ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ครั้งหนึ่งที่เคยสัญญา

    ลำดับตอนที่ #1 : ครั้งหนึ่งที่เคยสัญญา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 118
      0
      24 เม.ย. 47

    ครั้งหนึ่งที่เคยสัญญา

    อันโตนิโอ



    ตอน 1



        วันที่ผมมองข้ามลำน้ำสีน้ำตาล ลมยามบ่ายพัดเอื่อยทำให้ผิวของมันเป็นระรอกริ้ว อากาศยังร้อนทว่าลมนั้นช่วยผ่อนคลายไปได้มาก ท่าน้ำสร้างด้วยไม้กระดานวางพาดชิดกัน ตรึงไว้ด้วยตะปูตัวใหญ่ บัดนี้เก่าคร่ำน่าใจหาย เวลาเดินต้องใช้ความระมัดระวังด้วยไม้บางแผ่นผุชรามากแล้ว พร้อมที่จะหักพังลงได้ถ้าได้รับน้ำหนักเกินควรเช่นน้ำหนักตัวคน  เสียงรถวิ่งข้ามสะพานดังมาถึงจุดที่ผมยืนแม้ห่างกันหลายร้อยเมตร เรือสัญจรในลำคลองบางตาจนแทบไม่เห็น นานๆจะมีเรือหางยาวรับส่งผู้โดยสารขับผ่านหน้าไปเสียลำหนึ่ง แต่ไม่มีลำไหนเลยที่แวะท่าน้ำนั้น ราวกับมันเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยว ไร้ประโยชน์ เงียบเหงารอวันตาย





        ย้อนหลังกลับไปเกือบยี่สิบปี ท่าน้ำแห่งนี้สดใสมีชีวิตชีวา ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน เรือหางยาว เรือพาย เรือโยงขนส่งสินค้าและเรือโดยสารหลากหลายแบบล้วนแวะรับส่งผู้โดยสารที่นี่ เรือบางลำ อาทิเรือขายโอเลี้ยง เรือขายก๋วยเตี๋ยว จอดนิ่งคล้องเชือกไว้กับริมเสาข้างท่า ด้วยมีลูกค้าจรไปมาให้ขายได้ตลอดทั้งวัน  



    คลองชลประทานสร้างเชื่อมกับลำน้ำบางปะกงสายนี้ไหลต่อเนื่องผ่านหลายจังหวัดมานานหลายสิบปี ที่ดินที่เคยรกร้างก็เริ่มมีบ้านเรือนสร้างติดริมคลอง เกิดเป็นชุมชนริมน้ำขนาดเล็กและขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตามอายุของมัน และด้วยเหตุที่เป็นจุดตัดของคลองกับถนนโดยมีสะพานปูนสีขาวเป็นตัวเชื่อมทำให้ชุมชนนี้คึกคัก มีโรงหนังมีโรงทานมีศาลเจ้าแบบจีนชื่อว่าศาลเจ้าแม่สองพี่น้อง มีโรงเรียนในบริเวณนั้นถึงสองโรงเรียน โรงเรียนหนึ่งอยู่ติดท่าน้ำ ห่างจากจุดตัดถนนไปราวหนึ่งกิโลเมตร ส่วนอีกโรงเรียนหนึ่งอยู่ใกล้ถนนแต่ห่างคลอง ต้องเดินเข้าไปตามทางลูกรังสีแดงราวๆสามร้อยเมตร



    โรงเรียนแรกเป็นโรงเรียนฝรั่งที่ปกครองดูแลโดยแม่อธิการแต่งชุดขาวมีผ้าคลุมหัวสีขาว มีซิสเตอร์หรือนักบวชหญิงในศาสนาคริสตร์เป็นครูใหญ่ ส่วนครูน้อยนั้นมีทั้งครูทั่วไปและซิสเตอร์อีกสองสามคน นักเรียนมีตั้งแต่ชั้นมูลไปจนถึงชั้น ม.ศ.3 เรียนรวมกันทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีภูมิลำเนาติดน้ำ มักมีพ่อแม่พายเรือมารับมาส่ง ที่เดินหรือนั่งรถสองแถวคันโตเข้ามาก็มีบ้าง แต่ไม่มากเท่าเรือ





        ตอนเช้าที่ท่าน้ำของโรงเรียนฝรั่งเป็นช่วงที่วุ่นวาย ทั้งเรือของผู้ปกครอง เรือโดยสารประจำทางตลอดไปจนถึงเรือค้าขายของชาวบ้าน ทำเอาท่าน้ำแห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนราวกับมีงานเทศกาล  ครูหลายคนกับซิสเตอร์ต้องมาคอยช่วยควบคุมดูแลให้เด็กได้ขึ้นจากเรือโดยเร็ว หลายครั้งมีเหตุการณ์เด็กตกน้ำเพราะก้าวพลาดหรือไม่ก็เผลอไปเหยียบเอาแคมเรือที่เปียกน้ำลื่น หนังสือหนังหาและชุดนักเรียนเปียกปอน ส่วนเด็กนั้นไม่เคยมีใครเป็นอันตรายด้วยเกิดริมน้ำกันแทบทั้งนั้น บางคนถือโอกาสขออนุญาตคุณครูกลับบ้านเสียเลย อ้างว่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียนเปียกน้ำก็มี เด็กเหล่านี้พอถึงบ้านก็กระโดดน้ำเล่นต่อ กว่าจะเอาหนังสือมาตากแดดให้แห้ง พ่อแม่ก็ต้องคว้าไม้เรียวไปยืนเรียกที่ท่า



        เด็กหญิงตัวเล็กอายุสิบสองขวบชื่อตวง ขึ้นจากเรือหางยาวโดยสารที่ท่าน้ำโรงเรียนฝรั่งทุกเช้า มือเล็กๆหิ้วกระเป๋านักเรียนหนังเทียมสีดำที่เก่าจนแห้งแตกเป็นลาย ภายในนั้นนอกจากหนังสือเรียนแล้วยังมีกล่องใส่ดินสอ ยางลบและกบเหลาดินสอหนึ่งกล่องและอับข้าวสังกะสีอีกหนึ่งกล่อง ส่วนกระติกน้ำนั้นตวงจะสะพายเฉียงไว้กับตัวเพราะมีสายยาวค่อนข้างสะดวก



    ตวงเป็นเด็กที่มีเชื้อสายจีน แม่เลี้ยงหมูและตัดใบตองขายตลาด ส่วนพ่อนั้นตายไปเสียนานแล้วตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ ปัจจุบันนี้แม่มีสามีคนใหม่ที่ตวงเรียกเขาว่าลุงทอง เป็นคนไทยแท้ อาชีพส่วนใหญ่คือกินเหล้าส่วนอาชีพรองคือเป็นผู้ช่วยของแม่ในการเลี้ยงหมู ตวงมีตากลมโตสองชั้น เวลาตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือ ตาคู่นั้นจะจ้องมองกระดานอย่างมีสมาธิ  ตามกฎของโรงเรียนจะไม่ให้เด็กผู้หญิงปล่อยผมยาวรุงรัง แม่ของตวงจึงให้เธอรวบผมก่อนไปโรงเรียนทุกวัน



        ครูไพลินช่วยดึงมือของตวง เมื่อขึ้นมาบนท่าแล้ว ตวงรีบวางกระเป๋าหนังสือ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนเดินเข้าประตูโรงเรียนไป  ครูไพลิน อายุยี่สิบสี่ปี เธอเป็นครูคนใหม่ที่มีนักเรียนชอบมากที่สุด ในชั้นเรียน เธอมักเล่านิทาน เล่นทายปัญหาและสอนนักเรียนให้รู้จักสัตว์ต่างๆในรูปภาพ โดยหน้าที่แล้ว ครูไพลินเป็นครูประจำชั้น ป.6/1 ซึ่งเป็นชั้นของตวง เธอสอนจริยธรรมและภาษาไทย นอกจากนั้นยังสอนวิชาวาดเขียนเป็นบางครั้ง ไม่เฉพาะแต่นักเรียนเท่านั้นที่ชอบครูไพลิน ครูผู้ชายอีกหลายคนก็หมายปองน้องใหม่นี้อย่างเงียบๆ ด้วยหน้าตาที่สะสวยอ่อนหวาน แม้เป็นคนพูดน้อยแต่ก็มีรอยยิ้มเป็นนิจให้ใครต่อใครนึกรักและอยากชิดใกล้



        เมื่อระฆังถูกตีดังแก๊งๆๆ นักเรียนทุกคนก็วิ่งกรูไปเข้าแถวร้องเพลงชาติและสวดมนต์ก่อนเข้าเรียน เวลานั้นที่ท่าน้ำหน้าโรงเรียนจะเงียบสงบ เรือที่พลุกพล่านเมื่อครู่ต่างหายไปสิ้น และจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งวันจนถึงเวลาเลิกเรียน





        โรงเรียนอีกแห่งเป็นโรงเรียนประชาบาล ผมเองเรียนที่นั่นมาตั้งแต่ชั้นป.หนึ่ง นักเรียนชายทุกคนต้องตัดผมสั้นเกรียน นุ่งกางเกงสีกากี ถุงเท้าและ รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล ส่วนเด็กผู้หญิงนั้นนุ่งกระโปรงสีน้ำเงินและตัดผมสั้นแค่คอ เด็กในโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กไทย เราเรียกเด็กไทยเพราะมีพ่อแม่เป็นคนไทย ส่วนเด็กที่โรงเรียนฝรั่งข้างคลองนั้นเรามักเรียกเด็กจีนเพราะมีพ่อแม่เป็นคนจีนหรือไม่ก็มีเชื้อสายจีน  พ่อแม่ของเด็กไทยส่วนใหญ่เป็นชาวนาและส่วนน้อยเท่านั้นที่มีร้านค้าในตลาด ซึ่งต่างกับเด็กจีนที่ผู้ปกครองมักมีกิจการเป็นของตัวเองเช่นแผงขายหมูหรือร้านของชำ



        โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนเล็กๆ สร้างด้วยไม้ทาน้ำยากันปลวกสีน้ำตาลแดงทึบ เวลาเข้าห้องเรียนต้องถอดรองเท้าเพราะพื้นห้องเรียนเป็นไม้กระดานขัดมัน ตอนเย็นเลิกเรียน ทุกห้องจะต้องจัดให้มีเวรทำความสะอาดวันละสองคน ถ้าตอนเช้ามาปรากฏว่าห้องสกปรก เวรทั้งสองจะต้องถูกทำโทษ



        การมาโรงเรียนของผมแน่นอนว่าต้องเป็นการเดิน เรามักยืนรอกันหน้าปากทางเพื่อเดินเข้าโรงเรียนพร้อมๆกันเป็นกลุ่ม เด็กบางคนที่พ่อแม่เป็นใหญ่เป็นโตอย่างลูกกำนันหรือลูกของครูใหญ่มักได้สิทธิพิเศษนั่งรถสามล้อถีบเข้าไปส่งถึงหน้าห้องเรียนไม่ต้องเดินให้เมื่อย เมื่อสามล้อถีบวิ่งผ่านกลุ่มพวกเรา ก็มักมีเสียงโห่ลั่นตามหลังไป เจ้าตัวคนโดนโห่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันมาทำหน้ายักษ์ใส่เรา บางคนไปดักรอที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อ “กระโดดถีบ”พวกเราเมื่อไปถึง การกระโดดถีบนั้นเป็นการเล่นอย่างหนึ่งที่พวกเราเด็กผู้ชายเล่นกันแทบทุกวันทั้งเช้าและเที่ยงโดยจำมาจากหนังจอมยุทธจีนและหนังยอดมนุษย์อุลตร้า แต่เรื่องยุ่งก็คือทุกคนสมัครใจจะเป็นพระเอกกันหมด ไม่มีใครรับบทผู้ร้ายสักคนเดียว ทำให้การเล่นกระโดดถีบไม่มีการเตี๊ยม ใครไม่เก่งก็มักโดนถีบเสียสะบักสะบอม เป็นพระเอกที่อ่วมที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา





        พ่อแม่ของผมเป็นใครนั้น ผมไม่รู้เลย เกิดมาก็เห็นแต่เพียงยายกับตาสองคน ถ้าเดินจากตลาดออกไปตามทางเดินเล็กๆข้ามทุ่งนาไปเกือบลิบจะถึงบ้านผมที่มีชั้นเดียว เสาเรือนยกสูงผู้ใหญ่เดินผ่านได้สบาย ข้างใต้เป็นลานดิน ตากับยายใช้เวลาส่วนใหญ่ทั้งวันนั่งสานกระบุงตะกร้าไว้ขายพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด นั่นคือรายได้หลักของที่บ้านผม



        ในวันหยุด ผมต้องช่วยตายายทำงาน แต่พอเจ้ายอดกับเจ้าตู่มาทำด้อมๆมองๆก็เป็นอันรู้กัน ผมจะเดินย่องไปหลังบ้าน พอลับสายตาของตายาย พวกเราก็จะวิ่งกันสุดชีวิตพร้อมกับหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน  กิจกรรมส่วนใหญ่คือตกปลาและหาของริมตลิ่ง ผมนั้นชอบหาของริมตลิ่งริมคลองมากที่สุด เพราะเราจะได้เจอของดีๆที่บางครั้งร่วงหล่นมาจากใต้ถุนบ้านที่อยู่ติดคลองจนกระแสน้ำพัดมาเกยตลิ่ง มีตัวการ์ตูนพลาสติกสีสวยๆเป็นรูปไอ้มดแดงบ้าง ยอดมนุษย์บ้าง มีแม้กระทั่งเหรียญบาทที่มีค่าราวกับทองในความรู้สึกของพวกเราตอนนั้น ใครเห็นก่อนจะไม่มีการร้องตะโกนว่าเจอแล้วๆ เพราะกลัวโดนแย่ง ต้องทำเป็นเงียบๆแล้วเดินไปหยิบใส่กระเป๋าไม่บอกกัน เพราะถึงแม้ถืออยู่ในมือแล้วอีกสองคนรู้ก็มักจะตู่เอาว่าเห็นก่อนอยู่ร่ำไป ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องเอาเงินนั้นซื้อขนมเป็นกองกลาง ผมเคยโชคดีเจอเหรียญห้าที่เป็นเหลี่ยมๆฝังอยู่ในทรายปนเลน เป็นเศรษฐีไปหลายวันทีเดียว





        วันนั้นเป็นวันจันทร์ ครูพรชัย ครูวิชาสังคมศึกษาได้รับมอบหมายจากอาจารย์ใหญ่ให้ไปเอาของบางอย่างที่โรงเรียนฝรั่งเพราะครูพรชัยมีจักรยานและเป็นครูหนุ่มอายุน้อย แกต้องการผู้ช่วยหนึ่งคนให้นั่งซ้อนท้ายและช่วยหิ้วของ ผมรีบยกมือก่อนใครเพราะอยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกมากกว่าอยู่ในห้องเรียนอยู่แล้ว ถึงจะไปกับครูแต่ก็เป็นครูที่ใจดี ตลก ไม่เหมือนครูคนอื่น ครูพรชัยพยักหน้าหงึกแทนคำอนุญาต แล้วกวักมือเรียกผมออกจากห้องไป



        กว่าจะไปถึงโรงเรียนฝรั่ง เราต้องปั่นจักรยานผ่านโรงหนัง ศาลเจ้า ตลาด จากนั้นข้ามสะพานแล้วเลี้ยวเข้าทางถนนลาดยางสีเทาที่ยาวเหยียดไปจนถึงประตูรั้วโรงเรียนฝั่งบกซึ่งจะอยู่ตรงกันข้ามกับประตูฝั่งคลอง รั้วประตูนั้นร่มรื่นด้วยร่มเงาของกระถินณรงค์สูงใหญ่ ใบของมันทำให้ผมนึกถึงดาบวงพระจันทร์ของหนังจีนกำลังภายในเรื่องหนึ่งที่กำลังดังตอนนั้น



        เราไปถึงก่อนเที่ยง ครูพรชัยเข้าไปทำธุระในห้องทำงานของแม่อธิการชุดขาว ผมนั่งรอข้างนอกด้วยความตื่นใจ มีเครื่องดนตรีที่เรียกกันว่าเปียโนตั้งอยู่ในห้องนั้น ผมกดไปที่แป้นสีขาว มันส่งเสียงดังออกมาน่าตกใจ ซิสเตอร์ที่เดินผ่านมายกนิ้วชี้ชิดริมฝีปากแล้วทำเสียงชู่ว์ให้ผมเงียบ ผมทำตัวลีบเดินกลับไปนั่งบนโซฟาจนครูพรชัยเดินออกมาจากห้องแม่อธิการ



    แกเรียกผมให้ลุกตามออกไปแล้วบอกว่า “นิรันดร์ ไปช่วยกัน แม่อธิการเขาให้เราไปเอาของที่ห้องป.6/1 อยู่ที่ตึกนู่นแน่ะ” ผมพยักหน้า ซ้อนจักรยานครูไปจนถึงหน้าห้องเรียน ผมถอดรองเท้าก่อนเดินขึ้นบันไดแต่ครูพรชัยไม่ยักถอด ผมไม่แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นครูคนไหนถอดรองเท้าเข้าห้องเรียนเลยสักคน ครูไปหยุดยืนหน้าห้องเรียน ซักพักก็มีครูผู้หญิงหน้าตาสวยออกมา พูดคุยกันครู่หนึ่งครูคนสวยก็พาครูพรชัยเดินไปอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องเก็บของไม่ใช่ห้องเรียน ครูพรชัยหันมาบอกให้ผมยืนรออยู่ก่อน ตอนนั้นจึงเหลือผมอยู่คนเดียวบนระเบียงหน้าห้องเรียน เด็กในห้องวัยเดียวกับผม เมื่อไม่มีครูผู้สอนก็เริ่มคุยกันจ้อกแจ้ก หลายคนหันมามองผมแล้วหัวเราะคิกคัก ผมอายหน้าแดงด้วยรู้ตัวว่าแปลกไปจากเด็กเหล่านี้มากจนดูเป็นตัวประหลาด เด็กพวกนี้ใส่เสื้อขาวสะอาด ถ้าผู้ชายก็นุ่งกางเกงสีน้ำเงินรองเท้าผ้าใบสีดำและถุงเท้าขาว ส่วนเด็กหญิงจะใส่กระโปรงสีน้ำเงินมีสายคาดที่ไหล่ทั้งสองข้าง ที่หน้าอกปักตัวอักษรชื่อย่อของโรงเรียนสีแดงสดดูมีชีวิตชีวา ต่างจากชุดของผมที่ปักชื่อย่อโรงเรียนด้วยด้ายสีน้ำเงิน นักเรียนหญิงส่วนใหญ่ไว้ผมเปียหรือรวบผม บางคนตัดสั้นแต่ไม่เห็นสั้นเต่อเหมือนเพื่อนนักเรียนหญิงของผมเลยสักคนเดียว





        จำได้ว่าแม้ผมจะหน้าชาด้วยความอายขนาดไหนก็ตาม แต่สายตายังได้ไปสะดุดที่ดวงหน้าของเด็กหญิงคนหนึ่ง ผมของเธอดำขลับและมีดวงตากลมโต เธอไม่หัวเราะในขณะที่คนอื่นกำลังซุบซิบและบุ้ยใบ้มาทางผม เธอนั่งเอามือเท้าคาง มืออีกข้างขีดเขียนอะไรเล่น เธอมองผมบ้างด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แวบเดียวก็หันไปใส่ใจกับหนังสือเรียนอีก ผมแอบชำเลืองมองเด็กคนนั้นและรู้ว่าเธอก็ใช้หางตามองผมอยู่เช่นกัน ในวันนั้นผมไม่มีความทรงจำเหลือพอให้กับเด็กคนอื่นๆในห้องเรียนนอกจากเด็กผู้หญิงตากลมคนนั้นเพียงคนเดียว เมื่อครูพรชัยหิ้วของเดินกลับมาพร้อมครูสาว ผมรีบไปช่วยแบ่งมาถือ เราช่วยกันเอาเชือกมัดห่อของซึ่งเป็นอุปกรณ์กีฬาเพื่อให้ถือสะดวกเมื่อนั่งบนจักรยาน ครูคนสวยพูดกับครูพรชัยสองสามคำแล้วยกมือไหว้ก่อนเดินกลับเข้าห้องเรียน





        ออกจากโรงเรียนมาได้หน่อยเดียวครูพรชัยบีบคันห้ามล้อดังครืดจนผมหน้าคะมำ



        “นิรันดร์” เสียงครูพรชัยเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง



        “ครับครู” ผมขานรับงงๆ



        “เธอวิ่งไปที่ห้องเรียนนั้นอีกที ถามคุณครูผู้หญิงให้หน่อยว่าเธอชื่ออะไร”



        ผมเกาหัวแกรก “ว้า ทำไมครูไม่ถีบจักรยานไปล่ะครับ ตั้งไกล”



        “เหอะน่า” เสียงครูดุเบาๆ “ครูบอกให้ไปก็ไปสิ เอ้า เอาของวางกับพื้นไว้ก่อน”



        ผมกระโดดลงจากท้ายรถจักรยาน อีกใจหนึ่งคิดปรีดาว่าจะได้เห็นเด็กหญิงตากลมคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง ผมวิ่งกลับไปในโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ถอดรองเท้าแล้วก้าวพรวดๆไปยืนหน้าห้องเรียนชั้นป.6/1 ครูคนสวยกำลังบอกให้เด็กนักเรียนคนหนึ่งยืนอ่านเรียงความ เสียงเด็กนั้นเบาแต่ต่อเนื่อง ออกเสียงอักขระชัดเจนอย่างที่ผมเองไม่เคยใส่ใจ เมื่อครูสาวเห็นผม เธอทำหน้าแปลกใจแต่ก็ยิ้มแล้วเดินมาหา เธอหันไปบอกกับนักเรียนคนที่กำลังยืนอ่านเรียงความ



        “ตวงจ๊ะ นั่งลงก่อนจ้ะ เดี๋ยวค่อยอ่านต่อ” ผมหันไปมองแล้วใจเต้นตึกๆ เด็กหญิงตากลมคนนั้นนั่นเองที่กำลังยืนอ่าน เธอชื่อตวง เป็นชื่อที่แปลกแต่ก็ไพเราะสำหรับผมจริงๆ



        “มีอะไรเหรอจ๊ะหนู” ครูสาวถามผมด้วยน้ำเสียงมีเมตตา



        “อ่า เอ่อ คือ ครูพรชัยให้มาบอกว่าเขาชื่อพรชัยครับ” กว่าจะหลุดคำพูดออกไปได้ก็ติดอ่างอยู่นาน



        “เหรอจ๊ะ” แล้วคุณครูคนสวยก็หัวเราะเสียงใสพูดกับผมเบาๆก่อนเดินกลับเข้าไปสอนต่อ ตวงลุกขึ้นยืนเตรียมอ่านเรียงความ ชำเลืองตากลมโตของเธอมาทางผมนิดหนึ่ง ผมยืนยิ้มค้างอย่างไม่รู้ตัวจนเสียงโห่ฮาของบรรดานักเรียนในห้องปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมรีบกระโจนลงบันไดวิ่งกลับไปหาครูพรชัยทันที





        “ไง ได้เรื่องไหม?” ครูถามตั้งแต่ผมยังไม่ถึงตัวรถดี



        ผมหอบนิดหน่อยก่อนตอบ “ครับ ผมบอกไปเรียบร้อยแล้ว”



        “เหรอ” ครูยิ้มแป้น “แล้ว แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ” ครูจับหัวผมอย่างเอ็นดู



        “ชื่อตวงครับ” ผมตอบอย่างลืมตัว



        “ฮ้า! ชื่อครูเนี่ยนะ ชื่อตวง” ครูทำเสียงตกใจ



        ผมใจหายเมื่อนึกขึ้นมาได้ “หวา! ไม่ใช่ครับครู นั่นชื่อเด็กนักเรียนในห้อง”



        ครูพรชัยยกมือเท้าสะเอวทำท่าหัวเสียขึ้นมาทันที



    “วัทโธ่ ให้ไปถามชื่อครูดันผ่าไปถามชื่อนักเรียน แหม เจ้านิรันดร์นี่ อย่างนี้ต้องโดนเตะซักป้าบดีมั๊ยฮึ แก้โรคความจำเสื่อม” ครูขยับขาทำท่าแกล้งจะเตะ ผมหลบวืบแต่ไม่กลัวเพราะครูไม่เคยทำร้ายนักเรียนเลยนอกจากตีเบาๆที่ก้นจนไม่มีนักเรียนคนไหนกลัวครูพรชัยสักคนเดียว



        “แต่ ครูครับ” ผมเหลือบตามองครู กล้าๆกลัวๆ



        “อะไร!” ครูพรชัยพูดห้วนๆ



        “เอ่อ ครูคนนั้นเขาฝากบอกมาว่า เขาชื่อคุณครูไพลินครับ”



        “อะไรนะ ไชโย! เธอเก่งมาก เป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในโลกเลย ชื่ออะไรนะ ครูไพลินใช่มั๊ย โอ้โฮ ชื่อเพราะจังเลย คล้องกับชื่อเราเปี๊ยบ พรชัย ไพลิน ไพลิน พรชัย เก่ง เก่งมาก นิรันดร์” ผมเองเพิ่งจะเคยเห็นครูพรชัยดีอกดีใจเป็นพิเศษก็ครั้งนี้ แล้วเราก็ขี่จักรยานกลับโรงเรียนอย่างมีความสุขทั้งครูทั้งศิษย์





    (ติดตามตอนต่อไปครับ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×