Ufail The Assassin วิถีนักฆ่า - Ufail The Assassin วิถีนักฆ่า นิยาย Ufail The Assassin วิถีนักฆ่า : Dek-D.com - Writer

    Ufail The Assassin วิถีนักฆ่า

    ผู้เข้าชมรวม

    186

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    186

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ส.ค. 55 / 20:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





      ยุคสมัยที่ผ่านมาเนิ่นนานในกาลสมัยที่สงครามยังมีเพียงกระแสบ้าคลั่งแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทุกผืนดิน เสียงโลหะกระทบกันในสนามรบ เสียงโห่ร้องของทหารรับจ้างเรียกกำลังใจให้ตันดังพอกับเสียงกรีดร้องและเสียงกระดูกที่ถูกบดละเอียดด้วยเกือกม้า ถัดออกไปจากสนามรบเป็นพื้นที่ป่าทึบ ข้าอยู่ที่นั่นซ่อนตัวภายใต้ร่มไม้หนาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวในสนามรบ เสียงแตรสงครามดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าทัพเสริมของมิดแลนด์ได้มาถึง ภายใต้การนำทัพของอิฐสตรีธิดาผู้มากความสามารถของพระราชา ข้าเลื่อนสายตาไปยังกำแพงหินสูงตระหง่านสุดเขตของชายแดนอาณาจักรคอคัส ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังรู้ว่าป้อมปราการนั่นต้านไว้อย่างนานที่สุดก็อาจจะสักสามวันไม่เกินกว่านั้น

      ข้าตรวจดูสภาพความพร้อมของอุปกรณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนขยับผ้าขึ้นบังส่วนครึ่งล่างของใบหน้าปิดทับอีกชั้นด้วยผ้าคลุมศีรษะเปื้อนฝุ่นสีเทา ใช้ส้นเท้าเตะสีข้างม้าเบาๆบอกให้มันเริ่มเดิน ทางเข้าป้อมปราการมีอยู่สามทาง ทางแรกประตูหน้าที่ยกสะพานขึ้นขวางด้วยคลองกว้างยี่สิบเมตร ส่วนความลึกข้าไม่เคยวัด คิดว่าข้าคงไม่มีปัญญาตัดโซ่เหล็กหนาเป็นเมตรด้วยลูกดอกหน้าไม้เล็กๆได้แน่ ทางที่สองว่ายน้ำเข้าไปทางช่องลับกระแสน้ำนิ่งสนิทไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ปัญหาอยู่ที่ระยะทางและน้ำหนักชุดเกราะที่ทวีเพิ่มเป็นสามเท่าทันทีที่มันได้ไหลเข้าไปในเกราะเหล็กกล้าที่ว่ากันว่าทนนักทนหนา ส่วนตัวข้าแล้วไม่มีปัญหาแต่ข้ายังไม่มีอารมณ์เล่นน้ำ

      เจ้าอาชาสีหมอกวิ่งควบเข้าไปในสนามรบ ข้าค้อมตัวให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้เพื่อลดแรงต้านของลมและหลบลูกธนูที่ลอยว่อนอยู่บนท้องฟ้าเยอะยิ่งกว่าฝูงนกย้ายถิ่น การเข้ามาในกระแสสงครามเป็นเรื่องที่บ้ามาก ข้าอาจจะถูกทหารไม่ฝ่ายไหนก็ฝ่ายหนึ่งแทงด้วยหอกหรือยิงด้วยหน้าไม้

      ฝุบ

      ข้าคิดพลางซัดมีดสั้นที่คาดกับสายหนังบนข้อมือเข้าตรงคอหอยผ่านรอยต่อเล็กๆของหมวกเหล็กกับชุดเกราะ คราวหลังก็อย่าควบม้าเล็งหอกยาวมาทางนี้อีกข้าไม่ชอบ

       

      จะต้องไม่เป็นที่สะดุดตา ทำตัวราวกับภูตพรายล่องหน จำขึ้นใจว่าความมืดคือพี่น้องของเจ้า

       

      ข้าท่องได้ฝังหัวไม่มีสะดุดกับคำสอนที่ยึดถือในหมู่คนโลกเบื้องหลัง ถ้าให้เปรียบตอนนี้ข้าก็เหมือนล่องหนเพราะวินาทีนี้ไม่มีใครเห็นหัวสนใจข้าอยู่แล้วหรืออาจจะมีหลังจากที่ข้าเพิ่งขว้างมีดอีกเล่มใส่นายกองที่ชี้ดาบมาทางข้า ช่างเถอะ แล้วก็อีกอย่างนี่มันกลางวันแสกๆพี่น้องข้าคงไม่ช่วยอะไรในยามนี้หรอก

      เจ้าสีหมอกฝ่ากองทหารมานับสิบชนิดอีกฝ่ายเทียบไม่ติดฝุ่น ตัวกำแพงอยู่อีกไม่ไกล วิธีที่สามที่จะข้าไปในปราการนั้นได้คือปีนฟังไม่ผิดหรอก ปีนบนกำแพงสูงเกือบร้อยเมตรนั่นแหละ

      ฉับ

      ไอ้บัดซบ

      ข้าจ้องเขม็งไปยังอัศวินเกราะเงินบอกยี่ห้อทหารขุนนางของคอคัส มันสั่งให้ม้าหยุดชี้ดาบมาทางข้าแล้วทำท่าเชือดคอหลังจากที่มันเพิ่งทำเกราะเบาที่กำบังส่วนท้องของข้าบิ่น ข้าปลดสายคล้องโยนเกราะทิ้งลงกับพื้นไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่ลดลงเลยสักนิด

      ข้าชื่ออาลัน อัศวินผู้พิชิตสงครามแดนใต้ตัดหัวแม่ทัพใหญ่ของศัตรู อั่ก หลังจากที่ฟังมันพล่ามพอเป็นพิธีข้าหยิบหน้าไม้ที่สะพายด้านหลังออกมายิงเข้าเบ้าตามันไปหนึ่งนัด

      กะ แก!” ยังไม่ตาย? ทนทายาทกว่าที่คิดไว้ ข้าใส่ลูกดอกรั้งเอ็นหน้าไม้เล็กยิงเข้าตาอีกข้างของมันกลัวไม่ครบคู่ ตอนนี้เจ้าสีหมอกหยุดอยู่ตรงแนวหลังตรงประตูหน้าป้อม ให้เดาเจ้าสีหมอกคงอยากกระโดดข้ามท่อนซุงเหลาแหลมที่ตั้งเอียงรอเสียบตัวอะไรโง่ๆแถวนี้ใจจะขาดแต่ข้าเดาว่ามันคงไม่อยากลงไปในหลุมโคลนถัดไปอีกมากนัก

      แล้วเจอกันเพื่อนยาก หลังจากลงจากหลังและตบหลังมันเบาๆ เจ้าสีหมอกก็วิ่งอ้อมสนามรบไปอีกทาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงว่ามันจะถูกลูกดอกปักหัวเอา ข้ากระโดดข้ามบ่อโคลนมายังอีกฝั่งเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้ามาในค่ายทหารที่ตั้งกระโจมหน้าบึงเป็นแนวป้องกันสุดท้าย ต้องผ่านจุดนี้ไปแบบไม่ให้มีใครรู้ตัว

      เฮ้ เจ้าตรงนั้นน่ะ เยี่ยม ยังไม่ทันจะครบสิบก้าวก็ถูกเจอตัวแล้ว ข้าปลดสายสะพายหน้าไม้ออกยิงลูกดอกเข้ากลางหน้าผากของนายทหารผู้โชคร้ายถือว่าเจ้าซวยเองก็แล้วกัน ข้าขยับมาได้อีกสองก้าวก็ถูกทหารอีกสองนายชี้หน้าพร้อมวิ่งตรงมาทางนี้

      ข้าเล็งหน้าไม้ขึ้นขู่ ทหารสองคนนั้นไม่มีท่าทีหวาดกลัวยังคงวิ่งต่อมาเรื่อยๆคงคิดว่าถึงยิงไปก็โดนแค่คนเดียวส่วนอีกคนจะเข้าถึงตัวข้าได้สินะ

      คิดผิดไปนิดหนึ่ง

      ข้าหยิบหน้าไม้อีกอันที่คาดบนไหล่ขวาออกมาใส่ลูก ทหารสองคนนั้นหยุดฝีเท้าแทบจะทันทีแต่ช้าไปข้าเหนี่ยวไกออกไปแล้ว ลูกแรกปักบนหน้าอกทะลุเกราะนายทหารวัยกลาง ลูกที่สองโดนแขนทหารวัยรุ่น การยิงหน้าไม้สองมือนี่เล็งยากเหมือนกัน

      มีผู้บุกรุก! มีผู้บุกรุก!” เจ้านั่นแหกปากลั่นร้องเหมือนกำลังโดนตอนไปโยนให้เป็ด จากนั้นอีกประมาณสิบวินาทีเสียงฝีเท้ามากมายได้หยุดรายล้อมอยู่รอบกายข้า ก็ได้ข้ายอมรับว่าข้างี่เง่า การยิงหน้าไม้สองมือแบบเท่ๆนับเป็นหนึ่งในความฝันของข้าเลยเชียวนะ

      ข้าโยนหน้าให้หนึ่งในกลุ่มทหารที่รับด้วยความสงสัยแล้วลงไปกองกับพื้นด้วยมีดที่ปักคาอก พริบตาต่อมาชายฉกรรจ์นับสิบภายใต้เกราะเหล็กดูน่าเกรงขามวิ่งกรูกันเข้ามาราวกับหมาล่าเหยื่อกำลังรุมทึ้งเหยื่ออันโอชะ

      ขอโทษ บังเอิญข้าไม่ใช่หมู

      ลูกดอกอีกลูกถูกยัดบนหน้าไม้เหนี่ยวไกให้เอ็นรั้งดีดดังผึงปล่อยลูกดอกไปปักหัวใครสักคนแถวนั้น มืออีกข้างข้าดึงดาบออกมาจากฝักที่คาดไว้ตรงเอวเข้าฟาดฟันกับเหล่าทหารรับจ้างชำนาญศึก ข้าจะดูเหมือนเก่งกล้าสามารถถ้าไม่เพลี่ยงพล้ำในดาบที่สามกับเจ้าล่ำ ดาบเล่มงามถูกเกี่ยวตวัดลอยว่อนขึ้นฟ้าก่อนตกลงมาปักพื้น มันยิ้มเยาะเย้ยง้างดาบขึ้นสูงหวังจะฟันหัวข้าเป็นสองท่อน จังหวะนั้นข้าใช้หน้าไม้เกี่ยวคอมันเข้ามาประชิดตัวและบิดข้อมือปล่อยมีดสั้นไหลลงบนฝ่ามือ ตวัดผ่านเว้นเลือดใหญ่บนลำคอแข็งปล่อยให้มันลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้น เรื่องดวลดาบแบบอัศวินข้ากระจอกอย่าบอกใคร แต่ถ้าเรื่องลอบกัดขอให้บอก

      ก็ข้าเป็นนักฆ่า นี่นา

      เสียงฝีเท้าหยุดนิ่งทุกสายตาที่จับจ้องมายังข้าล้วนกระหายเลือด พวกนั้นดูไม่ตกใจหรือสนที่เพื่อนร่วมทัพถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ในหัวของพวกนั้นคิดแค่ว่าจะฆ่ายังไงหรือข้ามีค่าหัวเท่าไหร่เป็นทหารฝ่ายใด ข้านิยามบุคคลที่พบในสงครามสามอย่าง

      อัศวิน ตัวตนของบุคคลที่คิดว่าตัวเองสูงส่งส่วนใหญ่เป็นขุนนาง หยิ่งในเกียรติ ศักดิ์ศรีของตนประหนึ่งว่าถ้าขาดมันไปชีวิตก็ไร้ความหมาย ยึดมั่นหลักคุณธรรมจรรยาบรรณที่ดีงามเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานซึ่งคนพวกนี้ เข้าข่ายหน้าอนุรักษ์ไว้ทำเป็นอนุสรสถาน

      ทหารรับจ้าง พวกนี้มีหลายหลายรูปแบบทั้งดีเลวปนกันไป ส่วนใหญ่ละโมบโลภมากในทรัพย์สมบัติ ตำแหน่งในกองทัพและอื่นๆอีก ยังมีพวกหน้ากลัวที่กระหายการฆ่าฟันหวังก่อสงครามซึ่งประเภทนี้อันตรายข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว

      สุดท้ายนักฆ่า พวกนี้มีส่วนคล้ายทหารรับจ้างแต่ก็ไม่เหมือน นักฆ่าไม่ใช่ทหารที่เอาไว้ทำสงคราม เป็นตัวตนในเงามืดเมื่องานเสร็จก็อันตธานหายไป มีอยู่อีกสามประเภท ทำเพื่อเงิน ทำเพราะชอบ ทำเพื่อเอาชีวิตรอด

      ข้าน่ะอยู่ประเภทสุดท้าย

      ปิดบังโฉมหน้า ทำงานอย่างเงียบเชียบ รวดเร็วและไม่ผิดพลาด

      กฎของตาแก่งี่เงาลอยเข้ามาในหัวข้า ถึงข้าจะชอบทำงานแบบโจ่งครึมแต่ถ้าใบหน้าข้ายังไม่ถูกเปิดเผยก็นับว่าโอเค รีบสลัดความคิดไร้สาระออกไปดีกว่า มีคนใจดีสอนข้ามาว่าถ้ามัวคิดว่าจะทำยังไงในสนามรบ รู้ตัวอีกทีจะไม่เห็นเงาหัวตัวเอง ข้าปล่อยหน้าไม้ทิ้งลงกับพื้นดึงมีดยาวสองเล่มถือไว้ทั้งสองมือ พวกทหารพวกนี้มีกำลังมากและชำนาญการรบประชิด มองดูยังไงข้าก็คงไม่รอด

      ฆ่ามัน!” เหมือนเป็นการส่งสัญญาณการรุมประชาทันฑ์นักฆ่าผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางดงทหารหนึ่งกองร้อย ฟังดูอาจไม่ดีนักแต่ในสงครามคนแพ้ก็ตายคนชนะก็รอด ข้ายืนนิ่งเหมือนคนปลงแล้วซึ่งชีวิตรอจนพวกนั้นเข้ามาใกล้แล้วขว้างสิ่งที่ซ่อนในมือทั้งสองลงพื้น

      ตูม

      ควันฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายจากพื้นดินกลายเป็นหมอกบังตา เสียงสำลักควันดังขึ้นพร้อมกับเสียงโวยวายเหวี่ยงอาวุธมั่วซั่ว ไม่นานทุกสรรพเสียงก็เงียบลงเมื่อลมพัดควันระเบิดฝุ่นหายไปจนหมด พื้นที่นี้เหลือเพียงข้ากับซากศพเกลื่อนพื้นเป็นการประกาศศักดาตัวเองให้พวกที่เหลืออกสั่นขวัญผวา ข้าก้มลงเช็ดมีดเปื้อนเลือดกับศพใกล้ตัวสอดส่องสายตามองดูทหารที่เหลือซึ่งมากเกินระเบิดฝุ่นของข้าจะมีใช้ จะเอายังไงหนีเลยไหม ไม่เอาน่ามาถึงขนาดนี้แล้วกลับไปมือเปล่าข้าคงเซ็งแย่

      เจ้าคนถ่อย เจ้าเป็นใคร ข้าตวัดสายตาข้ามหัวทหารไปยังอาคันตุกะผู้มาใหม่ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวผู้มีศักดิ์เป็นพาราดีนแห่งราชวงศ์

      เยี่ยม ทำไมข้าไม่ได้ข่าวว่านางจะมาบัญชาการรบที่เขตชายแดนนี่

      งานนี้ข้าอาจจะต้องกลับไปมือเปล่าโดยไม่ได้เด็ดหัวท่านเซอร์เอมเมอเลสที่กำลังนั่งไขว่ห้างใจเย็นอยู่บนหอคอยกระมัง

      แกร๊ก

      อีกทิศหนึ่งมีทหารรับจ้างหนุ่มรูปร่างกำยำเดินสะพายดาบยักษ์ออกมาจากกลุ่มทหารเลว หมอนั่นเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของข้าเป็นอย่างมาก

      เจ้ามาดวลกับข้า

      นี่มันวันรวมญาติรึไง ด้านซ้ายก็พาราดีนหญิงด้านขวาก็ทหารรับจ้างผู้มีชื่อเสียง พระผู้เป็นเจ้านี่ท่านทรงประทานบททดสอบอะไรมาให้กับข้า ท่านอยากให้ข้าขึ้นไปรับใช้ท่านถึงขนาดนั้นเลยตัดด้ายแห่งโชคชะตาของข้าใช่ไหม

      ก็ได้ข้าน้อมรับคำท้า

      คิดแล้วข้าก็กำด้ามมีดแน่นและยืนประจัญกับคนทั้งสอง





      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×