บทที่ 1
เงาในกระจกนั่นใครหว่า?
กริ๊งๆๆ! เสียงปลุกมหานรกของนาฬิกาปลุกดังขึ้นบอกเวลา แปดโมงเช้าของวันใหม่อันสดใส แต่สำหรับเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้ คงไม่ต้องบอกเลยว่ามันช่างขัดอารมณ์ในการนอนอันสุนทรีย์ของเขาซะจริง
กริ๊ก ! มือบางกดปิดนาฬิกาปลุกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำที่มีขนาดใหญ่เท่าๆกับปฏิทินตั้งโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆพยุงร่างอันผอมบางขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง พลางขยี้เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีซอยสั้นประบ่าอย่างงัวเงีย ร่างบางลุกขึ้นช้าๆเพื่อจะเดินไปเปิดผ้าม่าน
แสงแดดอ่อนๆ ปะทะเข้ากับใบหน้ารูปไข่ไปเต็มๆจนเขาต้องหลับตาแน่น แต่กระนั้นแสงแดดของยามเช้าก็ไม่ได้ทำให้แสบหรือร้อนใบหน้า เพียงแค่แสบตาเพราะยังปรับแสงไม่ได้เท่านั้น นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้นอย่างช้าๆเพื่อปรับแสงและไม่แสบตาจนเกินไป เขาค่อยๆเดินมายืนตรงระเบียงมองออกไปด้านนอกของคอนโด ยิ้มน้อยถูกระบายขึ้นอย่างช้าๆขณะดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าแต่...
แม่โทรมาแล้วๆ แม่โทรมาแล้ว แม่เราโทรมา~ โทรศัพท์มือถือสีดำยี่ห้อโนนาเมะ( no name นั่นแหละ) แผดเสียงดังก้องโลกาด้วยริงโทนชวนมอง ทำเอาเจ้าของห้องถึงกับหงุดหงิด แต่ก็จำใจต้องเดินไปรับอย่างเสียมิได้เพราะริงโทนนี้ทำให้เขารู้ดีว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
“เลออนโว้ย!! ตื่นยัง” เสียงห้าวปลายสายตะโกนออกมาดังจนคนรับต้องยกออกไปให้ห่างไกลจากหูของตนอย่างรวดเร็วเพื่อความปลอดภัย
“ตื่นแล้ว บ้านเธอกินโทรโข่งเป็นอาหารรึไงฟะ ถึงได้โทรมาตะโกนได้ทุกวันไม่มีเจ็บคอ” เลออน หรือ เลออน อรันซิโอเน่ นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการถ่ายภาพ วัยสิบเก้าปี ตอบกลับด้วยความเอือมระอาต่อเพื่อนสาวอย่าง มิเชล ดิเอลเล่ ที่มีอารมณ์ปลุกเขาได้ทุกเช้าด้วยการโทรศัพท์
ไม่เปลืองเงินบ้างรึไงฟะ !
“อ้าว? นายลืมไปแล้วเหรอว่าเบอร์ฉันตอนนี้มันเก็บเงินที่ปลายทางน่ะ ~ ” สาวเจ้าตอบกลับอย่างอารมณ์ดีไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ก็แหงอยู่แล้วมันใช่เงินเธอซะที่ไหนเล่า..
ยัยนี่ ! ไม่มีเงินเติมค่าโทรศัพท์แล้วยังโทรมาอีก ! เลออนคิดอย่างหัวเสียแต่ก็ไม่ได้ว่าหรือด่าอะไรเพราะเขารู้ดีไม่ว่าจะด่ายังไงก็ไม่เป็นผลสำหรับคนอย่างมิเชล
“เจอกันหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์*ตอนสิบโมงตรงนร้า~ กินข้าวเช้ามาด้วยหละ บายบี~ ตู๊ดๆ..”ต้นสายสั่งพลางตัดบทอย่างรวดเร็ว จนทำให้เขาคิดว่ายัยนี้ เป็นแม่เขารึไงเนี่ย บริการยี่สิบสี่ชั่วโมง สั่งได้ไม่มีวันหยุด เลออนส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าไปมองนาฬิกาติดผนังตรงโต๊ะทานข้าวซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาแปดโมงห้านาทีแล้ว
“อีกสองชั่วโมงทันอยู่น่า” เขาพึมพำกับตัวเองเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยไม่ได้สนใจอะไร..เจ้าตัวไม่ทันได้สังเกตเลยว่ากระจกยาวข้างตูเสื้อผ้าใกล้กับราวไม้แขวนผ้าเช็ดตัวนั้นสะท้อนเงาใครคนหนึ่ง..ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าของห้อง เงานั้นค่อยๆหันมามองทางห้องน้ำก่อนจะจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย..
08 : 15 คอนโดของเลออน
ตอนนี้เขายืนอยู่หน้ากระจกยาวที่มองเห็นทั้งตัว วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อไหมพรมคอวีแขนกุดสีน้ำตาลกับกางเกงยีนขายาวกรอมเท้า เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีตอนตื่นนอนที่ดูเป็นทรง ตอนนี้ถูกหวีทำให้เส้นผมเข้ากับรูปหน้าไปเองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ครีมแต่งผม ถึงเสื้อผ้าจะดูเป็นอะไรที่เรียบง่ายถ้าเทียบกับการแต่งตัวทั่วไปในเมืองแฟชั่นชั่นชั้นนำระดับโลกอย่างกรุงปารีส แต่ด้วยส่วนสูงแค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเซนติเมตร ทำให้เขาดูดีและสมวัยนักศึกษาของเขา
เลออนหยิบเสื้อโค้ทสีเทาดำขึ้นมาสวม ก่อนจะผูกผ้าพันคอสีดำ เขาหันไปมองทางกระจกอีกครั้งเพื่อจะเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้า
“ว้ากกก!!!” เลออนร้องตะโกนด้วยความตกใจ เพราะเขาหันมามองกระจกแล้วทั้งๆที่เขาควรจะเห็นเงาตนเองอย่างปกติทั่วไป แต่เขากลับเห็นเงาของหญิงสาวผมยาวสีมะฮอกกานีในชุดกระโปรงยาวสีขาวกำลังยืนหันหลังให้เขาอยู่ และตอนนี้เธอกำลังหันหน้ามาอย่างช้าๆ
ตุบ! ก้นของเขากระแทกกับพื้นเขาอย่างจัง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจแล้ว เขาแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าก้นกระแทกพื้น ตาของเขายังคงมองไปที่กระจกและเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆด้วยความกลัว เงานั้นหันมาเกือบจะครึ่งตัวแล้ว เลออนหลับตาแน่นเพราะเขาไม่อยากจะรับรู้เหตุการณ์อะไรตรงหน้าเขาอีกต่อไป
แม่โทรมาแล้วๆ แม่โทรมาแล้ว แม่เราโทรมา~ เหมือนมีเสียงสวรรค์ทรงโปรดเมื่อโทรศัพท์มือถือ ทำให้เขาได้สติรีบเปิดกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาล ล้วงหาโทรศัพท์มือถืออย่างลนลานก่อนจะมองหน้าจอปรากฏว่าเป็นมิเชล
โทรศัพท์ยังคงดังต่อไป เขามองไปที่กระจกอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า เงาปริศนาได้หายไปแล้ว ภาพที่สะท้อนในตอนนี้คือตัวเขานั่งจุมพุกอยู่กับพื้น เขายังคงงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปนกับอาการช็อค แต่เขาก็ยังมีสติพอจึงกดรับสายมิเชล
“ฮัลโหล” สายตาของเขายังคงมองที่กระจก
“ฮัลโหล เฮ้! เลออน นายกินข้าวยังอะ ถ้ายังไม่กินฉันไปกินกับนายนะ โทษที แม่ฉันลืมทำกับข้าวอะ...”มิเชลพูดไปได้สักพักก็หยุดพูดเพราะสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“เฮ้ ! เลออน นายฟังฉันอยู่รึเปล่า ? ” มิเชลถามเพื่อความมั่นใจว่าปลายสายยังคงฟังเธออยู่
“ออ..โทษทีๆ ฉันจะออกไปเจอเธอหน้าลูฟวร์เดี๋ยวนี้แหละ”เลออนเอ่ยขึ้นอย่างลนลาน เขารีบลุกขึ้นใส่รองเท้า และรีบปิดประตูออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ที่กระจกบานยาวทำจากกรอบไม้โอ๊ค ที่ไม่ได้ผ่านการแกะสลักลวดลายใดๆทั้งสิ้นมีเพียงแค่ลงเงา เพื่อกันรอยและขัดมันให้ดูสวยเท่านั้น ดูเผินๆอาจเหมือนกระจกทั่วไปที่หาซื้อได้ตามร้านขายเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป เงาของหญิงสาวปริศนาปรากฏขึ้นในกระจกอีกครั้ง เธอคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยคำพูดอันแผ่วเบาออกมาว่า
“แล้วเจอกัน เลออน” ร่างของเธอค่อยๆจางหายไปอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงคำพูดปริศนากับคอนโดอันไร้ผู้คน
09 : 30 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
“ นี่แก เป็นอะไรของแกฟะ นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่กินไม่โว้ยยย! สารพัดจะไม่แล้วนะ สรุปคือแกไม่ขยับนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นเดวิดไปแล้วซะงั้น..”สาวเมืองกระทิงดุยังคงบ่นต่อไปไม่หยุด แต่สายตาของเจ้าหล่อนกลับเพ่งมองมาที่เพื่อนหนุ่มตัวดีของเธอตลอดเวลา
ใจคอแกจะให้ฉันเป็นบ้าพูดคนเดียวใช่ไหม ไอรูปปั้นเดวิด!
“มิเชล เธอว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ? ”เลออนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาหลังจากที่มิเชลชวนเขามาทานข้าว (น่าจะใช้คำว่าลากมากกว่าเพราะเขามาได้พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่โทรศัพท์) เธอสั่งอาหารให้เขา เลือกที่นั่งให้เขา และทำทุกอย่างเสร็จสรรพเพราะตอนแรกไม่ว่าเธอจะถามอะไร เขาก็ไม่ตอบ ยืนเป็นก้อนน้ำแข็งเดินได้ จนกระทั่งเขาเริ่มเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
“อะไร ?” มิเชลพูดด้วยใบหน้างุนงง คิ้วทั้งสองข้างของเธอเริ่มขมวดเข้าหากัน
“เอ่อ..คือ เธอเคยส่องกระจกไหม” บ้าเอ๋ย! เขาถามคำถามได้ปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เลออนสบถในใจ
“แล้วใครบ้านไหนมันเกิดมาไม่เคยส่องกระจกมั่งหละ” มิเชลสวนกลับตามแบบฉบับของเธอ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบกับมาคุบนโต๊ะอาหาร นั่นทำให้เธอๆไม่สบายใจเพราะเธอเป็นเพื่อนกับเลออนมานาน นานมากพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเวลาเพื่อนตัวดีของเธอมีปัญหาอะไร เขาจะไม่ค่อยยอมพูด ต้องให้เธอง้างปากถามเอง
“โอเคๆ ฉันขอโทษฉันล้อเล่นน่า..วันนี้นายเป็นอะไรน่ะดูไม่สดชื่นเลย เงียบจนไม่สมเป็นนายด้วย มีอะไรก็บอกกันได้นี่ ฉันเป็นเพื่อนนายนะ” สีหน้าของมิเชลเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
“เฮ้อ !” ในที่สุดของก็ต้องยอมแพ้เพื่อนสาวของเขาอีกครั้ง ยอมแพ้ให้กับความพยายามในการง้างปากของเขาเป็นเลิศ ! เพราะถ้าหากเขาไม่บอกหละก็ให้ตายวันนี้เธอก็คงไม่หยุดถาม
“ก็ได้ๆ ฉันว่ามันอาจจะฟังดูบ้า แต่เมื่อเช้าฉันแต่งตัวออกจากบ้าน กำลังจะหันไปมองกระจกผูกผ้าพันคอ..”เมื่อถึงจุดไคล์แมกซ์ เขากับชะงักขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่..
“แล้วไงต่อ? ” เหมือนมีอะไรดลใจให้มิเชลอยากฟังต่อซะงั้น
“ฉันก็เห็นเงาใครไม่รู้ยืนหันหลังให้ฉัน เป็นเงาของผู้หญิงผมยาวแถมสีเดียวกับฉันอีกต่างหาก เธอค่อยๆหันมาหาฉันช้าๆ ฉันล้มก้นกระแทกพื้น แล้วจากนั้นก็หลับตาแน่น..”
“แล้วฉันก็โทรเข้าไปหานายพอดีใช่ไหม ? ” เธอกล่าวปิดท้ายก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแล้วพูดต่อว่า
“ฉันว่านายคิดมากไปมั้ง อาจจะตาฝาดไปก็ได้ ช่วงนี้นายนอนไม่ค่อยพอไม่ใช่เหรอ ? อืมหรือไม่ก็ ”เธอคิดค้าง
“ไม่ก็อะไรเหรอ? ”
“ไม่ก็ผีหลอกไง ฮ่าๆตลกอะ” มิเชลสรุปตามความคิดของเธอ ตบด้วยมุขแก้เครียดเล็กน้อย ถึงมันจะไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามขำก็ตามแต่ก็ลดความมาคุบนโต๊ะอาหารไปได้เยอะทีเดียว แต่เรื่องที่จะให้เธอเชื่อว่าเรื่องที่เพื่อนเธอเล่ามานั้นเป็นความจริงมันแลดูจะเหลือเชื่อเกินไป
“มิเชล แต่ว่า..” เลออนเริ่มตั้งท่าจะแย้ง เพราะจะให้พูดว่าเขาตาฝาดหรือย่างอื่นนอกจากผีหลอกแล้ว มันดูจะสมจริงเกินไปไหม?
“เลออน วันนี้ฉันชวนนายมาพักผ่อนนะ ฉันอยากเห็นนายยิ้มอย่างมีความสุขจะได้ไหม ? “ มิเชลตัดบท จนเขาได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วก็ส่ายหน้ากับความห่วงของเพื่อนสาว
เธอคงจะห่วงเขาจริงๆนั่นแหละ เขาแอบยิ้ม
“ได้ ฉันว่าฉันคงตาฝาดไปเองนั่นแหละ” ถึงมันยากจะเชื่อซะหน่อยแต่ตอบแบบนี้จะเป็นการดีที่สุด
“ต้องแบบนี้สิ อ๊ะ! ลุฟวร์จะเปิดแล้วไปเร็ว ฉันอยากเห็นรูปโมนาลิซ่าใจจะขาดแล้วนร้า~ “ มิเชลตัดบทวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วรีบลากเลออนวิ่งออกไปจากร้านแบบติดเกียร์สุนัข ใบหน้าของเธอตอนนี้บอกได้เลยว่ากำลังตื่นเต้นราวกับเด็กที่กำลังจะไปเที่ยวสวนสนุก บางทีวันนี้อาจมีอะไรดีๆมากกว่าที่เขาคิดก็ได้ล่ะมั้ง..
18 : 00 คอนโดของเลออน
วันหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว อะไรต่อมิอะไรผ่านเข้ามามากมาย ในวันนี้มิเชลลากผมดินไปทั่ว (ที่จริงไม่ทั่วพรอกเพราะพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ใหญ่มากๆ เดินสามวันยังไม่ทั่วเลย คอนเฟิร์ม !) เริ่มตั้งแต่ไปดูรูปโมนาลิซ่าที่คนดูเยอะสุดๆ แต่เธอก็สามารถที่จะแหวกฝูงชนพาผมแทรกเข้าไปดูได้ แถมยังไม่ลืมที่จะแอ็กท่าแปลกๆก่อนจะให้ผมถ่ายด้วย ท่าของเธอมันสุดจะหลุดโลกจนผมนี่อายแทนเธอจังเลย แต่สำหรับผมวันนี้ก็ถือเป็นวันที่เหนื่อยมากพอสมควรแต่ก็สนุกสุดๆไปเลย
“เฮ้อ “ เลออนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่คอนโดของเขา หลังจากกลับมาจากเที่ยวกับ มิเชล เปลือกตาของเขาปิดลงด้วยความเพลีย
ตุบ ! เสียงของหนังสือที่เขาวางไว้บนโต๊ะทานข้าว หล่นกระทบกับพื้นห้องจนทำให้เขาตื่น แต่ไม่เท่าประหลาดใจ เพราะหนังสือเล่มนั้นหนามาก แล้วเขาก็วางไว้กลางโต๊ะ แต่มันกลับหล่นลงมาบนพื้นเองโดยไม่มีใครหยิบจับ.. เขาส่ายหน้าไล่ความคิดบ้าๆของตนเองออกไป
บางทีเราอาจจะวางไว้ริมโต๊ะก็ได้มั้งเพราะเมื่อกี้ตอนเข้าห้องเราเดินไปหยิบมันมาดูทีหนึ่งนินะ เขาคิดขณะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ราวไม้แขวน หยิบของในตู้เสื้อผ้า และเดินตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอน
วูบ ! แสงสีฟ้าสะท้อนออกมาจากกระจก พลันทำให้ขาบางๆของเขาหยุดชะงักกะทันหัน อยากจะบอกว่าเขาเองก็กลัวผีอยู่นิดๆเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดว่าเห็นแล้วเป็นลม แต่ตอนนี้ความกลัวกับความอยากรู้ในตัวของเขามันดันมีเท่าๆกันซะด้วยสิ ร่างกายของเขามันเลยหันหลังแล้วค่อยเดินมาหยุดอยู่น่ากระจก แทนที่จะวิ่งหนีตามปกติของคนทั่วไป เลออนช็อคค้างกันทีเดียวเมื่อสิ่งที่เขาเห็นจากกระจกคือเงาของหญิงปริศนาที่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเมื่อเช้าในกระจก ตอนนี้เธอมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง แถมคราวนี้เขาเห็นหน้าตาของเธอชัดเลยซะด้วย !
จ๊าดเลยตรู ! นี่คือความคิดที่ทำเอาเขาอยากจะร้องตะโกนออกมา
เส้นผมสีมะฮอกกานีปลิวสยาย ยาวไปถึงช่วงเอว ใบหน้ากลมรูปไข่ นัยน์ตาสีมรกต รอยยิ้มที่เธอส่งมาให้เขาทำให้เธอดูน่ารักราวกับตุ๊กตา
เฮ้ย ! เดี๋ยวนี้มันใช่เวลามาชมหญิงไหมเนี่ย ไอชีกอเลออน ! แต่สิ่งที่ทำเขาถึงกับร้องเหวอออกมาคือ แขนเรียวบางยื่นออกมาจากกระจกจับเข้าที่แขนทั้งสองข้างของเขา เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างออกมาจากหญิงสาวปริศนา เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง สำหรับคนอื่นมันอาจดูมีเสน่ห์ชวนเคลิ้ม แต่สำหรับเขาแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนมีงานเข้าซะอย่างงั้น
“ฮะ...เฮ้ยยย!” เลออนถึงกับร้องตกใจขึ้นมาดังลั่น เมื่อสาวเจ้าออกแรงดึงเขาจนล้มเซเข้าไปในกระจก ล้มลงกอดเธอพอดี
ในตอนนี้เขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในห้วงอากาศที่ไม่มีที่สิ้นสุด แถมยังอยู่ในอ้อมกอดของสาวสวยที่ไหนก็ไม่รู้อีกต่างหาก เขาค่อยๆผละออกมาจากหญิงสาว ก่อนจะมองไปรอบๆสิ่งที่ทำให้เขาแทบอย่างร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดคือทางเข้าที่เขาเข้ามามันหายไปไหนไม่รู้ !
“มองหาทางออกอยู่เหรอ” เสียงหวานใสกังวานราวกับแก้วถามขึ้นทำ เรียกความสนใจให้เขาหันกลับไปมองที่เธออีกครั้ง
“ แล้วไงหละ” เลออนตอบหน้าตายทั้งๆที่ในใจเขาน่ะ แทบจะคลั่งอยู่แล้ว แถมอยากร้องไห้ซะจริงๆ
“ไม่มีหรอก” เธอกล่าวเรียบๆ
“เธอเป็นใคร แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไม ? ”เลออนยิงคำถามด้วยเสียงไร้อารมณ์ นัยน์ตาสีมรกตมองหญิงสาวด้วยสายตาคมกริบ บ่งบอกว่าเขาไม่ไว้ใจเธอ
“แล้วนายจะได้คำตอบเอง ถึงสิ่งที่นายต้องทำ เลออน อรันซิโอเน่ ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้เขา แขนเรียวบางยื่นขึ้นมา
เป๊าะ ! เธอดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เกิดหลุมอากาศสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังเลออน
“ว้ากกก!!!” เลออนร้องลั่น ก่อนที่เขาจะถูกหลุมอากาศดูดหายๆไป
“แล้วเจอกันเลออน ไม่สิ ด้านสะท้อนของฉัน ”เหลือเพียงเสียงพึมพำกับวาจาสุดท้ายของหญิงสาวที่ไม่มีใครได้ยิน
“ว้ากกกก!!!” เสียงร้องปานกระบือถูกเชือดดังไปทั้งหลุมอากาศ หากแต่ไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวเขา หลุมอากาศค่อยๆแหวกเป็นทางข้างหน้า ก่อนที่ตัวเขาจะ
ตุบ! เสียงก้นกระแทกพสุธางามๆของเขาทำเอาเสียงร้องหยุดลงทันใด
“โอ๊ย ! เจ็บเป็นบ้า เอ๊ะ ! “ บ่นอวดครวญด้วยความเจ็บแต่ก็ต้องตาโตเป็นไข่ห่านทันทีทันใด
ตอนนี้เขาไม่ได้หล่นมาอยู่ในห้อง แต่อยู่ในโรงงานร้างแห่งหนึ่งที่เขารู้สึกไม่คุ้นเลย ท้องฟ้าสีส้มยามเย็นในตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้าสีเทาอันว่างเปล่าที่ไม่มีแม้แต่พระอาทิตย์ หรือเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว !
วูบ ! เหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ๆเขา เขาหันไปดูอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ แต่โลหะสีเงินด้ามยาวที่รู้จักกันดีว่ามันคือ ดาบ ถูกชักออกมาจ่อคอเขา ทุกอย่างรวดเร็วมากเร็วจนเขาเองยังมองไม่ทัน บอกตรงๆเลยว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ อย่างมากก็ได้แค่มองหน้าไอคนเอาดาบมาจ่อคอเขาเท่านั้น แต่มองไปก็เท่านั้นก็ไอบ้านี่เล่นซะคลุมปิดทั้งตัวซะขนาดนี้ เขาจะเห็นไหมเนี่ย
“เลออน อรันซิโอเน่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างราบเรียบ
“แกเป็นใคร? ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
*พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็น
พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อ
เสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.
ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง ตัวอาคารเดิมเคย
เป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่า
ระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne,
Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดร
อสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเ
ยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน
อ้างอิงจาก สารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออภัยล่วงหน้าหากสั้นไป หรือผิดพลาดประการใด 555+ ^ ^
ความคิดเห็น