ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ombre ตัวตนของเงาสะท้อน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เงาในกระจกนั่นใครหว่า ? (เรียงใหม่แล้วจ้า)

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 54


     บทที่ 1
    เงาในกระจกนั่นใครหว่า?
                    กริ๊งๆๆ! เสียงปลุกมหานรกของนาฬิกาปลุกดังขึ้นบอกเวลา แปดโมงเช้าของวันใหม่อันสดใส แต่สำหรับเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้ คงไม่ต้องบอกเลยว่ามันช่างขัดอารมณ์ในการนอนอันสุนทรีย์ของเขาซะจริง
                    กริ๊ก ! มือบางกดปิดนาฬิกาปลุกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำที่มีขนาดใหญ่เท่าๆกับปฏิทินตั้งโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆพยุงร่างอันผอมบางขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง พลางขยี้เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีซอยสั้นประบ่าอย่างงัวเงีย ร่างบางลุกขึ้นช้าๆเพื่อจะเดินไปเปิดผ้าม่าน
                    แสงแดดอ่อนๆ ปะทะเข้ากับใบหน้ารูปไข่ไปเต็มๆจนเขาต้องหลับตาแน่น แต่กระนั้นแสงแดดของยามเช้าก็ไม่ได้ทำให้แสบหรือร้อนใบหน้า   เพียงแค่แสบตาเพราะยังปรับแสงไม่ได้เท่านั้น   นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้นอย่างช้าๆเพื่อปรับแสงและไม่แสบตาจนเกินไป เขาค่อยๆเดินมายืนตรงระเบียงมองออกไปด้านนอกของคอนโด ยิ้มน้อยถูกระบายขึ้นอย่างช้าๆขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าแต่...
                    แม่โทรมาแล้วๆ แม่โทรมาแล้ว แม่เราโทรมา~ โทรศัพท์มือถือสีดำยี่ห้อโนนาเมะ( no name นั่นแหละ) แผดเสียงดังก้องโลกาด้วยริงโทนชวนมอง ทำเอาเจ้าของห้องถึงกับหงุดหงิด แต่ก็จำใจต้องเดินไปรับอย่างเสียมิได้เพราะริงโทนนี้ทำให้เขารู้ดีว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
                    “เลออนโว้ย!! ตื่นยัง” เสียงห้าวปลายสายตะโกนออกมาดังจนคนรับต้องยกออกไปให้ห่างไกลจากหูของตนอย่างรวดเร็วเพื่อความปลอดภัย
                    “ตื่นแล้ว บ้านเธอกินโทรโข่งเป็นอาหารรึไงฟะ ถึงได้โทรมาตะโกนได้ทุกวันไม่มีเจ็บคอ” เลออน หรือ เลออน อรันซิโอเน่ นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการถ่ายภาพ วัยสิบเก้าปี ตอบกลับด้วยความเอือมระอาต่อเพื่อนสาวอย่าง มิเชล ดิเอลเล่ ที่มีอารมณ์ปลุกเขาได้ทุกเช้าด้วยการโทรศัพท์
                    ไม่เปลืองเงินบ้างรึไงฟะ
                    “อ้าว? นายลืมไปแล้วเหรอว่าเบอร์ฉันตอนนี้มันเก็บเงินที่ปลายทางน่ะ ~ ” สาวเจ้าตอบกลับอย่างอารมณ์ดีไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ก็แหงอยู่แล้วมันใช่เงินเธอซะที่ไหนเล่า..
                    ยัยนี่ ! ไม่มีเงินเติมค่าโทรศัพท์แล้วยังโทรมาอีก ! เลออนคิดอย่างหัวเสียแต่ก็ไม่ได้ว่าหรือด่าอะไรเพราะเขารู้ดีไม่ว่าจะด่ายังไงก็ไม่เป็นผลสำหรับคนอย่างมิเชล 
                    “เจอกันหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์*ตอนสิบโมงตรงนร้า~ กินข้าวเช้ามาด้วยหละ บายบี~ ตู๊ดๆ..”ต้นสายสั่งพลางตัดบทอย่างรวดเร็ว จนทำให้เขาคิดว่ายัยนี้ เป็นแม่เขารึไงเนี่ย บริการยี่สิบสี่ชั่วโมง สั่งได้ไม่มีวันหยุด เลออนส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าไปมองนาฬิกาติดผนังตรงโต๊ะทานข้าวซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาแปดโมงห้านาทีแล้ว
                    “อีกสองชั่วโมงทันอยู่น่า” เขาพึมพำกับตัวเองเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่ได้สนใจอะไร..เจ้าตัวไม่ทันได้สังเกตเลยว่ากระจกยาวข้างตูเสื้อผ้าใกล้กับราวไม้แขวนผ้าเช็ดตัวนั้นสะท้อนเงาใครคนหนึ่ง..ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าของห้อง เงานั้นค่อยๆหันมามองทางห้องน้ำก่อนจะจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย..
    08 : 15  คอนโดของเลออน
                    ตอนนี้เขายืนอยู่หน้ากระจกยาวที่มองเห็นทั้งตัว วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อไหมพรมคอวีแขนกุดสีน้ำตาลกับกางเกงยีนขายาวกรอมเท้า เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีตอนตื่นนอนที่ดูเป็นทรง ตอนนี้ถูกหวีทำให้เส้นผมเข้ากับรูปหน้าไปเองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ครีมแต่งผม ถึงเสื้อผ้าจะดูเป็นอะไรที่เรียบง่ายถ้าเทียบกับการแต่งตัวทั่วไปในเมืองแฟชั่นชั่นชั้นนำระดับโลกอย่างกรุงปารีส แต่ด้วยส่วนสูงแค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเซนติเมตร ทำให้เขาดูดีและสมวัยนักศึกษาของเขา
                    เลออนหยิบเสื้อโค้ทสีเทาดำขึ้นมาสวม ก่อนจะผูกผ้าพันคอสีดำ เขาหันไปมองทางกระจกอีกครั้งเพื่อจะเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้า
                    “ว้ากกก!!!” เลออนร้องตะโกนด้วยความตกใจ เพราะเขาหันมามองกระจกแล้วทั้งๆที่เขาควรจะเห็นเงาตนเองอย่างปกติทั่วไป แต่เขากลับเห็นเงาของหญิงสาวผมยาวสีมะฮอกกานีในชุดกระโปรงยาวสีขาวกำลังยืนหันหลังให้เขาอยู่ และตอนนี้เธอกำลังหันหน้ามาอย่างช้าๆ
                    ตุบ! ก้นของเขากระแทกกับพื้นเขาอย่างจัง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจแล้ว เขาแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าก้นกระแทกพื้น ตาของเขายังคงมองไปที่กระจกและเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆด้วยความกลัว เงานั้นหันมาเกือบจะครึ่งตัวแล้ว เลออนหลับตาแน่นเพราะเขาไม่อยากจะรับรู้เหตุการณ์อะไรตรงหน้าเขาอีกต่อไป
                     แม่โทรมาแล้วๆ แม่โทรมาแล้ว แม่เราโทรมา~ เหมือนมีเสียงสวรรค์ทรงโปรดเมื่อโทรศัพท์มือถือ ทำให้เขาได้สติรีบเปิดกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล ล้วงหาโทรศัพท์มือถืออย่างลนลานก่อนจะมองหน้าจอปรากฏว่าเป็นมิเชล
                    โทรศัพท์ยังคงดังต่อไป เขามองไปที่กระจกอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า เงาปริศนาได้หายไปแล้ว ภาพที่สะท้อนในตอนนี้คือตัวเขานั่งจุมพุกอยู่กับพื้น เขายังคงงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปนกับอาการช็อค แต่เขาก็ยังมีสติพอจึงกดรับสายมิเชล
    “ฮัลโหล” สายตาของเขายังคงมองที่กระจก
    “ฮัลโหล เฮ้! เลออน นายกินข้าวยังอะ ถ้ายังไม่กินฉันไปกินกับนายนะ โทษที แม่ฉันลืมทำกับข้าวอะ...”มิเชลพูดไปได้สักพักก็หยุดพูดเพราะสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
    “เฮ้ ! เลออน นายฟังฉันอยู่รึเปล่า ? ” มิเชลถามเพื่อความมั่นใจว่าปลายสายยังคงฟังเธออยู่
    “ออ..โทษทีๆ ฉันจะออกไปเจอเธอหน้าลูฟวร์เดี๋ยวนี้แหละ”เลออนเอ่ยขึ้นอย่างลนลาน เขารีบลุกขึ้นใส่รองเท้า และรีบปิดประตูออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
    ที่กระจกบานยาวทำจากกรอบไม้โอ๊ค ที่ไม่ได้ผ่านการแกะสลักลวดลายใดๆทั้งสิ้นมีเพียงแค่ลงเงา เพื่อกันรอยและขัดมันให้ดูสวยเท่านั้น ดูเผินๆอาจเหมือนกระจกทั่วไปที่หาซื้อได้ตามร้านขายเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป เงาของหญิงสาวปริศนาปรากฏขึ้นในกระจกอีกครั้ง เธอคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยคำพูดอันแผ่วเบาออกมาว่า
    “แล้วเจอกัน เลออน” ร่างของเธอค่อยๆจางหายไปอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงคำพูดปริศนากับคอนโดอันไร้ผู้คน
    09 : 30  ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
                    “ นี่แก เป็นอะไรของแกฟะ นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่กินไม่โว้ยยย! สารพัดจะไม่แล้วนะ สรุปคือแกไม่ขยับนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นเดวิดไปแล้วซะงั้น..”สาวเมืองกระทิงดุยังคงบ่นต่อไปไม่หยุด แต่สายตาของเจ้าหล่อนกลับเพ่งมองมาที่เพื่อนหนุ่มตัวดีของเธอตลอดเวลา
                ใจคอแกจะให้ฉันเป็นบ้าพูดคนเดียวใช่ไหม ไอรูปปั้นเดวิด!  
                    “มิเชล เธอว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ? ”เลออนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาหลังจากที่มิเชลชวนเขามาทานข้าว (น่าจะใช้คำว่าลากมากกว่าเพราะเขามาได้พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่โทรศัพท์) เธอสั่งอาหารให้เขา เลือกที่นั่งให้เขา และทำทุกอย่างเสร็จสรรพเพราะตอนแรกไม่ว่าเธอจะถามอะไร เขาก็ไม่ตอบ ยืนเป็นก้อนน้ำแข็งเดินได้ จนกระทั่งเขาเริ่มเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
                    “อะไร ?” มิเชลพูดด้วยใบหน้างุนงง คิ้วทั้งสองข้างของเธอเริ่มขมวดเข้าหากัน
                    “เอ่อ..คือ เธอเคยส่องกระจกไหม” บ้าเอ๋ย! เขาถามคำถามได้ปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย  เลออนสบถในใจ
                    “แล้วใครบ้านไหนมันเกิดมาไม่เคยส่องกระจกมั่งหละ” มิเชลสวนกลับตามแบบฉบับของเธอ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบกับมาคุบนโต๊ะอาหาร นั่นทำให้เธอๆไม่สบายใจเพราะเธอเป็นเพื่อนกับเลออนมานาน นานมากพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเวลาเพื่อนตัวดีของเธอมีปัญหาอะไร เขาจะไม่ค่อยยอมพูด ต้องให้เธอง้างปากถามเอง
                    “โอเคๆ ฉันขอโทษฉันล้อเล่นน่า..วันนี้นายเป็นอะไรน่ะดูไม่สดชื่นเลย เงียบจนไม่สมเป็นนายด้วย มีอะไรก็บอกกันได้นี่ ฉันเป็นเพื่อนนายนะ” สีหน้าของมิเชลเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
                    “เฮ้อ !” ในที่สุดของก็ต้องยอมแพ้เพื่อนสาวของเขาอีกครั้ง ยอมแพ้ให้กับความพยายามในการง้างปากของเขาเป็นเลิศ ! เพราะถ้าหากเขาไม่บอกหละก็ให้ตายวันนี้เธอก็คงไม่หยุดถาม
                    “ก็ได้ๆ ฉันว่ามันอาจจะฟังดูบ้า แต่เมื่อเช้าฉันแต่งตัวออกจากบ้าน กำลังจะหันไปมองกระจกผูกผ้าพันคอ..”เมื่อถึงจุดไคล์แมกซ์ เขากับชะงักขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่..
                    “แล้วไงต่อ? ” เหมือนมีอะไรดลใจให้มิเชลอยากฟังต่อซะงั้น
                    “ฉันก็เห็นเงาใครไม่รู้ยืนหันหลังให้ฉัน เป็นเงาของผู้หญิงผมยาวแถมสีเดียวกับฉันอีกต่างหาก เธอค่อยๆหันมาหาฉันช้าๆ ฉันล้มก้นกระแทกพื้น แล้วจากนั้นก็หลับตาแน่น..”
                    “แล้วฉันก็โทรเข้าไปหานายพอดีใช่ไหม ? ” เธอกล่าวปิดท้ายก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแล้วพูดต่อว่า
                    “ฉันว่านายคิดมากไปมั้ง อาจจะตาฝาดไปก็ได้ ช่วงนี้นายนอนไม่ค่อยพอไม่ใช่เหรอ ? อืมหรือไม่ก็ ”เธอคิดค้าง
                    “ไม่ก็อะไรเหรอ? ”
                    “ไม่ก็ผีหลอกไง ฮ่าๆตลกอะ” มิเชลสรุปตามความคิดของเธอ ตบด้วยมุขแก้เครียดเล็กน้อย ถึงมันจะไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามขำก็ตามแต่ก็ลดความมาคุบนโต๊ะอาหารไปได้เยอะทีเดียว  แต่เรื่องที่จะให้เธอเชื่อว่าเรื่องที่เพื่อนเธอเล่ามานั้นเป็นความจริงมันแลดูจะเหลือเชื่อเกินไป
                    “มิเชล แต่ว่า..” เลออนเริ่มตั้งท่าจะแย้ง เพราะจะให้พูดว่าเขาตาฝาดหรือย่างอื่นนอกจากผีหลอกแล้ว มันดูจะสมจริงเกินไปไหม?
                    “เลออน วันนี้ฉันชวนนายมาพักผ่อนนะ ฉันอยากเห็นนายยิ้มอย่างมีความสุขจะได้ไหม ? “ มิเชลตัดบท จนเขาได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วก็ส่ายหน้ากับความห่วงของเพื่อนสาว
    เธอคงจะห่วงเขาจริงๆนั่นแหละ  เขาแอบยิ้ม
                    “ได้ ฉันว่าฉันคงตาฝาดไปเองนั่นแหละ” ถึงมันยากจะเชื่อซะหน่อยแต่ตอบแบบนี้จะเป็นการดีที่สุด
                    “ต้องแบบนี้สิ อ๊ะ! ลุฟวร์จะเปิดแล้วไปเร็ว ฉันอยากเห็นรูปโมนาลิซ่าใจจะขาดแล้วนร้า~ “ มิเชลตัดบทวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วรีบลากเลออนวิ่งออกไปจากร้านแบบติดเกียร์สุนัข ใบหน้าของเธอตอนนี้บอกได้เลยว่ากำลังตื่นเต้นราวกับเด็กที่กำลังจะไปเที่ยวสวนสนุก บางทีวันนี้อาจมีอะไรดีๆมากกว่าที่เขาคิดก็ได้ล่ะมั้ง..
     
     18 : 00 คอนโดของเลออน
                    วันหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว อะไรต่อมิอะไรผ่านเข้ามามากมาย ในวันนี้มิเชลลากผมดินไปทั่ว (ที่จริงไม่ทั่วพรอกเพราะพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ใหญ่มากๆ เดินสามวันยังไม่ทั่วเลย คอนเฟิร์ม !) เริ่มตั้งแต่ไปดูรูปโมนาลิซ่าที่คนดูเยอะสุดๆ แต่เธอก็สามารถที่จะแหวกฝูงชนพาผมแทรกเข้าไปดูได้ แถมยังไม่ลืมที่จะแอ็กท่าแปลกๆก่อนจะให้ผมถ่ายด้วย ท่าของเธอมันสุดจะหลุดโลกจนผมนี่อายแทนเธอจังเลย แต่สำหรับผมวันนี้ก็ถือเป็นวันที่เหนื่อยมากพอสมควรแต่ก็สนุกสุดๆไปเลย
                    “เฮ้อ “ เลออนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่คอนโดของเขา หลังจากกลับมาจากเที่ยวกับ มิเชล เปลือกตาของเขาปิดลงด้วยความเพลีย
                    ตุบ ! เสียงของหนังสือที่เขาวางไว้บนโต๊ะทานข้าว หล่นกระทบกับพื้นห้องจนทำให้เขาตื่น แต่ไม่เท่าประหลาดใจ เพราะหนังสือเล่มนั้นหนามาก แล้วเขาก็วางไว้กลางโต๊ะ แต่มันกลับหล่นลงมาบนพื้นเองโดยไม่มีใครหยิบจับ.. เขาส่ายหน้าไล่ความคิดบ้าๆของตนเองออกไป
                    บางทีเราอาจจะวางไว้ริมโต๊ะก็ได้มั้งเพราะเมื่อกี้ตอนเข้าห้องเราเดินไปหยิบมันมาดูทีหนึ่งนินะ เขาคิดขณะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ราวไม้แขวน หยิบของในตู้เสื้อผ้า และเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอน
                    วูบ ! แสงสีฟ้าสะท้อนออกมาจากกระจก พลันทำให้ขาบางๆของเขาหยุดชะงักกะทันหัน อยากจะบอกว่าเขาเองก็กลัวผีอยู่นิดๆเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดว่าเห็นแล้วเป็นลม แต่ตอนนี้ความกลัวกับความอยากรู้ในตัวของเขามันดันมีเท่าๆกันซะด้วยสิ ร่างกายของเขามันเลยหันหลังแล้วค่อยเดินมาหยุดอยู่น่ากระจก แทนที่จะวิ่งหนีตามปกติของคนทั่วไป เลออนช็อคค้างกันทีเดียวเมื่อสิ่งที่เขาเห็นจากกระจกคือเงาของหญิงปริศนาที่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเมื่อเช้าในกระจก ตอนนี้เธอมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง แถมคราวนี้เขาเห็นหน้าตาของเธอชัดเลยซะด้วย !
                จ๊าดเลยตรู !  นี่คือความคิดที่ทำเอาเขาอยากจะร้องตะโกนออกมา
                    เส้นผมสีมะฮอกกานีปลิวสยาย ยาวไปถึงช่วงเอว ใบหน้ากลมรูปไข่ นัยน์ตาสีมรกต รอยยิ้มที่เธอส่งมาให้เขาทำให้เธอดูน่ารักราวกับตุ๊กตา
                    เฮ้ย ! เดี๋ยวนี้มันใช่เวลามาชมหญิงไหมเนี่ย ไอชีกอเลออน ! แต่สิ่งที่ทำเขาถึงกับร้องเหวอออกมาคือ แขนเรียวบางยื่นออกมาจากกระจกจับเข้าที่แขนทั้งสองข้างของเขา เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างออกมาจากหญิงสาวปริศนา เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง สำหรับคนอื่นมันอาจดูมีเสน่ห์ชวนเคลิ้ม แต่สำหรับเขาแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนมีงานเข้าซะอย่างงั้น
                    “ฮะ...เฮ้ยยย!” เลออนถึงกับร้องตกใจขึ้นมาดังลั่น เมื่อสาวเจ้าออกแรงดึงเขาจนล้มเซเข้าไปในกระจก ล้มลงกอดเธอพอดี
                    ในตอนนี้เขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในห้วงอากาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด แถมยังอยู่ในอ้อมกอดของสาวสวยที่ไหนก็ไม่รู้อีกต่างหาก เขาค่อยๆผละออกมาจากหญิงสาว ก่อนจะมองไปรอบๆสิ่งที่ทำให้เขาแทบอย่างร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดคือทางเข้าที่เขาเข้ามามันหายไปไหนไม่รู้ !
                    “มองหาทางออกอยู่เหรอ” เสียงหวานใสกังวานราวกับแก้วถามขึ้นทำ เรียกความสนใจให้เขาหันกลับไปมองที่เธออีกครั้ง
                    “ แล้วไงหละ” เลออนตอบหน้าตายทั้งๆที่ในใจเขาน่ะ แทบจะคลั่งอยู่แล้ว แถมอยากร้องไห้ซะจริงๆ
                    “ไม่มีหรอก” เธอกล่าวเรียบๆ
                    “เธอเป็นใคร แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไม ? ”เลออนยิงคำถามด้วยเสียงไร้อารมณ์ นัยน์ตาสีมรกตมองหญิงสาวด้วยสายตาคมกริบ บ่งบอกว่าเขาไม่ไว้ใจเธอ
                    “แล้วนายจะได้คำตอบเอง ถึงสิ่งที่นายต้องทำ เลออน อรันซิโอเน่ ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้เขา แขนเรียวบางยื่นขึ้นมา
                    เป๊าะ ! เธอดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เกิดหลุมอากาศสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังเลออน
                    “ว้ากกก!!!” เลออนร้องลั่น ก่อนที่เขาจะถูกหลุมอากาศดูดหายๆไป
                    “แล้วเจอกันเลออน ไม่สิ ด้านสะท้อนของฉัน ”เหลือเพียงเสียงพึมพำกับวาจาสุดท้ายของหญิงสาวที่ไม่มีใครได้ยิน
                    “ว้ากกกก!!!” เสียงร้องปานกระบือถูกเชือดดังไปทั้งหลุมอากาศ หากแต่ไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวเขา หลุมอากาศค่อยๆแหวกเป็นทางข้างหน้า ก่อนที่ตัวเขาจะ
                    ตุบ! เสียงก้นกระแทกพสุธางามๆของเขาทำเอาเสียงร้องหยุดลงทันใด
                    “โอ๊ย ! เจ็บเป็นบ้า เอ๊ะ ! “ บ่นอวดครวญด้วยความเจ็บแต่ก็ต้องตาโตเป็นไข่ห่านทันทีทันใด
                    ตอนนี้เขาไม่ได้หล่นมาอยู่ในห้อง แต่อยู่ในโรงงานร้างแห่งหนึ่งที่เขารู้สึกไม่คุ้นเลย ท้องฟ้าสีส้มยามเย็นในตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้าสีเทาอันว่างเปล่าที่ไม่มีแม้แต่พระอาทิตย์ หรือเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว !
                    วูบ ! เหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ๆเขา เขาหันไปดูอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ แต่โลหะสีเงินด้ามยาวที่รู้จักกันดีว่ามันคือ ดาบ ถูกชักออกมาจ่อคอเขา ทุกอย่างรวดเร็วมากเร็วจนเขาเองยังมองไม่ทัน   บอกตรงๆเลยว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ อย่างมากก็ได้แค่มองหน้าไอคนเอาดาบมาจ่อคอเขาเท่านั้น แต่มองไปก็เท่านั้นก็ไอบ้านี่เล่นซะคลุมปิดทั้งตัวซะขนาดนี้ เขาจะเห็นไหมเนี่ย
                    “เลออน อรันซิโอเน่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างราบเรียบ
                    “แกเป็นใคร? ”
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    *พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

    พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็น

    พิพิธภัณฑ์
    ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อ

    เสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.

    ศ. 2336
    (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง ตัวอาคารเดิมเคย

    เป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่า

    ระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา
    , The Virgin and Child with St. Anne,

    Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดร

    อสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้

    เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเ


    ยือนมากที่สุดในกรุงปารีส

    พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน

    อ้างอิงจาก สารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย

     ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขออภัยล่วงหน้าหากสั้นไป หรือผิดพลาดประการใด  555+  ^  ^ 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×