูด้วยตัวเองละ เธอยังไมได้ลองคิดเลยไม่ใช่หรอ”เรย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้ชัดสีหน้าใส่ ทุกคนดูตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่พอใจแล้วค่อยๆผละออกมาจากโต๊ะเธอ จากนั้นเรย์เอี้ยวตัวให้มายิ้มให้ผม...

     

     

     

     

     

     

    ผู้ชายตรงหน้าเหมือนอยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าฉัน ดวงตาที่เศร้าดูเลื่อนลอย รอยยิ้มของเขาดูเลือนราง เสียงหัวเราะเบาๆของเขาที่หลุดออกมาให้ได้ยินบ้างดูขมขื่น ดูเขาอาจจะเลือนหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ อาจะน่าเกลียดที่จะคิดว่าเขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้อย่างไร

     

    กลับกันภาพวาดของเขาชัดเจนจนน่าตกใจ แม้ว่าสิ่งที่เขาวาดเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง

    สถานที่ สัตว์ ต้นไม้ทั้งหลายดูแปลกตา เส้นหนักแน่นแต่ละเอียดอ่อนดูปราณีแต่ก็บีบคั้นด้วยแรงอารมณ์

     

    เขาอยู่ได้โดยจิตนาการ

     





         เวลามันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง และเวลาอีกเช่นกันที่ทำให้รู้ว่าบางสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
    ทุกอย่างยังคงเดิม

    กับความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอ

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×